ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนพิเศษ 117-122
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 117 ในห้องบรรทม
หลังจากล้างหน้าล้างตัวเสร็จแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วหลังจากที่ได้ฟัง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์อคนนี้สามารถเข้าวังไปขอความช่วยเหลือได้ แต่กลับรีบมาที่จวนอ๋องฉี เขาตั้งใจมาเพราะเมิ่งเอ๋อร์แน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มส่ายหัวไปมาแล้วกล่าวว่า “ตอนนั้นคนของเขาเสียชีวิตไปเกือบครึ่งแล้ว เหตุฉุกเฉิน คิดว่าเขาน่าจะคิดถึงพวกเราก่อน ฉะนั้นจึงให้ลูกน้องของเขารีบมาส่งข่าว”
ฟังน้ำเสียงที่ปกป้องของนาง สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนยิ่งไม่พอใจมากขึ้นไปอีก มองนางด้วยหางตาแล้วกล่าวว่า “เจ้าคงไม่ได้ยินยอมให้เขามาสู่ขอเมิ่งเอ๋อร์หรอกนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแต่ไม่ตอบ และไม่ได้เล่าการกระทำในวันนี้ของหวงฝู่สือเมิ่งให้เขาฟัง
เห็นนางยิ้มอย่างมีความสุข ดูอารมณ์ดี ในใจของหวงฝู่อี้เซวียนไม่พอใจเป็นอย่างมาก ลุกขึ้นยืน เดินมาข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว จ้องมองตานางแล้วขมขู่ว่า “หากเจ้ากล้าตกลงการสู่ขอของเขา เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะมัดตัวของเจ้าไว้บนเตียง จนกว่าเจ้าจะคลอดลูกสาวอีกหนึ่งคน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวว่า “ขอเพียงเจ้ายินยอม คลอดอีกสองคนก็ได้”
หวงฝู่สือเมิ่งกลับไปที่ห้องของตัวเอง สั่งให้คนยกน้ำร้อนมา นั่งล้างตัวอยู่ในอ่าง คิดถึงการกระทำเมื่อครู่ขอตัวเองแล้ว ก็ยื่นมือทั้งสองข้างออกมาปิดใบหน้าที่ร้อนมากของตัวเองแล้วลงไปในน้ำ แต่ตอนที่ได้ยินว่าเยียลี่ว์อาเป่ามีอันตราย นางตกใจจริงๆ สมองว่างเปล่า ไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง จนถึงตอนที่นางรู้สึกตัวขึ้นมาเมื่อเห็นสายตาที่แรงกล้าของเยียลี่ว์อาเป่า จึงจะรู้สึกว่าการกระทำของตัวเองนั้นไม่เหมาะสมมากเพียงใด แต่ก็สายไปเสียแล้ว ไม่เพียงแค่เยียลี่ว์อาเป่า เกรงว่าท่านแม่ของตนก็รู้ความรู้สึกของตนแล้ว นั่นทำให้ตัวเองที่กล่าวอย่างมั่นใจว่าจะไม่ยอมแต่งงานกับเยียลี่ว์อาเป่าตอนนั้น จะเผชิญหน้ากับพวกเขาในตอนนี้ได้อย่างไร
ยิ่งคิดยิ่งวุ่นวายใจ ยิ่งคิดยิ่งโมโห หลังจากเงยหน้าขึ้นมาแล้ว ก็ทุบตีผิวน้ำแรงๆ หนึ่งครั้ง แล้วกล่าวว่าน้ำที่กระเซ็นขึ้นมาอย่างโมโหว่า “ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า”
หลังจากสี่ชั่วยามผ่านไป ชิงหลวนกลับมารายงาน กล่าวว่าผู้ที่โจมตีเยียลี่ว์อาเป่าได้ถูกจับกุมไว้หมดแล้ว ส่งตัวให้คนของเขาแล้ว ส่วนเขาจะจัดการอย่างไร นางไม่ได้กล่าวถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า มองท้องฟ้า ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฟ้ามืดแล้ว เจ้ารีบกลับสำนักคุ้มภัยเถิด เรียกจูหลีให้กลับหนานเฉิงด้วย”
ชิงหลวนรับคำสั่ง แล้วถอยออกไป
สองวันผ่านไป เยียลี่ว์อาเป่ามาขอพบที่จวน แต่ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธ
หลังจากเยียลี่ว์อาเป่าชะงักไปสักพัก หันหลังแล้วกลับเข้าไปในรถม้า ตรงมาที่ตลาดค้าขาย ซื้อจวนหลังหนึ่งที่อยู่ห่างจากจวนอ๋องฉีสามถนนเพื่ออยู่อาศัย หลังจากนั้นมา ก็จะไปขอพบที่จวนอ๋องฉีทุกวัน แต่ก็ถูกปฏิเสธทุกครั้ง เป็นเวลาต่อเนื่องสามเดือน เป็นเยี่ยงนี้ทุกวัน จนนายประตูยอมใจในความหน้าด้านและความอดทนของเขา
รัฐอิง
ท่าป๋าหั่นหลินที่กลับรัฐอิงหลังจากสู่ขอเสร็จ ความหวังตลอดหลายปีกำลังจะสำเร็จ แต่เขากลับมิได้ดีใจเยี่ยงนั้น ในเวลาที่เข้าประชุมตอนเช้าและอ่านสานส์ที่กราบทูล ก็เหม่อลอยอยู่บ่อยครั้ง ในหัวก็มีภาพหวงฝู่เย่าเย่ว์ผุดขึ้นมาบ่อยครั้ง รูปร่างที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาของนาง รอยยิ้มที่ไร้ความกังวลของนาง และดวงตากลมโตที่ใสซื่อบริสุทธิ์คู่นั้นของนาง เต็มไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเมื่อมองมาที่ตัวเอง
วันนี้ หลังจากเสวยพระกระยาหารที่ตำหนักของไทเฮา ฟังนางเล่าเรื่องการจัดเตรียมงานแต่งงานของเขาด้วยสีหน้าที่มีความสุข ท่าป๋าหั่นหลินก็เกิดความหงุดหงิดในใจ ยังไม่ทันรอให้ไทเฮาเอ่ยจบ ก็กดคลึงหน้าผากของตัวเอง
ไทเฮาเห็น จึงหยุดตรัส แล้วถามอย่างห่วงใยว่า “ลูกไม่สบายที่ใดหรือ”
ท่าป๋าหั่นหลินกล่าวตอบว่า “ช่วงนี้สานส์กราบทูลมีมาก ลูกดูทั้งวันแล้ว จึงรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยขอรับ”
“ถ้าเยี่ยงนั้นเจ้าก็รีบกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักเถิด ข้าจะสั่งให้คนต้มยาบำรุงไปให้เจ้า”
ท่าป๋าหั่นหลินลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้อง เสด็จแม่ ข้าพักผ่อนสักคืนก็ดีแล้วขอรับ”
ไทเฮามิได้เซ้าซี้
ท่าป๋าหั่นหลินออกจากประตูตำหนักของไทเฮา มองดูเกี้ยวที่งดงามตรงหน้า แต่ไม่มีความรู้สึกอยากนั่ง ยกขาแล้วเดินตรงไปที่สวนดอกไม้อย่างไม่รีบร้อน หัวหน้าขันทีและนางกำนัลต่างเดินตามหลังอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าหายใจแรง
อากาศในเดือนห้าเดือนหก ตอนเช้านั้นร้อนมาก พอตกกลางคืน จึงจะมีลมพัดมาเล็กน้อย แต่ยิ่งพัดก็ยิ่งทำให้ท่าป๋าหั่นหลินหงุดหงิดใจมากขึ้น
ท่าป๋าหั่นหลินเดินมาจนถึงศาลาข้างบ่อปลา ยืนมือไขว้หลังมองดูฝูงปลาที่แหวกว่ายไปมาอย่างอิสระในน้ำ
หัวหน้าขันทีคาดเดาความคิดของเขาไม่ออก และไม่กล้าก้าวออกไปถาม จนเขายืนเหม่อลอยไปสามสิบนาที จึงจะกล้าก้าวออกไป กล่าวถามว่า “ฮ่องเต้ ให้คนนำอาหารปลามาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เงยหน้ามองเขาเล็กน้อย ท่าป๋าหั่นหลินไม่ได้เอ่ยตอบ
หัวหน้าขันทีคิดว่าเขาตกลงแล้ว จึงโบกมือ ก็มีคนยกอาหารปลามาทันที วางลงข้างหน้าท่าป๋าหั่นหลินอย่างเคารพ
ท่าป๋าหั่นหลินจับขึ้นมาหนึ่งกำมืออย่างไม่รู้ตัว แล้วโยนลงไปในบ่อปลา
เหล่าฝูงปลาต่างแข่งกันว่ายน้ำมาแย่งอาหาร
มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของท่าป๋าหั่นหลิน มือที่กำลังจับอาหารปลาขึ้นมาอีกครั้งหยุดชะงักไป หันมองไปทางหัวหน้าขันที ริมฝีปากขยับ อยากจะกล่าวถามอะไรบางอย่างว่า “เจ้าว่า…”
หัวหน้าขันทีฟังอย่างเคารพ แต่ผ่านไปสักพักก็ไม่ได้ยินประโยคถัดไป จึงเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ
ท่าป๋าหั่นหลินกลับไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก โยนอาหารปลาในมือทิ้ง แล้วยื่นมือออกมา
นางกำนัลรีบยกผ้าเช็ดขึ้นมาทันที
เช็ดมือให้สะอาดแล้ว ก็โยนลงบนถาดวาง สั่งว่า “ไป นำตัวหลิวอวี้เอ๋อร์ไปที่ตำหนักชิงเซวียน”
ตำหนักชิงเซวียนเป็นตำหนักบรรทมของท่าป๋าหั่นหลิน หัวหน้าขันทีได้ยินก็กะพริบตา แสดงสีหน้าดีใจออกมา รีบสั่งให้คนไปเรียกหลิวอวี้เอ๋อร์
ท่าป๋าหั่นหลินก็ไม่มีอารมณ์ให้อาหารปลาแล้ว หลังจากออกจากสวนดอกไม้ ก็นั่งเกี้ยว กลับตำหนักชิงเซวียนทันที
หัวหน้าขันทียืนรออยู่ด้านนอกตำหนัก แอบคิดในใจว่าหลังจากหลิวอวี้เอ๋อร์ถูกฮ่องเต้นำตัวกลับมาเมื่อหลายปีก่อน แล้วโยนให้ท้าวนางผู้ใหญ่ที่สอนประเพณีและกฏระเบียบดูแล
แน่นอนว่าท้าวนางผู้ใหญ่สอนประเพณีและกฏระเบียบทุกอย่าง หลิวอวี้เอ๋อร์คนนั้นลำบากไม่น้อย หลายเดือนแรกนางหัวแข็ง จึงถูกตีไม่น้อย ต่อมาไม่รู้ว่าคิดได้หรือยอมรับชะตากรรมแล้ว เชื่อฟังมากขึ้น หนึ่งปีผ่านไป คนก็สอนเสร็จแล้ว แต่ฮ่องเต้ก็ไม่เคยเอ่ยถามถึงนางเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่วันนี้กลับให้คนเรียกนางมา หรือเพราะรู้ว่าหลิวอวี้เอ๋อร์คนนั้นเข้าสู่วัยสาวแล้ว สามารถรับใช้ในห้องบรรทมแล้ว จึงเรียกนางมา
ในขณะที่หัวหน้าขันที่คิดอยู่ หลิวอวี้เอ๋อร์ก็เดินตามนางกำนัลมา สองปีผ่านไป หลิวอวี้เอ๋อร์โตแล้ว ยิ่งดูยิ่งงดงาม ไม่เพียงเท่านี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกสั่งสอนมา หรือว่านางเป็นเยี่ยงนี้อยู่แล้ว ไม่เพียงแค่ดวงตาคู่งามนั้นที่มีแสงสว่างแห่งความเย้ายวนอยู่ แม้แต่รอบตัวนางและทุกการเคลื่อนไหว ทุกการกระทำกลับเต็มไปด้วยความเย้ายวน ที่ทำให้ผู้คนที่เห็นเกิดความคิดที่ไม่ดีกับนาง
มิทันได้รายงาน หัวหน้าขันทีเปิดประตูตำหนักชิงเซวียนทันที หลิวอวี้เอ๋อร์ขยับตัวแล้วเดินนวยนาดเข้าไป
นางกำนัลที่อยู่ข้างหลังก็อยากจะตามเข้าไป แต่ถูกหัวหน้าขันทีขัดขวางไว้ “ไม่ดูตาม้าตาเรือ วันนี้เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้เรียกเจ้านายของพวกเจ้า พวกเจ้าจะตามเข้าไปทำไม”
นางกำนัลหยุดลง ต่างก้มศีรษะลง แต่ในใจกลับปรารถนาให้ฮ่องเต้รักและเอาใจเจ้านายของตัวเอง ต่อไปพวกนางจะได้เชิดหน้าชูตาในวังนี้ได้ มิใช่ว่าตอนนี้ตามหลิวอวี้เอ๋อร์ไม่ดี แต่สถานะของเจ้านายตนนั้นแปลกเล็กน้อย บอกว่าเป็นนางสนมของฮ่องเต้ แต่ก็ยังไม่ถูกแต่งตั้ง แต่หากบอกว่ามิใช่นางสนม แต่กลับถูกฮ่องเต้นำตัวกลับมาด้วยตัวเอง จึงทำให้ผู้คนมากมายในวังใช้สายตาที่แปลกๆ มองพวกนางและคนในตำหนักซีเหอ
เดินเข้ามาในตำหนัก เห็นท่าป๋าหั่นหลินนั่งอยู่บนเตียงใหญ่ในห้องบรรทม ดวงตาคู่งามของหลิวอวี้เอ๋อร์แสดงแสงวาบหวามที่เย้ายวนออกมา เดินไปอย่างช้าๆ ทำความเคารพ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หยาดเยิ้ม “ทำความเคารพฮ่องเต้”
ตอนนั้นที่จับตัวหลิวอวี้เอ๋อร์กลับมา หลังจากกล่าวถามเรื่องราวตั้งแต่เล็กจนโตของหวงฝู่เย่าเย่ว์อย่างละเอียดแล้ว ท่าป๋าหั่นหลินก็โยนนางให้ท้าวนางผู้ใหญ่ที่สอนประเพณีและกฏระเบียบดูแลทันที ไม่คิดว่าไม่พบเจอกันสองปี หลิวอวี้เอ๋อร์จะกลายเป็นเยี่ยงนี้ จนอดมองนางมิได้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขามว่า “ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยฮ่องเต้” หลิวอวี้เอ๋อร์ลุกขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความเย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก
แต่ท่าป๋าหั่นหลินเหมือนไม่เห็น กล่าวถามเรื่องที่เขารู้สึกสงสัยออกมาตรงๆ ว่า “ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยพูดว่า หวงฝู่เย่าเย่ว์ว่ายน้ำไม่เป็น แล้วเหตุใดตอนนั้นหลังจากที่คนของข้าลากนางลงน้ำ นางสามารถหลุดพ้นไปได้” หลิวอวี้เอ๋อร์หยุดชะงักไป เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าท่าป๋าหั่นหลินจะเรียกนางมาในเวลากลางคืนเยี่ยงนี้เพราะถามเรื่องราวที่เกี่ยวกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วแกล้งทำเป็นหยุดคิดไปชั่วครู่ แล้วพยักหน้าอย่างมั่นใจแล้วกล่าวว่า “ฮ่องเต้ หวงฝู่เย่าเย่ว์ว่ายน้ำไม่เป็นจริงๆ เพคะ ไม่เยี่ยงนั้นตอนนั้นก็คงไม่ถูกเรือของข้าชนจนตกลงไปในน้ำ จนเกือบจมน้ำตาย”
ท่าป๋าหั่นหลินก็ยังไม่เชื่อ เขาจำได้ว่าตอนนั้นลูกน้องของเขากล่าวว่า จับตัวได้แล้ว แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ยังหลุดรอดไปได้ หากนางว่ายน้ำไม่เป็น แล้วนางจะหลุดไปได้อย่างไร ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วกล่าวถามด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “เจ้าแน่ใจหรือ”
“อวี้เอ๋อร์แน่ใจเพคะ”
ท่าป๋าหั่นหลินครุ่นคิด ไม่พูดจา ไม่นานก็โบกมือแล้วกล่าวว่า “ออกไปเถิด”
หลิวอวี้เอ๋อร์ตกใจ ไม่เชื่อว่าท่าป๋าหั่นหลินเรียกตนมา เพียงเพราะกล่าวถามเรื่องราวที่เกี่ยวกับหวงฝู่เย่าเย่ว์เท่านั้น จึงไม่พอใจ กัดริมฝีปากล่างเบาๆ แล้วดึงเสื้อผ้าของตัวเองลงเล็กน้อย แสดงผิวที่ขาวเนียนออกมามากขึ้น แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หยาดเยิ้มและเย้ายวนว่า “ฮ่องเต้”
ท่าป๋าหั่นหลินมองไปทางนาง
‘ฮ่องเต้’ ในน้ำเสียงของหลิวอวี้เอ๋อร์มีความน้อยใจเล็กน้อย แล้วบอกเป็นนัยมากขึ้นไปอีกว่า “อวี้เอ๋อร์เข้าสู่วัยสาวแล้วนะเพคะ”
สายตาของท่าป๋าหั่นหลินยิ่งขรึมลง กวักมือเรียกนาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าว่า “เข้ามา”
หลิวอวี้เอ๋อร์เดินมาข้างหน้าเข้าด้วยท่าทางที่สั่นเล็กน้อย กลัวเล็กน้อย เขินอายเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ฮ่องเต้ ท่าน” ท่าป๋าหั่นหลินยกมุมปากขึ้นสูง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายว่า “เจ้าใคร่ปีนขึ้นเตียงข้ามากเยี่ยงนี้เลยหรือ”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 118 หากไม่ละทิ้งก...
