Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1921-1936
ตอนที่ 1921 คำขอโทษของตงน้อย
“หึ ข้าไม่เข้าใจหรอก แต่นายท่านนั้นไม่เคยผิดพลาดล้มเหลวมาก่อน! ตอนนี้พลังฝีมือของเขาอาจจะยังไม่เทียบเท่าเทพถ่องแท้แต่เรื่องการหลอมโอสถนั้นไม่มีใครเทียบเคียงเขาได้แน่!”
ได้ยินคำของตงน้อย หนิงเทียนปิงจึงกล่าวขึ้นมาอย่างมั่นใจ
แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าตงน้อยนั้นเป็นถึงเทพสวรรค์ แต่ท่าทางในครั้งนี้ของตงน้อยมันก็ทำให้เขาไม่พอใจไม่น้อย
เพราะตั้งแต่ที่เขาติดตามเย่หยวนมาก็นานปี ทำให้หนิงเทียนปิงนั้นมีความมั่นใจอย่างสุดล้ำในตัวเย่หยวน
แต่นี่มันมิใช่ความศรัทธาที่ล้ำเกินสิ่งใด แต่มันคือความมั่นใจหลังจากได้เห็นปาฏิหาริย์เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตามาครั้งแล้วครั้งเล่า
ความมั่นใจเช่นนี้มันไม่สามารถจะถูกสั่นคลอนได้
อย่างน้อยๆ ในวิชาการหลอมโอสถแล้วเย่หยวนก็ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน!
ไม่ว่ามันจะเป็นโอสถที่ยากเย็นสาหัสเพียงใดเมื่อมาถึงมือเย่หยวนแล้วมันก็ย่อมล้วนสามารถถูกหล่อหลอมขึ้นมาได้สิ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังขึ้นมาถึงอาณาจักรราชันพระเจ้าแล้วความสามารถทางโอสถของเย่หยวนมันก็ยิ่งเพิ่มพูนจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าวิเศษ แน่นอนว่าหนิงเทียนปิงย่อมจะไม่สามารถสงสัยในความเก่งกาจนี้ได้
ตงน้อยมองดูหนิงเทียนปิงเหมือนดูคนโง่ “บางทีเจ้าโอสถย้อนฝันพิรุณชำระนี้อาจจะเป็นโอสถที่ท้าทายเขาที่สุดเท่าที่เคยมีมาก็ได้! ข้าไม่ได้จะบอกว่าเขานั้นไม่มีทางหลอมได้ เพียงแค่ว่า…โอกาสผิดพลาดมันมีสูงก็เท่านั้น”
“ไม่มีทาง!” หนิงเทียนปิงยังคงยืนกรานคำเดิมอย่างไม่คิดจะถอย
ตงน้อยเองก็แทบสำลักเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เจ้านี่มันคุยด้วยไม่รู้เรื่อง!”
ถึงตอนนี้เซียวเฟิงก็พูดเสริมขึ้น “ท่านผู้อาวุโสตงว่ามามันก็ไม่ผิด บางที…นี่อาจจะเป็นความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่น้อยเย่เคยพบเจอมาก็ได้! เจ้าโอสถย้อนฝันพิรุณชำระนี้มันยากเย็นกว่าโอสถใดๆ ที่เขาเคยพบเจอมาในอดีตอย่างไม่ต้องสงสัย”
เซียวเฟิงเริ่มอธิบายถึงความยากของโอสถย้อนฝันพิรุณชำระออกมาให้แก่หนิงเทียนปิงและไป๋เฉิน
เพราะเขาเองนั้นก็เป็นจอมเทพโอสถคนหนึ่งแน่นอนว่าเขาย่อมจะรู้ถึงความยากเย็นของมัน
เมื่อฟังไปจนจบสีหน้าของหนิงเทียนปิงและไป๋เฉินก็เริ่มสงบลง
“เมื่อพูดถึงเรื่องหลอมโอสถแล้วมีหรือที่เทพสวรรค์คนนี้จะรู้ไม่เท่าพวกเจ้า? แค่โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าหากเย่หยวนสามารถทำมันได้ง่ายๆ มีหรือที่เทพสวรรค์คนนี้จะรอให้เขาขึ้นมาถึงอาณาจักรเต๋าขั้นสุดก่อนค่อยเปิดปากบอกถาม? ไอ้เด็กโง่สองคนนี้!” ตงน้อยกล่าวขึ้นด้วยท่าทางไม่พอใจ
หนิงเทียนปิงเงียบลงไปทันทีแต่ไม่นานนักเขาก็เงยหน้ากลับขึ้นมาพูดใส่ตงน้อยอีกครั้ง “ไม่ว่าอย่างไรเสียนายท่านก็ไม่มีทางพลาดแน่ ท่านรอดูเถอะ!”
ตงน้อยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจยาว “เจ้าโง่นี่!”
…
ในพริบตาเวลาก็ผ่านไปกว่าสามสิบวัน แต่จนทุกวันนี้เย่หยวนก็ยังไม่ออกมาจากห้องหลอม
หนิงเทียนปิงได้รับรู้แล้วว่าเรื่องที่ตงน้อยและเซียวเฟิงบอกนั้นมันไม่ได้เกินเลยไปแม้แต่น้อย
เขานั้นไม่เคยพบเจอเหตุการณ์ที่เย่หยวนใช้เวลานานมากขนาดนี้ในการหลอมโอสถมาก่อนเลย
ที่ด้านนอกประตูหนิงเทียนปิงได้แต่เดินไปมาด้วยท่าทางสุดกังวล
“เลิกเดินวนไปมาเสียที ข้าจะตาลายเพราะเจ้าแล้ว!” ตงน้อยพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
“หึ! นายท่านนั้นกำลังหลอมโอสถให้ท่านแต่ท่านกลับไม่แสดงท่าทีกังวลใดๆ เลย! หากมีเรื่องใดๆ เกิดขึ้นกับนายท่านแล้วข้าจะไม่ยอมปล่อยท่านไว้แน่!” หนิงเทียนปิงร้องบอก
‘แอ๊ด!’
ในเวลานั้นเองที่ประตูห้องด้านในถูกเปิดออกมาเผยให้เห็นร่างผอมแห้งจากด้านใน
“นายท่าน! ท่าน…เป็นอะไรมากหรือไม่?” เมื่อเห็นสภาพนั้นของเย่หยวนหนิงเทียนปิงก็รีบกระโดดเข้าไปช่วยประคองทันที
สภาพของเย่หยวนในตอนนี้สุดที่จะอธิบาย ดวงตาทั้งสองนั้นเห็นเส้นเลือดชัดเจน ผมเฝ้าก็ดูบางลงไปอย่างมากเป็นสภาพร่างคล้ายคนที่มีอาการป่วยมานานปี
ในสายตาของหนิงเทียนปิงแล้วเย่หยวนนั้นเป็นคนที่เยือกเย็นและมีสติเวลาต้องจัดการกับโอสถมาก ทำการหลอมแต่ละครั้งได้อย่างง่ายดายแต่เหตุใดเขาจึงได้กลายมามีสภาพเช่นนี้?
เย่หยวนยกมือขึ้นมาปัดด้วยท่าทางอ่อนแรง “ข้าแค่ต้องตั้งสมาธิมากเกินไปก็เท่านั้น พักไม่กี่วันก็คงกลับมาเป็นปกติได้”
ตงน้อยที่เห็นท่าทางนั้นของเย่หยวนลุกขึ้นยืนพร้อมถามทันที
‘พลาด?’
โอสถย้อนฝันพิรุณชำระนั้นคือโอสถที่ส่งต่อกันมาในมิติอนัตตากอไผ่ตั้งแต่รุ่นแรกๆ
หลายต่อหลายปีผ่านไปมิติอนัตตากอไผ่ได้สร้างยอดคนจอมเทพโอสถขึ้นมามากมายแต่จนทุกวันนี้มันก็ยังไม่เคยมีใครหลอมโอสถนี้ได้สำเร็จมาก่อน
ต่อให้เป็นจอมเทพโอสถเจ็ดดาวขั้นสุดก็ยังไม่เคยจะทำมันได้สำเร็จ
ไม่ใช่พวกเขานั้นไม่สามารถหลอมโอสถที่มีคุณภาพออกมาได้ แต่พวกเขานั้นไม่เคยจะทำการตั้งหลอมได้สำเร็จเลย!
ไม่เคยแม้สักครั้ง!
และโอสถนี้มันยังเป็นแค่โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับห้า แน่นอนว่าความยากของมันต้องเหนือล้ำกว่าสิ่งใด
เพราะฉะนั้นตงน้อยจึงไม่ได้หวังมากมายว่าเย่หยวนจะทำสำเร็จ
‘พรึ่บ!’
เงาสีดำพุ่งผ่านมาถึงหน้าตงน้อย เมื่อเขายกมือขึ้นรับและเปิดมันออกดูก็พบว่ามันคือขวดใบน้อยใบหนึ่ง
นั่นทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที!
ตงน้อยมองดูที่เย่หยวนอย่างตื่นตะลึง “เจ้า…เจ้าทำได้จริงๆ!”
เย่หยวนยิ้มขึ้นมา “หึๆ โอสถนี้มันยากยิ่งเกือบทำข้าต้องตายลงแล้ว! พูดตรงๆ เลยว่าทำการหลอมโอสถมาก็หลายต่อหลายปีแต่ไม่เคยจะเหนื่อยขนาดนี้มาก่อนเลย! แต่…ข้านั้นโชคดีหลอมมันได้สำเร็จ!”
“โชค?” ตงน้อยมองดูเย่หยวนด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
เขาเองก็เป็นจอมเทพโอสถเขาย่อมรู้ดีว่าการหลอมโอสถแต่ละครั้งมันต้องใช้พลังสมาธิมากมายแค่ไหน
แต่ความสามารถทางโอสถของเย่หยวนนั้นตงน้อยเองก็รู้อยู่แก่ใจ!
ต่อให้ตอนนี้เขาไปหาจอมเทพโอสถเจ็ดดาวแต่หากวัดกันแค่เรื่องการหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าแล้วมันก็คงไม่มีใครเก่งกาจไปได้เกินเย่หยวน
การที่ทำให้เย่หยวนมีสภาพเหนื่อยอ่อนเช่นนี้ได้มันย่อมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาทุ่มกำลังและสมาธิไปกับการหลอมครั้งนี้อย่างมากเพียงใด!
เส้นจิตของตงน้อยพุ่งลงไปในขวดนั้นและไม่นานร่างของตงน้อยก็ต้องสั่นสะท้านขึ้นมาทันที
‘ตุบ!’
‘อู๊ด!’
หมูสมบัติร่วงลงพื้นพร้อมร้องดังแสดงความไม่พอใจออกมา
แต่ตงน้อยนั้นไม่คิดจะสนใจมันอีกแล้ว สภาพของเขาตอนนี้อยู่ในสภาวะตื่นตะลึง
“ขั้นเทวะวิญญาณไพศาล! เป็น…เป็นไปได้อย่างไรกัน?” ตงน้อยมองดูที่เย่หยวนราวกับเย่หยวนนั้นเป็นเทพมารมาจากที่ไหน
ไม่เคยมีใครเคยหลอมโอสถนี้ขึ้นมาได้ก่อนและในมหาพิภพถงเทียนนี้มันก็ไม่น่าจะมีสูตรโอสถนี้เสียด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ไม่ใช่แค่เย่หยวนจะหลอมมันได้ แต่เย่หยวนกลับสามารถหลอมมันได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาล!
แม้จะนับว่าเป็นความยากเก้าเหมือนๆ กันแต่โอสถฟื้นหทัยหยกประณีตและโอสถย้อนฝันพิรุณชำระนั้นมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชินในระดับที่ไม่อาจเทียบกันได้
เหล่าสมุนไพรวิญญาณทั้งหลายที่ใช้ในการหลอมนี้เองเย่หยวนก็ไม่เคยจะได้ลองใช้มันมาก่อน แน่นอนว่าเย่หยวนคงได้แต่ค่อยวิเคราะห์และคาดเดาการใช้เท่านั้น
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้แค่หลอมให้ได้ถึงขั้นสูงมันก็มากเกินกว่าที่ใครจะทำได้แล้ว
แต่เย่หยวนกลับหลอมโอสถที่สมบูรณ์แบบออกมาได้!
ตงน้อยนั้นไม่อาจจะอธิบายอารมณ์และความรู้สึกที่มีในใจตอนนี้ได้เลย
ตรงกันข้ามเป็นหนิงเทียนปิงที่ไม่ได้ตื่นตะลึงเท่ากับตัวเขาและพูดขึ้น “ฮ่าๆ ข้าบอกว่าอย่างไรเล่า? เมื่อนายท่านลงมือเองเช่นนี้เขาย่อมไม่มีทางพลาด! ในการโอสถแล้วเขานั้นไร้เทียมทาน!”
สภาพของหนิงเทียนปิงตอนนี้มันเหมือนผู้มีชัย
ในเวลาหนึ่งเดือนนี้เขาเองก็กังวลเรื่องเย่หยวนอย่างมาก แต่ความมั่นใจของหนิงเทียนปิงที่มีต่อเย่หยวนนั้นไม่เคยสั่นคลอน
และการที่เย่หยวนทำมันได้สำเร็จย่อมจะยืนยันว่าความเชื่อของหนิงเทียนปิงนั้นไม่ผิด!
ตงน้อยพยายามเปิดปากพูดออกมาแต่กลับไม่อาจหาคำพูดได้
ในเวลานี้เขาได้รับรู้แล้วว่าเขานั้นยังไม่เข้าใจถึงความเก่งกาจของเย่หยวนพอ
ในเวลาหนึ่งเดือนนี้หนิงเทียนปิงได้แสดงความมั่นใจในตัวเย่หยวนออกมาจนเหมือนว่าเป็นการเชื่ออย่างมืดบอด
แต่ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น
ด้วยอายุของเย่หยวนการที่สามารถพัฒนาด้านโอสถมาได้ถึงขั้นนี้มันย่อมหมายความว่าผู้คนจะใช้สามัญสำนึกใดๆ ไปตัดสินเขาไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นความมั่นใจที่หนิงเทียนปิงมีมันจึงอาจจะไม่ใช่การเชื่ออย่างงมงายเลย
ไม่! ไม่ใช่อาจจะ แต่มันไม่ใช่ความงมงายอย่างแน่นอน!
ตงน้อยมองดูที่หนิงเทียนปิงพร้อมถอนหายใจยาว “เอาล่ะ ข้ายอมรับผิด! ข้าประเมินเย่หยวนต่ำไปจริงๆ ความสามารถของเขานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งใดๆ เด็กคนนี้มีอนาคตที่ไม่อาจคาดเดาได้จริงๆ!”
หนิงเทียนปิงผงะไปทันทีที่ได้ยิน เทพสวรรค์ผู้สูงส่งผู้นี้กลับกล่าวขอโทษเขาอย่างนั้นหรือ?
ตอนที่ 1922 เรือนสนดำ
การพักผ่อนนี้เย่หยวนได้นอนหลับยาวไปนานถึงสิบวันสิบคืน
สำหรับเหล่านักยุทธ์อาณาจักรพระเจ้าแล้วพวกเขาทั้งหลายนั้นไม่ต้องนอนหลับก็สามารถพักผ่อนร่างกายได้
แต่ตอนนี้สภาพของเย่หยวนนั้นเหนื่อยหนักจนเกินเยียวยา เขาต้องการหลับให้ลึกเพื่อฟื้นคืนสภาพให้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิม
ในวันนี้เย่หยวนได้ตื่นขึ้นมาและพบกับดวงตาคู่โตคู่หนึ่งที่จ้องมองมายังใบหน้าของเขา
พร้อมๆ กับจมูกของหมูที่กำลังถูอยู่กับจมูกของตัวเขา
“หมูสมบัติ? ตงน้อยเข้าการเก็บตัวแล้ว?” เย่หยวนเข้าใจเรื่องราวได้ในทันที
‘อู๊ดๆ!’
หมูสมบัติพยักหน้า กันเป็นสัญญาณบอกว่าเย่หยวนเข้าใจถูก
“นายท่าน ท่านตื่นแล้ว! ตงน้อยได้กินโอสถย้อนฝันพิรุณชำระเข้าไปแล้วและเริ่มเข้าสู่การเก็บตัวภายในโถงบัลลังก์ม่วงเป็นที่เรียบร้อย” หนิงเทียนปิงบอก
เวลาหลายวันมานี้พวกหนิงเทียนปิงได้เฝ้าดูอาการของเย่หยวนอยู่ตลอด
เมื่อได้เห็นเขาตื่นขึ้นมาเช่นนี้พวกเขาทั้งหลายก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เย่หยวนค่อยๆ ลุกขึ้นพร้อมพยักหน้ารับ “เสียเวลาไปนาน เรามาเริ่มทำธุระสำคัญกันเถอะ”
เซียวเฟิงหรี่ตาลงทันทีที่ได้ยิน “เจ้าคิดอยากทำอะไรต่อ?”
เย่หยวนบอก “เขาว่ากันว่าเทพสวรรค์เปียวหยูได้ตั้งศาลายาสวรรค์ขึ้นโดยใช้การแข่งขันหลอมโอสถเพื่อตัดสินความเก่งกาจของจอมเทพโอสถมิใช่หรือ? เช่นนั้นเราไม่ลองไปดูกันหน่อยเล่า!”
เมื่อเซียวเฟิงได้ยินเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นขึ้นมาตามพร้อมยกมือตบเข่าฉาดใหญ่ “ไอหย่า ข้านี่โง่จริงๆ ทำไมถึงไม่คิดถึงมันมาก่อนกัน? ด้วยพลังฝีมือของเจ้าแล้วแค่ไปแข่งทุกผู้คนก็คงต้องมาตามหาตัวเราอยากร่วมธุรกิจด้วยแล้ว เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้อีก รีบไปกันเลยเถอะ!”
เย่หยวนยิ้มออกมา “ไม่ต้องรีบร้อน! การหลอมโอสถในครั้งนี้ข้าเองก็ได้ความรู้มามาก รอให้ข้าจัดการทบทวนเรื่องที่ได้พบเจอมาก่อน วันพรุ่งนี้เราค่อยไปที่ศาลายาสวรรค์กัน”
เขาเริ่มทำการนั่งสมาธิเก็บตัวจัดการความรู้และความรู้สึกทั้งหลายที่ได้เจอมาช่วงเดือนนี้
ที่ตงน้อยพูดมานั้นมันไม่มีผิด การหลอมโอสถครั้งนี้มันเป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุดแก่เขาตั้งแต่เขาเริ่มชีวิตของนักหลอมโอสถมา
ต่อให้เป็นตอนที่หลอมโอสถท้าทายสวรรค์เมื่อตอนนั้นมันก็ยังไม่เหนื่อยอ่อนเท่าตอนนี้
เย่หยวนใช้เวลาไปกว่ายี่สิบวันเพื่อทำการคาดเดาและวิเคราะห์คุณสมบัติของสมุนไพรแต่ละด้าน พยายามหาข้อผิดพลาดในการคาดเดาของตนและเริ่มทำการวิเคราะห์อนุมานอีกครั้ง
เมื่ออนุมานถึงความเป็นไปได้ต่างๆ จนครบด้านเย่หยวนก็เริ่มทำการตั้งสูตรโอสถ
และเช่นนั้น เวลาก็ผ่านไปได้ถึงหนึ่งเดือน เย่หยวนได้ใช้เวลาทุกวินาทีระหว่างนั้นไปกับการคาดเดาอนุมานต่างๆ อย่างไม่มีพัก
ทำเช่นนั้นแล้วมีหรือที่จะยังไม่เหนื่อยได้?
จนเขาเองก็พึงพอใจกับผลที่ออกมาอย่างมาก
การสามารถหลอมโอสถย้อนฝันพิรุณชำระให้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาลได้มันย่อมทำให้เย่หยวนรู้สึกได้ถึงความสำเร็จ
และเรื่องราวในครั้งนี้มันก็ทำให้เขาเข้าใจในคุณสมบัติของสมุนไพรวิญญาณขึ้นอีกมาก
คุณสมบัติด้านยาของสมุนไพรต่างๆ นั้นมันไม่ได้แน่นอนอย่างตายตัว แถมแต่ละด้านยังมีความเกี่ยวพันที่เด่นชัดอยู่เพียงแค่ความเกี่ยวพันนี้มันสุดแสนที่จะซับซ้อนทำให้การอนุมานตามธรรมดาไม่อาจจะสามารถเข้าใจพวกมันได้
แต่หลังจากได้ลองวิเคราะห์และอนุมานมันจริงๆ แล้วเขาก็ได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล
แม้ว่าเรื่องนี้มันจะไม่อาจช่วยให้ความรู้ของเย่หยวนบรรลุขึ้นถึงอาณาจักรบรรพกาลได้แต่มันก็ช่วยทำให้พื้นฐานของเขาหนักแน่นขึ้นอย่างมาก
เวลาหนึ่งคืนนั้นจึงได้ผ่านไปอย่างเงียบงัน
ในวันต่อมาเย่หยวนออกจากห้องหลอมโอสถที่เช่าไว้และออกไปจ่ายเงินพร้อมๆ กับเดินทางออกจากแหล่งรวมร้อยสมุนไพร
ห้องหลอมโอสถในแหล่งรวมร้อยสมุนไพรนั้นถูกตั้งขึ้นเพื่อหลอมชั่วคราวหน้าร้านขาย ทำให้ราคาค่าเช่าของมันนั้นค่อนข้างจะสูงเมื่อเย่หยวนอยู่ภายในถึงสี่สิบวันมันจึงทำให้เขาต้องจ่ายไปมากจนรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาในใจ
ขณะที่พวกเขาทั้งหลายกำลังเดินทางออกมาพวกเขาก็ได้พบกับชายรับใช้หนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาขวางทางเย่หยวนไว้
ชายผู้นั้นถามขึ้น “ท่านใช่ท่านเย่หยวนหรือไม่?”
ชายหนุ่มมึนงงไปชั่วขณะก่อนจะพยักหน้าตอบกลับไป “ใช่แล้ว ข้าคือเย่หยวน เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใด?”
