เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 10 ตอนที่ 53-55
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]
ตอนที่ 53 กิจการที่รุ่งเรืองในเกาจู้ลี่
หลี่ซื่อหมินมองลูกชายของเขาที่ปกติไม่ค่อยพูดนักด้วยความประหลาดใจ แล้วหันไปถามรัชทายาทว่า “เฉิงเฉียน ยังมีอะไรที่เรายังไม่รู้หรือไม่ บอกเรามาให้หมด”
หลี่ซื่อหมินสงสัยว่าตัวเองประเมินเด็กหนุ่มพวกนี้ต่ำเกินไปหรือไม่ หาเก้าอี้มานั่งเตรียมฟังเด็กหนุ่มเหล่านี้ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาพวกเขาลงมือทำอะไรกันไปบ้าง
หลี่เฉิงเฉียนเดินออกมาจากฝูงชนมายืนอยู่หน้าหลี่ซื่อหมินแล้วพูดว่า “เสด็จพ่อ ลูกกับสหายสองสามคนไม่ชอบเกาจู้ลี่ในช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงเตรียมการบางอย่างล่วงหน้า ตอนนี้พ่อค้าเสบียงอาหารรายใหญ่ที่สุดในเกาลี่เป็นคนของลูก ส่วนพ่อค้ายารายใหญ่ที่สุดเป็นคนของน้องสาม ส่วนพ่อค้าขนสัตว์และอัญมณีรายใหญ่คืออวิ๋นเยี่ย พ่อค้าก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในเหลียวตงอยู่ภายใต้อำนาจของชิงเชวี่ย หัวหน้ากระบวนการคือลูกศิษย์ผู้หนึ่งของตระกูลกงซู ตอนนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปราชญ์ที่เฉลียวฉลาดในเกาจู้ลี่ สำหรับการสร้างที่อยู่อาศัยของเหล่าเศรษฐีในเกาจู้ลี่ รวมไปถึงวังหลวง พวกเขาจะต้องไปถามความเห็นของนักปราชญ์ทรงปัญญาผู้นี้ก่อน”
หลี่ซื่อหมินถอนหายใจ คำพูดเหล่านี้ของลูกชายทำให้เขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก เขารู้เพียงแค่ว่ารัชทายาท ชิงเชวี่ย หลี่เค่อ และอวิ๋นเยี่ยเป็นเศรษฐีในเกาจู้ลี่ เพียงแต่ว่าคาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะทำได้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่อวิ๋นเยี่ยนำภูมิประเทศของเหลียวตงมาเป็นของเล่น ไม่แปลกใจเลยที่ชิงเชวี่ยทำของขวัญที่ได้จากไท่ซั่งหวงกลายเป็นของที่ไร้ประโยชน์ เพียงแต่ว่าผู้คนของต้าถังจำนวนมากในวันนี้ได้ควบคุมกิจการที่สำคัญเช่นนี้ในเกาจู้ลี่ เป็นไปได้หรือว่าคนที่ฉลาดมาโดยตลอดอย่างเกาเจี้ยนอู่จะไม่รู้?
“รัชทายาท เจ้าบอกเรามาสิว่าฮ่องเต้เกาจู้ลี่ผู้นั้นก็คือเกาเจี้ยนอู่ คนอย่างเขาไม่ใช่คนโง่ พวกเจ้าทำเรื่องเหล่านี้กันได้อย่างไร”
“เสด็จพ่อ คนของลูกเป็นชาวเกาจู้ลี่ เพียงแต่ว่าเขาชอบอาศัยอยู่ในต้าถัง สิ่งที่เขาใฝ่ฝันคือการได้มีทะเบียนบ้านในต้าถัง ดังนั้นเพื่อจุดประสงค์นี้แล้วเขาจึงได้ทำงานอย่างหนักในเกาจู้ลี่เพื่อลูก”
หลี่เฉิงเฉียนยิ้มและอธิบายให้พ่อของตัวเองฟัง เป็นการพูดที่ดูสบายๆ แต่สำหรับเหล่าแม่ทัพเก่าแล้วมีความหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง รัชทายาทได้ฝึกใช้แผนการและความคิดทางการทหารกับต่างแดน ไม่แปลกใจเลยที่ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉางอันจะวุ่นวายแต่ก็ยังคงมีความมั่นคงหนักแน่นฝังรากลึกถึงกระดูก ขอเพียงแค่ไม่มีความขัดแย้งภายใน ต้าถังก็ไม่เคยกลัวว่าใครจะบุกรุกเข้ามา
หลี่ไท่พูดต่อว่า “เสด็จพ่อ เดิมทีกงซูเหลียงเป็นทูตของเกาจู้ลี่ ใช้เงินจำนวนมากจ้างผู้เชี่ยวชาญจากดินแดนป่าเถื่อน เขาเพียงแค่เข้าร่วมวางแผนแต่ไม่เคยถามถึงเรื่องอื่น และเขาได้แต่งงานและมีลูกในเกาจู้ลี่ เขาเป็นคนให้ความรู้แก่ผู้คน ได้รับการเคารพนับถืออย่างสูง เมื่อได้พบกับเกาเจี้ยนอู่ก็ไม่จำเป็นต้องโค้งคำนับ”
“ตระกูลเจ้าล่ะ ได้ยินมาว่าเมื่อพูดถึงเรื่องจงรักภักดีคนรับใช้ในตระกูลอวิ๋นของเจ้าคือที่หนึ่ง เถ้าแก่ของตระกูลเจ้าคงไม่ใช่ชาวเกาจู้ลี่หรอกนะ” หลี่ซื่อหมินมองอวิ๋นเยี่ยที่กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคนด้วยความสนใจ
“กราบทูลฝ่าบาท เถ้าแก่ในตระกูลของกระหม่อมแซ่ชุย ได้ยินมาว่าบรรพบุรุษเป็นขุนนางตั้งแต่ยุคสมัยของจูเหมิง เพียงแต่ว่าต่อมาตระกูลของเขาได้ล้มลง เมื่อเกาเจี้ยนอู่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ก็ได้ฆ่าทั้งตระกูลของเขา เขาพาลูกน้อยหนีหัวซุกหัวซุนมาถึงต้าถัง สาบานว่าจะฆ่าเกาเจี้ยนอู่และตระกูลของเขา และทำให้ชาวเกาจู้ลี่ทุกคนตกเป็นทาส เพราะว่าเขาเป็นทาสของคนอื่นมาแปดปี และเป็นเพราะเขาไม่ได้ดูแลลูกให้ดีจึงได้กลายเป็นคนสติไม่สมประกอบ”
เมื่อหลี่จิ้งเห็นว่าฮ่องเต้ถามเสร็จแล้วจึงได้แทรกถามอวิ๋นเยี่ยขึ้นมาว่า “ตอนนี้เกาจู้ลี่มีเก้าสิบเจ็ดเมือง กำลังของพวกเจ้าจะสามารถโจมตีได้กี่เมือง” หลี่ซื่อหมินพยักหน้าแล้วมองอวิ๋นเยี่ยเพื่อรอคำตอบจากเขา ที่นี่มีแต่แม่ทัพที่มีชื่อเสียงทั้งหมด ไม่มีทางที่ความลับจะถูกเปิดเผย
“ข้าวางแผนจะจัดการผิงหรั่ง หวันโตว เมืองหลวง เว่ยน่าเหยียน เมืองเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเมืองที่ร่ำรวย รัชทายาทชอบเมืองฉางอันและเมืองเฉิงอี้ที่ผลิตเสบียงอาหารได้ ส่วนชิงเชวี่ยนั้นเขาสนใจเพียงแค่เกาเจี้ยนอู่”
