ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 633-638

 ตอนที่ 633 เรื่องที่เหล่าทวยเทพคิดไม่ถึง

 

ในดวงดาวที่มืดมิดใบหนึ่ง 


 


 


บุรุษในชุดสีดำลายทองนอนทอดกายอยู่ในศูนย์กลางของดวงดาวที่ว่างเปล่าอย่างเงียบๆ 


 


 


บนดวงดาวนั้นมีแต่ความว่างเปล่าปราศจากผู้คน ราวกับลูกบอลสีดำลูกใหญ่ที่ห่อหุ้มเขาเอาไว้ 


 


 


เขานอนอยู่ในใจของดาวดวงนี้อย่างสงบนิ่ง 


 


 


ทั้งๆที่ภายในลูกบอลสีดำนี้ไม่มีสายลม แต่ว่าเสื้อผ้าและเส้นผมของเขากลับพลิ้วอยู่ตลอด ดวงหน้าของบุรุษผู้นั้นเป็นใบหน้าที่คมสันและงดงามดุจเทพสร้าง 


 


 


ในตอนนี้ แสงสว่างจากภายนอกของลูกบอลสีดำถูกส่งเข้ามาภายในนี้อย่างไม่ขาดสาย 


 


 


แสงสว่างเหล่านั้นวนอยู่รอบกายเขา และฟาดลงมาบนร่างดุจสายฟ้าที่คมกริบ 


 


 


ภายในดวงดาวที่เหมือนลูกบอลสีดำนี้ ยังเต็มไปด้วยสีสันที่สดใส มันมีสีสันต่างๆมากมายจนคนคิดไม่ถึง 


 


 


แต่ว่า มิว่าจะมีสีสันจนงามเพียงไรก็ยังไม่อาจจะงดงามไปกว่าบุรุษผู้นี้ได้ 


 


 


เขานอนสงบนิ่งอยู่ในลูกบอลสีดำใบนี้มาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว 


 


 


ตอนที่พึ่งจะปรากฏตัวขึ้นมานั้น ร่างกายนี้มีแต่ความบอบช้ำทุกส่วนแตกหัก จึงต้องประสานกันราวกับสร้างขึ้นมาใหม่ 


 


 


หลังใช้ลมหายใจแห่งปรโลกไปเผาผลาญและหล่อหลอมพลังจิตวิญญาณจำนวนมหาศาลตลอดเวลา เรือนร่างที่แตกหักและบอบช้ำนั้นค่อยๆประสานเข้าหากันจนสมบูรณ์ เมื่อดูจากภายนอกก็งดงามปราศจากตำหนิใดๆทั้งสิ้น 


 


 


แสงสว่างที่ระยิบระยับอยู่ภายในลูกบอลนั้นยังคงถูกดูดซับผ่านเข้ามาจากดวงดาวที่อยู่ใกล้ๆ 


 


 


และดวงดาวที่ถูกดูดซับไปมากที่สุดก็คือดาวจักรพรรดินั่นเอง 


 


 


ในจักรวาลนี้ ทั่วทั้งหกภพภูมิกลับไม่มีผู้ใดเชื่อว่า ภายในลูกบอลสีดำใบนี้จะมีบุรุษอยู่ผู้หนึ่ง 


 


 


เหล่าทวยเทพในแดนสวรรค์ยิ่งคิดไม่ถึงว่า สักวันหนึ่งจะมีผู้ครองฟ้าและกำราบดินแดนมาจากเจ้าลูกบอลสีดำที่พวกเขาดูไม่ออกลูกนี้ 


 


 


………………… 


 


 


แดนสวรรค์ เจดีย์กำราบเทพมาร 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันได้ตามเสด็จตี้เสียมายังที่นี่ ข่าวลือในแดนสวรรค์ก็กระจายไปทั่วแล้ว 


 


 


ถึงแม้ว่ายามปกติพวกเทพจะรักษาทีท่าว่าข้านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์วางตนสูงส่งอยู่เสมอ  


 


 


แต่ว่าพอมีเรื่องข่าวลือแพร่ออกมา ก็ไม่เคยมีผู้ใดยอมพลาด 


 


 


ต่างก็พูดกันไปว่าเจ้าสวะจากเผ่ามังกรทมิฬผู้นั้นช่างมีเคล็ดลับยอดเยี่ยม สามารถเสาะหาวิธีดึงดูดความสนพระทัยของเทียนตี้ได้อย่างรวดเร็ว 


 


 


เทียนตี้คือผู้ใดกัน? 


 


 


พระองค์ย่อมทรงเป็นประมุขสูงสุดที่ปกครองทั่วทั้งหกภพภูมิ 


 


 


ต่อให้เป็นพวกเทพระดับสูง ยามปกติยังยากจะมีโอกาสได้เข้าเฝ้ากราบทูลเทียนตี้สักหลายคำ พวกเขาจึงไม่เข้าใจจริงๆว่า เจ้าสวะผู้นั้นไปถูกพระทัยเทียนตี้ได้อย่างไร 


 


 


จนกระทั่งมีคนไปขุดคุ้ยรายละเอียดขึ้นมา 


 


 


เจ้าสวะผู้นั้นใช้เขากวางเป็นอาวุธโจมตีเทียนตี้ ทั้งยังฉี่ราดที่เบื้องพระพักตร์เทียนตี้อีกด้วย! 


 


 


ดูท่าคงจะเป็นเพราะว่าโง่เขลาจนเกินไป ดูไปแล้วน่าสนุกสนานดี ถึงได้กระตุ้นความสนพระทัยของเทียนตี้ขึ้นมา ถึงได้ให้ตามเสด็จด้วยกระมั้ง 


 


 


สรุปแล้ว พวกเทพเหล่านี้ทางหนึ่งก็คอยกระทบกระเทียบตู๋กูซิงหลัน อีกทางหนึ่งก็คอยอิจฉาตู๋กูซิงหลัน 


 


 


พลังอำนาจของเทียนตี้แข็งแกร่ง เกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดคิดได้ 


 


 


บางทีแค่เทียนตี้ทรงตรัสขึ้นมาประโยคหนึ่ง เจ้าสวะผู้นี้ก็อาจจะได้กลายเป็นผู้มีอำนาจแดนสวรรค์ก็เป็นได้ 


 


 


ในยามนี้ รอบด้านของเจดีย์กำราบเทพมารจึงมีพวกเทพมาชุมนุมอยู่ไม่น้อย 


 


 


แววตาของพวกเขาทอประกายร้อนแรง แทบจะเผาผลาญเจ้าสวะผู้นั้นให้เป็นจุลอยู่แล้ว 


 


 


ในสายตาของพวกเขา เจ้าสวะผู้นั้นมิได้ใช้ความมานะพยายามใดๆ ก็สามารถได้รับความสำเร็จติดมือขึ้นมาง่ายๆ ทำให้คนไม่อาจยอมรับอย่างที่สุด 


 


 


ตอนนี้ทุกคนจึงพากันจ้องมองมา หากมิใช่ว่ามีเทียนตี้ทรงคุ้มครองมันอยู่ เจ้าสวะผู้นี้ก็คงจะศีรษะหลุดร่วงลงไปแล้ว 


 


 


ก็บนแดนสวรรค์แห่งนี้ ทุกๆวันก็มักจะมีพวกเทพเล็กเทพน้อยหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยอยู่แล้วมิใช่หรือ? 


 


 


…………… 


 


 


จนถึงยามนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่รู้เลยว่าพวกเทพทั้งหลายกำลังคิดสิ่งใดกันอยู่ 


 


 


ตลอดทางมานี้ เทียนตี้ผู้ทรงสูงส่งมิได้ตรัสอะไรออกมาแม้แต่ประโยคเดียว 


 


 


เมื่อเข้าไปใกล้เจดีย์กำราบเทพมาร พวกเขาก็ร่อนลงบนพื้นแบบหนักๆ แม้แต่พื้นหยกม่วงใต้ฝ่าเท้าที่มาจากตำหนักจื่อเวยกง ก็ยังแตกจนแหลกละเอียดเป็นผุยผง 


 


 


เศษหยกร่วงกราวกระจัดกระจาย 


 


 


เจดีย์กำราบมาร สมดังชื่อของมัน 


 


 


เจดีย์หลังนี้มีจำนวนชั้นไม่มากนัก เพียงแค่เก้าชั้นเท่านั้น ตอนนี้ตี้เสียทรงพาตู๋กูซิงหลันมาหยุดอยู่ที่บริเวณชั้นที่แปดของเจดีย์ 


 


 


เจดีย์หลังนี้เป็นทรงกลม รอบด้านทั้งหมดมีเขตอาคมกางกั้น เหมือนดังกรงขังขนาดใหญ่ที่สามารถกักขังได้ทั้งเทพและมารเอาไว้ภายใน 


 


 


ในอากาศมีกลิ่นสัตว์เหม็นเน่าที่ยากจะทนทานโชยชาย ทั้งยังเย็นยะเยือกอยู่บ้าง 


 


 


ยามนี้ในกรงขังชั้นที่แปดมีนกยักษ์ถูกขังเอาไว้ 


 


 


ร่างกายของมันมีขนาดใหญ่โตมาก เพียงแค่ขนที่ร่วงลงมาแต่ละเส้นก็มีความยาวเมตรกว่าๆแล้ว 


 


 


ยามนี้ เจ้านกตัวนั้นกำลังนั่งอยู่ในกรง เส้นขนบนร่างหลุดร่วงออกไปบ้าง 


 


 


มันซุกศีรษะเอาไว้ กำลังหลับไหลอยู่ ขนาดเมื่อตี้เสียและตู๋กูซิงหลันมาถึงแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัว 


 


 


หนังตาของมันกระตุกเบาๆ ลูกตาที่มีขนาดใหญ่โตกำลังขยับไปมาอยู่ใต้หนังตานั้น ราวกับว่ากำลังหลับไหลอยู่ 


 


 


ตี้เสียทอดพระเนตรมองดูนกยักษ์อยู่ครู่หนึ่ง ก็หันมาเหลือบพระเนตรมองดูตู๋กูซิงหลันที่นอนกลิ้งอย่างอ่อนแรงอยู่บนพื้น “คนทั่วทั้งแดนสวรรค์ต่างก็รู้ดีว่า นกยักษ์เป็นสัตว์อสูรที่เราทุ่มเทแรงกายแรงใจไปสยบมันมา” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “เทียนตี้ทรงเก่งกาจ” 


 


 


นกยักษ์ตัวนี้ เป็นผู้สืบสายเลือดจากนกอมตะ แม้ว่านางจะเป็นประมุขมังกรของเผ่ามังกรทมิฬ แต่ว่าก็ยังไม่เคยเห็นนกอมตะมาก่อนเลยสักตัว 


 


 


ทั้งยังไม่เคยเห็นร่องรอยของนกอมตะในแดนสวรรค์อีกด้วย 


 


 


ตู๋กูซิงหลันนึกว่าเรื่องของพวกนกอมตะจะมีอยู่แต่ในเรื่องเล่าเพียงเท่านั้นเสียอีก 


 


 


แม้จะได้รับคำชมจากนาง ตี้เสียก็มิได้แสดงกริยาว่าปลาบปลื้มออกมา พระองค์เพียงแต่มองดูนกยักษ์ตัวนั้นนิ่งๆ จากนั้นก็ตรัสออกมาอย่างเย็นชาว่า “เจ้าเด็ดผลไม้ทิพย์มาแล้วมิใช่หรือ ไยจึงไม่ป้อนมัน?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรีบล้วงเอาผลไม้ทิพย์ออกมา ประคองเอาไว้ในมือ ยื่นถวายตี้เสีย “เจ้านกยักษ์เป็นสัตว์อสูรในพันธสัญญาณของฝ่าบาท สูงส่งและล้ำค่า กระหม่อมไหนเลยจะกล้าอาจเอื้อมไปป้อนมัน ในเมื่อเทียนตี้ทรงเสด็จมาแล้ว กระหม่อมก็ขอยืมดอกไม้บูชาพระ ถวายผลไม้ทิพย์เหล่านี้ให้พระองค์ได้ทรงป้อนมันจะดีกว่าพะยะค่ะ” 


