พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1728-1736

 บทที่ 1728 หนึ่งแสนสองหมื่นคน

 

ในมือคนคนนั้นถือแผ่นหยกไว้แล้ว ขณะที่ตรวจอ่านเนื้อหในแผ่นหยก ก็สำรวจเปรียบเทียบผู้สมัครไปด้วย จากนั้นก็ให้ผู้สมัครลงตราอิทธิฤทธิ์บนแผ่นหยกอีกครั้ง แล้วโยนแผ่นหยกเข้าไปในทางเล็กๆ ข้างหลัง ไม่รู้ว่าแผ่นหยกไหลไปไหนอีกแล้ว


คนที่นั่งด้านหลังโต๊ะยาวยื่นมือบอกใบ้ให้ผู้สมัครเข้าไปยังด่านต่อไปอีก


ผู้สมัครทำได้เพียงปฏิบัติตาม เดินเข้าไปเปิดม่านอีกครั้งเพื่อเข้าไปยังทางใต้ดินอีกช่วงหนึ่ง มาถึงห้องเล็กห้องที่สาม แต่ในห้องนี้มีทางเข้าออกเจ็ดทาง ข้างในมีคนยืนเอามือไขว้หลังอยู่หนึ่งคน ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นช่างไม้นั้นเอง


ช่างไม้พยักหน้าเบาๆ ให้ผู้สมัคร แล้วยื่นมือบอกใบ้ว่าข้างๆ มีประกาศตั้งอยู่ ประกาศบอกว่าการสัมภาษณ์ของผู้สมัครสิ้นสุดแล้ว เพื่อปกป้องตัวตนของผู้สมัคร ไม่ให้เกิดปัญหายุ่งยากต่อผู้สมัคร เชิญสวมใส่หน้ากากปลอมตัวอีกครั้งได้ตรงนี้ สามารถออกไปได้ตามทางที่ระบุไว้ เดินตามทางใต้ดินที่กำหนดเพื่อออกจากตลาดผีและกลับไปยังสถานที่ของตัวเอง รอให้ทางนี้คัดเลือกเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกก็จะได้รับแจ้งก่อนที่การรับสมัครจะสิ้นสุดลง แต่ถ้าไม่ได้รับแจ้งก็ขออภัยด้วย


ผู้สมัครพูดไม่ออก ตั้งแต่เข้ามาในจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ก็ไม่ได้พูดอะไรสักประโยค เท่ากับเดินผ่านทางใต้ดินรอบหนึ่ง สัมภาษณ์เสร็จเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?


ขณะที่ผู้สมัครสวมหน้ากากปลอมตัวเงียบๆ ที่ทางเข้าออกทางอื่นก็มีคนเข้าออกจำนวนมาก หลังจากอ่านสิ่งที่อยู่บนประกาศแล้ว คนพวกนั้นก็งงเช่นกัน


หลังจากปลอมตัวเสร็จ ผู้สมัครก็ออกไปตามทางที่กำหนด เป็นทางใต้ดินอีกช่วงหนึ่ง พอเดินออกจากทางใต้ดิน ก็พบว่าตัวเองเข้ามาอยู่ส่วนในของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีแล้ว จากนั้นเดินขึ้นไปบนตึกตลอดทางโดยมีกำลังพลของกองทัพองครักษ์คอยชี้บอกอยู่ตลอดสองข้างทาง ไม่สะดวกจะบุกไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้า ทำได้เพียงเดินตามทางที่ระบุไว้


ผู้สมัครเดินตามทางขึ้นไปบนตึก หลังจากออกจากประตูใหญ่ ก็พบว่ามาถึงด้านนอกของตลาดผีแล้ว เดินออกจากทางใต้ดินแล้ว พอหันกลับมาอีกครั้ง ก็เห็นว่าข้างหลังมีคนเดินออกมาไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าตัวเองไม่ใช่ข้อยกเว้น เพื่อนร่วมงานก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ผู้สมัครถอนหายใจเบาๆ นึกไม่ถึงว่าจะมีคนมาสมัครมากขนาดนี้ ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองจะผ่านหรือไม่ เพียงแต่มาตรการนี้ในแม่ทัพภาคตลาดผีกลับทำลายความระแวงของเขาแล้วไม่น้อย ไม่ต้องกังวลว่าหากตัวเองไม่ผ่านการสมัครแล้วจะโดนเปิดโปงตัวตนจนคนของเขตเดิมจับได้ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีแสงสว่างขมุกขมัวแล้วพุ่งจากไปเลย


มีคนเข้าจวนแม่ทัพภาคผ่านทางใต้ดินของตลาดผีไม่ขาดสาย แล้วก็มีคนออกจากทางบนพื้นดินของจวนแม่ทัพภาคไม่น้อยเช่นกัน จากไปคนแล้วคนเล่าอย่างรวดเร็ว


ถึงแม้ผู้สมัครจะออกไปอย่างรวดเร็ว จำนวนที่จากไปก็ไม่น้อยด้วย แต่ก็ลดจำนวนคนที่ตลาดผีไม่ได้เลย


ในจวนแม่ทัพภาค หยางเจาชิงรับผิดชอบคุ้มกันส่งแผ่นหยกสัมภาษณ์หลายกองด้วยตัวเอง นำมาส่งในห้องห้องหนึ่งเพื่อแจกจ่ายให้แต่ละคนที่นั่งอยู่ในนี้


บัณฑิตรวบรวมคนแถวหนึ่งไปนั่งอยู่ตรงนั้น ทุกคนกำลังรีบตรวจอ่านแผ่นหยกสัมภาษณ์คนละแผ่น ขณะเดียวกันก็หยิบแผ่นหยกอีกแผ่นขึ้นมาด้วย แล้วรีบร่ายอิทธิฤทธิ์บันทึกชื่อและวรยุทธ์ของผู้สมัครอย่างรวดเร็ว แบ่งหมวดหมู่แผ่นหยกที่อ่านแล้วไว้บนโต๊ะของแต่ละคน วรยุทธ์เท่ากันกองไว้ด้วยกัน พอกองซ้อนกันจนล้นแล้ว บัณฑิตที่เดินไปเดินมาก็จะแบ่งหมวดหมู่ใส่ไว้ในกำไลเก็บสมบัติแต่ละวงอีก


หลังจากสมาชิกที่ตรวจอ่านเขียนบันทึกแผ่นหยกเสร็จแล้ว ก็จะส่งไปถึงมือบัณฑิตทันที บัณฑิตจะนำมาตรวจอ่านอยู่ข้างๆ และจัดทำสถิติ


หยางเจาชิงไม่กล้ารบกวนคนในห้อง เพราะรู้ว่ามีคนน้อย ทุกคนมีงานต้องทำเยอะมาก แล้วบางอย่างก็ไม่สะดวกจะส่งต่อให้คนอื่นทำด้วย ดังนั้นเขาจึงพยายามเข้าออกด้วยเสียงเบาที่สุด จะได้ไม่ทำให้ทุกคนเสียสมาธิ


หยางเจาชิงเพิ่งจะออกจากห้องไปได้ไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็นำเชียนเอ๋อร์เข้ามาแล้ว พวกนางเดินย่องเข้ามา ไม่ได้รบกวนทุกคน


บัณฑิตเงยหน้ามองแวบหนึ่ง แล้วลุกขึ้นยืนทันที ขณะกำลังจะทำความเคารพ อวิ๋นจือชิวที่กวาดตามองรอบห้องก็โบกมือบอกเป็นนัยว่าไม่ต้องมากพิธี


บัณฑิตยังคงถ่ายทอดเสียงถามว่า “เถ้าแก่เนี้ย มีธุระอะไรเหรอ?” ถึงแม้ภายนอกกลุ่มคนงานของโรงเตี๊ยมเมฆาวายุจะเรียกอวิ๋นจือชิวว่าฮูหยิน แต่คำเรียกที่เรียกมานานแล้ว พอเปลี่ยนคำเรียกก็รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย เมื่ออยู่ส่วนตัวก็ยังเรียกเถ้าแก่เนี้ยเหมือนเดิม ส่วนอวิ๋นจือชิวก็เห็นว่าเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนคนพวกนี้โดยสิ้นเชิง บางครั้งก็ยังหลุดเรียก ‘เถ้าแก่เนี้ย’ ออกมา สุดท้ายจึงไม่ฝืนแล้ว เพราะฟังไปฟังมาก็รู้สึกว่าใช้คำ ‘เถ้าแก่เนี้ย’ กับคนงานเก่าพวกนี้แล้วดูสนิทกันมากกว่า แต่ก็ยังย้ำไว้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นต้องเปลี่ยนคำเรียก


อวิ๋นจือชิวมองคนงานที่กำลังยุ่งอีกครั้ง แล้วกวักมือให้เขา บอกใบ้ว่าให้ออกมาคุยกัน จากนั้นหันตัวเดินออกไป


บัณฑิตรีบตามออกไป แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “เถ้าแก่เนี้ย เป็นอะไรไปขอรับ?”


อวิ๋นจือชิวหยุดยืนตรงทางใต้ดินข้างนอก แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ต้องเริ่มลงมือสืบตัวตนของผู้สมัครแล้ว ถ้ามัวชักช้าอีก เวลาเดิมพันจำกัดเพียงหนึ่งปี กลัวว่าจะไม่ทัน เจ้าจำแนกวรยุทธ์ของแต่ละคนไว้หรือยัง?”


บัณฑิตเข้าใจแล้ว ตอนแรกที่พบว่าผู้สมัครมีมากขึ้นเรื่อยๆ ก็กำหนดภาพรวมเบื้องต้นได้แล้ว ว่าสาเหตุที่ภายในหนึ่งเดือนแรกงานยุ่งขนาดนี้ ก็เพราะต้องจัดการข้อมูลขั้นต้นก่อน ต้องเริ่มตรวจสอบว่าเป็นคนจากหน่วยงานไหน แล้วคนที่มาสมัครก็มีเยอะเกินไป ถ้าจะให้ตรวจสอบทีละคนก็ฟังดูไม่ค่อยสอดคล้องกับความจริง ไม่ใช่งานที่กำลังคนจำนวนน้อยเท่านี้ทำได้ ทำได้เพียงเริ่มตรวจสอบจากคนที่วรยุทธ์สูงสุดลงไป


และภายในหนึ่งเดือนนี้ เหมียวอี้ก็เตรียมคนงานที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบเอาไว้แล้วเช่นกัน ถ้าสามารถใช้เส้นสายได้ก็ต้องใช้


“เถ้าแก่เนี้ย วรยุทธ์ที่ต่ำกว่าบงกชรุ้งเกรงว่าจะไม่ต้องพิจารณาแล้ว” บัณฑิตนำแผ่นหยกขึ้นมาอ่านข้อมูลสรุปพร้อมเอ่ยบอก


“หรือว่าแค่นักพรตระดับบงกชรุ้งก็ครบหนึ่งแสนแล้ว?” อวิ๋นจือชิวถาอมย่างตกใจ


บัณฑิตพยักหน้า “นักพรตระดับบงกชรุ้งในข้อมูลสรุปตอนนี้มีเกือบแสนสองหมื่นคนแล้ว”


อวิ๋นจือชิวสูดหายใจอย่างตกตะลึง “นักพรตบงกชรุ้งโผล่มจากไหนมากมายขนาดนั้น? ในบรรดาเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดินจะมีนักพรตบงกชรุ้งมากขนาดนั้นเชียวเหรอ?”


บัณฑิตตอบว่า “ตอนแรกข้าก็ตกใจเมือนกัน แต่พอมาคิดดูตอนหลัง ดาราจักรกว้างใหญ่ขนาดนั้น ใต้หญ้าขนาดนั้น เดิมทีนักพรตระดับล่างสุดก็มีจำนวนเยอะที่สุดอยู่แล้ว พวกเราไม่ได้เลือกจากสถานที่เดียว แต่เลือกจากทั้งใต้หล้า ได้เปรียบกว่าสี่อ๋องสวรรค์ ถึงขั้นได้เปรียบว่าทั้งตำหนักสวรรค์ด้วยซ้ำ ต่อให้กองทัพองครักษ์รับสมัครคน แต่ก็เกรงว่าจะไม่สะดวกเหมือนพวกเราในครั้งนี้ ถ้าสี่ทัพฝืนไม่ให้กองทัพองครักษ์ กองทัพองครักษ์ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี แต่พวกเราได้รับอนุญาตจากอำนาจทุกฝ่ายของตำหนักสวรรค์แล้ว วีรบุรุษในใต้หล้าถึงได้มาเบียดรวมตัวกันที่นี่ ถ้าท่ามกลางนักพรตที่โดนบีบคั้นทั้งใต้หล้ามีไม่ถึงแสนกว่า แบบนั้นสิแปลก เถ้าแก่เนี้ย นายท่านรับสมัครคนได้โหดมากจริงๆ!”


อวิ๋นจือชิวพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง นางไม่ได้บอกว่านี่คือความคิดของหยางชิ่ง ได้แต่ขมวดคิ้วถามว่า “นี่แค่หนึ่งเดือน มีนักพรตบงกชรุ้งมาแสนสองหมื่นแล้วเหรอ แล้วถ้าหนึ่งปีจะไม่แย่หรอกเหรอ?”


บัณฑิตตอบว่า “เถ้าแก่เนี้ยคิดมากไปแล้ว ข้าเห็นการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลในหนึ่งเดือนนี้ชัดเจน เวลาที่นักพรตบงกชรุ้งมาเยอะที่สุดก็คือช่วงกลางของหนึ่งเดือนนี้ ตอนนี้ข้อมูลที่ปรากฏกำลังดิ่งลดลงแล้ว ข้าลองวิเคราะห์ดู เวลาหนึ่งเดือนนี้เพียงพอให้นักพรตบงกชรุ้งเดินทางข้ามดาราจักร คนที่ควรจะมาก็มากันหมดแล้ว ส่วนคนที่ไม่มาก็เห็นได้ชัดว่ายังมีความเคลือบแคลงต่อตลาดผี คาดว่าตอนหลังคงมีไม่มาไม่เยอะแล้ว เวลาหลังจากนี้ยังอีกนาน ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นน่าจะไม่มากเท่าไรแล้วขอรับ”


อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “มีเหตุผล”


บัณฑิตถามอีก “ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้มาเยอะกว่านี้ พวกเราก็จะเลือกจ้างคนที่มาก่อน เลือกจากคนที่วรยุทธ์สูงไล่ลงไปก็พอ”


“ตอนหลังยังไม่ต้องไปยุ่งหรอก เดี๋ยวเจ้านำของนักพรตบงกชรุ้งแสนสองหมื่นคนนี้มาก่อน ข้าจะเร่งทำสำเนาเก็บไว้” อวิ๋นจือชิวกำชับ แล้วกล่าวเสริมอีก “เออใช่ ครั้งก่อนเจ้าบอกว่ามีนักพรตระดับบงกชกลายมาสองคน สอบถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์หรือยัง มีจุดไหนน่าสงสัยมั้ย?”


บัณฑิตกระพริบตาปริบๆ “ตอนนี้มีผู้สมัครระดับบงกชกลายทั้งหมดยี่สิบสามคนขอรับ”


“…” อวิ๋นจือชิวเบิกตากว้างครู่หนึ่ง แล้วเผยอปากอันเย้ายวนเล็กน้อย ดูน่ารักมาก แล้วสุดท้ายก็ถลังตาถาม “ทำไมเจ้าไม่บอกให้เร็วกว่านี้?”


บัณฑิตไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เถ้าแก่เนี้ย ท่านบอกเองว่าให้ข้ารวบรวมสมาธิ จะให้ข้า…”


อวิ๋นจือชิวพูดตัดบท “หุบปาก! เจ้ายังมีเหตุผลมาเถียงอีกเหรอ คิดบัญชีจนเลอะเลือนแล้วสินะ? ใช้ชีวิตมาตั้งหลายปี เอาประสบการณ์เข้าท้องหมาไปหมดแล้วเหรอ ไม่รู้จักพลิกแพลงเลยนะ!”


“ได้ ข้าเลอะเลือนเองก็ได้?”


“เข้าไม่ยอมเหรอ?”


“ข้าจะไม่ยอมได้ยังไง ข้ายอมอย่างหมอบราบคาบแก้วเลย” บัณฑิตกุมหมัดค้อมกายขอร้อง เขารู้จักท่านนี้ดีเกินไป ถ้ากล้าเถียงกับนาง ผลที่ตามมาก็ร้ายแรงมาก


เชียนเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ แอบหัวเราะ ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ตั้งแต่ข้างบนยันข้างล่างรวมทั้งนายท่าน ไม่มีใครที่ไม่กลัวฮูหยิน นางคือแบบฉบับของเสือตัวเมียเลยล่ะ!


ก่อนหน้านี้นางรู้สึกว่าฮูหยินทำกับนายท่านเกินไป ตอนหลังเมื่อมาสืบแล้วถึงได้รู้ ว่าในปีนั้นตอนที่ฮูหยินยังเป็นแม่นางน้อยอยู่ที่นภาจอมมาร ก็ได้ฉายาว่าเป็นนางมารผู้เลื่องชื่อ มักจะทำให้นภาจอมมารไก่บินเตลิดหมาวิ่งพล่าน ตอนนี้แต่งงานแล้วก็นับว่าดีขึ้นเยอะ


“เชอะ!” อวิ๋นจือชิวถลึงตามองเขา “ยังมัวยืนทำอะไรอยู่ตรงนี้? รอตบรางวัลเหรอ?”


บัณฑิตรีบเลี้ยวหนี เพราะความหมายคลุมเครือของคำว่ารางวัลทำให้เขาไม่กล้ารับ มันอาจจะหมายถึงให้พวกพ่อครัวร่วมมือกันรุมซ้อมเขาก็ได้


ตลาดผีใต้ดิน ในที่สุดหลงซิ่นที่เบียดอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนก็เดินมาถึงแถวหน้าแล้ว สุดท้ายก็ได้ป้ายลำดับและเริ่มต่อแถวโดยมีกองทัพองครักษ์คอยจับตาดู


เขาตกใจมาก เคยสงสัยว่าคนที่มาสมัครอาจจะไม่น้อย แต่ว่ามารดาเจ้าเถอะ นึกไม่ถึงว่าจะเยอะขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่ารออยู่ที่นี่สามวันเต็มๆ กว่าจะได้ป้ายลำดับ เมื่อมองกลุ่มคนที่ดำพืดอยู่ข้างหลังตัวเองอีกครั้ง เขาก็ทอดถอนใจไม่หยุด ขณะเดียวกันก็รู้สึกสับสนมาก


ทำไมถึงสับสนน่ะเหรอ? ก็เพราะในมุมมองของคนที่เคยอยู่ตำแหน่งสูงมาก่อนอย่างเขา มองจากส่วนเล็กๆ ก็จะเห็นภาพรวม มองออกถึงสถานการณ์ปัจจุบันในสี่ทัพของอ๋องสวรรค์แล้ว


เขากล้ารับประกันได้เลย ว่าถ้าหลายหมื่นปีก่อนหนิวโหย่วเต๋อรับสมัครคนอย่างนี้ ก็คงไม่มีคนมาขอพึ่งพาเยอะขนาดนี้แน่ แต่ตอนนี้…ตำหนักสวรรค์เพิ่งก่อตั้งได้กี่ปีเองล่ะ? กลายเป็นอย่างนี้แล้วเหรอ?


ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วเช่นกันว่าทำไมแผนการนี้ของหนิวโหย่วเต๋อจึงดำเนินไปอย่างราบรื่นขนาดนี้ เรื่องบางเรื่องคนที่อยู่ระดับสูงไม่อาจมองเห็น บางครั้งก็ตระหนักไม่ได้ถึงความร้ายแรงของปัญหา ถ้าใส่ใจปัญหาในด้านนี้มาตั้งแต่แรก ถ้าคิดจะระงับเรื่องด้านนี้เอาไว้ตั้งแต่แรก ถ้ามีคนเปิดเผยสักหน่อยก็จะทำให้ตื่นตัว แล้วแผนการนี้ของหนิวโหย่วเต๋อก็จะไม่สำเร็จเลย เขาสงสัยว่าจนกระทั่งตอนนี้ บุคคลระดับสูงของสี่ทัพอาจยังไม่รู้ชัดด้วยซ้ำว่าจะมีคนแบบไหนมาขอพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อบ้าง!


หลงซิ่นถือป้ายลำดับเดินมาข้างหน้าตลอดทาง จากนั้นรับแผ่นหยกแล้วเดินเข้าไปในจวนแม่ทัพภาคอีก เมื่อเห็นประกาศว่าให้เขียนประวัติส่วนตัวต่างๆ เขาก็ลังเลนิดหน่อย ไม่รู้ว่าถ้าเขียนประวัติของตัวเองแล้วจะทำให้คนอ่านตกใจหรือเปล่า ตอนนี้เขาค่อนข้างกังวลกับสิ่งที่สหายเก่าคนนั้นบอก หนิวโหย่วเต๋อจะกล้ารับเขาหรือเปล่า?