หลี่จีพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “พวกเจ้ายุ่งวุ่นวายอยู่กับการหาเงิน แต่ไม่ได้เตรียมการสำหรับการเดินทัพทหารให้ต้าถังอย่างนั้นหรือ เมืองเหลียวตง เมืองไป๋เหยียน เมืองฝูอวี๋ เมืองซิน เมืองไก้โหมว เมืองอันซื่อ ทั้งหกเมืองนี้อยู่ติดเส้นทางที่กองทัพของเราต้องผ่าน พวกเจ้ากลับไม่สนใจเรื่องสำคัญเหล่านี้ ใช้ได้เสียที่ไหนกัน”
จั่งซุนอู๋จี้กลอกตามองหลี่จีแล้วพูดว่า “เมืองอันซื่อเป็นพื้นที่กิจการตระกูลจั่งซุนของข้า เจ้าหวังจะให้องค์รัชทายาทและคนอื่นๆ มาต่อสู่แย่งผลกำไรกับตระกูลข้าอย่างนั้นหรือ”
หลี่จีมองดูแม่ทัพเก่าที่อยู่รอบๆ กำลังจ้องมองมาที่เขาจึงได้เข้าใจว่ากิจการทั้งหมดในเกาจู้ลี่ถูกแบ่งแยกอย่างสมบูรณ์กว่าเพื่อนร่วมงานใจดำเหล่านี้เสียอีก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่ตัวเองได้ต่อสู้เพื่อต้าถัง ชาวเมืองฉางอันกลับพากันตั้งอกตั้งใจทำเงิน ดูเหมือนว่าตัวเองจะเสียเปรียบเป็นอย่างมาก
หลี่ซื่อหมินพอใจกับเหตุการณ์นี้เป็นอย่างมากจึงไม่ถามต่อว่าพื้นที่ล่าสัตว์ในสองสามเมืองนี้เป็นของตระกูลไหน เป็นแบบนี้เสียก็ดี แต่ละคนพากันไปเป็นเศรษฐีอยู่นอกเมือง ประการแรกคือทำให้ศัตรูของตัวเองอ่อนแอลง ประการที่สองคืออย่างไรเสียขุนนางก็ควรได้รับการปรนนิบัติเป็นพิเศษ หลังจากนี้ก็ดำเนินการตามวิธีนี้ ไม่ทำลายอำนาจของชาติ ไม่เบียดเบียนประชาชน อีกทั้งยังได้ประโยชน์อย่างมากในการควบคุมการรวบรวมที่ดิน เป็นครั้งแรกที่พบว่าคนทำการค้าขายก็เป็นอาวุธทางการทหารได้ ต่อให้เกาเจี้ยนอู่สร้างกำแพงทั้งแปด แต่ภายใต้รากฐานที่ถูกทำลาย มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร หลี่ซื่อหมินเชื่อว่าฮองเฮาควรจะเป็นคนทำกิจการรายใหญ่ที่สุดในเกาจู้ลี่ เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าดำเนินกิจการไปถึงขั้นไหนแล้ว กลับไปจะต้องถามให้ชัดเจน
มีความสุขเป็นอย่างมาก หลี่ซื่อหมินไม่อยากจะอยู่ในบ้านตระกูลอวิ๋นแล้ว วันนี้ในวังหลวงพระสนมยินและคนอื่นๆ ได้ซ้อมรำเตรียมพร้อมให้ผู้คนได้รับชม หากวันนี้ตัวเองไม่ได้ยินว่าเหล่าแม่ทัพจะไปรวมตัวที่ตระกูลอวิ๋นก็คงจะไม่ลดตัวลงมาร่วมตรุษจีนที่บ้านอวิ๋นเยี่ย ตอนมานั้นได้ควบม้ามาเอง แต่ตอนกลับองครักษ์ได้เตรียมรถเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมีดินปืนอยู่ในมือหลี่ซื่อหมินจึงได้ค้นพบวิธีที่จะพิชิตเกาจู้ลี่ ตอนนี้สิ่งที่ทำให้เขาลำบากคือการขนส่งเสบียง ความแข็งแกร่งของต้าถังเริ่มฟื้นตัวอย่างช้าๆ เมื่อรอถึงสองปีคาดว่าจะเป็นโอกาสที่เหมาะสม สุดท้ายความอัปยศในราชวงศ์สุยก็ต้องให้เราเป็นคนแก้
ฮ่องเต้ไปแล้ว บรรดาแม่ทัพเก่าก็จากไปเยอะแล้วเช่นกัน เหลือเพียงแค่เฉิงเหย่าจิน หนิวจิ้นต๋า ฉินฉยง และอวี้ฉือกงที่ยังอยู่ต่อ ในศาลาอันอบอุ่นบรรดาแม่ทัพเฒ่าทั้งสี่คนกำลังดื่มกันอย่างมีความสุข การเก็บเกี่ยวของที่บ้านในปีนี้ได้ผลผลิตกำลังดี ลูกๆ ก็มีอนาคตของตัวเอง ในฐานะผู้อาวุโสตอนนี้สามารถวางใจได้แล้ว
การพบปะกันของผู้อาวุโสไม่จำเป็นต้องให้อวิ๋นเยี่ยมาปรนนิบัติ พ่อบ้านเฉียนวิ่งวุ่นไปมา ยกเนื้อตุ๋นมันฝรั่งมาวางสามรอบแล้ว ดูแล้วคงจะต้องเอามาวางอีกเป็นรอบที่สี่
หลี่เฉิงเฉียนอารักขาเสด็จพ่อของเขากลับฉางอัน มีเพียงหลี่ไท่ที่ถือเนื้อวัวชิ้นใหญ่ไว้ในมือแล้วบ่นไม่หยุด “บ้านเจ้าล้มวัว เหตุใดไม่คิดจะส่งมาให้ข้าบ้างสักหนึ่งขา เสด็จแม่ของข้าสั่งห้ามไม่อนุญาตให้พวกเราล้มวัวโดยไม่ได้รับอนุญาต รู้ทั้งรู้ว่ามันอร่อยแต่กลับทำอะไรไม่ได้ เรื่องที่วัวในตระกูลเจ้าป่วยตายได้เลื่องลือไปทั่วฉางอัน พรุ่งนี้จะให้คนใช้พาวัวสองสามตัวมาส่งที่บ้านเจ้า ต้องทำให้มันป่วยตายโดยเร็วที่สุด ข้ากะว่าจะส่งให้เสด็จแม่สักสองสามชิ้น”
อวิ๋นเยี่ยถามหลี่ไท่ด้วยความประหลาดใจว่า “ทำไมวัวของเจ้าที่ป่วยตายต้องมาตายที่บ้านข้า เจ้าไม่รู้หรือว่าจะต้องถูกทางการลงโทษ ผู้ว่าราชการเขตหลานเถียนได้ขอร้องพ่อบ้านว่าปีนี้อย่าให้วัวต้องป่วยตายอีกเลย หากมีวัวป่วยตายอีกสองสามตัวเขาคงจะต้องหลุดจากตำแหน่งนี้แล้ว”
“บ้านเจ้ามักจะมีคนแปลกๆ อยู่เสมอ เมื่อก่อนก็เคยมีเด็กคนหนึ่งที่นั่งมองน้องสาวของเจ้าอยู่บนต้นไม้ ตอนนี้ไม่เห็นเด็กคนนั้นแล้ว แต่กลับมีคนชอบนั่งดื่มเหล้าอยู่บนต้นไม้เพิ่มมาหนึ่งคน อากาศหนาวเช่นนี้ยังใส่เสื้อผ้าแหวกหน้าอก ไม่กลัวจะเป็นไข้เอาหรือ”
หลี่ไท่ชี้ไปที่เท้าใหญ่หนึ่งคู่ที่ห้อยลงมาจากต้นไม้ในสวนแล้วถามอวิ๋นเยี่ย
“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร คนแปลกย่อมมีพฤติกรรมแปลกๆ หากเก่งจริงเจ้าก็หาคนที่ดื่มเหล้าเช่นนี้ในบ้านเจ้าสักคน ข้าจะถือว่าเจ้าเก่งมาก ทั้งจวนเว่ยอ๋องมีแต่นักปราชญ์ที่เอาแต่พูดเรื่องบทกวี ทำเช่นนั้นไม่เห็นจะมีหน้ามีตาอะไร อยากให้ข้าแต่งกวีสักสองบทหรือไม่ ปราบปรามพวกเขาสักหน่อย จะได้เห็นหัวคนอื่นเสียบ้าง”