 


 


ตามปกติแล้ว สัตว์อสูรที่อยู่ในพันธสัญญา หลังจากที่มีพันธะต่อกันแล้ว พวกมันมักจะพักผ่อนอยู่ในเขตอาคมพิเศษที่เรียกออกมาได้ทุกเมื่อของผู้เป็นนาย 


 


 


และเขตอาคมนี้ โดยมากแล้วก็จะผนึกรวมอยู่กับดวงจิตของนายด้วย 


 


 


หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ สัตว์อสูรในพันธะมักจะอาศัยอยู่ในดวงจิตของเจ้านายเป็นหลัก แต่การที่เจ้าสัตว์อสูรในพันธะมาถูกขังไว้ในกรง ตู๋กูซิงหลันก็พึ่งจะเคยได้เห็นเป็นครั้งแรก 


 


 


พอมองดูให้ดี ยิ่งเห็นว่าที่ขาของนกยักษ์มีโซ่ขนาดข้อมือล่ามเอาไว้อีกด้วย 


 


 


ที่ข้างกรงเล็บของมัน มีกระดูกมากมายหลายชนิด 


 


 


เส้นขนที่ปะปนอยู่บนกระดูกเหล่านั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ดูแล้วเหมือนลานประหัตประหารที่โหดเ**้ยมน่ากลัวอย่างยิ่ง 


 


 


ตี้เสียทรงคีบผลไม้ทิพย์มาลูกหนึ่ง โยนเข้าไปในกรงอย่างสุ่มๆ ผลไม้ทิพย์ลูกนั้นก็ร่วงใส่หัวของเจ้านกยักษ์อย่างพอดิบพอดี 


 


 


เจ้านกยักษ์ที่กำลังหลับอยู่พลันตื่นขึ้น และมองมาด้วยความเกรี้ยวกราด 


 


 


ตี้เสียทรงทอดพระเนตรมองดูมัน ขณะเดียวกันก็ตรัสกับตู๋กูซิงหลันว่า “เจ้านกยักษ์ตัวนี้ แต่เดิมก็เป็นสัตว์อสูรที่โหดเ**้ยมอยู่แล้ว เราต้องทุ่มเทพลังไปมากมายจึงสามารถสยบมันเอาไว้ได้ เจ้าตัวนี้อารมณ์มันร้ายมาก นิสัยก็ไม่ดี มักจะต่อต้านอยู่เสมอ พอถูกขังเอาไว้ในเจดีย์กำราบเทพมาร ถึงได้รู้จักสงบลงเสียบ้าง” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันจับประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ได้แล้ว เทียนตี้ที่ทรงดำรงตนสูงส่งอยู่เสมอ มิได้ทรงเห็นว่าเจ้านกยักษ์ตัวนี้เป็นสัตว์อสูรในพันธะแต่อย่างใด 


 


 


ในสายพระเนตรของพระองค์ มันก็เป็นเพียงแค่สัตว์ชนิดหนึ่ง ที่สามารถนำมาใช้เป็นอาวุธสังหารได้ก็เท่านั้นเอง 


 


 


“อ้อ ลืมบอกกับเจ้าไป สิ่งที่มันชอบกินที่สุด ไม่ใช่ผลไม้ทิพย์พวกนี้ แต่เป็นเนื้อ เนื้อของมนุษย์” 


 


 


หางเสียงของพระองค์ลากยาว คล้ายจะมีความจงใจอยู่หลายส่วน 


 


 


น้ำเสียงนั่นทำให้คนต้องรู้สึกขนลุกเกรียว 


 


 


ขณะที่นกยักษ์ตัวนั้นกระพือปีกพุ่งเข้ามา พระองค์ก็ชี้ดัชนีไปที่กองกระดูกที่อยู่ข้างๆมัน “เห็นหรือไม่ นั่นเป็นกระดูกมนุษย์” 

 

 

 


ตอนที่ 634 ในที่สุดเจ้าก็เผยโฉมหน้าที...

 

กระดูกมนุษย์ 


 


 


ขณะที่เจ้านกยักษ์กระโดดโผเข้ามา โครงกระดูกบนพื้นก็ถูกมันกระทืบจนแหลกละเอียด 


 


 


กระโหลกมนุษย์ที่ปนอยู่ในกองกระดูกกระเด็นมาถึงร่างของตู๋กูซิงหลัน จนนางต้องรีบถอยหลบ 


 


 


กระโหลกมนุษย์ชิ้นนั้นร่วงใส่อ้อมแขนของนาง จากนั้นก็กลิ้งจากอ้อมแขนของนางลงไปบนพื้นด้านข้าง 


 


 


บนกระโหลกยังมีเลือดเนื้อติดอยู่ เลือดไหลซึมออกมา ส่วนบนของกระโหลกยังมีเส้นผมติดอยู่ 


 


 


ภาพเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกสยดสยองอย่างที่สุด 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรีบกลั้นลมหายใจเอาไว้ เบื้องหน้าของนางมีแต่ลมจากปีกของนกยักษ์โหมเข้ามา หากไม่ใช้พลังวิญญาณกางกั้นเอาไว้ มีหวังต้องถูกพัดจนลอยออกไป 


 


 


ยังดีที่ด้านหน้าของนางมีตี้เสียประทับอยู่ แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างของตี้เสีย ย่อมสามารถสะกดข่มเจ้านกยักษ์เอาไว้จนมันไม่กล้าอาละวาด 


 


 


“เจ้าคงจะสงสัยสินะว่า บนแดนสวรรค์จะไปหามนุษย์จากที่ใดมาให้มันกิน ใช่ไหม?” 


 


 


พระองค์ตรัสต่อไปเรื่อยๆ ราวกับว่ามองเห็นความในใจของตู๋กูซิงหลันอยู่แล้ว 


 


 


“แดนสวรรค์ ที่อยู่สูงสุดเหนือหกภพภูมิ ทวยเทพ ย่อมได้รับการกราบไหว้จากพวกมดปลวกในโลกเบื้องล่าง ศพและเลือดเนื้อของมนุษย์เหล่านี้ ก็เป็นเพียงแค่ของถวายที่มดปลวกเหล่านั้น ใช้เพื่อวอนขอโอกาสในการดำรงชีวิตต่อไป” 


 


 


“อ้อ พวกมดปลวกนั่นยังรู้จักคัดเลือกของถวายที่มีหน้าตาดี คงจะคิดไปว่า เผื่อเทพเจ้าองค์ไหนถูกตาต้องใจเข้า จะได้ถือโอกาสนี้พลิกสถานะกลายเป็นเทพกับเขาบ้างกระมั้ง?” 


 


 


ที่จริงแล้วน้ำเสียงของตี้เสียน่าฟังเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าพอตรัสเรียกผู้อื่นเป็นมดปลวกอยู่ทุกคำ กลับทำให้ไม่น่าฟังเป็นที่สุด 


 


 


ตู๋กูซิงหลันฟังจนรู้สึกปวดหูแล้ว 


 


 


“ส่วนมดปลวกที่ถูกซือเป่ยเห็นคุณค่าอย่างเจ้า นับว่ามีอยู่น้อยมาก” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “….” เขาเป็นถึงจักรพรรดิแห่งแดนสวรรค์ กลับพูดจาอย่างปราศจากน้ำใจไมตรี กีดกันและแบ่งแยกชนชั้นอยู่ตลอด 


 


 


แสดงว่าก่อนหน้านี้ตอนอยู่เบื้องหน้าจื่อเวยซิงจุน ต้องถือว่าตี้เสียทรงให้เกียรติและรักษาหน้ามากแล้ว 


 


 


ตอนนี้เมื่ออยู่ที่เจดีย์กำราบเทพมาร ก็มีแต่เพียงเขากับนางและนกยักษ์ตัวหนึ่งเท่านั้น จะพูดอะไรก็ไม่จำเป็นต้องระวังอีกต่อไป 


 


 


“เทียนตี้ตรัสเช่นไร ก็คือเช่นนั้น” ตู๋กูซิงหลันเงยหน้าขึ้นมามองไปยังกองกระดูกที่อยู่ไม่ไกลออกไป 


 


 


ในกรงใบมหึมา ขาของเจ้านกยักษ์ถูกล่ามเอาไว้ด้วยโซ่เหล็ก ถึงแม้ว่ามันจะสามารถโผมาถึงเบื้องหน้าของพวกนาง แต่ก็ไม่อาจออกมาจากกรงได้อยู่ดี 


 


 


กรงเล็บของมันคมกริบอย่างที่สุด ราวกับง้าวของยมทูต กรีดลงไปบนพื้นอยู่ตลอดเวลา 


 


 


จนสามารถมองเห็นร่องรอยบนพื้นเต็มไปหมด 


 


 


ตี้เสียทอดพระเนตรมาทางตู๋กูซิงหลันอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง “มดปลวกที่มาจากโลกเบื้องล่างตัวหนึ่ง กลับมีความสงบนิ่งกว่าที่เราคาดคิดเอาไว้เสียอีก” 


 


 


เงียบกันไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงของตี้เสียตรัสต่อไปว่า “เจ้าช่างเสแสร้งได้ยอดเยี่ยมนัก” 


 


 


ขณะที่ตรัสคำว่าเสแสร้งสองคำนั้น กรงเล็บของเจ้านกยักษ์ก็กรีดไล่ขึ้นมาถึงพื้นตรงหน้าพอดี 


 


 


พื้นเบื้องหน้าเกิดประกายไฟลุกพริบขึ้นมา เมื่อมองผ่านประกายไฟไปยังสามารถมองเห็นดวงตากลมโตราวลูกเหล็กที่อยู่ด้านหลัง ดวงตาของมันเบิกกว้างจนมองเห็นเส้นเลือดสีแดงและความกระหายเลือดได้อย่างชัดเจน 


 


 


หัวใจของตู๋กูซิงหลันกระตุกวาบขึ้นมา นางเข้าใจว่าตนเองสามารถแสดงดีจนไม่มีพิรุธให้จับได้เสียอีก 


 


 


แต่ว่าบุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ คือผู้ที่มีอำนาจสูงส่งที่สุดในแดนสวรรค์ ความสามารถของเขาแข็งแกร่งถึงเพียงไหน ตู๋กูซิงหลันก็ไม่อาจคาดเดาได้จริงๆ 


 


 


หากจะบอกว่าเขาสามารถตรวจสอบเจอว่าภายใต้เนื้อหนังของเยี่ยเฉินนี้มีจิตวิญญาณอีกดวงหนึ่งซุกซ่อนอยู่ นางก็คงไม่ได้รู้สึกว่ามันจะแปลกอะไร 


 


 


ในเมื่อหมื่นปีก่อน ตอนที่อาจารย์ซื่อมั่วยังเป็นราชาแห่งยมโลก ตี้เสียผู้นี้ก็เคยทำสงครามกับอาจารย์มาแล้ว 


 


 


อาจารย์เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนจะแข็งแกร่งถึงขนาดไหน ตู๋กูซิงหลันก็ยังนึกไม่ออก 


 


 


นางกระพริบตาปริบๆ แต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้นยืน “ผู้น้อยไม่เข้าใจว่าเทียนตี้ทรงหมายความเช่นไร” 


 


 


“อ้อ?” ตี้เสียทรงพระสรวลเสียงเย็นชา พอดัชนีของเขาขยับงอเล็กน้อย ตู๋กูซิงหลันก็ถูกหิ้วขึ้นมาจากบนพื้น 


 


 


ขนาดเยี่ยเฉินที่มีร่างกายแข็งแรง แต่พอถูกเขาหิ้วขึ้นมายังมีสภาพเหมือนลูกเจี้ยบที่ถูกหิ้วเอาไว้ตัวหนึ่ง 


 


 


ตี้เสียทรงไม่เสียเวลาแม้แต่จะคิด พระหัตถ์ใหญ่โตโบกขึ้นครั้งหนึ่ง ประตูกรงของนกยักษ์ก็เปิดออก จากนั้นก็เขวี้ยงตู๋กูซิงหลันเข้าไปข้างใน 