 

 

 


บทที่ 1729 มาอีกคน

 

ทว่าในเมื่อมาแล้ว นอกเสียจากจะเลี้ยวแล้วจากไปตอนนี้ ไม่อย่างนั้นสักวันก็จะต้องโดนเปิดโปงตัวตนอยู่ดี ดังนั้นหลังจากลังเลครู่หนึ่ง หลงซิ่นก็ยังเขียนประวัติตัวเองเงียบๆ อย่างรวบรัดขณะปะปนอยู่ในกลุ่มคน


วิธีการดำเนินการที่อยู่ภายใต้การจับตาดูของกองทัพองครักษ์แบบนี้ ว่ากันตามจริง หลงซิ่นไม่ค่อยชอบสักเท่าไร ถึงแม้จะเขาจะตกจากตำแหน่งสูงมานานมากแล้ว ต่อให้เขาเป็นเทพแห่งผืนดิน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนเป็นนักโทษอย่างนี้ เพียงแต่เขาก็พอเข้าใจได้ ว่าถ้าไม่เสริมการควบคุม ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีคนมาก่อกวน ยกตัวอย่างเช่นอำนาจบางกลุ่มที่หวังให้การรับสมัครล้มเหลว ดังนั้นผู้สมัครทุกคนรวมทั้งเขาล้วนต้องให้ความร่วมมือ


ในที่สุดก็ถึงตาเขาแล้ว พอระฆังตรงทางเข้าส่งเสียงดัง สมาชิกที่ยืนตรงประตูก็กวักมือเรียกเขา


หลงซิ่นก้าวขึ้นมาข้างหน้า อีกฝ่ายเก็บป้ายลำดับในมือเขาแล้ว นำมาตรวจสอบเทียบกับหมายเลขแผ่นหยกในมือเขา หลังจากยืนยันแล้วว่าไม่ผิดพลาด ก็โบกมือเชิญให้เขาเข้าไป อีกฝ่ายใบหน้าเจือรอยยิ้ม ท่าทีเป็นมิตรกว่าสมาชิกกองทัพองครักษ์พวกนั้นตั้งเยอะ


พอเข้ามาในห้องเล็กห้องแรก หลังจากเห็นประกาศข้างในแล้ว หลงซิ่นก็ลงตราอิทธิฤทธิ์บนแผ่นหยกแล้ววางบนโต๊ะ แล้วยกมือขึ้นถอดหน้ากากเงียบๆ หลังจากเห็นสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วหลงซิ่น คนที่นั่งหลังโต๊ะยาวก็อึ้งเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าตกใจแล้ว เขาอ่านเนื้อหาในแผ่นหยกอีกครั้ง แล้วก็ค่อยๆ เงยหน้ามองอย่างพูดไม่ออก


หลงซิ่นแสยะยิ้มในใจ รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นอย่างนี้


เพียงแต่อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรมาก โบกมือเชิญให้เขาไปยังด่านต่อไป


สมาชิกที่ทำหน้าที่ตรวจสอบด่านถัดไปได้เห็นแผ่นหยกที่ส่งมาล่วงหน้าแล้ว ตกใจกับเนื้อหาที่อยู่ข้างในเช่นกัน รอจนหลงซิ่นเข้ามาแล้วก็เทียบเนื้อหาในแผ่นหยกอีกครั้ง จากนั้นก็ขอให้หลงซิ่นลงตราอิทธิฤทธิ์ในแผ่นหยก แล้วเชิญให้เขาไปด้านถัดไป


รอจนกระทั่งหลงซิ่นออกไปแล้ว เขาก็รีบหยิบพูดกันเต้มชาดแดงวาดสัญลักษณ์สีแดงบนแผ่นหยก เสร็จแล้วถึงได้ส่งให้ไหลเข้าไปในทางเล็กๆ จากนั้นดึงเชือกที่อยู่ข้างๆ อีกฝังหนึ่งมีระฆัง บอกใบ้ด่านถัดไปว่าสามารถปล่อยคนเข้าไปได้


สาเหตุที่บนแผ่นหยกวาดสัญลักษณ์สีแดงไว้เป็นพิเศษ ก็เพราะบัณฑิตสั่งไว้ สาเหตุเดิมย่อมเป็นเพราะก่อนหน้านี้มีนักพรตระดับบงกชกลายโผล่มา คนพวกนี้ต้องถูกจำแนกออกมาจากแผ่นหยกกองใหญ่ ไม่อาจดำเนินการอย่างเชื่องช้าตามกระบวนการ เมื่อปรากฏแผ่นหยกที่ลงตราสัญลักษณ์ประเภทนี้ ก็จะแยกส่งไปให้ถึงมือบัณฑิตก่อนทันที


หลงซิ่นที่มาถึงด่านนี้แล้วรู้สึกเหนือความคาดหมายมาก ถ้าจะพูดให้ถูก เมื่อเขาเห็นประกาศประกาศแล้วรู้สึกโมโหนิดหน่อย


นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? แค่นี้ก็เสร็จแล้วเหรอ? ตั้งแต่ต้นจนจบข้าไม่ได้พูดอะไรสักระโยค เดินอยู่ในทางใต้ดินรอบหนึ่งด้วยความรวดเร็ว นี่จะให้ข้ากลับไปรอฟังประกาศเหรอ?


แน่นอน เขาเองก็เข้าใจได้เช่นกัน ถึงอย่างไรก็มีคนตั้งมากมาย จวนแม่ทัพภาคตลาดผีถึงต้องออกแบบขั้นตอนที่รวดเร็วอย่างนี้ขึ้นมา แต่แบบนี้มันก็เร็วเกินไปแล้วมั้ง นักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่งผู้สง่าภูมิฐานอย่างข้ามาขอพึ่งพา ทั้งยังเคยเป็นท่านโหวที่เข้าประชุมในราชสำนัก ข้าไม่ขอให้เจ้าหนิวโหย่วเต๋อเดินเท้าเปล่าหรอก แต่การให้เกียรติขั้นพื้นฐานก็ต้องมีบ้างสิ จะไล่พ่อกลับไปอย่างนี้น่ะเหรอ? ไม่ว่าจะได้หรือไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องบอกกันสักคำไม่ใช่เหรอ? เจ้ามีหน้ามาสั่งให้คนระดับข้าถ่อไปถ่อมาอย่างนั้นเหรอ?


หลงซิ่นมองประกาศด้วยสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย


ช่างไม้ที่เฝ้าอยู่ด่านนี้ยังไม่เห็นสัญลักษณ์พิเศษบนแผ่นหยก แต่กลับเห็นสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วของผู้ที่เดินเข้ามาแล้ว


โอ้โห แม่เจ้าโว้ย นี่มันเรื่องอะไรกัน? ช่างไม้จ้องสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วของอีกฝ่าย นี่เรื่องจริงหรือล้อเล่น? สัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ก่อเป็นรูปจริงแล้วใช่ไหม? ระดับสำแดงฤทธิ์สินะ? ระดับสำแดงฤทธิ์มาสมัครที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีเหรอ? ล้อเล่นอะไรกัน คงไม่ได้วาดเอาเองใช่มั้ย?


แต่ดูแล้วก็ไม่เหมือนวาดออกมา เหมือนจะเป็นของจริง ทำเอาช่างไม้ตกใจจนใบหน้ายิ้มแข็งทื่อนิดหน่อย


ถึงแม้อวิ๋นจือชิวจะกำชับไว้แล้ว แต่การมีกองทัพองครักษ์จับตาดูอย่างเข้มงวดอย่างนี้จะทำให้ผู้สมัครรู้สึกไม่พอใจได้ง่าย ไม่ว่าผู้ที่มาสมัครจะผ่านการคัดเลือกหรือไม่ แต่พวกเราจะต้องมีท่าทีที่ดีเข้าไป อย่างน้อยก็ต้องยิ้มแย้มให้ทุกคน จะให้คนสมัครรู้สึกว่าพวกเราวางมาดไม่ได้ ถ้าพวกเรามีท่าทีไม่เป็นมิตร ก็อาจทำให้นายท่านไม่ได้ใจคน โดยเฉพาะคนสัมภาษณ์อย่างพวกเจ้า คนที่มาสมัครแทบจะผ่านมือพวกเจ้าทุกคน ท่าทีของพวกเจ้าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ดังนั้นต้องทุกคนต้องมีรอยยิ้มประดับใบหน้า


ด้วยเหตุนี้ ช่างไม้จึงยิ้มให้คนไปไม่รู้ตั้งกี่คนแล้ว ยิ้มจนหน้าค้างนิดหน่อย แต่รอบนี้ยิ้มแข็งจากภายในสู่ภายนอกแล้วจริงๆ


ทว่าเขาก็ยังทำตามขั้นตอน ยื่นมือบอกใบ้หลงซิ่นว่าสามารถไปได้แล้ว


ผู้สมัครที่เดินออกมาจากทางอื่นเห็นหลงซิ่นแล้วก็ตกใจเช่นกัน จริงหรือล้อเล่น ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ก็มาขอพึ่งพาที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีเหมือนกันเหรอ? ชั่วพริบตานี้ ผู้สมัครอดคิดไม่ได้ว่าโอกาสสำเร็จช่างริบหรี่เหลือเกิน ขนาดยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ยังมาเลย แล้วตัวเองจะนับเป็นตัวอะไรล่ะ!


หลงซิ่นหน้าบึ้ง จ้องช่างไม้อย่างเย็นเยียบ ยืนอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน ทำเอาช่างไม้รู้สึกประหม่านิดหน่อย


ผู้สมัครคนอื่นไม่ได้กล้าหาญเท่าหลงซิ่น แต่ละคนออกจากที่นี่ไปตามประกาศ สาเหตุสำคัญเป็นเพราะไม่อยากให้คนที่ตามมาตอนหลังเห็นโฉมหน้าของตัวเองชัดเจน นี่ก็คือจุดที่ยอดเยี่ยมของการออกแบบด่านนี้ ทำให้คนมาพัวพันกับผู้เข้าสมัครน้อยลง ส่งเสริมให้พวกเขาสำนึกได้เองว่าต้องจากไป


แต่หลงซิ่นไม่สนใจแล้ว ในสายตาหลงซิ่น นอกเสียจากว่าตัวเองจะดวงซวยบังเอิญเจอสายลับที่อำนาจฝ่ายอื่นส่งมา ไม่อย่างนั้นคนที่ออกจากที่นี่ก็ไม่มีทางบอกว่าตัวเองเห็นอะไรที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี ถ้าพูดอย่างนี้ออกมาจริงๆ จะไม่เท่ากับเป็นการพิสูจน์ว่าตัวเองก็เคยมาที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีเหมือนกันหรอกเหรอ แบบนั้นไม่เรียกว่าหาเรื่องใส่ตัวหรือไง?


“หลงซิ่น?” ตรงทางด้านข้างมีสตรีวัยกลางคนสุดสง่างามที่แต่งตัวเหมือนชายเดินออกมาคนหนึ่ง ดวงตากลมโต เปิดเผยใบหน้า สัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วเป็นรูปงูเขียวตัวหนึ่ง


หลงซิ่นเอียงหน้ามอง เขาเองก็อึ้งไปเช่นกัน ถามอย่างประหลาดใจว่า “ชิงเยว่?”


“ข้ายังนึกว่ามองผิดไป เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย เจ้ามาได้ยังไง?” สตรีวัยกลางคนที่แต่งตัวเป็นชายทั้งประหลาดใจทั้งตื่นเต้น “เจ้าก็มาสมัครเหมือนกันเหรอ?”


หลงซิ่นพยักหน้า แล้วบอกใบ้ให้นางดูประกาศ


ช่างไม้ปาดเหงื่อ นี่มันสถานการณ์อะไรกัน มียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์โผล่มารวดเดียวสองคน ทั้งยังมาพร้อมกันด้วย ไม่ใช่ว่ามีคนจงใจมาก่อกวนหรอกนะ ไม่อย่างนั้นจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้เชียวหรือ?


สตรีวัยกลางคนที่ชื่อชิงเยว่ขมวดคิ้ว ถามหลงซิ่นว่า “มองอะไรของเจ้า?”


หลงซิ่นกวาดสายตาเย็นเยียบมองช่างไม้ “ข้าต้องการพบหนิวโหย่วเต๋อ”


ชิงเยว่พยักหน้าเบาๆ เห็นได้ชัดว่าชื่นชมท่าทีแบบนั้น


ช่างไม้ฝ่ามือเปียกไปด้วยเหงื่อ ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่สอดคล้องกับกฏระเบียบ ครั้งนี้ผู้สมัครทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน”


หลงซิ่นพูดเหน็บแนม “ไม่ได้ให้เจ้าตัดสินใจ แค่ให้เจ้าไปบอกเท่านั้น ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไม่อยากมาพบ พวกเราก็ไม่ฝืนใจ จะไม่ทำให้ลำบากใจด้วย จะออกไปทันที”


กฎระเบียบก็ย่อมต้องเป็นกฎระเบียบ แต่คนที่อยู่ในระดับอย่างพวกเขา ล้วนสามารถทำกฎให้ยืดหยุ่นได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังพูดได้ถูกจุดมากด้วย แสดงออกชัดเจนว่าตัวเองไม่ได้มาก่อเรื่อง แค่เสนอขอเรียกร้องเล็กน้อยเท่านั้น จะตอบตกลงหรือไม่ก็ตามใจ


แล้วช่างไม้จะทำอย่างไรได้ ยิ้มเจื่อนพร้อมหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิวแล้ว


ตอนนี้อวิ๋นจือชิวกำลังอยู่ข้างกายเหมียวอี้พอดี บัณฑิตก็อยู่ด้วย ตอนได้รับแผ่นสองสองแผ่นที่มีตราสัญลักษณ์พิเศษ บัณฑิตก็ตกใจเช่นกัน กอปรกับก่อนหน้านี้เพิ่งถูกอวิ๋นจือชิวสั่งสอนไป จึงพลิกแพลงเป็นแล้ว รีบนำแผ่นหยกสองแผ่นไปให้สองสามีภรรยาด้วยตัวเอง


ภายในห้อง หลังจากสองสามีภรรยาสลับกันอ่านแผ่นหยกแล้ว ทั้งคู่ก็พูดไม่ออก ตะลึงค้างนิดหน่อย มีนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์สองคนมาสมัคร คนหนึ่งระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่ง เคยเป็นท่านโหวของตำหนักสวรรค์มาก่อน อีกคนเป็นนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นห้าที่เคยรับตำแหน่งทูตลาดตระเวนฝั่งใต้


ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สองคนมาสมัคร แค่ระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่งคนเดียวก็น่าตกใจแล้ว ยังมีระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นห้าโผล่มาอีก แบบนี้ไม่น่าตกใจเหรอ? มิหนำซ้ำ ตำแหน่งโหวก็ยังพูดง่ายหน่อย แต่ ‘ทูตลาดตระเวนฝั่งใต้’ นี่คืออะไร? ไม่ได้เคยได้ยินตำแหน่งนี้มาก่อน


หลังจากมองหน้ากันเลิกลั่กพักหนึ่ง เหมียวอี้ก็ถามอย่างระแวง “ชิงเยว่ หลงซิ่น? สองคนนี้เป็นใครกัน เจ้าเคยได้ยินชื่อหรือเปล่า?”


อวิ๋นจือชิวยักไหล่สองข้าง “เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามใครล่ะ? บนนี้เขียนไว้ คนหนึ่งเป็นปีศาจงูเขียวที่ถูกลดตำแหน่งเมื่อแสนปีก่อน อีกคนเป็นปีศาจกิ้งก่าที่ถูกลดตำแหน่งเมื่อสามหมื่นปีก่อน ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว อยู่ดีๆ ใครจะไปพูดถึงพวกเขาล่ะ  ข้าไม่เคยได้ยินหรอก”


เหมียวอี้ทำสีหน้าไม่ถูก รู้สึกปวดประสาทนิดหน่อย มีคนแบบนี้มาขอพึ่งพาไม่ฟังดูน่าขำไปหน่อยเหรอ? เล่นใหญ่เกินไปหรือเปล่า?


เขามองไปที่บัณฑิต ผลปรากฏว่าบัณฑิตโบกมือซ้ำๆ “ข้าก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินชื่อ”


ในขณะนี้เอง อวิ๋นจือชิวรับข้อความจากช่างไม้ผ่านระฆังดารา จากนั้นก็กล่าวอย่างตะลึง “ช่างไม้ส่งข่าวมาแล้ว บอกว่าสองคนนั้นต้องการพบเจ้า”


“สองคนไหน?” เหมียวอี้ถามด้วยความงง


อวิ๋นจือชิวถลึงตาตอบ “ยังจะสองคนไหนได้อีก? ชิงเยว่กับหลงซิ่นไง สองคนนั้นยังอยู่ห้องที่สาม ไม่ยอมไปไหน บอกว่าต้องการพบเจ้า บอกว่าให้ช่างไม้มาแจ้งให้รู้เฉยๆ ถ้าเจ้าไม่ไปพบ พวกเขาก็ไม่ฝืนใจ ไม่ทำให้เจ้าลำบากใจด้วย พวกเขาจะไปทันที!”


“เดี๋ยวก่อน” เหมียวอี้ขมวดคิ้ว รู้สึกวุ่นวายใจเล็กน้อย ทำไมรับสมัครคนจนเจอสัตว์ประหลาดอย่างนี้ได้ อยู่ว่างๆ จะมาประสมโรงทำไม กำลังยั่วโมโหพ่อใช่มั้ย  ข้าเป็นแม่ทัพภาคตลาดผี วรยุทธ์บงกชรุ้ง มียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สองคนต้องการจะมาเป็นลูกน้องข้า แบบนี้ใครจะคุมใครกันแน่?


เขาสงสัยนิดหน่อยว่ามีคนจงใจจะก่อกวนหรือเปล่า จึงรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจินม่านทางแดนอเวจี


หลังจากสัญญาณเชื่อมถึงกันแล้ว ก็ถามเลยว่า : เจ้าเคยได้ยินมาก่อนหรือเปล่าว่าในหมู่โจรกบฎมีคนชื่อชิงเยว่?


จินม่านตอบ : ชิงเยว่? ปีศาจงูเขียวชิงเยว่ที่วรยุทธ์สำแดงฤทธิ์ขั้นสี่ใช่มั้ย?


เหมียวอี้ : อย่างอื่นพูดถูกหมด มีแต่วรยุทธ์ที่ไม่สอดคล้อง ตอนนี้วรยุทธ์ของนางเหมือนจะถึงระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นห้าแล้ว


จินม่าน : ผ่านไปนานขนาดนี้ วรยุทธ์บรรลุถึงระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นห้าก็ไม่แปลก นอกจากชิงเยว่นั่นแล้ว ข้าก็นึกถึงไม่ออกจริงๆ ว่ามีชิงเยว่ไหนที่วรยุทธ์ประมาณนี้อีก เมื่อนานมาแล้ว ตอนที่สถานการณ์ของโจรกบฎยังไม่เป็นเหมือนอย่างทุกวันนี้ ชิงเยว่นั่นก็โดนลดตำแหน่งไปเป็นเทพแห่งภูผาตั้งแต่ข้ายังไม่เข้าโลงศพ ชื่อของนางน่าจะเลือนหายไปจากสังคมนานแล้ว นายท่านถามถึงนางทำไม?


หลังจากนั้น เนื่องจากสถานะเทพแห่งภูผาของชิงเยว่ กอปรกับเรื่องที่เหมียวอี้ทำตอนนี้ นางก็เหมือนจะนึกอะไรได้แล้ว ถามอย่างตกใจมากว่า : อย่าบอกนะว่าชิงเยว่มาสมัครที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี?


เจ้าลองดูสิ คนเก่าคนแก่ก็ยังเป็นคนเก่าคนแก่ มีแค่คนเหล่านี้เท่านั้นที่รู้เรื่องราวเก่าๆ ชัดเจน! เหมียวอี้แอบทอดถอนใจ แล้วตอบว่า : ไม่ผิดหรอก! นางมาสมัครจริงๆ เพียงแต่ข้าไม่ค่อยรู้จักตัวตนของนางชัดเจน เลยตั้งใจจะมาถามเจ้า แล้วก็ ‘ทูตลาดตระเวนฝั่งใต้’ นั่นคือตำแหน่งผีอะไร?