“แน่นอนว่าข้าไม่เข้าใจ แต่ว่าหนังสือแผ่นดินใหญ่ข้าเป็นคนเรียบเรียงขึ้นมาเอง ข้ายอมรับว่าข้าเอาหนังสือจากห้องสมุดในสำนักศึกษาไปมาก แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องให้สวี่จิ้งจงมาทวงหนังสือที่บ้านข้าทุกวัน มันไม่ได้ผลหรอก”
“พวกเจ้ายืมหนังสือภูมิศาสตร์ภูเขาและแม่น้ำข้ายังพอเข้าใจได้ แต่พวกเจ้ายังยืมคัมภีร์ภูเขาและท้องทะเลไปด้วยเพื่ออะไรกัน หรือเจ้ากะจะเอาคัมภีร์ภูเขาและท้องทะเลมาเป็นแนวทางในการเรียบเรียงหนังสือแผ่นดินใหญ่ของเจ้า ถ้าหากข้าให้จี้หยกแก่เจ้า เจ้าจะช่วยข้าหาหาว่าไป๋อวี่จิงอยู่ที่ไหนได้หรือไม่”
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่มีทางให้คนอื่นเอาจี้หยกไปหรอก สุดท้ายคนที่ได้มันก็คือเสด็จพ่อของข้า เมื่อเสด็จพ่อของข้าได้ฟังความเป็นมาของจี้หยกนั่นก็โยนจี้หยกทิ้งทันทีโดยไม่ต้องคิด ทำไมเจ้าไม่ให้เสด็จพ่อของข้าดูของสิ่งนั้น”
อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่ใต้ต้นไม้รอให้หลี่ไท่เดินเข้ามาใกล้ก่อนแล้วจึงพูดเสียงเบาว่า “มันไม่เหมือนกัน เมื่อเจ้าเห็นมันแล้วอย่างมากเจ้าก็แค่ใช้เงินจำนวนมากในการตามหามัน เมื่อฮองเฮาเห็นมันแล้วอย่างมากก็แค่สนองความอยากรู้อยากเห็นของนาง การที่ให้พี่ชายของเจ้าดูก็เพื่อจะให้เขารู้ว่าการมีชีวิตอยู่เป็นอมตะเป็นเพียงเรื่องตลก เสด็จพ่อของเจ้าพึ่งจะล้มเลิกเรื่องการกลืนลูกตะกั่วลงคอ หากมีความคิดที่จะแสวงหาความเป็นอมตะขึ้นมาล่ะก็ ก็ต้องบูชายันต์ชีวิตเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงสามพันคน จะให้เจ้าพาไปตามหาเผิงไหล[1]หรือไม่ก็จะให้ข้าพาไปหาเจ้าอาวาส ข้าว่าเอาความคิดไปเน้นในเรื่องทางทหารจะดีกว่า”
หลี่ไท่ยัดเนื้อวัวชิ้นสุดท้ายเข้าปาก เคี้ยวอยู่นาน หลังจากที่กลืนลงไปแล้วก็หันไปมองอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “เจ้าถือว่าเป็นคนที่มีความสามารถ เพียงแค่จี้หยกอันเดียวก็ทำเอาคนวุ่นวายไปทั่ว สุดท้ายคนที่เสียเปรียบมากที่สุดก็คือพ่อข้า หากเป็นคนอื่นตอนนี้คงจะบ้านแตกสาแหลกขาดเป็นแน่ เจ้าไม่ต้องเอาเรื่องเกาจู้ลี่มาพูดแล้ว คนทั้งหมดล้วนเป็นผู้ฉลาดหลักแหลม เจ้าเพียงแค่ต้องการดึงดูดความสนใจของเสด็จพ่อข้าไปที่เกาจู้ลี่ไม่ใช่หรือ ก่อนหน้านี้พวกเราพูดกันไว้แล้วว่าจะสูบเลือดสูบเนื้อเกาจู้ลี่จนแห้งก่อนแล้วค่อยหยุด แต่ตอนนี้เจ้ากลับพูดมันออกมาเพื่อเป็นเกราะกำบังภัยให้แก่ตัวเอง ไม่มีความชอบธรรมเอาเสียเลย”
“การปิดบังเรื่องนี้จะต้องมีขีดจำกัดอยู่เสมอ ตอนนี้ถึงเสด็จพ่อของเจ้าจะรู้แต่ก็ไม่เป็นปัญหา หากรอพูดตอนที่เสด็จพ่อของเจ้าเป็นกังวลมากเกินไปนั้น ฮ่าๆๆ”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มแห้ง แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
หลี่ไท่ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ถูกอวิ๋นเยี่ยผลักไปหนึ่งที “ตอนนี้เจ้าเป็นหนอนหนังสือ ไม่เข้าใจว่าทำไมข้าจึงหัวเราะแล้วจะหัวเราะตามไปทำไม หัวเราะอย่างกับนกเค้าแมว”
“ใครบอกว่าข้าไม่เข้าใจ หากรอให้เสด็จพ่อของข้าเป็นกังวลแล้วค่อยพูด ถึงแม้ว่าจะเป็นผลงานชิ้นใหญ่ แต่ว่าจะต้องทำให้เสด็จพ่อข้าไม่พอใจอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นใครที่บอกความจริงกับเขา ภายภาคหน้าจะต้องโชคร้ายอย่างแน่นอน เรื่องนี้ต่อให้เป็นเสด็จแม่ของข้าก็คงไม่ยอมทำ”
“พูดได้ดีมาก! แต่ว่าเจ้าเป็นคนพูด ไม่ใช่ข้าเป็นคนพูด ข้าคิดมาโดยตลอดว่าฝ่าบาทเป็นประมุขที่จิตใจกว้างในทุกสถานการณ์ คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินว่าฝ่าบาทเป็นคนจิตใจแคบจากปากลูกของเขา สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ”
[1] เผิงไหล ดินแดนแห่งสวรรค์บนดิน ตํานานเล่ากันว่าเผิงไหลเป็นที่อยู่ของแปดเซียนข้ามทะเล
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]
ตอนที่ 54 นอนบนชายหาดสามปีครึ่ง
“อะไรนะ เราคือคนค้าทาสที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้? อวิ๋นเยี่ยเราอยากจะสับเจ้าให้แหลกเป็นชิ้นๆ เสีย” เสียงร้องอย่างบ้าคลั่งของหลี่ซื่อหมินดังออกมาจากตำหนักเหลี่ยงอี๋ เขาคาดไม่ถึงว่ากิจการของฮองเฮาคือการค้ามนุษย์
นี่เป็นกิจการที่เก่าแก่มากอย่างหนึ่ง มันเริ่มขึ้นเมื่อมนุษย์รู้จักการแบ่งชนชั้นจึงได้มีกิจการนี้ขึ้นมา กิจการนี้ การค้าเนื้อ การจ้างนักฆ่าเป็นสามกิจการที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เพียงแต่ว่าชื่อไม่น่าฟังเสียเท่าไหร่ หลี่ซื่อหมินรู้ว่ามีสาวใช้ชาวเกาจู้ลี่และชาวซินหลัวจำนวนมากในฉางอัน คิดว่ามันเป็นชื่อเสียงของต้าถังที่ทำให้ผู้หญิงต่างแคว้นเหล่านี้มาทำมาหากินยังฉางอัน คิดไม่ถึงว่าจะมีฮองเฮาคอยผลักดันอยู่เบื้องหลัง