ชายรับใช้บอก “เมื่อสักครู่นี้ได้มีคนส่งสารมาแก่ท่านว่าหากอยากพบกับท่านผู้อาวุโสเจียงหยวนให้ท่านไปยังเรือนสนดำที่ถนนป่าใต้”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นดวงตาทั้งสองของเขาก็เบิกกว้างทันทีก่อนจะตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “เจ้ากลับไปบอกมันว่าข้าไม่สนใจ”
พูดจบเย่หยวนก็พาคนทั้งหลายเดินจากไปทันที
ตั้งแต่วินาทีแรกที่ชายรับใช้คนนี้พูดออกมาเย่หยวนก็เข้าใจได้ทันทีว่านี่คงเป็นคนของเจียงหัวแล้ว
แม้ว่าจะมีคนอีกมากมายที่รู้ว่าเขานั้นคิดจะพบเจียงหยวนตอนที่อยู่ในเรือนรับรองนั้นและมันก็อาจจะเป็นหนึ่งในคนทั้งหลายนั้น แต่สัญชาตญาณของเย่หยวนมันบอกว่านี่คือฝีมือเจียงหัว
เจียงหัวผู้นี้คงไม่อาจหาวิธีการอื่นใดได้จึงได้แต่ต้องส่งคนมาเรียกความสนใจเขาเช่นนี้เพื่อจะได้จัดการเขาลงได้
เย่หยวนได้แต่หัวเราะเย้ยอยู่ในใจ เจียงหัวนั้นคิดว่าเขาเป็นแค่เด็กหนุ่มไม่รู้โลกไม่มีประสบการณ์จึงคิดใช้วิธีการโง่เง่าเช่นนี้มาหลอกเขาไปกำจัดอย่างนั้นหรือ?
จะดูถูกกันมากเกินไปหน่อยแล้ว!
แต่แม้ว่าเขาจะไม่อาจมองแผนนี้ของเจียงหัวออกเย่หยวนก็ไม่ได้คิดจะกลับไปขอพบกับเจียงหยวนใดๆ อีกต่อไปแล้ว
เพราะลูกผู้ชายย่อมพูดคำไหนคำนั้น
ต่อให้สุดท้ายเย่หยวนจะได้ร่วมงานกับโถงวาโยขจีจริงแต่เขาก็จะรอให้เจียงหยวนมาขอร้องเขา มิใช่เขาไปขอร้องแก่เจียงหยวนอีก
…
ที่เรือนสนดำที่ทางฉินกวนที่ได้ยินคำรายงานของคนรับใช้ก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นทันที
“หรือว่าไอ้เด็กคนนี้มันไม่คิดจะพบเจอกับผู้อาวุโสเจียงหยวนแล้ว?”
เจียงหัวยิ้มออกมาอย่างเย็นเยือก “เด็กคนนี้มันกล้า! แต่ถึงมันจะไม่มาก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่สามารถบังคับให้มันมาได้! เจ้าเดินทางไปอีกครั้งและบอกเย่หยวนเช่นนี้ มันต้องติดตามเจ้ากลับมาแน่!”
เจียงหัวเอียงคอไปบอกคนรับใช้ผู้นั้น ฝ่ายคนรับใช้ที่ได้รับคำสั่งก็รีบเดินทางออกไปทันที
ฉินกวนที่ได้ยินได้ฟังเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วขึ้นมาชูชื่นชม “หึ สมแล้ว! ยอดเยี่ยมจริง! น้องเจียงหัวนี่ช่างทำตัวได้เหมาะสมกับตำแหน่งคนสนิทผู้นำตระกูล!”
เจียงหัวยิ้มออกมาก่อนจะหรี่ตาลง “หากแค่เด็กนภาสวรรค์คนหนึ่งยังจัดการไม่ได้ข้า ผู้ช่วยผู้นี้ก็คงใช้ชีวิตมาอย่างเสียเปล่าแล้ว ท่านพี่ข้าคงต้องฝากเรื่องราวที่เหลือให้ท่านด้วย ท่านผู้นำตระกูลยังมีงานทิ้งไว้ให้ข้าทำอีกมาก คงต้องขอตัวก่อน”
ฉินกวนยิ้มรับ “เจ้าไปทำงานต่อเถอะ เรื่องราวเล็กๆ แค่นี้ข้าจัดการเอง”
ไม่นานหลังจากคนรับใช้เดินทางออกไปเขาก็ได้นำพาเย่หยวนกลับมาจริงๆ
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเย่หยวนมาแค่คนเดียว
เมื่อเข้ามาถึงเรือนสนดำแล้วเย่หยวนก็รู้สึกได้ทันทีว่ามันมีค่ายกลบางอย่างทำงานขึ้น
แต่เพียงแค่ว่าค่ายกลระดับนี้มันไม่อาจจะทำอะไรแก่เย่หยวนได้เลย
ด้วยความเข้าใจในแนวคิดแห่งห้วงมิติของเขาในตอนนี้ การจะหนีนั้นมันไม่เคยเป็นเรื่องยากเย็น
เมื่อเจ้าตัวเรือนมาเย่หยวนก็ได้พบกับชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังนั่งรินชาอยู่
คนรับใช้ร้องบอก “นายท่าน ข้าพาเย่หยวนมาแล้ว”
ฉินกวนยกมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณไล่คนใช้ไป
เย่หยวนหรี่ตาลงมองที่ฉินกวนพร้อมถามขึ้น “เจ้าหรือคือคนที่ใช้พี่เซียวเฟิงมาข่มขู่ข้า?”
คนรับใช้ผู้นี้ได้ออกไปตามหาเย่หยวนอีกครั้งพร้อมบอกเย่หยวนว่าเซียวเฟิงนั้นนับเป็นคนของโถงวาโยขจี
หากเขานั้นไม่ยอมมายังเรือนสนดำแล้วเซียวเฟิงจะต้องไม่ได้ตายดี!
แน่นอนว่าด้วยตำแหน่งอำนาจของเจียวหัวแล้วผู้ดูแลระดับต่ำอย่างเซียวเฟิงย่อมจะไร้ค่าใดๆ ไป
ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายเองก็จะเป็นแค่ผู้ช่วยก็ตาม
เมื่อพลังอำนาจของเจียงหัวแล้วตราบเท่าที่เขาคิดสั่งเขาก็ย่อมสามารถจัดการกับเซียวเฟิงได้อย่างรุนแรงเหลือจินตนาการ
ฉินกวนมองดูเย่หยวนและหัวเราะออกมา “เด็กน้อย เจ้ามันช่างอวดดีจริงๆ! มาถึงบ้านข้าแล้วเจ้ากลับยังกล้าพูดเช่นนี้หรือ?”
เย่หยวนตอบกลับไป “เจียงหัวอยู่ไหนเล่า?”
ฉินกวนยิ้มออกมา “เจ้าไปลบหลู่น้องเจียงหัวและจึงต้องมาพบเจอเรื่องราวเช่นวันนี้ เจ้าหรือเซียวเฟิงมันต้องมีคนตาย! และเมื่อเจ้ามาแล้วมันก็ย่อมหมายความว่าเจ้าเลือกทางแรก”
เย่หยวนมองดูฉินกวนอย่างเย็นเยือก “ด้วยแค่คนอย่างเจ้านี้?”
ฉินกวนยกแก้วชาขึ้นมาดื่มก่อนจะตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม “จะตายอยู่แล้วยังมีหน้ามาอวดดี! หากข้าไม่มีปัญญาจะกำจัดแม้แต่นภาสวรรค์เจ็ดดาวผู้หนึ่งชีวิตการบ่มเพาะของข้านี้จะมีค่าใด”
พูดจบดวงตาของเขาก็เย็นเยือกลงทันทีพร้อมด้วยพลังโลกอันมหาศาลที่พุ่งทะยานครอบไปทั่วเรือน
ฉินกวนนั้นย่อมไม่กล้าจะลงมือกลางถนนที่มาด้วยผู้คน แต่เมื่อเขาสามารถเรียกให้เย่หยวนมาถึงเรือนสนดำนี้ได้แล้วเขาก็ย่อมกล้าที่จะลงมือสังหารอย่างแน่นอน
เย่หยวนมองดูที่อีกฝ่ายราวกับเป็นคนโง่ “เดิมทีข้าแค่คิดจะมากำจัดเจียงหัวทิ้งเสีย เจ้าตัวปัญหานั้น แต่เมื่อมันไม่อยู่เจ้าก็คงได้แต่ต้องโทษตัวเองที่ไม่มีโชคแล้ว”
ตอนที่ 1924 นักหลอมโอสถสวรรค์เงิน
“ผู้อาวุโส ข้านั้นมาเพื่อจะขอสอบเข้าเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์และสมัครเข้าสังเวียนโอสถ”
ชายแก่ตรงหน้าเย่หยวนนี้คือผู้คุมการสอบเข้าเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์
หลายต่อหลายปีที่ผ่านมานี้ศาลาโอสถสวรรค์นั้นโด่งดังขึ้นอย่างมากมาย เหล่านักหลอมโอสถสวรรค์เองแม้จะเป็นแค่นักหลอมโอสถสวรรค์ทองแดงก็ยังมีสถานะในโลกภายนอกที่สูงส่งกว่านักหลอมโอสถทั่วๆ ไปนัก
เหล่านักหลอมโอสถที่ได้ออกจากศาลาโอสถสวรรค์นี้ไปล้วนแล้วแต่ต้องผ่านสังเวียนการประลองมานับไม่ถ้วนแน่นอนว่าพวกเขาทั้งหลายย่อมจะมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำกว่านักหลอมโอสถทั่วๆ ไปมาก
เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าศาลาโอสถสวรรค์เป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ได้นั้นมันจึงมีการคัดเลือกที่เข้มงวดไม่น้อย
ไม่ใช่แค่ว่าสามารถหลอมโอสถได้ก็สามารถเข้าศาลาโอสถสวรรค์ได้
และชายชราตรงหน้านี้ก็คือคนที่ทำหน้าที่คัดกรองที่ว่านั้น
ชายแก่มองดูเย่หยวนก่อนจะยกมือขึ้นมาโบกปัด “เด็กน้อย ที่นี่หาใช่ที่ที่เจ้าจะมาเที่ยวเล่นได้ ไปเสียเถอะ”
เขานั้นเห็นว่าเย่หยวนนั้นยังเด็กจนเกินไปและไม่มีทางจะผ่านการทดสอบใดๆ ได้จึงคิดว่ามันจะเป็นการเสียเวลาเปล่า
ด้วยอายุเพียงเท่านี้แล้วสามารถขึ้นมาถึงอาณาจักรนภาสวรรค์เจ็ดดาวนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ธรรมดาอย่างแน่นอน
แต่หากคิดอยากจะเป็นจอมเทพโอสถห้าดาวด้วยอายุเท่านี้มันคงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก อย่าว่าแต่จะผ่านการทดสอบใดๆ ได้เลย
เพราะแม้ว่าการทดสอบนี้มันจะไม่ได้เป็นเรื่องลึกลับซับซ้อนยากเย็นมากมาย แต่คนที่จะผ่านไปได้นั้นมันก็มีไม่มาก
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ผู้อาวุโสจะไม่ลองให้ข้าแสดงฝีมือหน่อยหรือ?”
ชายชราบอก “เฒ่าคนนี้เฝ้าดูศาลาโอสถสวรรค์มานานหลายต่อหลายปีและได้พบเจอกับนักหลอมโอสถมาแล้วอย่างนับไม่ถ้วน เจ้าจะสามารถผ่านหรือไม่นั้นข้าแค่มองดูพอรู้ได้”
ชายแก่คนนี้เองก็เคยเป็นจอมเทพโอสถห้าดาวมา เขาย่อมมีความรู้ความเข้าใจในระดับนี้ไม่น้อย
ด้วยชื่อเสียงของศาลาโอสถสวรรค์แล้วนักหลอมโอสถมากมายหลายหน้าต่างคิดเข้ามาในสังเวียนประลองโอสถ เหล่านักหลอมโอสถที่เขาได้พบเจอนั้นย่อมเหนือล้ำกว่าที่จะจินตนาการได้
เพราะฉะนั้นเขาจึงได้มีความรู้ที่ยึดมั่นอยู่กับตัวในเรื่องการมองคน
เย่หยวนเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจออกมา เขาแค่ยิ้มตอบ “เช่นนั้นท่านผู้อาวุโสโปรดให้โอกาส ให้ผู้เยาว์ได้ลองวัดฝีมือสักครั้ง?”
“เด็กคนนี้ อย่าได้มาทำให้เสียเวลา เหล่านักหลอมโอสถที่ผู้อาวุโสผิงพบเจอมานั้นมันมากกว่าเม็ดข้าวที่เจ้าเคยกินมาทั้งชีวิต เขานั้นก็ได้บอกแล้วว่าเจ้าไม่ผ่าน ยังจะมีโอกาสใดๆ ที่เจ้าจะสามารถผ่านได้อีก”
“เด็กน้อย ขนเข้ายังไม่ทันขึ้นก็คิดว่าตัวเองจะหลอมโอสถได้แล้วหรือ?”
“ฮ่าๆ”
ทุกผู้คนรอบๆ ต่างหัวเราะลั่นขึ้นทันทีด้วยท่าทางเย้ยหยันเย่หยวน
เพราะต่อให้เป็นศิษย์จากค่ายสำนักยอดนักหลอมโอสถใดๆ การที่จะสามารถเข้าศาลาโอสถสวรรค์ได้มันก็ต้องมีอายุอย่างน้อยๆ ห้าพันปีขึ้นไป
ด้วยอายุของเย่หยวนแล้วมันย่อมไม่มีโอกาสนั้น
ผู้อาวุโสผิงมองดูสภาพจริงจังของเย่หยวนไม่แสดงท่าทางอวดเก่งเหมือนดั่งลูกคุณหนูตระกูลใหญ่เขาจึงได้แต่พยักหน้ายอมรับออกมาในที่สุด “ช่างเถอะ ไปลองให้รู้เสีย!”
เย่หยวนยกมือขึ้นคารวะอีกฝ่ายทันทีด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ขอบคุณมากผู้อาวุโสผิง!”
ผู้อาวุโสผิงยกมือขึ้นมาโบกปัด “อย่าเพิ่งได้มาขอบคุณข้า ไฟศักดิ์สิทธิ์นี้มันรุนแรงไม่เบา อย่าได้ทำให้ตัวเองบาดเจ็บเสียเล่า”
การทดสอบนั้นมันแสนง่ายดาย แค่การควบคุมไฟไปหลอมโอสถเพียงเท่านั้น
แต่คนทั้งหลายนั้นไม่ได้คิดว่ามันง่ายดายเลยเพราะเรื่องนี้จอมเทพโอสถห้าดาวหลายๆ คนเองก็ยังไม่อาจทำมันได้
ไฟนี้มันมิใช่ไฟศักดิ์สิทธิ์ทั่วๆ ไปแต่มันคือไฟที่ไม่มีนาย ทำให้มันรุนแรงและร้อนอย่างมาก
หากคิดจะใช้ไฟที่ดุร้ายเช่นนี้ไปหลอมโอสถแล้วมันย่อมต้องใช้ความสามารถที่สูงส่ง
ในเตาอั้งโล่นั้นมีก้อนไฟกำลังดิ้นไปมาอย่างรุนแรงภายใน
“หึ อีกไม่นานมันคงได้แต่อายมุดดินหนีไปแล้ว!”
“เพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆานั้นขึ้นชื่อว่ายากต่อการควบคุม ด้วยอายุเท่านี้มีหรือที่มันจะควบคุมเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาที่ไม่มีนายได้?”
“นี่สินะที่เขาเรียกว่าประเมินตัวเองสูงเกินไป”
…
คนทั้งหลายนั้นต่างรู้สึกว่าการทดสอบเย่หยวนนี้มันเสียเวลาเปล่าจึงแสดงท่าทีรำคาญออกมาอย่างมาก
เย่หยวนค่อยๆ เดินไปหน้าเตานั้นพร้อมชี้นิ้วออก จากนั้นเจ้าก้อนไฟก็ได้พุ่งตามปลายนิ้วของเขาลงไปยังหม้อหลอมในทันทีอย่างว่าง่าย
เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้มันสุดแสนจะเป็นธรรมชาติและนุ่มนวลอย่างที่ไม่มีการหยุดชะงักเลย
เหล่าคนทั้งหลายที่แสดงสีหน้าเบื่อหน่ายออกมาในคราแรกต่างลุกขึ้นยืนตามๆ กันเมื่อได้เห็นเย่หยวนลงมือ
ภายในโถงตอนนี้มันปกคลุมไปด้วยความเงียบงันมีเพียงแค่การทดสอบของเย่หยวนที่ดำเนินต่อไปไม่มีหยุด
จากนั้นไปก็เป็นการหลอมโอสถ
เพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆานั้นทำตัวว่าง่ายอย่างมากเมื่ออยู่ในมือของเย่หยวนและค่อยๆ ปล่อยเสียงร้องเหมือนเสียงหอนของหมาป่าออกมา
ภายในหม้อหลอมนั้นเป็นโอสถเทียมที่ใช้เพื่อการทดสอบนี้โดยเฉพาะ
‘ปัง!’
‘ปัง!’
‘ปัง!’
…
ภายในหม้อหลอมนี้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมาเก้าครั้งติดๆ กัน
เสียงหอนดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่เจ้าเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาจะกลับไปอยู่ในเตาเช่นเดิมแต่มันกลับไม่ค่อยอยู่นิ่งเหมือนก่อนหน้าสักเท่าไหร่
‘ตุบ!’
เพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆานั้นกลับไปยังเตาอีกครั้งและได้เข้าสู่สภาวะที่ไม่มีใครเป็นนาย
แต่ตอนนี้พลังปิดกั้นรอบๆ เตามันกลับทำงานขึ้น
ทุกคนได้แต่มองดูภาพตรงหน้าอย่างมึนงง
“เก้าปะทุ นี่คงเป็นพลังฝีมือของนักหลอมโอสถระดับเงินแล้วใช่หรือไม่?”
“ที่สำคัญการควบคุมไฟนั้นมันช่างเหนือล้ำ!”
“เพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆากลับคิดอยากทำลายพลังปิดกั้นออกมา หมายความว่า…มันคิดอยากได้เย่หยวนคนนี้เป็นนายมันอย่างนั้นหรือ?”
…
การทดสอบนี้ของเย่หยวนผ่านไปอย่างรวดเร็วเพียงแค่ไม่กี่อึดใจก็สิ้นสุดลง
แต่ในเวลาแค่ไม่กี่อึดใจนี้คนทั้งหลายกลับได้เห็นพลังฝีมือของเย่หยวนอย่างชัดเจน
การหลอมโอสถเทียมนั้นเสียงของการปะทุแต่ละครั้งมันจะเป็นคะแนนแสดงความเก่งกาจของฝีมือ
ตราบเท่าที่ผู้คนสามารถทำให้เกิดเสียงปะทุได้ มันก็จะนับว่าผ่านการทดสอบ
แต่เจ้าโอสถเทียมนี้มันส่งเสียงได้อย่างมากสุดก็แค่เก้าครั้ง และเย่หยวนกลับสามารถทำให้มันปะทุขึ้นได้ครบจำนวน!
ภายใต้สถานการณ์ปกติแล้วการที่ทำให้เกิดเก้าปะทุได้มันย่อมหมายความว่าคนผู้นั้นมีพลังฝีมือถึงระดับนักหลอมโอสถสวรรค์เงิน
เพียงแค่ว่าคนทั้งหลายที่มาทดสอบในศาลาโอสถสวรรค์ไม่เคยมีใครที่เก่งกาจพอจะทำได้ขนาดนี้มาก่อน
เว้นเสียแต่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นยอดคนนักหลอมโอสถชื่อดังแต่ไม่เคยทำการทดสอบของศาลาโอสถสวรรค์มาก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วจะมีคนที่เก่งกาจขนาดนี้ปรากฏตัวออกมาได้อย่างไร?
แต่ว่าเย่หยวนนั้นมีอายุเพียงเท่าไหร่?
ตอนนี้เหล่าคนทั้งหลายนี้อายุแค่พันกว่าปีพวกเขายังต้องให้อาจารย์เฆี่ยนตีจดจำเรื่องพื้นฐานอยู่เลย!
เท่านี้มันก็มากพอจะทำให้ทุกผู้คนตื่นตะลึงในฝีมือแล้ว!
“ข้าทำการสอบเสร็จแล้ว” เย่หยวนเดินเข้ามาบอกผู้อาวุโสผิง
ผู้เฒ่าสะดุ้งตัวขึ้นก่อนจะกลับมาตั้งสติได้
เขามองดูเย่หยวนด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “เฒ่าคนนี้ขอโทษเจ้าด้วย เฒ่าคนนี้ไม่นึกเลยว่าจะทำการประเมินได้ผิดพลาดถึงขนาดนี้”
ทุกคนที่ได้ยินนั้นตกตะลึงอย่างมาก ผู้อาวุโสผิงนี้กลับขอโทษเด็กคนหนึ่ง!
ผู้อาวุโสผิงนั้นคือนักหลอมโอสถสวรรค์ทอง แต่เขากลับกล่าวขอโทษต่อเด็กผู้หนึ่ง
แต่พอคิดไปแล้วมันก็ไม่ได้แปลกอะไร
เพราะเย่หยวนนั้นมีฝีมือขนาดนี้ได้ด้วยอายุเท่านี้ แน่นอนว่าความสำเร็จในวันหน้าของเขามันย่อมไม่มีขีดจำกัด!
เย่หยวนยกมือขึ้นคารวะ “ผู้อาวุโสผิงกล่าวเกินไปแล้ว! ข้าแค่สงสัยว่าเช่นนี้จะนับว่าผ่านการทดสอบหรือไม่?”
“ผ่านอยู่แล้ว!”
พูดไปผู้อาวุโสผิงก็ได้โยนเหรียญเงินออกมาให้แก่เย่หยวน “เก้าปะทุ เจ้านั้นมีฝีมือที่ขึ้นถึงขั้นนักหลอมโอสถสวรรค์เงินได้แล้ว จากวันนี้ไปเจ้าจะถูกนับเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์เงิน!”
เย่หยวนรับเหรียญนั้นไปด้วยท่าทางตื่นตกใจไม่น้อย เพราะเขาไม่นึกว่าแค่ผ่านการทดสอบก็จะสามารถเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์เงินได้เช่นนี้
เป็นตอนนี้เองที่เขาได้รู้ว่าเหล่านักหลอมโอสถทั้งหลายที่ผ่านไปก่อนหน้านั้นมันเป็นแค่ระดับที่ต่ำต้อยเพียงใด
พวกเขานั้นต้องผ่านสังเวียนนับร้อย หรือพันครั้งเพื่อที่จะสามารถขึ้นไปเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ทองแดงได้
และเช่นกัน หากนักหลอมโอสถสวรรค์ทองแดงคิดอยากขึ้นสู่รับเงินพวกเขาก็ต้องขึ้นประลองอีกนับครั้งไม่ถ้วน
เรื่องราวนี้หลายๆ ครั้งมันกินเวลาหลายสิบปี อาจจะถึงหลายร้อย หรือบางคนอาจจะใช้เวลาหลายพันหลายหมื่นปีเพื่อขึ้นระดับ
แต่เย่หยวนแค่ทำตามกฎของหม้อหลอมและพยายามอย่างสุดตัว ไม่นึกไม่ฝันว่าเขานั้นจะกลับสามารถขึ้นมาถึงระดับเงินได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้
ตอนที่ 1925 สังเวียนเงิน
เย่หยวนเก็บเหรียญนั้นลงไปและยกมือขึ้นคารวะ “ขอบพระคุณผู้อาวุโสผิง!”