พอได้ยินว่าชิงเยว่มาขอพึ่งพา ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึงว่าจินม่านตกใจขนาดไหน นางตอบว่า : ตอนนี้ไม่มีตำแหน่งนี้แล้ว นั่นเป็นตำแหน่งตรวจตราของทัพใต้ตอนที่ระบบของโจรกบฎยังไม่กลายเป็นอย่างทุกวันนี้ เดิมทีชิงเยว่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาสายตรงของฮ่าวเต๋อฟาง นับว่าเป็นลูกน้องคนสนิทของฮ่าวเต๋อฟางก็ว่าได้ นางรับหน้าที่คุมงานตรวจตราที่เกี่ยวข้อง คอยตรวจตาสถานการณ์ทางทหารภายในอาณาเขตให้ฮ่าวเต๋อฟางโดยเฉพาะ โด่งดังเรื่องบังคับใช่กฎอย่างเข้มงวด ผลปรากฏว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง เหมือนได้ยินว่านางสืบเจอเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับซูอวิ้นที่เป็นพ่อบ้านของฮ่าวเต๋อฟาง แต่ฆ่าล้างตระกูลของซูอวิ้นโดยไม่ได้รายงานขึ้นมาก่อน ทำให้ฮ่าวเต๋อฟางเดือดดาลมาก เพราะเหตุนี้จึงถูกลดตำแหน่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นห่วงความคิดเห็นของกลุ่มลูกน้อง กลัวว่าฆ่าชิงเยว่แล้วจะทำให้ใจทหารสั่นคลอน เกรงว่าชิงเยว่คงถูกฮ่าวเต๋อฟางประหารไปแล้ว

 

 

 


บทที่ 1730 มีแต่ต้องให้ตงฟางเลี่ยไปพบ...

 

ข่าวลือระหว่างอ๋องสวรรค์ฮ่าวเต๋อฟางกับพ่อบ้านซูอวิ้นไม่ใช่ความลับอะไร เหมียวอี้เองก็เคยได้ยินมาบ้าง มีบางคนกล่าวถึงอย่างชื่นชม บางกล่าวถึงเหมือนเป็นเรื่องตลก สรุปก็คือทุกข่าวลือล้วนบอกว่าซูอวิ้นเป็นผู้หญิงที่อ๋องสวรรค์ฮ่าวรัก และไม่เคยได้ยินคนในจวนตระกูลฮ่าวออกแก้ข่าวลือเช่นกัน เห็นได้ชัดว่ามีโอกาสเป็นเรื่องจริงสูงมาก ส่วนชิงเยว่ก็ฆ่าล้างตระกูลซูอวิ้น ไม่แปลกใจที่เป็นอย่างนี้


ไม่แปลกใจที่ถูกลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งภูผา ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เหมียวอี้มองแผ่นหยกในมือ ชิงเยว่ไม่ได้บรรยายความแค้นระหว่างตัวเองกับฮ่าวเต๋อฟาง บอกเพียงว่าเคยเป็นทูตลาดตระเวนฝั่งใต้ จากนั้นถูกลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งภูผาเพราะไม่ล่วงเกินคนอื่นเอาไว้ เพียงแต่พอคิดไปคิดมาก็พอเข้าใจได้ อีกฝ่ายยังไม่รู้ว่าตัวเองจะผ่านการคัดเลือกหรือไม่ จำเป็นต้องเขียนรายละเอียดเรื่องแบบนั้นลงบนแผ่นหยกที่ต้องผ่านมือคนไม่รู้ตั้งกี่มือด้วยเหรอ? เช่นเดียวกัน สิ่งที่หลงซิ่นเขียนเองก็เอ่ยถึงอย่างรวบรัดเท่านั้น ไม่ได้เขียนละเอียดขนาดนั้น


เหมียวอี้ถามอีก : แล้วเรื่องหลงซิ่นนี่ยังไง?


จินม่านตกตะลึงอีกครั้ง แต่ไม่แสดงอารมณ์ออกมา เพียงถามว่า : หลงซิ่น? ท่านโหวหลงซิ่นที่ถูกลดตำแหน่งน่ะเหรอ? เขาก็มาสมัครเหมือนกันเหรอคะ?


เหมียวอี้ : ไม่ผิดหรอก เป็นเขานั่นแหละ


จินม่าน : ก่อนข้าถูกขัง หลงซิ่นก็เป็นท่านโหว และหลังจากข้าหลุดขังแล้วสืบสถานการณ์ข้างนอก ถึงได้รู้ว่าหลงซิ่นถูกลดตำแหน่ง ได้ยินแค่ว่าเขามีเรื่องกับโจวจ้าวที่เป็นจอมพลคนปัจจุบัน พอพูดถึงพวกข้อหา ข้าเดาว่าคงมีปัญหาทั้งหมด ไม่รู้รายละเอียดว่าเพราะอะไรถึงถูกลดตำแหน่ง ข้าเองก็ไม่สะดวกจะพูดมั่วจนงานของราชาปราชญ์เสียหาย


หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จ จินม่านก็รีบไปคุยกับหยางชิ่งเรื่องนี้ ส่วนเหมียวอี้ก็เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง จะรับหรือจะไม่รับดี?


อวิ๋นจือชิวรออยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “เรื่องของสองคนนี้เป็นยังไงกันแน่?”


“มารดาเจ้าเถอะ แต่ละคนตำแหน่งใหญ่กินกันไม่ลง…” เหมียวอี้บอกเล่าข้อมูลที่ได้มาให้ฟังคร่าวๆ


อย่าว่าแต่หลงซิ่นเลย ชิงเยว่คนนี้ทำให้อวิ๋นจือชิวพูดไม่ออกจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงภูมิหลัง ไม่ถูกซูอวิ้นเล่นงานจนตายก็นับว่าดวงแข็งแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปจะเป็นอย่างไรล่ะ นี่คือความแค้นที่ถูกฆ่าล้างตระกูลเชียวนะ มีใครบ้างที่จะไม่ล้างแค้น การที่ซูอวิ้นปล่อยให้ชิงเยว่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขหลายปีก็นับว่าเมตตามากแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเบื้องหลังมีฮ่าวเต๋อฟางคอยห้ามหรือเปล่า


“แล้วจะรับหรือไม่รับดีล่ะ? สองคนนั้นยังรอคำตอบอยู่นะ” อวิ๋นจือชิวชี้ระฆังดาราในมือตัวเอง ช่างไม้ยังรอคำตอบจากนางอยู่


เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “ทำไมสองคนนี้ถึงบังเอิญโผล่มาพร้อมกัน ในนั้นจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า หรือว่ามีคนตั้งใจส่งมาก่อกวน? แล้วคนที่เคยอยู่ตำแหน่งสูงแบบนั้นจะฟังคำสั่งข้าเหรอ? ถ้ารับสองคนนี้ไว้จะมีผลอะไรตามมา?”


อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วเงียบๆ นี่คือเรื่องที่ทำให้คนปวดหัวจริงๆ นางชำเลืองมองบัณฑิตที่ยืนอยู่ข้างกาย แล้วถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “หยางชิ่งเป็นคนออกความคิด ถามหยางชิ่งดีมั้ยว่ามีความคิดเห็นยังไง?”


ครั้งนี้เหมียวอี้เด็ดขาดมาก หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่งทันที


แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง หยางชิ่งกับจินม่านเดินออกจากจวนประมุขปราชญ์พร้อมกัน ทั้งสองเดินทอดน่องเลียบชายทะเลขึ้นไปบนหน้าผาด้วยกัน ลมทะเลเย็นสดชื่น ทว่าหยางชิ่งกลับขมวดคิ้วด้วยความกลุ้มใจ


เมื่อได้รับข่าวจากเหมียวอี้ หยางชิ่งก็คิดไม่ออกแล้วเช่นกัน เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าการรับสมัครที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีจะทำให้มีละครอย่างนี้มาขอพึ่งพา ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเจตนาของอีกฝ่ายจริงหรือปลอม ถ้ารับคนอย่างนี้เข้ามา เหมียวอี้จะควบคุมไหวเหรอ? คนอย่างนี้จะยอมรับการควบคุมจากเหมียวอี้เหรอ? ดีไม่ดีจะเป็นการดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!


หลังจากทั้งสองปรึกษากันสักพัก หยางชิ่งก็ยังให้คำแนะนำที่ปลอดภัยเชื่อถือได้ : เพื่อความปลอดภัย นายท่านปฏิเสธอย่างอ้อมๆ เพื่อความเหมาะสม ก้าวนี้ของนายท่านใหญ่เกินไป เหมาะจะใจร้อนต้องการความสำเร็จ รอให้พลังของนายท่านเพิ่มขึ้นก่อน แล้วค่อยก้าวไปอีกขั้นก็ยังไม่สาย


ปฏิเสธเหรอ? เหมียวอี้รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ถ้าในมือมียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สองคนคอยรักษาการณ์ ข้อดีก็เด่นชัดมาก จึงกล่าวอย่างเสียดายว่า : น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าสองคนที่มาพึ่งพาจริงใจหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นการมีผู้ช่วยอย่างนี้ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ กลัวก็แต่ว่าจะมีคนส่งมาก่อกวน


หยางชิ่ง : นายท่านอยากจะทดสอบเหรอว่าสองคนนี้มาสมัครด้วยความจริงใจหรือเปล่า ดูไม่ยากหรอกว่ามีคนส่งมาก่อกวนหรือไม่ แต่ประเด็นสำคัญก็คือ พวกเราไม่รู้รายละเอียดมากพอว่าสองคนนี้อุปนิสัยเป็นยังไง ถ้ามีคิดไม่ซื่อขึ้นมา ก็เกรงว่านายท่านจะควบคุมลำบาก ถ้าไม่มีแม้แต่ความมั่นใจในจุดนี้ ก็ไม่คุ้มที่จะเสี่ยงอันตราย ข้าน้อยแนะนำให้นายท่านปฏิเสธ คุมสถานการณ์ปัจจุบันให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน


เหมียวอี้กลับตาเป็นประกาย ถามว่า : มีวิธีการยืนยันเหรอว่าสองคนนี้มาสมัครอย่างจริงใจหรือเปล่า?


พอหยางชิ่งได้ฟังคำถามนี้ ก็รู้สึกทันทีว่าเกิดปัญหาแล้ว รีบถามว่า : หรือว่านายท่านอยากจะรับสองคนนี้ไว้จริงๆ?


เหมียวอี้ไม่ได้ตอบคำถามนี้ ถามเพียงว่า : สองคนนี้อยู่นอกสายตาฝูงชนมานานเกินไป เกรงว่าคนที่อยู่แวดล้อมคงยากที่จะรู้ถึงความคิดของสองคนนี้ ข้ากำลังกังวลเรื่องการสืบที่ลำบาก ไม่ทราบว่าท่านบุรุษมีแผนดีอะไรมาตัดสินว่าความจริงใจของสองคนนี้จริงหรือปลอม?


หยางชิ่งยกมือตบหน้าบาก นึกเสียใจกับสิ่งที่พูดไปก่อนหน้านี้ หลุดปากพูดยั่วความอยากเหมียวอี้แล้วเข้าแล้ว เจ้าหนุ่มที่ใจกล้าคับฟ้ามีอะไรที่ไม่กล้าทำบ้างล่ะ


เมื่อจินม่านที่อยู่ข้างกันเห็นดังนั้น ก็ถามอย่างแปลกใจ “ทำไมผู้ช่วยใหญ่ดูหงุดหงิดขนาดนี้?”


หยางชิ่งโบกมือ ไม่สะดวกจะอธิบาย ได้แต่เตือนเหมียวอี้อีกครั้ง : นายท่านโปรดไตร่ตรอง ต่อให้ยืนยันได้ว่าสองคนที่มามีความจริงใจ แต่ก็ไม่สะดวกจะรับไว้อยู่ดี ถามหน่อยว่าคนที่แม้แต่ฮ่าวเต๋อฟางกับโจวจ้าวยังควบคุมได้ยาก ด้วยยศักยภาพของนายท่านจะคุมสองคนนี้ได้ยังไง?


เหมียวอี้ : ข้าก็ต้องไตร่ตรองอยู่แล้ว แค่อยากจะฟังความเห็นอันสูงส่งของท่านบุรุษเฉยๆ  หวังว่าท่านบุรุษจะไม่ออมฝีมือเอาไว้


หยางชิ่งเงยหน้าถอนหายใจยาว เขาเองก็รู้จักนิสัยเหมียวอี้เช่นกัน รู้ว่าปฏิเสธไม่ไหวแล้ว นึกเสียใจทีหลังว่าไม่ควรหลุดปาก สุดท้ายก็ทำได้เพียงเขย่าระฆังดาราตอบไปว่า : ถ้าต้องการจะรู้ว่าสองคนที่มาบริสุทธิ์ใจมั้ยก็ไม่ยาก ไม่ต้องให้นายท่านคิดหาวิธีสืบเอาเองด้วย นายท่านสามารถใช้ประโยชน์จากตงฟางเลี่ยได้นิดหน่อย


ตงฟางเลี่ย? เหมียวอี้อึ้งทันที : จะใช้ประโยชน์ยังไง ท่านบุรุษได้โปรดอธิบายให้ชัดเจน


หยางชิ่ง : ถ้าเป็นอย่างที่คาดไว้ ตงฟางเลี่ยน่าจะรู้จักสองคนนี้ ให้ตงฟางเลี่ยไปพบสองคนนี้เพื่อตัดสินก่อนว่าตัวตนของทั้งสองเป็นข้อมูลจริงหรือไม่ จะได้ตัดความยุ่งยากในการส่งคนไปสืบ ระการต่อมา ประการต่อมา เมื่อตงฟางเลี่ยเจอสองคนนี้แล้ว ก็จะรายงานสถานการณ์ขึ้นไปแน่นอน นายท่านอาจจะไม่มีวิธีการสืบรายละเอียดของสองคนนี้ แต่วังสวรรค์จะไม่มีวิธีการเชียวหรือ? วังสวรรค์ไม่หวังให้นายท่านแพ้เดิมพันแน่ สองคนนี้บริสุทธิ์ใจหรือไม่ วังสวรรค์ย่อมตัดสินใจ ถ้าวังสวรรค์ไม่ห้าม นั่นก็แปลว่าสองคนนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ถ้าวังสวรรค์รู้สึกว่าสองคนนี้มีปัญหา รู้สึกว่าสองคนนี้มาก่อกวน ตงฟางเลี่ยก็ย่อมโน้มน้ามให้นายท่านปฏิเสธที่จะรับไว้ ดังนั้นถ้าอยากรู้เจตนาของสองคนนี้ ก็มีแต่ต้องให้ตงฟางเลี่ยไปพบเท่านั้น!


เหมียวอี้ตาเป็นประกายอีกครั้ง กล่าวชมว่า : ท่านบุรุษช่างมีความคิดเหนือชั้น ข้าได้รับการชี้แนะแล้ว!


ความคิดเหนือชั้นเหรอ? หยางชิ่งแอบยิ้มเจื่อน หวังเพียงว่าวังสวรรค์จะรู้สึกสะเทือนอารมณ์แล้วปฏิเสธเสียเลย แต่พอคิดดูอีกที ก็รู้สึกกลัวอีกว่าวังสวรรค์จะมีอารมณ์อยากดูละครสนุกๆ มากเกินไป ถ้าไม่มีปัญหาก็เกรงว่าจะไม่ห้าม อย่างไรเสียเหมียวอี้ก็ยังไม่อยู่ในขั้นนี้จะเป็นภัยคุกคามต่อตำหนักสวรรค์ได้


หลังจากติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง สายตาของพวกอวิ๋นจือชิวก็ย้ายตามเขาเช่นกัน


โดยเฉพาะอวิ๋นจือชิว นางดูออกจากสีหน้าท่าทางของเหมียวอี้แล้ว ด้วยปฏิกิริยาแบบนี้ของเหมียวอี้ เกรงว่าจะตัดสินใจแลว ไม่รู้ว่าหยางชิ่งกับเขาคุยอะไรกัน


เป็นอย่างที่คาดไว้ จู่ๆ เหมียวอี้ก็หยุดเดิน หันตัวไปมองบัณฑิต แล้วกล่าวอย่างไม่ลังเล : “ไป เจ้าพาสองคนนั้นมาพบข้าด้วยตัวเองเลย”


“ขอรับ!” บัณฑิตกุมหมัดเอ่ยรับ แล้วรีบเดินออกไป


“เจ้าจะรับสองคนนี้ไว้จริงๆ เหรอ? จะเหมาะสมหรือเปล่า?” อวิ๋นจือชิวตกใจ


“ฮูหยินไปเตรียมการอีกอย่าง…” เหมียวอี้บอกแผนที่คิดเรียบร้อยแล้วให้นางฟัง


อวิ๋นจือชิวครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าเบาๆ สื่อว่าเข้าใจแล้ว แต่กลับถามอย่างกังวลอีกว่า “ถ้าสองคนนี้เห็นนายท่านแล้วมีเจตนาไม่ซื่อขึ้นมา จะทำยังไงล่ะ?”


เหมียวอี้ตอบว่า “ถ้าพวกเขาคิดทำร้ายข้าตอนนี้ ในวันข้างหน้าใต้หล้าจะยังมีที่ให้พวกเขายืนอีกเหรอ? ถ้าให้คนระดับนี้มาเป็นหน่วยกล้าตาย ก็อาจจะไม่คุ้มค่า ต่อให้คนที่อยู่เบื้องหลังจะเต็มใจ แต่เกรงว่าเจ้าตัวคงไม่เต็มใจ ฮูหยินวางใจได้เลย ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก รีบไปจัดการตามที่ข้าบอก”


อวิ๋นจือชิวคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าใช่ จึงพยักหน้าเบาๆ แล้วเร่งฝีเท้าเดินออกไป


ในห้องสัมภาษณ์ห้องที่สาม หลงซิ่นกับชิงเยว่ใส่หน้ากากปลอมอีกครั้ง ที่นี่มีผู้คนไปมาพลุกพล่านเกินไป ถ้าให้คนจำนวนมากเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร ทั้งคู่ยืนอยู่ข้างกายช่างไม้ มองช่างไม้ที่กำลังนำทางคนออกไปไม่หยุด


คนที่ผ่านมาทางนี้อย่างไม่ขาดสายก็ไม่รู้เช่นกันว่าหลงซิ่นกับชิงเยว่เป็นใคร ยังนึกว่าเป็นคนทำหน้าที่สัมภาษณ์ในการรับสมัครครั้งนี้ด้วยซ้ำ


ในเมื่อมาแล้ว ทั้งสองก็ไม่รีบเช่นกัน รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อต้องพิจารณาแน่นอน เฝ้ารออย่างช้าๆ


ผ่านไปไม่นาน บัณฑิตก็เข้ามาจากอีกทิศทางหนึ่ง มาหยุดยืนมองสองคนที่อยู่ข้างกายช่างไม้  แล้วก็มองช่างไม้ด้วยแววตาสอบถามอีก ช่างไม้พยักหน้าบอกใบ้ว่าเป็นสองคนนี้แหละ


บัณฑิตกุมหมัดคารวะต่อทั้งสอง “ท่านแม่ทัพภาคเรียนเชิญ ทั้งสองเชิญตามข้ามา!”


หลงซิ่นกับชิงเยว่สบตากันแวบหนึ่ง สายแสดงความตกตะลึง ต่างก็นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะตัดสินใจมาพบพวกเขาเร็วขนาดนี้ ถ้าพวกเขาลองมาในมุมของหนิวโหย่วเต๋อ ก็จะรู้เช่นกันว่าเมื่ออยูในสถานการณ์นี้จะตัดสินใจลำบาก ใครจะอยากหาเรื่องใส่ตัวล่ะ? แต่ในเมื่อตัดสินใจจะมาพบพวกเขาแล้ว ก็แปลว่าเรื่องนี้มีความหวัง ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องมาพบก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาเจอหน้าให้ยุ่งยาก


“มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวอยู่หลายส่วนจริงๆ สมคำร่ำลือ!” ชิงเยว่แอบถ่ายทอดเสียงบอกหลงซิ่น ในน้ำเสียงให้ความรู้สึกเหมือนกำลังบอกว่า ดูด้วยว่าเหมียวอี้เป็นละครแบบไหน


ทั้งสองเดินตามหลังบัณฑิตไป ส่วนช่างไม้ก็ถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก


“รองผู้ตรวจการใหญ่”


ผู้ติดตามคนสนิทของตงฟางเลี่ยเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาในห้อง มากุมหมัดคารวะต่อตงฟางเลี่ยที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง


“มีเรื่องอะไร?” ตงฟางเลี่ยเอ่ยถามเสียงเรียบขณะมองไปนอกหน้าต่าง


ลูกน้องคนสนิทรายงานว่า “ในการรับสมัครเมื่อครู่นี้มีสองคนที่ได้รับการปฏิบัติเป็นกรณีพิเศษ พวกเขาไม่ได้จากไปทันที แต่มีคนพาไปพบหนิวโหย่วเต๋อด้วยตัวเอง และพวกพี่น้องของเราก็มีคนบังเอิญได้ยินอวิ๋นจือชิวคุยกับหญิงรับใช้พอดี บอกว่าสองคนนี้ไม่ธรรมดา ถ้ารับไว้ได้ จะต้องสะท้านใต้หล้าแน่นอนขอรับ!”