“ฝ่าบาทมองในแง่ร้ายเกินไป การค้าทาสเป็นสิ่งที่หม่อมฉันเอามาจากเจ้าคนพวกนั้น พี่ชายข้า แล้วยังมีตระกูลเฉิง ตระกูลฉิน เกือบจะแตกคอกันก็เพราะกิจการนี้ ท่านไม่รู้หรอกว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาที่ต้าถังอยู่ภายใต้การควบคุมของท่าน อำนาจแคว้นได้เฟื่องฟูขึ้น ได้ยินมาว่าภาษีการค้าคิดเป็นครึ่งหนึ่งของภาษีทั้งหมด ขอเพียงแค่ภาษีการค้ามีมากขึ้นภาระของท่านก็จะเบาลง ลดภาระบางส่วนให้กับเกษตรกรใต้หล้า ให้คนชั้นสูงได้ลิ้มรสชาติอันรุ่งโรจน์ แต่หากมีพ่อค้ามากขึ้น จำนวนเกษตรกรก็ไม่ควรลดลงเด็ดขาด ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าล้อมแคว้นเพื่อนบ้านเหล่านี้ ท่านพิชิตเกาชังและเซวียเหยียนถัวกลับมาพร้อมกับชัยชนะครั้งใหญ่ แต่ทำไมแม่ทัพเหล่านั้นจึงอยากจะได้เฉลยศึกแต่กลับไม่อยากได้เงินทองและไข่มุก เหตุผลก็คือที่บ้านไม่มีแรงงานคน คนในกวนจงไม่ยอมทำกิจการจึงไม่มีแรงงานมาทำงาน หากทำการค้ากับราษฎรต้าถังก็จะถูกท่านตัดหัว ดังนั้นจึงต้องขายให้คนต่างแคว้น หม่อมฉันกำลังกักตุนแรงงานเก็บขนแกะจำนวนมากสำหรับฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาถึง ต้องการแค่ผู้หญิงเท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้นกองภูเขาขนสัตว์ในฉ่าวหยวนก็จะมากองรวมกันที่เมืองฉางอัน ท่านจะทำอย่างไรหากไม่มีแรงงานคน จะให้หม่อมฉันพาคนในวังไปจัดการด้วยตัวเองตลอดเช่นนั้นไม่ได้หรอกนะ ตั้งแต่สมัยโบราณเป็นต้นมาฉ่าวหยวนเป็นหัวโจกที่ทำร้ายจงหยวน ท่านเป็นคนฉลาดที่มีไม้ตายที่จะโน้มน้าวคนป่าเถื่อนเหล่านั้นได้ แต่ไม่ใช่ว่าลูกหลานของท่านจะเป็นคนฉลาดทุกรุ่น เมื่อถึงเวลาก็ต้องพึ่งผลประโยชน์ มัดพวกเขาไว้บนรถม้าของเราให้แน่น เมื่อมีศัตรูก็ให้พวกเขาออกรับ เมื่อมีภัยพิบัติก็ให้พวกเขากั้นไว้ เช่นนี้เราถึงจะเต็มใจให้เขากินจนอิ่ม ดังนั้นหม่อมฉันจึงได้เข้ามาดูแลกิจการที่อันตรายเช่นนี้โดยไม่สนสิ่งใดทั้งนั้น และอีกอย่างกิจการนี้จะอยู่ภายใต้อำนาจของหม่อมฉันเท่านั้น ผู้หญิงชาวเกาจู้ลี่และซินหลัวจะไม่ถูกทรมานอย่างโหดร้ายจนเกินไป ท่านดูคนใต้บังคับบัญชาของท่าน นอกจากหม่อมฉันแล้วยังจะมีคนใจดีเช่นนี้อีกหรือ อวิ๋นเยี่ยเป็นคนจิตใจดีแต่เด็กคนนี้ไม่ได้สนใจความเป็นอยู่ของราษฎรต้าถัง แต่ถ้าท่านดูการกระทำของเขาในหลิ่งหนานท่านก็จะรู้ว่าเด็กคนนี้ไม่ถือว่าเป็นคนดี ได้ยินมาว่าเขาเอาคนมาตอกบนไม้ปักไว้จนเต็มเกาะ”
เมื่อฟังจั่งซุนพูดจบหลี่ซื่อหมินก็รู้สึกสบายใจขึ้นมามาก ที่ตัวเองทำสิ่งเหล่านี้ลงไปก็เพื่อเป็นการทำความดี เฉิงเหย่าจิน? จั่งซุนอู๋จี้? ฉินฉยง? คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่เปื้อนเลือดในสนามรบ ไม่นับว่าเป็นคนจิตใจดี
“เรื่องที่อวิ๋นเยี่ยเอาคนมาตอกไว้บนไม้ จากนี้ไปไม่ต้องพูดถึงอีก กองทัพที่กล้าบุกเข้ามาในดินแดนต้าถังของข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำเช่นนี้ยังถือว่าน้อยเกินไป หากข้าเป็นคนมาเจอ จุดจบของพวกเขาจะต้องโหดร้ายกว่านี้เป็นร้อยเท่า ดังนั้นการทำเรื่องนี้ไม่ได้ผิดแต่อย่างใด แต่เป็นผลงานที่ไม่เคยมีมาก่อน หากมีคนอยากจะพูดก็ให้เขามาพูดกับเรา หึๆ…”
จั่งซุนกัดเส้นด้ายที่อยู่ในมือจนขาด นำเสื้อคลุมนุ่มๆ ไปคลุมไว้บนตัวหลี่ซื่อหมิน นั่งลงกับพื้นจัดระเบียบชายผ้า จากนั้นเดินถอยหลังไปสองก้าว ปรบมือแล้วพูดว่า “ท่านสวมชุดคลุมผ้าฝ้ายได้พอดีตัวเป็นอย่างมาก เฉิงเฉียนส่งผ้าฝ้ายห้าสิบผืนเข้าไปในวัง บอกว่าให้เอามาใช้ทำเป็นเสื้อคลุมตัวนอก ผ้าทั้งอบอุ่นและเบา เมื่อมีมันแล้วท่านก็ไม่ต้องใส่ขนสัตว์หนักๆ เหล่านั้นอีก เป็นผ้าที่ดีมากจริงๆ ทำไมต้าถังจึงไม่มีของดีๆ เช่นนี้ ท่านเป็นโอรสสวรรค์ ท่านช่วยถามพระเจ้าทีว่า เหตุใดจึงได้มอบสิ่งดีๆ เช่น มันฝรั่ง ข้าวโพด และฝ้ายให้แก่คนป่าเถื่อนเหล่านั้น คนดีๆ อย่างพวกเรานั้นเมื่อต้องการฝ้ายก็ต้องไปสู่รบแย่งชิงเอามา”
คำพูดหยอกล้อของจั่งซุนทำเอาหลี่ซื่อหมินได้หัวเราะอย่างปลดปล่อย ยื่นมือไปจับมือจั่งซุนพาเดินออกไปข้างนอก หันกลับมายิ้มแล้วพูดว่า “เรามาทำวันตรุษจีนให้ดีกันดีกว่า พระสนมยินและคนอื่นๆ ออกแบบท่าเต้นรำและร้องเพลง ได้ยินมาว่าใช้โคมไฟสามร้อยตัว เราไปชมกันเสียหน่อย คืนนี้ข้ากับเจ้าไม่เมาไม่เลิก”
ซีถงฟื้นจากฤทธิ์เหล้า เอ่ยปากขอให้อวิ๋นเยี่ยเตรียมม้าสามตัวที่วิ่งเร็วที่สุดให้เขา เขาต้องการวิ่งกลับไปยังเหอเป่ยโดยไม่หยุดพัก ยกนิ้วขึ้นมาคำนวณคาดว่าภรรยาคนที่สิบเก้ากำลังจะคลอดบุตรแล้ว ไม่อาจรอช้าได้
ม้าของตระกูลอวิ๋นนอกจากวั่งไฉแล้วเขาสามารถใช้ได้โดยไม่ต้องขอ นอกจากลูกอมถุงใหญ่ ทองคำสี่ก้อน ที่เหลือเขาก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว สวมเสื้อคลุมหนังหมีตัวใหญ่ของอวิ๋นเยี่ย จากนั้นก็ควบม้าหายไปในกลุ่มควัน