ท่าป๋าหั่นหลินสืบทอดบังลังก์ว่าสามปี ตอนนี้อายุสิบแปดสิบเก้าปีแล้ว เป็นช่วงเวลาที่กระฉับกระเฉงและมีพลัง เมื่อก่อนเอาแต่คิดวางแผนว่าจะสู่ขอหวงฝู่เย่าเย่ว์ได้อย่างไร จึงไม่ได้คัดเลือกนางสนมเข้าวัง ประสบการณ์ด้านนี้จึงไม่มี ตอนนี้หลิวอวี้เอ๋อร์เริ่มก่อน จึงใจเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
หลิวอวี้เอ๋อร์ผ่านการสั่งสอนมานานเยี่ยงนี้ แน่นอนว่าต้องรู้ว่าเป็นอย่างไร ในใจนั้นก็ดีใจมาก ความเย้ายวนวูบวาบในดวงตาของนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยิ่งทำให้คนฟังไร้เรี่ยวแรงว่า “ฮ่องเต้ วันนี้ให้อวี้เอ๋อร์รับใช้ท่านดีหรือไม่”
นางเป็นคุณหนูของจวนอู่โหว แม้ว่าจะไม่ถูกจับตัวมา คิดว่าก็คงถูกฮ่องเต้เลือกเข้าวังแน่นอน ฮ่องเต้ในปัจจุบันอายุสามสิบกว่าปีแล้ว มีนางสนมมากมายนับไม่ถ้วน หากนางอยากจะโดดเด่นที่สุดในบรรดาเหล่านางสนม ก็มิใช่ว่าไม่มีโอกาสนั้น ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ตอนนี้รอบข้างท่าป๋าหั่นหลินยังไม่มีนางสนมแม้แต่คนเดียว ให้นางใช้ความสามารถของนางทุกอย่าง ที่ทำให้เขาไปจากนางมิได้ ไม่เพียงแค่มีที่ยืนในวังหลังแล้ว ไม่แน่อาจมีบุตรอีกหนึ่งคนอยู่ข้างกาย เมื่อถึงเวลานั้นนางสามารถส่งจดหมายในครอบครัวนาง ว่านางยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นคือมีชีวิตที่ดี นี่เป็นสิ่งที่นางคิดได้เมื่อตอนที่นางจะฆ่าตัวตายเพื่อขมขู่ ฉะนั้นต่อมานางจึงเชื่อฟัง ส่วนหวงฝู่เย่าเย่ว์ที่โง่เขลานั้น รอให้นางเป็นฮองเฮาจริงๆ แล้ว ย่อมมิใช่คู่ต่อสู้ของนางแล้วอย่างแน่นอน
ท่าป๋าหั่นหลินเพ่งมองใบหน้าที่งดงามของนาง ลูกกระเดือกเคลื่อนขึ้นลงหลายรอบ ใช้มือดึง เสื้อผ้าบนตัวของหลิวอวี้เอ๋อร์ออกมาอย่างง่ายดาย เผยผิวกายที่เรียบเนียนและขาวนวลออกมา
หลิวอวี้เอ๋อร์ร้องเสียงแหลมออกมาอีกหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นหัวหน้าขันทีและนางกำนัลที่รออยู่ข้างนอกได้ยินเสียง ก็ดีใจเป็นอย่างมาก ที่หัวหน้าขันทีดีใจนั้นเป็นเพราะ ในที่สุดฮ่องเต้ก็มีผู้หญิงเสียที นั่นหมายความว่าร่างกายของเขาไม่มีปัญหา เขาสามารถรายงานไทเฮาได้อย่างสบายใจเสียที ส่วนนางกำนัลนั้น ที่ดีใจเป็นเพราะในที่สุดเจ้านายของตัวเองก็ถูกรักและเอาใจเสียที ต่อไปตำแหน่งของพวกนางก็จะสูงขึ้น
หัวหน้าขันทีและนางกำนัลมีความคิดอย่างไร ท่าป๋าหั่นหลินไม่รู้ เข้ารู้เพียงว่า เขาถูกเย้ายวนจนอยากจะได้ตัวของผู้หญิงคนนี้ จึงไม่อดกลั้นอีกต่อไป ฉีกเสื้อผ้าบนตัวของหลิวอวี้เอ๋อร์อย่างรวดเร็ว โยนลงบนพื้น แล้วรีบถอดเสื้อผ้าของตัวเองแล้วทับตัวลงไป
เห็นท่าทางที่ร้อนใจของเขา ใจของหลิวอวี้เอ๋อร์ก็แทบจะกระโดดออกมา ใบหน้าแดงก่ำ ยิ่งทำให้นางดูสวยเย้ายวนมากขึ้นไปอีก
ท่าป๋าหั่นหลินแนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากที่นุ่มของหลิวอวี้เอ๋อร์ ได้ยินเสียงครวญครางของนางข้างหู แต่ตรงหน้ากลับมีภาพเมื่อหลายปีก่อนผุดขึ้นมา ร่างกายหยุดชะงักไป ความเร่าร้อนและความร้อนใจหายไปในพริบตา ร่างกายที่เร่าร้อนก็ค่อยๆ เย็นขึ้นมาทันที
สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเขา หลิวอวี้เอ๋อร์ลืมตาขึ้นมา มองดูสายตาที่เปลี่ยนเป็นความเยือกเย็นของเขา ก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบกล่าวออกมาว่า “ฮ่องเต้เพคะ”
เสียงนี้ ทำลายความเร่าร้อนของท่าป๋าหั่นหลินไปทั้งหมด ค่อยๆ ลุกขึ้น จัดเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ออกไป”
“ฮ่องเต้” หลิวอวี้เอ๋อร์ร้องออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง รีบผุดลุกขึ้นมา ยื่นมืออกมาดึงเสื้อผ้าของท่าป๋าหั่นหลิน แล้วกล่าวถามอย่างไม่ตายใจว่า “ฮ่องเต้ อวี้เอ๋อร์ทำไม่ดีตรงไหนหรือเพคะ”
ใบหน้าเล็กตรงหน้าทับกับใบหน้าเล็กของหวงฝู่เย่าเย่ว์ ท่าป๋าหั่นหลินเหมือนเห็นท่าทางที่หวงฝู่เย่าเย่ว์โมโห หลังจากที่นางได้รู้ว่าเขามีหญิงอื่น เขาใจสั่น รีบดึงเสื้อผ้าของตัวเองกลับมา แล้วตะคอกเสียงดังออกมาว่า “ออกไป!”