“สะท้านใต้หล้า?” ตงฟางเลี่ยหันขวับไปมองเขา เขาพยักหน้าสื่อว่าถูกต้องแล้ว


ตงฟางเลี่ยเริ่มขมวดคิ้วมุ่น เดินสาวเท้ามาในห้อง เขามารักษาการณ์ที่นี่ ถ้าเกิดเรื่องสะท้านใต้หล้าขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ ทำเอาเบื้องบนทำอะไรไม่ถูก แล้วจะชี้แจงกับเบื้องบนอย่างไร? สุดท้ายจึงหยุดเดินแล้วกล่าวเสียงต่ำ “ไป! ไปดูกันหน่อยว่าเป็นใคร”


ทั้งสองเดินตามกันออกไปอย่างรวดเร็ว ต่อให้เหมียวอี้จะห้าม แต่ตงฟางเลี่ยก็จะต้องไปเห็นให้ได้


ในห้องรับแขกของจวนแม่ทัพภาค เหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง หลังจากบัณฑิตนำสองคนนี้เข้ามาในห้องแล้ว หลงซิ่นกับชิงเยว่มองเงาหลังที่ตรงแน่วของเหมียวอี้ แล้วทั้งสองก็สบตากันอีกครั้ง


“นายท่าน แขกมาแล้วขอรับ” บัณฑิตกุมหมัดคารวะ


เหมียวอี้หันตัวมาเผชิญหน้าอย่างช้าๆ แล้วมองประเมินทั้งสองคน


หลงซิ่นกับชิงเยว่ก็มองประเมินเขาเช่นกัน ทั้งสองแอบเอ่ยชมว่า ช่างเป็นคนหนุ่มที่องอาจผึ่งผาย  มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวจริงๆ ด้วย ขนาดเจอคนอย่างพวกเขายังสุขุมใจเย็นได้ขนาดนี้ ไม่เห็นแสดงอาการลนลานเลยสักนิด

 

 

 


บทที่ 1731 รอไปก่อน

 

เหมียวอี้โบกมือเล็กน้อย “เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ”


“ขอรับ!” บัณฑิตเอ่ยรับแล้วถอยไป ถือโอกาสปิดประตูด้วย ฝั่งเขางานยุ่งมากจริงๆ


ในห้องเหลือเหมียวอี้อยู่คนเดียว ชิงเยว่กับหลงซิ่นสบตากันแวบหนึ่ง พบว่าเจ้าหนุ่มนี่ใจกล้าไม่เบา ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน จะไม่กลัวเชียวหรือว่าพวกเขาจะถูกอำนาจฝ่ายต่างๆ ส่งมาใส่ร้ายหรอกเหรอ?


“เจ้าคือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?” ชิงเยว่มองประเมินเขาศีรษะจดเท้า


“เป็นข้าเอง!” เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็น “ทั้งสองมาพบข้าด้วยความจริงใจหรือเปล่า?”


ทั้งเข้าใจความหมายที่เขาสื่อ ย่อมไม่มีปัญหาอะไรเช่นกัน ใช้สองมือดึงหน้าปากบนใบหน้าลงมา เผยโฉมหน้าที่แท้จริงแล้ว


สายตาของเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วของทั้งสองอย่างเป็นธรรมชาติ “ข้าจะตัดสินได้ยังไงว่าฐานะของพวกเจ้าเป็นเรื่องจริง?”


หลงซิ่นบอกว่า “ถ้ามีความจำเป็น พวกเราก็สามารถปรากฏร่างเดิมได้  คาดว่านักพรตปีศาจในใต้หล้าที่วรยุทธ์พอๆ กับพวกเรา คงหาคนอื่นที่มีปัจจัยสอดคล้องกันได้ยากแล้ว”


ในขณะนี้เอง ด้านนอกมีเสียงห้ามของหยางเจาชิง “นายท่านกำลังรับแขก นายท่านตงฟางโปรดรอ…”


“หลีกไป!” เสียงของตงฟางเลี่ยดังขึ้น


เหมียวอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย รู้ว่าคนที่ควรจะมาได้มาถึงแล้ว


ชิงเยว่กับหลงซิ่นเพิ่งจะหันกลับไปมอง ตงฟางเลี่ยก็นำคนผลักประตูเข้ามาแล้ว พอกวาดสายตามองในห้อง เขาก็ทำสีหน้าตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็เบิกตากว้าง สายตาย้ายไปมาระหว่างหน้าของชิงเยว่กับหลงซิ่นไม่หยุด ขณะเดียวกันก็เริ่มทำสายตาเหลือเชื่อทีละนิด


ชิงเยว่กับหลงซิ่นค่อยๆ หันตัวไปมองเขา


“นายท่าน ข้า…” หยางเจาชิงทำท่ากังวลมาก เขาจะขัดขวางตงฟางเลี่ยไม่ให้บุกเข้ามาได้อย่างไร มิหนำซ้ำอวิ๋นจือชิวก็สั่งไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าไม่ต้องดันทุรังขัดขวาง แค่แสดงละครพอดเป็นพิธีก็พอ


เหมียวอี้โบกมือ “ไม่มีงานของเจ้าแล้ว ออกไปก่อนเถอะ” หยางเจาชิงถอยออกไปเงียบๆ


“ตงฟางเลี่ย!” หลงซิ่นกล่าวช้าๆ


ตงฟางเลี่ยเหมือนจะครุ่นคิดก่อนสักประเดี๋ยว เสร็จแล้วถึงได้เอ่ยชื่อทั้งสองออกมา “ชิงเยว่ หลงซิ่น?”


“ตงฟางเลี่ย ไม่ได้เจอกันเสียนาน” ชิงเยว่กล่าว


ความรู้สึกตกตะลึงในใจตงฟางเลี่ยนั้นยากจะบรรยายออกมาได้ ย่อมเดาออกถึงจุดประสงค์ที่ทั้งสองมาที่นี่ นึกไม่ถึงว่าสองคนที่ชื่อหายไปจากสังคมหลายปีจะมาขอพึ่งพาที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปจะไม่สะเทือนใต้หล้าหรอกหรือ? ถึงแม้จะเดาออกถึงจุดประสงค์ในการมาของทั้งสอง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามยืนยันให้แน่ใจ “พวกเจ้า…อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าก็มาสมัครเหมือนกัน?”


ชิงเยว่แสยะยิ้ม “ทำไมล่ะ? ไม่พอใจเหรอ? พวกเราสองคนก็เป็นเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินในสงกัดของสี่ทัพเหมือนกัน จะมาสมัครไม่ได้เชียวเหรอ? เหมือนตำหนักสวรรค์จะไม่จำกัดวรยุทธ์ของผู้สมัครหรอกมั้ง?” น้ำเสียงฟังดูไม่เกรงใจเลย พวกเทพแห่งภูผาต่ำต้อยที่กล้าพูดอย่างนี้กับรองผู้ตรวจการใหญ่กองทัพองครักษ์ เกรงว่าทั้งใต้หล้าคงจะมีไม่เยอะ


ดูจากสถานการณ์ ก็สามารถแน่ใจได้เลย เหมียวอี้พึมพำในใจว่า เป็นปีศาจเฒ่าสองตนนั้นจริงๆ


“นายท่านตงฟาง ไม่ทราบว่าบุกเข้ามาทำไม?” เหมียวอี้เอ่ยถามเช่นกัน


ตงฟางเลี่ยอ้างไปเรื่อยว่า “ข้าได้รับคำสั่งให้รักษาระเบียบขั้นตอนในการรับสมัครครั้งนี้ พอได้ยินว่ามีคนที่มีตัวตนไม่ชัดเจนมาที่นี่ ข้าก็อดไม่ได้ที่จะกังวลความปลอดภัยของแม่ทัพภาค จึงมาดูว่าเป็นใครกันแน่ ข้าพิจารณาเพื่อแม่ทัพภาคเช่นกัน หวังว่าจะไม่คิดมาก”


ไม่รอให้เหมียวอี้พูดต่อ หลงซิ่นก็พูดแขวะแล้วว่า “ไม่น่าเชื่อว่าตำหนักสวรรค์ส่งเจ้ามาคุ้มครองที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีด้วยตัวเอง ดูท่าแล้ว การที่พวกเรามาขอพึ่งพาก็ไม่ถือว่าอยุติธรรมนัก”


ตงฟางเลี่ยยิ้มเจื่อนเล็กน้อย ถ้าคนทั่วไปกล้าพูดเหน็บแนมเขาอย่างนี้ เขาก็ไม่มีอะไรให้เกรงใจเลยจริงๆ เพียงแต่เขาไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยกับสองคนนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นคนรู้จักเก่าแก่ อีกฝ่ายเก็บกดมาหลายปี จะพูดจาเหน็บแนมบ้างก็พอเข้าใจได้ จะว่าไปที่สิ่งที่ทั้งสองประสบก็ทำให้คนรู้สึกทอดถอนใจเช่นกัน ทว่าเปลี่ยนให้ทั้งสองอยู่ในตำแหน่งเดิมในอดีตแล้วพูดอย่างนี้ เขาจะต้องเอาคืนแบบตาต่อตาฟันต่อฟันแน่นอน ทว่าตอนนี้ทั้งสองไม่ได้วางมาดสูงส่งอะไร ตราบใดที่ทั้งสองไม่ได้ทำเกินไป เขาก็ไม่จำเป็นต้องถือสาเลยจริงๆ ตัวเองกำลังปฏิบัติหน้านี้ ไม่อยากสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็น จึงเป็นฝ่ายกุมหมัดคารวะเชิญก่อน “ไม่ได้เจอทั้งสองท่านมาหลายปี ต่อไปถ้าทั้งสองมีเวลาว่างและไม่รังเกียจ ก็ควรจะไปดื่มสุราแสดงน้ำใจไมตรีกันสักหน่อย”


ชิงเยว่กล่าวเสียงเรียบ “ก็ดี! เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะอยู่ที่นี่ได้นานแค่ไหน เกรงว่าจะมีคนกลัวเกิดเรื่อง อยากจะไล่พวกเราไปเร็วๆ แล้ว!” นางหันกลับมามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง เหมือนจะหมายถึงเขา  และเหมือนจะยั่วยุเขาด้วย


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่รบกวนพวกเจ้าคุยธุระกันแล้ว” ตงฟางเลี่ยกุมหมัดกล่าวอำลา แล้วหันตัวนำคนเดินออกไป


หลังจากมองส่งเขาจากไป จนกระทั่งประตูปิดแล้ว ทั้งสองก็หันตัวกลับมาอีกครั้ง หลงซิ่นถามว่า  “แม่ทัพภาคหนิว มีตงฟางเลี่ยเป็นพยานแล้ว คงไม่ต้องตรวจสอบตัวตนของพวกเราแล้วละมั้ง?”


“อาศัยวรยุทธ์ของทั้งสอง ทำไมถึงมาขอพึ่งพาหนิวผู้นี้?” เหมียวอี้ถามอย่างไม่ลนลาน


“ถ้าไม่กล้ารับไว้ ก็บอกมาตรงๆ” ชิงเยว่กล่าว


เหมียวอี้จคงบอกว่า “เกรงว่าวัดจะเล็กเกินไปจนทำให้ท่านมหาเทพทั้งสองลำบากน่ะสิ”


“อย่าพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์เลย พูดมาคำเดียว กล้ารับหรือไม่กล้ารับ?” ชิงเยว่ถาม


เหมียวอี้ตอบว่า “เจ้าไม่ต้องท้าข้าหรอก ไม่เกี่ยวว่ากล้าหรือไม่กล้า ข้าขอถามแค่คำเดียว ถ้าพวกเจ้ามาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาข้า ใครจะเป็นผู้นำ ใครจะเป็นผู้ตาม?”


ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วหลงซิ่นก็ตอบว่า “เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเจ้าก็ย่อมให้เจ้าเป็นนายท่านสิ พวกเราสองคนเป็นผู้ตาม”


เหมียวอี้จึงบอกว่า “ถ้างั้นพวกเจ้าก็เปลี่ยนท่าทีเวลาพูดกับข้าก่อนเลย”


“…” ทั้งสองพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง ก่อนที่ชิงเยว่จะบอกว่า  “เรื่องในภายหลังเดี๋ยวค่อยว่ากัน อย่างน้อยตอนนี้พวกเราสองคนก็ยังไม่ใช่ลูกน้องเจ้า”


“งั้นเหรอ?” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ


“แน่นอน” ทั้งสองตอบเป็นเสียงเดียวกัน


เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ “หวังว่าพวกเจ้าจะจดจำสิ่งที่ตัวเองพูดในวันนี้เอาไว้ ไม่อย่างนั้นข้ารับพวกเจ้าได้ ข้าก็เตะพวกเจ้าออกไปได้เหมือกนั้น ถึงตอนนั้นไม่ต้องให้ข้าจัดการพวกเจ้าสองคนหรอก ย่อมมีคนลงมือแทนอยู่แล้ว”


ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง พบว่าท่านนี้พูดจาวางโตจริงๆ เพียงแต่เรื่องความกล้าก็ไม่ต้องพูดถึงเช่นกัน กล้าพูดกับพวกเขาสองคนอย่างนี้ ไม่กลัวว่าจะยั่วโมโหพวกเขาเลย


“เจ้าหมายความว่า เจ้าตอบตกลงรับพวกเราสองคนแล้วเหรอ?” หลงซิ่นถาม


เหมียวอี้ตอบว่า “พวกเจ้าสองคนวรยุทธ์สูงเกินไป ข้าตอบตกลงไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้าต้องรายงานเบื้องบน ถ้าเบื้องบนไม่ขัดขวาง ก็ลงทะเบียนเข้าในรายชื่อจวนแม่ทัพภาคตลาดผีทันที” ที่จริงไม่ต้องรายงานขึ้นไปเบื้องบนก็ได้ ตราบใดที่อยู่ในกฎระเบียบ เขาก็ล้วนมีอำนาจตัดสินใจ ในการเดิมพันไม่มีการจำกัดสิ่งนี้ แต่ก็อย่างที่หยางชิ่งบอก ต้องดูท่าทีของวังสวรรค์ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที


“เจ้าหมายความว่า ยังต้องให้พวกเรากลับไปรอฟังข่าวอีกเหรอ?” ชิงเยว่ถาม


“ทั้งสองให้เกียรติมาเยือน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้มิอาจไม่ไว้หน้า พักอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคสักหน่อยเถอะ สามวันเท่านั้น อีกสามวันหลังจากนี้จะให้คำตอบพวกเจ้า” เหมียวอี้กล่าว


ทั้งสองสบตากันแล้วพยักหน้า ตอบตกลงแล้ว “ได้ รอแค่สามวัน”


“พวกเจ้าเองก็อย่ารีบดีใจเร็วเกินไปนัก ข้าจะพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไปซะก่อน ตอนนี้ยศพวกเจ้าต่ำไป ข้าเองก็ไม่มีความสามารถจะไปเลื่อนยศให้พวกเจ้าโดยไร้เหตุผล ถ้ามาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าแล้วก็ต้องเริ่มจากยศปัจจุบันของเจ้า ถ้าตกลงก็อยู่ต่อ ถ้าไม่ตกลงก็ขออภัยที่ต้องส่งตรงนี้!” เหมียวอี้ทำมือเชิญให้เดินออกไป


นี่ไม่ใช่การแสดงบารมี อย่าว่าแต่เขาเลย ต่อให้เป็นประมุขชิงกับสี่อ๋องสวรรค์ก็ไม่อาจเลื่อนยศให้ใครโดยไร้เหตุผลเช่นกัน ไม่อย่างนั้นก็จะคุมคนไม่ได้ ถ้าทุกคนทำซี้ซั้วโดยไม่สนกฎระเบียบ เช่นนั้นใต้หล้าก็จะวุ่นวายใหญ่โตแล้ว ก็เหมือนกับที่ตระกูลโค่วช่วยคืนยศตำแหน่งเดิมให้เหมียวอี้ ยังต้องคิดหาทางให้เหมียวอี้สร้างผลงานไม่หยุดหย่อนเลย แต่ก็ว่าไปแล้ว อาศัยศักยภาพของทั้งสอง ภารกิจยางอย่างที่ยากในสายตาคนอื่น แต่ทั้งสองกลับสร้างผลงานได้อย่างง่ายดาย ขอเพียงมีโอกาส คนที่มีศักยภาพก็ไม่ต้องกลัวสิ่งนี้อยู่แล้ว


“แน่นอนอยู่แล้ว” หลงซิ่นพยักหน้า


“กฎเล็กน้อยแค่นี้ข้ายังพอเข้าใจ” ชิงเยว่พยักหน้าเช่นกัน


“ทหาร!” เหมียวอี้ตะโกน หยางเจาชิงผลักประตูเข้ามารับคำสั่ง เหมียวอี้เอียงหน้าบอกว่า “พาพวกเขาลง จัดที่พักในจวนให้พวกเขาชั่วคราว”


“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วยื่นมือเชิญ


ชิงเยว่กับหลงซิ่นมองเหมียวอี้ด้วยแววตาสับสน ทั้งสองไม่รู้สึกถึงปฏิกิริยาอะไรจากตัวเหมียวอี้เหมือนที่เคยจินตนาการไว้เลย กลับรู้สึกว่าเหมียวอี้สุขุมเยือกเย็นต่อพวกเขา ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเป็นเพราะตัวเองใช้ชีวิตต่ำต้อยมานานเกินไปจนขาดความน่าเกรงขามอย่างที่ควรจะมีแล้วหรือเปล่า?


ก่อนจะแยกกัน ทั้งสองก็นับว่าทำตัวสุภาพมากขึ้น กุมหมัดคารวะแล้วถึงได้ตามหยางเจาชิงออกไป


หลังจากรู้ว่าทั้งสองพักอยู่ที่จวนแม่ทัพภาค อวิ๋นจือชิวก็มาหาทันที พอเห็นหน้าก็ถามเลยว่า  “เจ้าตัดสินใจรับพวกเขาจริงเหรอ?”


เหมียวอี้เอามือไขว้หลังพลางถอนหายใจ จากนั้นเดินไปเดินมาพร้อมบอกแผนในใจ “น้องชิว ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร มันก็เสี่ยงจริงๆ แต่ขอเพียงรับทั้งสองมานั่งรักษาการณ์ที่นี่ได้ ข้าก็สามารถรับนักพรตบงกชกลายทั้งหมดโดยไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องกลัวว่าคนเยอะแล้วจะคุมไม่ไหว มีสองคนนี้คอยขู่ให้ข้าก็พอแล้ว!”


อวิ๋นจือชิวจึงกล่าวอย่างกังวล “เจ้าใจร้อนอยากประสบความสำเร็จมากไปหรือเปล่า? ถ้าในอนาคตสองคนนั้นไม่ยอมรับการควบคุมจากเจ้า เกรงว่าวิธีคิดของเจ้าจะได้ผลตรงกันข้าม”


เหมียวอี้หยุดเดินแล้วแสยะยิ้ม “งั้นก็ลองให้พวกเขาทำอย่างนั้นดูสิ ข้าจะได้เชือดไก่ให้ลิงดู ข้าจะหาคนที่เอาชีวิตพวกเขาไม่ได้เชียวเหรอ อย่ากดดันให้ข้าเอาหัวของพวกเขามาสร้างบารมีเลย!”


อวิ๋นจือชิวแอบทอดถอนใจขณะมองเขาเงียบๆ เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ นางรู้สึกได้ว่าตอนนี้สภาพจิตใจของเหมียวอี้เปลี่ยนไปแล้ว นางเองก็ไม่รู้ว่าการที่เหมียวอี้มีความมั่นใจที่จะพลิกมือคว่ำเมฆหงายมือเสกฝน[1]เป็นเรื่องดีหรือเรื่องแย่ ประเด็นไม่สอดคล้องกับศักยภาพของตัวเอง ทำให้นางอดกังวลไม่ได้ แต่นางก็หาเหตุผลมาห้ามเขาไม่ได้อีก เพราะสถานการณ์กลายเป็นอย่างนี้เร็วมาก ทำให้นางไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องแย่


จวนท่านโหวจ้านผิง ในสวนป่าที่สร้างขึ้นไป ซ่างกวนชิงยืนเงียบๆ อยู่ตรงประตูในสวน กำลังรอประมุขชิง ส่วนสาเหตุว่าทำไมประมุขชิงมาที่นี่? ก็เพราะอ้างว่าจะออกจากวังมาลาดตระเวนใต้หล้าเงียบๆ ทว่าพอออกจากวังก็แอบมาเยี่ยมสนมสวรรค์ทันที พักอยู่ที่นี่ตั้งหลายวัน


แน่นอน เมื่อประมุขชิงขอให้เก็บเป็นความลับ จวนท่านโหวจ้านผิงก็ย่อมรักษาความลับให้ประมุขชิงอย่างเข้มงวด


“ผู้การใหญ่ เชิญค่ะ!” หลังจากเข้าไปรายงานแล้ว เทพธิดาก็ออกมาเชิญอีกครั้ง ซ่างกวนชิงถึงได้เดินตามหลังเข้าไปข้างใน


ในศาลาหลังหนึ่งที่ยื่นลงพื้น ประมุขชิงกำลังนั่งดื่มสุราเงียบๆ คนเดียว ซ่างกวนชิงที่มาถึงมองจอกสุราที่จัดวางเป็นคู่แล้วแอบร้องในใจว่าแย่แล้ว รู้ว่าตัวเองมาทำลายบรรยากาศของประมุขชิง คนที่สามารถนั่งดื่มสุราตรงนี้กับฝ่าบาทได้จะยังมีใครได้อีก ท่านั้นไม่ค่อยชอบนั่งสุราเป็นเพื่อใคร เกรงว่าการมาของตนจะทำให้ทั้งคู่แยกกันแล้ว


เป็นอย่างที่คาดไว้ ไม่ต้องรอให้เขาเอ่ยปาก ประมุขชิงก็กล่าวเสียงเย็นแล้วว่า “ไม่รู้เหรอว่าข้าติดธุระ?”