วันนี้เป็นวันที่สองของตรุษจีน เป็นวันที่ลูกสาวต้องเดินทางกลับบ้าน ท่านอากลับมาพร้อมกับตั้งท้อง อวิ๋นเยี่ยเหลือบมองหลีสืออย่างไม่พอใจนัก ใบหน้าแก่ๆ ของหลีสือแดงก่ำ เอาแต่ก้มหน้าดื่มชา ท่านอาจึงบิดแขนของอวิ๋นเยี่ยแรงๆ หนึ่งที
อี้เหนียงก็กลับมาแล้ว ทันทีที่ก้าวเข้าประตูมาก็เอาไข่มุกบนหัวออกให้หมด กลับมาแต่งตัวเป็นลูกสาวคนเดิม ลากต้ายาไปที่หอซิ่วโหลวที่เมื่อก่อนเคยเป็นของตัวเอง ห้องนี้ว่างมาตลอด คนในตระกูลอวิ๋นมีน้อยแต่ห้องกว้าง จึงได้เก็บห้องของลูกสาวที่แต่งออกไปแล้วไว้ให้พวกนางเหมือนเดิม เมื่อเวลากลับมาก็จะนึกถึงความทรงจำดีๆ
พอรุ่นเหนียงกลับมาก็ร้องห่มร้องไห้ราวกับว่าไม่ได้รับความยุติธรรม อวิ๋นเยี่ยที่โกรธจัดดึงคอเสื้อของคุณชายรองตระกูลฉิน กำลังจะใช้ความรุนแรงก็ถูกรุ่นเหนียงดึงออกมา พยายามบอกว่าไม่ใช่ว่าตัวเองได้รับความไม่ยุติธรรม เพียงแต่ว่าคิดถึงบ้านมากเกินไป
“ทุกวันตอนเช้าต้องไปคารวะท่านพ่อกับท่านแม่ ก็ไม่ได้มีอะไร แต่ว่ายังต้องไปคารวะพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ จากนั้นก็ตามด้วยเอ้อร์เหนียง ซันเหนียง ซื่อเหนียง และคนสุดท้ายคือซินเหนียง ข้าขี้เซาไปหน่อยจึงไปสาย เอ้อร์เหนียงบอกว่าข้าไม่รักษากฎระเบียบ และยังพูดอีกว่าบ้านเราสอนข้ามาไม่ดี ขาดการอบรมสั่งสอนในครอบครัว ต้าเหนียงบอกว่าเอ้อร์เหนียงพูดมากจึงดึงหูนางไปหนึ่งที นางอยากจะไปกระโดดบ่อน้ำบอกว่าถูกรุ่นน้องรังแก และยังบอกอีกว่าเครื่องประดับบนหัวของนางไม่มีค่าเท่าเครื่องประดับของข้า ข้าจึงเอาปิ่นปักผมให้นาง แต่ก็ถูกนางโยนทิ้งไป”
ได้ยินรุ่นเหนียงฟ้องเช่นนี้ก็หันกลับไปมองคุณชายรองของตระกูลฉินที่เอาแต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จาอะไร อวิ๋นเยี่ยจึงพูดขึ้นมาว่า “หวยอิง นี่เป็นเรื่องครอบครัวเจ้าข้าจะไม่เข้าไปยุ่ง ข้าเป็นคนละเลยเรื่องการสอนวินัยให้แก่รุ่นเหนียง เมื่อตรุษจีนผ่านไปข้าจะไปกราบขออภัยนายท่าน”
ฉินหวยอิงหน้าแดง คำนับอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ เรื่องนี้ไม่โทษรุ่นเหนียง รุ่นเหนียงถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีในจวนตระกูลอวิ๋น แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ลูกพี่ลูกน้อง แต่ก็ถูกปฏิบัติมาเหมือนกับต้ายา ไม่เคยได้รับความไม่ยุติธรรมเมื่ออยู่ในบ้านหลังนี้ เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ทำให้นางไม่ได้รับความสำคัญในบ้าน เอ้อร์เหนียงเพียงแค่เห็นว่าข้าได้ภรรยาที่ดีกว่าน้องสามจึงเกิดความอิจฉา ผ่านไปหลายวันคงจะดีขึ้น”
อวิ๋นเยี่ยพยักหน้าแล้วพูดว่า “การที่เจ้าคิดได้เช่นนี้ถือว่าดีมาก เจ้าเองก็เรียนที่สำนักศึกษามาแล้วสามปี ข้าคิดว่าควรถึงเวลาแล้ว เจ้าควรจะมีประสบการณ์ในกองทัพสักหน่อย หากไม่ต้องการเป็นทหารเรือ หากต้องการเข้าร่วมกองทัพทหารล่ะก็ เจ้าลองเป็นทหารรักษาพระองค์ดีหรือไม่ หลังจากการประเมินแล้วข้าจะลองทาบทามเจ้าให้กับท่านผู้เฒ่าอวี้ฉือกง เจ้าจะไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่น จะต้องทำตามกฎระเบียบในฐานะผู้นำกองทัพเท่านั้น นี่คือตำแหน่งขุนนางระดับแปด ถือว่าเป็นกรณีพิเศษ เจ้ามีความเห็นอย่างไร”
ฉินหวยอิงยืนขึ้นด้วยความดีใจเตรียมจะคำนับขอบคุณ แต่เห็นรุ่นเหนียงดึงแขนอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ หวยอิงเป็นลูกศิษย์แถวหน้าของสำนักศึกษา หากอยากจะเข้าร่วมกองทัพไม่ว่าจะเป็นหน่วยไหนก็จะได้เป็นผู้บัญชาการเสมอ น้องอยากให้หวยอิงเป็นทหารเรือใต้บังคับบัญชาการของท่าน ติดตามเรือไปก็พอแล้ว น้องไม่อยากให้เขาอยู่ในสนามรบ”
อวิ๋นเยี่ยหัวเราะไม่ได้พูดอะไร ฉินหวยอิงบอกกับรุ่นเหนียงว่า “ไม่ต้องรบกวนพี่ใหญ่หรอก แค่ไปเป็นทหารรักษาพระองค์ก็ถือว่ายากแล้ว จะให้ไปเป็นทหารเรือทำไมให้พี่ใหญ่ต้องลำบาก เอาเช่นนี้แหละ ข้าไปเป็นทหาารรักษาพระองค์ ท่านลุงโหวและท่านลุงอวี้ฉือประจำการอยู่ที่ลั่วหยาง ข้าไม่มีวันลำบากหรอก เจ้าเองก็ไปลั่วหยาง พวกเราจะไปสร้างครอบครัวอยู่ที่นั่น”
เมื่อได้ยินว่าจะได้ใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง รุ่นเหนียงก็ดีใจขึ้นมา ลากฉินหวยอิงไปที่ห้องของตัวเอง มีเพียงท่านย่าที่เหลือบมองรุ่นเหนียงแต่ไม่พูดอะไร ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยพอใจ
“ท่านย่า ในครอบครัวใหญ่นั้นมีกฎอยู่มากมาย มีคนเยอะ เรื่องก็เยอะ ไม่จำเป็นต้องทะเลาะกัน แค่หลีกเลี่ยงกันก็พอแล้ว ให้ไปสร้างครอบครัวของตัวเองที่ลั่วหยาง สิ่งที่ข้าช่วยได้ก็จะช่วย หวยอิงเป็นคนมีความสามารถ เมื่อไปถึงที่นั่นก็จะมีชื่อเสียง ท่านเองก็รู้จักนิสัยของรุ่นเหนียงที่เป็นคนไม่คิดอะไรมาตั้งแต่เด็ก”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนเดินไปไกลแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ปลอบท่านย่าเบาๆ ไม่ให้ท่านย่าโกรธ