หลิวอวี้เอ๋อร์หยุดชะงักไป ในดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา ที่จะไหลออกมา ด้วยท่าทางที่ทำให้ผู้ที่เห็นต้องรู้สึกสงสาร แล้วกล่าวอย่างไม่ตายใจอีกครั้งว่า “ฮ่องเต้” ท่าป๋าหั่นหลินทำเหมือนไม่เห็นและไม่ได้ยิน ร้องตะโกนออกไปข้างนอกอย่างเสียงดังว่า “เข้ามา”
เสียงตะคอกนั้นของท่าป๋าหั่นหลิน หัวหน้าขันทีและนางกำนัลที่อยู่ข้างนอกได้ยินแน่นอน ต่างตกใจกันมาก ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ได้ยินเสียงโมโหเรียกของท่าป๋าหั่นหลินที่ดังมาจากข้างใน หัวหน้าขันทีรีบก้มหน้าแล้วเดินเข้าไปทันที
ท่าป๋าหั่นหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโมโหว่า “โยนนางออกไป”
หัวหน้าขันทีเงยหน้าขึ้น มองหลิวอวี้เอ๋อร์เล็กน้อย แล้วรีบก้มหน้าอีกครั้ง รับคำสั่งว่า “ขอรับ”
แล้วหันหลังตะโกนเรียกคนข้างนอกว่า “ยังไม่รีบเข้ามาอีก พยุงตัวเจ้านายพวกเจ้าออกไปซะ”
นางกำนัลที่รับใช้หลิวอวี้เอ๋อร์พยุงตัวหลิวอวี้เอ๋อร์ขึ้นมา แล้วเดินเรียงกันออกไปทันที หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่พอใจ พยายามขัดขืนตลอดเวลาแล้วกล่าวว่า “ฮ่องเต้ ฮ่องเต้เพคะ”
ความโมโหของท่าป๋าหั่นหลินมาถึงขีดสุด จนแทบจะระเบิดออกมาแล้ว แต่นางกำนัลก็ไม่เห็น หัวหน้าขันทีก็ร้อนใจเป็นอย่างมาก รีบโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์แล้วกล่าวว่า “รีบออกไป”
นางกำนัลรีบยื่นมือออกมาพร้อมกัน ปิดปากของหลิวอวี้เอ๋อร์ แล้วนำตัวนางออกไป
หัวหน้าขันทีก็เดินออกไปด้วย ค่อยๆ ปิดประตูอย่างเบาๆ ยังไม่ทันกล่าวว่าเจ้าพวกคนโง่เขลาพวกนี้ ก็มีเสียงทำลายสิ่งของดังออกมาจากข้างใน
เพล้ง เพล้ง เพล้ง หลิวอวี้เอ๋อร์และนางกำนัลทุกคนต่างตกใจจนตัวสั่น
นี่ก็เป็นครั้งแรกที่หัวหน้าขันทีเห็นท่าป๋าหั่นหลินโมโหเยี่ยงนี้ เงยหน้ามองไปทางหลิวอวี้เอ๋อร์ เจ้าคนโง่เขลานี้ แม้แต่รับใช้ในห้องบรรทมก็ทำไม่เป็น ทำให้ฮ่องเต้โมโหเยี่ยงนี้
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ แน่นอนว่าไทเฮาต้องรู้ ความดีใจจากข่าวที่ได้ยินว่าท่าป๋าหั่นหลินเรียกหลิวอวี้เอ๋อร์ให้เข้าเฝ้าหายไปในพริบตา แล้วสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไป นำตัวหลิวอวี้เอ๋อร์คนนั้นมาพบข้า”
ฉะนั้น หลิวอวี้เอ๋อร์ที่เพิ่งจะกลับมาถึงตำหนักของตัวเอง ยังไม่ทันเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ถูกเรียกไปที่ตำหนักของไทเฮา มองดูนางที่ถามกี่คำถามก็ตอบว่าไม่รู้ ทำให้ไทเฮาโมโหอย่างมาก สั่งให้นางไปคุกเข่าที่ลาน จนกว่าฮ่องเต้จะหายโมโห
รัฐอู่ หน้าประตูจวนอ๋องฉี
เยียลี่ว์อาเป่ายังคงมาขอพบที่จวนอ๋องฉีเฉกเช่นทุกวัน
นายประตูก็ไม่ไล่เขา ยังคงเข้าไปรายงานเหมือนทุกครั้ง แต่ก็พึมพำในใจว่า ไม่รู้ว่าองค์ชายรัชทายาทรัฐหมิงนั้นโง่หรือไม่ สามเดือนแล้ว ไม่มีเจ้านายในจวนคนใดพบเขาเลย แต่เขาก็ยังไม่ย่อท้อ
ไม่คิดว่า หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินรายงานแล้ว ก็สั่งว่า “เชิญเขาไปที่ห้องโถงรับแขก”
นายประตูตกใจอ้าปากกว้าง ผ่านไปสักพักจึงจะรู้สึกตัวขึ้นมา วิ่งมาจนถึงหน้าประตูจวน ทำท่าเชิญแล้วกล่าวอย่างดีใจว่า “องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์ ซื่อจื่อเฟยเชิญท่านเข้าไปขอรับ”
เยียลี่ว์อาเป่าก็อึ้งไปเล็กน้อย ไม่นานก็แสดงรอยยิ้มที่มาจากใจ แล้วกล่าวอย่างมีมารยาทว่า “ขอบใจมาก”
สามเดือนนี้ เขามาทุกวัน นายประตูก็เข้าไปรายงานทุกวัน ในใจของเขาก็รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
นายประตูตกใจเป็นอย่างมาก รีบโบกมือแล้วกล่าวว่า “องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์ กล่าวเยี่ยงนี้มิได้ขอรับ เชิญท่านเข้าไปนจวนเถิดขอรับ”
เยียลี่ว์อาเป่าตามเขามาถึงห้องโถงรับแขก
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวรออยู่ในห้องโถงรับแขกแล้ว ทั้งสองนั่งตรงตำแหน่งหลัก เห็นเขาเข้ามา ก็ไม่ได้ลุกขึ้น
เยียลี่ว์อาเป่าค้อมตัวลงทำความเคารพทั้งสองแล้วกล่าวว่า “ทำความเคารพซื่อจื่อ ทำความเคารพซื่อจื่อเฟย”
เมิ่งเชี่ยนโยวทำท่าเชิญแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์ เชิญนั่งเถิด”
เยียลี่ว์อาเป่ากล่าวขอบคุณ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้คนยกน้ำชามา
แต่หวงฝู่อี้เซวียนนั้นไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แต่สายตาที่มองเยียลี่ว์อาเป่านั้นเป็นมิตรมากขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวเสียงเรียบว่า “องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์มาเมืองหลวงได้สามเดือนแล้วใช่หรือไม่”
“สามเดือนกับอีกห้าวันขอรับ” เยียลี่ว์อาเป่ากล่าวตอบอย่างเคารพ
“แล้วเมื่อไหร่เจ้าจะกลับหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวถามด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
หลังจากเยียลี่ว์อาเป่าหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก็รีบกล่าวตอบทันทีว่า “ข้าจะรอจนกว่าท่านหญิงเมิ่งเอ๋อร์จะยอมกลับไปกับข้า”
ไม่ได้เอ่ยว่าจะรอจนกว่าเมิ่งเอ๋อร์จะแต่งงานกับเขา แต่เอ่ยว่าจนกว่าจะยอมกลับไปกับเขา เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างพอใจ ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “แล้วงานแต่งงานของพวกเจ้าเจ้าอยากจะจัดเตรียมอย่างไร”
อาเป่าเพิ่งจะพูดออกมาได้ไม่กี่คำ ในสมองกำลังคำนวณ พลันนึกขึ้นได้ว่าคำถามของเมิ่งเชี่ยนโยวคืออะไร ร่างกายหยุดชะงัก เงยหน้าขึ้น กลืนน้ำลาย มองนางอย่างใจจดใจจ่อแล้วกล่าวถามอย่างไม่มั่นใจว่า “ความหมายของซื่อจื่อเฟยคือ…”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบเขาตรงๆ แต่กลับยิ้มแล้วถามกลับไปว่า “องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์คิดว่าอย่างไร”
เยียลี่ว์อาเป่าลุกขึ้นทันที แล้วคุกเข่าหลังตรงต่อหน้าทั้งสองแล้วกล่าวว่า “ลูกเขยทำความเคารพท่านพ่อตา ท่านแม่ยายขอรับ”
ไม่คิดว่าเขาจะทำความเคารพแบบจัดเต็มเยี่ยงนี้ หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกระโดดขึ้นมาทันที หลบไปข้างๆ แล้วกล่าวว่า “องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์ นี่เจ้ากำลังทำร้ายพวกข้าอยู่นะ”
เยียลี่ว์อาเป่าไม่ขยับแล้วกล่าวว่า “ขอเพียงซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยยินยอม อาเป่าแต่งเข้าจวนอ๋องฉีก็ได้ขอรับ”
ครั้งนี้ทั้งสองตกใจจริงๆ อ้าปากแต่พูดอะไรไม่ออก
ผ่านไปสักพัก หวงฝู่อี้เซวียนชี้ที่เยียลี่ว์อาเป่า แล้วพูดติดอ่างว่า “เจ้า เจ้าลุกขึ้นก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เยียลี่ว์อาเป่าลุกขึ้นยืน
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวต่างโล่งอกพร้อมกัน แล้วนั่งกลับไปบนเก้าอี้
เห็นว่าเยียลี่ว์อาเป่ายังยืนอยู่ หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นว่า “เจ้าก็นั่งลงเถิด”
เยียลี่ว์อาเป่านั่งลงอย่างเชื่อฟัง แล้วมองทั้งอย่างมีความสุข
ทั้งสองต่างยกแก้วชาบนโต๊ะขึ้นมา แล้วดื่มไปหลายคำ จึงจะสงบอารมณ์ของตัวเองได้
หวงฝู่อี้เซวียนสูดอากาศหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและจริงจังว่า “แต่งเข้าจวนอ๋องฉีนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่หลังจากพวกเจ้าแต่งงานกันแล้วสามารถกลับมาอยู่ที่จวนอ๋องฉี”
ความหมายของประโยคนี้ชัดเจนมาก เยียลี่ว์อาเป่าลุกขึ้นยืนอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโสทั้งสองยินยอมเรื่องแต่งงานของข้ากับเมิ่งเอ๋อร์แล้วหรือขอรับ”
ร่างกายของหวงฝู่อี้เซวียนขยับอย่างไม่รู้ตัว เห็นว่าเขาไม่ได้คุกเข่าลงอีก จึงโล่งอก แต่ไม่นานก็คิดขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เขาเอ่ยว่าอะไร สีหน้าขรึมลงทันที แล้วกล่าวถามด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “ข้าแก่มากหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างแปลกใจ จนเกือบหัวเราะออกมา
ฟังน้ำเสียงที่ไม่พอใจของเขา เยียลี่ว์อาเป่าตกใจอย่างมาก รีบโบกมืออย่างสุดแรงแล้วกล่าวว่า “ไม่แก่ ไม่แก่ อ่อนวัยกว่าเสด็จพ่อเสด็จแม่อีกขอรับ”
ฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนเพิ่งจะสามสิบปี เยียลี่ว์อาเป่าไม่พูดยังดี พูดออกมาเยี่ยงนี้ สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนยิ่งขรึมลงไปอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวพยายามควบคุมตัวเองอย่างสุดชีวิต จึงจะไม่หัวเราะออกมา
เยียลี่ว์อาเป่ารู้ว่าตัวเองพูดผิดอีกแล้ว บนหน้าผากมีเหงื่อซึมทันทีแล้วกล่าวว่า “ความหมายของลูกเขยคือ…”
“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องกล่าวอันใดแล้ว ไปคิดเรื่องสู่ขอว่าจะสู่ขอเยี่ยงไรเถิด”
ไม่รอให้เขาพูดจบ หวงฝู่อี้เซวียนขัดเขาขึ้น แล้วกล่าวประโยคนี้ออกมา ลุกขึ้นยืน เดินออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เยียลี่ว์อาเป่าอยู่กับที่ ตะลึงงันไปชั่วขณะ
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 119
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา
เยียลี่ว์อาเป่ารู้สึกตัวขึ้นมา กล่าวถามอย่างไม่แน่ใจด้วยน้ำเสียงที่สั่นว่า “ซื่อจื่อเฟย ความหมายของซื่อจื่อคือ…”
เมิ่งเชี่ยนโยวไอออกมา กลั้นหัวเราะ ลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าอายุมากแล้ว ข้าก็ไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอะไร ”
พูดจบ ก็เดินออกไปทันที ปล่อยให้เยียลี่ว์อาเป่าอยู่ในห้องโถงรับแขกคนเดียว
“หนึ่ง สอง สาม” ทันทีที่นับถึงสาม เมิ่งเชี่ยนโยวที่เดินออกมานอกห้องโถงรับแขกก็ได้ยินเสียงเก้าอี้ล้มลงดังมาจากห้องโถงรับแขกทันที รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้างมากขึ้นไปอีก เมิ่งเอ๋อร์ได้สามีแบบนี้ แม้จะแต่งออกเรือนไปไกล พวกเขาก็วางใจได้แล้ว
ในห้องโถงรับแขก เยียลี่ว์อาเป่าตกใจกับใบหน้าเคร่งขรึมของหวงฝู่อี้เซวียน ตอนนี้รู้สึกตัวขึ้นมา เข้าใจความหมายของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว ดีใจจนกระโดดขึ้นสูง ตอนลงมาไม่ระวังชนโดนเก้าอี้ รีบหันกลับไปตรวจดู เห็นว่าไม่มีคนเข้ามา ก็โล่งอก จัดเก้าอี้ให้เข้าที แล้วรีบเดินออกจากจวนอย่างรวดเร็ว กลับมาที่จวนของตัวเอง ตรัสสั่งด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นมากจนควบคุมไม่อยู่ว่า “เตรียมพู่กันและหมึก ข้าจะเขียนจดหมายถึงเสด็จพ่อเสด็จแม่”
เขาเคยเห็นภาพสู่ขอของท่าป๋าหั่นหลินแล้ว ขบวนการสู่ขอของข้าเยียลี่ว์อาเป่าจะต้องยิ่งใหญ่กว่าเขาแน่นอน
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปที่ห้อง หวงฝู่อี้เซวียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เห็นนางเดินเข้ามา ก็กล่าวถามด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “เจ้าพอใจหรือยัง”
ตอนแรก พูดอย่างไรเขาก็ไม่ยอมตกลงเรื่องแต่งงานของเมิ่งเอ๋อร์กับเยียลี่ว์อาเป่า แต่ทนเมิ่งเชี่ยนโยวที่พูดโน้มน้าวข้างหูเขาทุกวันไม่ไหว เขาจึงต้องยินยอมอย่างจนใจ ยังต้องรับผิดชอบเป็นคนไปพูดโน้มน้าวเสด็จพ่อเสด็จแม่ของตัวเอง จนทำให้ช่วงนี้ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีไม่สนใจเขาอยู่หลายวัน