ผู้อาวุโสผิงเองก็ยิ้มตอบกลับ “ดีๆ ยอดคนนั้นย่อมยิ่งใหญ่ตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มสาว! ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าแล้วในเวลาอีกไม่ถึงสิบปีเจ้าคงสามารถขึ้นไปได้ถึงระดับทองแน่ๆ เจ้าหนุ่ม หลังจากเข้าศาลาโอสถสวรรค์เราไปแล้วเจ้าต้องหมั่นบ่มเพาะให้ดีด้วยเล่า!”
เพราะการปรากฏกายนี้ของเย่หยวนมันทำให้ผู้อาวุโสผิงตกตะลึงอย่างมาก
การที่สามารถมีความรู้ด้านโอสถมากมายได้ตั้งแต่อายุยังน้อยเท่านี้มันย่อมหมายความว่าเปล่งประกายในศาลาโอสถสวรรค์ได้อย่างแน่นอน
เย่หยวนยิ้มตอบ “ผู้อาวุโสผิงโปรดวางใจ ข้าจะตั้งใจบ่มเพาะแน่นอน”
พูดจบเย่หยวนก็เดินจากไป
เหล่าผู้เข้าสอบทั้งหลายนั้นหันไปมองตามเย่หยวนเป็นตาเดียวด้วยสีหน้าอิจฉา
เหรียญเงินนี้พวกเขาทั้งหลายหวังจะได้มันมานับพันๆ หรืออาจจะถึงหมื่นปี
แต่เย่หยวนคนนี้กลับได้ไปอย่างรวดเร็ว!
“ต่อไป!” ผู้อาวุโสผิงหันกลับมาเรียกต่อ
ซุนจิงค่อยๆ เดินขึ้นไปหยุดตรงหน้าเจ้าเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดีใจ
“เพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆานั้นกำลังหลงเจ้าเด็กคนนั้น มันย่อมจะสามารถควบคุมได้ง่ายกว่าเก่าแล้ว หึ ช่างเป็นโอกาสเหมาะของข้า! จะว่าไปเรื่องนี้ข้าก็นับว่าติดค้างเจ้าเด็กนั่นแล้ว”
เมื่อพลังปิดกั้นถูกเปิดออกซุนจิงก็ได้วาดตราขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้างพยายามที่จะควบคุมเจ้าเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆา
เสียงหมาป่าหอนดังลั่นขึ้นก่อนที่เจ้าก้อนไฟนี้มันจะเปลี่ยนร่างกลายเป็นก้อนเพลิงคล้ายรูปหมาป่าและพุ่งตัวเข้าขย้ำซุนจิง
‘อึก!’
ซุนจิงนั้นเหมือนถูกคลื่นพลังมหาศาลปะทะเข้าร่างจนลอยกระเด็นไป
ในวินาทีนั้นร่างของเขาแทบจะไหม้เป็นจุณ ตอนนี้จึงได้แต่นอนร้องอย่างสาหัสอยู่บนพื้น
‘ฟุบ!’
เจ้าหมาป่าเพลิงพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว เข้าสู่ด้านในของโถง
และนั่นมันคือทิศทางที่เย่หยวนเพิ่งจะเดินจากไป!
ผู้อาวุโสผิงหรี่ตาลงก่อนจะพุ่งตัวตามออกไปในเสี้ยววินาทีก็สามารถตามเจ้าเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาได้ทัน
“เจ้าสัตว์ร้าย คิดจะหนีไปไหน!”
ไฟศักดิ์สิทธิ์นั้นคือภูต เพราะฉะนั้นเจ้าเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาจึงไม่อาจจะยอมสยบต่อใครได้ง่ายๆ
เมื่อเห็นผู้อาวุโสผิงตามมาถึงเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาก็หันตัวพุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโสผิงทันที
‘ปัง! ปัง! ปัง!’
ภายในโถงนั้นเกิดการต่อสู้ของหนึ่งคนหนึ่งภูตขึ้นอย่างดุเดือด
ผู้คนทั้งหลายต่างได้แค่หันมองหน้ากันด้วยความตื่นตะลึงจากภาพตรงหน้า
“นี่มัน…มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? แม้ว่าเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาจะยากที่จะควบคุมแค่ไหนมันก็ไม่ได้ดุร้ายป่าเถื่อนถึงขั้นนี้!”
“นี่…นี่มันคงไม่ได้คิดจะตามเจ้าเด็กคนนั้นไปหรอกใช่ไหม?”
“เจ้าเด็กคนนั้นมันทำอะไรลงไปกันแน่ เหตุใดเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาถึงได้คลั่งขึ้นมาขนาดนี้?”
…
หลังจากการต่อสู้อันดุเดือดผ่านไปผู้อาวุโสผิงก็ได้ใช้กำลังอันเหนือล้ำของตนในการจับกุมเจ้าเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆา
เว้นเสียแต่ว่าเจ้าเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาที่ถูกจับไว้มันก็ยังคงไม่สงบ อาละวาดอย่างไม่หยุดพัก
ผู้อาวุโสเผิงเองก็ตื่นตะลึงอย่างมากเช่นกัน “เด็กคนนี้มีทักษะการควบคุมไฟที่เหนือล้ำจนถึงจุดสมบูรณ์! เพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆานี้กลับคิดอยากตามไปขอฝากตัวรับใช้เขา! ช่างน่ากลัว!”
เพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆานั้นขึ้นชื่อว่าเป็นไฟศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าที่ยากต่อการจับคุมที่สุด เหล่านภาสวรรค์ทั่วๆ ไปย่อมไม่มีทางจะควบคุมมันได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเป็นนายของมันเลย
และเพราะเช่นนั้นเองมันถึงได้กลายมาเป็นบททดสอบของศาลาโอสถสวรรค์
แต่ผู้อาวุโสเผิงเองก็ไม่นึกไม่ฝันว่าแค่เย่หยวนใช้เจ้าเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาในการสอบครั้งเดียวมันกลับจะทำให้เจ้าเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาคิดติดตามเขาได้
ตราบเท่าที่เย่หยวนคิดอยาก เขาก็สามารถเป็นนายของมันได้ในทุกเมื่อ
ผู้อาวุโสผิงย่อมเข้าใจดีว่าตอนนี้เพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาคงไม่อาจตกเป็นของใครไปได้อีกแล้วในอนาคต
เขายกมือขึ้นมาโบกไล่ “ยาม นำเจ้าเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาไปเสีย การสอบวันนี้จบลงเพียงเท่านี้”
…
สังเวียนประลองโอสถเงินนั้นมีเสียงโห่ร้องดังลั่นสนั่นฟ้า
ไม่ไกลออกไปจากเหล่าผู้ส่งเสียงร้องก็มีเงาร่างสองผู้กำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่บนสังเวียนอย่างที่ไม่มีใครคิดจะยอมใคร
“เอาเลย มู่เต้าเฉิง!”
“มู่เต้าเฉิงเก่งกาจจริงๆ!”
…
ที่ด้านนอกสังเวียนตอนนี้เสียงโห่ร้องมันดังไม่แพ้เสียงของหม้อหลอม
ส่วนบนสังเวียนนั้นชายวัยกลางคนทางฝั่งขวาก็กำลังได้เปรียบอยู่ไม่น้อย
ไม่นานนักความได้เปรียบนี้ของเขามันก็กินคู่ต่อสู้จนขาดลอย
“หลอม!”
เมื่อมู่เต้าเฉิงร้องออกมาโอสถมันก็เริ่มหลอมและก่อรูปขึ้นเป็นโอสถภายในคราเดียว
อีกฝ่ายนั้นได้แต่มองดูภาพตรงหน้าอย่างเจ็บใจ เพราะตอนนี้โอสถของเขานั้นมันได้กลายเป็นโอสถไร้ค่าไปแล้ว
มู่เต้าเฉิงกล่าวขึ้นด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง “หวงเจิน มันยังเร็วไปร้อยปีหากเจ้าคิดจะมาท้าทายข้า! ฮ่าๆ”
หวงเจินมองดูมู่เต้าเฉิงก่อนจะถอนหายใจยาวออกมาและเดินลงสังเวียนไป
เย่หยวนมองดูภาพตรงหน้านี้อย่างประหลาดใจไม่น้อย การประลองหลอมโอสถเช่นนี้มันเป็นสิ่งที่เขาแทบไม่เคยพบเห็น
เพราะการประลองหลอมโอสถนั้นจะเกลียดชังการยุ่มย่ามของผู้คนภายนอกมากที่สุด ทำให้สังเวียนประลองที่เปิดให้ผู้คนเข้าชมได้เช่นนี้นับว่าหายากมาก
และไม่ใช่เพียงแค่เสียงของผู้คนทั้งหลายนั้นไม่ถูกปิดกั้น แต่มันยังไม่มีค่ายกลใดๆ มาปิดบังสายตาเลยเสียด้วย
การเผชิญหน้าของทั้งสองบนสังเวียนนั้นมันเหมือนกับการเผชิญหน้าของนักยุทธ์ไม่มีผิด
ผู้ชนะนั้นหลอมโอสถได้
ผู้แพ้นั้นทำให้โอสถเสียค่า!
แต่เย่หยวนก็ได้เห็นว่าฝีมือของคนทั้งสองนี้มันไม่ธรรมดาจริงๆ
เทียบกับเหล่าผู้คนที่เรียกตัวเองว่าเป็นจอมเทพโอสถห้าดาวในโลกภายนอกแล้ว พวกเขาทั้งหลายนี้เก่งกาจกว่ามาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมู่เต้าเฉิงคนนี้ เขานั้นมีความรู้โอสถขึ้นถึงอาณาจักรต้นขั้นปลาย แน่นอนว่าเขาต้องฝีมือที่เหนือล้ำผู้คน
เมื่อได้ยินเสียงร้องของคนทั้งหลายก็ยิ่งแสดงได้อย่างชัดเจนว่ามู่เต้าเฉิงนั้นชื่อเสียงในสังเวียนประลองโอสถนี้เพียงใด
แต่เย่หยวนนั้นคิดว่าการประลองโอสถเช่นนี้เองมันกลับจะทำให้ผู้คนเพิ่มพูนฝีมือของตนได้มากกว่าการประลองทั่วๆ ไป
เพราะคนทั้งสองนั้นเผชิญหน้าและประลองการหลอมกัน มีคลื่นพลังที่ปะทะกันอยู่ตลอดทำให้สามารถลักจำความเข้าใจในวิชาของอีกฝ่ายมาได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นแล้วแม้จะเป็นฝ่ายแพ้ แต่พวกเขาทั้งหลายก็ย่อมจะได้ความรู้ติดตัวกลับไปไม่น้อย
ที่สำคัญกว่านั้นการที่ต้องหลอมโอสถภายใต้สถานการณ์ที่ยากเย็นเช่นนี้เองมันก็จะเพิ่มพูนพลังสมาธิและความเก่งกาจของนักหลอมโอสถได้มาก
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชื่อนักหลอมโอสถสวรรค์นั้นมันถึงมีค่าและได้รับการยอมรับมากมาย เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วเย่หยวนก็ได้แต่ชื่นชมว่าวิธีการของศาลาโอสถสวรรค์นี้มันเหนือล้ำจริงๆ
“อีกแค่ชัยชนะเดียวมู่เต้าเฉิงก็จะสามารถป้องกันสังเวียนได้ครบสิบครั้งแล้ว ถึงเวลานั้นเขาคงได้เหรียญนักหลอมโอสถสวรรค์ทองไปแน่!”
“ข้าล่ะอิจฉาเขาจริงๆ อย่างข้าชีวิตนี้คงไม่อาจขึ้นเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ทองได้แน่!”
…
มู่เต้าเฉิงนั้นมั่นใจในความสำเร็จของคนอย่างมากเขาจึงร้องตะโกนขึ้นบนสังเวียน “มีใครกล้าที่จะขึ้นมาท้าทายข้าอีกไหม? มี! หรือ! ไม่!”
มู่เต้าเฉิงในตอนนี้มีสภาพเหมือนนักสู้ที่เพิ่งได้รับชัยครั้งใหญ่มา จิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความองอาจ
แต่ที่ด้านล่างนั้นกลับไม่มีใครกล้าจะขึ้นไปบนสังเวียนเลย
ตามกฎของศาลาโอสถสวรรค์แล้วหากคนผู้หนึ่งสามารถชนะได้สิบศึกติดต่อกันพวกเขาก็จะนับว่าป้องกันสังเวียนได้หนึ่งครั้ง
และเมื่อสามารถป้องกันสังเวียนได้ครบสิบครั้ง พวกเขาก็จะขึ้นไปถึงระดับที่สูงกว่าเก่าได้
และเมื่อทำเช่นนั้นได้ชื่อเสียงใดๆ ของพวกเขาก็จะสั่นสะท้านดังไปทั่วโลกา
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียชื่อเสียงของศาลาโอสถสวรรค์นี้มันก็ไม่ได้โด่งดังแค่ในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวเท่านั้น
แม้แต่เหล่านักหลอมโอสถจากวังพำนักจักรพรรดิเทพสวรรค์ยังต้องมาเป็นสมาชิกของศาลาโอสถสวรรค์นี้
ยิ่งผ่านเวลาไปนานเข้าอำนาจที่ศาลาโอสถสวรรค์มีมันจึงยิ่งล้ำลึกจนไม่อาจสาวขึ้นมาได้หมด
หากคนผู้ใดสามารถได้รับเหรียญระดับสูงไปได้ มันก็จะเป็นการเพิ่มพูนชื่อเสียงของพวกเขาเหล่านั้นอย่างใหญ่หลวง
เรื่องนี้มันย่อมทำให้ผู้คนแทบคลั่ง
เพียงแค่ว่าในศาลาโอสถสวรรค์นั้นการที่จะเลื่อนขึ้นระดับได้นั้นมันสุดแสนจะยากเย็น
นอกจากจะต้องใช้เวลาแล้วเหล่านักหลอมโอสถทั้งหลายที่เข้าศาลาโอสถสวรรค์มาล้วนแล้วต่างมิใช่แค่หมูหมากาไก่ข้างทาง
คิดอยากชนะติดกันได้ให้สิบศึกมันเป็นเรื่องที่สุดแสนยากเย็น
ที่สำคัญกว่านั้นคือพวกเขายังต้องชนะติดต่อกันสิบสังเวียนจึงจะสามารถผ่านขึ้นไประดับสูงกว่าได้
เพราะแบบนั้นเองชื่อของนักหลอมโอสถสวรรค์จากศาลาโอสถสวรรค์มันจึงยิ่งมีค่า
จู่ๆ เย่หยวนก็กระโดดขึ้นไปบนสังเวียนนั้นและบอกแก่มู่เต้าเฉิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าขอท้า”
ตอนที่ 1926 โยนไข่ใส่หิน
ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่ร่างของชายหนุ่มผู้นี้
และไม่นานสายตาทั้งหลายก็เปลี่ยนเป็นความเย้ยหยัน
เมื่อมู่เต้าเฉิงได้เห็นเย่หยวนเขาก็หัวเราะลั่นออกมา “ฮ่าๆ เจ้าหนู เจ้าคงยังไม่คุ้นที่ทางสินะ! ที่นี่มันสังเวียนเงิน เจ้าคงไม่ได้เดินขึ้นมาผิดสังเวียนหรอกใช่ไหม?”
แม้ว่าเหล่านักหลอมโอสถสวรรค์เงินนั้นจะมีจำนวนไม่น้อยแต่พวกเขาทั้งหลายนั้นก็ต่างคุ้นชินเคยเห็นหน้าตาของกันมาก่อนสิ้น ทำให้ทุกผู้คนต่างรู้ว่าใครเป็นใคร
ไม่เพียงแค่เย่หยวนจะหน้าไม่คุ้นแล้วแต่เขายังเป็นแค่เด็กหนุ่มแน่นอนว่าทุกผู้คนต่างคิดว่าเขานั้นเดินขึ้นมาผิดสังเวียน
มีหรือที่เด็กหนุ่มอย่างนี้จะเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์เงินไปได้?
ที่ด้านข้างทางกรรมการเองก็มองดูด้วยใบหน้าเหนื่อยใจ “เจ้าหนุ่ม ที่นี่คือสังเวียนเงิน ผู้ที่คิดจะขึ้นท้าประลองต้องมีเหรียญเงินก่อนจึงจะสามารถประลองได้”
ดูท่าแล้วเขาเองก็คงไม่เชื่อเช่นกันว่าเย่หยวนนั้นจะเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์เงินไปได้
เย่หยวนยิ้มและค่อยๆ ยื่นเหรียญนั้นที่ผู้อาวุโสผิงมอบให้นั้นออกมามอบแก่กรรมการ “นี่น่าจะเป็นเหรียญเงินใช่หรือไม่? ท่านผู้อาวุโสโปรดตรวจสอบ”
นั่นทำให้คำดูถูกเหยียดหยามทั้งหลายเงียบเบาลงเหลือไว้เพียงความเงียบงัน
นักหลอมโอสถสวรรค์เงินที่อายุน้อยขนาดนี้มันไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน!
กรรมการผู้นั้นรับเหรียญไปและส่งจิตของตนลงไปภายใน และแน่นอนว่าไม่นานเขาก็ได้ทราบว่าเย่หยวนเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์เงินที่เพิ่งถูกเลื่อนขั้นขึ้นมาจริงๆ
ชายแก่หันไปมองเย่หยวนอย่างตื่นตกใจ “เหรียญเงินของเจ้านี้เพิ่งถูกออกมาใหม่ แต่ข้าไม่เคยได้ยินชื่อหรือเห็นหน้าเจ้ามาก่อนเลย หรือว่า…”
ชายหนุ่มที่มีความสามารถถึงขั้นนักหลอมโอสถสวรรค์เงินเช่นนี้ต่อให้เขาจะถูกเลื่อนขึ้นมาจากระดับทองแดง มันก็ย่อมต้องมีชื่อเสียงผ่านหูเขามาบ้าง
เพราะฉะนั้นเหรียญนี้ของเย่หยวนจึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะไม่ใช่การเลื่อนขั้นแต่เป็นการออกใหม่
เย่หยวนยิ้มพร้อมกล่าว “ผู้เยาว์เพิ่งจะผ่านการทดสอบของศาลาโอสถสวรรค์และได้เป็นนักหลอมโอสถสวรรค์เมื่อสักครู่นี้”
‘หืม!’
“เลื่อนขึ้นมาถึงนักหลอมโอสถสวรรค์เงินในคราเดียว! เด็กคนนี้มันทำให้เกิดเก้าปะทุได้!”
“ไม่มีทางหรอกใช่ไหม? ครั้งสุดท้ายที่เกิดเก้าปะทุขึ้นมันก็ผ่านมาตั้งหลายร้อยปีแล้วนา?”
“ใช่ แต่เหล่าคนที่สามารถจะทำเก้าปะทุได้มันล้วนแล้วแต่เป็นเหล่าจอมเทพโอสถหกดาวมากชื่อที่เพิ่งมาถึงศาลาโอสถสวรรค์ ไม่เคยมีจอมเทพโอสถห้าดาวคนไหนทำได้มาก่อน!”
…
การผ่านทดสอบของศาลาโอสถสวรรค์และขึ้นมาถึงระดับเงินได้ในทันทีนั้นมันเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง
สายตาที่ทุกผู้คนมองมายังเย่หยวนมันจึงเปลี่ยนไปในทันที
นี่คือเด็กหนุ่มที่จะเป็นดาวดวงใหม่ของศาลาโอสถสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ทางกรรมการผู้นั้นเองก็แสดงสีหน้าตื่นตะลึงออกมาก่อนจะคืนเหรียญให้แก่เย่หยวนและบอก “คนหนุ่มสมัยนี้ประมาทไม่ได้เลยๆ!”
เย่หยวนกล่าวตอบ “ตอนนี้ข้ามีคุณสมบัติพอจะท้าทายเขาแล้วใช่หรือไม่?” พูดไปเย่หยวนก็หันหน้าไปหามู่เต้าเฉิง
กรรมการคนนั้นยิ้มขึ้นมาเมื่อได้ยิน “หึๆ เจ้าหนุ่ม เจ้านั้นมีช่องให้พัฒนาอีกมากมาย แต่เจ้าจะดูถูกสังเวียนเงินมากจนเกินไปแล้ว! การประลองกับเขาในตอนนี้มันไม่ได้ให้ประโยชน์ใดๆ กับเจ้าหรอก”
“อย่าสิ ผู้อาวุโสซิน! เขานั้นอุตส่าห์มอบตัวมาถึงหน้าประตูเช่นนี้แล้วผู้เฒ่าอย่างท่านก็อย่าได้มายุ่ง! เด็กคนนี้มันจะทำให้ข้าได้เหรียญทองมาอย่างแน่นอน!” เมื่อมู่เต้าเฉิงได้ยินคำของกรรมการผู้นั้นเขาก็ร้องห้ามทันที
เพราะในวินาทีที่เขาเห็นเหรียญเงินของเย่หยวน นอกจากความตื่นตะลึงแล้วเขายังดีใจมากด้วย
เพราะตราบที่เขาสามารถชนะศึกต่อไปนี้ได้ เขาก็จะสามารถผ่านขึ้นไปถึงสังเวียนทองได้
การได้เป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ทองนั้นมันย่อมจะทำให้ชื่อเสียงของเขาลื่อลั่นไปกว่าเดิมมาก เป็นเรื่องที่เขาฝันถึงมาหลายต่อหลายปี
ในสังเวียนเงินนี้การจะชนะให้ได้ถึงสิบครั้งมันมิใช่เรื่องง่ายๆ
และเมื่อเด็กใหม่เดินเข้ามามอบตัวต่อหน้าเขานี้เขาย่อมไม่คิดจะปล่อยโอกาสให้หลุดมือ
ในสังเวียนเงินนี้ตราบเท่าที่ไม่ได้คิดจะยอมแพ้โดยการล้มมวยแล้วไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถขึ้นท้าทายได้
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ท่านอย่าได้กังวลไปเลย ถือเสียว่าเป็นการฝึกฝน”
ได้ยินคำของเย่หยวนมู่เต้าเฉิงก็รีบพูดเสริมขึ้นทันที “ผู้อาวุโสซิน เห็นไหมว่าเขาเองก็ยอมรับแล้ว ดำเนินการต่อไปเช่นนี้เถอะ!”