“ทั้งสองคนพากันมารบกวนเจ้า ย่ากังวลว่าจะส่งผลเสียต่อเจ้า เจ้าเป็นเสาหลักของครอบครัว จะถูกพังลงด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ไม่ได้ เด็กสาวคนอื่นๆ หากช่วยได้ก็ช่วย หากช่วยไม่ได้ก็ให้พวกนางยอมรับชะตากรรม วันที่ยากจนก็อยู่รอดมาได้ ย่าไม่เชื่อหรอกว่าในวันที่มั่งมีจะเอาชีวิตรอดไม่ได้”
อวิ๋นเยี่ยพยุงท่านย่ามาที่ห้องรับแขก ในห้องรับแขกมีคุณยายสองสามคน ท่านปู่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ที่นั่น ร่างกายของท่านย่าอ่อนแอลงมาก ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เข้าไปที่อุโบสถแต่กลับชอบพูดคุยดื่มชากับคนแก่เหล่านี้ บางครั้งอวิ๋นเยี่ยก็นั่งเป็นเพื่อนอยู่สักพัก ฟังพวกเขาคุยโม้ไปเรื่อย พูดเรื่องที่น่าสนใจในหมู่บ้าน เชื่อถือได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็มักจะพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก…
หลีสือดูภาพวาดเต่าของอวิ๋นเยี่ยในห้องหนังสือของเขา หยิบขึ้นมาทีละใบแล้วพยักหน้าแสดงถึงความพอใจ เขาไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยจึงเอาแต่โจมตีเส้นทางชีวิตของเต่า
สองเดือนแล้วที่ไม่ได้เห็นเขาวาด ฝีมือการวาดรูปเต่านี้ช่างงดงามยิ่งนัก เมื่อก่อนอวิ๋นเยี่ยเคยบอกเขาว่ามีคนเชี่ยวชาญการวาดเสือมาทั้งชีวิต มีคนวาดมังกร มีคนวาดลา มีคนวาดกุ้ง ส่วนคนที่วาดวัวนั้นกลับไม่มีใครพูดถึง ตัวเองตัดสินใจวาดภาพเต่า เมื่อถึงเวลาก็ชูนิ้วโป้งขึ้นมาชื่นชมพวกเขา ภาพวาดเต่าของอวิ๋นโหวมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ช่วยวาดภาพเต่ามอบให้แก่ผู้น้อยจะได้หรือไม่ เมื่อพู่กันเริ่มวาดลงไปก็จะมีเต่าที่สดใสร่าเริงอยู่บนกระดาษ ดูไร้เดียงสาและมีความหมายเป็นมงคล เป็นของขวัญที่หายากสำหรับญาติมิตร
เขามักจะคิดว่าคำพูดนี้ของอวิ๋นเยี่ยแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าจะมีการเสียดสีเล็กน้อย และรู้สึกเหมือนเป็นคนไม่ดี แต่ว่าการให้รูปเต่าในต้าถังนั้นถือเป็นสัญลักษณ์ของการมีอายุยืน ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม มอบให้ฮ่องเต้ก็ยังได้
เปิดไปเห็นรูปเต่าที่มาพร้อมกับบทกวี ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย เห็นบนกระดาษเขียนไว้ว่า นอนอยู่บนชายหาดมาสามปีครึ่ง วันนี้ตัวข้าถูกคลื่นซัดกระหน่ำจนหงายท้อง
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]
ตอนที่ 55 เทศกาลหยวนเซียว
ภายใต้สถานการณ์ที่ยิ่งใหญ่ถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การเก็บเกี่ยวที่ติดต่อกันมานานกว่าสามปี ทำให้ต้าถังมีรากฐานที่แข็งแรง อำนาจของราชวงศ์ก็แข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อนบ้านที่อยู่รอบๆ ต่างพากันยอมจำนนต่อเทียนเค่อหัน [2]พ่อค้าจำนวนนับไม่ถ้วนแห่กันออกมาจากพรมแดนของต้าถัง และเริ่มการบุกรุกครั้งที่สอง
ตำหนักว่านหมินที่สว่างไสวคืนนี้งดงามเป็นอย่างมาก แสงพระจันทร์กระทบลงบนหัวของมังกรดึกดำบรรพ์ ช่างงดงามราวกับพระราชวังบนสวรรค์ ราษฎรในฉางอันพากันอ้าปากค้าง ต่างมองดูด้วยสายตาหลงใหล
“งดงามใช่หรือไม่ ข้าเป็นคนทาสีของตำหนักว่านหมินเอง พวกเจ้าได้เห็นแค่โครงร่าง แต่ข้าเห็นมันทุกซอกทุกมุม พื้นของตำหนักล้วนแต่เป็นไม้สีทองดูราวกับทองคำ องค์ชายที่สามของตระกูลโจวค่อยๆ ถือกรวดขัดมันเองกับมือ ตั้งใจทำยิ่งกว่าเขียนคิ้วให้ภรรยาตัวเองเสียอีก”
“โม้อะไรกัน วันนี้ข้ากับฝ่าบาทดื่มเหล้าที่นี่ ได้ยินมาว่าแขกที่มาร่วมงานมีอายุรวมกันกว่าหมื่นปี บอกว่าจะมาแสดงความยินดีให้ต้าถังเจริญรุ่งเรือง”
“เหลวไหล ทำไมรวมกันได้หมื่นพอดี ไม่รู้ก็อย่าพูดจาเหลวไหล ไสหัวไปไกลๆ อย่ามาขัดขวางข้าดูทิวทัศน์ยามค่ำคืน”
“ได้ยินมาว่าหากไม่ถึงหนึ่งหมื่น ก็จะไปหาขุนนางมาเพิ่มอีก เอาให้ครบหนึ่งหมื่นจะไปยากอะไร ขุนนางต้าถังของเรามีเยอะกว่าสุนัขเสียอีก อยากจะหาใครสักคนที่เหมาะสมง่ายนิดเดียว”
อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่ในรถม้าฟังเสียงเอะอะโวยวายของราษฎรที่อยู่ข้างข้างนอก ใบหน้าของเขาดำปี๋ราวกับก้นหม้อ ถูกต้อง อวิ๋นเยี่ยก็คือคนที่จะเอาไปเพิ่มคนนั้น รวมกันแล้วไม่ครบหนึ่งหมื่นปี ตัวเองถูกขุนนางกรมพิธีกรรมเรียกตัวไปชั่วคราว บอกว่าอายุของเหล่ากั๋วกงมากเกินไป ภายในท่านโหวมีเพียงท่านเท่านั้นที่เหมาะสม ขาดไปแค่ยี่สิบปี เจ้าคือคนที่สวรรค์สร้างมาจริงๆ
คืนนี้ตระกูลอวิ๋นจัดกิจกรรมชมสวน สวนดอกไม้ของตระกูลอวิ๋นเปิดต้อนรับชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้าน ข้างในเต็มไปด้วยโคมไฟ ในโคมไฟมีปริศนา หากทายปริศนาถูกก็สามารถเอาโคมไฟกลับไปได้ แต่มีป้ายที่อวิ๋นเยี่ยเขียนเองกับมือแขวนอยู่หน้าสวน เขียนไว้ว่าว่าลูกศิษย์ของสำนักศึกษากับสุนัขห้ามเข้า