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไป นั่งลงบนตัก มือสองข้างกอดคอเขาไว้ ยิ้มถาม “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าองค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์ชอบเมิ่งเอ๋อร์จริงๆ”
หวงฝู่อี้เซวียน หึ ออกมาเบาๆ เขาต้องมองออกแน่นอน ไม่เยี่ยงนั้นเขาจะยินยอมกับการแต่งงานนี้หรือ แต่นั่นมิได้หมายความว่าเขาจะสบายใจ
รัฐหมิง
ฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงได้รับจดหมายที่เยียลี่ว์อาเป่าใช้ม้าเร็วส่งมาอย่างรวดเร็ว หลังจากดูจบแล้ว ก็ดีใจเป็นอย่างมาก จึงตรัสสั่งให้คนนำสิ่งของที่จัดเตรียมไว้แล้วยกขึ้นบนรถม้าทันที แล้วส่งคนหนึ่งพันคนติดตามไป เข้าเมืองหลวงรัฐอู่อย่างยิ่งใหญ่
ในขณะเดียวกัน หวงฝู่อี้เซวียนก็เหมือนไม่ได้ ‘ตั้งใจ’ เล่าเรื่องที่ยินยอมกับการแต่งงานของหวงฝู่สือเมิ่งและเยียลี่ว์อาเป่าให้หวงฝู่ซวิ่นฟัง ในใจของหวงฝู่ซวิ่นนั้นดีใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมา แกล้งทำท่าทางที่เป็นห่วงเป็นใยแล้วกล่าวว่า “หลานสาวทั้งสองของข้าแต่งออกเรือนไปไกล ใจของเสด็จอารับไหวหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนค้อนมองเขา หึ ออกมาเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เก็บท่าทางจอมปลอมของเจ้าซะ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าในใจของเจ้าดีใจมากเพียงใด”
เมื่อความคิดถูกเปิดโปง หวงฝู่ซวิ่นจึงแตะจมูกเบาๆ ด้วยความอึดอัด กระแอมไอออกมาสองครั้งแล้วกล่าวว่า “ข้าก็แค่เป็นห่วงเสด็จอากับเสด็จอาสะใภ้”
“ไม่ต้องการ พวกท่านสบายดี” หวงฝู่อี้เซวียนตอบกลับไปอย่างไม่เกรงใจ “แค่เจ้าไม่ปรากฎตัวต่อหน้าพวกท่าน พวกท่านก็จะสบายดี”
หวงฝู่ซวิ่นแตะจมูกเบาๆ ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก หากเขารู้ว่าองค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์อคนนี้มีความสามารถมากเยี่ยงนี้จนสู่ขอเมิ่งเอ๋อร์ได้ เขาจะไม่จับคู่เย่ว์เอ๋อร์กับท่าป๋าหั่นหลินอย่างแน่นอน
ยี่สิบวันผ่านไป รถม้าของรัฐหมิงเข้าเมืองหลวงมาอย่างยิ่งใหญ่ จนถึงหน้าประตูจวนของเยียลี่ว์อาเป่า
ตั้งแต่เยียลี่ว์อาเป่าอาศัยอยู่ที่เมืองหลวง ก็มีผู้ที่สอดรู้สอดเห็นมากมายมาสืบข่าวของเขาตลอดเวลา ตอนนี้ทันทีที่รถม้านี้หยุดลง ข่าวนี้ก็กระจายไปทั่วเมืองหลวงทันที ผู้คนในเมืองหลวงต่างแตกตื่นกันมาก
ต่างวิ่งกันออกไปเพื่อประกาศให้ผู้อื่นรับรู้ มาดูความวุ่นวายกันเป็นกลุ่มสองสามคน ไม่ถึงเวลาหนึ่งก้านธูป ถนนด้านหน้าจวนของเยียลี่ว์อาเป่าก็ถูกล้อมจนน้ำก็ไหลผ่านไปไม่ได้
มีทหารหนึ่งพันนายยืนเฝ้า ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้ ได้แต่ยืนชี้มาทางนี้จากที่ไกล แล้ววิพากษ์วิจารณ์อย่างเต็มที่
เยียลี่ว์อาเป่าได้ยินรายงานจากบ่าวรับใช้ ก็เดินออกมาจากประตู เห็นรถม้าที่มากมาย ก็พยักหน้าอย่างพอใจ แล้วยื่นมือออกมา
หัวหน้าขันทีคนสำคัญที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ได้ติดตามรถม้ามาด้วย เห็นเขายื่นมือออกมา ก็รีบยกกล่องหนึ่งกล่องมาเปิดออก แล้วนำรายการสิ่งของที่ยาวมากยื่นให้เขาทันที
เยียลี่ว์อาเป่ารับมา เปิดออก แล้วตรวจสอบอย่างละเอียด ใช้เวลาหนึ่งก้านธูปเต็มๆ จึงจะดูจบ พับแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ ตรัสสั่งท่านแม่ทัพรัฐหมิงเยียลี่ว์ฉีที่ส่งขบวนรถม้ามาว่า “เตรียมสิ่งของให้พร้อม แล้วรอคำสั่งจากข้า”
เยียลี่ว์ฉีคารวะรับคำสั่ง โบกมือ แล้วตรัสสั่งลงไป
เยียลี่ว์อาเป่าหันหลังเดินกลับเข้าไปในเรือน มาถึงห้องของตัวเอง สั่งให้คนฝนหมึก ส่วนตัวเองนั้นเขียนคำพูดที่จะพูดตอนไปสู่ขอที่จวนอ๋องฉีลงในกระดาษเซวียนจื่อที่ดีที่สุด ท่องซ้ำไปซ้ำมา จำจนขึ้นใจและมั่นใจว่าตัวเองจะไม่ผิดพลาด จึงตรัสสั่งบ่าวรับใช้ว่า “ไปส่งข่าวให้จวนอ๋องฉี ว่าอีกครึ่งชั่วยามข้าจะไปสู่ขอ”
บ่าวรับใช้รับคำสั่ง แล้วเดินออกไปทันที
เยียลี่ว์อาเป่าสั่งให้คนตักน้ำร้อนมา ล้างตัว สวมใส่เสื้อผ้าที่จัดเตรียมไว้แล้ว แต่งตัวเรียบร้อย จึงจะออกจากประตูด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา ขี่ม้าตัวสูงใหญ่ด้วยสีหน้าที่มีความสุข แล้วตรงไปทางจวนอ๋องฉีอย่างช้าๆ
คนที่มาล้อมดูต่างเปลี่ยนความเข้าใจของตัวเองใหม่อีกครั้ง เพราะมีคนที่สงสัยจึงนับตั้งแต่**บแรกจนถึง**บสุดท้าย สิ่งของที่ยกมาสู่ขอพวกนี้มีทั้งหมดสามร้อยหกสิบ**บเต็มๆ ของมากมายเช่นนี้มีอะไรบ้างพวกเขาไม่รู้ รู้แค่ว่าอายุปูนนี้แล้ว ยังไม่เคยพบเจอสิ่งของพวกนี้ในการสู่ขอหญิงสาวในเมืองหลวง
สิ่งของมากมาย ดูมีพลัง ครั้งนี้คนที่มาล้อมดูมากขึ้นกว่าเดิม คนเกือบครึ่งหนึ่งในเมืองหลวงต่างมาดูความวุ่นวายนี้ ไม่เพียงแค่ประชาชนยากไร้ ยังมีคนในจวนของเหล่าขุนนางทั้งหลาย แต่นอกจากพวกเขาจะมาดูความวุ่นวายนี้ พวกเขาก็อยากมาดูความวุ่นวายของจวนอ๋องฉี ดูว่าเมื่อคนของจวนอ๋องฉีเห็นสิ่งของสามร้อยหกสิบ**บนี้แล้ว จะเป็นสีหน้าอย่างไร ต้องรู้ว่านี่แค่สู่ขอ รอถึงตอนให้สินสอดที่มากกว่านี้ หากสมองขององค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์คนนี้ทำงานขึ้นมาอีก ตอนที่ให้สินสอดยกมาแปดร้อยถึงหนึ่งพัน**บ จะดูว่าจวนอ๋องฉีจะให้อะไรกลับไป เป็นไปไม่ได้ที่จะนำทุกสิ่งในคลังของจวนออกมา เพราะหลานสาวทั้งสองคน
ฟังคำรายงานจากบ่าวรับใช้ของเยียลี่ว์อาเป่าแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวออกมายืนต้อนรับหน้าประตูจวนด้วยตัวเอง มองดูผู้คนมากมายที่มาล้อมดูจนมองไม่เห็นสุดปลายทาง ทั้งสองขมวดคิ้วพร้อมกันเล็กน้อย
เยียลี่ว์อาเป่านั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้า เห็นว่าทั้งสองท่านยืนอยู่หน้าประตูจวนจากที่ไกล จึงกระโดดลงจากหลังม้า ปล่อยเชือกลง แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก้มตัวลงทำความเคารพหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวต่อหน้าทุกคน แล้วกล่าวว่า “เยียลี่ว์อาเป่าทำความเคารพซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟย”
หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือออกมาพยุงเขาแล้วกล่าวว่า “องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์อย่าได้เกรงใจ”
เยียลี่ว์อาเป่ายืนตัวตรง
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าทักทายด้วยรอยยิ้ม
หัวหน้าขันทีที่ติดตามมาไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย รัฐหมิงของพวกเขาก็เป็นรัฐใหญ่ ถือว่าเสมอภาคกับรัฐอู่ องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์เป็นคนที่จะสืบทอดบังลังก์ต่อ ฐานะสูงส่ง จะทำความเคารพใหญ่เยี่ยงนี้ให้ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยได้อย่างไร
เมื่อรู้สึกถึงความไม่พอใจของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวจึงมองไปทางเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
หัวหน้าขันทีรู้สึกเหมือนอยู่ในช่วงที่หนาวที่สุดของปี แล้วถูกน้ำเย็นราดตั้งแต่หัวจรดเท้า เย็นจนเขาตัวสั่น สีหน้าขาวซีดขึ้นมาทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บสายตาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนพูดว่า “องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์ เชิญเข้าจวนเถิด”
เยียลี่ว์อาเป่าพยักน้า แล้วเดินตามหวงฝู่อี้เซวียนเข้าไปในจวน เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลังพวกเขา
หัวหน้าขันทีรู้สึกตัวขึ้นมา ยกเท้าอยากจะตามเข้าไป แต่ถูกโจวอันขวางไว้ “ช้าก่อน”
“บัง…” คำว่า ‘อาจ’ ยังไม่ทันเอ่ยออกมา ก็คิดถึงสายตาเมื่อครู่ของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงกลืนคำพูดลงไป
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดเดิน หันกลับไป มองไปทางหัวหน้าขันที กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ห้ามขัดขืนว่า “หยิบรายการสิ่งของออกมาอ่าน”
หัวหน้าขันทีกล่าวตอบ “ขอรับ” อย่างไม่รู้ตัว
หลังจากรับคำสั่ง รู้สึกตัวขึ้นมา ก็เสียใจจนแทบจะกัดลิ้นตัวเองให้ขาด
โจวอันถอยออกมา เฝ้าอยู่หน้าประตู
หัวหน้าขันทีทำอะไรไม่ได้ จึงต้องเปิดกล่องออก หยิบรายการสิ่งของที่หนามากออกมา เตรียมเสียงคอ แล้วอ่านออกมาอย่างเสียงดัง ทุกครั้งที่เขาอ่านออกมาหนึ่งอย่าง ผู้คนก็ต่างสูดอากาศหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง
ยังคงมาที่ห้องโถงรับแขก ครั้งนี้ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีทั้งสองรออยู่ในห้องแล้ว ดูท่าทางแล้ว จะต้องสอบสวนแน่นอน
สิ่งของทุกอย่างได้ถูกยกมาถึงหน้าประตูจวนแล้ว รายการสิ่งของก็อ่านแล้ว การแต่งงานครั้งนี้ถือว่าพวกเขายินยอมแล้ว เยียลี่ว์อาเป่าจึงวางใจลง เห็นทั้งสองก็ไม่ได้เกร็งเยี่ยงนั้น เดินเข้ามาทำเคารพแล้วกล่าวว่า “ทำความเคารพท่านอ๋องฉี ทำความเคารพพระชายาฉี”
ท่านอ๋องฉีทำหน้าเคร่งขรึมไม่พูดจา พระชายาฉียิ้มแล้วกล่าวว่า “ต่อไปก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว หากองค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์ไม่รังเกียจ ก็เรียกท่านปู่ ท่านย่าตามเมิ่งเอ๋อร์เถิด”
เยียลี่ว์อาเป่าดีใจมาก รีบเปลี่ยนคำเรียกขานทันทีว่า “ท่านปู่ ท่านย่า”
ท่านอ๋องฉีส่งเสียง หึ ออกมาเบาๆ ถือว่ากล่าวตอบแล้ว
เยียลี่ว์อาเป่าไม่ได้ว่าอะไร ยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
พระชายาฉียิ้ม “องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์น่าจะรู้ว่าเดิมทีพวกข้าไม่ยินยอมเรื่องแต่งงานนี้ แต่เห็นว่าเจ้าจริงใจกับเมิ่งเอ๋อร์จริงๆ พวกข้าจึงไม่ขัดขวาง แต่พวกข้ามีคำถามหลายคำถามอยากจะถามเจ้า”
“เชิญท่านย่าถามได้เลยขอรับ เยียลี่ว์จะตอบตามความจริงแน่นอนขอรับ” เยียลี่ว์อาเป่ากล่าวอย่างเชื่อฟัง
พระชายาฉีพยักหน้าอย่างพอใจ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “นี่เป็นคำถามแรก ข้าอยากจะถามว่า หากพวกเจ้าแต่งงาน องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์อยากจะจัดอย่างไร”
เยียลี่ว์อาเป่ากล่าวตอบอย่างไม่คิดเลยว่า “ทุกอย่างแล้วแต่ท่านปู่ ท่านย่าเลยขอรับ”
ท่านอ๋องฉีตอบกลับไปอย่างไม่พอใจว่า “แล้วแต่พวกข้า เจ้าไม่มีความคิดเป็นของตัวเองเลยหรือ”
เห็นได้ชัดว่าหาเรื่อง พระชายาฉีมองเขาอย่างจนใจ
ไม่คิดว่าเยียลี่ว์อาเป่าจะกล่าวตอบอย่างจริงจังว่า “คำถามนี้ อาเป่าก็เคยคิดแล้วขอรับ หากท่านทั้งสองอนุญาติให้ข้าสู่ขอเมิ่งเอ๋อร์กลับรัฐหมิง”
“อย่าแม้แต่จะคิด!” ยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็ถูกท่านอ๋องฉีขัดขวางด้วยท่าทางโมโห “หากเจ้ามีความคิดเยี่ยงนี้ ก็รีบนำคนข้างนอกกลับรัฐหมิงไปซะ”
เขาเห็นแก่ฮ่องเต้รัฐหมิง และฮองเฮารัฐหมิงที่กล่าวว่าหลังจากเยียลี่ว์และเมิ่งเอ๋อร์แต่งงานกันแล้วสามารถอยู่ที่เมืองหลวง จึงยอมตกลงเรื่องแต่งงานครั้งนี้ ตอนนี้กลับอยากสู่ขอเมิ่งเอ๋อร์กลับรัฐหมิง ไม่มีทาง
ฉากอยู่ในการคาดการณ์ของเยียลี่ว์อาเป่า ฉะนั้นเขาจึงรีบกล่าวตอบอย่างรวดเร็วว่า “หากท่านทั้งสองอยากให้พวกข้าจัดงานแต่งงานที่เมืองหลวง ถ้าเยี่ยงนั้นก็คงต้องรบกวนให้คนในจวนช่วยจัดงาน เพราะข้าไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก และไม่อยากทำให้เมิ่งเอ๋อร์เสียหน้าด้วยขอรับ”
Home ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 120 องค์ชายรัชทายาทแต่งภรรยา
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 120 องค์ชายรัชทาย...