ซ่างกวนชิงตอบอย่างระมัดระวังว่า “ฝ่าบาท ทางตลาดผีส่งข่าวมา การรับสมัครคนของหนิวโหย่วเต๋อมีเรื่องผิดพลาดนิดหน่อย”


ประมุขชิงหรี่ตาทันที “มีคนจงใจก่อกวนเหรอ?”


“ชิงเยว่กับหลงซิ่นไปสมัครแล้วขอรับ ตงฟางเลี่ยเห็นกับตา” ซ่างกวนชิงกล่าว


“ชิงเยว่ หลงซิ่น?” ประมุขชิงงงไปชั่วขณะ นึกย้อนไปครู่เดียวก็เหมือนจะนึกออกแล้วว่าเป็นใคร บนใบหน้าฉายแววตกตะลึง “ชิงเยว่กับหลงซิ่นที่ถูกลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดินเหรอ? พวกเขาก็ไปสมัครเหมือนกันเหรอ?”


ดูจากปฏิกิริยาของเขาแล้ว ซ่างกวนชิงก็โล่งอก รู้ว่าเบี่ยงเบนความโกรธของเขาได้แล้ว จกานั้นโค้งตัวเล็กน้อยพร้อมตอบว่า “ขอรับ! ตงฟางเลี่ยไปตรวจสอบยืนยันด้วยตัวเอง เป็นสองคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย”


ประมุขชิงครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะหึหึ เบะปากกล่าวอย่างร่าเริง “ถ้าข้าจำไม่ผิด ชิงเยว่นั่นถูกลดตำแหน่งเพราะไปล่วงเกินพ่อบ้านของฮ่าวเต๋อฟางใช่มั้ย?”


“ฝ่าบาทความจำดีมาก เป็นเรื่องเมื่อหนึ่งแสนปีก่อน ข่าน้อยนึกอยู่นานกว่าจะนึกออก!” ซ่างกวนชิงตอบ


“น่าสนใจอยู่นะ หึหึ เกรงว่าฮ่าวเต๋อฟางคงยังไม่รู้เรื่องล่ะสิ?” ประมุขชิงวางจอกสุราแล้วยืนขึ้น เดินไปเดินมาพลางครุ่นคิดด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ จากนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย “สองคนนี้ไปขอพึ่งพาที่นั่น ในนั้นคงไม่มีอะไรในกอไผ่หรอกใช่มั้ย? ไป เรียกซือหม่าเวิ่นเทียนมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”


…………………………


[1] พลิกมือคว่ำเมฆหงายมือเสกฝน 翻手为云覆手为雨 หมายถึงการใช้กลอุบายพลิกเรื่องราวต่างๆ

 

 

 


บทที่ 1732 ไปเฝ้าประตูใหญ่

 

เมื่อผ่านไปสามวัน ตงฟางเลี่ยที่ตัวยังอยู่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีก็ยังไม่ตอบอะไรกลับมา ทางวังสวรรค์ก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเช่นกัน เหมียวอี้ที่มีรายชื่อว่างอยู่หนึ่งแสนเรียกชิงเยว่และหลงซิ่นมาพบอย่างเป็นทางการ แต่ครั้งนี้ไม่ได้พบกันที่ห้องรับแขก แต่เป็นห้องทำงานของเหมียวอี้


พอเข้ามาข้างในแล้วเห็นเหมียวอี้นั่งแต่งกายเรียบร้อยอยู่หลังโต๊ะยาว ทั้งสองพอจะเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว พอนึกว่าตัวเองกำลังจะหลุดพ้นจากเงามือของคนบางกลุ่มอย่างเป็นอย่างการ กำลังจะหลุดพ้นจากจุดที่ถูกขังอย่างเป็นทางการ ทั้งสองก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรนัก แต่กลับรู้สึกซับซ้อนในอารมณ์ถึงขีดสุด


ทั้งสองกุมหมัดคารวะอย่างเกรงใจ โดยที่ชิงเยว่เอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าพวกเราสองคนได้อยู่หรือได้ไป?”


เหมียวอี้บอกว่า “ข้ายังคงถามเหมือนเดิม ทำไมพวกเจ้าต้องการมาพึ่งพาที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี?”


ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง รู้ว่านี่แทบจะเป็นการสัมภาษณ์ด่านสุดท้ายแล้ว แต่จะให้ทั้งสองพูดเรื่องนี้ได้อย่างไรล่ะ? สุดท้ายหลงซิ่นก็ยังกล่าวช้าๆ ว่า “อยากจะมีโอกาสหวนกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง!”


“หวนกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง?” เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ “เจ้าคิดว่าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีจะให้โอกาสนี้กับเจ้าได้เหรอ?”


“ไม่แน่ใจ” หลงซิ่นตอบ


เหมียวอี้มองชิงเยว่ “แล้วเจ้าล่ะ?”


“ข้าก็คล้ายๆ กับเขา” ชิงเยว่ตอบ


เหมียวอี้จึงบอกว่า “ตอนแรกพวกเจ้าก็นับว่าตำแหน่งสูงอำนาจเยอะ ข้าอยากจะรู้ว่าทำไมตอนแรกพวกเจ้าถึงโดนลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดิน เจ้าพูดก่อน!” เขาชี้ชิงเยว่


“พวกเราสองคนมาขอพึ่งพา อย่าบอกนะว่านายท่านไม่เคยสืบประวัติของพวกเราเลย?” ชิงเยว่ถาม


“ได้ฟังมาบ้างนิดหน่อย แต่ไม่รู้สาเหตุสำคัญชัดเจน” เหมียวอี้กล่าว


ชิงเยว่ยิ้มเย้ยตัวเอง แล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรอีก เล่าต้นสายปลายเหตุให้ฟังอย่างละเอียดเสียตรงนั้นเลย


ที่จริงสาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย ในปีแรกๆ ตำหนักสวรรค์ยังไม่ได้มีสถานการณ์เหมือนอย่างทุกวันนี้ เพิ่งจะกวาดล้างหกลัทธิได้ไม่นาน สถานการณ์วุ่นวายกว่าตอนนี้มาก ไม่ได้สงบเหมือนตอนนี้เลย กำลังพลของสี่อ๋องสวรรค์ก็ถูกดึงตัวมาจากทัวสารทิศเช่นกัน ใครที่มีกำลังพลใต้สังกัดมากหน่อย ใครที่มีกำลังแข็งแกร่งมากหน่อยก็ย่อมอยากจะครอบครองผลประโยชน์ให้มากขึ้น แต่เพิ่งบุกยึดใต้หล้าได้ไม่นาน ถ้าวุ่นวายอย่างนั้นต่อไปก็จะเกิดปัญหาได้ง่าย ปรับปรุงกำลังพลใต้สังกัดอย่างเข้มงวดคือเรื่องที่กดดันอยู่ตรงหน้า ทัพใหญ่แต่ละสายจึงก่อตั้งกำลังพลลาดตระเวนขึ้น ทำหน้าที่ลาดตระเวนและปรับปรุงจัดระเบียบ ชิงเยว่ก็คือทูตลาดตระเวนฝั่งใต้ของฮ่าวเต๋อฟางที่คอยรับผิดชอบงานด้านนี้ ตอนนั้นสังหารคนไปแล้วไม่น้อย ซูอวิ้นที่เป็นพ่อบ้านคนปัจจุบันของฮ่าวเต๋อฟางก็ไม่ใช่ผู้หญิงจากตระกูลธรรมดาเช่นกัน อำนาจของตระกูลนางเทียบเท่ากับตำแหน่งโหวคนหนึ่งของตำหนักสวรรค์


ตอนที่ช่วงชิงใต้หล้า เพื่อที่จะช่วยเหลือฮ่าวเต๋อฟาง ซูอวิ้นจึงโน้มน้าวให้ตระกูลซูช่วยเหลือ ส่วนตระกูลซูก็ได้สร้างผลงานอย่างยากลำบากแล้วจริงๆ แต่หลังจากบุกยึดใต้หล้าได้แล้ว ตระกูลซูก็อาศัยความรักที่ฮ่าวเต๋อฟางมีต่อซูอวิ้น ต้องการจะเร่งขยายอำนาจแข่งกับเวลา เพราะใครก็รู้ทั้งนั้นว่าการฉวยโอกาสตอนที่สถานการณ์ยังไม่สงบขยายอำนาจได้ก่อนก็จะได้เปรียบ เมื่อสถานการณ์สงบเมื่อไร ถ้าอยากจะทำให้วุ่นวายอีกก็ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว ชิงเยว่เตือนตระกูลซูหลายครั้งแล้ว แต่ตระกูลซูไม่แยแสคำเตือนของชิงเยว่เลย และการที่ตระกูลซูไม่ยอมหยุด ก็จะทำให้อำนาจฝ่ายอื่นอ้างได้เช่นกัน ว่าทำไมตระกูลซูทำอย่างนี้ได้แต่พวกเราทำไม่ได้? ด้วยความโมโห ชิงเยว่จึงวางกับดัก นำทัพใหญ่ล้างเลือดจวนตระกูลซู สังหารหมดทั้งตระกูลซู ฆ่าหมดไม่เหลือแม้แต่ไก่กับสุนัข ทว่าด้วยสาเหตุนี้เอง ชิงเยว่ทำให้ฮ่าวเต๋อฟางเดือดดาลแล้ว ข้อหาก็คือตอนวางแผนนางแอบอ้างชื่อฮ่าวเต๋อฟาง และถ่ายทอดคำสั่งปลอมเช่นกัน จึงถูกลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งภูผาเสียเลย


เหมียวอี้ฟังแล้วแอบทอดถอนใจ ถามว่า “ข้าได้ยินว่าในปีนั้นซูอวิ้นยังไม่ได้เป็นพ่อบ้านของตระกูลฮ่าว ที่ซูอวิ้นผ่านเคราะห์ครั้งนั้นมาได้ เป็นเพราะเจ้าจงใจปล่อยไปเหรอ?”


ชิงเยว่ตอบว่า “ข้าไม่เคยปล่อยนางไป ตอนนั้นถึงแม้ซูอวิ้นจะไม่ใช่พ่อบ้านของจวนตระกูลฮ่าว แต่ก็ถูกฮ่าวเต๋อฟางเก็บไว้ข้างกายแล้ว และเบื้องหลังก็มีตระกูลซูยุยงส่งเสริม ตระกูลซูจงใจจับคู่ให้ซูอวิ้นกับฮ่าวเต๋อฟาง ถ้าซูอวิ้นได้หลายเป็นหวังเฟยเมื่อไร ผลประโยชน์ที่ตระกูลซูจะได้ก็เด่นชัดมาก ดังนั้นทุกคนของตระกูลซูจึงหวังให้เรื่องดำเนินต่อไป ถึงทำให้ซูอวิ้นพ้นเคราะห์ครั้งนั้นไปได้ หรือพูดได้อีกอย่างว่า ถ้าตอนนั้นตระกูลซูไม่ถูกกำจัด ตำแหน่งในปัจจุบันก็ไม่ธรรมดาแน่นอน และซูอวิ้นก็ยากที่จะต้านการผลักดันของตระกูลซู เกรงว่าความสัมพันธ์ของซูอวิ้นกับฮ่าวเต๋อฟางคงไม่เป็นเหมือนอย่างทุกวันนี้ คงกลายเป็นหวังเฟยไปนานแล้ว ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่เรียกว่าพ่อบ้านบ้าบออะไรนี่หรอก”


เหมียวอี้เลิกคิ้ว สาเหตุที่ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่าวเต๋อฟางกับซูอวิ้นนั่นกลายเป็นเหมือนทุกวันนี้ สงสัยจะเป็นผลงานของท่านนี้ทั้งหมด ถ้ารับคนแบบนี้ไว้ จะไม่เท่ากับตัวเองรับคนที่ถูกคนอื่นแค้นเอาไว้หรอกหรือ? แต่เขาก็ยังถามอย่างแปลกใจอีกว่า “อาศัยอิทธิพลของซูอวิ้น ทำไมยังไม่ฆ่าล้างแค้นเจ้าอีกล่ะ ทำไมปล่อยเจ้ารอดมาจนถึงทุกวันนี้?”


ชิงเยว่แสยะยิ้ม “คงไม่ใช่เพราะนางไม่อยากฆ่าข้าหรอก แต่ถ้าฆ่าข้าแล้วคงจะไปชี้แจงกับพวกลูกน้องไม่ได้ หลังจากตระกูลซูถูกกวาดล้าง ก็ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อกำลังพลแต่ละสายของฮ่าวเต๋อฟาง และทำให้ตอนหลังฮ่าวเต๋อฟางลดการปรับปรุงกำลังพลแต่ละสายไปเยอะมาก ตอนนั้นข้านึกว่าตัวเองได้สร้างผลงานใหญ่แล้ว ก็เลยไม่ถือสาที่ฮ่าวเต๋อฟางลดตำแหน่งข้าเป็นเทพแห่งภูผา นึกว่าในสักวันหนึ่งฮ่าวเต๋อฟางจะต้องใช้งานข้าอีกครั้ง ข้าก็เลยรอมาตลอดไง รอจนกระทั่งใต้หล้าลืมการมีตัวตนของข้าไปแล้ว ไม่เห็นฮ่าวเต๋อฟางจะมีความเคลื่อนไหวอะไรเลย รอจนข้าท้อแท้สิ้นหวัง ข้าถึงได้รู้ว่าความคิดของข้าในปีนั้นมันไร้เดียงสาขนาดไหน ข้าเองก็เข้าใจเช่นกัน ว่าสำหรับฮ่าวเต๋อฟาง ต่อให้ข้าจะสร้างผลงานใหญ่แค่ไหน แต่ก็ไม่สำคัญเท่าซูอวิ้นอยู่ดี แล้วข้าก็ไม่มีทางไป ตราบใดที่ฮ่าวเต๋อฟางยังอยู่ ทัพใต้ก็ไม่มีทางปล่อยข้าออกไป ถ้าถือวิสาสะหนีไปเอง ข้าก็รับผลที่ตามมาไม่ไหว ข้ารอมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอจนมีโอกาสหลุดพ้น…นี่ก็คือเหตุผลที่ข้ามาขอพึ่งพาจวนแม่ทัพภาคตลาดผี แม่ทัพภาคหนิวยังสงสัยอะไรอีกหรือเปล่า?”


เหมียวอี้ไม่ได้ตอบนาง แต่มองไปที่หลงซิ่นแทน “เจ้าล่ะ?”


หลงซิ่นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเย้ยตัวเองเช่นกัน “สาเหตุของนางเกิดจากผู้หญิง สาเหตุของข้าก็เกิดจากผู้หญิงเหมือนกัน…” เขาเล่าสถานการณ์ของตัวเองให้ฟังอย่างละเอียด


ในปีนั้นเขาเป็นท่านโหวที่ได้เข้าประชุมในราชสำนัก มีอยู่วันหนึ่งลูกน้องแจ้งมาว่าในอาณาเขตมียอดหญิงงามแบบที่หาพบได้ยากในโลกนี้ ต้องการจะนำตัวมาเป็นของขวัญให้เขา แต่ใครคิดว่าโจวอ้าวหลินลูกชายของโจวจ้าวรู้ข่าวมาจากไหนก็ไม่รู้ โจวอ้าวหลินจึงให้คนมาบอกเขาว่า หวังว่าเขาจะตัดรักนี้ได้ ตอนแรกเขาก็ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร แต่จนกระทั่งผู้หญิงคนนั้นมาอยู่ตรงหน้า ถึงได้พบว่าเป็นยอดหญิงงามที่หาพบได้ยากจริงๆ เขาโปรดปรานมาก จึงไม่สนใจโจวอ้าวหลิน รับนางมาเป็นอนุภรรยาเสียเลย ทว่าทิวทัศน์อันงดงามอยู่ได้ไม่นาน มีอยู่วันหนึ่งอนุภรรยาคนนั้นของเขาออกไปท่องเที่ยว แล้วจู่ๆ ก็ถูกชิงตัวไป ผู้คุ้มกันคนหนึ่งที่รอดพ้นเคราะห์ครั้งนั้นมาได้บอกว่าจำได้ว่าหนึ่งในคนที่ชิงตัวนางไปเป็นลูกน้องคนสนิทโจวอ้าวหลิน หลงซิ่นเดือดดาลมาก เรื่องบางเรื่องสามารถทนได้ แต่ผู้หญิงของตัวเองโดนแย่งไปจะทนได้อย่างไร เขาถึงไปเรียกร้องความยุติธรรมที่จวนตระกูลโจว ตอนนั้นโจวจ้าวยังไม่ได้เป็นจอมพลสายมะแม เป็นเพียงเทพประจำดาวเท่านั้น และเป็นผู้บังคับบัญชาของหลงซิ่นด้วย


แต่ใครจะคิดว่าโจวอ้าวหลินจะปฏิเสธลูกเดียว ไม่ยอมรับว่าทำเรื่องนี้ ตอนนั้นโจวจ้าวสีหน้าแย่มาก สิ่งที่ทำให้หลงซิ่นยิ่งคับแค้นก็คือ หลังจากครั้งนั้นอนุภรรยาของเขาก็ตัดขาดการติดต่อไปเลย เป็นตายอย่างไรไม่รู้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกปิดปากไปแล้ว หลังจากจบเรื่องนั้นก็มีเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ แอบโน้มน้าวเขาไม่ให้ก่อเรื่องอีกแล้ว บอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่โจวจ้าวจะยอมรับเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับยอมรับเรื่องที่ตัวเองให้ท้ายลูกชายแย่งตัวผู้หญิงของลูกน้องน่ะสิ? ถึงตอนนั้นโจวจ้าวจะเผชิญหน้ากับกลุ่มลูกน้องได้อย่างไร? แต่เขาเป็นชายชาตรี มีหรือจะทนความอัปยศได้ ถ้าทนไหวจริงๆ ในถายหลังจะไม่ถูกคนลอบกัดตลอดไปหรอกเหรอ? ผลก็เลยเป็นอย่างที่เห็น ปัญหาต่างๆ รุมเร้าเข้ามา กดขี่ข่มเหงเขาไม่หยุดหย่อน กดดันให้เขายอมรับผิด เพียงแต่เขาไม่ได้ถูกลดให้อยู่ตำแหน่งต่ำสุดเหมือนชิงเยว่  ตอนแรกถูกลดจากตำแหน่งโหวเป็นหัวหน้าภาค แล้วลดเป็นแม่ทัพภาคต่อ แล้วค่อยเป็นผู้บัญชาการใหญ่ จนกระทั่งสามปีก่อนก็ถูกลดเป็นเทพแห่งผืนดิน


หลังจากฟังจบ ในใจเหมียวอี้ก็แอบพึมพำว่า ถ้ารับเจ้าหมอนี่ไว้ก็เท่ากับล่วงเกินจอมพล ผีหลอกแล้ว


แต่จะว่าไปแล้ว เขาเองก็เข้าใจชัดเจนเช่นกัน ว่าถ้าสองคนนี้ไม่ประสบกับเรื่องแบบนี้ ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่มีทางยอมมาขอพึ่งพาเป็นลูกน้องเขาอยู่ดี


หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็บอกว่า “สามวันก่อนข้าบอกไว้แล้ว ว่าหลังจากรับพวกเจ้า พวกเจ้าจะต้องเริ่มจากยศปัจจุบันของตัวเอง”


“พวกเราไม่ได้ความจำแย่ขนาดนั้น ย่อมจำได้อยู่แล้ว” ชิงเยว่กล่าว


เหมียวอี้หยิบแผ่นหยกแต่งตั้งตำแหน่งขึ้นมาบนโต๊ะ แล้วกล่าวอย่างใจเย็น “ถ้ารับพวกเจ้าสองคน ที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีตอนนี้ยศพวกเจ้าต่ำสุด จะให้คนที่ยศสูงกว่าพวกเจ้าไปเฝ้าประตูไม่ได้หรอก จะให้พวกเจ้าสองคนไปเฝ้าประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาค พวกเจ้าเต็มใจหรือเปล่า?”