คืนเมื่อวานเปิดต้อนรับลูกศิษย์ของสำนักศึกษา สรุปคือโคมไฟในสวนไม่เหลือเลยสักอัน มืดสนิทราวกับบ้านผีสิง ลูกศิษย์ที่อยากได้โคมไฟที่ใช้ด้ายสีแดงคลุมของตระกูลอวิ๋นเตรียมกลับมาอีกในคืนนี้ ใครจะคิดว่าเขาไม่อนุญาตให้เข้าไปข้างในแล้ว
ฟังเสียงของเด็กน้อยที่กำลังทายปริศนาอยู่ในสวน พวกเขาก็กระวนกระวาย โง่จริงๆ หลิวปังหัวเราะ หลิวเป้ยร้องไห้ ปริศนานี้ยังต้องทายอีกหรือ เซี่ยงอวี่ตายแล้วหลิงปังหัวเราะ กวนอวี่ตายแล้วหลิวเป้ยร้องไห้ ตัวอักษรอวี่กับสื่อรวมกันก็คือชุ่ยไม่ใช่หรือ ไม่รู้ว่าเป็นคนโง่ของตระกูลไหนทายเป็นคำว่าหลิงของหลิงหลง หวังหลิ่งคือใครกัน
กระโดดตะโกนกันอยู่นอกสวน แม้แต่กับพวกหญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงามของตระกูลอวิ๋นก็ยังไม่มีอารมณ์จะเหลียวมองดู ไม่ว่าผู้หญิงเหล่านั้นจะแต่งตัวสวยสง่าแค่ไหนก็ตาม
เด็กอ้วนคนหนึ่งถือโคมไฟออกไปจากสวนดอกไม้อย่างเย่อหยิ่ง เอาโคมไฟให้แม่ของตัวเองที่นั่งกินดื่มอยู่กับเหล่าผู้หญิง จากนั้นเขาก็วิ่งกลับเข้าไปในสวนอีกครั้งท่ามกลางเสียงชื่นชมของเหล่าฮูหยิน กะจะกลับไปเอาโคมไฟของตระกูลอวิ๋นมาให้หมด
ลูกศิษย์ของสำนักศึกษามองดูโจทย์คณิตศาสตร์ง่ายๆ ที่เขียนอยู่ข้างบนแล้วตบหน้าผากของตัวเองเบาๆ มองดูองครักษ์ที่เฝ้าประตูแล้วพูดว่า “ข้าจะเข้าไปข้างใน ตระกูลอวิ๋นไม่ยุติธรรม เมื่อวานโคมไฟของพวกเรามีแต่ประโยคที่คลุมเครือและเข้าใจยาก ล้วนแต่เป็นโจทย์คณิตที่อาจารย์ไฮปาเทียไม่เคยสอนมาก่อน เหตุใดวันนี้ถึงมีแต่โจทย์ง่ายๆ เช่นนี้”
องครักษ์เฝ้าประตูที่ถูกมองไม่นึกโกรธเคืองอะไร เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “พวกท่านล้วนแต่เป็นคนที่มีความรู้ คำถามก็ต้องยากกว่าอยู่แล้ว วันนี้คนที่มามีแต่พวกชาวบ้านและเด็กๆ คำถามก็ต้องง่ายหน่อย ถึงแม้ว่าจะเป็นคำถามที่ยาก แต่พวกเจ้าก็เอาโคมไฟของตระกูลเราไปจนหมดไม่ใช่หรือ ที่บ้านมืดมิดทั้งคืน
ท่านดูสิ คุณหนูของตระกูลหันกำลังยักคิ้วหลิ่วตาให้ท่าน ท่านไม่ไปพูดคุยกับนางหน่อยหรือ ผู้หญิงของตระกูลเราล้วนแต่เป็นหญิงที่สะอาดบริสุทธิ์ เห็นว่าท่านใช้ชีวิตไปวันๆ หากได้แต่งกับคุณหนูตระกูลหัน สินสอดทองหมั้นของนางอาจจะทำให้ท่านมีเงินใช้ไปตลอดชีวิต”
ดูเหมือนว่าลูกศิษย์จะสังเกตเห็นผู้หญิงที่แต่งตัวงดงามและกำลังดื่มชากินขนมพวกนั้นแล้ว พวกเขาเกิดความสนใจขึ้นมาทันที พวกเขารู้จักชื่อเสียงของตระกูลอวิ๋นอยู่แล้ว ผู้หญิงพวกนั้นจะต้องเป็นผู้หญิงที่ดีแน่นอน ผู้หญิงที่ได้รับการอบรมจากฮูหยินของท่านโหว ลูกสาวของตระกูลทั่วไปไม่มีทางเทียบได้ แล้วอีกอย่าง มีอัญมณีของของหลี่จิ้งอยู่ข้างหน้า เหล่าลูกศิษย์ต่างโหยหาความรักที่หรูหราเช่นนี้ หากแต่งกลับไปเป็นภรรยาที่บ้านสักคนคงไม่เลว
ถูๆ ที่ใบหน้า กระแอมนิดหน่อย เห็นคนที่ถูกใจก็เดินเข้าไปข้างหน้า หยิบขนมที่อยู่ในชามของนางเข้าปาก กัดสองสามทีแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “นกน้อยบินว่อน บินไปพักผ่อนริมแม่น้ำ หญิงงามที่เพียบพร้อม คือคู่ชีวิตของสุภาพบุรุษ ไม่ทราบว่าแม่นางอายุเท่าใด เคยแต่งงานกับใครแล้วหรือไม่”
แน่นอนว่าคำตอบที่ได้กลับมาไม่เหมือนกัน บางคนถึงกับถูกตบที่หน้า ผู้หญิงของตระกูลอวิ๋นไม่ใช่สาวใช้ที่ขายตัวเข้ามาอยู่ในจวน พวกนางล้วนเป็นผู้หญิงที่มีอิสระ เป็นผู้หญิงที่มีความสามารถ ผู้หญิงในกวนจงมีนิสัยอารมณ์ร้อน เห็นแล้วถูกชะตาก็ดีไป แต่หากไม่ถูกชะตา พวกนางไม่เคยลังเลที่จะตบเข้าให้
ความสุขอยู่ที่จวนของตระกูลอวิ๋น ส่วนอวิ๋นเยี่ยที่อยู่ในตำหนักว่านหมินนั้นเหมือนตายทั้งเป็น อยู่กับชายเฒ่าเหล่านั้น ชายเฒ่าสายตาพร่ามัวก็มี พูดได้สองประโยคก็ต้องนอนพักก็มี เสียงตดเสียงเอะอะโวยวายไม่เคยแผ่ว คนที่อายุน้อยหน่อยก็เอาแต่ดื่มเหล้ากินเนื้อ ไม่สนใจว่าว่าขุนนางกรมพิธีกรรมจะพูดอะไร ชายเฒ่าเหล่านี้ล้วนแต่ถูกต้าถังตามใจจนเคยตัว งานเลี้ยงยังไม่ทันเริ่มก็วุ่นวายกันแล้ว
“ไอ้หนุ่ม มานี่ มาฉีกไก่ตัวนี้ให้ข้า” ชายเฒ่าที่อยู่ข้างๆ ยื่นไก่ตัวอ้วนมาให้อวิ๋นเยี่ยและสั่งให้อวิ๋นเยี่ยฉีกให้ตัวเองอย่างเย่อหยิ่ง
“ขอบพระคุณขอรับ แต่ข้าน้อยไม่หิว ท่านกินเถอะขอรับ!” อวิ๋นเยี่ยคิดว่าชายเฒ่าจะแบ่งไก่ให้ตัวเองครึ่งตัว เพราะว่าบนโต๊ะก็ยังมีไก่อยู่แล้วหนึ่งตัว
ชายเฒ่าเบิกตาแล้วพูดว่า “ใครจะแบ่งให้เจ้า ไก่ทั้งตัวข้ากินลำบาก กินครึ่งหนึ่งก่อน เหลือไว้ครึ่งหนึ่ง พรุ่งนี้ค่อยกินต่อ ลูกชายของข้าเป็นถึงซูพั่นของเขตฉางอัน”
ถึงแม้ว่าอยากจะเขวี้ยงไก่ทั้งตัวลงที่หน้าของชายเฒ่าซูพั่น แต่เมื่อเห็นท่าทางที่มีความสุขของหลี่ซื่อหมิน อวิ๋นเยี่ยไม่กล้าทำให้เขาไม่พอใจ อวิ๋นเยี่ยกัดฟันฉีกไก่ให้ชายเฒ่าคนนั้น แอบถ่มน้ำลายใส่เข้าไปข้างในแล้วยื่นให้ชายเฒ่า
ก่อนที่ชายเฒ่าจะให้อวิ๋นเยี่ยหาก้างปลาให้เขา อวิ๋นเยี่ยรีบลุกขึ้นและเดินไปที่ห้องเดี่ยวเล็กๆ ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เขายอมที่จะไปรับใช้เหยียนจือทุย แต่ก็ไม่ยอมนั่งโต๊ะเดียวกันกับชายเฒ่าจอมปลอมคนนั้น