ท่านอ๋องยังคงไม่พอใจ ตอบกลับไปว่า “เจ้าสู่ขอภรรยาหรือว่าพวกข้าสู่ขอลูกเขย หากเจ้ายอมแต่งเข้าจวนอ๋องฉี การแต่งงานครั้งนี้ก็ให้พวกข้าจัดการ”
ตอนแรกเยียลี่ว์อาเป่าก็ตั้งใจเยี่ยงนี้อยู่แล้ว หลังจากฟังก็มิได้โกรธ กล่าวต่อว่า “ทุกอย่างแล้วแต่ท่านปู่เลยขอรับ ท่านอยากให้ข้าแต่งเข้าจวนอ๋องฉีก็ได้ขอรับ”
ท่านอ๋งฉียิ่งไม่ยอมเข้าไปใหญ่ ลุกขึ้นอย่างโมโห แล้วทิ้งไว้หนึ่งประโยคว่า “ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่รู้ว่าเมิ่งเอ๋อร์ถูกใจเจ้าที่ใด”
พูดจบ ก็เดินออกไปทันที แต่เมื่อเดินถึงหน้าประตู ก็แสดงรอยยิ้มตรงมุมปากออกมาทันที
มองดูท่าทางที่โมโหของเขาแล้ว เยียลี่ว์อาเป่ามึนงง หันหน้าไปขอความช่วยเหลือจากพระชายาฉีแล้วกล่าวว่า “ท่านย่า ข้า…”
“ท่านปู่ของเจ้านิสัยแบบนี้อยู่แล้ว เจ้าอย่าได้ใส่ใจ หากเจ้าไม่เข้าใจธรรมเนียมประเพณีของเมืองหลวง ถ้าเยี่ยงนั้นงานแต่งงานของเจ้าและเมิ่งเอ๋อร์ก็ให้พวกข้าเป็นคนจัดการเอง แต่งออกจากจวนอ๋องฉี เข้าไปในจวนที่เจ้าพักอาศัยอยู่ก็พอ รอวันที่สามกลับมา พวกเจ้าก็ย้ายเข้ามาอยู่ที่จวนอ๋องฉี”
เยียลี่ว์อาเป่าไม่คัดค้านแล้วกล่าวว่า “ขอบพระคุณท่านย่า ทุกอย่างแล้วแต่ท่านย่าเลยขอรับ”
พระชายาฉียิ้มแล้วพยักหน้า มองไปทางหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว
ทั้งสองนั่งลง และให้เยียลี่ว์อาเป่านั่งลง ขอวันเดือนปีเกิดของเขา บอกว่าจะนำบันทึกวันเดือนปีเกิดของทั้งสอง ไปดูฤกษ์แต่งงานให้
ไม่คิดว่าจะพูดถึงเรื่องแต่งงานเร็วเยี่ยงนี้ เยียลี่ว์อาเป่าดีใจเป็นอย่างมาก กล่าวอย่างอดใจไม่ไหวว่า “ปีนี้เยียลี่ว์อายุสิบแปดปีแล้ว อยากจะแต่งงานกับเมิ่งเอ๋อร์เร็วๆ จึงอยากจะขอร้องพ่อตาและแม่ยาย…”
เรื่องแต่งงานก็ตกลงแล้ว แล้วยังอยู่ในสายตาของตัวเอง หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เมิ่งเอ๋อร์ยังไม่ได้เตรียมชุดแต่งงาน อย่างน้อยก็อีกสามเดือน เจ้าก็ใช้เวลาช่วงนี้เตรียมตัวให้ดี”
เยียลี่ว์อาเป่าดีใจจนแทบกระโดดขึ้นมา เอาแต่ขอบคุณด้วยรอยยิ้มแหยๆ ว่า “ขอบคุณท่านพ่อตา ขอบคุณท่านแม่ยายขอรับ”
มองท่าทางโง่เขลาของเขาแล้ว พระชายาฉีก็แสดงรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริงๆ
เรื่องแต่งงานก็กำหนดแล้ว หลังจากเยียลี่ว์อาเป่าเดินออกมาจากห้องโถงรับแขก ก็กลั้นความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่จนแทบจะวิ่งออกมา
หัวหน้าขันทีเห็นท่าทางของเขา ก็ตกใจมาก รีบก้าวออกมา กล่าวถามอย่างเคารพว่า “องค์ชายรัชทายาท ท่าน…”
รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาของทุกคน เยียลี่ว์อาเป่าสูดอากาศหายใจเข้าลึกๆ หยุดเดิน รอยยิ้มหายไปจากใบหน้า กลับมาเป็นท่าทางที่สง่างามเหมือนเดิมแล้วกล่าวว่า “อ่านรายการสิ่งของเสร็จแล้วหรือ”
“รายงานองค์ชายรัชทายาท อ่านเสร็จและมอบให้กับพ่อบ้านจวนอ๋องฉีแล้วขอรับ”
เยียลี่ว์อาเป่าพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ดี กลับจวน”
พูดจบ ก็ก้าวขายาวไปทางม้าของตัวเองทันที
หัวหน้าขันทีมองเข้าไปในจวนอย่างแปลกใจ กลับไม่มีคนออกมาส่ง ในใจก็ก็แอบก่นด่าคนในจวนว่าไม่มีมารยาท แอบคิดในใจว่าจะกลับไปรายงานฮ่องเต้และฮองเฮา ว่ารอหลังจากท่านหญิงน้อยแต่งงานแล้ว จะต้องสั่งสอนนางเรื่องมารยาทบ้าง
ตอนมามีสิ่งของสามร้อยกว่า**บ กับคนยกสิ่งของอีก ยิ่งใหญ่มาก แต่ตอนกลับมิได้ยิ่งใหญ่เยี่ยงนั้น ส่งของเสร็จแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงทหารหนึ่งพันคนกับผู้คนที่ติดตามอย่างกระฉับเฉงอยู่ด้านหลัง
เยียลี่ว์อาเป่ากลับมาที่จวนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสตลอดทาง เขาตรัสสั่งทุกคนให้เข้าไปพักผ่อน ส่วนตัวเองนั้นมาที่ห้องหนังสือ เขียนจดหมายบอกข่าวดีที่ยิ่งใหญ่นี้กับฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิง
ฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงได้รับจดหมายนี้จากคนที่ไปส่งสิ่งของก็หลังจากสิบกว่าวันแล้ว อ่านเนื้อหาทั้งหมดในจดหมายแล้ว ก็ดีใจเป็นอย่างมาก ไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจที่เยียลี่ว์อาเป่าและหวงฝู่สือเมิ่งไม่กลับมาจัดงานที่รัฐหมิง รีบตรัสสั่งให้คนเริ่มจัดเตรียมสินสอดตามพิธีการแต่งงานขององค์ชายรัชทายาท
วันที่สองของการหมั้นหมาย พระชายาฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวได้นำใบบันทึกวันเดือนปีเกิดของเยียลี่ว์อาเป่าและหวงฝู่สือเมิ่งไปที่วังชิงอวิ๋น ถวายค่าธูปเทียนไปห้าพันตำลึง ให้ท่านอาจารย์ชิงอวิ๋น ดูฤกษ์แต่งงานให้พวกเขา
ท่านอาจารย์ชิงอวิ๋นรออยู่ที่ห้องเหมือนรู้ว่าพวกเขาจะมา หลังจากฟังเหตุผลที่ทั้งสองมาแล้ว ก็รับใบบันทึกวันเดือนปีเดินของทั้งสองมา หลังจากดูอย่างตั้งใจไปสักพัก ก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “การแต่งงานในครั้งนี้ของท่านหญิงน้อยนั้นพบน้อยบนฟ้าและหายากบนดิน ยินดีกับท่านทั้งสองด้วย”
ท่านอาจารย์ชิงอวิ๋นเป็นพระอาจารย์ใหญ่ สามารถได้ยินคำนี้จากท่าน หมายความว่าชีวิตที่เหลือของเมิ่งเอ๋อร์นั้นไร้กังวลแล้ว พระชายาฉีดีใจมาก จึงบริจาคเพิ่มไปอีกห้าพันตำลึง ยิ้มแล้วขอร้องว่า “รบกวนท่านอาจารย์ช่วยดูฤกษ์งามยามดีให้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
รับตั๋วเงินเขามา ก็ต้องทำเรื่องให้เขา ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาบริจาคถึงห้าพันตำลึงที่เป็นตั๋วเงินมากมายเยี่ยงนี้ ท่านอาจารย์ชิงอวิ๋นก็ไม่ได้ปฎิเสธ หลังจากนับนิ้วเสร็จ ก็กล่าวตอบด้วยรอยยิ้มว่า “เดือนหกวันที่ยี่สิบหกเป็นวันมงคล หากทางจวนไม่รู้สึกว่าเร็วเกินไป ก็สามารถกำหนดเป็นวันนั้นได้”
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์” หลังจากพระชายาฉีฟังแล้ว ก็ขอบคุณด้วยรอยยิ้ม
ตั้งแต่เริ่มจนจบเมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดจา
ท่านอาจารย์ชิงอวิ๋นมองไปทางนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเล็กน้อย
ท่านอาจารย์ชิงอวิ๋นนพนมมือ ยิ้มกลับไปให้นาง แล้วเก็บสายตาทันที
บอกลาท่านอาจารย์ชิงอวิ๋นแล้ว พระชายาฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับมาที่จวน บอกฤกษ์งามยามดีที่ท่านอาจารย์ชิงอวิ๋นดูให้ท่านอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนฟัง
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้คัดค้าน ท่านอ๋องฉีหลังจากแค่ หึ ออกมาเบาๆ ก็ไม่เอ่ยอะไรอีก
สิ้นเดือนสามแล้ว จะเดือนสี่แล้ว ห่างจากเดือนหกวันที่ยี่สิบหกไม่ไกลแล้ว พระชายาฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มยุ่งขึ้นมาทันที ต้องซื้อของมากมาย
ในขณะเดียวกันเยียลี่ว์อาเป่าก็ได้รับจดหมายจากคนที่เมิ่งเชี่ยนโยวส่งมา ใจที่กังวลก็หายไปทันที รีบตรัสสั่งให้คนซ่อมแซมจวน ตอนแรกเขาอยากจะซื้อจวนใหม่ที่ใหญ่กว่านี้อีกหนึ่งจวน แต่เมิ่งเชี่ยนโยวส่งคนมาบอกเขาว่า จวนที่อยู่ตอนนี้ดีมากแล้ว แค่เก็บกวาดทำความสะอาดก็พอ อย่างไรก็พักแค่ไม่กี่วัน เขาจึงล้มเลิกความคิดนี้ไป แต่ว่า ตรงไหนที่ควรซ่อมแซม ก็ต้องซ่อมแซม
ตอนมาเยียลี่ว์อาเป่านำคนมาไม่น้อย แต่ถูกโจมตีกลางทาง เสียชีวิตไปมาก เหลือเพียงสิบกว่าคนที่อยู่ข้างกายเขา ล้วนเป็นแต่ผู้ชาย ทำงานที่ใช้กำลังได้ แต่ให้ไปซื้อสิ่งของจัดงานแต่งงานนั้นยากจริงๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวคำนึงถึงเรื่องพวกนี้แล้ว จึงส่งชิงหลวนไปบอกเขาว่า ให้เขาจัดการเรื่องจวนก็พอ ส่วนสิ่งของที่ใช้จัดงานแต่งงาน นางและพระชายาฉีจะซื้อแล้วให้คนนำมาส่งให้เขา
หลังจากเยียลี่ว์อาเป่าฟังจบ ก็หยิบตั๋วเงินออกมาหนึ่งแสนตำลึงให้ชิงหลวนทันที
ชิงหลวนก็มิได้ปฏิเสธ รับมา แล้วมอบให้เมิ่งเชี่ยนโยวหลังจากกลับมาถึงจวน
เมิ่งเชี่ยนโยวนำมาให้หวงฝู่สือเมิ่งแล้วกล่าวว่า “นี่เป็นตั๋วเงินที่องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์ให้มา เจ้าเก็บไว้ให้ดี”
หวงฝู่สือเมิ่งรับมาด้วยสีหน้าที่แดงก่ำ ลุกขึ้นแล้วใส่ลงไปในกล่องของตัวเอง
มองชุดแต่งงานที่นางเย็บไปได้เล็กน้อย เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวว่า “แม่เย็บปักถักร้อยไม่เป็น ช่วยเจ้าไม่ได้ หรือว่าให้พ่อเจ้าไปหากูกูที่เย็บปักถักร้อยในวังมาช่วยเจ้า”
หวงฝู่สือเมิ่งส่ายหน้าไปมาด้วยสีหน้าที่แดงก่ำแล้วกล่าวว่า “ลูกอยากทำเองเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “อย่ารีบร้อนมากเกินไป สุดท้ายหากไม่ทันจริงๆ ก็หาคนมาช่วย”
หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้า
หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็กำลังเย็บปักถักร้อยอยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวมอง พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เย่ว์เอ๋อร์ก็อย่ารีบร้อน ค่อยๆ ทำ”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่ หากพี่ใหญ่ไม่ทัน ข้าจะช่วยพี่ใหญ่ก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวนางด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินออกจากห้องไป
ส่วนท่าป๋าหั่นหลินที่อยู่รัฐอิงได้รับข่าวว่าเยียลี่ว์อาเป่าและหวงฝู่สือเมิ่งจะแต่งงาน ก็โมโหจนโยนสาส์นกราบทูลในมือลงบนพื้น แล้วกล่าวด้วยความโมโหว่า “รังแกกันมากเกินไปแล้ว เพราะเหตุใดเขาสามารถแต่งงานภายในสามเดือน ส่วนข้าต้องรอถึงสามปี”
ไม่มีผู้ใดกล้าตอบ
ไม่นานสองเดือนก็ผ่านไป สิ่งของที่ควรซื้อก็จัดเตรียมไว้หมดแล้ว จวนของเยียลี่ว์อาเป่าก็ซ่อมแซมใหม่หมดแล้ว รอแค่วันแต่งงานมาถึงเท่านั้น