ผู้อาวุโสซินหันไปมองเย่หยวนก่อนจะถอนหายใจยาว “เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ประลองกันได้”
เมื่อมู่เต้าเฉิงได้ยินเขาก็แทบจะลุกขึ้นเต้น “ฮ่าๆ เจ้าหนู ข้าต้องขอบคุณเจ้าเป็นอย่างมาก! เมื่อชนะศึกนี้ได้ข้าก็จะกลายเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ทองแล้ว”
เย่หยวนยิ้มตอบ “อย่าได้เกรงใจไปเลย แต่หากท่านคิดจะชนะข้านั้นมันคงมิใช่เรื่องง่ายนัก”
มู่เต้าเฉิงหัวเราะลั่นออกมา “เจ้าหนู เจ้าคิดว่าแค่ได้เหรียญเงินมาแล้วตัวเองจะเก่งกาจเหนือสวรรค์หรือ? ข้าขอบอกเลยว่าทุกผู้คนในที่นี้ต่างสามารถทำเก้าปะทุได้สิ้น! นักหลอมโอสถสวรรค์นั้นมีพลังฝีมือมากกว่าที่เจ้าคาดคิดนัก เจ้านั้นยังห่างชั้นไปมาก!”
เย่หยวนยิ้มออกมา “เช่นนั้นหรือ? อย่างนั้นเรามาเริ่มกันเถอะ”
ผู้อาวุโสซินร้องบอก “โอสถที่พวกเจ้าจะใช้ประลองหลอมกันคือโอสถพิรุณหวานชื่น”
ที่ด้านล่างสังเวียนคนทั้งหลายต่างมองดูภาพตรงหน้าอย่างอิจฉาริษยา
ไม่มีใครนึกใครฝันว่ามู่เต้าเฉิงจะเจอกับคู่ต่อสู้คนสุดท้ายที่โง่เง่าไม่รู้จักตนเช่นนี้
เท่านี้การได้เหรียญทองของมู่เต้าเฉิงก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยอย่างง่ายดาย
การประลองนี้มันไม่ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นแม้แต่น้อย
นักหลอมโอสถที่เพิ่งขึ้นสังเวียนเงินมา พวกเขานั้นย่อมมีพลังฝีมือที่ต่ำต้อย
มีเพียงแค่ต้องพ่ายแพ้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ความสามารถไปเรื่อยๆ เขาจึงจะสามารถเก่งกาจขึ้นมาได้
เย่หยวนที่เพิ่งมาถึงนี้ย่อมไม่มีใครคิดว่าเขาจะเก่งกาจไปกว่ามู่เต้าเฉิงที่เป็นเจ้าสังเวียนมานานไปได้
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียมู่เต้าเฉิงคนนี้ก็มีความสามารถในระดับของนักหลอมโอสถสวรรค์ทองแล้ว
เมื่อเริ่มการประลองขึ้นเมฆฟ้าดินก็เริ่มเปลี่ยนสี!
พลังของมู่เต้าเฉิงนั้นพุ่งทะยานขึ้นฟ้ากดดันเย่หยวนลงอย่างบ้าคลั่ง
บนสังเวียนในตอนนี้มันเปี่ยมไปด้วยคลื่นพลังจิตที่หนาแน่นจนแทบเรียกได้ว่าบ้าคลั่ง
‘ปัง!’
ในวินาทีแรกพลังจิตของคนทั้งสองก็ได้เข้าปะทะกันอย่างรุนแรง
เว้นเสียแต่ว่าทางมู่เต้าเฉิงนั้นมีความรุนแรงที่เหนือกว่าส่วนทางเย่หยวนนั้นกลับดูเบาบางไร้แรงผลัก
“หึๆ เจ้าหนู ข้าจะสอนเจ้าเอง! ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าสังเวียนเงินนี้มันไม่ง่ายดาย!” มู่เต้าเฉิงร้องบอกพร้อมเสียงหัวเราะลั่นก่อนจะกระแทกพลังคลื่นจิตเข้าไป
การประลองเช่นนี้เมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีพลังเหนือกว่ามากจนเกินไปมันมักจะทำให้รู้ผลได้ตั้งแต่รอบแรกที่เริ่ม
ทุกคนต่างคิดว่าเย่หยวนต้องแพ้แล้ว
‘อึก!’
แต่จู่ๆ กลับเป็นฝ่ายมู่เต้าเฉิงที่ร้องออกมาพร้อมด้วยเลือดที่ไหลนองปาก
ส่วนโอสถในหม้อหลอมตรงหน้าเขานั้นก็ส่งเสียงดังลั่นขึ้นก่อนจะส่งกลิ่นไหม้เหม็นไปทั่วสังเวียน
ดูท่าแล้วโอสถในหม้อหลอมของเขาคงไม่อาจใช้การได้แล้ว
ผู้อาวุโสซินเบิกตากว้างทันทีด้วยความตื่นตะลึง
“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกัน?”
“มู่เต้าเฉิง…แพ้?”
“ไม่มีทางหรอกใช่ไหม? เจ้าหนูนี่มันใช้เวทมนตร์ใด? มู่เต้าเฉิงได้เปรียบอย่างชัดเจน! เหตุใดเขาจึงแพ้ลงด้วยการปะทะเดียวเล่า?”
…
ที่ด้านล่างคนทั้งหลายต่างแสดงความเห็นออกมากันอย่างต่อเนื่อง
เพราะผลนั้นไม่ได้เกินความคาดหมาย เป็นชัยชนะที่ตัดสินกันตั้งแต่ครั้งแรกที่ปะทะ
เพียงแค่ว่าผู้ชนะมันกลับมิใช่มู่เต้าเฉิง แต่เป็นเย่หยวน!
บนสังเวียนตอนนี้เย่หยวนกำลังใช้เวลาหลอมโอสถไปอย่างใจเย็นราวกับว่าไม่ได้รู้เลยว่ารอบข้างเกิดอะไรขึ้นบ้าง
มู่เต้าเฉิงมองดูเย่หยวนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “ข้า… ข้าแพ้?”
ไม่กี่อึดใจก่อนเขายังบอกออกมาอย่างอวดดี คิดว่าตัวเองได้รับเหรียญมาอย่างแน่นอนแล้ว
ใครจะไปคิดว่าเขากลับแพ้ลงตั้งแต่การปะทะแรก!
เขาเองก็เหมือนกับคนดูอื่นๆ คิดว่าตัวเองต้องชนะอย่างแน่นอน
แต่เมื่อพลังจิตของเขาปะทะเข้ากับพลังจิตของเย่หยวนเขากลับรู้สึกว่าเย่หยวนนั้นเป็นเหมือนขุนเขาใหญ่ ส่วนตัวเขานั้นเป็นแค่ไข่ไก่ใบน้อย
และเมื่อเอาไข่ไก่ไปปะทะกับขุนเขา แน่นอนว่าผลมันต้องออกมาเป็นเช่นนี้
นี่หรือคือความหมายที่โบราณว่าไว้ว่าโยนไข่ใส่หิน?
ตอนที่ 1928 ความตื่นตะลึงของนักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้า
โถงโอสถสวรรค์นั้นคือสถานที่ที่เหล่ายอดฝีมือระดับตำนานของศาลาโอสถสวรรค์จะมาพูดคุยปัญหาภายในกัน
มีเพียงแค่เหล่ายอดฝีมือที่มีตราเหรียญยาฟ้าเท่านั้นจึงจะสามารถผ่านเข้ามาในที่แห่งนี้ได้
เหล่านักหลอมโอสถในศาลาโอสถสวรรค์นั้นจะถูกแบ่งออกเป็นหกระดับ ทองแดง เงิน ทอง จิตม่วง เกล็ดดำ และขั้นสูงสุดขั้นยาฟ้า
เมื่อขึ้นมาจนถึงขั้นยาฟ้าได้คนทั้งหลายนี้ต่างเป็นยอดฝีมือจอมเทพโอสถหกดาวขั้นสุดทั้งสิ้น
ที่สำคัญพวกเขาทั้งหลายนี้ยังมีฝีมือมากกว่าจอมเทพโอสถคนอื่นๆ ในระดับเดียวกันอย่างมาก!
ศาลาโอสถสวรรค์นั้นมีนักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้าอยู่ทั้งสิ้นสิบห้าคนและเจ็ดคนในนั้นก็ได้ปักหลักอยู่ที่ศาลาโอสถสวรรค์นี้เป็นการถาวร
ส่วนคนอื่นๆ เองล้วนเป็นยอดคนชื่อดังทั่วฟ้ามีอำนาจล้นมือในเขตดินแดนของตน
และคนทั้งเจ็ดนี้เองที่เป็นผู้ดูแลควบคุมกิจการงานของศาลาโอสถสวรรค์ทั้งหมด
ในเวลานี้กำลังมีสามนักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้านั่งมองหน้ากันอยู่ภายในโถง
ที่ตรงกลางมีชายหนวดขาวผู้หนึ่งพูดขึ้น “เจ้าหนุ่มเย่หยวนคนนี้ พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไรกัน?”
ชายชราชุดเทากล่าวขึ้น “ศึกกว่าร้อยครั้งเด็กคนนี้มันหลอมโอสถขั้นเทวะวิญญาณไพศาลได้กว่ายี่สิบครั้ง ขั้นเทวะโมฆะกว่าหกสิบครั้ง และขั้นเทวะม่วงเพียงไม่ถึงสิบครั้ง! พลังฝีมือเช่นนี้มันเหนือล้ำอย่างที่ไม่เคยจะได้ยินได้ฟังมาก่อน!”
ชายวัยกลางคนในชุดเขียวอีกผู้ก็พูดขึ้นตามพร้อมพยักหน้า “เด็กคนนี้มันมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำ! เพียงแค่ว่าระดับความยากของโอสถที่ใช้ในสังเวียนเงินนั้นมันไม่ได้สูงส่งนัก เรื่องที่ว่าเขานั้นแท้จริงเก่งกาจเพียงใดมันคงต้องรอพิสูจน์กันอีกสักพัก”
ชายหนวดขาวพูดขึ้นต่อ “เป็นเช่นนั้นจริง! แต่ในสายตาของข้าแล้วพลังฝีมือของเขานั้นคงมากพอที่จะขึ้นขั้นเกล็ดดำได้!”
คนทั้งสองที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าออกมาอย่างพร้อมเพรียงไม่มีท่าทางขัดใดๆ
เพราะตามความเป็นจริงแล้วเหล่าผู้คนที่ขึ้นไปถึงขั้นเกล็ดดำได้ล้วนแล้วแต่เป็นจอมเทพโอสถหกดาวกันสิ้น
เว้นเสียแต่ว่าการจัดระดับของศาลาโอสถสวรรค์นี้มันไม่ได้แบ่งกันไปตามการบ่มเพาะแต่แบ่งกันตามความสามารถในการหลอมโอสถ
ในหมู่ทองทั้งหลายเองก็มีจอมเทพโอสถหกดาวอยู่บ้าง แต่พวกเขานั้นไม่ได้มีพลังฝีมือมากพอจะขึ้นขั้นเกล็ดดำ
ตรงกันข้ามบางครั้งบางทีก็อาจจะมีจอมเทพโอสถห้าดาวที่มีพลังฝีมือเหนือล้ำก้าวข้ามหน้าเหล่าจอมเทพโอสถหกดาวขึ้นมาได้
โดยทั่วไปแล้วจอมเทพโอสถหกดาวนั้นควรจะเก่งกาจกว่าจอมเทพโอสถห้าดาว แต่มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่เด็ดขาดแต่อย่างใด
เพราะเช่นนั้นแล้วการที่จอมเทพโอสถห้าดาวจะหลอมได้ถึงขั้นเทวะแต่จอมเทพโอสถหกดาวไม่สามารถหลอมได้มันจึงไม่แปลกนัก
มันแค่แสดงให้เห็นว่าจอมเทพโอสถห้าดาวคนนั้นมีศักยภาพมากกว่า
เมื่อพวกเขาเหล่านี้บรรลุขึ้นถึงหกดาวได้แล้วพวกเขาก็ย่อมจะเก่งกาจกว่าจอมเทพโอสถหกดาวทั่วๆ ไปอย่างแน่นอน
เหล่าคนที่เคยได้สู้ในสังเวียนประลองโอสถของศาลาโอสถสวรรค์นี้จนขึ้นไปถึงระดับทองขั้นสูงสุดได้ล้วนแล้วแต่เป็นยอดคนในหมู่ยอดคน พลังฝีมือของพวกเขาทั้งหลายนั้นไม่อาจดูถูกได้เลย
ชายหนวดขาวเองก็เข้าใจดีถึงความเก่งกาจของเย่หยวนต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นจอมเทพโอสถหกดาวขั้นกลางมันก็คงไม่อาจเทียบเคียงฝีมือเขาได้
ระหว่างที่คนทั้งสามคุยกันไปนี้ก็มีชายชราคนหนึ่งเดินเข้ามาในโถง
ชายชรากล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจ “เฉินหยู่ ส่งคนไปเรียกข้ามาอย่างรีบร้อนมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น? เจ้าไม่รู้หรือว่าช่วงนี้ข้ายุ่งแค่ไหน?”
ชายหนวดขาวตอบกลับไป “หึ เซินชางเฒ่า เจ้ายุ่งมากสิ! ระหว่างช่วงหลายวันที่เจ้าไม่อยู่นี้มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในศาลาโอสถสวรรค์แล้ว!”
ชายชราที่เพิ่งเข้ามานี้มันมิใช่ใครที่ไหนนอกจากเซินชางที่ไปแย่งซื้อกิเลนดินกับเย่หยวนที่แหล่งรวมร้อยสมุนไพรนั่นเอง
เฉินหยู่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเย่หยวนออกมาให้เซินชางฟังจนหน้าถอดสี
“เดี๋ยวนะ เจ้าบอกว่าเขานามเย่หยวน?”
เซินชางย้อนกลับไปนึกถึงชื่อเย่หยวนที่เหมือนคุ้นหูเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
เฉินหยู่พยักหน้ารับ “ใช่แล้ว จะว่าไปเจ้าเด็กคนนี้มันก็ช่างเป็นสัตว์ประหลาดแท้ อายุแค่พันกว่าปีแต่กลับมีวิชาโอสถที่เหนือล้ำจนน่ากลัว!”
เซินชางสั่นสะท้านไปทั้งร่างก่อนจะย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องราวนั้นได้ เขาบ่มพึมพำกับตัวเองออกมาด้วยสีหน้าตื่นตะลึง “บ้าน่า! เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้! มีหรือที่จะเป็นเขาไปได้?”
เฉินหยู่ถามขึ้นด้วยความสงสัย “ทำไมหรือ? เจ้าเคยพบเจอเขา?”
เซินชางยกมือขึ้นมาโบกปัด “ไม่น่าจะใช่ผู้เดียวกัน! ช่างเถอะ ไปดูเดี๋ยวก็รู้เอง!”
พูดจบเขาก็ขยับร่างจางหายไปจากโถงโอสถสวรรค์
…
สังเวียนทอง เต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องสนั่นอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดพัก
ในเวลาไม่กี่วันมานี้เย่หยวนได้ทำการประลองชนะไปกว่ายี่สิบครั้ง โค่นยอดฝีมือของสังเวียนทองคำนี้ลงไปหลายต่อหลายคน
เพราะเช่นนั้นเองตอนนี้เย่หยวนจึงเริ่มมีผู้ติดตามชื่นชอบขึ้น
บนสังเวียนนั้นเย่หยวนยืนหนักแน่นราวขุนเขาอย่างที่ไม่อาจมีใครไปสั่นคลอนได้
และผู้คนที่กำลังประลองกับเขาอยู่นั้นเองก็เป็นหนึ่งในห้ายอดนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับทอง
แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเย่หยวนแล้วมันย่อมเป็นได้แค่เด็กน้อย
ในความเป็นจริงแล้วตั้งแต่ที่ทุกผู้คนรู้ถึงความเก่งกาจของเย่หยวนเหล่ายอดฝีมือที่ครองสังเวียนนี้มานานต่างก็อาสาออกไปท้าทายเย่หยวนกันคนแล้วคนเล่า
พวกเขาย่อมไม่ได้ทำเช่นนั้นเพราะหวังชนะเย่หยวน แต่เพื่อหวังจะเรียนรู้จากเย่หยวน
การประลองกับยอดฝีมือเช่นนี้มันเป็นประสบการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ
ตอนนี้สังเวียนประลองของเย่หยวนจึงได้กลายเป็นห้องเรียนไปแล้วอย่างสมบูรณ์
ภายใต้การแนะนำของเย่หยวนเหล่านักหลอมโอสถสวรรค์ทองทั้งหลายที่มีความสามารถเข้าใจได้รวดเร็วต่างพอที่จะเข้าใจในวิชาโอสถขึ้นบ้าง
นี่เป็นโอกาสที่ล้ำค่าแก่พวกเขา
ระหว่างที่การประลองกำลังเกิดขึ้นอย่างดุเดือดก็มีเงาร่างหลายเงาพุ่งผ่านเข้ามายังสังเวียนทอง
“พวกเจ้าดูสิ นั่นมันท่านอาจารย์เซินชางมิใช่หรือ?”
“แถมยังมีท่านอาจารย์เฉินหยู่ด้วย! หลายปีก่อนเขาได้ทำการสอนวิชา ข้าล่ะโชคดีจริงๆ ที่ได้ไปฟังในวันนั้น!”
“พระเจ้าช่วย เก่งกาจเสียจริง อาจารย์เย่หยวนนั้นได้ทำให้เหล่านักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้าหันมาสนใจได้แล้ว”
…
ตอนนี้เหล่าผู้คนทั้งหลายต่างแตกตื่นกันถ้วนหน้าเพราะการที่มียอดคนมากมายเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นมันย่อมเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
คนทั้งหลายในสังเวียนทองนี้ต่างเป็นผู้คนที่เมื่อออกไปยังโลกภายนอกแล้วจะมีชื่อเสียงโด่งดังล้นฟ้า
แต่ต่อหน้าเหล่านักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้าพวกเขานั้นไม่มีค่าใดๆ ให้ต้องกล่าวถึง
เพราะพวกเขาเหล่านี้คือตัวตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด
เซินชางเดินเข้ามาในเขตประลองและได้เห็นร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่บนนั้น ภาพนี้มันทำให้ทั้งร่างของเขาสั่นสะท้านด้วยสายตาที่ไม่อาจจะละไปจากเขาได้
“เป็นอะไรไปพี่เซิน?” เฉินหยู่บอก
เซินชางนั้นรู้สึกราวกับว่าสมองของตัวจะแตกระเบิดออก
“โอสถนี้ข้าเป็นคนหลอม” คำพูดนั้นของเย่หยวนดังก้องขึ้นในหัวอย่างหยุดไม่ได้
ในตอนนั้นเซินชางแค่คิดว่าเย่หยวนนั้นเพียงแค่คิดโกหกเพื่อสร้างชื่อเสียง
แต่คำโกหกนี้มันจะเกินจริงจนเกินไป
มีหรือที่จอมเทพโอสถห้าดาวจะสามารถหลอมโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะได้?
คำโกหกเช่นนี้แม้จะเป็นเด็กตัวน้อยก็คงไม่มีทางเชื่อ
แต่ตอนนี้เมื่อเห็นเย่หยวนทำการหลอมอย่างง่ายดายและลื่นไหลตรงหน้าแล้วเขาก็รู้สึกได้ถึงท่าทางของยอดฝีมือ
เย่หยวนนั้นหลอมโอสถได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาล แค่หลอมโอสถความยากเก้าขั้นเทวะมันก็มิใช่จะเป็นไปไม่ได้
หรือว่าโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตนั้นเขาจะเป็นคนหลอมจริง?
“เป็นเขาจริงๆ” เซินชางพูดพร้อมสูดหายใจเข้าลึก
เฉินหยู่เองก็ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “เจ้าเด็กคนนี้มันไปทำอะไรมา ทำไมเจ้าจึงได้ตื่นตกใจเช่นนั้น?”
เซินชางจึงได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นออกมาทำให้เหล่ายอดคนทั้งหลายต่างตกตะลึง
“เจ้าจะบอกว่าเขาหลอมโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะได้ด้วยเวลาแค่สี่ชั่วโมงกว่า? นี่มัน… จะเป็นไปได้อย่างไร?” เฉินหยู่บอกขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ
เซินชางส่ายหัวออกมา “มันไม่แน่ว่าจะเป็นเขาที่หลอม มันอาจจะเป็นของติดตัวจากตระกูลของเขาก็ได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียโอสถความยากห้าหรือหกมันก็ไม่อาจเทียบโอสถความยากเก้าได้ เพียงแค่ว่าข้าไม่นึกเลยว่าวิชาโอสถของเด็กคนนี้มันจะเก่งกาจได้ปานนี้ เจ้าเด็กคนนี้มันมาจากไหนกันแน่?”
ตอนที่ 1930 ข้าตกลง
ในสังเวียนจิตม่วงตอนนี้กำลังมีสองคลื่นพลังพุ่งทะยานใส่กันอย่างดุเดือด
หนึ่งนั้นเป็นคลื่นพลังที่กว้างใหญ่เหมือนมหาสมุทรราวกับไร้สิ้นสุด อีกฝ่ายนั้นอ่อนแอเบาบางอย่างมากเมื่อเทียบกัน
แต่ทว่าคลื่นพลังที่เบาบางนั้นมันกลับหนักแน่นไม่ว่าจะมีคลื่นมรสุมซัดใส่เท่าใดมันก็ไม่คิดจะหวั่นไหวแม้แต่น้อย
ทางฝั่งที่มีพลังรุนแรงกว่านั้นกลับเป็นฝ่ายที่มีเหงื่อไหลหยดลงกลางหน้าผากส่วนทางฝ่ายที่เบาบางกว่านั้นมันกลับตั้งมั่นเหมือนต้นสนที่ไม่สนลม
‘หลอม!’
เย่หยวนร้องขึ้นเริ่มการหลอมโอสถ!