“…” ชิงเยว่กับหลงซิ่นพูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง สีหน้าบิดเบี้ยวแล้ว เฝ้าประตูใหญ่งั้นเหรอ? ให้พวกเราสองคนไปเฝ้าประตูใหญ่ เจ้าช่างพูดออกมาได้นะ


เหมียวอี้ลูบแผ่นหยกแต่งตั้งตำแหน่ง ค่อยๆ เหลือบตาขึ้นมองทั้งสองโดยไม่ได้พูดอะไร ได้แต่มองอยู่อย่างนั้น รอคอยคำตอบ


สุดท้ายชิงเยว่ก็กล่าวอย่างคับแค้น “นับว่าเจ้าโหด! ตราบใดที่เจ้าไม่กลัวว่าจะรับคนโหด ข้าก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไร”


เหมียวอี้นำแผ่นหยกมาร่ายอิทธิฤทธิ์เขียนทันที เขียนเสร็จลงตราอิทธิฤทธิ์ตัวเองแล้วโยนให้ชิงเยว่เสียเลย “ตั้งแต่นี้ไป เจ้าคือคนของจวนแม่ทัพภาคตลาดของข้าแล้ว”


ไม่มีท่าทีลังเลใดๆ รวดเร็วฉับไวมาก


ชิงเยว่รับแผ่นหยกมาตรวจอ่านในมือ หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นของจริง บนใบหน้าก็เริ่มแสดงอารมณ์ดีใจและโศกเศร้าปนกัน คนนอกไม่มีทางรู้ได้ว่านางรู้สึกอย่างไร


หลงซิ่นมองของในมือชิงเยว่ แล้วสุดท้ายก็กัดฟันตอบว่า “ดี!”


เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขียนแผ่นหยกอีกแผ่นแล้ว จากนั้นโยนให้เขา ใช้สองมือจับโต๊ะขณะที่มองทั้งสอง มองเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร รอคอยอีกแล้ว


ทั้งสองที่อารมณ์สงบลงเล็กน้อยยังคงรู้สึกเหมือนฝันไป ถูกขังมาหลายปีขนาดนี้ ได้หลุดพ้นแล้วจริงๆ เหรอ? ถึงแม้พวกเขาจะมาอย่างเฝ้าคอย แต่ก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเหมียวอี้จะกล้ารับพวกเขาไว้ ยิ่งนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะตัดสินใจเร็วขนาดนี้


เมื่อรออยู่นานแล้วไม่ได้ยินเสียงอะไร เหมียวอี้ก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบช้าๆ ไม่ได้สั่งอะไรทั้งสอง และไม่ได้เร่งให้ทั้งสองออกไปด้วย


ค่อยเป็นค่อยไป ทั้งสองเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว หลังจากสบตากันแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ก้มหน้ากุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยคารวะท่านแม่ทัพภาค!”


ในที่สุดเหมียวอี้ก็วางถ้วยน้ำชาในมือ “พาพวกเขาไปประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาค”


“…” หยางเจาชิงที่ยืนอยู่ด้านข้างตลอดงงนิดหน่อย มองเหมียวอี้ด้วยความเหลือเชื่อ จะให้ทั้งสองไปเฝ้าประตูใหญ่จริงเหรอ? ล้อเล่นแรงเกินไปหรืเปล่า? ในดวงตาเขาฉายแววสอบถามเพื่อความแน่ใจ


“ทำไม? เจ้าอยากไปช่วยพวกเขาเฝ้าประตูเหรอ?” เหมียวอี้เอียงหน้ามองมา


“…” หยางเจาชิงพูดไม่ออก ได้แต่กุมหมัดรับบัญชา แล้วยื่นมือเชิญทั้งสองให้ตามพวกเขาออกไป


หลังจากในห้องเหลือเหมียวอี้อยู่คนเดียว เหมียวอี้ถึงได้ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง แล้วหลับตาลงช้าๆ


ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็มาเพราะได้ยินข่าว นางสาวเท้าเดินบุกเข้ามา แล้วอุทานถามว่า  “ได้ยินเจาชิงบอก เจ้าให้ชิงเยว่กับหลงซิ่นไปเฝ้าประตูจวนแม่ทัพภาคเหรอ?”


“เจาชิงนี่ควบคุมปากตัวเองไม่ค่อยได้เลยนะ” เหมียวอี้ลืมตาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ก็พวกเขายศต่ำสุดในบรรดาคนที่นี่ ถ้าไม่ให้พวกเขาเฝ้าแล้วจะให้ใครเฝ้า?”


อวิ๋นจือชิวกลอกตา “อย่ามาพูดเลย มีคนของกองทัพองครักษ์เฝ้าอยู่ ยังต้องให้พวกเขาไปเฝ้าด้วยเหรอ?”


“คนของกองทัพองครักษ์ก็คือคนของกองทัพองครักษ์ คนในจวนแม่ทัพภาคก็คือคนของจวนแม่ทัพภาค ถ้าจวนแม่ทัพภาคที่สง่าผ่าเผยไม่มีใครเลยสักคน มันใช่เรื่องซะที่ไหน?” เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะยาวออกมา จับมือเรียวสวยของอวิ๋นจือชิวมาตบเบาๆ “ขนาดนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์มาอยู่ที่นี่แล้วยังต้องเฝ้าประตูแต่โดยดี ต้องทำให้คนที่มาทีหลังได้เห็นสิ ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเขาจะมาวางมาด หลังจากนี้จะต้องลดปัญหายุ่งยากได้แน่นอน สองเทพเฝ้าประตูที่ดีขนาดนี้ ถ้าไม่ใช้งานก็น่าเสียดายจริงๆ ฮูหยินเอ๋ย เรื่องดูแลบ้านข้าสู้เจ้าไม่ได้ แต่เรื่องคุมกองทัพข้าเข้าใจดีกว่าเจ้า ข้ารู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่”

 

 

 


บทที่ 1733 ข้านับว่าเจ้าโหด

 

ในจุดนี้อวิ๋นจือชิวยอมรับ เหมียวอี้เริ่มจากเป็นทหารเล็กๆ ระดับต่ำสุด เริ่มจากเป็นประมุขถ้ำที่มีลูกน้องสิบคน จนกระทั่งมาถึงตำแหน่งอย่างทุกวันนี้ เรียกได้ว่าก้าวขึ้นบันไดมาทีละก้าว บัญชาการทัพมาหลายปี เป็นฝ่ายนำทัพออกรบก่อนครั้งแล้วครั้งเล่า ประสบการณ์บัญชาการทัพเหนือกว่านางจริงๆ ถึงแม้นางจะเคยเป็นท่านทูตมาก่อน แต่นั่นก็เป็นตำแหน่งที่ตกลงมาจากฟ้า ไม่มีประสบการณ์ปกครองทัพของจริงอะไรเลย นางใช้งานคนอื่นมากกว่า


ฟังที่เหมียวอี้พูดก็รู้สึกว่ามีเหตุผลเหมือนกัน อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ “เพียงแต่ทำอย่างนี้ ในสายตาของพวกเขาสองคนจะคิดว่าเจ้าเหยียดหยามพวกเขาหรือเปล่า?”


เหมียวอี้มีวิธีคิดอีกอย่าง “ทั้งคู่เคยกลายเป็นเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินมาแล้ว ยังจะมาห่วงหน้าตาศักดิ์ศรีอีกเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นก็เกินเยียวยาแล้วล่ะ ถ้าแม้แต่ด่านนี้พวกเขายังผ่านไปไม่ได้ แม้แต่ศักดิ์ศรีเล็กน้อยแค่นี้ยังวางไม่ลง อย่าบอกนะว่าต่อไปเวลาข้าจะทำอะไรก็ต้องดูสีหน้าพวกเขาก่อน? แบบนั้นข้ายังจะสั่งงานพวกเขาได้อีกเหรอ? มาถึงครั้งแรกก็ใช้งานง่าย ทำให้พวกเขาคุ้นชินก่อน ขนาดเรื่องพวกนี้พวกเขาก็เคยทำมาแล้ว พอในภายหลังออกคำสั่งกับพวกเขาอีก ก็ต้องดีกว่าเฝ้าประตูอยู่แล้วสิ พวกเขาจะได้ไม่รู้สึกเหลือทน ย่อมเชื่อฟังคำสั่งได้ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ใช้พวกเขาเฝ้าประตูใหญ่แค่ตอนนี้ พอมีคนอื่นมาแล้วค่อยเปลี่ยนก็ได้ เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะให้พวกเขาเฝ้าประตูใหญ่ตลอดไป ขนาดพวกเขาสองคนยังเคยเฝ้าประตูมาแล้ว ในภายหลังถ้าให้นักพรตบงกชรุ้งพวกนั้นมาเฝ้าประตูอีก คนพวกนั้นก็จะสบายใจได้ จะไม่เกิดความคับแค้นในใจ”


อวิ๋นจือชิวฟังเข้าใจแล้ว นี่เป็นหัวใจเปี่ยมอุดมการณ์ของวีรบุรุษ ไม่คิดจะรับนักพรตที่ระดับต่ำกว่าบงกชรุ้งแล้ว แต่นางก็ต้องยอมรับว่าเหมียวอี้มีประสบการณ์กครองทัพมากกว่านาง นางเทียบเขาไม่ติด ในเมื่อทั้งก่อนหน้าและภายหลังล้วนมีแผนอยู่ในใจแล้ว นางเองก็ไม่พัวพันกับเรื่องนี้อีก แต่อดไม่ดที่จะกลอกตาอย่างสวยหยาดเยิ้ม พูดหยอกว่า “หนิวเอ้อร์ ข้าได้ยินว่าตอนเจ้าเป็นประมุขถ้ำคล้อยบูรพา พอได้รับตำแหน่งก็เคยสั่งให้คนเฝ้าประตูใหญ่มาก่อนเหมือนกัน  สงสัยเจ้าจะชอบเล่นวิธีนี้มากเลยนะ”


“เอ๋…” เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงปีนั้น


คนที่ต่อแถวเข้าจวนแม่ทัพภาคอยู่นอกประตูยังไม่ลดลง หยางเจาชิงที่อยู่ในลานบ้านนำชิงเยว่กับหลงซิ่นเดินออกจากประตูใหญ่ ชิงเยว่เปลี่ยนใส่เครื่องแบบเกราะดำหนึ่งแถบของตัวเองแล้ว หลงซิ่นเปลี่ยนใส่เกราะเงินสามแถบ ทั้งสองหน้าเง้าหน้างอ ถึงแม้จะตอบตกลงแล้ว แต่เรื่องนี้ก็ทำให้ดีใจไม่ออก


หลังจากหยางเจาชิงกับหัวหน้าเฝ้าประตูกองทัพองครักษ์ประสานงานกันแล้ว ก็นำทั้งสองมาถึงประตู แล้วยื่นมือเชิญให้รับตำแหน่ง


ชิงเยว่ หลงซิ่นไม่พูดอะไรสักคำ ต่างคนต่างถือทวนวงเดือน แยกกันยืนฝั่งซ้ายและขวาของประตู


กองทัพองครักษ์ที่เฝ้าประตูเหมือนกันมองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกงงนิดหน่อย แต่ละคนพึมพำในใจว่า จริงหรือล้อเล่น อย่ามาขู่ให้ข้าตกใจนะ นักพรตระดับสำแดงฤทธิ์มาเฝ้าประตูเหรอ? ถ้าเป็นประตูใหญ่ของวังสวรรค์ก็ยังฟังขึ้น แต่นี่เป็นจวนแม่ทัพภาคเล็กๆ เองนะ!


คนที่ต่อแถวเข้ามาในจวนแม่ทัพภาคแล้วเห็นตรงประตูมีสองคนที่สวมเกราะดำและเกราะเงินสะดุดตา อดไม่ได้ที่จะมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตอนยังไม่มองก็เฉยๆ พอได้มองก็ตกใจทันที เด็กดีเอ๋ย นี่จริงหรือล้อเล่น ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สองคนมาเฝ้าประตูอยู่ตรงนี้เหรอ?


ทุกคนที่เข้ามาข้างในผ่านประตูใหญ่ล้วนมองประเมินทั้งสองด้วยสีหน้าตะลึงงัน


ชิงเยว่กับหลงซิ่นเรียกได้ว่าอับอาย อยากจะด่ามากว่ามองบ้าอะไรกัน? แต่ในเมื่อรับปากหนิวโหย่วเต๋อไปแล้ว ทั้งยังเอ่ยรับคำสั่งมาแล้ว ถ้ามาถึงแล้วปัดความรับผิดชอบเลยก็จะฟังดูเหลวไหลเหมือนกัน แล้วแบบนั้นจะให้หนิวโหย่วเต๋อเชื่อได้อย่างไรว่าในภายหลังจะสามารถออกคำสั่งกับทั้งสองได้


ทั้งสองคนพอจะมองออกอยู่บ้าง ว่านี่คือหนึ่งในสิ่งที่เหมียวอี้ใช้ทดสอบพวกเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะให้พวกเขาเฝ้าประตูตลอดไป เมื่อคิดได้แล้วก็ทำได้เพียงอดทนไว้ ปล่อยให้บรรดาสายตาประหลาดใจมองเชยชมต่อไป นี่คือประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิตจริงๆ!


แน่นอน สำหรับพวกที่มาสมัคร พวกเขานับว่ามองออกแล้ว ว่านักพรตเกราะดำกับเกราะเงินคงจะเป็นคนที่ผ่านการคัดเลือกแล้ว มารดาเจ้าเถอะ ขนาดยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ยังได้เฝ้าประตูที่นี่เลย แล้วพวกเราจะผ่านการทดสอบเหรอ?


“อะไรนะ? ชิงเยว่กับหลงซิ่นเฝ้าประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาคเหรอ?” ตงฟางเลี่ยกำลังนั่งสมาธิอยู่บนเตียง พอได้ยินรายงานก็ตกใจจนลุกพรวดลงจากเตียงทันที


ลูกน้องที่มารายงานพยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน “ข้าน้อยไปดูมาแล้วขอรับ เป็นสองคนนั้นจริงๆ”


ตงฟางเลี่ยไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบเร่งเดินออกจากห้องไปแล้ว ตรงไปยังเรือนใหญ่ที่มีคนพลุกพล่าน เร่งฝีเท้าเดินไปดูตรงประตูใหญ่ ปัดโถ่เอ๊ย เป็นสองคนนั้นจริงด้วย


ถึงแม้จะเห็นกับตาตัวเอง แต่ตงฟางเลี่ยก็ยังทำใจเชื่อได้ยาก เขาย่อมรู้ดีว่าสองคนนี้เป็นใคร คนหนึ่งฆ่าล้างตระกูลผู้หญิงที่อ๋องสวรรค์ฮ่าวรัก อีกคนไม่ยอมก้มหน้า โต้แย้งและขอคำชี้อธิบายจากผู้บังคับบัญชา นึกไม่ถึงว่าสองคนที่เจ้าอารมณ์อย่างนี้จะยอมมาเฝ้าประตูใหญ่แต่โดยดี ช่างเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาตร์แล้วจริงๆ แม้แต่เรื่องนี้ยังอดกลั้นได้ แสดงว่าเมื่อก่อนต้องได้รับความลำบากขนาดไหนกัน


ตงฟางเลี่ยรู้สึกว่าเหมียวอี้ทำเกินไปหน่อย จึงก้าวขึ้นมาพูดกับทั้งสองว่า “ทั้งสอง นี่เป็นคำสั่งของแม่ทัพภาคหนิวเหรอ?”


ทั้งสองชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง ชิงเยว่ตอบว่า “หรือเจ้าคิดว่าพวกเรากินอิ่มแล้วแล้วหาอะไรทำแก้เซ็งล่ะ?”


ตงฟางเลี่ยจคงบอกว่า “พวกเจ้ารอประเดี๋ยวนะ ข้าจะไปคุยกับแม่ทัพภาคหนิวให้เดี๋ยวนี้” ในสายตาเขา หนิวโหย่วเต๋อกำลังเหยียดหยามนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์แท้ๆ เลย ต่อให้นักพรตระดับสำแดงฤทธิ์จะใช้ชีวิตตกต่ำขนาดไหน แต่ก็ไม่ถึงขนาดนี้หรอกมั้ง เขารู้สึกเหมือนเป็นจิ้งจอกที่ร้องไห้เพราะกระต่ายตาย[1] ในใจรู้สึกแค้นเคืองหนิวโหย่วเต๋อนิดหน่อย


“เกี่ยวอะไรกับเจ้าล่ะ! ไปไกลได้เท่าไรก็ยิ่งดี” ชิงเยว่ตวาดกลับอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด แต่เฝ้าประตูก็นับว่าเหลวไหลแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะกล้าพูดอย่างนี้กับรองผู้ตรวจการใหญ่กองทัพองครักษ์


“แมวร้องไห้แสร้งเห็นใจหนู!” หลงซิ่นกล่าวอย่างหงุดหงิดมาก


“…” ตงฟางเลี่ยพูดไม่ออก แม่งเอ๊ย พ่ออุตส่าห์หวังดีแต่กลายเป็นยุ่งไม่เข้าเรื่อง ได้สิ ในเมื่อพวกเขาชอบนัก งั้นก็ยืนต่อไปก็แล้วกัน ไม่รู้จักน้ำใจคน ถึงอย่างไรคนที่เสียหน้าก็ไม่ใช่ข้า เขากุมหมัดคารวะแรงๆ ก่อนจะสะบัดชายเสื้อเดินออกไป


“อะไรนะ? ชิงเยว่ หลงซิ่น? ชิงเยว่ที่ฆ่าล้างตระกูลซูอวิ้น หลงซิ่นที่ต่อต้านโจวจ้าวหัวชนฝาน่ะเหรอ?”


ตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านที่นั่งสมาธิอยู่ในห้องก็ลุกพรวดจากเตียงเช่นกัน อุทานถามชีเจวี๋ยที่เข้ามารายงาน


ชีเจวี๋ยพยักหน้า “ตอนบ่าวได้ยินรายงานก็ไม่ค่อยเชื่อ จึงไปตรวจสอบด้วยตัวเอง พบว่าไม่ผิด เป็นพวกเขาสองคนจริงๆ ขอรับ น่าจะผ่านการคัดเลือกเข้าจวนแม่ทัพภาคแล้ว ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะยืนเฝ้าประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาค”


“เจ้าแน่ใจนะว่าพวกเขาเฝ้าประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี? ไม่ใช่ว่าบังเอิญเดินผ่านพอดีใช่มั้ย?” เฉาหม่านถามด้วยสีหน้าตกตะลึง


ชีเจวี๋ยถอนหายใจ “เถ้าแก่ ไม่ใช่แค่ผ่านทาง พวกเขาถือทวนวงเดือนยืนอยู่ฝั่งซ้ายและขวาอย่างเรียบร้อย ต้องเฝ้าประตูใหญ่แน่นอนขอรับ”


เฉาหม่านเดินไปผลักบานหน้าต่างเพื่อมองไปทางจวนแม่ทัพภาค ก่อนจะหัวเราะหึหึ “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าถือว่าเจ้าโหด เจ้าช่างกล้าจริงๆ!” ไม่ได้การแล้ว เขารีบหันตัวเดินออกไป ต้องการจะไปดูสถานที่จริง ที่สำคัญคืออดใจไม่ไหวที่จะไปดู ไม่แน่ว่าในนั้นอาจจะมีอะไรในกอไผ่ก็ได้?