หลานสาวจวนอ๋องฉีแต่งงาน นั่นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เหล่าขุนนางในเมืองหลวงต่างยุ่งวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง คิดหาทุกวิถีทางเพื่อจัดเตรียมสิ่งของ ร้านค้าในเมืองหลวงต่างขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
เดือนหกวันที่สิบ รถม้าที่เต็มไปด้วยสิ่งของร้อยกว่าคันเข้ามาในเมืองหลวง มาถึงด้านหน้าจวนของเยียลี่ว์อาเป่า
เดือนหกวันที่สิบสอง คนในเมืองหลวงต่างตกตะลึงกันอีกครั้ง สินสอดทั้งหมดหนึ่งพันสองร้อยแปดสิบ**บ อย่าว่าแต่ประชาชนทั่วไปเลย แม้แต่เหล่าขุนนางทั้งหลายก็ต่างตกใจกันเป็นอย่างมาก รอจนรายการสินสอดทั้งหมดอ่านจบแล้ว เรื่องก็ดังไปถึงในวัง แม้แต่หวงฝู่ซวิ่นก็ไม่นิ่งเฉยแล้ว เจ้าเด็กคนนี้ สินสอดพวกนี้ก็เกือบเท่าครึ่งหนึ่งในคลังของรัฐเขาแล้ว นี่ฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงจะย้ายคลังของรัฐมาที่นี่หรืออย่างไร
หวงฝู่ซวิ่นยังมีอาการเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าขุนนางทั้งหลาย มองสินสอดของคนอื่นแล้ว มามองสิ่งของที่ตัวเองตั้งใจเตรียมไว้ ดูอย่างไร ก็รู้สึกไม่กล้าเอาออกมามอบให้เป็นของขวัญ
ยังมีหญิงสาวมากมายที่ยังไม่ได้แต่งออกเรือน ต่างอิจฉากันอย่างมาก แอบคิดในใจว่าเหตุใดเรื่องดีๆ อย่างนี้จึงไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง
เดือนหกวันที่ยี่สิบ ท่าป๋าหั่นหลินก็มาถึงเมืองหลวง ด้วยเหตุผลว่ามาเพื่อแสดงความยินดี จริงๆ แล้วคืออยากมาดูว่าเยียลี่ว์อาเป่าจัดงานแต่งงานอย่างไร
เดือนหกวันที่ยี่สิบห้า เยียลี่ว์อาเป่าตรัสสั่งให้คนปูพรมแดงตั้งแต่จวนของตัวเองจนถึงหน้าประตูจวนอ๋องฉี
ไม่รู้ว่าเขาคิดจะอะไร ผู้คนในเมืองหลวงวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง
แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม ส่งโจวอันไปกล่าวกับเขาว่า “ระยะทางจากจวนอ๋องฉีจนถึงนี่ห่างกันสิบกว่าลี้ แม้แต่รถม้ายังต้องใช้เวลาเดินทางหนึ่งชั่วยาม ซื่อจื่อบอกให้ท่านเก็บแรงไว้รับมือกับแขกที่มาแสดงความยินดีเถิด”
เยียลี่ว์อาเป่ากล่าวตอบด้วยสีหน้าที่กลั้นรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ว่า “ขอบพระคุณท่านพ่อตาที่เป็นห่วง เยียลี่ว์ไม่มีเพื่อนในเมืองหลวง ไม่มีผู้ใดมาแสดงความยินดี ไม่ต้องรับมือ”
หวงฝู่อี้เซวียนฟังคำรายงานจากโจวอันแล้ว ก็ด่าว่าเจ้าโง่ เดินอุ้มคนกลับไปไกลเยี่ยงนี้ กลางคืนก็ต้องเหนื่อยมากแน่นอน แล้วคืนแรกที่ส่งตัวเข้าหอของลูกสาวเขาจะทำอย่างไร
เดือนหกวันที่ยี่สิบหกเพิ่งจะผ่านยามจื่อ เยลี่ว์อาเปาก็ตรัสสั่งให้คนยกน้ำร้อนเข้ามา แช่และล้างตัวในอ่าง จากนั้นก็สวมใส่ชุดเจ้าบ่าว มองดูท้องฟ้าที่มืดสนิทข้างนอกอย่างใจจดใจจ่อ หวังให้ท้องฟ้าสว่างขึ้นมาเร็วๆ
หวงฝู่สือเมิ่งก็ถูกปลุกขึ้นมา ล้างตัว สวมเสื้อผ้า กำจัดขนบนใบหน้า แต่งหน้า หลังจากทำทุกอย่างแล้ว ยังไม่ทันขึ้นเกี้ยว ก็หมดเรี่ยวแรงแล้ว
พระชายาฉีตรัสสั่งให้คนยกไข่ต้มมาหลายฟอง วางไว้ข้างหน้านางแล้วกล่าวว่า “เมิ่งเอ๋อร์ กินไข่ต้มพวกนี้ซะ ไม่เยี่ยงนั้นวันนี้ทั้งวัน เจ้าจะไม่มีแรง”
หวงฝู่สือเมิ่งหยิบไข่ต้มขึ้นมาอย่างเชื่อฟัง กินนไปสองฟองติดคอเล็กน้อย อยากดื่มน้ำ แต่ถูกพระชายาฉีห้ามไว้ “วันนี้เป็นวันสำคัญของเจ้า ห้ามเข้าห้องน้ำ ค่อยๆ กลืนลงไป”
สีหน้าของหวงฝู่สือเมิ่งขรึมลงทันที เมิ่งเชี่ยนโยวสงสาร จึงหยิบผิงกั่ว[1]ให้นางกัดหนึ่งคำ
เห็นว่าหวงฝู่สือเมิ่งกัดไปแค่หนึ่งคำ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงวางผิงกั่วลงบนจาน เมิ่งซื่อสงสาร ยื่นมือออกมาหยิบขึ้นมาวางบนมือหวงฝู่สือเมิ่งอีกครั้ง “กินอีกสองสามคำเถอะ ยังเหลือเวลาอีกตั้งครึ่งค่อนวัน”
[1] ผิงกั่ว ลูกแอปเปิ้ล
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 121
“ท่านแม่” เมิ่งเชี่ยนโยวเรียก
“เรียกทำไม พ่อสามีแม่สามีของเมิ่งเอ๋อร์ไม่อยู่ แขกที่มาแสดงความยินดีก็ไม่มี แม้ว่าจะกินผิงกั่ว แล้วอยากเข้าห้องน้ำก็ไม่เป็นไร”
ประโยคนี้เตือนพระชายาฉี พระชายาฉีจึงรีบตรัสสั่งให้คนเทน้ำมาทันที “ใช่ๆๆ เร็วๆ เข้า เทน้ำให้เมิ่งเอ๋อร์ดื่ม ข้าลืมได้อย่างไรว่า วันนี้จวนฝั่งโน้นไม่มีแขกมาแสดงความยินดี”
หลิงหลงรีบเทน้ำมาหนึ่งแก้ว หวงฝู่สือเมิ่งดื่มลงไปครึ่งแก้ว
พระชายาฉีก็หยิบไข่ต้มขึ้นมายื่นมาข้างหน้านางอีกหนึ่งลูกแล้วกล่าวว่า “กินอีกฟองเถิด”
“ท่านย่า ข้าทานไม่ลงแล้วเจ้าค่ะ” หวงฝู่สือเมิ่งเงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
พระชายาฉีวางไข่ต้มลงบนจาน ลูบใบหน้าเล็กๆ ของหวงฝู่สือเมิ่ง รู้สึกเศร้าเสียใจขึ้นมาทันที ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “พริบตาเดียว เมิ่งเอ๋อร์ของเราก็ถึงเวลาแต่งงานแล้ว”
ทันทีที่นางพูดจบ ในห้องก็เงียบขึ้นมาทันที อารมณ์ของเมิ่งซื่อก็เริ่มผิดปรกติเล็กน้อย เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวว่าพวกนางพูดไปพูดมาแล้วจะร้องไห้ จึงรีบกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เสด็จแม่ อีกสองวันเมิ่งเอ๋อร์ก็กลับมาแล้ว นางแต่งหรือไม่แต่ง ไม่แตกต่างกันเจ้าค่ะ”
อารมณ์เศร้าเสียใจของพระชายาฉีหายไปในทันที พยักหน้าแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “จริงด้วย วันมะรืนข้าก็จะเจอหลานสาวที่รักของข้าแล้ว”
ซุนฮุ่ยรีบพูดคุยหัวเราะออกมาหลายประโยค ไม่นานบรรยากาศในห้องก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
ในที่สุดก็รอจนท้องฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว เยียลี่ว์อาเป่าจัดเสื้อผ้าที่ไม่มีรอยยับแม้แต่น้อย ลุกขึ้นยืน เดินออกนอกประตู แล้วตรัสสั่งลูกน้องว่า “ไป ไปรับตัวเจ้าสาว”
มองดูท้องฟ้าที่เพิ่งจะสว่าง บริวารอ้าปาก อยากจะขัดขวางเขไว้า แต่มองท่าทางอดใจรอไม่ไหวของเขาแล้ว ก็กลืนคำพูดลงไปทันที แล้วเดินตามเขาออกไป
หัวหน้าขันทียืนอยู่หน้าประตูเรือน ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา ก็ก้าวออกมาแล้วกล่าวว่า “องค์ชายรัชทายาท เวลานี้ท่านห้ามไปเป็นอันขาด มัน…”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกเยียลี่ว์อาเป่าดึงไปข้างๆ แล้วกล่าวว่า “ที่นี่มิใช่รัฐหมิง ไม่มีกฎระเบียบมากมายเยี่ยงนั้น”
หัวหน้าขันทีสะดุดขาตัวเองจนเกือบล้มลง แต่ก็ยังรีบวิ่งมาขวางหน้าเยียลี่ว์อาเป่าอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวว่า “องค์ชายของข้า แม้ว่าจะมิได้อยู่รัฐหมิง แต่คนในเมืองหลวงต่างก็รู้ว่าท่านเป็นองค์ชายรัชทายาท หากท่านไม่รู้แม้แต่ธรรมเนียมประเพณีนี้ จะทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะได้ อีกอย่าง จวนอ๋องฉีก็เสียหน้ามิใช่หรือ”
จะแต่งกับคนที่รักและคิดถึงตลอดเวลาแล้ว เยียลี่ว์อาเป่าตื่นเต้นจนไม่สนใจอะไรแล้ว แต่ทันทีที่ได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับหน้าตาของจวนอ๋องฉี ความตื่นเต้นทั้งหมดก็สงบลงไม่น้อย ครุ่นคิดไปชั่วขณะ ไม่พูดจา หันหลังแล้วเดินกลับไปในห้องทันที
หัวหน้าขันทีโล่งอก ตอนมาฮ่องเต้และฮองเฮาได้ตรัสสั่งให้เขาเฝ้าองค์ชายรัชทายาทไว้ให้ดี อย่าให้เขาตื่นเต้นจนทำเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามธรรมเนียมประเพณีเป็นอันขาด วันนี้เขาทำสำเร็จแล้ว ถือว่าทำผลงานได้หนึ่งอย่างแล้ว
แต่อารมณ์ของท่านอ๋องฉีกลับไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพียงแค่คิดว่าหลานสาวที่ตัวเองเลี้ยงดูเติบโตมาอย่างยากลำบาก ต่อไปนี้จะเป็นคนของครอบครัวคนอื่นแล้ว ก็เศร้ามาก อึดอัดใจมาก หากมิใช่ว่าวันนี้มีแขกมากมายมาแสดงความยินดีที่จวน เขาอยากจะดื่มให้เมา แล้วไปที่จวน เตะต่อยไอ้คนที่สู่ขอหลานสาวของตัวเองไป เพื่อระบายความโกรธ
หวงฝู่อี้เซวียนก็เศร้า แต่มิได้ชัดเจนเหมือนท่านอ๋องฉี
ท่ามกลางเสียงพูดคุยและหัวเราะของทุกคน มีเสียงดนตรีดังมาจากที่ไกล ถึงเวลาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวคลุมผ้าคลุมหน้าให้หวงฝู่สือเมิ่งด้วยตัวเอง หวงฝู่เฮ่าเดินเข้ามาในห้อง หันหลังให้หวงฝู่สือเมิ่งก้มตัวลงแล้วกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ข้าจะส่งพี่ขึ้นเกี้ยว”
แท้จริงแล้วควรเป็นหวงฝู่รุ่ย แต่หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวปรึกษาหารือกันแล้ว จึงเปลี่ยนเป็นหวงฝู่เฮ่า
หวงฝู่สือเมิ่งลุกขึ้นยืน ขึ้นบนหลังหวงฝู่เฮ่า
หวงฝู่เฮ่าแบกนางออกไปอย่างมั่นคง
ดวงตาของพระชายาฉีและเมิ่งซื่อแดงก่ำขึ้นมาทันที แล้วเดินตามออกมาหน้าประตู มองหวงฝู่เฮ่าแบกหวงฝู่สือเมิ่งออกไปไกลเรื่อยๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เศร้า แต่ก็ก้าวออกมาปลอบทั้งสองว่า “เสด็จแม่ ท่านแม่ วันนี้เป็นวันมงคลของเมิ่งเอ๋อร์ ต้องมีความสุขนะเจ้าคะ”
แต่ทั้งสองก็กลั้นไม่อยู่ ร้องไห้ออกมา
ออกจากประตูจวน หน้าประตูกลับไม่มีเกี้ยว หวงฝู่เฮ่าแปลกใจ มองไปทางเยียลี่ว์อาเป่า
เยียลี่ว์อาเป่าก้าวออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข ประสานมือทั้งสองข้างแล้วกล่าวกับหวงฝู่เฮ่าว่า “ขอบคุณน้องเฮ่า”
พูดจบ ก็อ้าแขนทั้งสองข้างออก ส่งสัญญาณให้เขาวางหวงฝู่สือเมิ่งลงบนมือของตัวเอง
หวงฝู่เฮ่าเม้มริมฝีปากแน่น มองไปทางเขาอย่างไม่พอใจ แต่งงานไม่มีแม้แต่เกี้ยว เขาทำเยี่ยงนี้เพราะดูถูกจวนอ๋องฉีหรือคิดว่าวันนี้แต่งงานกับพี่ใหญ่แล้ว ไม่ต้องสนใจอะไรแล้ว
เยียลี่ว์อาเป่าไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรในใจ รู้แค่ว่าตัวเองจะได้อุ้มคนที่ตัวเองรักและคิดถึงตลอดเวลาแล้ว ตื่นเต้นจนมือทั้งสองข้างสั่นเล็กน้อย
หวงฝู่เฮ่าเม้มริมฝีปากกำลังจะเอ่ย โจวอันพูดขึ้นข้างๆ หูเขาเบาๆ ว่า “คุณชายใหญ่ ซื่อจื่อให้ท่านมอบท่านหญิงน้อยให้องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์ขอรับ”