หลี่ต้าชิงได้แต่ถอนหายใจยาวก่อนจะก้มหัวลงแก่เย่หยวน “ขอบคุณน้องเย่ที่ช่วยแนะนำ หลี่ผู้นี้ของยอมแพ้”
หลี่ต้าชิงนั้นเป็นยอดฝีมืออันดับสามของระดับจิตม่วง เขาเป็นถึงจอมเทพโอสถหกดาว
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็พ่ายให้แก่เย่หยวน
เย่หยวนเองก็ยกมือขึ้นคารวะตอบ “ข้าไม่กล้าแนะนำใดๆ เราแค่แลกเปลี่ยนความรู้กันก็เท่านั้น พี่หลี่มีพลังฝีมือที่เหนือล้ำเก่งกาจจนใกล้ขึ้นถึงอาณาจักรเต๋าแล้ว อีกแค่ก้าวเดียวท่านก็คงสามารถขึ้นไปถึงอาณาจักรเต๋าได้และจะพัฒนาตัวเองไปอย่างมหาศาล!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ทางฝ่ายหลี่ต้าชิงก็แสดงสีหน้าตื่นเต้นดีใจขึ้น “ได้การชี้แนะนี้จากน้องเย่มันช่างเหมาะเจาะเวลา หลี่คนนี้เริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างและคงสามารถบรรลุขึ้นอาณาจักรเต๋าได้แน่ในครานี้!”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับ “เช่นนั้นข้าก็ขอแสดงความยินดีกับพี่หลี่ล่วงหน้าด้วย!”
เมื่อชนะศึกนี้ไปมันก็เท่ากับว่าเย่หยวนนั้นชนะในสังเวียนจิตม่วงนี้มาได้ถึงแปดสิบศึกแล้ว ตอนนี้เขาแค่ต้องการอีกยี่สิบศึกก็จะสามารถเลื่อนขึ้นไปยังขั้นเกล็ดดำได้
ชัยชนะอันรวดเร็วนี้ของเย่หยวนไม่อาจมีอะไรมาหยุดได้
แม้เหล่าจอมเทพโอสถหกดาวทั้งหลายนั้นจะเก่งกาจกว่าจอมเทพโอสถห้าดาวและมีพลังจิตที่รุนแรงมากกว่าหลายต่อหลายเท่าแต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังไม่อาจเทียบเคียงได้เมื่อต้องมายืนอยู่ต่อหน้าเย่หยวน
เพราะการประลองโอสถเช่นนี้มันมีกฎห้ามใช้พลังคลื่นจิตโจมตีฝ่ายตรงข้ามตรงๆ มีแต่ต้องใช้เศษพลังจิตที่ได้ใช้ในการหลอมไปกดดันคู่ต่อสู้เท่านั้น
ไม่เช่นนั้นแล้วหากเทียบกันแค่เรื่องปริมาณคลื่นพลังจิตจอมเทพโอสถหกดาวย่อมสามารถทำลายจอมเทพโอสถห้าดาวลงได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าด้วยความเป็นเย่หยวนแม้อีกฝ่ายจะคิดใช้การโจมตีโดยตรงเช่นนั้นมันก็ย่อมไม่มีผลใดๆ
เพราะด้วยไข่มุกสยบวิญญาณแล้วการกระทำเช่นนั้นมันย่อมไม่ต่างอะไรจากการรนหาที่ตาย
เมื่อเย่หยวนสามารถรักษาสังเวียนไว้ได้อีกครั้งและกำลังจะเดินจากไปก็มีเงาร่างหนึ่งพุ่งตัวขึ้นมาบนสังเวียน
เขาเป็นชายวัยกลางคนในชุดสีดำ สายตาที่เขามองดูเย่หยวนนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความดูถูกจากก้นบึ้งของจิตใจ
ชายวัยกลางคนผู้นั้นกล่าวขึ้น “เจ้าคือเย่หยวน?”
เย่หยวนไม่รู้จักอีกฝ่ายและดูท่าเขาก็คงไม่ได้มาดีแน่ จึงเลือกที่จะเดินลงสังเวียนไปโดยไม่คิดสนใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
ชายวัยกลางคนผู้นั้นขมวดคิ้วแน่นก่อนจะขยับร่างมาปิดทางเย่หยวนไว้ “ข้าถามเจ้าอยู่ เจ้าหูหนวกหรือ?”
ทางฝั่งกรรมการเองก็ขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกล่าว “ยู่หยิง เจ้ามาที่สังเวียนจิตม่วงนี้ด้วยเหตุใด? เจ้าคิดจะมาก่อเรื่องหรือ? หรือว่าเจ้าลืมกฎของศาลาโอสถสวรรค์ไปแล้ว”
“ยู่หยิง! ที่แท้นั่นคือยู่หยิง!”
“น่ากลัวนัก! นี่คือยอดฝีมือที่ติดห้าอันดับของขั้นเกล็ดดำ ว่ากันว่าเขานั้นขึ้นอาณาจักรเต๋ามาได้ตั้งแต่เมื่อหมื่นปีก่อนแล้ว!”
“ดูท่าการมาครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่! เท่านี้ก็คงมีอะไรสนุกๆ ให้ดูชมแล้ว”
…
เมื่อกรรมการคนนั้นเปิดปากพูดเหล่าผู้ชมทั้งหลายก็แตกตื่นกันขึ้นทันที
ดูท่าแล้วยู่หยิงผู้นี้คงมีชื่อเสียงไม่น้อยทำให้คนทั้งหลายต้องเคยได้ยินชื่อมาก่อน
เพราะขั้นเกล็ดดำนั้นมันแตกต่างจากจิตม่วง แต่ละคนนั้นล้วนเป็นยอดคนชื่อสะท้านที่นานทีปีหนจะปรากฏตัวออกมาทำให้ผู้คนที่ได้รู้จักหน้าตาของพวกเขาเองก็มีไม่มาก
ตอนนี้เมื่อกรรมการผู้นั้นกล่าวชื่อยู่หยิงออกมาพวกเขาทั้งหลายย่อมต้องแตกตื่นกัน
สงสัยก็เพียงว่าเหตุใดยู่หยิงจึงได้มาหาเรื่องเย่หยวนเช่นนี้
ยู่หยิงกล่าวขึ้น “หวางเจียน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า! ข้าย่อมรู้กฎของศาลาโอสถสวรรค์ดี ไม่ต้องให้เจ้ามาสอน”
กรรมการหวางเจียนผู้นี้เองก็เป็นหนึ่งในนักหลอมโอสถสวรรค์เกล็ดดำเช่นกัน เขาเองก็มีตำแหน่งที่สูงส่งไม่น้อย
แต่ก็ยังไม่อาจเทียบเคียงใดๆ กับยู่หยิงได้
ยู่หยิงจ้องมองดูเย่หยวนอย่างร้อนแรง “เด็กน้อย ข้าได้ยินมาว่าเจ้านั้นดูถูกโถงวาโยขจีของเราว่าแม้จะเป็นผู้อาวุโสก็ไม่มีค่าไปพบเจ้าหรือ?”
ยู่หยิงเองก็เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของโถงวาโยขจี!
ได้ยินชื่อของโถงวาโยขจีเย่หยวนก็ได้แต่ขมวดคิ้ว
เขานั้นไม่เคยพูดจาเช่นนั้นออกไป และนอกจากที่บ้านตระกูลเจียงแล้วเขาเองก็ไม่ได้ไปยุ่งกับโถงวาโยขจีอีกเลย
เย่หยวนคิดถึงหน้าของเจียงหัวขึ้นมาได้ทันที เพียงแค่ว่าเจียงหัวนั้นเป็นแค่ผู้ช่วยของเจียงหยวนมีหรือที่คนเช่นนั้นจะเรียกนักหลอมโอสถสวรรค์เกล็ดดำมาจัดการกับเขาได้?
ดูท่าแล้วปัญหามันน่าจะมาจากตัวเจียงหยวนเอง!
ไม่นานนักเย่หยวนก็เริ่มคาดเดาเรื่องราวได้ออก
เพียงแค่ว่าเขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเจียงหยวนผู้นั้นถึงได้ถูกคนใช้ปั่นหัวได้ง่ายๆ เช่นนั้น
เมื่อเห็นว่าเย่หยวนไม่พูดทางยู่หยิงก็กล่าวขึ้นด้วยท่าทางสุดจะทน “เจ้าคิดว่าไม่พูดแล้วจะหนีรอดไปได้หรือ?”
เย่หยวนมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะตอบไป “หากข้าบอกว่าข้าไม่เคยพูดเช่นนั้นเจ้าจะเชื่อหรือ?”
ยู่หยิงยิ้มออกมา “เจ้าคนขลาดที่ไม่กล้ายอมรับสิ่งที่ทำ! ด้วยพลังฝีมือของเจ้านี้เจ้าก็กล้ามาท้าทายโถงวาโยขจีเรา?”
เย่หยวนมองดูยู่หยิงพร้อมพูดอย่างเย็นเยือก “เอาล่ะ นับเสียว่าข้าท้าทายพวกเจ้าโถงวาโยขจีแล้วกัน แล้วเจ้าจะทำอะไร?”
เย่หยวนรู้ดีว่าเรื่องราวนี้มันมีความเข้าใจผิดอยู่ไม่น้อย แต่ท่าทางนี้ของยู่หยิงมันช่างขัดใจเขาได้เสียจริงๆ
เพราะอีกฝ่ายนั้นแค่เชื่อว่าเขาไปท้าทายโถงวาโยขจีและไม่คิดรับฟังคำพูดของเขาแม้แต่น้อย เช่นนั้นก็นับว่าท้าทายไปแล้วกัน!
เพราะแค่นักหลอมโอสถสวรรค์เกล็ดดำ เย่หยวนนั้นไม่ได้คิดจริงจังใดๆ ด้วย
ยู่หยิงหัวเราะลั่น “ช่างเป็นเด็กที่โอหัง! เจ้าคิดว่าแค่ชนะมาเพียงเล็กน้อยแล้วตัวเองจะเก่งกาจมากหรือ? ข้าขอบอกเลยนะว่าเมื่อเจ้าไปถึงขั้นเกล็ดดำแล้วเจ้าจะได้รู้ว่าตัวเองนั้นอ่อนแอเพียงใด!”
เย่หยวนหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “สังเวียนเกล็ดดำ? ในสายตาของข้าแล้วมันก็ไม่เท่าไหร่หรอก!”
อวดดี!
ช่างอวดดีเสียเหลือเกิน!
ตอนนี้แม้แต่เหล่าผู้ชมทั้งหลายก็ได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างมึนงง
คำพูดจาแสนอวดดีเช่นนั้นเย่หยวนกลับกล้าพูดออกมาจริงๆ!
เพราะแท้จริงแล้วตั้งแต่เข้าสังเวียนทองมาเย่หยวนก็ไม่เคยจะเอาจริงในการหลอมโอสถเลย
เหล่านักหลอมโอสถนั้นต่างคิดอยากหาประสบการณ์จากเย่หยวน และเย่หยวนก็ไม่ได้ปิดบังความรู้ใดๆ และหลายๆ ครั้งยังถึงขั้นช่วยแนะนำอีกฝ่ายด้วย
การทำเช่นนั้นมันย่อมทำให้โอสถของเขาไม่ได้มีคุณภาพที่สูงมากนัก เขาแค่รักษาไว้ไม่ให้มันตกจากขั้นเทวะก็เท่านั้น
แต่เพราะเรื่องนี้หลายต่อหลายผู้คนเลยคิดไปว่ายิ่งโอสถระดับความยากสูงขึ้น ฝีมือของเย่หยวนก็เริ่มแสดงขีดจำกัดออกมาไม่ได้เก่งกาจเหมือนก่อนหน้าแล้ว
แต่แน่นอนว่าสุดท้ายเขาก็ยังเก่งกาจที่สุด
การหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ความยากหกหรือเจ็ดนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เหล่านักหลอมโอสถสวรรค์จิตม่วงจะหลอมมันไปได้ถึงขั้นเทวะ
เพราะฉะนั้นเหล่าคนทั้งหลายจึงคิดว่าคำพูดของเย่หยวนนี้มันอวดอ้างตัวจนเกินไปหน่อย
ตอนนี้แม้แต่หวางเจียนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียเขาเองก็อยู่ในระดับที่ดูถูกนี้ด้วย
“ฮ่าๆ สังเวียนเกล็ดดำมันก็ไม่เท่าไหร่? เด็กน้อย เจ้ามันช่างอวดตัวจนลืมตาย! ในเมื่อเจ้ากล้าดูถูกสังเวียนเกล็ดดำแล้วเจ้าจะกล้ารับคำท้าของข้าหน่อยหรือไม่?” ยู่หยิงหัวเราะลั่น
เย่หยวนมองดูเขาพร้อมกล่าวขึ้น “เจ้าจะว่าอะไรก็ว่ามา ข้าพร้อมรับทั้งสิ้น”
“ได้ เช่นนั้นเจ้าและข้ามาประลองโอสถกัน หากเจ้าแพ้เจ้าจงออกจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวไปและอย่าได้เข้ามาในศาลาโอสถสวรรค์อีกในชีวิตนี้!” ยู่หยิงบอก
“หากเจ้าแพ้เล่า?” เย่หยวนยิ้มขึ้นมาอย่างชั่วร้าย
“ข้า? ไม่มีทางใดที่ข้าจะแพ้อยู่แล้ว! หากแพ้ข้าเองก็จะไปจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวนี้และไม่เหยียบเข้ามาในศาลาโอสถสวรรค์อีกในชีวิตนี้!” ยู่หยิงบอกออกมาอย่างไม่มีความลังเลใดๆ
เมื่อหวางเจียนได้ยินเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะร้องขึ้นด้วยใบหน้าซีดขาว
คนทั้งสองนี้เป็นยอดฝีมือที่หาได้ยากยิ่ง เป็นตัวตนที่จะค้ำจุนศาลาโอสถสวรรค์ได้ในอนาคตและอาจจะถึงขั้นเป็นผู้อาวุโสของศาลาโอสถสวรรค์ได้
การเสียคนใดคนหนึ่งไปมันย่อมทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงแก่ศาลาโอสถสวรรค์
“ไม่นะ! ทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ด้วยกันทั้งสิ้น! พวกเจ้าอย่าได้ทำร้ายกันด้วยวิธีนี้!” หวางเจียนบอก
แต่เย่หยวนกลับยิ้มตอบ “ได้ ข้าตกลง!”
ตอนที่ 1931 เขี้ยวเล็บ
ตอนนี้ทั้งเย่หยวนและยู่หยิงต่างทำราวกับว่าหวางเจียนนั้นไม่มีตัวตนใด
เย่หยวนนั้นไม่ได้คิดสร้างปัญหาให้ใครแต่เมื่อใครมาหาเรื่องเขาก็ย่อมไม่เกรงกลัว
เมื่อมีคนกล้ามาคิดรังแกเขาถึงหน้าประตู เขาก็ย่อมไม่กลัวจนหัวหด
“หึ ดูถูกแม้แต่ขั้นเกล็ดดำ ช่างเป็นคนที่โอหังเสียจริง! ข้าจะให้เจ้าได้รู้เองว่าขั้นเกล็ดดำนั้นเก่งกาจเพียงใด!” ยู่หยิงบอกด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
เย่หยวนตอบกลับไป “เช่นนั้นหรือ? เช่นนั้นข้าคงต้องขอดูหน่อยแล้ว”
ที่ด้านล่างสังเวียนเหล่าคนทั้งหลายทั้งเจียงหยวนและคนรับใช้ของเขาต่างมองดูภาพนี้พร้อมหัวเราะเย้ยอยู่ในใจ
ยู่หยิงนั้นเก่งกาจเพียงใดเขาย่อมรู้ดี
ต่อให้เป็นโอสถความยากแปดเขาก็ยังสามารถหลอมมันไปจนถึงขั้นเทวะได้ถึงหนึ่งครั้ง
แม้ว่าเย่หยวนจะมีความสามารถที่ไม่น้อยแต่เมื่อไปถึงขั้นเกล็ดดำแล้วเขาก็ย่อมต้องพบกับขีดจำกัดของตัวเอง
“หึ สมแล้วจริงๆ ที่เป็นคนเช่นนี้ คนเช่นนี้มันย่อมไม่มีค่าใดจะให้อยู่ในศาลาโอสถสวรรค์อีกต่อไป!” เจียงหยวนบอกขึ้น
หลังจากที่เจียงหัวถูกทำร้ายในครั้งนั้นเขาคนนี้ก็ได้ไปหายู่หยิงเพื่อขอให้ยู่หยิงออกมาจัดการสั่งสอนเย่หยวนให้
ยู่หยิงเองก็เป็นคนที่รักในโถงวาโยขจีมาก ทั้งเจียงหยวนยังคอยดูแลเขามาอย่างดี คนทั้งสองย่อมมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น
เจียงหยวนนั้นเล่าเรื่องราวไร้สาระทั้งหลายออกมาให้ยู่หยิงฟังจนทำให้เขาเดือดดาลออกมาหาเรื่องเย่หยวนในทันทีเช่นนี้
ตอนนี้ยู่หยิงรีดความอวดดีของเย่หยวนออกมา เมื่อมันเข้าสู่สายตาของเจียงหยวนเขาก็ยิ่งเชื่อในคำพูดของเจียงหัวไปใหญ่
เมื่อได้เห็นเย่หยวนรับคำท้า เจียงหัวก็ตื่นเต้นดีใจอย่างถึงที่สุด
“ท่านผู้นำตระกูล ข้าพูดผิดไหมเล่า? เจ้าเด็กคนนี้มันช่างอวดดีไม่สนใจใคร อย่าว่าแต่ข้าผู้ช่วยตัวน้อยๆ นี้เลย” เจียงหัวร้องบอกด้วยท่าทางเจ็บปวด
เจียงหยวนพยักหน้ารับ “เมื่อมันกล้าปีนขึ้นหัวเรามันก็ย่อมต้องรับผลกรรม! ข้าได้เตรียมการส่งคนไปดักรอมันไว้ที่นอกเมืองแล้ว ตราบเท่าที่เราไล่มันออกเมืองได้ มันย่อมจะต้องตายลงแน่!”
ในฐานะผู้อาวุโสแห่งโถงวาโยขจี เจียงหยวนย่อมไม่ใช่คนใจอ่อนใดๆ
การที่เย่หยวนทำร้ายผู้ช่วยของเขามันก็เหมือนเป็นการตบหน้าเขา มีหรือที่เขาจะทนทานได้?
ที่สำคัญเย่หยวนนั้นยังกล้าว่าดูถูกโถงวาโยขจีไปพร้อมๆ กับเขา
เจียงหัวนั้นตื่นเต้นดีใจอย่างมากเมื่อได้ยิน ไม่นึกไม่ฝันว่าทางผู้นำตระกูลของเขาจะทำการได้รอบคอบปานนี้
“ขอบพระคุณท่านผู้นำตระกูลที่ช่วยระบายความโกรธแค้นนี้!” เจียงหัวร้องบอก
ส่วนบนสังเวียนนั้นคนทั้งสองต่างพร้อมที่จะลงมือแข่งขัน การต่อสู้อันยิ่งใหญ่กำลังใกล้จะเริ่มขึ้นเต็มที
ก่อนหน้านี้มันไม่เคยจะมีนักหลอมโอสถสวรรค์จิตม่วงคนใดไปท้าทายนักหลอมโอสถสวรรค์เกล็ดดำมาก่อนเลย
เพราะความแตกต่างของทั้งสองนั้นมันยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่อาจจะเทียบเคียงกันได้
แต่วันนี้เย่หยวน นักหลอมโอสถสวรรค์จิตม่วงคนนี้กลับกล้าท้าทายนักหลอมโอสถสวรรค์เกล็ดดำ
ที่สำคัญยู่หยิงคนนี้ยังเป็นยอดคนในหมู่นักหลอมโอสถสวรรค์เกล็ดดำด้วย
“เด็กน้อย เจ้าเบิกตาดูให้ดีว่ายอดฝีมืออาณาจักรเต๋านั้นแข็งแกร่งเพียงใด! เจ้ามันยังเร็วเกินไป! วันนี้ข้าจะสั่งสอนให้เจ้าไม่มีหน้าอยู่ในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิอีกต่อไป!” ยู่หยิงร้องบอก
แท้จริงก่อนหน้านี้ทุกผู้คนต่างรู้ดีว่าเย่หยวนนั้นมีพลังฝีมือถึงขั้นเกล็ดดำแล้วแน่นอน
เพียงแค่ว่าแม้จะเป็นขั้นเกล็ดดำด้วยกันเองมันก็ยังมีความแตกต่างของพลังฝีมืออย่างสุดขั้ว
เหล่ายอดคนทั้งหลายนั้นขึ้นสู่อาณาจักรเต๋ามาได้นานปีและย่อมมีความสามารถอย่างที่คนทั้งหลายไม่อาจจินตนาการได้
กับจอมเทพโอสถแล้วอาณาจักรเต๋านั้นคือสุดยอดความรู้ที่แตกต่างจากคนทั่วไปคนล่ะโลก
เพียงแค่ว่ายู่หยิงไม่ได้รู้เลยว่าเย่หยวนเองก็ได้ขึ้นไปถึงอาณาจักรเต๋าขั้นสุดแล้ว
“เอาล่ะ เลิกพูดจาไร้สาระเสียที หากการพูดมันช่วยให้หลอมโอสถได้ ในมหาพิภพถงเทียนนี้มันก็คงมีนักหลอมโอสถอยู่มากมายแล้ว” เย่หยวนบอก
ยู่หยิงนั้นกล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้าดำเครียด “เจ้าเด็กปากดีคนนี้ ในการประลองโอสถนี้เจ้าจงระวังตัวให้ดี!”
เขาปล่อยพลังจิตอันมหาศาลออกมาทำให้ผู้คนทั้งหลายขนลุกชัน
แม้เข้าสู่การหลอมโอสถแล้วยู่หยิงก็ยังส่งความรู้สึกเกินจะทนทานได้ออกมาทำให้ผู้คนทั้งหลายต้องหน้าซีดลง
ไม่นานนักคลื่นพลังอันหนักหน่วงนั้นมันก็เริ่มเข้าไปในหม้อหลอม
‘ปัง!’