 


 


พอพระหัตถ์นั้นโบกอีกครั้ง ประตูกรงก็ปิดลงมา 


 


 


“บางทีเจ้านกยักษ์อาจจะช่วยให้เจ้าจำอะไรได้บ้างกระมั้ง?” ตี้เสียทรงประทับอยู่ที่นอกกรง ทั่วพระองค์ล้อมด้วยรัศมีสีทองเรืองอร่าม แม้แต่ผิวพรรณก็เปล่งประกายออกมาจากภายใน 


 


 


แม้จะดูเหมือนพระโพธิ์สัตว์เสด็จลงมาบนโลกแต่ที่จริงแล้วกลับแสบตาจนร้อนผ่าว 


 


 


นับตั้งแต่แวบแรกที่ทอดพระเนตรเห็นตู๋กูซิงหลัน พระองค์ก็ไม่คิดจะปล่อยนางไปอยู่แล้ว 


 


 


แต่กลับทรงทำเป็นสงบนิ่งแสร้งทำพระองค์เป็นจักรพรรดิสวรรค์ผู้สูงส่งและพระทัยกว้าง การแสดงนี้แนบเนียนเสียจนตู๋กูซิงหลันต้องยอมรับนับถือ 


 


 


ทันทีที่ประตูกรงปิดลงอย่างแน่นหนา เจ้านกยักษ์ที่มีท่าทางกระตือรือล้นอยู่ก่อนก็เปิดฉากโจมตีใส่ตู๋กูซิงหลันอย่างดุร้าย 


 


 


แววตาของมันบ่งบอกความกระหายเลือด กรงเล็บที่คมกริบดุจง้าวของยมทูตพุ่งเข้าหาทรวงอกของตู๋กูซิงหลันอย่างรวดเร็ว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยังคงเดิมพันจนถึงขั้นสุดท้าย นางไม่ยอมหลบหลีก ปล่อยให้ร่างกายของเยี่ยเฉินโดนข่วนไปหนึ่งกรงเล็บเต็มๆ 


 


 


แม้ว่ากรงเล็บนั้นจะพลาดเป้าไปเล็กน้อย แต่ต้นขาของเยี่ยเฉินก็ยังเลือดทะลักจนเห็นกระดูก 


 


 


จิตวิญญาณของตู๋กูซิงหลันผสานเข้ากับร่างเนื้อของเยี่ยเฉินในระดับสูง ดังนั้นทุกอาการบาดเจ็บของเยี่ยเฉิน นางย่อมรู้สึกได้อย่างชัดเจน 


 


 


ขณะที่รับการโจมตีครั้งนี้ ตู๋กูซิงหลันยังแอบเหลือบตามองดูตี้เสียที่ยืนอยู่นอกกรงแวบหนึ่ง 


 


 


อีกฝ่ายยืนอยู่ในที่เดิม รัศมีสีทองรอบกายเปล่งประกายอยู่ตลอดเวลา และไม่มีทีท่าว่าจะให้เจ้านกยักษ์หยุดการโจมตีเลยสักนิด 


 


 


คราวนี้ ตู๋กูซิงหลันถึงได้เข้าใจแล้วจริงๆว่า อีกฝ่ายดูนางออกหมดแล้ว 


 


 


“เอาอีก” ตี้เสียมองดูนางที่หลั่งเลือดท่วมไปทั้งขา แววพระเนตรที่อยู่เบื้องหลังรัศมีสีทองยังคงเย็นชา “นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นมดปลวกที่มีความอดทนเช่นนี้ หากว่าร่างนั้นย่อยยับไป ดูสิว่าเจ้ายังไม่ยอมออกมาอีกหรือเปล่า” 


 


 


ใช่แล้ว ตั้งแต่ยามอยู่ที่ตำหนักจื่อเวยกง พระองค์ก็เหลือบพระเนตรมามองดู ‘เยี่ยเฉิน’ อยู่หลายครั้ง ยิ่งพอได้อยู่ใกล้ๆ ก็ทรงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติจากคนผู้นี้ 


 


 


สิ่งที่อยู่ในร่างของเขา มิใช่จิตวิญญาณของแดนสวรรค์ 


 


 


หากมิใช่ว่าพระองค์บังเอิญได้พบเจอกับเขา ก็คงไม่มีทางรู้เลยว่าแดนสวรรค์มีเภทภัยเช่นนี้ซุกซ่อนอยู่ 


 


 


เดิมทีความเคลื่อนไหวของวิถีดวงดาวในช่วงนี้ และดวงดาวจักรพรรดิที่หม่นแสงลงไปก็กระตุ้นความระแวงของตี้เสียอยู่แล้ว 


 


 


ยามนี้เมื่อตู๋กูซิงหลันมาเจอกับเขา จึงยิ่งเหมือนมีหนามแทงตา 


 


 


ขณะที่นางยังไม่ทันได้รู้ตัว ตี้เสียก็ทรงใช้พลังวิญญาณสำรวจดูนางอย่างเงียบๆแล้ว 


 


 


สิ่งที่สามารถยืนยันได้อย่างแน่นอนก็คือ ในร่างกายนี้มีจิตวิญญาณอีกดวงหนึ่ง 


 


 


และผู้ที่ควบคุมร่างอยู่ถึงกับมีฝีมือปิดบังที่สูงส่ง ทำให้พระองค์ไม่อาจเห็นว่าเขามีรูปร่างเช่นไรกันแน่ 


 


 


ที่ทรงโยนนางเข้าไปในกรงของนกยักษ์ก็เพื่อที่จะได้ทำลายร่างเนื้อนั่นทิ้งไป 


 


 


ทีนี้จิตวิญญาณที่ซุกซ่อนอยู่ภายในย่อมต้องหลบหนีออกมา 


 


 


พระองค์แย้มสรวลอย่างเย็นชาที่มุมพระโอษฐ์ สายพระเนตรปรากฏแววสังหาร 


 


 


ภายในกรง พอตู๋กูซิงหลันขยับ เจ้านกยักษ์ก็เริ่มโจมตีอีกครั้ง  


 


 


แต่ว่าครั้งนี้ นางมิได้รอความตายอยู่เฉยๆอีกแล้ว 


 


 


นางลุกขึ้นมาจากบนพื้น ร่างเหยียดตรงดุจพู่กัน ทันทีที่กรงเล็บของนกยักษ์ตะครุบลงมา ร่างก็ขยับวูบ เหาะขึ้นไปอยู่เหนือหัวของมัน 


 


 


เจ้านกยักษ์โกรธเกรี้ยว สองปีกโบกไปมาอยู่เหนือศีรษะอย่างวุ่นวาย คิดจะขับไล่นางออกไปจากหัวของมัน 


 


 


มันเกลียดยามที่มีพวกแมลงมาวนเวียนอยู่เหนือหัวของมันที่สุด นี่ทำให้มันหงุดหงิดจนจะคลั่ง! 


 


 


ที่ด้านนอกกรง ตี้เสียทรงแย้มสรวลอย่างเย็นชา พระองค์ทรงนับเม็ดประคำอย่างเนิบนาบต่อไป พลางตรัสว่า “ในที่สุดเจ้าก็ยอมเผยโฉมออกมาแล้ว” 

 

 

 


ตอนที่ 635 ที่แท้นางก็คือ?

 

พระองค์เองก็ไม่ทรงทราบว่าทำไมอยู่ๆจึงได้เกิดความสนพระทัยขึ้นมา 


 


 


บางทีอาจเป็นเพราะวันเวลาในแดนสวรรค์นั้นน่าเบื่อหน่าย ไม่มีเรื่องใดให้ตื่นเต้นมานานแล้วก็ได้ 


 


 


จิตวิญญาณจากโลกเบื้องล่างดวงหนึ่ง ก็สามารถสิงสถิตย์ในร่างเนื้อของผู้อื่น เล็ดลอดขึ้นมาถึงบนนี้ได้ นี่ยังมิใช่เรื่องที่น่าสนใจอีกหรือ? 


 


 


แถมเหล่าเทพบนแดนสวรรค์ก็ยังไม่มีผู้ใดจับพิรุธของเจ้ามดปลวกตัวนี้ได้อีกต่างหาก 


 


 


พระองค์ทรงสงสัยอยู่ในพระทัยว่า ภายใต้ร่างที่มีเนื้อหนังนั่น แท้จริงแล้วซุกซ่อนจิตวิญญาณแบบใดเอาไว้กันแน่? 


 


 


จึงได้ทรงประทับทอดพระเนตรอยู่เฉยๆ โดยมิได้ลงมือใดๆ 


 


 


ระดับจักรพรรดิสวรรค์ ย่อมไม่ทรงลงมือกับพวกมดปลวกอยู่แล้ว 


 


 


พระองค์ประสงค์จะประทับอยู่ด้านนอก มองดูเจ้านกยักษ์ค่อยๆฉีกกระชากร่างเนื้อนั่นออก ปล่อยให้เลือดสดๆไหลนองลงมา พอเหลือแต่ซากกองอยู่บนพื้น โฉมหน้าที่แท้จริงนั้นมีหรือจะไม่ปรากฏออกมา? 


 


 


………………….. 


 


 


ที่ด้านนอกของเจดีย์กำราบมาร เหล่าเทพที่เฝ้าสังเกตการณ์ดูอยู่แต่ไกล ต่างก็พากันประหลาดใจขึ้นมา 


 


 


พวกเขารู้สึกได้ถึงความอึกทึกครึกโครมที่กำลังเกิดขึ้นภายในเจดีย์ หรือว่าในนั้น….จะมีการต่อสู้กัน? 


 


 


ใครกำลังต่อสู้กันอยู่? 


 


 


และต่อสู้กันเพราะอะไร? 


 


 


นี่จึงเป็นประเด็นหลักที่เหล่าเทพทั้งหลายสนใจ 


 


 


เทียนตี้กับเจ้าสวะจากโลกเบื้องล่างนั้นยังคงอยู่ข้างในนั้นนี่นา 


 


 


“กรรรร ….” ทันใดนั้นเอง เสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดของเหล่ามังกรหยกเขียวก็ดังมาแต่ไกล 


 


 


เหล่าเทพต่างก็พากันหันไปมอง พอเห็นว่ามังกรหยกเหล่านั้นกำลังลากพระตำหนัก หลิงเซียวเป่าเตี้ยนมาทางนี้ พวกเขาก็พากันหลีกทางให้ 


 


 


พระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยน คือที่ประทับของเทียนตี้และเทียนโฮ่ว ทั้งยังมีท้องพระโรงที่เหล่าเทพใช้เป็นสถานที่ประชุมอีกด้วย 


 


 


การประชุมในวันนี้เสร็จสิ้นไปแต่แรกแล้ว อีกทั้งตอนนี้เทียนตี้ก็ทรงประทับอยู่ในเจดีย์กำราบเทพมาร เช่นนั้นผู้ที่ประทับอยู่ในพระตำหนักหลิงเซียนเป่าเตี้ยน ย่อมต้องเป็นเทียนโฮ่วแล้ว! 