หวงฝู่เฮ่าเก็บความรู้สึกไม่พอใจไว้ หันข้าง วางหวงฝู่สือเมิ่งลงบนอ้อมกอดของเยียลี่ว์อาเป่าแล้วกล่าวตักเตือนด้วยน้ำเสียงเบาว่า “ต้องดีกับพี่ใหญ่ของข้า ไม่เยี่ยงนั้นข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่นอน”
เยียลี่ว์อาเป่าตอบรับด้วยรอยยิ้มแลัวกล่าวว่า “น้องเฮ่าวางใจเถิด เมิ่งเอ๋อร์เป็นคนที่ข้าปรารถนามานาน ข้าไม่ทำให้นางเสียใจแน่นอน”
พูดจบ หันหลัง อุ้มหวงฝู่สือเมิ่งไปที่จวนของตัวเองอย่างมั่นคงทันที
ผู้คนที่มาล้อมดูความวุ่นวายที่หนาแน่นจนน้ำไหลผ่านไปไม่ได้ ตอนแรกที่ไม่เห็นเกี้ยว ก็สงสัยกันมาก ไม่เข้าใจว่าองค์ชายรัชทายาทรัฐหมิงต้องการทำอะไร จนเห็นเขาเดินอุ้มหวงฝู่สือเมิ่งกลับจวน รู้สึกตัวขึ้นมา ทุกคนต่างตกใจจนอ้าปากกว้าง หุบลงไม่ได้ องค์ องค์ องค์ชายรัชทายาทรัฐหมิงคนนี้ คงไม่คิดจะอุ้มเจ้าสาวกลับไปใช่หรือไม่ ระยะทางนี้ต้องใช้เวลาเดินถึงหนึ่งชั่วยามเชียวนะ
ใบหน้าของเยียลี่ว์อาเป่ายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม อุ้มหวงฝู่สือเมิ่งกลับจวน ด้วยใบหน้าที่งดงาม รวมทั้งรอยยิ้มที่สดใสนั้น ทำให้หญิงสาวที่ยังไม่แต่งออกเรือนทั้งหลายใจเต้นกันเป็นอย่างมาก จนอยากจะให้เจ้าสาวในอ้อมกอดของเขานั้นคือตัวเอง
ท่าป๋าหั่นหลินยืนอยู่ที่ไกล มองการกระทำของเขา หึ ออกมาเบาๆ พึมพำออกมาอย่างดูถูกว่า “เจ้าคนโง่เขลา ดีขนาดนั้นเลยหรือ จนต้องเสียแรงมากมายเพื่อไปประจบสอพลอ”
ผู้คนที่มาดูความวุ่นวายไม่เชื่อว่าเขาจะมีแรงมากมายขนาดนั้น จึงเดินตามหลังอยากพิสูจน์ คิดว่าครึ่งทางจะมีเรื่องสนุกให้ดู เดินตามจนถึงหน้าจวนของเยียลี่ว์อาเป่า เห็นว่าเขาก็ยังอุ้มหวงฝู่สือเมิ่งเข้าไปในจวนอย่างมั่นคง ต่างตกใจกันเป็นอย่างมาก
เดินเข้ามาในจวน เสียงดนตรีถูกกั้นไว้ข้างนอก เยียลี่ว์อาเป่าตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง แทบจะอุ้มหวงฝู่สือเมิ่งบินเข้าไปในห้องหอ ค่อยๆ วางนางลงบนเตียง หลังจากหอบเหนื่อยเล็กน้อย ก็เปิดผ้าคลุมหน้าขึ้นด้วยมือที่สั่นไหว ใบหน้าเรียวเล็กที่งดงามและขาวเนียนของหวงฝู่สือเมิ่งปรากฏต่อหน้าเขา
“เมิ่งเอ๋อร์” ท่าทางเหมือนกลัวว่าจะทำให้นางตกใจ เยียลี่ว์อาเป่าเรียกนางเบาๆ
สีหน้าของหวงฝู่สือเมิ่งแดงเหมือนลูกผิงกั่ว กล่าวตอบอย่างเขินอาย
เยียลี่ว์อาเป่ารู้สึกว่ามีความรู้สึกที่แปลกใหม่ล้อมรอบตัวเองไว้ ไร้เรี่ยวแรง ทั้งหวานและตื่นเต้น ทนไม่ไหวเรียกออกมาอีกหนึ่งครั้งว่า “เมิ่งเอ๋อร์”
หวงฝู่สือเมิ่งก็ยังคงกล่าวตอบเบาๆ เงยหน้ามองไปทางเขา กล่าวด้วยริมฝีปากแดงหรื่อว่า “เจ้า…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ ตรงหน้าก็มืดลง เยียลี่ว์อาเป่าแนบริมฝีปากลงมาทันที
คำพูดถัดไปของหวงฝู่สือเมิ่งถูกเขากลืนเข้าไปในปากแล้ว
ตอนแรกคือควบคุมความต้องการไม่ได้ จึงอยากจะชิมเล็กน้อยแล้วหยุดทันที แต่ทันทีที่สัมผัสริมฝีปากที่อ่อนนุ่มของหวงฝู่สือเมิ่งแล้ว ก็หยุดไม่ได้ ความต้องการในใจควบคุมไม่ได้อีกต่อไป โน้มทับตัวลงไปทันที
หวงฝู่สือเมิ่งตกใจ รีบยื่นมือออกมาห้ามเขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนใจว่า “องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์ไม่ได้ ตอนนี้เป็นเวลากลางวัน”
สติของเยียลี่ว์อาเป่ากลับมาเล็กน้อย เงยหน้ามองดวงตาของหวงฝู่สือเมิ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ายวนว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เรียกข้าว่าอาเป่าเถิด”
หวงฝู่สือเมิ่งถูกเขาเย้ายวน จึงกล่าวตอบอย่างไม่รู้ตัว
เยียลี่ว์อาเป่าไม่ได้ตอบกลับ เอาแต่มองนางตาไม่กะพริบ
หวงฝู่สือเมิ่งถูกมองจนรู้สึกคอแห้ง จึงกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัวแล้วกล่าวว่า “เจ้า เจ้ามอง อะไร”
เยียลี่ว์อาเป่ายื่นมือออกมา ลูบใบหน้า ดวงตา จมูก จนมาถึงริมฝีปากของนาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หอบเล็กน้อยว่า “เมิ่งเอ๋อร์ นี่เป็นเรื่องจริง พวกเราแต่งงานกันแล้ว เจ้าเป็นเจ้าสาวของข้าใช่หรือไม่”
หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้าด้วยสีหน้าแดงก่ำแล้วกล่าวว่า “อืม”
“นี่ไม่ใช่ความฝันใช่หรือไม่” เยียลี่ว์อาเป่ากล่าวถามอย่างไม่มั่นใจ
หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้าอีกครั้ง
เยียลี่ว์อาเป่ากอดนางแน่น แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ารอวันนี้มานานแค่ไหน ตั้งแต่สามปีที่แล้ว ข้ารักเจ้าตั้งแต่แรกพบ ผ่านวันคืนมากมายมาจนถึงตอนนี้ ข้ารักเจ้า คิดถึงเจ้า คิดว่าวันหนึ่งจะสู่ขอเจ้าให้เป็นภรรยาข้า วันนี้ข้าสมปรารถนาแล้ว”
“องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์ เจ้า…”
“เรียกข้าว่าอาเป่า” เยียลี่ว์อาเป่ากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดและห้ามปฎิเสธ
“อาเป่า เจ้า”
“เมิ่งเอ๋อร์ มองตาข้า บอกข้าว่า เจ้าอยากจะแต่งงานกับข้าจริงๆ ใช่หรือไม่” เยียลี่ว์อาเป่าพูดขัดขวางนางอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เย้ายวนเล็กน้อย และดวงตาที่กังวลและรอคอย
หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้าอย่างไม่รู้สึกตัว แล้วกล่าวว่า “ข้าอยากแต่งงานกับเจ้าจริงๆ”
เยียลี่ว์อาเป่าดีใจเป็นอย่างมาก ไม่สนใจกลางวันกลางคืนอีกต่อไป อุ้มหวงฝู่สือเมิ่งขึ้นมาแล้ววางลงบนเตียงใหญ่ทันที
สาวใช้ที่ติดตามหวงฝู่สือเมิ่งมา เห็นนางถูกอุ้มเข้าไปในห้องหอเยี่ยงนี้ อยากจะตามเข้าไป แต่ถูกหัวหน้าขันทีสั่งให้คนห้ามไว้ “ไม่มีมารยาท ยืนอยู่ข้างนอกดีๆ รอองค์ชายรัชทายาทออกมาแล้วพวกเจ้าค่อยเข้าไปรับใช้”
ในเมื่อติดตามมาแล้ว ก็ต้องฟังคำสั่งของพวกเขา แม้ว่าจะไม่ถูกธรรมเนียมประเพณี แต่ตอนมาซื่อจือเฟยได้กำชับไว้ว่าต้องทำตามกฎระเบียบทางนี้ ฉะนั้นสาวใช้ทุกคนที่ติดตามมาจึงยืนรออยู่ในเรือนด้านนอก
จนมีเสียงที่ไม่สามารถบรรยายได้ดังออกมาจากเรือนหอ ไม่เพียงแค่สาวใช้ที่ต่างสบตากัน หัวหน้าขันทีก็เงยหน้าขึ้นมองพระอาทิตย์ที่ร้อนแรงบนศีรษะ มุมปากกระตุกไม่หยุด องค์ชายรัชทายาทไม่สนใจธรรมเนียนประเพณีแล้วจริงๆ กลางวันแสกๆ ท่านหญิงน้อยเพิ่งจะเข้าจวน ยังไม่ทันหายเหนื่อย เขาก็… นึกถึงตรงนี้ ก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันที จึงไล่ทุกคนในลานเสียงเบาว่า “ไปๆๆ ไปรอข้างนอกเรือน ไม่มีคำสั่งจากองค์ชายรัชทายาทห้ามผู้ใดเข้ามา”
ฟังจากเสียง ทุกคนก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงหันหลังแล้วเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว แม้แต่สาวใช้ที่ติดตามมาก็ไม่ยกเว้น
หัวหน้าขันทีเดินตามหลังเป็นคนสุดท้ายอย่างมีความสุข
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 122 ข้าวใหม่ปลามัน
เสียงในห้องดังต่อเนื่องเป็นเวลานาน กว่าหนึ่งชั่วยามจึงจะหยุดลง
หัวหน้าขันทีได้สั่งให้คนเตรียมน้ำร้อนไว้แล้ว รอเพียงคำสั่งจากเยียลี่ว์อาเป่า แต่เสียงในห้องหยุดไปสักพักแล้ว ก็ไม่มีคำสั่งดังออกมา
ในห้อง เยียลี่ว์อาเป่านอนหอบเหนื่อยอยู่บนตัวหวงฝู่สือเมิ่ง รู้สึกว่ายังไม่พอใจ ยื่นมือออกมา ปัดเส้นผมที่เปียกชื้นบนหน้าผากนาง อยากจะแนบลงบนริมฝีปากนาง แต่เห็นน้ำตาที่ไหลลงมาจากหางตาของหวงฝู่สือเมิ่ง ก็ตกใจเป็นอย่างมาก ความเร่าร้อนในตัวหายไปในทันที ลุกขึ้นมา แล้วรีบกล่าวขอโทษอย่างร้อนใจว่า “เมิ่งเอ๋อร์ ข้าขอโทษ ข้าตื่นเต้นมากไป จึงควบคุมไม่อยู่ เจ้าๆๆ”
หวงฝู่สือเมิ่งปิดตาลงไม่พูดจา แต่น้ำตาตรงหางตาก็ยิ่งไหลลงมาเรื่อยๆ
เยียลี่ว์อาเป่ารีบหยิบผ้าข้างๆ ขึ้นมาลวกๆ ช่วยนางเช็ดด้วยท่าทางงุ่มง่าม กล่าวด้วยความเสียใจว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้า… เจ้าอย่าร้องไห้เลยนะ ข้า… ข้า”
หวงฝู่สือเมิ่งลืมตาขึ้นมา มองเขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ข้าปวดมาก”
เยียลี่ว์อาเป่าหยุดชะงักไปชั่วครู่ รู้สึกตัวขึ้นมา ก็รีบลุกขึ้นทันทีแล้วกล่าวว่า “ข้าจะไปสั่งให้พวกเขาตักน้ำร้อนมาเดี๋ยวนี้ ให้เจ้าล้างตัว”
พูดจบ ก็จะวิ่งออกไปทันที
“หยุดเดี๋ยวนี้” หวงฝู่สือเมิ่งรีบห้ามเขาไว้
เยียลี่ว์อาเป่าหยุดและหันหลังกลับไป
หวงฝู่สือเมิ่งหลบสายตาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเบาๆ ว่า “เจ้ายังมิได้สวมเสื้อผ้า”
ก้มศีรษะลง มองดูร่างกายที่เปลือยเปล่าของตัวเอง เยียลี่ว์อาเป่ารีบก้มตัวลงไปเก็บเสื้อผ้าที่อยู่บนพื้นขึ้นมาหนึ่งตัวแล้วคลุมบนร่างกาย เปิดประตูออก แล้วตรัสสั่งออกไปข้างนอกว่า “เตรียมน้ำ”
ในที่สุดองค์ชายรัชทายาทก็ตรัสสั่งเสียที หัวหน้าขันทีรีบตรัสสั่งให้คนยกน้ำเข้าไปในห้องสะอาด แล้วให้สาวใช้ที่ติดตามมาสองคนเข้าไปรอข้างใน ส่วนคนที่เหลือก็ถูกเขาไล่ออกไป
เยียลี่ว์อาเป่าดึงผ้าปูที่นอนขึ้นมา คลุมตัวหวงฝู่สือเมิ่งไว้แน่น อุ้มนางมาที่ห้องสะอาด มองสาวใช้ทั้งสอง ขมวดคิ้ว แล้วสั่งว่า “พวกเจ้าออกไปเถิด ที่นี่ไม่ต้องการให้พวกเจ้ารับใช้”
ทั้งสองมองหวงฝู่สือเมิ่งที่หลับตาอยู่ในอ้อมกอดของเขา ก้มหน้ารับคำสั่ง แล้วเดินออกไปทันที
หลังจากเยียลี่ว์อาเป่าตรวจดูความร้อนของน้ำแล้ว ก็วางหวงฝู่สือเมิ่งลงในอ่าง
น้ำร้อนค่อยๆ สัมผัสกับตัว หวงฝู่สือเมิ่งรู้สึกว่าร่างกายที่ปวดเมื่อยดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังคงปิดตาไว้ไม่กล้าลืมตาขึ้นมา นางไม่คิดว่าเยียลี่ว์อาเป่าจะร้อนอกร้อนใจเยี่ยงนี้ กลางวันเสกๆ นางเพิ่งจะเข้าจวน ก็ทำกับนาง หากเรื่องนี้กระจายออกไป ต่อไปนางจะกล้าออกไปพบผู้คนได้อย่างไร
เห็นว่านางยังคงไม่ลืมตาขึ้นมา เยียลี่ว์อาเป่าเริ่มกังวลเล็กน้อย คิดว่าตัวเองทำนางเหนื่อยมากเกินไป จึงยื่นมือออกมา อยากจะช่วยนางนวดเล็กน้อย ไม่คิดว่า ทันทีที่สัมผัสโดนร่างกายนาง หวงฝู่สือเมิ่งก็ลืมตาขึ้นมาอย่างตกใจทันที ขดตัวลงเล็กน้อย ดวงตากลมโตที่ใสบริสุทธิ์เต็มไปด้วยความตกใจกลัว มองเขาด้วยความกังวลแล้วกล่าวว่า “เจ้า เจ้า เจ้าจะทำอะไร”