จวนท่านโหวจ้านผิง ในสวนป่าที่สร้างขึ้นใหม่ มีทิวทัศน์ดอกไม้แปลกตาที่เก็บมาจากที่ต่างๆ ในใต้หล้า การสร้างสวนป่านี้ไม่จำเป็นต้องให้จวนท่านโหวออกเงินเลยสักส่วน ทั้งหมดนี้ซ่างกวนชิงวังสวรรค์ผู้การใหญ่แสบส่งคนมาจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว


ในตอนนี้ประมุขชิงกับจ้านหรูอี้กำลังเดินเอ้อระเหยลอยชายด้วยกันอยู่ในสวนป่าที่งดงามดุนแดนสวรรค์ ประมุขชิงสีหน้าผ่อนคลายสบายใจอย่างที่พบเห็นได้ยาก ส่วนจ้านหรูอี้สีหน้าเรียบเฉยจืดชืด แค่คอยอยู่เป็นเพื่อนเท่านั้นเอง


มีเทพธิดาเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาคำนับ แล้วรายงานว่า “ฝ่าบาท ผู้การใหญ่ขอเข้าเฝ้าเพคะ”


ประมุขชิงหน้าขรึมลง ด่าว่า “ตาแก่น่าตาย!” เขาหมั่นไส้นิดหน่อย ไม่รู้เชียวเหรอว่าตนกำลังผ่อนคลายอยู่ที่นี่ รู้อยู่แจ่มแจ้งแต่ยังมาทำลายบรรยากาศ เพียงแต่เขาก็รู้ ว่าถ้าไม่มีเรื่องพิเศษอะไร ซ่างกวนชิงคงไม่มารบกวนแน่นอน “ให้เขาไสหัวเข้ามา”


“เพคะ!” เทพธิดาย่อเข่าคำนับแล้วถอยออกไป เมื่อเห็นเขาหัวร้อง นางก็ตกใจนิดหน่อย


“ฝ่าบาท หม่อมฉันขอตัวเพคะ” จ้านหรูอี้ย่อตัวคำนับแล้วถอยออกไป นางเองก็รู้ว่ายามอยู่ในสถานการณ์ปกติ ซ่างกวนชิงจะไม่มารบกวน ตอนนี้แสดงว่ามีเรื่องอะไรแน่นอน นางเข้าใจธรรมเนียม หลบเลี่ยงไปอย่างมีเหตุผล และเดิมทีนางก็ไม่มีอารมณ์อยู่กับเขาอยู่แล้ว ได้อาศัยโอกาสแยกไปพอดี


“เฮ้อ!” ใครจะคิดว่าประมุขชิงจะดึงแขนนางเอาไว้ ไม่ให้นางไป ยิ้มอ่อนพร้อมบอกว่า “สนมรัก ไม่ต้องหลบเลี่ยง” ในใจเขารู้แจ่มแจ้ง ว่าซ่างกวนชิงก็ไม่ใช่คนโง่ ถ้ามีเรื่องที่เป็นความลับจริงๆ ก็คงไม่บอกต่อหน้าฝูงชน ย่อมถ่ายทอดเสียงบอก


จ้านหรูอี้ชำเลืองมองแขนตัวเองที่ถูกเขาจับ รักษาความเงียบเอาไว้ แล้วอยู่ข้างกายเขาต่อ


เทพธิดานำทางซ่างกวนชิงมาถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นทั้งสองอยู่ด้วยกัน แล้วเห็นสายตาที่ประมุขชิงมองตน เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อนในใจ แข็งใจก้าวขึ้นมาคำนับ “ฝ่าบาท สนมสวรรค์”


“มีเรื่องอะไร?” น้ำเสียงประมุขชิงฟังดูไม่ค่อยเป็นมิตร


ซ่างกวนชิงมองจ้านหรูอี้แวบหนึ่ง กำลังชั่งน้ำหนักว่าจะพูดต่อหน้านางได้ไหม จากนั้นถึงได้ยิ้มพร้อมบอกว่า “ฝ่าบาท ทางจวนแม่ทัพภาคตลาดผีเกิดเรื่องฮือฮานิดหน่อย…” เขาเล่าเรื่องที่ชิงเยว่กับหลงซิ่นเฝ้าประตูใหญ่ให้ฟัง


เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหมียวอี้ จ้านหรูอี้อดไม่ได้ที่จะทำสีหน้ามีสมาธิตั้งใจฟัง


“…” ประมุขชิงอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วถามอย่างตกใจว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าชิงเยว่กับหลงซิ่นเฝ้าประตูให้จวนแม่ทัพภาคตลาดผี?”


ซ่างกวนชิงยิ้มเจื่อน “แน่ใจแล้วขอรับ ข้าน้อยยืนยันจากหลายช่องทาง ชิงเยว่กับหลงซิ่นกำลังเฝ้าประตูจริงๆ ส่วนตงฟางเลี่ยก็ยืนยันแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อสั่งให้พวกเขาสองคนไปเฝ้าประตู ตงฟางเลี่ยถามเหตุผล หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าตอนนี้จวนแม่ทัพภาคตลาดผียังไม่มีใครที่ใช้งานได้ มีเพียงเขาสองคนที่ยศต่ำสุด หาคนอื่นไปเฝ้าประตูใหญ่ไม่ได้แล้วนอกจากพวกเขาสองคนขอรับ”


“ยศต่ำสุด?” ประมุขชิงสีหน้าบิดเบี้ยว พบว่าเหตุผลนี้ทำให้คนเถียงไม่ออกจริงๆ อดไม่ได้ที่จะหลุดขำ “เหอะๆ! เจ้าลูกลิงใจกล้าไม่เบา ให้อดีตท่านโหวกับอดีตทูตลาดตระเวนฝั่งใต้ ไปเฝ้าประตูจวนแม่ทัพภาคเล็กๆ” เขาเอียงหน้ามองจ้านหรูอี้ “สนมรัก อดีตผู้บังคับบัญชาของเจ้าบ้าระห่ำมากทีเดียว ดูท่าแล้ว การที่สนมรักถูกเขาจับแขวนบนเสาธงในปีนั้น ก็ไม่นับว่าอยุติธรรมเกินไปหรอก!”


เมื่อเห็นประมุขชิงพูดหยอกล้ออย่างอารมณ์ดี ซ่างกวนชิงก็หัวเราะตามไปด้วย แต่ชำเลืองจ้านหรูอี้ที่สีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่รู้สึกตลก เขาก็รีบหุบยิ้มทันที อย่ายั่วให้ผู้หญิงคนนี้อารมณ์ไม่ดีจนตัวเองหาทางลงไม่ได้ ถึงอย่างไรนี่ก็เคยเป็นเรื่องน่าอับอายของท่านนี้  ประมุขชิงสามารถยกขึ้นมาล้อเล่นได้ แต่เขากลับล้อเล่นไม่ได้


ว่ากันตามจริง ซ่างกวนชิงดูแลงานในวังสวรรค์ ภายนอกแสดงออกว่าเกรงใจราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ แต่ที่จริงเขาไม่กลัวเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เลย ถ้าจะบอกว่าทั้งวังหลังมีผู้หญิงคนไหนที่ทำให้เขากลัว ก็มีแค่ท่านที่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พูดถึงเขาไม่ดีแค่ประโยคเดียว ประมุขชิงอาจไม่มองว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ถ้าท่านนี้พูดถึงเขาไม่ดีเพียงประโยคเดียว เขาจะต้องรับผลที่ตามมาไม่ไหวแน่นอน ประมุขชิงจะต้องเตะเขาแน่ๆ สำหรับประมุขชิง ผู้หญิงคนอื่นเหมือนของเล่นให้ระบายอารมณ์เท่านั้น ที่มากกว่านั้นคือจำเป็นต้องมีไว้เพื่อควบคุมใต้หล้า ถึงแม้ประมุขชิงจะมีความต้องการทางด้านนี้ต่อสนมสวรรค์บ้าง แต่ซ่างกวนชิงก็มองออก ว่าประมุขชิงชอบผู้หญิงคนนี้จากใจจริงๆ อาศัยแค่จุดนี้ก็ทำให้ซ่างกวนชิงรู้ชัดแล้ว ว่าตัวเองมีเรื่องกับผู้หญิงคนนี้ไม่ไหว


เมื่อเห็นประมุขชิงหัวเราะอย่างสำราญใจ จ้านหรูอี้ก็แค่มองเขาครู่เดียวด้วยสีหน้าเรียบเฉย


ทว่าเมื่อประมุขชิงถูกสายตาเย็นชานี้มองเพียงแวบเดียว ก็หยุดหัวเราะในทันที หัวเราะไม่ออกแล้ว เอามือลูบจมูกจากเก้อเขินเล็กน้อย


ฉากนี้ทำให้ซ่างกวนชิงรีบย้ายสายตาหนี รีบก้มหน้าแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ในใจแอบรู้สึกปลงไม่หยุด พบว่าสรรพสิ่งในโลกนี้บางสิ่งควบคุมบางสิ่งได้เสมอ คนที่สามารถใช้สายตาควบคุมฝ่าบาทให้เชื่อฟังได้  ในใต้หล้าก็คงจะมีแต่ผู้หญิงคนนี้แล้ว ถามหน่อยว่าเขาจะกล้ายั่วโมโหนางได้อย่างไร


…………………………


[1] กระต่ายตายจิ้งจอกร้องไห้ 兔死狐悲 อุปมาว่าในหมู่สัตว์เดรัจฉานย่อมเห็นใจซึ่งกันและกัน

 

 

 


บทที่ 1734 อ๋องสวรรค์เดือดดาล

 

ล้อเล่นจนเก้อเขินเสียเอง ประมุขชิงทำหน้าขรึม ชั่วพริบตาเดียวก็เหมือนจะลืมเรื่องเมื่อครู่นี้แล้ว พูดคุยเรื่องชิงเยว่กับหลงซิ่นที่ซ่างกวนชิงเอ่ยถึงต่อไป


ชิงเยว่ก็ยังดีหน่อย พอพูดถึงหลงซิ่น ประมุขชิงก็รู้สึกขำในใจ ครั้งก่อนตอนเรียกซือหม่าเวิ่นเทียนมาถามเรื่องนี้ เขาถึงได้รู้ว่า ผู้หญิงที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างโจวจ้าวกับหลงซิ่นแข็งทื่อก็คือคนของหน่วยตรวจการซ้าย เจตนาเดิมของซือหม่าเวิ่นเทียนก็คือส่งผู้หญิงคนนี้เข้าจวนตระกูลโจว ใครจะคิดว่าผิดพลาดถูกหลงซิ่นรับไปเป็นอนุภรรยาเสียได้ เพราะเหตุนี้ถึงได้เกิดเรื่องในตอนหลังตามมา ใครจะคิดว่าจะส่งผลกระทบมาจนถึงทุกวันนี้


พอพูดถึงผู้หญิงคนนั้น ซือหม่าเวิ่นเทียนก็เสียดายสุดๆ ทั้งหน้าตาและความสามารถโดดเด่นเกินใคร เป็นคนที่หน่วยตรวจการซ้ายทุ่มทุนฝึกเลี้ยงเยอะมาก เดิมทีหวังจะใช้งานใหญ่ ใครจะคิดว่าจะตายอย่างคลุมเครือแบบนั้นแล้ว


จ้านหรูอี้ที่อยู่ข้างกายฟังทั้งสองคุยกันอย่างเงียบๆ คำพูดของประมุขชิงกลับเปิดประตูความทรงจำของนางแล้ว นางนึกถึงฉากที่ตัวเองถูกหนิวโหย่วเต๋อจับมัดบนเสาธงในปีนั้น เรื่องราวในอดีตปรากฏขึ้นฉากแล้วฉากเล่าราวกับม้วนภาพวาด ตอนหลังนางสร้างความอัปยศอดสูให้ตัวเองหลายครั้ง จนกระทั่งตอนสุดท้ายได้ฟังคำสั่งอยู่ใต้บังคับบัญชาหนิวโหย่วเต๋อ ภาพตอนที่วิงวอนขอร้องเพราะอับจนหนทางอยู่ที่อุทยานหลวงก็ยิ่งฝังลึกในใจ แล้วดูสภาพตัวเองในตอนนี้สิ สูงส่งมีหน้ามีตาที่สุด ไม่รู้ว่ามีผู้หญิงในใต้หล้ามากมายเท่าไรอิจฉา แต่หนิวโหย่วเต๋อกลับดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่ในสถานที่เล็กๆ อย่างตลาดผี


สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าหนิวโหย่วเต๋อสามารถเดินทีก้าวมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ก็ไปขอพึ่งพารับใช้ ถึงแม้ตอนนี้นางจะมียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ค่อยปกป้องอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แต่ในใจสายตานาง นี่กลับเป็นสิ่งที่ตัวเองนำร่างกายไปแลกมา


โต้เถียงกับกลุ่มขุนนางในงานเลี้ยงอย่างฮึกเหิม ผลักดันให้เกิดเดิมพัน ตั้งป้ายรับสมัครที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี จนตอนนี้มียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ไปขอพึ่งพารับใช้ ต่อให้ตัดปัจจัยแวดล้อมอย่างเหมียวอี้ ทว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นต่อเนื่องก็ยังทำให้ใจนางทะยานใฝ่ฝันเช่นกัน นางหวังว่าตัวเองจะได้สวมเกราะรบอย่างนั้นอีก หวังให้ตัวเองสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรอย่างนั้นเหมือนกัน และในความเป็นจริง ยามที่นางหลับฝันก็ยังเป็นภาพตัวเองสวมเกราะรบเหมือนในปีนั้น นั่นคือชีวิตที่นางชอบ ไม่ใช่การแสดงบทสาวงามเดินออกจากห้องอาบน้ำให้ผู้ชายเห็นอยู่ที่นี่


ดวงตางามทอดมองไปไกล จ้านหรูอี้สีหน้าหมดอาลัยตายอยาก…


ตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่นอนตะแคงอยู่บนเตียงนุ่มพลันลุกขึ้นนั่ง จากนั้นยืนยืดท้องกลมขึ้นมา


เอ๋อเหมยที่กำลังรายงานข่าวตกใจทันที ถ้าทำให้เด็กในครรภ์บาดเจ็บขึ้นมาจะไม่แย่หรอกเหรอ? นางรีบก้าวขึ้นไปใช่สองมือประคอง “เหนียงเหนียงระวังเพคะ!”


“ไม่เป็นไร!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ปัดมือนางออก แล้วถามด้วยแววตาเป็นประกาย “เจ้าบอกว่าอะไรนะ ขนาดยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ยังไปขอพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อเลยเหรอ?”


เอ๋อเหมยตอบว่า “ใช่เพคะ คนหนึ่งชื่อชิงเยว่ อีกคนชื่อหลงซิ่น คนหนึ่งเดิมทีเป็นทูตลาดตระเวนฝั่งใต้ ส่วนอีกคนเคยเป็นท่านโหวค่ะ…” นางเล่าประวัติและสาเหตุที่ทั้งสองถูกลดตำแหน่งให้ฟังอย่างละเอียด


“ข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ ข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ ด้วย เขาไม่ทำให้ข้าผิดหวัง…”


หลังจากฟังจบ บนใบหน้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ใช้สองมือประคองท้องใหญ่เดินไปเดินมาอย่างรวดเร็ว ปากก็พึมพำไม่หยุด


จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้าม เซี่ยโห้วท่ายืนหลับตาครุ่นคิดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้า


จวนอ๋องสวรรค์โค่ว ในหอสามรากฐาน โค่วหลิงซวีนั่งหลับตาพิงเก้าอี้ตัวใหญ่อย่างเงียบงันอยู่ด้านหลังโต๊ะยาว สามพี่น้องตระกูลโค่วที่ยืนอยู่ข้างล่างมีสีหน้าแตกต่างกันไป ข่าวจากตลาดผีทำให้เขาตกตะลึงเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะมียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ไปขอเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาหนิวโหย่วเต๋อ เรื่องนี้เหลือเชื่อเกินไป มีสิทธิ์อะไรล่ะ


“ไปสืบดูหน่อย ดูว่าทัพเหนือมีนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ที่ถูกลดตำแหน่งหรือเปล่า ตกอยู่ในสภาพและสถานการณ์แบบไหน” โค่วหลิงซวีเอ่ยเสียงเรียบขณะหลับตาพิงเก้าอี้


“ท่านพ่อ ทัพเหนือน่าจะไม่มีขอรับ การลดตำแหน่งนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ถ้าเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ไม่มีทางที่พวกเราจะไม่รู้” โค่วเจิงกล่าว


ปั้ง! จู่ๆ โค่วหลิงซวีก็ตบโต๊ะยืนขึ้น ทั้งโต๊ะยาวแตะพังตกลงพื้น สามพี่น้องตกใจทันที ทุกคนทำสีหน้าหวาดกลัว แม้แต่ถังเฮ่อเหนียนก็ถูกเหตุการณ์กะทันหันนี้ทำให้ตกใจแล้วเช่นกัน


“น้ำเข้าสมองเจ้าแล้วรึไง? ระดับสำแดงฤทธิ์ไม่มี แล้วระดับบงกชกลายไม่มีเหรอ? ตรวจสอบ! ไปตรวจสอบให้ข้าเดี๋ยวนี้!” โค่วหลิงซวีส่งเสียงคำรามอย่างระงับความโกรธไม่ไหว ลักษณะท่าทางยามปะทุอารมณ์กะทันหันน่ากลัวมาก


“ขอรับ!” โค่วเจิงกุมหมัดเอ่ยรับอย่างอกสั่นขวัญแขวน รีบหันตัวเดินออกไป โค่วฉินกับโค่วเหมี่ยนถอยออกไปเงียบๆ เช่นกัน


เมื่อออกจากหอสามรากฐานแล้ว เห็นภาพที่พี่ใหญ่เดินหน้าม่อยคอตกออกไป โค่วฉินก็ ถ่ายทอดเสียงบอกโค่วเหมี่ยนเหมือนยินดีในความโชคร้ายของคนอื่นว่า “เจ้าดูสิ ยามปกติเดินวางมาดผู้สืบทอดตระกูลต่อหน้าพวกเรา ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้จะพูดอะไรโง่ๆ ออกมา น่าขำจริงๆ”


น่าขำตรงไหน? โค่วเหมี่ยนพูดไม่ออก พี่ใหญ่พูดความจริงแท้ๆ เพียงแต่ท่านพ่ออารมณ์ไม่ดีก็เท่านั้นเอง


จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ในศาลาที่ยื่นลงน้ำ ฮ่าวเต๋อฟางกำหมัดสองข้างแน่น ดวงตาฉายแววสังหาร บนใบหน้าเต็มไปด้วยความดุร้าย


ซูอวิ้นยืนก้มหน้าอยู่ข้างๆ


ตุ้บ! ฮ่าวเต๋อฟางพลันปล่อยหมัด บนเสาระเบียงต้นหนึ่งตรงหน้าเกิดรอยลึก ก่อนจะตวาดด้วยเสียงเดือดดาล “นางตัวดีชิงเยว่ ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นอย่างนี้ ข้าควรจะประหารนางเสียตั้งแต่ตอนนั้น!”


ไม่ให้เขาเดือดดาลไม่ได้หรอก เรื่องนั้นผ่านไปนานมากแล้ว คนในใต้หล้าแทบจะลืมเลือน เขาเองก็รู้ว่าเขาผิดที่ลดตำแหน่งชิงเยว่ในตอนนั้น เพราะชิงเยว่สร้างผลงานใหญ่ แต่การกระทำของชิงเยว่ในตอนแรกทำให้เขาเดือดดาลจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าอยากจะฆ่าซูอวิ้นไปพร้อมกันด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะซูอวิ้นบังเอิญอยู่ข้างกายเขาพอดี เขาก็ไม่อยากจินตนาการผลที่ตามมาเลย ถือวิสาสะตัดสินใจเองโดยไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยสักนิด และสาเหตุที่เขาลดตำแหน่งชิงเยว่ก็ไม่ใช่เพราะซูอวิ้นอย่างเดียว เป็นเพราะเพิ่งบุกยึดใต้หล้าได้ ลูกน้องของเขาที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วกำลังลำพองใจ แต่ละคนคิดว่าตัวเองเป็นขุนนางทีมีความดีความชอบ จึงประพฤติตัวอย่างกำเริบเสิบสาน เขาคิดว่าคนพวกนี้ไม่เห็นผู้ที่มีฐานะสูงกว่าอยู่ในสายตา จุดนี้ทำให้เขาทนไม่ได้ยิ่งกว่าโดนแย่งอาณาเขตเสียอีก ถึงขนาดไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปจะไม่มีคนอยากมาแทนที่เขาหรอกหรือ? นี่คือสิ่งที่เขาทนไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่แค่ลดตำแหน่งชิงเยว่เท่านั้น หลังจากนั้นยังทำทุกวิถีทางเพื่อกวาดล้างกลุ่มแม่ทัพใหญ่ที่สร้างผลงานอย่างยากลำบากด้วย


เรื่องบางเรื่องถ้ามองในมุมของคนระดับบนก็เป็นแบบหนึ่ง เมื่อมองในมุมของคนระดับล่างก็เป็นอีกแบบหนึ่ง คนส่วนใหญ่คิดเพียงว่าเขาไม่สนใจผลงานของผู้ใต้บังคับบัญชาเพราะผู้หญิงคนเดียว สรุปก็คือไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องในปีนั้นก็ได้ผ่านไปแล้ว แต่จู่ๆ วันนี้ชิงเยว่พลันกระโดดขึ้นมา ทั้งยังไปเข้าร่วมจวนแม่ทัพภาคตลาดผีอีก เจ้าเข้าร่วมจวนแม่ทัพภาคตลาดผีก็ว่าหนักแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นคนเฝ้าประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีอีก ทำอย่างกับกลัวคนในใต้หล้าจะไม่รู้ว่าเจ้าไปเข้าร่วมจวนแม่ทัพภาคตลาดผี


การกระทำของชิงเยว่ก็ไม่ต่างอะไรกับการดันเรื่องในอดีตที่อ๋องสวรรค์ฮ่าวเคยลดตำแหน่งทหารที่มีผลงานเพื่อผู้หญิงคนเดียวขึ้นมาให้เป็นขี้ปากชาวบ้านอีกครั้ง ชิงเยว่ยอมไปเป็นคนเฝ้าประตูจวนแม่ทัพภาคตลาดผีดีกว่ายอมมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา แบบนี้แสดงว่าเขาฮ่าวเต๋อฟางจะต้องไร้คุณธรรมขนาดไหนกัน ทำให้เขากลายเป็นที่หัวเราะเยาะของคนในใต้หล้าจริงๆ!