คลื่นพลังของยู่หยิงยิ่งรุนแรงขึ้นราวกับเสือร้ายที่พร้อมบุกทะลวงเข้าเขตแดนของเย่หยวน
ในสายตาของคนนอก เขาปล่อยพลังจิตออกมาจนกินพื้นที่แทบทั้งสังเวียนไม่ปล่อยให้เย่หยวนได้มีโอกาสรอดไป
ยู่หยิงผู้อยู่ในอาณาจักรเต๋าแน่นอนว่าพลังใดๆ ที่เขามีมันย่อมเหนือล้ำกว่าคู่ต่อสู้ที่เย่หยวนเคยได้พบเจอผ่านๆ มา
และแน่นอนว่าผลกระแทกจากคลื่นจิตของเขาเองก็เหนือล้ำกว่าคนอื่นๆ นับพันเท่า
ภายใต้พลังอันรุนแรงนี้ของยู่หยิง มันทำให้สถานการณ์ของเย่หยวนตอนนี้เหมือนตกที่นั่งลำบาก
“แน่นอนว่ามันคงยังเร็วเกินไปที่เย่หยวนจะไปท้าทายนักหลอมโอสถสวรรค์เกล็ดดำ!”
“นี่หรือคือพลังของยอดนักหลอมโอสถสวรรค์เกล็ดดำ? แข็งแกร่งสมชื่อจริง! ดูท่าครั้งนี้คงเป็นความปราชัยแรกของเย่หยวนแล้ว”
…
เมื่อเห็นสภาพนั้นของเย่หยวนคนทั้งหลายต่างก็แสดงสีหน้าเสียดายออกมาตามๆ กัน
“เด็กน้อย เจ้าคิดดูถูกขั้นเกล็ดดำใช่หรือไม่? นี่แหละคือพลังของขั้นเกล็ดดำที่แท้จริง! ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าเจ้าจะยังหลอมได้อย่างไร!” นอกเหนือจากการหลอมแล้วตอนนี้ยู่หยิงยังมีสมาธิเหลือพอจะมากล่าวถากถางเย่หยวน
ภายใต้แรงกดดันมาขนาดนี้คนทั่วๆ ไปย่อมไม่อาจจะคงสติให้มั่นอยู่ได้แน่
การหลอมโอสถนั้นจะเกิดความผิดพลาดไม่ได้
เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมันก็จะส่งผลร้ายแรงต่อโอสถที่จะออกมา
ยู่หยิงนั้นมีคลื่นพลังที่เหนือล้ำรุนแรงเหมือนคลื่นยักษ์ เข้าซัดปะทะกับเย่หยวนครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีหยุดพัก
การประลองโอสถเช่นนี้มันคือการปะทะความเข้าใจในเต๋าของคนทั้งสอง
แต่ในเวลานั้นเองที่เย่หยวนกลับค่อยๆ ลืมตาขึ้นมากล่าว “แค่พลังเท่านี้? เจ้านี่ช่างน่าผิดหวังจริงๆ!”
ยู่หยิงที่หัวเราะไปหลอมโอสถไปจู่ๆ ก็ต้องเงียบปากลงพร้อมด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด
เพราะตอนนี้คลื่นพลังของเย่หยวนนั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก คลื่นทะเลอันมหาศาลของเขาที่เดิมทีปกคลุมสังเวียนไว้กลับถูกดันกลับ
เดิมทีแล้วบนสังเวียนนี้มันมีคลื่นพลังของยู่หยิงอยู่ทุกที่
แต่ในพริบตามันกลับกลายเป็นพลังของเย่หยวนเข้ามาแทน
ยู่หยิงหน้าถอดสีมีหรือที่เขาจะยังมีหน้ามาพูดจาใดๆ? ตอนนี้เขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะรักษาไม่ให้ตัวเองถูกผลักดันกลับ
แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรมันก็ไร้ผล
เย่หยวนนั้นใช้เคล็ดดาราสวรรค์บัญชาสารทิศออกมาอย่างเต็มแรงพุ่งปะทะจนทำให้ยู่หยิงลอยปลิวไปเหมือนใบไม้
แต่ทว่าทางยู่หยิงเองก็เป็นถึงยอดฝีมืออาณาจักรเต๋า แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วเขาย่อมจะพอป้องกันพลังของเย่หยวนไว้ได้บ้าง
เมื่อได้เห็นเช่นนั้นทุกผู้คนต่างหน้าซีดเผือดลง
ในตอนนี้สภาพของเย่หยวนนั้นไม่ต่างไปจากเทพเจ้า คลื่นประหลาดที่อยู่รอบตัวเขานี้มันทำให้ผู้คนสั่นกลัว
“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกัน? เหตุใดเด็กหนุ่มผู้นี้จึงแข็งแกร่งขึ้นมาเฉยๆ เช่นนี้?”
“บ้าไปแล้ว! ที่แท้…ที่แท้เขาเก็บซ่อนพลังไว้ตลอด!”
“เก็บซ่อนกับพ่อเจ้าสิ! มันแค่ว่าพวกเรานั้นไม่มีใครเก่งกาจพอจะทำให้เขาเอาจริงได้ก็เท่านั้น!”
…
ทุกคนต่างตกตะลึงเพราะภาพตรงหน้านี้มันแตกต่างจากที่คาดเดาไปมากมายนัก
ที่ผ่านมาเย่หยวนทำการประลองอย่างเรียบง่ายไม่เคยคิดจะโจมตีใครออกมาเลย
เมื่อไม่ได้เอาจริงเอาจังมาเสียนานมันจึงทำให้ทุกผู้คนคิดว่าเด็กน้อยผู้นี้คงทำได้เพียงเท่านั้น
แต่วันนี้ยู่หยิงได้แสดงความโอหังออกมาทำให้เย่หยวนโกรธเคืองและแสดงเขี้ยวเล็บออกมาอย่างแท้จริง
เขาเอาจริง!
เย่หยวนที่ไม่ได้ออมมือนี้มันเก่งกาจจนน่ากลัว!
สภาพของยู่หยิงในตอนนี้หน้าขาวซีดมือเท้าสั่นระรัวจนร่างกายไม่อาจทำงานได้เป็นระบบอีก
ภายใต้การกดดันของเย่หยวนนี้คลื่นพลังใดๆ ของเขาไม่อาจแพร่ไปได้ถึงสิบก้าว ไม่อาจทำอะไรได้อีกต่อไป
“ไม่เลว อย่างน้อยๆ เจ้าก็ยังมีฝีมือบ้าง เพียงแค่ว่ามันช่างอ่อนแอ!”
เย่หยวนค่อยๆ พูดออกมาก่อนจะปล่อยคลื่นพลังโจมตีออกมาอีกครั้ง
‘อึก!’
ยู่หยิงไม่อาจทนมันได้อีกต่อไปจนต้องกระอักเลือดออกมาคำโต
และแน่นอนว่าโอสถใดๆ ที่เขาหลอมตอนนี้มันก็ย่อมเสียเปล่าแล้ว
ยู่หยิงมองดูเย่หยวนอย่างมึนงง
แพ้?
เขาแพ้ลงจริงๆ!
เขาผู้เป็นหนึ่งในจอมเทพโอสถหกดาวขั้นกลางตัวตนระดับสูงในหมู่นักหลอมโอสถสวรรค์เกล็ดดำกลับแพ้พ่ายแก่จอมเทพโอสถห้าดาว?
ยู่หยิงรู้สึกราวกับว่าฝันไป
ตอนที่ 1933 ตะลึงสะท้านเมือง
“ท่านเจ้าโถงมู่เฟิงกลับขอโทษต่อเย่หยวน!”
“ช่างน่าเหลือเชื่อนัก! ท่านเจ้าโถงมู่เฟิงนั้นเป็นถึงเทพถ่องแท้ขั้นสุดแต่กลับต้องพูดกล่าวขอโทษต่อเด็กหนุ่มนภาสวรรค์!”
“เจ้าจะไปรู้อะไร! เย่หยวนนั้นชนะยู่หยิงได้แน่นอนว่าเขาย่อมมีพลังฝีมือมากพอจะขึ้นไปยังขั้นยาฟ้าได้ และนั่นมันคือตัวตนในระดับเดียวกับท่านเจ้าโถงมู่เฟิง! คนเช่นนั้นแล้วท่านเจ้าโถงมู่เฟิงเองก็จะไปลบหลู่ง่ายๆ คงไม่ได้ ไหนจะเรื่องที่ว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดทางโถงวาโยขจีแต่แรกด้วย”
…
การกระทำนี้ของเจ้าโถงมันทำให้ผู้คนตกตะลึง
มู่เฟิงนั้นเป็นสุดยอดตัวตนในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาว คนอื่นๆ แม้คิดจะอยากพบยังไม่สามารถพบได้
หากเป็นคนอื่นแล้วต่อให้มันจะเป็นความผิดของทางโถงวาโยขจีเอง ตัวเขาก็คงไม่ยอมก้มหัวลงกล่าวขออภัยง่ายๆ เช่นนี้
แต่ใครจะไปนึกไปฝันว่าเขากลับเลือกที่จะยอมรับผิดและขอโทษต่อเด็กหนุ่มนภาสวรรค์ผู้หนึ่ง?
“ท่านเจ้าโถง…”
ยู่หยิงและเจียงหยวนนั้นมีใบหน้าซีดเผือดและกำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่กลับถูกทางมู่เฟิงยกมือขึ้นมาห้ามไว้เสียก่อน
คนทั้งสองนั้นจึงได้แต่ยืนอับอายด้วยใบหน้าขาวซีด
เรื่องราวที่พวกเขาก่อขึ้นมานี้มันกลับต้องให้ท่านเจ้าโถงออกมาเช็ดล้างจัดการให้
เย่หยวนมองดูมู่เฟิงพร้อมบอก “เรื่องที่ว่าผู้อาวุโสยู่จะออกไปจากเมืองหรือไม่มันย่อมไม่ได้สำคัญใดๆ กับข้า วันนี้เย่ผู้นี้ได้รับทราบถึงความเห็นแก่ตัวของโถงวาโยขจีแล้ว เมื่อท่านเจ้าโถงคิดออกมารับหน้าแทนเช่นนี้ เย่ผู้นี้ก็ย่อมไม่คิดจะตามรังควานบีบบังคับใดๆ อีก ให้เรื่องทั้งหลายมันจบลงเท่านี้เถอะ”
เย่หยวนนั้นรู้ขีดจำกัดของตัวดี เพราะสุดท้ายไม่ว่าอย่างไรเสียเขาก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มอาณาจักรนภาสวรรค์ผู้หนึ่ง
มู่เฟิงนั้นขอโทษเขาต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้แล้วมันย่อมทำให้เย่หยวนไม่อาจจะตามเอาความผิดใดๆ ได้อีก
เพียงแค่ว่าตอนนี้เขาได้รับรู้ถึงธาตุแท้ของโถงวาโยขจีแล้วและแม้มู่เฟิงจะมาแสดงท่าทีเป็นมิตรใดๆ เขาก็ย่อมจะไม่รับมันไว้
เรื่องทั้งหมดทั้งสิ้นให้มันจบลงเท่านี้
กับโถงวาโยขจีเองเย่หยวนก็รู้สึกไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวใดๆ ด้วยอีก
เพราะไม่ว่าจะเป็นยู่หยิงหรือเจียงหยวน พวกเขาต่างก็แสดงนิสัยที่เย่หยวนไม่อาจรับได้ออกมาทั้งคู่
เจ้าโถงนั้นยังคงยิ้มกว้างออกมาราวกับว่าไม่เห็นท่าทางไม่พอใจนี้ของเย่หยวน “สหายหนุ่มเย่นั้นช่างมีสายตากว้างไกล โถงวาโยขจีเราต้องขอบคุณเจ้ามาก ผู้อาวุโสยู่ ผู้อาวุโสเจียง ทำไมยังไม่ขอบคุณสหายหนุ่มเย่อีก?”
เมื่อคนทั้งสองได้ยินพวกเขาก็ก้มหัวลงทันที
เย่หยวนเองก็พยักหน้ารับออกมาเป็นคำตอบ
ไม่มีใครคาดฝันว่าเรื่องราวสุดแสนใหญ่โตมันจะจบลงง่ายๆ เช่นนี้
และสิ่งที่ไม่มีใครคาดฝันมากที่สุดก็คือทางโถงวาโยขจีกลับต้องเป็นฝ่ายออกมาขอโทษแก่เด็กหนุ่มนภาสวรรค์!
การประลองของเย่หยวนและยู่หยิงนั้นดังลั่นสะท้านทั้งศาลาโอสถสวรรค์ไปอย่างรวดเร็วและยังแพร่กระจายออกไปในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวทั้งหมดสิ้น
หลังจากนั้นเบื้องหลังประวัติของเย่หยวนก็ถูกขุดค้น
และนั่นมันทำให้ทั้งเมืองต้องตกตะลึง!
เพราะเดิมทีพวกเขาต่างคาดเดาเรื่องของเย่หยวนไปสารพัด
บ้างว่าเขาน่าจะมาจากวังพำนักจักรพรรดิเทพสวรรค์บ้าง บ้างบอกว่าเขามาจากตระกูลใหญ่โต บ้างถึงขั้นบอกว่าเขาอาจจะเกี่ยวข้องกับโอสถบรรพกาล
เพียงแค่ว่าไม่มีใครคาดคิดว่าเย่หยวนนั้นแค่มาจากเมืองจักรพรรดิหนึ่ง
เมื่อขุดลึกลงไปอีกเมืองจักรพรรดินั้นมันยังเป็นแค่เมืองจักรพรรดิบ้านนอกหนึ่ง!
นักหลอมโอสถที่ไม่มีที่มาใหญ่โตใดๆ กลับใช้เวลาแค่พันกว่าปีในการเรียนรู้ขึ้นมาชนะนักหลอมโอสถสวรรค์เกล็ดดำได้ นี่มันเป็นพรสวรรค์ที่ทำให้เทพปีศาจใดๆ ต้องร่ำร้องกันระงม
ทำให้ในเวลานี้เย่หยวนจึงได้กลายเป็นที่ชื่นชมของเหล่านักหลอมโอสถกันอย่างไม่ขาดปาก
ในศาลาโอสถสวรรค์เองเหล่ายาฟ้าทั้งหลายก็ตื่นตะลึงกันอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเซินชางที่ตอนนี้เขาไม่อาจจะอธิบายอารมณ์ความรู้สึกที่มีในใจออกมาเป็นคำพูดได้แล้ว
“หรือว่าแท้จริงแล้วโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตนั้นเองก็เป็นตัวเขาที่หลอมขึ้นมา? จอมเทพโอสถห้าดาวกลับสามารถหลอมโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะได้ นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไรกัน?” เซินชางยังคงไม่คิดอยากเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้น
เพราะแม้ว่าสมองจะสามารถคาดเดาเรื่องราวได้แล้วแต่จิตใจของเขาก็ยังไม่พร้อมที่จะรับมัน
อย่างแรกเลยคือฝีมือที่เย่หยวนแสดงออกมาในสังเวียนจิตม่วงนั้นมันค่อยๆ เบาบางอ่อนแอลง อย่างที่สองนั้นคือเรื่องเช่นนี้มันเกินกว่าที่จะเป็นไปได้
แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับแสดงออกมาว่าแม้จะเป็นโอสถความยากแปดแต่เขาก็ยังสามารถหลอมมันขึ้นไปได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาล เช่นนั้นแล้วการจะหลอมโอสถความยากเก้าให้ถึงขั้นเทวะมันก็ดูไม่ไกลเกินเอื้อม
เฉินหยู่พูดขึ้นมาด้วยท่าทางประหลาดใจ “เช่นนั้นแล้วเขาคงมีคุณสมบัติพอจะขึ้นมาเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้ากับพวกเรา! ดูท่าแล้วหากแค่วัดกันด้วยการหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับห้า แม้พวกเราก็คงไม่อาจเทียบเขาได้!”
เมื่อคนทั้งหลายได้ยินพวกเขาก็ต้องหันไปมองหน้ากันทันที
โอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะนั้นมีพวกเขาคนใดบ้างที่คิดหลอมได้ตามใจนึก?
หากไม่ใช่ความบังเอิญโชคช่วยอย่างมหาศาลแล้วพวกเขาย่อมไม่อาจจะหลอมมันขึ้นมาได้
แต่เย่หยวนกลับหลอมได้!
จอมเทพโอสถห้าดาวที่เข้ามาในขั้นยาฟ้า ไม่ว่าจะคิดอย่างไรมันก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดจนเกินรับ
เซินชางนั้นไม่อาจพูดจาใดๆ ได้อีกต่อไป เขาย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องที่แหล่งรวมร้อยสมุนไพร ตอนนั้นเขายังมีหน้าไปบอกแนะนำสั่งสอนเย่หยวน มันช่างน่าขันเสียจริงๆ
เขาได้รู้แล้วว่าเย่หยวนนั้นมีความเก่งกาจที่เกินกว่าอายุไปอย่างมากแต่กลับยังมีท่าทางปกติไม่โอหังอวดดี
หากเป็นคนหนุ่มคนอื่นๆ ที่เก่งกาจได้อย่างเย่หยวนและมีคนมาบอกว่าโอสถที่เขาหลอมเองนั้นมิใช่ของที่เขามีปัญญาทำ พวกเขาทั้งหลายคงเดือดดาลขึ้นมาแล้ว
แต่เย่หยวนกลับไม่มีท่าทีเช่นนั้น!
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังรับคำของอีกฝ่ายไปอย่างไม่เถียงให้มากความ
หากเย่หยวนนั้นเถียงกลับมาแล้วทำการหลอมโอสถต่อหน้าทุกผู้คนตรงนั้น ใบหน้าเฒ่าๆ นี้คงแตกสลายลงอย่างไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
เมื่อนึกย้อนกลับไปเซินชางก็รู้สึกขอบคุณเย่หยวนขึ้นมาจับใจ
อายุยังน้อยแต่กลับมีความคิดเยือกเย็น เรื่องนี้มันยิ่งแสดงถึงความไม่ธรรมดา
“หึ นักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้าเราไม่ได้มีสมาชิกใหม่มานับแสนปีแล้วใช่หรือไม่? วันนี้มันคงได้เวลาที่จะได้สมาชิกใหม่เสียที การที่ให้เย่หยวนขึ้นขั้นยาฟ้ามามันย่อมจะเป็นประโยชน์แก่ศาลาโอสถสวรรค์เราแน่!” เซินชางบอก
เฉินหยู่เองก็พยักหน้ารับ “เด็กคนนี้มีอนาคตที่ไร้จำกัด การให้เขาขึ้นขั้นยาฟ้ามามันจะมีแต่สร้างชื่อเสียงให้พวกเราในวันหน้าแทน”
…
‘ตุบ!’
เจียงหยวนใช้แรงเพียบงเล็กน้อยก็ส่งร่างของเจียงหัวลงคุกเข่าต่อหน้าเย่หยวนได้
“น้องเย่ ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ ที่เจียงผู้นี้ไม่รู้จักควบคุมลูกน้องและเกือบทำให้เกิดหายนะ วันนี้ข้าได้นำตัวเจ้าคนชั่วร้ายนี้มาส่งรับคำตัดสินเจ้าแล้ว!” เจียงหยวนยกมือขึ้นคารวะเย่หยวน
วันนั้นหลังจากเจียงหัวหนีจากศาลาโอสถสวรรค์ไปเขาก็พยายามที่จะหลบซ่อนหนีไป
น่าเสียดายที่ว่าด้วยพลังอำนาจของโถงวาโยขจีที่ถูกใช้ออกมาอย่างเต็มที่มีหรือที่จะปล่อยให้นภาสวรรค์ผู้หนึ่งหนีรอดออกไปได้?
หลายวันต่อมาพวกเขาได้พบว่าเจียงหัวไปแอบอยู่กับบ้านของชาวบ้านผู้หนึ่ง
วันนี้มู่เฟิงและเจียงหยวนจึงได้นำตัวเจียงหัวมาส่งถึงหน้าเรือนหอมปิติให้เย่หยวนตัดสิน
เจียงหัวนั้นมีสายตาที่สิ้นหวังได้แต่คลานเข้ามาหาเย่หยวน “ท่านเย่หยวน ไว้ชีวิตข้าเถอะ! ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่! ทุกสิ่งอย่างมันล้วนเป็นความผิดที่ข้าน้อยทำลงไปสิ้น!”
เย่หยวนมองดูเจียงหัวพร้อมกล่าว “วันนั้นที่เรือนรับรองมันจะมิใช่เรื่องใหญ่โตใดๆ เลยที่เจ้าไล่ข้าออกมา หากเจ้าไม่ให้ข้าพบผู้อาวุโสเจียงข้าก็แค่ไม่พบและใช้วิธีการอื่นเพื่อพบเขา แต่เจ้านั้นกลับไม่คิดปล่อยมันผ่านไปและคิดฆ่าสังหารข้า ในเมื่อเจ้าคิดสังหารผู้คน เจ้ากับข้าก็ได้เข้าสู่สถานะต้องมีผู้ใดผู้หนึ่งตายลง แล้วเจ้ายังจะมาร้องขอชีวิตอีก?”
เมื่อเจียงหัวได้ยินเช่นนั้นเขาก็แสดงสีหน้าสิ้นหวังออกมา “ท่านเย่หยวน ข้าน้อยรู้ตัวแล้วว่าผิด! ข้าน้อยรู้ตัวแล้ว! โปรดท่านไว้ชีวิตเมตตาด้วย!”
เย่หยวนไม่คิดสนใจพูดกับเขาอีกจึงหันไปบอกเจียงหยวน “ผู้อาวุโสเจียง นี่คนของท่าน ท่านจัดการเองเถอะ”
เจียงหยวนเองก็เกลียดแค้นเจียงหัวจนถึงกระดูกดำ “ข้าเลี้ยงดูเจ้าอย่างดีมานับแรมปีแต่เจ้ากลับตอบแทนคุณด้วยการกระทำเช่นนี้! ความคิดชั่วร้ายของเจ้านี้เกือบทำให้ข้าฉิบหายอย่างไม่อาจกู้กลับได้แล้ว! หากวันนี้ข้าไม่สังหารเจ้าลงเสียความแค้นนี้ก็คงไม่มีทางจางหายไปได้!”