เยียลี่ว์อาเป่ารู้สึกตื่นเต้นในใจ เกิดความต้องการของร่างกายขึ้นมาอีกครั้ง สายตาเริ่มขรึมลง สูดอากาศหายใจเข้าลึกๆ แสดงรอยยิ้มที่ปลอบโยนแล้วกล่าวว่า “เจ้าเหนื่อยมิใช่หรือ ข้าจะช่วยเจ้าล้างตัว”
มารู้ตัวอีกทีหวงฝู่สือเมิ่งก็นำร่างกายของตัวเองแช่ลงไปในน้ำทันที เหลือเพียงศีรษะที่ส่ายไปมาบนผิวน้ำอย่างน่าสงสารแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้อง ไม่ต้อง ข้าทำเอง รบกวนเจ้าช่วยหยิบเสื้อผ้าของข้ามาให้ข้าที ”
นางไม่รู้เลยว่าสีหน้าท่าทางเยี่ยงนี้ของนาง ยิ่งกระตุ้นความต้องการของชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้
เยียลี่ว์อาเป่าแค่รู้สึกว่าร่างกายเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ที่ควบคุมไม่อยู่อีกต่อไป ก้มศีรษะลง เข้ามาตรงหน้าหวงฝู่สือเมิ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเบาๆ ว่า “เมิ่งเอ๋อร์ พวกเราเป็นสามีภรรยากันแล้ว”
หวงฝู่สือเมิ่งหยุดชะงักไปเล็กน้อย ยังไม่ทันเข้าใจความหมายของคำพูดเขา ก็รู้สึกว่าข้างหน้ามืดลงทันที น้ำในอ่างกระเซ็นขึ้นมา ร่างกายที่สูงใหญ่ของชายหนุ่มลงมาในอ่างแล้ว ทันใดนั้นก็เข้าใจความตั้งใจของเขาทันที หวงฝู่สือเมิ่งร้องออกมาอย่างตกใจว่า “ไม่…”
ประโยคถัดไปถูกเยียลี่ว์อาเป่ากลืนเข้าไปในท้องของเขาทันที
ผ่านการทรมานอีกครั้ง หวงฝู่สือเมิ่งเริ่มจากการร้องไห้ออกมาเบาๆ ถึงขอร้องวิงวอนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ สุดท้ายมีความสุขสมจนสลบไป เยียลี่ว์อาเป่าจึงจะหยุดลง ปัดเส้นผมที่เปียกชื้นบนหน้าผากของนางอย่างทะนุถนอม อุ้มนางขึ้นมาจากอ่าง สั่งให้คนเปลี่ยนน้ำใหม่ แล้วล้างตัวให้นางใหม่ด้วยความนุ่มนวลและเบามืออย่างอ่อนโยน วางนางลงบนเตียงที่สาวใช้เก็บกวาดทำความสะอาดแล้ว ดึงผ้าห่มบางข้างๆ มา คลุมบนตัวทั้งสองคน นอนลงบนเตียงแล้วกอดนางอย่างมีความสุข
ในที่สุดในห้องก็ไม่มีการเคลื่อนไหวที่น่าอายนั้นแล้ว หัวหน้าขันทีโล่งอก เขากลัวจริงๆ ว่าองค์ชายรัชทายาทจะทำต่อไปเรื่อยๆ จนส่งผลร้ายต่อร่างกายของตัวเอง
จนท้องฟ้ามืดลง เรือนด้านนอกได้จุดโคมไฟแล้ว หวงฝู่สือเมิ่งจึงจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา กะพริบตาที่พร่ามัว ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ใด
“เจ้าตื่นแล้วหรือ” มีเสียงที่อ่อนโยนของเยียลี่ว์อาเป่าดังขึ้นมาข้างๆ หวงฝู่สือเมิ่งตกใจขึ้นมาทันที เงยหน้ามองไปทางเขาแล้วกล่าวว่า “เจ้า เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เยียลี่ว์อาเป่าหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า “ที่นี่คือเรือนหอของพวกเรา แน่นอนว่าข้าต้องอยู่ที่นี่”
สติค่อยๆ กลับมา เหตุการณ์ก่อนที่จะสลบไปผุดขึ้นมาในหัว ใบหน้าของหวงฝู่สือเมิ่งแดงก่ำขึ้นมาทันที ดึงผ้าห่มบางๆ ขึ้นมาคลุมลงบนศีรษะของตัวเองทันทีแล้วกล่าวด้วยความโมโหว่า “เจ้าๆๆ เจ้าลุกขึ้นก่อน”
เยียลี่ว์อาเป่ายิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา ลุกขึ้นมา อยากจะดึงผ้าห่มออก
หวงฝู่สือเมิ่งจับแน่นไม่ยอมปล่อย
เยียลี่ว์อาเป่าจนใจ จึงต้องลงจากเตียง สวมใส่เสื้อผ้าแล้วกล่าวว่า “พอแล้ว เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าทำเยี่ยงนี้จะทำให้ตัวเองหายใจไม่ออก”
หวงฝู่สือเมิ่งค่อยๆ ดึงผ้าห่มออก เผยส่วนดวงตาคู่หนึ่งออกมาก่อน เห็นว่าเขาแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว จึงแอบโล่งอกเบาๆ แล้วกล่าวถามด้วยสีหน้าที่แดงก่ำว่า “ตอนนี้ยามใดแล้ว”
“ใกล้จะหมดยามโหย่วแล้ว เจ้าไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันแล้ว ลุกขึ้นมากินอาหารก่อนเถิด”
คิดขึ้นมาได้ว่าใต้ผ้าห่มนั้นตัวเองไม่ได้สวมใส่อะไรเลย สีหน้าของหวงฝู่สือเมิ่งแดงขึ้นมาอีกครั้งแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แทบจะไม่ได้ยินว่า “เจ้า เจ้าออกไปก่อน”
มองใบหน้าที่แดงก่ำของนาง ลูกกระเดือกของเยียลี่ว์อาเป่าเคลื่อนลงไปมาหลายครั้ง คลื่นความต้องการตีตื้นขึ้นมาอีกระลอก เขารีบหันหลังเดินออกไปทันทีแล้วกล่าวว่า “ข้าจะเรียกคนมารับใช้เจ้า”
หวงฝู่สือเมิ่งรีบห้ามเขาไว้ “ไม่ต้อง ข้าทำเอง”
ตั้งแต่เด็ก พวกนางทำเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเอง ไม่เคยให้ผู้ใดทำให้ ตอนนี้ให้คนมารับใช้ นางไม่ชิน
เยียลี่ว์อาเป่าก็มิได้บังคับ เปิดประตูห้อง เดินออกไป แล้วปิดประตูห้องเบาๆ
ได้ยินเสียงเท้าเดินของเขาไปไกลแล้ว หวงฝู่สือเมิ่งจึงจะกัดริมฝีปากแล้วลุกขึ้นนั่ง คลุมผ้าห่มลงจากเตียง เปิดกล่องของตัวเอง หยิบเสื้อผ้าใหม่ขึ้นมาสวมใส่ แล้วจัดเตียงให้สะอาดเรียบร้อย พับผ้าห่มให้เรียบร้อย ทำทุกอย่างจนเสร็จหมดแล้ว จึงจะนั่งรออยู่บนเตียง
เยียลี่ว์อาเป่ายกอาหารเข้ามาด้วยตัวเอง มองเห็นเตียงที่สะอาดเรียบร้อย กะพริบตา เดินมาข้างโต๊ะ วางอาหารลง ยิ้มแล้วกล่าวกับนางว่า “รีบมากินเถิด ดูว่าถูกปากเจ้าหรือไม่”
หวงฝู่สือเมิ่งเดินมา เห็นว่าทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่นางชอบ ก็มองไปที่เขาอย่างแปลกใจ
เยียลี่ว์อาเป่ายิ้มแล้วอธิบายว่า “หลายปีมานี้ข้าให้คนไปสืบความชอบของเจ้าอย่างละเอียด เจ้าลองชิมดูว่าถูกปากเจ้าหรือไม่”
สีหน้าของหวงฝู่สือเมิ่งแดงขึ้นมาทันที แล้วนั่งลง
เยียลี่ว์อาเป่าหยิบตะเกียบขึ้นมา คีบผักใส่ลงไปในถ้วยที่อยู่ข้างหน้านางแล้วกล่าวว่า “เจ้าคงหิวมากแล้วสิ รีบกินเถิด”
ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน หวงฝู่สือเมิ่งหิวมากแล้วจริงๆ หยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วเคี้ยวช้าๆ แล้วกลืนลงไปช้าๆ
เยียลี่ว์อาเป่ามองนางด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก
หวงฝู่สือเมิ่งรู้สึกถึงสายตาที่เร่าร้อนของเขา ก็คีบผักให้เขาด้วยสีหน้าแดงก่ำแล้วกล่าวว่า “เจ้าก็กินเถิด”
เมื่อกินอาหารเสร็จแล้ว ก็เรียกให้คนเก็บถ้วยชามตะเกียบ ส่วนทั้งสองก็นั่งอยู่ในห้องเงียบๆ
หวงฝู่สือเมิ่งกุมมือแน่น นั่งตัวเกร็งไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
ส่วนเยียลี่ว์อาเป่านั้นเหมือนมองนางอย่างไรก็ไม่พอ สายตาจดจ่ออยู่ที่นางตลอดเวลา
ถูกเขามองจนคอแห้ง หวงฝู่สือเมิ่งจึงพยายามหาเรื่องคุยว่า “เจ้า”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ เยียลี่ว์อาเป่าที่นั่งมองนางก็ลุกขึ้นมาทันที เดินมาข้างหน้านางแล้วกล่าวว่า “เหนียงจื่อ[1] ไม่เช้าแล้ว พวกเราควรพักผ่อนแล้ว”
อาการปวดเมื่อยร่างกายยังอยู่ เตือนนางให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนี้ แต่เยียลี่ว์อาเป่าก็คะยั้นคะยอหวงฝู่สือเมิ่งอ้าปากเล็กน้อย มองเขาอย่างตกใจ จนลืมปฎิเสธ
เยียลี่ว์อาเป่าโน้มตัวอุ้มนางขึ้นมา แล้วเดินตรงไปที่เตียงใหญ่
วันที่สอง หวงฝู่สือเมิ่งก็มิได้ออกจากห้องอีกหนึ่งวัน อาหารก็เป็นเยลี่ว์อาเปาที่ไปยกมาจากห้องครัวด้วยตัวเอง
หัวหน้าขันทีเริ่มไม่พอใจเล็กน้อย แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในวัง แต่ไท่จื่อเฟยก็ไม่รู้ธรรมเนียมประเพณีเลยหรือ อย่างน้อยนางก็ควรออกมาแสดงตัว สั่งสอนลูกน้องเหล่านี้ในจวนบ้าง
ส่วนสาวใช้ที่ติดตามมากลับดีใจกันเป็นอย่างมาก ไท่จื่อรัฐหมิงท่านนี้รักท่านหญิงน้อยมากเยี่ยงนี้ หากซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยรู้จะต้องดีใจเป็นอย่างมากแน่นอน
ไม่ว่าทุกคนจะคิดอย่างไร เพียงพริบตาเดียวก็ถึงวันที่สามที่ต้องกลับจวนอ๋องฉีแล้ว พอรับประทนอาหารเช้าเสร็จ ตรัสสั่งให้คนเตรียมสิ่งของให้พร้อม เยียลี่ว์อาเป่าขี่ม้าให้หวงฝู่เส่อเมิ่งนั่งกลับจวนอ๋องฉีด้วยตัวเอง
นายประตูเขย่งขามองไปที่ถนนบ่อยครั้ง เห็นรถม้ามาแล้ว ก็ไม่ได้ออกไปต้อนรับ แต่กลับหันหลังวิ่งเข้าไปรายงานในจวนอย่างรวดเร็วว่า “ท่านหญิงน้อยและลูกเขยกลับจวนมาแล้วขอรับ”
สองวันนี้ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีต่างพักผ่อนไม่ดีเท่าไหร่ กังวลอยู่ตลอดเวลา ทันทีที่ได้ยินคำรายงานของนายประตูก็อยากจะออกมาต้อนรับ แต่ถูกหวงฝู่อี้เซวียนห้ามไว้
หวงฝู่เย่าเย่ว์ หวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่รุ่ยต่างวิ่งออกมาหน้าประตูจวนอย่างรวดเร็ว เห็นว่ารถม้าหยุดอยู่หน้าประตูจวนพอดี ก็รีบเดินออกไปต้อนรับอย่างดีใจ กล่าวทักทายเยียลี่ว์อาเป่าก่อนว่า “พี่เขย”
เยียลี่ว์อาเป่าตื่นเต้นจนหน้าแดงไปหมดแล้ว หลังจากตอบรับอย่างดีใจแล้ว ก็หยิบซองแดงออกมาจากกระเป๋าแขนเสื้อสามซอง ยื่นให้ทั้งสามคนแล้วกล่าวว่า “รับไว้ พี่เขยไม่ได้ซื้อของขวัญอะไรให้พวกเจ้า ในนี้คือตั๋วเงิน พวกเจ้าชอบอะไรก็ไปซื้อด้วยตัวเองเถิด”
“ขอบพระทัยพี่เขย” ทั้งสามรับมา แล้วขอบคุณอย่างมีมารยาท
ผ้าม่านบนรถม้าถูกเปิดออก ใบหน้าเล็กที่งดงามของหวงฝู่สือเมิ่งปรากฏต่อหน้าทุกคน
“พี่ใหญ่”
“พี่ใหญ่”
“พี่ใหญ่”
ทั้งสามเรียกออกมาพร้อมกันอย่างดีใจ
หวงฝู่สือเมิ่งตอบรับ แล้วเดินลงมาจากรถม้าด้วยรอยยิ้ม ลูบหัวทั้งสามคน แล้วกล่าวกับหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวที่เดินออกมาทีหลังว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่”
เยียลี่ว์อาเป่าก็เรียกตามด้วยท่าทางเกร็งๆ ว่า “พ่อตา แม่ยาย”
มองหวงฝู่สือเมิ่งที่เปล่งแสงสว่างของความสุขที่ออกมาจากภายในสู่ภายนอก หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวจึงดีใจเป็นอย่างมาก กล่าวกับเยียลี่ว์อาเป่าด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนว่า “เข้ามาในจวนก่อนเถิด ท่านปู่และท่านย่ารอนานแล้ว”
[1] เหนียงจื่อ คำใช้เรียกภรรยา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น