 


 


พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่า เรื่องนี้จะถึงกับทำให้เทียนโฮ่วทรงเคลื่อนไหวเช่นกัน 


 


 


เหล่าเทพในแดนสวรรค์ต่างก็ทราบกันดีว่า เทียนตี้ทรงรักถนอมเทียนโฮ่วมาโดยตลอด แม้จะบอกว่าเป็นมุกที่ถนอมเอาไว้บนฝ่าพระหัตถ์ก็ไม่ถือว่าเกินไป 


 


 


แม้ว่าเทียนตี้จะทรงมีฝีมือโหดเ**้ยม จัดการเรื่องราวต่างๆด้วยความเด็ดขาดและรุนแรง แต่กลับทรงดีต่อเทียนโฮ่วอย่างยิ่ง 


 


 


บนแดนสวรรค์นี้ เทียนโฮ่วปรารถนาสิ่งใดย่อมได้รับสิ่งนั้น แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีเรื่องให้หมองพระทัยมาก่อนเลย 


 


 


เพียงแต่ที่ผ่านมาเทียนโฮ่วมักจะเก็บพระองค์ น้อยครั้งนักที่จะเผยพระโฉม 


 


 


อีกอย่างในแดนสวรรค์ก็ยากจะมีเรื่องใดเกิดขึ้นจนถึงขั้นกระเทือนถึงพระนางด้วยเช่นกัน 


 


 


เหล่ามังกรหยกที่ลากพระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนหยุดห่างจากเจดีย์กำราบเทพมารในระยะพันเมตร 


 


 


ครู่ต่อมา ก็มีสิบแปดเทพธิดาที่งดงามเหาะออกมาจากตำหนักกลางของพระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยน 


 


 


เหล่าเทพธิดายกเกี้ยวนอนสีแดงหลังใหญ่เอาไว้ ทั้งยังมีบันไดหยกหนึ่งร้อยแปดขั้นเหาะตามมาอีกด้วย 


 


 


รอบด้านของเกี้ยวมีม่านโปร่งคลุมอยู่ แม้ผ้าเนื้อบางจะพลิ้วไหวไปตามสายลม แต่ยังก็สามารถมองเห็นเค้าโครงของสตรีที่อยู่ภายในได้ 


 


 


งดงามเกินผู้ใดจะเปรียบ สูงส่งเหนือใดเทียบ  


 


 


ท่วงท่าของนางสง่างาม สมดั่งที่เป็นพระมารดาผู้อยู่เหนือหกภพภูมิ 


 


 


แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจได้ยลพระพักตร์ 


 


 


ยามที่เกี้ยวทรงมาถึง กลิ่นหอมก็ขจรขจายไปทั่วทั้งสี่ทิศ ทำให้จิตใจของผู้คนรู้สึกเบิกบานขึ้นมาในทันที 


 


 


เหนือเกี้ยวทรงหลังนั้น มีนกยูงขาวหลายตัวบินโฉบไปมา พวกมันทางหนึ่งโผบิน ทางหนึ่งก็ส่งเสียงกู่ร้องที่ไพเราะออกมา 


 


 


เผ่านกอมตะนั้น ได้ดับสูญไปตั้งแต่ครั้งบรรพกาลแล้ว  


 


 


สายเลือดที่หลงเหลืออยู่จึงมีแต่นกยูงและเจ้านกยักษ์เท่านั้น 


 


 


นกยูงนับเป็นวิหคที่งดงามเป็นยอด ส่วนนกยักษ์ก็โหดเ**้ยมดุร้ายที่สุด 


 


 


นกยักษ์ที่มีอยู่มาตั้งแต่ยุคบรรพกาล คล้ายจะเหลือแต่เพียงเจ้าตัวที่อยู่ในเจดีย์กำราบเทพมารตัวนี้ตัวเดียวเท่านั้นแล้ว 


 


 


นกยูงขาวก็หาพบได้ยาก นกยูงขาวเหล่านี้เดิมทีเป็นสัตว์ในโลกปัจจุบัน แต่เนื่องเพราะเทียนโฮ่วโปรดปราน เทียนตี้จึงส่งคนลงไปนำขึ้นมา เลี้ยงเอาไว่ในพระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยน 


 


 


เช่นเดียวกับปลามังกรที่อยู่ในสายธารแห่งดวงดาว 


 


 


มิว่าสิ่งใดที่เทียนโฮ่วทรงโปรดปราน เทียนตี้ก็ทรงนำมามอบให้ถึงพระหัตถ์อย่างไม่มีข้อแม้ 


 


 


แต่ว่าเหตุใดเทียนตี้จึงได้ทรงรักใคร่และโปรดปรานเทียนโฮ่วถึงเพียงนี้ กลับเป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใดในแดนสวรรค์กล้าวิพากย์วิจารณ์ 


 


 


ผู้ที่รู้เรื่องอยู่บ้างก็บอกว่า เทียนโฮ่วทรงถูกเทียนตี้รับพระองค์ขึ้นมา คล้ายจะเป็นรักแรกพบ 


 


 


……………… 


 


 


ในเจดีย์กำราบเทพมาร ตู๋กูซิงหลันกำลังขี่คอของนกยักษ์อยู่ 


 


 


เจ้าตัวร้ายนี้แม้ว่าจะเป็นลูกหลานของนกอมตะ แต่คงจะเป็นเพราะผ่านการเข่นฆ่าสังหารมาอย่างโชกโชนตั้งแต่ครั้งบรรพกาล ทั้งยังชมชอบเนื้อมนุษย์ ดังนั้นบนร่างจึงเปี่ยมไปด้วยไอสังหารที่น่าตื่นตระหนก 


 


 


เพียงแค่ไอสังหารของมันก็รุนแรงพอบีบเค้นคนให้ขาดใจตายได้แล้ว 


 


 


ที่ด้านนอกกรงยังมีตี้เสียประทับยืนทอดพระเนตรอยู่ ต่อให้ตู๋กูซิงหลันสามารถเอาชนะเจ้านกยักษ์ได้ เกรงว่าพอออกไปก็ต้องถูกฝ่าพระหัตถ์ของเทียนตี้อัดติดกำแพงจนแซะก็แซะไม่ออกเป็นแน่ 


 


 


และถึงแม้ว่านางจะมาด้วยร่างจริงก็คงไม่อาจเอาชนะตี้เสียได้อยู่ดี 


 


 


คนอย่างตู๋กูซิงหลันย่อมรู้จักการประมาณตนอยู่แล้ว 


 


 


ที่ด้านนอกกรง ตี้เสียทอดพระเนตรมองดูนางเกาะติดหนึบอยู่บนคอของนกยักษ์อย่างไม่ยอมปล่อยอย่างเงียบๆ ไม่มีท่าทีจะลงมือแต่อย่างใด 


 


 


ในขณะที่เจ้านกยักษ์ก็ทั้งกู่ร้อง ทั้งกระพือปีก และหมุนไปมาอยู่บนพื้น พยายามจะเหวี่ยงนางลงมาอยู่ตลอด 


 


 


แต่ว่าตู๋กูซิงหลันกลับติดอยู่กับมันอย่างแน่นหนา เหมือนกับผ้าปิดปากแผลแผ่นหนึ่ง 


 


 


จิตมังกรของเยี่ยเฉินได้แต่ร่ำร้องอย่างโหยหวน พูดจริงๆนะ ตอนนี้เขาอยากจะตายๆให้สิ้นเรื่องไปเสียมากกว่า 


 


 


ยังดีกว่าต้องมาถูกทรมานอยู่เช่นนี้ 


 


 


สตรีผู้นี้เป็นตัวประหลาด ที่ไม่ว่าเรื่องใดก็สามารถกระทำออกมาได้ทั้งสิ้น! 


 


 


เขามีลางสังหรณ์ว่า อีกสักครู่นางจะต้องจิตวิญญาณแตกสลาย ส่วนจิตมังกรของเขาก็ต้องติดอยู่ในวังวนไม่มีวันได้ไปผุดไปเกิดเป็นแน่ 


 


 


เพราะหากว่ากันตามสายเลือดแล้ว พวกเขาก็เท่ากับว่าเป็นพี่ชายน้องสาวกัน 


 


 


หากจะจะเถียงว่าตนกับนางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น ผู้ใดในแดนสวรรค์จะยอมเชื่อถือกัน? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่สนใจเสียงกรีดร้องอันโหยหวนจากจิตมังกรของเยี่ยเฉิน นางอาศัยมุมอับที่ตี้เสียไม่อาจทอดพระเนตรเห็น ล้วงเอายันต์โลหิตสองผืนออกมาซัดใส่ร่างของเจ้านกยักษ์ 


 


 


ก่อนที่จะขึ้นมาบนแดนสวรรค์ นางได้ตระเตรียมยันต์โลหิตเอาไว้มากพอสมควร เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ 


 


 


นางแค่คิดไม่ถึงว่า จะได้ใช้เร็วถึงเพียงนี้ 


 


 


สิ่งที่ผนึกอยู่ในยันต์โลหิตเหล่านี้คือพลังหยินสุดขั้ว พอเข้าสู่ร่างของนกยักษ์จึงให้ผลเหมือนใช้พิษสะกดข่มพิษ 


 


 


หลังจากที่อาจารย์จากไป ตู๋กูซิงหลันก็ศึกษาและค้นคว้าอยู่เนิ่นนาน ถึงได้คิดวิธีพิษสะกดพิษเช่นนี้ขึ้นมา แต่ก็ไม่เคยได้ทดลองมาก่อน จึงไม่ได้มีความมั่นใจอย่างเปี่ยมล้นว่ายันต์โลหิตนี้จะสามารถควบคุมเจ้านกยักษ์เอาไว้ได้ 


 


 


จิตมังกรของเยี่ยเฉินร้องคร่ำครวญออกมา เขาไม่เคยคิดว่าจะต้องมีวันเช่นนี้มาก่อนเลย วันที่ได้แต่หวังว่าวิธีการขอตู๋กูซิงหลันจะได้ผล 


 


 


ร่างกายของเขาจะตายก็ได้ แต่เขาไม่อยากจิตวิญญาณแตกดับ 


 


 


พวกสวรรค์ล้วนชั่วร้าย ……แค่ลองคิดๆดูก็น่าหวาดผวามากแล้ว 


 


 


พอยันต์โลหิตสองแผ่นถูกผนึกลงไป เจ้านกยักษ์ก็เพลากำลังลงไปบ้าง 


 


 


ไอหยินที่วิ่งพล่านอยู่ภายในร่างของมัน ทำให้มันรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว 


 


 


อีกทั้งกรงเล็บก็ยังถูกล่ามเอาไว้ มันจึงไม่อาจวาดลวดลายได้อย่างเต็มที่ พอไม่อาจกำจัดตู๋กูซิงหลันได้อย่างรวดเร็ว ก็เท่ากับว่าตกบ่วงของนางเข้าแล้ว 


 


 


สีพระพักตร์ของตี้เสียที่ทอดพระเนตรอยู่ด้านนอก ก็ชักจะแข็งกระด้างขึ้นมาอีกหลายส่วน 


 


 


พระองค์ไม่ทรงคาดคิดมาก่อนเลยว่า เจ้านกยักษ์ตัวนี้จะยอมสงบอยู่ภายใต้พวกมดปลวก 


 


 


สายพระเนตรของพระองค์ยังคงจับจ้องอยู่ที่ตู๋กูซิงหลันแขวนตัวอยู่บนลำคอเจ้านกยักษ์ พระองค์โบกพระหัตถ์ขึ้นมาครั้งหนึ่ง ประตูกรงก็เปิดออก พระวรกายกลายเป็นแสงสีทองพุ่งเข้าไปในกรงของนกยักษ์ 


 


 


ฝ่าพระหัตถ์ข้างหนึ่งซัดลงบนลำคอของตู๋กูซิงหลันอย่างรวดเร็ว ทำให้นางตกลงมาจากบนลำคอของนกยักษ์ในทันที 


 


 


จากนั้นก็โบกพระหัตถ์ขึ้นเขวี้ยงนางลอยสูงขึ้นไปในอากาศ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วขึ้นมา ริมฝีปากของนางท่องคาถา นิ้วมือก็ขยับเป็นปางมือต่างๆ 


 


 


ขณะที่นางเหลือบตามองไปทางปากประตูกรง ร่างก็พุ่งไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด 


 


 


แต่ว่าตี้เสียคือผู้ใดกัน? 


 


 


ไหนเลยจะยินยอมให้นางหลบหนีไปโดยง่าย? 


 


 


พระหัตถ์ข้างหนึ่งพุ่งตรงออกมา ประทับลงบนใจกลางแผ่นหลังของตู๋กูซิงหลัน ฝ่ามือนั้น ใช้ออกด้วยพลังของเทียนตี้ผู้ไร้ที่เปรียบ ย่อมสามารถบีบให้วิญญาณของนางที่สถิตย์อยู่ในร่างของเยี่ยเฉินหลุดออกมากว่าครึ่ง 

 

 

 


ตอนที่ 636 ข้าคงไม่ใช่สินค้าโหลตามโรง...