เจียงหัวนั้นยังพยายามพูดออกมาแต่เจียงหยวนกลับตบฝ่ามือลงกลางศีรษะส่งเขาสู่ยมโลกทันที
ตอนที่ 1934 วิธีการของโถงวาโยขจี
“น้องเย่ เรื่องทั้งหมดสิ้นนี้ล้วนแล้วแต่เป็นความผิดของข้า เจียงผู้นี้ต้องขออภัยด้วย ข้ารู้ดีว่าการสังหารเจ้าสัตว์ร้ายนั่นไปมันก็ไม่อาจจะช่วยระบายความโกรธแค้นของน้องเย่ได้ข้าจึงได้นำสิ่งของมามอบเป็นของขวัญให้ด้วย”
พูดไปเจียงหยวนก็ยกมือขึ้นตบหนึ่งครั้งเป็นสัญญาณให้เหล่าคนรับใช้มากมายเดินนำกองภูเขาสมบัติเข้ามา
“น้องเย่ นี่คือรายชื่อของที่นำมาโปรดรับมันไว้ด้วย”
พูดไปเจียงหยวนก็ยื่นรายชื่อสีแดงยาวออกมาให้ ประเมินจากสายตาแล้วมันคงมีมากกว่าร้อยรายการ
เมื่อหนิงเทียนปิงเห็นเย่หยวนพยักหน้ารับเขาจึงเดินหน้าออกไปรับรายชื่อนั้นมา
เมื่อลองก้มลงมองดูหนิงเทียนปิงเองก็อดไม่ต้องที่ต้องอ้าปากค้าง
ช่างน่ากลัวยิ่ง นี่สินะที่เขาบอกว่าคนรวยมีปากเสียงมากกว่าคนจนๆ
ของขวัญแต่ละอย่างบนรายการนี้ไม่มีสิ่งใดเลยที่มิใช่สมบัติล้ำค่า
หนิงเทียนปิงนั้นได้แต่ประหลาดใจกับความร่ำรวยของโถงวาโยขจีอยู่ในใจ แต่แน่นอนว่าเขาต้องประทับใจในตัวของเจ้านายตนมากกว่า
เพราะโถงที่ยิ่งใหญ่อย่างโถงวาโยขจีนี้กลับต้องมาขอโทษนายเขาถึงหน้าประตู
นอกจากเรื่องสังหารเจียงหัวแล้วมันยังมีสิ่งของแทนคำขอโทษอีกมากมาย
เย่หยวนยกมือขึ้นคารวะ “เย่ผู้นี้ขอขอบคุณท่านผู้อาวุโสเจียง”
เจียงหยวนนั้นรีบตอบกลับมา “ไม่เลย! เจียงผู้นี้ต่างหากที่ต้องขอบคุณน้องเย่ที่จิตใจกว้างขวางเรื่องราวแล้วไปแล้วก็ปล่อยมันผ่านไป!”
เด็กหนุ่มตอบ “เช่นนั้นเรื่องราวทั้งหมดให้มันจบเท่านี้ เรื่องของพวกท่านกับข้านับว่าหายกัน ท่านเจ้าโถงมู่ ท่านผู้อาวุโสเจียง เชิญ!”
แม้ว่าเย่หยวนนั้นจะยังไม่ขึ้นไปถึงขั้นยาฟ้าแต่พวกเขาย่อมรู้ดีว่ามันต้องเกิดขึ้นแน่
และตำแหน่งของนักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้านั้นมันเหนือล้ำกว่าเจ้าโถงใดๆ
เพราะฉะนั้นตอนนี้เย่หยวนจึงมั่นใจที่จะไล่อีกฝ่ายกลับไปได้
เพราะเขาในตอนนี้ไม่ต้องไปพึ่งพาโถงวาโยขจีอีกต่อไปแล้ว
ในความเป็นจริงแล้วเหล่าเจ้าโถงแห่งหอมหาสมบัติในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวอีกสามคนต่างได้ส่งคนมาพยายามติดต่อกับเย่หยวนกันก่อนแล้ว
ไม่ใช่แค่สามโถงนี้เท่านั้น ตอนนี้เหล่าค่ายสำนักต่างๆ ก็พยายามคิดหาทุกวิถีทางที่จะติดต่อให้เย่หยวนเป็นคู่ค้า
เย่หยวนนั้นได้ปล่อยข่าวออกไปด้วยตำแหน่งฐานะของเขาในตอนนี้ว่าเขานั้นกำลังมองหาคู่ค้าด้วยทำให้มีผู้คนมากมายคิดอยากร่วมงานกับเขา แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องไปร่วมมือกับโถงวาโยขจีที่เขามีเรื่องราวด้วยแล้ว
เมื่อได้เห็นว่าเย่หยวนไล่พวกเขากลับทันทีทางเจียงหยวนก็หน้าซีดขาวลง
พวกเขานำของขวัญใหญ่โตมาส่งแน่นอนว่ามันย่อมมิใช่แค่เพียงขอโทษเย่หยวนให้จบสิ้นเรื่องราว
พวกเขานั้นได้ยินคำที่เย่หยวนประกาศออกไปว่ากำลังหาคู่ค้าอยู่ทำให้เจียงหยวนแทบอยากฆ่าสังหารเจียงหัวลงอีกนับพันๆ ครั้ง
เจ้าสัตว์ร้ายนี้มันทำให้เรื่องราวเสียหายไปหมดสิ้น!
ด้วยพลังความสามารถด้านโอสถของเย่หยวนแล้วการได้คู่ค้าเช่นเขามันย่อมจะเป็นประโยชน์แก่ทางโถงวาโยขจีอย่างไร้สิ้นสุด
สมุนไพรวิญญาณนั้นจะมีค่าใด? สิ่งที่ผู้คนต้องการกันอย่างแท้จริงนั้นคือโอสถคุณภาพสูงต่างหาก!
การหลอมโอสถความยากแปดให้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาลนั้นมันจะเพิ่มมูลค่าได้มากเป็นพันเท่าหรืออาจจะเป็นหมื่นเท่าจากราคาตัวสมุนไพร!
ที่สำคัญกว่านั้นคุณภาพของโอสถนี้มันยังเป็นสิ่งที่ขาดตลาดไม่มีใครสามารถหลอมได้
ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถร่วมมือทำการค้ากับเย่หยวนได้โถงวาโยขจีย่อมจะสามารถกลายเป็นผู้ผูกขาดตลาดโอสถคุณภาพสูงไป
ใครที่คิดอยากได้โอสถคุณภาพสูงย่อมต้องมาขอร้องต่อโถงวาโยขจี
และเมื่อเป็นเช่นนั้นพลังอำนาจของโถงวาโยขจีก็จะยิ่งกว้างไกล
มันเป็นผลประโยชน์ที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบได้!
แต่น่าเสียดายที่เรื่องทั้งหลายนั้นกลับถูกเจียงหัวทำลายสิ้น
เดิมทีนั้นอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบ แต่ตอนนี้กลับเสียไปจนไกลเกินเอื้อม
เจียงหยวนนั้นมองดูที่มู่เฟิงด้วยท่าทางสุดกังวลแต่ชายร่างอ้วนกลับยิ้มออกมา “สหายหนุ่มเย่ ที่ข้ามาวันนี้แท้จริงแล้วข้ามีผู้คนจะพามาแนะนำด้วย”
ชายร่างอ้วนคนนี้มีรอยยิ้มบนใบหน้าตลอดเวลา แต่เย่หยวนก็มองออกได้ทันทีว่าเขานั้นมิใช่คนธรรมดาเลย
แม้ไม่ต้องไปมองที่ไหนไกลแค่นับเรื่องการขอโทษของเขาต่อหน้าผู้คนมันก็เป็นเรื่องที่ผิดจากคนปกติธรรมดาแล้ว
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียเขาก็เป็นคนที่มีตำแหน่งสูงส่ง
หากไม่ใช่เพราะท่าทางนั้นของมู่เฟิงเย่หยวนเองก็คงไม่ยอมปล่อยเรื่อยผ่านไปง่ายๆ
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ท่านเจ้าโถงมู่ เรื่องราวระหว่างโถงของท่านและเย่คนนี้นับว่าจบกันตรงนี้ ข้าไม่ต้องการมีสายสัมพันธ์ใดๆ กับโถงของท่านอีก ข้ารู้และขอบคุณในความหวังดีของท่านเจ้าโถงมู่ แต่การแนะนำตัวนี้ข้าคงต้องขอปฏิเสธ”
เพราะความไร้เหตุผลของโถงวาโยขจีนั้นมันยังคงติดตาเย่หยวนจนถึงวันนี้
ไม่ว่ามู่เฟิงจะทำอะไรออกมาความขยะแขยงในจิตใจของเย่หยวนก็ย่อมไม่มีทางจะหายไปได้ง่ายๆ
แต่มู่เฟิงนั้นกลับยิ้มตอบ “สหายหนุ่มเย่ อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธไป คนผู้นี้เจ้าย่อมต้องอยากรู้จักไว้แน่”
เด็กหนุ่มกำลังจะเปิดปากปฏิเสธออกไปอีกครั้งแต่กลับเห็นสองเงาร่างเดินเข้ามาหาก่อน
“เย่หยวน!” ผู้มาถึงนั้นยิ้มกว้างมาแต่ไกลด้วยใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ลงไม่น้อย
“พี่เซียว? ทำไม…” เย่หยวนตื่นตกใจไม่น้อย
เพราะคนที่มาถึงนี้มันมิใช่ใครที่ไหน เขาคือเซียวเฟิงนั่นเองพร้อมที่ด้านข้างก็มีชายแก่ผมขาวเดินตามมาด้วย
หลายวันก่อนหน้านั้นเซียวเฟิงได้บอกว่ามีเรื่องต้องไปจัดการและออกเดินทางไป ไม่นึกว่าวันนี้เขาจะกลับมาพร้อมชายชราคนหนึ่ง
“เย่หยวน ข้า…” เซียวเฟิงพูดติดๆ ขัดๆ เหมือนมีอะไรไปขวางคอไว้
มู่เฟิงยิ้มและบอก “สหายหนุ่มเย่ ขอข้าแนะนำพวกเขาอีกครั้ง นี่คือผู้พิทักษ์ขั้นสูงของโถงวาโยขจีเรา เซียวเฟิง ส่วนนี่คือลู่เจ๋อ ผู้อาวุโสแห่งโถงวาโยขจีเรา”
เย่หยวนเข้าใจได้ในทันทีว่ามู่เฟิงนั้นมีแผนการใด!
แต่เขาเองก็ประทับใจในวิธีการนี้ของมู่เฟิงไม่น้อย เพราะเขาถึงขั้นใช้การเลื่อนขั้นให้คนสนิทของเขาอย่างเซียวเฟิง
เซียวเฟิงนั้นเป็นผู้ดูแลขั้นต่ำผู้หนึ่ง ห่างไกลจากคำว่าผู้พิทักษ์อย่างมากมาย
ผู้พิทักษ์ขั้นสูงนั้นคือตำแหน่งที่มีแต่นักยุทธ์นภาสวรรค์จะขึ้นไปได้ถึง เซียวเฟิงนั้นจะเรียกว่าเป็นหนูตกถังข้าวสารก็ไม่ผิด
เย่หยวนนั้นรู้แล้วว่าเหตุใดเซียวเฟิงถึงได้อ้ำๆ อึ้งๆ เช่นนั้น แท้จริงแล้วมันเป็นเพราะว่าเขายอมรับแผนการของโถงวาโยขจีและกลัวว่าเย่หยวนจะไม่พอใจถึงได้มีสภาพเช่นนั้น
แต่ทว่าวิธีการนี้ของมู่เฟิงเด็กหนุ่มคงบอกไม่ได้ว่าชอบมันนัก
เขานั้นเข้าใจดีว่าเซียวเฟิงนั้นมีความรู้สึกที่ลึกล้ำต่อโถงวาโยขจี แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะสนิทกันมากเพียงใดแต่ความสัมพันธ์ของเขาต่อโถงวาโยขจีนั้นมันก็สุดแสนจะลึกซึ้ง
จะเรียกว่าโถงวาโยขจีนั้นคือบ้านของเขาก็ไม่ผิด
ที่สำคัญกว่านั้นคือแม้แต่ลู่เจ๋อก็ยังถูกลากเข้ามาด้วย
ตอนนี้ด้วยความสนิทสนมที่มากมายเช่นนี้หากเย่หยวนไม่เลือกโถงวาโยขจีแล้วเย่หยวนจะไปเลือกใครได้?
“หึๆ ยินดีกับการเลื่อนขั้นของพี่เซียวด้วย ข้าขอคารวะท่านผู้อาวุโสลู่ เรื่องราวก่อนหน้านี้ข้าต้องขอขอบคุณผู้อาวุโสลู่มาก” เย่หยวนยกมือขึ้นคารวะ
เรื่องราวของบุญคุณที่ติดค้างนั้นเย่หยวนย่อมจำได้ดีว่าเขานั้นติดค้างลู่เจ๋ออยู่
ลู่เจ๋อรีบตอบกลับมา “ท่านเย่จะถ่อมตนเกินไปแล้ว เรื่องเช่นนั้นมันลำบากก็แค่เขียน ที่สำคัญตัวตนของเฒ่าคนนี้เองก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรได้มากมายเลย ข้าคงทำให้ท่านเย่หัวร่อแล้ว”
ตัวตนของเย่หยวนนั้นลู่เจ๋อได้รู้มาจากเซียวเฟิงอย่างดี
ต่อหน้าเด็กหนุ่มแล้วเขาย่อมไม่กล้าเอาความอาวุโสมาข่มใดๆ
เย่หยวนยิ้มตอบ “มันมิใช่ว่าชื่อท่านผู้อาวุโสลู่ไม่มีค่า เพียงแค่ว่ามีคนชั่วร้ายมาขัดขวางก็เท่านั้น ข้ามีโอสถติดตัวมานี้ขอมอบให้ ท่านผู้อาวุโสลู่โปรดรับไว้”
พูดไปเย่หยวนก็หยิบโอสถหลายขวดออกมามอบให้
ลู่เจ๋อหน้าถอดสีทันทีที่ได้เห็นมันก่อนจะร้องปฏิเสธออกมา “ข้าไม่อาจรับของที่มีค่ามากมายเช่นนี้ได้หรอก ท่านเย่ โอสถทั้งหลายนี้มันมีค่าเกินไป”
เมื่อเห็นว่าพลังชีวิตของลู่เจ๋อเริ่มจางหายไปจากใบหน้า แถมดูท่าอายุขัยของเขาคงใกล้หมดเต็มที เย่หยวนจึงได้มอบโอสถยืนอายุขัยไปให้แก่อีกฝ่าย
ด้วยความเป็นเย่หยวนแล้วโอสถที่เขานำออกมามันย่อมไม่ธรรมดามีหรือที่ลู่เจ๋อจะกล้ารับไว้?
เย่หยวนยิ้มตอบ “ผู้อาวุโสลู่ นอกจากเรื่องที่ว่าท่านได้ช่วยข้ามาก่อนหน้าแล้วข้ากับพี่เซียวยังนับถือกันเป็นพี่น้อง และท่านคืออาจารย์ของพี่ข้า แน่นอนว่าท่านเองก็ย่อมเป็นญาติผู้ใหญ่ของข้า หากท่านไม่รับไว้เย่มันคงเป็นการดูถูกเย่คนนี้แล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเซียวเฟิงก็เริ่มแสดงท่าทีผ่อนคลายออกมาเพราะเขาได้รู้แล้วว่าเย่หยวนไม่ได้โกรธใดๆ จึงรีบหันไปบอกอาจารย์ “ท่านอาจารย์ รับไปเถอะ”
ลู่เจ๋อที่เห็นเด็กหนุ่มพูดมาขนาดนี้จึงได้แต่จำใจรับมันมา
ตอนที่ 1935 ท้าทายนักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้า
“หึ ท่านเจ้าโถงมู่ช่างเก่งกาจเสียจริง!”
ตอนนี้ภายในห้องรับรองนั้นมีเพียงแค่เย่หยวนและมู่เฟิงที่นั่งมองหน้ากันอยู่ด้วยรอยยิ้มอันเย็นเยือก
มู่เฟิงยิ้มตอบกลับไป “สหายหนุ่มเย่โปรดระงับโทสะก่อน เรื่องราวทั้งหลายนี้เป็นความผิดมู่ผู้นี้เอง ต้องขอโทษเจ้าด้วย”
เด็กหนุ่มยกชาขึ้นดื่มและตอบกลับไป “ท่านเจ้าโถงมู่ทำสิ่งใดผิดกันเล่า? ข้าต้องขอบคุณท่านเจ้าโถงมู่เสียด้วยซ้ำ”
มู่เฟิงยิ้มตอบกลับมา “ข้ารู้ดีว่ามีโถงอื่นๆ มาติดต่อหาสหายหนุ่มเย่มากเพียงใดและทางโถงวาโยขจีเราก็ได้ล่วงเกินเจ้าไปจริงๆ แต่จะว่าไปแล้วเรื่องที่สหายหนุ่มเย่เจอต่อให้ไปยังโถงอื่นมันก็คงไม่อาจเลี่ยงพ้นได้ แต่สุดท้ายแล้วโถงวาโยขจีเราก็ยังเป็นโถงที่มีสายสัมพันธ์กับสหายหนุ่มเย่มากที่สุด เมื่อร่วมงานกันแล้วมันย่อมจะมีเรื่องติดขัดน้อยกว่ามิใช่หรือ?”
เรื่องนี้เย่หยวนเองก็ย่อมรู้ดี
เพียงแค่ว่าเรื่องราวมันเกิดขึ้นไปแล้ว
หากเขานั้นมีพลังไม่มากพอเขาก็คงต้องตายในน้ำมือเจียงหัวอย่างไม่มีใครสนใจแล้ว?
“การที่ตั้งให้เซียวเฟิงขึ้นเป็นผู้พิทักษ์เองด้านหนึ่งก็เพราะเห็นแก่สหายหนุ่มเย่แต่มันก็ไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้นทั้งหมด เพราะข้านั้นวางแผนไว้ว่าไว้ว่าจะให้เซียวเฟิงนั้นดูแลหอมหาสมบัติของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์อย่างเด็ดขาดถาวร จัดการเรื่องราวธุรกิจระหว่างเราทั้งสิ้น เพราะการแต่งตั้งให้เขาขึ้นเป็นผู้จัดการเรื่องราวทั้งหมดมันย่อมเหมาะสมที่สุด สหายหนุ่มเย่คิดว่าอย่างไรบ้างเล่า?”
ได้ยินเช่นนั้นเย่หยวนก็รู้สึกคล้อยตามทันที
เพราะเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นพึ่งพาหอมหาสมบัติมาตลอด หากมีใครถูกแต่งตั้งใหม่ไปมันย่อมจะเกิดความขัดแย้งขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่มากก็น้อย
เพราะคนแต่ละผู้ต่างก็มีนายของตัวเองที่แตกต่างกันไป
แต่หากคนผู้นั้นเป็นเซียวเฟิงแล้วเรื่องราวทั้งหลายมันย่อมเปลี่ยนไปสิ้น
เมื่อเห็นว่าเย่หยวนเริ่มคล้อยตามทางอีกฝ่ายจึงกล่าวได้ขึ้นอีก “ที่สำคัญสหายหนุ่มเย่และโถงวาโยขจีเรานั้นเกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้ง ตอนนี้เซี่ยะจิ้งอวี๋และเหลียงหวานหรูทั้งสองคนนั้นเองก็อยู่ใต้การดูแลของโถงวาโยขจีเราเช่นกัน และข้ายังได้สอบถามหาข้อมูลมาแล้วว่าทั้งสองคนนี้ก็มีพรสวรรค์ที่ไม่เลว วันหน้าข้าวางแผนไว้ว่าจะนำพาพวกเขาทั้งสองเข้ามาฝึกฝนที่ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิ”
เย่หยวนมองดูมู่เฟิงด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ทว่าอีกฝ่ายใบหน้ายังคงรอยยิ้มเอาไว้
เด็กหนุ่มถอนหายใจยาวและบอก “ท่านเจ้าโถงมู่ทำให้ข้าไม่อาจปฏิเสธได้เลยจริงๆ!”
เย่หยวนนั้นต้องยอมรับว่ามู่เฟิงคนนี้มีความสามารถที่เหนือล้ำ
แต่ความสามารถนี้มิใช่พลังฝีมือการต่อสู้แต่เป็นความเข้าใจในผู้คนที่เขาหมายตาจะทำธุรกิจด้วย
ชายคนนี้สามารถอ่านนิสัยคนออกได้อย่างหมดจด!
ค่ายสำนักอำนาจอื่นๆ นั้นต่างใช้วิธีเหนือล้ำมากมายมายื่นให้แก่เย่หยวน แต่มู่เฟิงนี้ต่างออกไป
เขาดูออกได้ทันทีว่าเย่หยวนนั้นเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคนรอบตัวมาก และยอมที่จะทำเพื่อสหายมากกว่าทำเพื่อผลประโยชน์
ไม่เช่นนั้นแล้วเขาเองก็คงไม่ลงมือทำเช่นนั้นในบ้านตระกูลเจียงแน่
เย่หยวนนั้นย่อมไม่พอใจที่มู่เฟิงทำอะไรลับหลังเขาเช่นนี้แต่เขาก็ดีใจกับเซียวเฟิงอยู่ไม่น้อย
อย่างน้อยๆ ด้วยสถานะของเขาในตอนนี้เขาก็พอที่จะมีที่ยืนในโถงวาโยขจีบ้างแล้ว
มู่เฟิงยังคงยิ้มต่อไป “สหายหนุ่มเย่ จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วย! เจ้าวางใจได้ข้านั้นจะมอบอำนาจสูงสุดให้แก่เซียวเฟิงแน่ ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรวิญญาณใดที่สหายหนุ่มเย่ต้องการขอแค่มันเป็นสิ่งที่โถงวาโยขจีเราหาได้เราย่อมจะส่งมอบให้แน่”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ “ได้ เช่นนั้นก็ฝากตัวด้วย!”
…
พายุของสังเวียนจิตม่วงนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ทำให้ทุกผู้คนตื่นตะลึงนั้นก็คือการที่สุดท้ายแล้วเย่หยวนยังเลือกที่จะทำการค้ากับโถงวาโยขจี
นั่นทำให้เหล่าค่ายสำนักใหญ่ทั้งหลายได้แต่ถอนหายใจยาวด้วยความเสียดาย
แต่สิ่งที่พวกเขาทั้งหลายยังคงสนใจก็คือเรื่องที่ว่าเย่หยวนจะเดินในเส้นทางของนักหลอมโอสถสวรรค์ไปได้อีกไกลแค่ไหน
เพราะการขึ้นไปถึงขั้นยาฟ้านั้นมิใช่เรื่องง่ายดายแน่นอน
สำหรับนักหลอมโอสถสวรรค์เกล็ดดำที่ต้องการจะขึ้นไปยังขั้นยาฟ้าพวกเขาทั้งหลายนั้นต้องประลองให้ชนะเหล่าผู้อาวุโสเสียก่อน
เรื่องนี้มันเป็นอะไรที่แสนจะยากเย็น!