เหยียนจือทุยสถานะสูงส่ง แน่นอนว่าเขามีโต๊ะเป็นของตัวเอง กำลังจะงีบหลับ เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามาเขาก็พอใจเป็นอย่างมาก ผลักเนื้อหมูอ้วนๆ ออกไปให้เขาแล้วพูดว่า “ไอ้หนุ่ม รีบกิน เนื้อชั้นดีเช่นนี้ ตอนนั้นฝานไคว่ก็เคยกินของสิ่งนี้ แล้วยังกินแบบดิบๆ เจ้าช่างโชคดี ข้าอยากกินมาตั้งนานแต่ไม่มีฟันจึงทำได้แค่ถอนหายใจ ของสิ่งนี้ต้องกินให้ได้รสชาติ รีบกินเร็วเข้า”
อวิ๋นเยี่ยก็หิวแล้วจริงๆ เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รับมันมากินทันที ทันใดนั้นเนื้อหมูทั้งชามก็ลงไปในท้องของเขาอย่างรวดเร็ว มีไขมันแต่ไม่เลี่ยน กรอบนุ่มละลายในปาก ช่างเป็นของดีจริงๆ
เหยียนจือทุยกลืนน้ำลายและพูดว่า “เป็นเช่นไร ข้าพูดไว้ไม่ผิดใช่หรือไม่ อาหารในพระราชวังก็มีแค่สิ่งนี้ที่ข้าชอบกิน ที่เหลือก็เหมือนกันหมด” ชายเฒ่าอายุยิ่งมากยิ่งเหมือนเด็กน้อย อวิ๋นเยี่ยชอบชายเฒ่าผู้นี้ทีเดียว
เขาหยิบลูกอมนมออกมาจากแขนเสื้อ เอาให้เหยียนจือทุยกินเม็ดหนึ่ง ชายเฒ่าชอบเป็นอย่างมาก เขาโยนลูกอมนมเข้าไปในปากที่ไม่มีฟันของตัวเองสามเม็ด กินเต็มปากเต็มคำ หลับตาดื่มด่ำกับกลิ่นหอมของนม แล้วยังไม่ลืมที่จะเอาส่วนที่เหลือใส่เข้าไปในแขนเสื้อของตัวเอง ตบที่แขนเสื้อเบาๆ ด้วยความเคยชิน รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก
ไม่รู้ว่าใครตะโกนออกมา “แสดงความยินดีกับต้าถังที่ยิ่งใหญ่” อวิ๋นเยี่ยก็หยิบจอกเหล้าขึ้นมาดื่ม ยังไม่ทันได้วางจอกลงก็มีคนตะโกนขึ้นมาอีกว่า “ขอให้ฝ่าบาทอายุยืนยาว!” อวิ๋นเยี่ยจึงต้องหยิบจอกเหล้าขึ้นมาดื่มต่อ
จอกเหล้าที่ทำมาจากทองสำริดยาวกว่าหนึ่งฟุต ข้างบนมีหูสองข้าง ใช้สองมือยกขึ้นมายังรู้สึกหนัก ไม่รู้ว่าหูสองข้างนั้นมีไว้เพื่ออะไร แค่รู้สึกว่ามันแทงเข้าไปในรูจมูกทุกครั้ง รู้สึกรำคาญเป็นอย่างมาก
เหยียนจือทุยนอนหลับอีกแล้ว ในปากยังมีลูกอมนมอยู่ ไม่กล้ารบกวนเขา ถึงแม้ว่ามังกรไฟในตำหนักจะลุกโชนแค่ไหน อวิ๋นเยี่ยก็ยังเอาเสื้อคลุมของตัวเองคลุมให้ชายเฒ่า ตัวเองค่อยๆ จิบรสชาติของเหล้าองุ่น แล้วยังสั่งให้ขันทีเอาน้ำแข็งมาให้ตัวเอง เหล้าองุ่นไม่ใส่น้ำแข็งมันไม่ค่อยมีรสชาติ
เขาจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ อยู่เฉยๆ อาจจะทำให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ สำหรับตำหนักว่านหมินนั้น อวิ๋นเยี่ยเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตอนนั้นกงซูเจี่ยไม่อนุญาตให้เขาเข้าใกล้ตำหนักนี้ บอกว่าเขาเป็นตัวซวยของการสร้างตำหนัก โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ยินว่าอวิ๋นเยี่ยระเบิดตำหนักห้องนอนของหลี่ซื่อหมินโดยไม่ได้ตั้งใจ เขายิ่งออกคำสั่งห้ามอวิ๋นเยี่ยอย่างเด็ดขาด นั่นก็คือไม่อนุญาตให้อวิ๋นเยี่ยพูดคำว่าตำหนักว่านหมินคำนี้
วันนี้กงซูเจี่ยไม่อยู่ เขาไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้ เหล่าขันทีที่สวมหมวกสีดำกำลังยุ่งอยู่ในห้องโถง นางรำที่สวมชุดสีสันสวยงามกำลังเต้นรำ หลี่ซื่อหมินดื่มเหล้าอย่างมีความสุขอยู่บนที่นั่งที่สูงที่สุด ระฆังทั้งสองข้างของห้องโถงดึงดูดความสนใจของอวิ๋นเยี่ยขึ้นมา
นักดนตรีหญิงที่ถือค้อนเล็กๆ อยู่ในมือ เอียงหูฟังเพลงและเคาะเป็นจังหวะ หลี่ซื่อหมินขี้งก ระฆังควรเป็นทองสำริดไม่ใช่หรือ ทำไมระฆังของตำหนักว่านหมินถึงเป็นหินหยกได้เล่า
เขาหยิบถ้วยทองสำริดในมือไปเคาะไปที่หยกด้วยความอย่างรู้อยากเห็น เสียงที่ใสและไพเราะดังออกมา เดิมทีคิดว่าท่ามกลางบรรยากาศที่วุ่นวายเช่นนี้ใครจะมาฟังเพลง ทุกคนล้วนแต่มากิน มาดูสาวงามกันทั้งนั้น จะมีเพลงหรือไม่มีเพลงก็ไม่ต่างกัน
นักดนตรีหญิงคนนั้นตกใจจนหน้าซีด มองมาที่อวิ๋นเยี่ยด้วยน้ำตา ขอร้องให้เขารีบออกไป การรบกวนบทเพลงคือความผิดที่ร้ายแรง
ต่างว่ากันว่าเล่นดนตรีผิดนิดหน่อย โจวหลางก็ฟังออก ตอนนี้หลี่หลางก็ไม่น้อยหน้า หลี่ซื่อหมินที่กำลังดื่มเหล้าอยู่มองมาที่เสียงระฆังทันที เขาเห็นอวิ๋นเยี่ยเมาเหล้าถือจอกตีระฆัง
หลี่ซื่อหมินยิ้มออกมา แต่ว่าความเย็นชาในสายตาของเขาก็ปรากฏขึ้นมาด้วย บึนปากใส่จั่งซุน จั่งซุนเห็นแล้วก็ตกใจจนอ้าปากค้าง ตอนนี้คนที่ตีระฆังอยู่ไม่ได้มีแค่อวิ๋นเยี่ยคนเดียว เหยียนจือทุยที่นอนหลับพึ่งตื่นก็ถือจอกเหล้าตีระฆังด้วย…
[1] เทศกาลหยวนเซียว เป็นการฉลองค่ำคืนแรกของปีตามปฏิทินจันทรคติจีน หยวนเซียว แปลว่า “ค่ำคืนแรก” มีความหมายว่าค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวงเป็นครั้งแรกหลังจากขึ้นปีใหม่หรือตรุษจีนนั่นเอง
[2] เทียนเค่อหัน มีความหมายว่า ข่านแห่งสวรรค์ ในที่นี้หมายถึงหลี่ซื่อหมิน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น