 

สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือสีแดงกลุ่มหนึ่ง 


 


 


จิตวิญญาณกึ่งโปร่งใสปรากฏออกมา เส้นผมสีดำอมเงินสยายอยู่ในสายลม บดบังโฉมหน้าที่งดงามล้ำโลกนั้นเอาไว้ 


 


 


แม้ว่าไม่อาจกระแทกจนทำให้วิญญาณหลุดออกจากร่าง แต่ก็เพียงพอจะทำให้ตี้เสียได้เห็นนางในบางส่วน 


 


 


เพียงแต่ว่าจากมุมที่พระองค์ทอดพระเนตร ทำให้ได้เห็นเพียงเสี้ยวหน้าเท่านั้น 


 


 


แถมยังเป็นเสี้ยวหน้าที่ถูกเส้นผมบดบังเอาไว้จนหมดอีกด้วย 


 


 


ตี้เสียหรี่พระเนตรมอง เดิมทีพระองค์เข้าพระทัยว่าจิตวิญญาณที่อยู่ในร่างจะเป็นจิตวิญญาณของบุรุษที่ลึกลับและชั่วร้ายผู้หนึ่ง 


 


 


ซึ่งอาจจะมาจากเผ่ามังกรทมิฬหรือไม่ก็เป็นพวกเผ่าหมิงที่ยังไม่ตายจนหมดสิ้น คิดไม่ถึงว่า จิตวิญญาณดวงนี้จะเป็นของอิสตรี 


 


 


สตรีที่กล้าบุกขึ้นมาบนแดนสวรรค์อย่างบุ่มบ่าม และทำให้พวกเทพทั้งหลายกลายเป็นเพียงคนโง่ที่ไร้สมอง 


 


 


พระองค์อดไม่ได้ที่จะสรวลออกมาอย่างเย็นชาคำหนึ่ง ขยับพระองค์ด้วยความเร็วดุจสายฟ้า แผ่พลังกดดันระดับเทียนตี้ออกมา ซัดฝ่าพระหัตถ์ใส่ร่างของตู๋กูซิงหลันอย่างไร้ไมตรีอีกครั้งอย่างเลือดเย็น 


 


 


ฝ่ามือนี้ ทำเอาร่างเนื้อของเยี่ยเฉินถึงกับใกล้จะแตกดับ 


 


 


ร่างเนื้ออ้าปากกระอักเลือดออกมาคำโต เจ้านกยักษ์ที่เดิมถูกยันต์โลหิตสะกดเอาไว้พอได้กลิ่นเลือด ก็เคลื่อนไหวอย่างวุ่นวายอีกครั้ง 


 


 


นอกจากนั้นฝ่ามือนี้ ยังทำให้จิตวิญญาณของตู๋กูซิงหลันที่เดิมทียังไม่แยกออกจากร่างเนื้อหลุดออกมาจากร่างจนหมดสิ้น 


 


 


นางประมาทตี้เสียเกินไปแล้ว นางต้องทุ่มเทพลังไปต้องมากมายจึงสามารถสิงสถิตย์อยู่ในร่างของเยี่ยเฉินได้ แต่ว่ายามนี้พอถูกเขาซัดไปแค่สองฝ่ามือก็หลุดออกมาเสียแล้ว 


 


 


ตอนนี้ จิตวิญญาณของนางกับร่างเนื้อของเยี่ยเฉินลอยห่างกันไปไกลหลายสิบเมตร 


 


 


เมื่อไม่มีดวงวิญญาณของนางคอยควบคุม และจิตมังกรของเยี่ยเฉินก็ยังถูกผนึกอยู่ ร่างเนื้อนั้นจึงเป็นเพียงเปลือกนอกที่ว่างเปล่าและร่วงหล่นลงไปเรื่อยๆ 


 


 


เจ้านกยักษ์ที่ได้กลิ่นเลือดก็วาดปีกโผเข้ามาอย่างกระเ**้ยนกระหือรือ มันอ้าปากกว้าง ส่งเสียงกู่ร้อง คิดจะกลืนร่างเนื้อของเยี่ยเฉินลงไป 


 


 


จิตมังกรของเยี่ยเฉินดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังส่งเสียงวิงวอนตู๋กูซิงหลันอย่างโหยหวน “เห็นแก่ความเป็นพี่น้อง เจ้าอย่าทำต่อข้าเช่นนี้…” 


 


 


“อย่างมากสุด ต่อไปข้าจะไม่เป็นศัตรูกับเจ้าอีกก็ได้ เจ้าช่วยข้าด้วย?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “ไม่เห็นหรือว่าเจ้ยังเอาตัวไม่รอดเลย?” 


 


 


เยี่ยเฉิน “เจ้าเป็นน้อง…” 


 


 


เขาหมายความว่า ตู๋กูซิงหลันอย่างมากก็เป็นได้แค่น้องสาวเท่านั้น อยู่ๆจะมาเรียกตนเองเป็นพี่สาวได้อย่างไร? 


 


 


เยี่ยเฉินคิดว่าตนเองคงต้องตายแน่แล้ว เขาได้แต่มองดูร่างเนื้อของตนเองดิ่งลงสู่ปากของนกยักษ์อย่างหมดหวัง 


 


 


แต่ว่าในทันใดนั้นเอง ตู๋กูซิงหลันก็เขวี้ยงยันต์โลหิตออกมาอีกใบหนึ่ง ทันทีที่ยันต์แผ่นนั้นเข้าสู่ร่าง ผนึกที่กักขังจิตมังกรของเขาเอาไว้ก็สลายไปทำให้เขาได้รับอิสระ เยี่ยเฉินแปลงร่างเป็นมังกรสีครามขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง พอกวาดกรงเล็บออกไปก็ทำให้เจ้านกยักษ์ที่ไม่ทันได้ระวังป้องกันอยู่เลยลอยกระเด็นไปกระแทกกับกรงที่เย็นเฉียบ 


 


 


นี่มิใช่ว่าตู๋กูซิงหลันมีน้ำใจเมตตา แต่ที่ปลดปล่อยเยี่ยเฉินออกมา ก็เพราะเห็นว่าเขาพอจะต้านทานเจ้านกยักษ์ไว้ได้บ้าง 


 


 


ร่างจริงของเยี่ยเฉินจะอย่างไรก็เป็นถึงมังกรยักษ์ตัวหนึ่ง เจ้านกยักษ์ตัวนั้นโดนยันต์โลหิตของนางผนึกอยู่ ไอหยินแทรกซึมเข้าสู่ร่าง ทำให้พละกำลังของมันอ่อนแอลงไปมาก ร่างจริงของเยี่ยเฉินย่อมพอจะถ่วงเวลามันเอาไว้ได้บ้าง 


 


 


ถึงแม้ว่าเยี่ยเฉินจะเป็นศัตรูกับนาง แต่ว่าตอนนี้ทั้งสองก็เหมือนลงเรือลำเดียวกันแล้ว เยี่ยเฉินย่อมต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องตนเองอย่างสุดกำลัง 


 


 


ขณะที่ตู๋กูซิงหลันเขวี้ยงยันต์โลหิตออกไป ตี้เสียก็ทรงไล่ตามมาติดๆ 


 


 


พระองค์ยังคงวางตนสูงส่งและไร้น้ำใจไมตรี แม้ในพระหัตถ์จะไร้อาวุธ แต่ทันทีที่เหาะมาถึงข้างดวงวิญญาณของตู๋กูซิงหลัน ก็ยกหัตถ์โจมตีใส่นาง 


 


 


จิตวิญญาณของตู๋กูซิงหลันย่อมแข็งแกร่งกว่าเยี่ยเฉินอย่างเทียบกันไม่ได้ 


 


 


พอดวงจิตถูกผลักออกจากร่าง ก็บาดเจ็บเพียงผิวเผินเท่านั้น 


 


 


เส้นผมของนางยาวสลายออกไป ขณะที่พระหัตถ์ของตี้เสียต่อยออกมา ในมือของนางก็กุมคฑาที่ดำมืดด้ามนั้นเอาไว้แล้ว 


 


 


นางหันกลับไป เผชิญหน้ากับตี้เสีย 


 


 


เส้นผมที่ปลิวสยาย เผยรูปโฉมที่งามล้ำเป็นหนึ่งไม่มีสองออกมา 


 


 


ตี้เสียทรงสังเกตเห็นคฑาสีดำของนางแต่แรก พระหัตถ์ที่เคลื่อนไหวอยู่จึงชะงักไปชั่วครู่ 


 


 


ไม้คฑาด้ามนั้นก็วาดลงมา ฟาดลงไปบนท่อนพระกรอย่างหนักหน่วง 


 


 


ได้ยินเสียงดัง ‘บรึ้ม’ พอท่อนพระกรกับคฑาไม้ดำกระทบกัน ก็เกิดเป็นระเบิดแสงสีดำและสีทองออกมา 


 


 


แสงสว่างนั้นกระจายออกไป กระแทกเข้าในกรงขัง เกิดเป็นเสียงกัมปนาทบาดแก้วหู 


 


 


เจดีย์กำรายเทพมารถึงกับเขย่าโคลงเคลงไปทั้งหลังจนสามารถมองเห็นได้จากด้านนอก ราวกับว่าใต้ฐานเจดีย์เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้นมา 


 


 


ที่นี่เป็นถึงเขตวังของแดนสวรรค์ เป็นพื้นที่ที่เสถียรที่สุดในหกภพภูมิ ต่อให้เกิดพายุฝนสายฟ้าฟาดเช่นไร ก็ไม่มีทางจะทำให้มันเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาได้อย่างเด็ดขาด 


 


 


แต่ว่าตอนนี้ ทุกคนต่างก็เห็นว่ามีแสงสว่างวาบออกมาจากชั้นแปดของเจดีย์ 


 


 


ทุกคนจึงพากันตื่นตระหนกขึ้นมา 


 


 


แสงสว่างสีทองนั้นย่อมต้องเป็นเทียนตี้ แต่ว่าแสงสีดำนั้นเป็นของผู้ใดกัน? 


 


 


ต่อให้นึกฝัน พวกเขาก็คาดไม่ออกอยู่ดีว่า คู่ต่อสู้ในเจดีย์จะเป็นเทียนตี้….กับใครอีกคนกัน? 


 


 


พอแสงสีดำแผ่กระจายออกไป ก็ทำให้ท้องฟ้าของแดนสวรรค์ที่มีสีสันหลากหลายและงดงามถูกครอบคลุมเอาไว้ด้วยเมฆดำชั้นหนึ่ง 


 


 


และในตอนนั้นเอง เทพธิดาทั้งสิบแปดคนก็ได้แบกเกี้ยวทรงเข้ามาถึงเจดีย์กำราบเทพมารพอดี 


 


 


…………….. 


 


 


บนชั้นแปด หลังจากที่แสงทั้งหมดหายไป ตี้เสียถึงได้ทรงมองเห็นใบหน้าของตู๋กูซิงหลันได้อย่างชัดเจน 


 


 


จิตวิญญาณที่กึ่งโปร่งแสง ทำให้ผิวพรรณของนางยิ่งดูกระจ่างใสราวกับหยกมันแพะที่มีแสงมันวาว 


 


 


และแม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ว่าดวงตาดอกท้อคู่นั้นก็ยังคงทอประกายราวกับดวงดาราที่อยู่เหนือมหาสมุทร 


 


 


แม้ว่าจะเป็นเพียงพริบตาเดียว แต่ว่าพระหัตถ์ที่พุ่งออกไปของตี้เสียก็ชะงักค้างอยู่กับที่เหมือนถูกผลึกน้ำแข็งผนึกเอาไว้ในทันที  


 


 


นาง….. 