กับยอดฝีมือขั้นยาฟ้าแล้วแต่ละคนล้วนอยู่ในอาณาจักรเต๋าสิ้น พลังความรู้ความสามารถที่เขามีในด้านโอสถนั้นมันเหนือล้ำจนผู้คนไม่อาจคาดเดาได้
แม้ว่ายู่หยิงผู้นั้นจะเป็นนักหลอมโอสถในอาณาจักรเต๋าเช่นกันแต่เมื่อเทียบกับเหล่าผู้อาวุโสขั้นยาฟ้าแล้วตัวเขานั้นย่อมไม่อาจจะไปเทียบเคียงได้เลย
ทุกคนต่างไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องราวเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในแหล่งรวมร้อยสมุนไพรทำให้พวกเขาทั้งหลายนั้นไม่ได้เข้าใจฝีมือที่แท้จริงของเย่หยวน
ในความเป็นจริงแล้วแม้แต่ตัวเซินชางเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าขีดจำกัดของเย่หยวนมันอยู่ที่ใด
เหล่าค่ายสำนักต่างๆ ที่ไม่อาจดึงเย่หยวนมาร่วมธุรกิจได้ต่างพยายามสาปแช่งให้คนอื่นโชคร้ายตาม หวังจะเห็นโถงวาโยขจีก้าวพลาดที่เลือกเย่หยวน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วในเวลาแค่สองเดือนเย่หยวนนั้นได้ก้าวข้ามทุกความยากลำบาก ขึ้นจากขั้นจิตม่วงมายังขั้นเกล็ดดำและชนะรวดแม้แต่ในขั้นเกล็ดดำถึงสามสิบครั้งทำให้เขาได้สิทธิในการท้าทายผู้อาวุโสขั้นยาฟ้า
ในสังเวียนเกล็ดดำนี้มันแตกต่างจากสังเวียนจิตม่วงตรงที่จำนวนของเหล่านักหลอมโอสถสวรรค์เกล็ดดำนั้นมันไม่ได้มีมากมายนักเมื่อเทียบกับขั้นจิตม่วง
ที่สำคัญกว่านั้นฝีมือของเหล่าเกล็ดดำทั้งหลายนั้นยังใกล้เคียงกันอย่างมาก มันเป็นการยากหากคิดอยากจะชนะรวดให้ได้เช่นนั้น
แต่สุดท้ายแล้วเย่หยวนก็ยังคงกวาดชัยชนะมาเรียบ
เพราะแม้แต่ยู่หยิงที่นับว่าเป็นยอดคนของระดับเกล็ดเงินยังพ่ายแพ้ลงโดยง่าย แล้วจะยังมีใครมาเทียบเคียงเขาได้อีก?
สุดท้ายแล้วมันจึงได้เวลาแห่งการท้าทายผู้อาวุโสขั้นยาฟ้า
ในวันนี้มีผู้คนมามากมายที่สังเวียน
เพราะในหมู่สิบห้าผู้อาวุโสยาฟ้านั้นนอกเสียจากสองคนที่ยังเก็บตัวอยู่แล้วอีกสิบสามคนที่เหลือต่างปรากฏตัวออกมาพร้อม
บ้างนั้นก็เดินทางมาจากที่แสนห่างไกลเพื่อจะได้ดูการประลองในวันนี้
เซินชางมองดูเย่หยวนด้วยสายตาเปี่ยมกังวล
เขาไม่นึกไม่ฝันว่าวันนี้มันจะมาถึงอย่างรวดเร็วปานนี้
การประลองกับเย่หยวนในวันนี้นั้นเขาไม่มั่นใจเลยสักนิด
“เย่หยวน เจ้าได้สิทธิในการท้าทายเหล่าผู้อาวุโสขั้นยาฟ้าทั้งหลาย ตอนนี้เจ้าจงเลือกผู้อาวุโสที่คิดอยากเข้าประลองด้วยเถอะ” เฉินหยู่ร้องบอก
เย่หยวนถามขึ้น “ผู้อาวุโสเฉินหยู่ ผู้น้อยนั้นมีคำขอร้องอยู่ไม่ทราบว่าทางศาลาโอสถสวรรค์จะรับฟังได้หรือไม่?”
เฉินหยู่มึนงงไปเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้ารับ “ลองพูดมา”
เย่หยวนกล่าว “สามผู้อาวุโสที่ข้าต้องการท้าประลองคือท่าน ท่านอาจารย์เซินชางและท่านอาจารย์เซียวเจิ้น! ไม่ทราบว่าจะเป็นไปได้หรือไม่?”
เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวคนที่มาดูเรื่องราวก็แตกตื่นขึ้นทันที
“ผิดพลาดอะไรกันหรือไม่? สามท่านนี้คือนักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้าที่นับได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ผู้อาวุโส แต่เย่หยวนกลับกล้าที่จะท้าทายพวกท่านทั้งสามคนนี้อย่างนั้นหรือ?”
“ไอ้เจ้าหมอนี่มันบ้าไปแล้ว!”
“ปกติคนเราต้องเลือกอ่อนแทงแข็งเว้นมิใช่หรือ? แต่เจ้าหมอนี่มันกลับเลือกที่จะแทงหินผา!”
…
เมื่อมาอยู่ในศาลาโอสถสวรรค์ได้นับเดือนๆ เย่หยวนย่อมเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของเหล่าผู้อาวุโสขั้นยาฟ้าด้วย
คนทั้งสามที่เขากล่าวท้าออกไปนั้นคือสามผู้อาวุโสนักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้าที่มีฝีมือมากที่สุด
เซียวเจิ้นนั้นเป็นคนจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิอื่นแต่เขาเองก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเซินชางเลยแม้แต่น้อย
แต่ทว่าเฉินหยู่นั้นกลับรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาในใจเพราะเรื่องที่เขาเกรงกลัวที่สุดได้เกิดขึ้นมาจริงๆ
คนอื่นๆ หากมีสิทธิ์เลือกผู้อาวุโสเพื่อท้าทายพวกเขาย่อมจะเลือกคนที่อ่อนแอ แต่เย่หยวนนั้นไม่เกรงกลัวใดๆ และกล้าที่จะท้าทายพวกเขาทั้งสาม
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขานั้นไม่มั่นใจเลยว่าจะหลอมโอสถสู้เย่หยวนได้
เพราะเรื่องที่เซินชางบอกออกมาเฉินหยู่เองก็ย่อมทราบแก่ใจ
โอสถระดับนั้นในขั้นเทวะ ตัวเขาย่อมไม่อาจจะหลอมมันได้
และคนทั้งสามนี้คือผู้อาวุโสที่มีหน้าตาชื่อเสียงมานับล้านปี ตั้งแต่ที่เข้าศาลาโอสถสวรรค์มาพวกเขานั้นยังไม่เคยรับความพ่ายแพ้มาก่อน
แต่วันนี้พวกเขากลับได้เจอตัวปัญหาเข้าแล้ว
หากพวกเขาแพ้ลงมันย่อมจะเป็นเรื่องน่าอายไปชั่วชีวิต!
ไม่ว่าอย่างไรเสียเย่หยวนก็ต้องเข้ามาถึงขั้นยาฟ้าได้แน่ จะดีแค่ไหนกันหากเขาจะเลือกเหล่าผู้อาวุโสที่ฝีมือด้อยกว่านี้?
เฉินหยู่ได้แต่ด่าว่าเย่หยวนอยู่ในใจ
“เจ้าย่อมทำได้! เจ้ามีเรื่องใดจะถามอีกไหม?” แม้ว่าเฉินหยู่จะไม่มั่นใจว่าจะต้านเย่หยวนได้แต่ครั้งนี้เขาย่อมไม่อาจจะบอกปัดไปได้
เย่หยวนมองดูที่เฉินหยู่ด้วยใบหน้าเย็นชา “สิ่งที่ข้าอยากขอนั้นมีอีกเรื่องคือข้าขอท้าพวกท่านทั้งสามคนพร้อมกัน!”
หา!
เสียงร้องถามดังขึ้นมาพร้อมๆ กันจากทางเหล่าผู้มาดูเหตุการณ์
การท้าประลองนักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้าพร้อมกันถึงสามคน มันต้องเป็นเรื่องราวใหญ่โตเพียงใด?
ตอนที่ 1936 ประลองสามผู้อาวุโส
เฉินหยู่ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจอย่างมาก
เย่หยวนนั้นคิดท้าทายพวกเขาทั้งสามเข้าประลองพร้อมๆ กันมันจะไม่เป็นการดูถูกพวกเขาทั้งหลายมากไปหน่อยหรือ?
ในฐานะนักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้าแน่นอนว่าพวกเขาย่อมมีชื่อเสียงอำนาจทั่วฟ้าดิน
เย่หยวนนั้นไม่สนว่าตัวเองยังเป็นแค่เด็กหนุ่มและท้าทายอย่างอวดดี!
นั่นทำให้เกิดเสียงร้องว่าขึ้นจากด้านล่างสังเวียนไม่ขาดสาย ด่าว่าเย่หยวนนั้นไม่รู้จักประเมินตัวเอง
“เย่หยวน เจ้านั้นเก่งกาจมากความสามารถ มาถึงจุดนี้ได้เฒ่าคนนี้ย่อมกล้ายอมรับ! แต่หากเจ้าคิดจะท้าทายพวกเราทั้งสามคนพร้อมๆ กันนั้นมันจะไม่เป็นการดูถูกผู้คนมากเกินไปหน่อยหรือ?” เฉินหยู่บอก
ดูท่าแล้วเขาคงไม่พอใจอย่างมาก
ผู้อาวุโสอีกคนที่ด้านข้างเขาเองก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา มองดูเย่หยวนราวกับมีความแค้นใดกันมา
แต่เย่หยวนกลับตอบมาด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสเฉินอย่าเพิ่งรีบร้อนไป ขอข้าพูดอธิบายให้จบก่อน”
เฉินหยู่ได้ยินเช่นนั้นจึงตะโกนบอก “พูดมา!”
เย่หยวนตอบกลับไป “เย่ผู้นี้ไม่ได้คิดจะดูถูกเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายเลย เหตุที่ข้าคิดทำเช่นนี้มันเพราะว่าหากเย่หยวนคนนี้บังเอิญชนะได้ข้าจะได้สามารถขอร้องเรื่องที่ต้องการได้”
เซินชางร้องบอก “เราเองก็มิใช่คนไร้เหตุผล หากเจ้าชนะได้แล้วเจ้าก็นับเป็นหนึ่งในพี่น้องเรามีอะไรอยากให้ช่วยเหลือก็แค่เปิดปากพูดเท่านั้น มีเหตุใดให้ต้องมาใช้วิธีนี้ด้วยเล่า?”
เพราะเซินชางนั้นยังชื่นชมเย่หยวนอยู่ไม่น้อย
ที่สำคัญเขายังรู้ด้วยว่าเย่หยวนนั้นมิใช่คนอวดดีอยากวางตัวเหนือหัวท่าน
เขาทำเช่นนี้มันต้องมีเหตุผลแน่ๆ
แต่การกระทำของเขานั้นมันโดดเด่นจนเกินไป มีแต่จะทำให้ผู้คนไม่ชอบใจเปล่าๆ
เย่หยวนส่ายหัวออกมา “หากข้าชนะข้าอยากขอท้าประลองท่านเทพสวรรค์เปียวหยู หวังว่าท่านผู้อาวุโสทั้งหลายจะเข้าใจ”
คำพูดเดียวนี้มันทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นหนักว่าเก่า!
ทุกคนแทบลืมหายใจเมื่อได้ยินคำประกาศนี้ของเย่หยวน
“อวดดี! ช่างอวดดีเหลือเกิน! เขา…เขากลับกล้าคิดท้าทายท่านเทพสวรรค์เปียวหยู? กล้าดีอย่างไร!”
“ช่างอวดดีไม่กลัวฟ้าดิน! มันคิดว่าเทพสวรรค์เปียวหยูนั้นคือใคร? มีหรือที่นภาสวรรค์ต่ำต้อยอย่างมันจะไปท้าทายท่านได้?”
“ไอ้เด็กคนนี้มันเสียสติไปแล้วแน่ๆ!”
…
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหล่าผู้นั้นทั้งหลายย่อมพ่นพิษใส่คำด่าเย่หยวนออกมาอย่างไม่คิดเกรงใจใดๆ อีก
เพราะเวลาที่ผ่านมานี้กี่ปีต่อกี่ปีมันไม่มีใครกล้าที่จะบอกว่าคิดท้าทายเทพสวรรค์เปียวหยูเลย!
อย่าว่าแต่จอมเทพโอสถห้าดาวต่ำต้อยผู้หนึ่ง แม้แต่จอมเทพโอสถเจ็ดดาวคนอื่นๆ ก็ยังไม่กล้าคิดมาท้าทายเทพสวรรค์เปียวหยูผู้นี้
เฉินหยู่มองดูเย่หยวนด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าพูดอะไรออกมา?”
เย่หยวนพยักหน้ารับ “ข้าย่อมทราบดีแก่ใจ เป้าหมายการเดินทางมายอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวในครั้งนี้คือหนึ่งเพื่อหาคู่ค้า สองคือเพื่อประลองฝีมือกับท่านเทพสวรรค์เปียวหยู!”
การเข้าศาลาโอสถสวรรค์นั้นเป็นหนึ่งในเป้าหมายของเย่หยวนมาแต่แรก
ด้วยพลังฝีมือของเขาการเข้าศาลาโอสถสวรรค์มานั้นมันย่อมไม่ลำบากยากเย็นใดๆ
“หึ! เจ้าเด็กไม่รู้จักประมาณตัว เจ้าคิดว่าแค่ขึ้นระดับยาฟ้ามาได่แล้วเจ้าจะเก่งกาจพอไปท้าทายท่านเปียวหยูหรือ?” เฉินหยู่ร้องบอกด้วยใบหน้าดำมืด
เย่หยวนตอบกลับไป “เช่นนั้นข้าจึงได้ท้าประลองพวกท่านทั้งสามคนพร้อมๆ กัน หากข้าชนะอย่างน้อยๆ มันก็จะแสดงฝีมือของข้าได้ใช่หรือไม่?”
ทุกคนนั้นตื่นตะลึง เป็นเวลานี้เองที่พวกเขาทั้งหลายได้รู้เป้าหมายของเย่หยวน
“หึ! ต่อให้เจ้าจะชนะได้เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ไปท้าทายท่านเปียวหยู ยอมตัดใจจากเรื่องนี้เสียเถอะ!” ผู้อาวุโสยาฟ้าผู้หนึ่งบอกออกมา
เซินชางเองก็พูดขึ้นตาม “ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าข้าจะไม่บอกหรอกว่าวันหน้าเจ้าจะไม่อาจเทียบเคียงท่านเปียวหยูได้ แต่มันย่อมยังไม่ใช่ในเวลานี้แน่”
เย่หยวนเงียบลงไปทันที สถานะของเทพสวรรค์เปียวหยูนั้นมันแตกต่างจากคนทั่วๆ ไปมากจนเกินไป ในจิตใจของพวกเขาทั้งหลายเขานั้นเปรียบเหมือนเทพเจ้า
แค่จอมเทพโอสถห้าดาวคนหนึ่งมันย่อมไม่มีทางไปเทียบเคียงใดๆ กับเขาได้ในสายตาของพวกเขาทั้งหลาย
ที่ด้านล่างมันมีแต่เสียงโห่ร้องด่าทอว่าเย่หยวนไม่รู้จักฟ้าดิน
เย่หยวนเองก็ได้แต่ถอนหายใจ “เช่นนั้นข้าก็ไม่ขอดื้อรั้นอีก”
พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไป
เฉินหยู่ขมวดคิ้วแน่น “เย่หยวน เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เย่หยวนนั้นเดินจากไปพร้อมพูดขึ้น “ข้านั้นเข้าศาลาโอสถสวรรค์มาเพื่อจะประลองกับท่านเทพสวรรค์เปียวหยู แต่ในเมื่อข้าไม่อาจสมหวังได้ข้าก็ไม่มีอะไรต้องทำในศาลาโอสถสวรรค์นี้อีกต่อไปแล้ว”
อวดดีเหลือเกิน!
ช่างอวดดีเกินคำบรรยาย!
เหล่าคนทั้งหลายได้แต่เลิกคิ้วมองเย่หยวนอย่างไม่รู้จะพูดอย่างไร
ในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวนี้เป้าหมายที่นักหลอมโอสถทุกผู้คนต่างใฝ่ฝันมันก็คือตำแหน่งในศาลาโอสถสวรรค์
แต่เย่หยวนกลับไม่คิดสนใจมันเลยแม้แต่น้อย!
แต่แท้จริงแล้วเย่หยวนนั้นไม่ได้คิดจะทำตัวอวดดีใดๆ เพียงแค่ว่าสายตาของเขานั้นมันจ้องมองไปยังคนละระดับกับผู้คนทั้งหลายนี้
เหมือนที่จักรพรรดิเทพสวรรค์ไม่มาสนใจสมาคมใดๆ ของเทพถ่องแท้
เย่หยวนเองก็ไม่อาจจะมีความสนใจใดๆ ให้กับสมาคมเช่นนี้ได้เลย
แม้ว่าเย่หยวนนั้นจะยังไม่ขึ้นไปถึงอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์แต่เหล่านักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้าที่อยู่ต่อหน้านี้มันก็ยังไม่อาจเทียบเขาได้
“เทพสวรรค์ผู้นี้รับคำท้าเจ้า” เวลานั้นเองที่มีเสียงหนึ่งดังกังวานขึ้นมา
นั่นทำให้ทุกผู้คนหน้าถอดสี นั่นมันเทพสวรรค์เปียวหยูหรือ?
“ท่านเปียวหยู!” เฉินหยู่ร้องขึ้นอย่างตื่นตกใจ
พวกเขาไม่นึกไม่ฝันว่าเทพสวรรค์เปียวหยูจะลงมารับคำท้าของเย่หยวนเองเช่นนี้!
“พวกเจ้าทั้งสามจงประลองกับเขาเสีย สหายหนุ่ม อย่างได้ทำให้เทพสวรรค์ผู้นี้ผิดหวังเล่า!”
พูดจบเสียงนั้นก็เงียบหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นความตื่นเต้นดีใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ดูท่าเรื่องราวที่เขาสร้างชื่อไว้ในศาลาโอสถสวรรค์ช่วงหลายเดือนมานี้มันจะไปสะดุดตาเทพสวรรค์เปียวหยูเข้า
เฉินหยู่ได้แต่สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะบอก “เจ้าเด็กน้อย อย่าได้หลงความสำเร็จจนเกินตัว! พวกเรานั้นมิใช่ศัตรูที่เจ้าจะจัดการได้ง่ายๆ หรอก!”
เย่หยวนยกมือขึ้นคารวะด้วยรอยยิ้ม “ขอคำชี้แนะด้วย!”
…
บนสังเวียนนั้นสามนักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้าต่างปล่อยคลื่นพลังอันแสนน่าหวาดกลัวออกมาปกคลุมไปทั่วโดยมีเย่หยวนอยู่ตรงกลาง
แต่ทว่าเย่หยวนนั้นไม่ได้มีท่าทีวิตกใดๆ เลย
สามนักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้าร่วมมือกันแน่นอนว่ามันต้องกลายเป็นพลังที่มหาศาล พลังที่ยู่หยิงเคยปล่อยออกมานั้นมันไม่อาจเทียบได้แม้แต่น้อย
เพียงแค่ว่าแม้คนทั้งสามจะร่วมมือกันแล้วมันก็ยังไม่อาจหยุดเย่หยวนลงได้
คลื่นพลังของเขานั้นมันเหมือนน้ำที่อยู่ในเขื่อนยักษ์ไม่อาจจะหยุดได้ด้วยวิธีใดๆ
“เป็นไปได้อย่างไร? นี่มันสามผู้อาวุโสนักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้าที่เก่งกาจที่สุดนะ ภายใต้ความร่วมมือของคนทั้งสามแล้วแม้แต่จอมเทพโอสถเจ็ดดาวก็ยังไม่กล้าปะทะพลังตรงๆ แต่เย่หยวนกลับยืนรับและเป็นฝ่ายกดดันได้แทน!”
“น่ากลัว! หรือว่าเจ้าเด็กคนนี้มันจะไม่มีขีดจำกัดเลย?”
“หรือว่าเจ้าเด็กคนนี้มันจะมีพลังฝีมือมากพอจะท้าทายท่านเปียวหยูจริง?”
…
ภายใต้การกดดันของเย่หยวนนี้มันจึงทำให้ทั้งสามนักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้ามีเหงื่อหยดใหญ่ไหลลงมาจากหน้าผากด้วยท่าทางที่แสนเหนื่อยล้า
การแข่งหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับห้านั้นมันเป็นการวัดเรื่องความเข้าใจในโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับห้า ความเข้าใจในสมุนไพรวิญญาณระดับห้า และความเข้าใจในวิชาการหลอมโอสถ
ในด้านต่างๆ นี้เย่หยวนย่อมสามารถชนะนักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้าทั้งสามได้อย่างขาดลอย
แม้ว่าพลังที่เย่หยวนใช้ออกมามันจะดูแผ่วเบาแต่แท้จริงแล้วมันมิใช่เลย
เป็นเวลานี้เองที่คนทั้งหลายได้เห็นพลังฝีมือที่แท้จริงของเย่หยวนและได้รู้ว่าเย่หยวนไปเอาความมั่นใจจากไหนมาท้าทายสามนักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้าพร้อมๆ กัน
“หลอม!”
เย่หยวนร้องขึ้นพร้อมก่อโอสถ!
นั่นทำให้สามผู้อาวุโสต้องถอนหายใจราวกับว่าได้ยกเขาออกจากอก
ไม่นานผู้อาวุโสทั้งสามเองก็หลอมโอสถจนสำเร็จ
เมื่อพวกเขาเปิดหม้อหลอมออกดูผู้คนทั้งหลายก็ได้แต่ตกตะลึง!
“โอสถขั้นเทวะโมฆะ! ภายใต้แรงกดดันเช่นนั้นเย่หยวนกลับยังสามารถหลอมโอสถได้ถึงขั้นเทวะโมฆะ!”
โอสถของทางสามผู้อาวุโสนั้นหนึ่งเป็นขั้นสูง ส่วนอีกสองนั้นเป็นแค่ขั้นกลาง
มันมิใช่ว่าพวกเขาไม่มีปัญญาหลอมโอสถคุณภาพสูง แต่เป็นเพราะว่าพวกเขานั้นถูกเย่หยวนกดดันอยู่ตลอดจนไม่อาจแสดงพลังฝีมือที่แท้จริงออกมาได้
เย่หยวนชนะอีกครั้ง!
จุใจและมันส์ ขอบคุณครับ
ตอบลบ