 


 


ในขณะเดียวกัน เหล่าเทพธิดาก็มาถึงชั้นที่แปด ฝ่ามือที่ขาวสะอาดและบอบบางข้างหนึ่ง ยื่นออกมาจากรอยแง้มของม่านโปร่งสีแดงที่พลิ้วอยู่รอบเกี้ยวทรงของเทียนโฮ่ว 


 


 


เหล่านกยูงขาวต่างพากันร่อนลงมารอบๆเกี้ยวทรง แต่ละตัวต่างก็ชูคอ เยื้องย่างอย่างสง่างาม 


 


 


“เทียนตี้เพคะ” ในตอนนั้นเอง น้ำเสียงที่ฟังดูแล้วไพเราะดุจสายน้ำไหลของสตรีผู้หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา 


 


 


เสียงที่นุ่มนวลอย่างยิ่ง 


 


 


บนเกี้ยวทรง แม้ว่าเทียนโฮ่วจะมิได้เสด็จออกมา แต่ว่าม่านโปร่งสีแดงที่ถูกรวบเอาไว้ครึ่งหนึ่งก็ทำให้สามารถมองเห็นดวงพักตร์ครึ่งหนึ่งของพระนางได้เช่นกัน 


 


 


ผิวพรรณที่ขาวละเอียดเนียน คิ้วโก่งได้รูปดุจสันเขา 


 


 


ดวงตาทั้งคู่งดงามดุจดอกท้อ แต่ก็มิได้ดูมีชีวิตชีวาดุจแสงดาว 


 


 


ทิศทางที่ตู๋กูซิงหลันสามารถมองเห็นดวงพัตร์ครึ่งหนึ่งของพระนางได้พอดี 


 


 


นางเคยเห็นยอดพธูที่มีรูปโฉมงามล้ำอย่างพี่สาวต๋าจี่มาแล้ว แต่ว่าผู้ที่อยู่บนเกี้ยวทรงกลับสามารถสร้างความตื่นตะลึงให้กับนางได้ตั้งแต่ในแวบแรกที่ได้เห็น 


 


 


สมแล้วกับที่เป็นยอดเทพธิาดในแดนสวรรค์ รูปโฉมเช่นนี้ยังงดงามกว่าภาพวาดเสียอีก 


 


 


เพียงแต่ว่าคิ้วและดวงตาคู่นั้นออกจะดูคุ้นเคยเกินไปหน่อย 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “….” ข้าคงไม่ใช่สินค้าโหลที่ผลิตออกมาจากโรงงานกระมั้ง? 


 


 


อยู่ๆนางก็เกิดความสงสัยในตนเองขึ้นมา 


 


 


ดวงตาของสตรีผู้นั้น ดูอย่างไรก็เหมือนพิมพ์ขึ้นมาจากดวงตาของนางอย่างไม่มีผิดเพี้ยน 


 


 


ความเหมือนที่มีมากถึง 99.99% เลยทีเดียว 


 


 


แต่ก็มีเพียงดวงตาและรูปคิ้วเท่านั้นที่เหมือนกัน โครงร่างและใบหน้าที่เหลือล้วนแตกต่าง 


 


 


ดวงหน้าของตู๋กูซิงหลันดูแล้วมีเนื้อหนังมากกว่า เครื่องหน้าทั้งหมดได้รูปงดงาม ผิวพรรณมีน้ำมีนวลจนเปล่งประกายออกมา 


 


 


ส่วนสตรีผู้นั้นดูผ่ายผอมบอบบางกว่าเล็กน้อย 


 


 


ขณะที่นางมองไปที่สตรีผู้นั้น อีกฝ่ายก็มองมาที่นางเช่นกัน 


 


 


“นางคือ?” แววตาของสตรีผู้นั้นเผยความแปลกใจออกมา จากนั้นก็มองไปทางตี้เสีย จึงได้เห็นร่างของตี้เสียลอยอยู่กลางอากาศ 


 


 


แถบผ้าสีทองของพระองค์พลิ้วไหวอยู่ในอากาศ รัศมีสีทองทั่วร่างจางลงไปครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นดวงพักตร์ที่เคยลึกลับมาตลอด 


 


 


ดวงเนตรสีทองคู่นั้น จับจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลันอย่างไม่วางตา 

 

 

 


ตอนที่ 637 ฮว๋ายยู่

 

นัยตาทั้งสองข้างของพระองค์เป็นสีทองที่ส่องประกาย จนแทบจะทำให้แยกลูกนัยตาและตาขาวไม่ออก 


 


 


แต่ก็ต้องนับว่าเป็นดวงตาที่งดงามอย่างยิ่ง 


 


 


เป็นประกายระยิบระยับ ทั้งยังทรงอำนาจอย่างยิ่ง 


 


 


พระขนงคมเข้มดุจน้ำหมึก บนพระนลาฏมีตราประทับดวงสุริยะสีเหลืองทอง 


 


 


พระเกศาสีทองสยายออกมาราวกับกำลังล่องลอย กล้ามเนื้อบนร่างได้รูปและเป็นเส้นที่ชัดเจน 


 


 


บุรุษผู้นี้ ไม่เพียงแต่สูงส่งอยู่เหนือผู้คน แม้แต่รูปลักษณ์ก็ยอดเยี่ยมเป็นหนึ่ง 


 


 


เพียงแต่ว่าตอนนี้ตู๋กูซิงหลันมิได้มีแก่ใจจะมาชื่นชมบุรุษโฉมงามคนใดทั้งสิ้น ตี้เสียผู้นี้แม้จะงามดุจบุปผาดอกหนึ่ง แต่ก็ไม่เข้าตานางแม้แต่น้อย 


 


 


คนที่เกลียดชัง ต่อให้หน้าตาดีเพียงไรก็เปล่าประโยชน์ 


 


 


พอเห็นตี้เสียกำลังตกตะลึงอยู่ จิตวิญญาณของตู๋กูซิงหลันก็ฉวยโอกาสนี้เหาะนี้ออกไป 


 


 


เจดีย์แต่ละชั้นมีอาคมกักขังกางกั้นอยู่ อาคมเหล่านั้นคือเขตแดนขวางกั้นที่ตาเปล่ามองไม่เห็น 


 


 


ได้แต่ต้องอาศัยประตูใหญ่หลบหนีออกไปเท่านั้น 


 


 


ประตูใหญ่ของกรงยังเปิดอยู่ ตู๋กูซิงหลันเล็งเอาไว้แต่แรกแล้ว หากมิใช่เพราะว่าตี้เสียแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ถึงกับขวางนางเอาไว้ได้ นางก็คงจะเหาะหนีไปตั้งแต่แรกแล้ว 


 


 


แต่ตอนนี้เพียงพริบตาเดียว นางก็เหาะออกไปแล้ว แสงกึ่งโปร่งใสจากดวงจิตของนางดูเหมือนแสงระยิบระยับจากหิงห้อยตัวหนึ่ง 


 


 


ในมือของนางยังคงกุมคฑาสีดำเอาไว้ คฑาด้ามนี้เดิมทีก็ถูกผนึกอยู่ในดวงจิตของนางเช่นกัน 


 


 


ยามนี้ แม้แต่เทียนโฮ่วก็ยังทรงทอดพระเนตรเห็นคฑาด้ามนั้นแล้ว 


 


 


นางนั่งเอนๆอยู่บนเกี้ยวหลังใหญ่ ดวงพักตร์ที่เดิมทีนุ่มนวลอ่อนโยน เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา 


 


 


สองมือบอบบางใต้แขนเสื้อตัวหลวมกว้างขยับยกขึ้น 


 


 


พระนางทอดเนตรไปยังตู๋กูซิงหลันอย่างเย็นชา เสียงในสมองดังสะท้อนกลับไปกลับมาว่า “นาง….กลับคืนมาแล้วหรือ?” 


 


 


เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางอย่างเด็ดขาด 


 


 


บางที จะอาจเป็นเพียงแค่คนที่มีหน้าตาคล้ายกันแล้วบังเอิญได้คฑาด้ามนั้นมาเท่านั้น 


 


 


คนที่ดวงจิตแตกสลายไปตั้งแต่เนิ่นนานแล้ว อยู่ๆจะย้อนกลับคืนมาบนโลกอีกครั้งได้อย่างไร? 


 


 


ยิ่งไม่มีทางมาปรากฏตัวบนแดนสวรรค์ได้อย่างเด็ดขาด 


 


 


ตี้เสียทรงลอยอยู่กลางอากาศ ทอดพระเนตรมองตามทิศทางที่ตู๋กูซิงหลันหลบหนีไปอย่างเงียบๆ 


 


 


เดิมทีทรงคิดจะไล่ตามไป 


 


 


แต่ว่ากลับเป็นครั้งแรกในรอบหลายหมื่นปีที่ร่างกายไม่ยอมเชื่อฟัง  


 


 


ทรงหยุดอยู่ที่เดิม ไม่ไหวติง 


 


 


เยี่ยเฉินก็ไม่คิดจะปะทะกับเจ้านกยักษ์ต่อไป เขารีบติดตามตู๋กูซิงหลันหลบหนีไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว 


 


 


มังกรร่างยักษ์พุ่งออกจากกรงไป ติดตามด้านหลังของตู๋กูซิงหลันไปอย่างกระชั้นชิด 


 


 


เดิมทีเขาได้เป็นลูกน้องใต้บัญชาของซือเป่ย ไม่แน่ว่าอาจสร้างผลงานจนมีเชื่อเสียงเกริกไกรขึ้นมาบ้างก็ได้ 


 


 


แต่ว่าตอนนี้กลับดีนัก ไม่เพียงแต่ไม่ตายใต้น้ำมือของตู๋กูซิงหลัน กลับถูกนางลากลงน้ำไปด้วยกัน ตอนนี้หากอยากมีชีวิตรอดไปได้ มีแต่ต้องร่วมมือกับนางเท่านั้น 


 


 


คนที่เดิมทีเกลียดกันจะเป็นจะตาย ตอนนี้ได้แต่ต้องก้มหน้ากัดฟันร่วมมือกันไปก่อน มันน่าหงุดหงิดใจอย่างที่สุดหรือไม่เล่า! 


 


 


ตี้เสียทรงชะงักอยู่กลางอากาศ แม้แต่ตอนที่เยี่ยเฉินหลบหนีก็มิได้ทรงรั้งเอาไว้ 


 


 


ปฏิกริยาเช่นนี้ แน่นอนว่าทำให้สีพระพักตร์ของเทียนโฮ่วอึมครึมกว่าเดิม 


 


 


นางโบกมือเบาๆ แถบผ้าสีเขียวอมควันเส้นหนึ่งลอยออกไป นกยูงขาวที่อยู่ข้างกายก็คาบแถบผ้าชิ้นนั้นมุ่งไปหาตี้เสีย 


 


 


พอมันบินไปถึงตี้เสีย ปากก็คลายออก ปล่อยให้แถบผ้าผืนนั้นร่อนลงบนฝ่ามือของตี้เสียอย่างช้าๆ 


 


 


“เทียนตี้เพคะ มังกรตัวนั้น ดูไปคล้ายจะเป็นมังกรจากเผ่ามังกรทมิฬ” 


 


 


เทียนโฮ่วเอ่ยออกมา น้ำเสียงนุ่มนวลดุจละอองฝนต้องดอกฝ้าย นางมิได้เอ่ยถึงตู๋กูซิงหลันเลยแม้แต่น้อย เพียงให้ความสำคัญกับ ‘มังกรตัวนั้น’ เท่านั้น 


 


 


แต่ที่จริงแล้ว พวกเขาต่างก็เข้าใจดีว่า จะใช่มังกรหรือไม่ล้วนไม่มีความหมาย 


 


 


สตรีในชุดสีแดงผู้นั้นต่างหาก ที่สำคัญกว่า 


 


 


แถบผ้าสีเขียวอมควันร่วงลงบนฝ่าพระหัตถ์ พันลงมาเบาๆ ราวกับมีฝ่ามือที่นุ่มนวลของอิสตรีเกาะกุมเอาไว้ 


 


 


ตี้เสียทรงได้พระสติกลับคืนมา หันไปทอดพระเนตรมองดูผู้ที่ปรากฏตัวอยู่บนเกี้ยว 


 


 


พระองค์กุมแถบผ้าสีเขียวอมควันผืนนั้นเอาไว้ในพระหัตถ์ ขยับร่างพุ่งวาบออกจากกรงขัง ร่อนลงบนเกี้ยว 


 


 


สิบแปดเทพธิดาที่อยู่รอบด้านต่างก็ก้มศีรษะลง สายตาไม่กล้าวอกแวก 


 


 


“ฮว๋ายเอ๋อ ทำให้เจ้าได้รับความตระหนกแล้วกระมัง?” 


 


 


ตี้เสียประทับนั่งลงที่ข้างกายฮว๋ายยู่ ยื่นพระหัตถ์ไปลูบข้างแก้มของนางอย่างแผ่วเบา พันแถบผ้าสีเขียวอมควันผืนนั้นลงบน​ เส้นเกศาของนางใหม่อีกครั้ง 


 


 


น้ำเสียงนั้น นุ่มนวลกว่ายามที่เผชิญหน้ากับตู๋กูซิงหลัน หรือตรัสกับเหล่าเทพอื่นๆมากมายนัก 


 


 


“มิว่าจะในแดนสวรรค์ หรือว่าหกภพภูมิ ขอเพียงเทียนตี้ทรงปกป้องหม่อมฉันเอาไว้ หม่อมฉันก็ไม่มีวันหวาดกลัว” เส้นคิ้วของฮว๋ายยู่โค้งมน พระนางเอียงพระเศียรลงไปบนพระอังสะของเทียนตี้ เอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “หม่อมฉันมีวาสนาได้ผูกพันกับฝ่าบาท ถือเป็นคนๆเดียวกันมาเนิ่นนานแล้ว แม้แต่ตอนที่ตกอยู่ในโลกที่มีแต่ความวุ่นวาย ก็ยังไม่เคยรู้สึกว่าต้องหวาดกลัวสิ่งใด” 


 


 


พอเอ่ยเช่นนั้นออกมา ตี้เสียก็คว้าพระหัตถ์ของนางเอาไว้แนบแน่น โดยไม่ตรัสคำใดทั้งสิ้น 


 


 


แม้ว่าจะเป็นผู้สูงส่งอยู่ในแดนสวรรค์ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า พระองค์เคยผ่านความยากลำบากบนโลกมานานถึงห้าหมื่นปี ต้องผ่านการเกิดใหม่นับครั้งไม่ถ้วน รับความทุกข์ทรมานบนโลกมามากมาย 


 


 


ทั้งหมดนั้น ย่อมเป็นเพราะสองคนนั้น 


 


 


คำพูดของฮว๋ายยู่ทำให้พระองค์ย้อนคิดกลับไปถึงเมื่อก่อน พระหัตถ์ที่คว้ามือของนางเอาไว้บีบหนักจนทำให้ฮว๋ายยู่ รู้สึกเจ็บปวดแต่ว่านางก็ไม่ส่งเสียงร้องแม้แต่ทำเดียว 


 


 


กลับยิ่งขยับร่างซุกเข้าไปแนบสนิทกับพระองค์มากกว่าเดิม 


 


 


ม่านโปร่งสีแดงด้านนอกเกี้ยวทรงถูกปล่อยลงมาแล้ว บนพระแท่นหลังใหญ่ สองมือของพระนางโอบล้อมอยู่บนพระศอของพระองค์ 


 


 


แม้ว่าตี้เสียจะทรงประทับอยู่บนพระแท่น แต่ว่าพระทัยของพระองค์กลับติดตามตู๋กูซิงหลันไปตั้งแต่แรกแล้ว 


 


 


พระองค์ต้องการพิสูจน์ให้แน่นชัด ว่านางจะใช่….หรือไม่ 


 


 


ดัชนีของพระองค์พึ่งจะขยับ ดวงพักตร์ของฮว๋ายยู่ก็ขยับมาแนบอยู่บนพระอุระแล้ว 


 


 


“เทียนตี้เพคะ เรื่องอื่นไม่มีสิ่งใดน่าหวั่นเกรงหรอกเพคะ หม่อมฉันกลัวแต่ว่าพระองค์จะทรงไปจากหม่อมฉันเท่านั้น” 


 


 


พระหัตถ์ที่พึ่งขยับของตี้เสียหยุดลงในทันที พระองค์หลับพระเนตรลงเล็กน้อย มองดูสตรีที่นุ่มนวลดุจกลีบบุปผาในอ้อมพระอุระ ขณะเดียวกันก็ดูน่าสงสารดุจกวางน้อย ก็ต้องจดจ้องดูนางอย่างลืมพระองค์ไป 


 


 


นางช่างงดงามถึงเพียงนี้ ทำให้หัวใจผู้คนบังเกิดความสงสาร จนอยากจะตระกองกอดให้แนบแน่นจนหลอมรวมเข้ากับกระดูกและเลือดเนื้อ 


 


 


หากว่าเป็นยามปกติ เมื่อฮว๋ายยู่ใช้แววตาแวววาวที่น่าสงสารเช่นนี้มองมาที่พระองค์ แนบร่างเข้าหาพระองค์ พระองค์จะต้องโอบนางเข้าไปและโปรดปรานให้เต็มรักแล้ว 


 


 


แต่ว่าตอนนี้ กลับไม่ทรงเกิดความสนพระทัยแม้แต่น้อย 


 


 


มือของฮว๋ายยู่เปลี่ยนเป็นอยู่ไม่สุขขึ้นมา เลื่อนไหลจากพระศอลงไปยังด้านล่าง 


 


 


เล้าโลมอย่างแผ่วเบาและนุ่มนวล 


 


 


บรรยากาศภายในเกี้ยวอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความรัญจวน ปกติพวกเขาเองก็เคยกระทำเรื่องอย่างว่าในที่นี่อยู่เสมอ 


 


 


เทียนตี้ก็ทรงแข็งขันในเรื่องนี้อย่างยิ่ง ยามปกติเพียงแค่สะกิดเล็กสะกิดน้อยก็จะปะทุเป็นภูเขาไฟระเบิดขึ้นมาแล้ว 


 


 


แต่ว่าตอนนี้บุรุษที่เคยแข็งขันเช่นนั้น กลับเปลี่ยนไปราวกับว่าเป็นผู้อื่น ไม่ยอมขยับสักนิด 


 


 


แม้กระทั่ง ขณะที่ฝ่ามือของนางสัมผัสกับจุดเปราะบาง ‘ที่ทุกคนต่างก็เข้าใจ’ ว่าเป็นที่ใด เทียนตี้ก็กลับคว้ามือของนางไว้ ผลักออกไป 


 


 


“ฮว๋ายเอ๋อร์ เจ้ากำลังตั้งครรภ์รัชทายาท ไม่สะดวกต่อการทำเรื่องเช่นนั้น” 


 


 


ตอนนี้ตี้เสียไหนเลยจะมีพระทัยทำเรื่องอย่างว่า เมื่อครู่พระองค์พึ่งจะแยกดวงจิตส่วนหนึ่งออกมาจากร่าง ไล่ตามทิศทางที่ตู๋กูซิงหลันหลบหนีไปแล้ว 


 


 


ฮว๋ายยู่เองก็มิใช่คนโง่ ถึงแม้ว่าพระองค์จะปกปิดอย่างดีเยี่ยม แต่ว่าพระนางก็ยังรู้อยู่ดี 


 


 


เพียงแต่นางไม่ได้เปิดเผยออกมาให้เกิดความยุ่งยาก มือที่ถูกปัดออกไปก็ยกขึ้นมากุมพระหัตถ์ของตี้เสียใหม่อีกครั้ง ชักนำมาลูบลงไปบนครรภ์ของตนอย่างแผ่วเบา 


 


 


หน้าท้องของนางยื่นออกมาเล็กน้อย เพราะภายในมีชีวิตใหม่เคลื่อนไหวอยู่ 


 


 


“ท่านดูสิ คนที่เป็นมารดาอย่างข้าช่างโง่เสียจริง เกือบจะทำอะไรลงไปโดยไม่คิดถึงความรู้สึกของเจ้าตัวน้อยเสียแล้ว” 


 


 


ฮว๋ายยู่พูดพลาง ข้างแก้มที่เดิมทีขาวสะอาด ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นมา 


 


 


และเพราะเจ้าตัวน้อยนี้ แววพระเนตรของตี้เสียจึงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงอีกหลายส่วน 

 

 

 


ตอนที่ 638 ก็เพราะว่า.....มันเท่ห์!

 

แต่ว่าดวงจิตที่แบ่งออกจากร่างไปนั้น พระองค์ก็มิได้เรียกกลับมา 


 


 


ผ่านไปเนิ่นนานหลายปีแล้วสินะ ทรงนึกว่านางตายไปแล้วจริงๆ 


 


 


ตอนนั้นในช่วงแรกๆ พระองค์ก็ไม่ทรงเชื่อ เคยทรงออกค้นหา และก็ทรงนึกว่าตนเองเสาะหาพบแล้ว 


 


 


ภายหลังจึงได้ทรงพบว่า นางตายไปแล้วจริงๆ จิตวิญญาณแตกสลายไม่มีวันหวนคืนกลับมาได้อีก 


 


 


แต่ว่าตอนนี้ ไม้คฑาของนางกลับปรากฏตัวขึ้นมา และคนที่ดูคล้ายกับนางก็ปรากฏตัวขึ้นบนแดนสวรรค์ 


 


 


พระทัยของตี้เสียสับสนวุ่นวายไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็สงบลงอย่างรวดเร็ว 


 


 


ในฐานะที่ทรงเป็นจักรพรรดิสวรรค์มาเนิ่นนานหลายปี ย่อมพบพานลมฝนมามากมาย มีทั้งจริงๆเท็จๆปะปนกันไปหมด 


 


 


บางทีนี่นับตั้งแต่ที่นางหยิบยืมร่างเนื้อของเยี่ยเฉินขึ้นมาบนแดนสวรรค์ ก็อาจจะเป็นแผนการบางอย่างก็เป็นได้ 


 


 


บางความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือน ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งเจ็บช้ำ 


 


 


…………….. 


 


 


ที่ด้านนอกเจดีย์กำราบมาร เหล่าทวยเทพต่างที่กำลังตกอยู่ในความตื่นตะลึง อยู่ก็ได้เห็นมังกรยักษ์สีครามตัวหนึ่งพุ่งออกมา 


 


 


อีกทั้งบนศีรษะของมังกรตัวนั้น ยังสาวน้อยในชุดสีแดงกึ่งโปร่งใสผู้หนึ่งยืนอยู่ 


 


 


เส้นผมและอาภรณ์ของสาวน้อยผู้นั้นพลิ้วไปตามสายลม ดูองอาจงดงามและอหังการ 


 


 


แต่ว่าดูๆแล้ว ดวงตาและหัวคิ้วคู่นั้นทำไมถึงได้รู้สึกว่าช่างคุ้นตานัก? 


 


 


สมองของเหล่าเทพเหมือนจะขาดช่วงไป พวกเขาจำไม่ได้เลยว่า ในเจดีย์กำราบเทพมารกักขังมังกรตัวหนึ่งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อใด? 


 


 


เนื่องเพราะความสัมพันธ์ที่ผ่านมากับเผ่ามังกรทมิฬ ในแดนสวรรค์จึงถือว่าเผ่ามังกรนั้นต่ำต้อยที่สุด ส่วนสัตว์อสูรที่ถูกขังเอาไว้ในเจดีย์กำราบเทพมารนั้น ขอเพียงแค่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวขึ้นมา ก็สามารถมารถทำให้แดนสวรรค์สั่นสะเทือนได้แล้ว 


 


 


แล้วจะไปยอมสิ้นเปลืองทรัพยากรเพื่อกักขังเพียงมังกรตัวหนึ่งได้อย่างไร? 


 


 


แถมมองดูแล้วก็เป็นเผ่ามังกรทมิฬเสียด้วย 


 


 


ช่วงเวลาเช่นนี้ เยี่ยเฉินที่พุ่งออกมาจากเจดีย์กำราบเทพมารด้วยร่างมังกรยักษ์ยังต้องงุนงงไปเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าตนเองสมควรจะไปที่ใดดี 


 


 


ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนกับคนที่ได้ทุบหม้อข้าวของตนจนแตกยับไปแล้ว 


 


 


จึงได้แต่เหลือบตามองบนไปยังตู๋กูซิงหลันที่อยู่บนศีรษะ “เจ้าจะหนีก็หนีออกมาได้แล้ว แต่ยังจงใจรั้งรอข้าอยู่ เพราะเกิดมีน้ำใจขึ้นมาหรือไง?” 


 


 


ตอนนี้พวกเขาเหมือนกับตั๊กแตนที่ไต่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน นี่ก็เท่ากับว่า หากอยากจะมีทางรอดต่อไป พวกเขาก็ได้แต่ต้องร่วมมือกันเท่านั้น 


 


 


นังเด็กสาวตัวร้ายผู้นี้ คงจะคิดหาหนทางให้เขาต้องยอมรับนางมาโดยตลอดสินะ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ว่า “ก็แค่เพราะเวลาที่เหาะออกมาแล้วได้ยืนอยู่บนหัวของเจ้า…..” 


 


 


นางจงใจหยุดอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยต่อไปอย่างรวบรัดว่า “มันเท่ห์” 


 


 


เยี่ยเฉิน “? ? ?” 


 


 


เขาเกือบจะเอาหัวพุ่งเข้าไปชนเสา อยากให้นังเด็กนี่ตายไปเสียเลย 


 


 


แต่พอคิดๆดูไม่แน่ว่านางอาจจะไม่ตาย แต่ตนเองมีหวังต้องแหลกไปก่อน 


 


 


ดังนั้นเยี่ยเฉินจึงได้แต่ต้องล้มเลิกความคิดนี้ทิ้งไป หากยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้ก็เก็บชีวิตเอาไว้ก่อนจะดีกว่า….. 


 


 


ไหนๆก็ทุบหม้อข้าวทิ้งไปแล้ว สมควรหาทางดิ้นรนดูอีกสักครั้งมิใช่หรือ? 


 


 


แผนการในความคิดของตู๋กูซิงหลันย่อมต้องร้ายกาจอยู่แล้ว ที่นางคิดเอาไว้ไม่ใช่เรื่องที่ว่าจะดูเท่หรือไม่ 


 


 


หากแต่เยี่ยเฉินเป็นถึงมังกร ร่างกายนี้จะอย่างไรกระดูกก็ต้องแข็งอยู่แล้ว จะมากจะน้อยย่อมเอามาใช้เป็นโล่ได้บ้าง ทั้งยังช่วยนางรับมือได้พอสมควร 


 


 


เพราะว่าแม้แต่การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ในก้นทะเลลึกเขาก็ยังรอดมาได้เลย ร่างเนื้อนี้ย่อมต้องนำมาใช้งานให้คุ้มค่า 


 


 


แต่ที่นางคิดไม่ถึงก็คือ ทันทีที่หนีออกมาได้ ก็จะถูกล้อมเอาไว้หมดแล้วเช่นนี้ 


 


 


เทพไท้เหล่านี้แต่ละคนมีฝีมือสูงส่ง เก่งกาจจนหางชี้ฟ้า พอสบโอกาสให้ฉกฉวย ต่างคนต่างก็ไม่มีใครยอมพลาดกันเลยสินะ? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูสีหน้าที่มึนงงของเหล่าเทพ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา 


 


 


ในมือของนางกุมคฑาสีดำทมึนด้ามนั้นเอาไว้ ในเมื่อวันนี้นางได้เผยโฉมต่อหน้าตี้เสียไปแล้ว นางคงจะอยู่บนแดนสวรรค์แห่งนี้ได้ไม่นานเสียแล้ว 


 


 


เช่นนั้นก็สู้กันสักตั้ง ใช้พลังดูดซับของคฑาไปดูดซับพลังวิญญาณเหล่านั้นมาต่อสู้ก็น่าจะได้อยู่ 


 


 


แต่ว่าตอนนี้แผนแรกที่นางจะลงมือมิใช่การหลบหนี แต่เป็นการบุกไปยังตำหนักของซือมิ่งตามหาดวงวิญญาณของต้าซือมิ่งเพื่อทวงยาแก้พิษ 


 


 


ขึ้นมาบนสวรรค์ทั้งที นางย่อมไม่มีทางลืมภารกิจที่สำคัญที่สุดอยู่แล้ว 


 


 


“ไปที่ตำหนักของซือมิ่ง” นางเหยียบลงไปบนศีรษะของเยี่ยเฉิน ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา 


 


 


ก่อนหน้านี้ไม่นาน ยันต์โลหิตของนางได้ส่งสัญญาณกลับมาแล้ว ว่าจิตวิญญาณของต้าซือมิ่งอยู่ที่นั่นจริงๆ 


 


 


“ไม่ไป” เยี่ยเฉินดื้อดึงอย่างถึงที่สุด 


 


 


ถึงแม้จะตกอับอย่างไรเขาก็ยังเป็นถึงไท่จื่อของเผ่ามังกรทมิฬ แล้วตอนนี้ทำไมถึงได้กลายเป็นเพียงแค่พาหนะตัวหนึ่งเท่านั้น? 


 


 


“หากไม่ไปเจ้าจะได้ตายเร็วกว่าเดิม” ตู๋กูซิงหลันยกมุมปาก ควงไม้คฑาในมือ “ทำตัวให้ดี รู้จักเชื่อฟัง หากเจ้รอดไปได้ จะมีเมตตาให้ทางรอดแก่เจ้าสายหนึ่ง” 


 


 


ศีรษะสุนัขของเยี่ยเฉิน หากตู๋กูซิงหลันต้องการขึ้นมาเมื่อไหร่ มิใช่เรื่องที่ง่ายดายอยู่แล้วหรอกหรือ 


 


 


เยี่ยเฉิน “….” เขาอยากจะด่าออกไป แต่ว่าเขาก็ไม่กล้า 


 


 


ความทรนงในฐานะที่เป็นถึงองค์ไท่จื่อ ถูกบดขยี้และเหยียบย่ำลงไปจนแหลกลาญครั้งแล้วครั้งเล่า 


 


 


สองตามังกรของเขามองออกไปยังเหล่าเทพที่อยู่โดยรอบ แน่นอนว่า สายตาของพวกเขามองตู๋กูซิงหลันด้วยความประหลาดใจ แต่ยามที่สายตาเหล่านั้นมองมาที่ตนเอง กลับมีแต่ความชิงชังเหยียดหยาม ราวกับว่าได้เห็นสิ่งสกปรกที่รกสายตาอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


พระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนยังคงอยู่นิ่งห่างออกไปไม่ไกล มังกรหยกทั้งเก้าตัวถูกล่ามเอาไว้ ยามที่มองเห็นพวกนาง มังกรหยกที่เหมือนจิตใจตายไปแล้วก็ปลุกพลังชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง พวกมันเริ่มส่งเสียงกู่ร้องออกมา 


 


 


เดิมทีตู๋กูซิงหลันคิดจะตรงไปยังตำหนักของต้าซือมิ่งเพื่อทวงยาถอนพิษแล้วหลบหนีไป 


 


 


แต่พอต้องเหาะผ่านมังกรหยกเหล่านี้ นางก็ยากที่จะทำใจมิให้เกิดความสงสาร 


 


 


ในฐานะที่เป็นประมุขของเผ่าพันธุ์หนึ่ง หากต้องทนดูคนในเผ่าถูกทารุณอยู่เฉยๆ นางย่อมทำไม่ได้อยู่แล้ว 


 


 


ในเมื่อวันนี้นางและเยี่ยเฉินต่างก็เผยโฉมออกมาแล้ว ต่อให้พวกนางหนีไปจากแดนสวรรค์ได้เป็นผลสำเร็จ เหล่าเทพในแดนสวรรค์จับคนไม่ได้ ก็จะต้องมาระบายโทสะลงกับมังกรหยกเหล่านี้แทนเป็นแน่ 


 


 


เยี่ยเฉินเองก็จ้องมองไปที่มังกรหยกเหล่านั้นเช่นกัน มังกรเหล่านี้ มาจากมังกรเผ่าพันธุ์ต่างๆ ที่จริงแล้วพวกมันมิได้กำเนิดขึ้นมาจากหยก หยกเขียวเหล่านี้คือเครื่องรัดที่เหล่าเทพสวมทับลงไปบนพวกมันเท่านั้น 


 


 


เพื่อจะให้พวกมันมองดูแล้วเหมือนเป็นขบวนเดียวกัน สวยงามน่าชมเท่านั้นเอง 


 


 


เพราะเหตุนี้ จึงได้ใช้หยกเขียวมาทำเป็นเครื่องรัด 


 


 


ทุกครั้งที่สายฟ้าจากสวรรค์พาดลงมา ผิวหนังของพวกมันก็ถูกฟาดจนฉีกขาด ส่วนที่ได้รับการรักษาต่อประสานก็มีแต่ส่วนที่อยู่นอกเครื่องรัดหยกเหล่านี้เท่านั้น ส่วนอื่นๆของร่างกายที่อยู่ใต้ชิ้นหยกเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีแผลเป็นไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ 


 


 


เยี่ยเฉินแม้จะเป็นตัวร้ายแต่ก็ยังนับว่ามีน้ำใจต่อเผ่าพันธุ์เดียวกันอยู่ 


 


 


เขาเองก็รู้สึกว่าทนดูไม่ได้เช่นกัน 


 


 


ขณะที่พวกนางกำลังเหาะผ่านมังกรหยกทั้งเก้าตัว ตู๋กูซิงหลันที่อยู่บนศีรษะของเขาก็กุมคฑาสีดำเอาไว้ แล้วกระโจนออกไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


จิตวิญญาณที่กิ่งโปร่งใสร่อนลงไปตรงเบื้องหน้าของมังกรทั้งเก้า 


 


 


“ฮูมมมม …” 


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่มังกรทั้งเก้าได้พบกับตัวตนที่แท้จริงของนาง 


 


 


เพียงแวบแรกที่ได้เห็นนาง ร่างกายของพวกมันก็สั่นสะท้านจนเครื่องรัดส่งเสียงติงๆตังๆดังสนั่น 


 


 


พวกมันต่างก็พากันก้มศีรษะลงมา แสดงความเคารพต่อนาง 


 


 


หากมิใช่เพราะว่าร่างกายถูกพันธนาการเอาไว้ พวกมันคงจะลงไปหมอบอยู่ตรงหน้าตู๋กูซิงหลันแล้ว 


 


 


นี่คือประมุขของเผ่ามังกรทมิฬ ประมุขของเผ่ามังกรทั้งสี่ทะเล! 


 


 


เหล่าเทพต่างก็มองมา ตอนนี้พวกเขาถึงได้เข้าใจว่า ที่ฝูงมังกรแสดงความเคารพออกมาเมื่อยามกลางวัน นั้น มิใช่เป็นการแสดงความเคารพต่อเยี่ยเฉิน หากแต่เป็นการแสดงความเคารพต่อสตรีผู้นี้ต่างหาก! 


 


 


“นางคือ…..ประมุขเผ่ามังกร?” 


 


 


เหล่าเทพต่างก็เป็นผู้ผ่านประสบการณ์มามาก ย่อมต้องรู้จักวิธีการแสดงความเคารพของเผ่ามังกร 


 


 


ประมุขมังกรที่พวกเทพเอ่ยเรียก ย่อมต้องหมายถึงประมุขแห่งมังกรทมิฬ 


 


 


มีแต่ประมุขของมังกรทมิฬเหล่านั้นจึงจะมีอำนาจปกครองทั้งสี่ทะเล แต่มีแต่ประมุขของมังกรทมิฬเหล่านั้นที่จะได้รับการแสดงความเคารพจากเผ่ามังกร 


 


 


พอมีคนเอ่ยออกมา เหล่าทวยเทพต่างก็ตระเตรียมการป้องกันตัว 


 


 


ประมุขของมังกรทมิฬในอดีต….เยี่ยจ้าน เล่าลือกันว่าดับสิ้นอยู่ในหุบเหวไร้ก้นบึ้งไปแล้ว 


 


 


ตำแหน่งประมุขนี้ แม้แต่เยี่ยเฉินยังไม่อาจได้รับการสืบทอด แล้วทำไมสาวน้อยผู้นี้ถึงได้? 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)