คนที่บ้าหน้าตาศักดิ์ศรีมีแค่ประมุขชิงเสียที่ไหนกัน ยามปกติที่เขาหัวเราะยาะประมุขชิงก็เป็นเพราะเรื่องยังไม่เกิดขึ้นกับเขาเท่านั้นเอง เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเขาจริงๆ เขาเองก็เสียหน้าเหมือนกัน


“ทั้งหมดเป็นเพราะข้าน้อย ทำให้ท่านอ๋องลำบากไปด้วย!” ซูอวิ้นกล่าว


ฮ่าวเต๋อฟางหันขวับ แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “เจ้านี่นะ ตอนแรกไม่ควรจะห้ามข้าไม่ให้สังหารนาง!”


ซูอวิ้นกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าใจอยู่หลายส่วน “ตอนนั้นใช่ว่าข้าน้อยจะไม่อยากล้างแค้นให้ตระกูล แต่เป็นเพราะนางฆ่าคนในตระกูลข้าน้อย ท่านอ๋องจึงฆ่านางไม่ได้ เรื่องระหว่างข้าน้อยกับนายท่าน คนเขารู้กันทั้งใต้หล้าแล้ว ถ้าท่านอ๋องฆ่านางเพราะข้าน้อย แล้วจะให้คนในใต้หล้ามองท่านอ๋องยังไง จะไม่ทำให้พวกลูกน้องท้อใจผิดหวังหรอกหรือ? แบบนั้นท่านอ๋องจะยังคุมคนได้ยังไง? พวกทหารที่เห็นใจเพื่อนร่วมอาชีพก็จะเอาใจออกห่างจากท่านอ๋อง แล้วท่านอ๋องจะคุมอาณาเขตได้ยังไงคะ?”


“ชิงเยว่นางตัวดี…” ฮ่าวเต๋อฟางกล่าวอย่างแค้นใจ


จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ในห้องหนังสือของก่วงลิ่งกง ก่วงลิ่งกงกำลังนั่งหน้าเครียกอยู่หลังโต๊ะหนังสือ โจวจ้าวจอมพลสายมะแมก้มหน้ายืนอยู่หน้าโต๊ะ โกวเยว่ยืนมองทุกอย่างอยู่ที่มุมห้อง


“ในปีนั้นเพื่อที่จะให้เจ้าขึ้นสู่ตำแหน่ง ข้ายอมถอนรากถอนโคนคนในตำแหน่งเดิมให้เจ้า แล้วเจ้าตอบแทนข้าอย่างนี้น่ะเหรอ?” ก่วงลิ่งกงพลันยืนขึ้น แล้วคว้ากองกระดาษบนโต๊ะทุ่มใส่หน้าโจวจ้าว แผ่นกระดาษปลิวว่อนตกลงพื้น


โจวจ้าวหน้าขาวหน้าดำเป็นพักๆ กุมหมัดคารวะ “ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ!”


“ระงับโทสะเหรอ?” ก่วงลิ่งกงชี้หน้าเขาโดยมีโต๊ะกั้น “ตระกูลโจวของเจ้าทำเรื่องให้ตัวเองเสียหน้าก็พอแล้ว แล้วเจ้าจะให้ทุกคนของทัพตะวันตกมองข้ายังไง? เลื่อนตำแหน่งให้แม้กระทั่งคนที่แย่งผู้หญิงของลูกน้องตัวเอง ขวัญกำลังใจทหารจะไปอยู่ที่ไหน เป็นข้าเหรอที่มองคนไม่เป็น?”


โจวจ้าวกุมหมัดคารวะค้างไว้ “ท่านอ๋อง ไม่มีเรื่องแบบนั้นแน่นอนขอรับ หลงซิ่นใส่ร้ายล้วนๆ!”


ที่จริงลูกชายเขาทำเรื่องนั้น แต่เขายอมรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าให้ทุกคนรู้ว่าเรื่องนี้เป็นความจริง การที่ผู้บัญชาการทัพส่งเสริมให้ลูกชายแย่งเมียลูกน้องก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น คำวิพากวิจารณ์ของฝูงชนก็ทำให้เขาลงจากตำแหน่งเทพประจำดาวในปีนั้นได้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงยอมแอบซ้อมลูกชายจนสาหัสปางตาย แต่ภายนอกก็ยังแสร้งทำเป็นรักลูกชายคนนั้นมาก บีบให้เขาเกลียดหลงซิ่นแทบตายแต่ก็ไม่กล้าฆ่าหลงซิ่น


“ใส่ร้ายเหรอ?” ก่วงลิ่งกงชี้หน้าเขาไม่เลิกเช่นกัน ตลาดเสียงดุว่า “ในปีนั้นเจ้าบอกว่าจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสมเรียบร้อยแล้วไม่ใช่เหรอ? เจ้าจัดการแบบนี้เองเหรอ? แล้วทำไมหลงซิ่นถึงถ่อไปพึ่งพาที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีล่ะ? ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ถ่อไปเฝ้าประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาค แบบนี้แสดงว่าต้องเคยทนรับความอยุติธรรมขนาดไหนกัน? ตอนนี้กางเกงเจ้าเปื้อนสีเหลืองแล้ว ต่อให้เจ้าไม่ได้ขี้ คนก็คิดว่าเจ้าขี้!”


โจวจ้าวพลันคุกเข่าข้างเดียว แล้วกุมหมัดวิงวอน “ท่านอ๋อง ข้าน้อยถูกใส่ร้าย ลูกชายข้าน้อยไม่ทำเรื่องแบบนี้เด็ดขาด!”


ตุ้บ! ก่วงลิ่งกงทุบหมัดบนโต๊ะ แล้วหลับตากล่าวเสียงต่ำ “เจ้าอธิบายกับข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ กลับไปคิดเองเถอะว่าควรจะถอนรากถอนโคนผลกระทบของเรื่องนี้ยังไง ไสหัวไป!”


โจวจ้าวลุกขึ้นยืนอย่างตระหนก แล้วก้มหน้าวิงวอนอยู่ด้านข้าง “ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ ข้าน้อยขอตัว!”


หลังจากคนออกไปแล้ว โกวเยว่ก็มองก่วงลิ่งกงเงียบๆ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ก่วงลิ่งกงก็โบกมือเบาๆ โกวเยว่หันตัวเดินออกไปทันที


โจวจ้าวที่แค้นเคืองหลงซิ่นเพิ่งจะออกจากประตูใหญ่จวนท่านอ๋อง แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงโกวเยว่เรียกอยู่ข้างหลัง “จอมพลโจวช้าก่อน!”


โจวจ้าวหยุดเดินแล้วหันตัวมา กุมหมัดคารวะอย่างยำเกรงทันที “พ่อบ้านโกว ไม่ทราบว่ามีอะไรจะกำชับขอรับ?”


โกวเยว่ดึงแขนเขาเดินออกไปไกลจากประตูจวนพอสมควร แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ท่านอ๋องให้บ่าวมากำชับจอมพลนิดหน่อย”


โจวจ้าวยื่นหูเข้าไปทันที ทำท่าเงี่ยหูฟัง แต่ใครจะคิดว่าโกวเยว่จะเหล่ตามองอย่างเย็นเยียบ ฉวยโอกาสที่เขาไม่ระวังตัว ชกที่หน้าอกของเขาหนึ่งทีด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ

 

 

 


บทที่ 1735 จอมพลผู้นี้ไม่ยอม!

 

พลังอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายจู่โจมฉับพลัน โจวจ้าวตกใจมาก รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ป้องกัน ทว่าเมื่อคนที่ไม่ได้เตรียมพร้อมมาเจอกับคนที่จงใจทำ มีหรือที่จะป้องกันไหว


เปรี้ยง! ราวกับเสียงฟ้าร้อง พลังอิทธิฤทธิ์ที่โจวจ้าวเพิ่งจะรวบรวมได้ถูกตีพัง เลือดกระอักออกปากราวกับลูกธนู ทั้งตัวราวกับมีดาวหมุนรอบ


บึ้ม! ภูเขาลูกใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปหลายพันจั้งพลังทลายเนื่องจากเงาคนคนหนึ่งพุ่งชน


โกวเยว่ขยับแขนสองข้างคว้าอากาศ กำแพงลมล่องหนที่เป็นคลื่นกันด้านนอกจวนท่านอ๋องเอาไว้ ธนูเลือดที่พุ่งมาตรงหน้าเขากลายเป็นเถ้าปลิวหายไป คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่เกิดจากการโจมตีเมื่อครู่ถูกเขาควบคุมเอาไว้แล้ว จากนั้นสะบัดแขนเสื้อไปบนฟ้า พลังอิทธิฤทธิ์ที่พุ่งโจมตีกลุ่มนั้นถูกโน้มนำขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะสลายไปทีละนิดท่ามกลางความลี้ลับ ทำแบบนี้เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อจวนท่านอ๋อง


ชั่วพริบตาที่เงาคนลอยไปชนกับภูเขาลูกใหญ่ เงาคนสี่สายจากสี่ทิศก็ก็พุ่งขึ้นมาท่ามกลางฝุ่นควันระเบิด ฝุ่นควันระเบิดอีกครั้ง เสียงต่อสู้อันดุเดือดดังขึ้นชั่วแวบเดียว


นอกจวนท่านอ๋อง กำลังพลที่ติดตามคุ้มกันโจวจ้าวเห็นสถานการณ์แล้วพากันตะลึงค้าง พวกเขานึกไม่ถึงว่าจู่ๆ พ่อบ้านโกวเยว่ของจวนท่านอ๋องจะลอบโจมตีท่านจอมพล


ท่ามกลางฝุ่นควันที่ตลบอบอวลไกลๆ เงาคนหลายคนพุ่งขึ้นฟ้า แม่ทัพใหญ่เกราะแดงหกแถบถึงเป็นยศสูงสุกจำนวนสี่คนคุมตัวโจวจ้าวออกมา เจ้าตัวเลือดออกปากออกจมูก ตาเหลือกเป็นระยะ ผมเผ้ายุ่งเหยิง แขนหายไปข้างหนึ่งแล้ว โจวจ้าวที่สภาพสะบักสะบอมถูกเชือกมัดเซียนมัดไว้อย่างแน่นหนา


ตี๋เหยียน พ่อบ้านที่ติดตามโจวจ้าวมาตระหนักอะไรบางอย่างได้ทันที พลันตะโกนบอกกำลังพลที่ติดตาม “ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับจอมพล พวกเราก็ไม่ได้ตายดี ปกป้องจอมพลก็เท่ากับปกป้องพวกเราเอง โจมตี!”


กำลังพลนับร้อยพุ่งขึ้นฟ้าไปยังกลุ่มคนที่กำลังควบคุมตัวโจวจ้าวทันที เร่งให้ความช่วยเหลือ


เปรี้ยง! บนฟ้าเกิดเสียงดังราวกับฟ้าผ่า ลำแสงสีเลือดสายหนึ่งโดดเด่นสะดุดตา ในระยะที่ใกล้ขนาดนี้ ลำแสงนี้ราวกับเป็นเสาแสงต้นหนึ่ง ชั่วพริบตาเดียวก็เสียบโดนตี๋เหยียนที่กำลังนำกลุ่มคนพุ่งสังหารเข้ามา ตี๋เหยียนกรีดร้องคาที่ สิ้นชีพภายใต้การโจมตีเพียงครั้งเดียวของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ด!


กลุ่มเมฆหมอกบนฟ้าสลายไปเพราะแรงสะเทือน เผยร่างชายคนหนึ่งที่กำลังถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ด


พอสี่คนที่กำลังคุมตัวโจวจ้าวโบกมือ บนพื้นก็มีคนเรียงแถวหน้ากระดานขวางตรงหน้า แต่ละคนง้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ระหว่างแนวภูเขาโดยรอบก็กลุ่มมีทหารสวรรค์ที่ถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์พุ่งขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นกัน ชั่วพริบตาเดียวลำแสงหลายสายก็ถูกยิงออกมาพร้อมกัน


พอคนนับร้อยที่พุ่งขึ้นไปโบกมือ ชั่วพริบตาเดียวทัพใหญ่หนึ่งแสนก็ปรากฏตัว โล่ป้องกันอย่างหนาแน่น ลูกธนูดาวตกยิงโจมตีกลับผ่านซอกโล่กำบัง


ท่ามกลางเสียงดังตูมตาม จู่ๆ รอบข้างก็มีเสียงตะโกนว่าฆ่าดังสนั่น กำลังพลสี่กลุ่มพุ่งออกมาสั่งหารจากสี่ทิศทาง ลูกธนูดาวตกยิงสังหารตามมาติดๆ


ลำแสงสีต่างๆ จากอาวุธเคลือบเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาวับวาบสั่นไหว คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์แข็งแกร่งราวกับจะเผาทำลายทำลายฟ้าดิน ฟ้าดินเปลี่ยนสีเพราะสิ่งนี้ ภูเขาและแม่น้ำลำคลองพังทลายเป็นวงกว้าง


โกวเยว่ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่จวนท่านอ๋อง พอโบกธงคำสั่งในมือ ลำแสงอ่อนจางสายหนึ่งก็ครอบทั้งยอดเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของจวนท่านอ๋องเอาไว้ คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่พุ่งโจมตีเข้ามาราวกับแผ่นดินแยกทะเลคลั่งถูกพลังป้องกันอันเข้มแข็งของลำแสงนั้นกันไว้ทันที บนลำแสงครอบกระเพื่อมเป็นชั้นราวกับคลื่น โกวเยว่เอามือไขว้หลังยืนดูทั้งสองฝ่ายรบกันอย่างไม่สะทกสะท้าน


ทุกสิ่งรอบด้านราวกับถูกทำลายพังภายในชั่วพริบตาเดียว มีเพียงยอดเขาใต้เท้าของโกวเยว่ที่มั่นคงไม่เคลื่อนไหว


คนชุดดำสวมหน้ากากสิบกว่าคนพลันออกจากจวนท่านอ๋อง มายืนเรียงแถวหน้ากระดานข้างหลังโกวเยว่


เสียงความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ เกรงว่าต่อให้เป็นคนหูหนวกก็ได้ยิน ทุกคนในจวนท่านอ๋องตกใจจนโผล่ออกมา แต่ในกลับจวนท่านอ๋องมีทหารสวมเกราะกลุ่มใหญ่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ กำลังจ้องทุกความเคลื่อนไหวในจวนท่านอ๋องด้วยท่าทางดุร้าย ป้องกันไม่ให้ในจวนท่านอ๋องเกิดความผิดปกติใดๆ ทำให้คนไม่น้อยตกใจจนไม่กล้าสูดหายใจแรง


บรรดาสมาชิกครอบครัวในจวนท่านอ๋องต่างพากันยืนบนหลังคาดด้วยสีหน้าอกสั่นขวัญแขวน ก่วงเม่ยเอ๋อร์กอดแขนมารดา ตกใจจนหน้าซีดนิดหน่อย ฉากที่ฟ้าดินเหมือนจะถล่มน่าตกใจเกินไป ก่วงเม่ยเอ๋อร์ยังไม่เคยเห็นฉากอันน่าตกใจขนาดนี้มาก่อน ถึงแม้จะมีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่งทนทาน แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าขาสั่นแล้ว ทำให้รู้สึกว่าจวนท่านอ๋องกำลังจะถูกดินพลิกถล่มได้ตลอดเวลา


สำหรับสมาชิกครอบครัวจวนท่านอ๋องส่วนใหญ่ ยังไม่เคยเห็นนอกจวนท่านอ๋องเกิดเรื่องน่ากลัวขนาดนี้มาก่อนเลย


เม่ยเหนียงก็ตกใจจนหน้ามืดเช่นกัน นางมองไปรอบๆ พบว่าทหารสวมเกราะที่โผล่ออกมากะทันหันส่วนใหญ่ไม่คุ้นหน้าเลย เหมือนตัวเองไม่เคยเจอด้วยซ้ำ จึงถามอย่างหวาดกลัวว่า “ท่านอ๋อง ท่านอ๋องล่ะ?”


ในขณะนี้เอง แม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งแฉลบเข้ามาเหยียบบนหลังคา แล้วกุมหมัดคารวะ “หวังเฟย ท่านอ๋องเชิญหวังเฟยกับคุณหนูไปสักรอบ”


สองแม่ลูกย่อมเดินตามไปอย่างไม่รีบร้อนและไม่ชักช้า สำหรับพวกนางในตอนนี้ มีแค่ต้องอยู่ข้างกายท่านอ๋องเท่านั้นถึงจะรู้สึกปลอดภัย


บนตึกศาลาที่ทิวทัศน์งดงามที่สุดในสวน บนโต๊ะยาวมีสุราอาหารครบครัน ก่วงลิ่งกงนั่งจิบสุราเงียบๆ มองฟ้าพลิกแผ่นดินแยกด้านนอกด้วยสายตาสงบเยือกเย็น


เม่ยเหนียงที่เดินขึ้นตึกศาลาไม่สนใจพิธีรีตองแล้ว นางวิ่งมาตรงหน้าก่วงลิ่งกง แล้วถามเสียงตระหนก “ท่านอ๋อง นี่มันเรื่องอะไรกัน?”


ก่วงลิ่งกงเอียงหน้ายิ้มบางๆ “เม่ยเหนียง เหมือนข้าจะไม่ได้ฟังเจ้าดีดฉินนานแล้วนะ”


“…” เม่ยเหนียงที่ตกใจจนหน้าซีดได้ยินแล้วพูดไม่ออก ภายใต้สายตาอันทรงพลังของเขา สุดท้ายนางก็เดินไปที่โต๊ะเล็กด้านข้างด้วยย่างก้าวที่ปั่นป่วนเล็กน้อย ยกกระโปรงนั่งลง หยิบกู่ฉินขึ้นมาวาง แล้วใช้นิ้วเรียวสวยบรรเลงฉินแข่งกับเสียงด้านนอก เพียงแต่เสียงฉินปั่นป่วนอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับอารมณ์ของเม่ยเหนียงในตอนนี้


ก่วงลิ่งกงกวักมือเรียกก่วงเม่ยเอ๋อร์อีก นางรีบไปยืนข้างๆ แล้วรินสุราให้เขา


ด้านนอกฟ้าพลิกแผ่นดินแยก ทว่าก่วงลิ่งกงกลับนั่งยกจอกสุราจิบอย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่บนตึกศาลาราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ดูอยู่ข้างๆ อย่างเหยียดหยาม


ความไม่สะทกสะท้านของเขาปลอบใจสองแม่ลูกได้เยอะมาก เริ่มทำให้สองแม่ลูกสงบลงแล้ว


กำลังพลที่ติดตามโจวจ้าวมีกำลังรบที่แข็งแกร่งมาก ภายใต้การล้อมโจมตีจากกำลังพลจวนท่านอ๋อง ใช้เวลาสังหารเกือบหนึ่งชั่วยาม ความเคลื่อนไหวที่เหมือนฟ้าพลิกแผ่นดินแยกถึงได้ค่อยๆ สงบลง ตามที่เสียงระเบิดครั้งสุดท้ายหายไป ฟ้าดินก็เหมือนจะสงบลงแล้ว เพียงแต่ด้านนอกมีฝุ่นดินตลบอบอวล มองเห็นอะไรไม่ชัดเลย


ใช้เวลาไม่นาน เสียงลมคลั่งที่เกิดจากพลังอิทธิฤทธิ์ก็ดังขึ้นอีก ปัดเป่าฝุ่นควันด้านนอกจนหายไปหมด มองเห็นรอบด้านของจวนท่านอ๋องที่งดงามดุจแดนเซียนอีกครั้ง ภูเขาและแหล่งน้ำบ้างก็กลายเป็นพื้นราบ บ้างก็เกิดเหวลึกหมื่นจั้งจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งแผ่นดินใหญ่เกิดหลุ่มบ่อนับพัน มีเพียงยอดเขาที่ตั้งจวนท่านอ๋องเท่านั้นที่ยังงดงามโดดเด่น


กำลังพลกลุ่มใหญ่รอบด้านถืออาวุธค้นหาบางอย่างทั่วบริเวณ เมื่อพบคนที่ยังไม่ตายก็เก็บไปทันที ไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไร


ลำแสงครอบที่เหมือนชามคว่ำพลันหายไป แม่ทัพใหญ่เกราะแดงสี่คนคุมตัวโจวจ้าวเหาะเข้ามา แล้วกดให้คุกเข่าลงบนพื้นตรงหน้าโกวเยว่


โจวจ้าวที่เลือดสดไหลออกจมูกเงยหน้ามองเขา แล้วคำรามเสียงแตก “โกวเยว่บังอาจนัก กล้าลงมือกับจอมพล! ข้าต้องการพบท่านอ๋อง ข้าจะพบท่านอ๋อง! ท่านอ๋อง ข้าน้อยถูกใส่ร้าย! ข้าน้อยถูกใส่ร้ายนะ!”


“ไม่ต้องตะโกนอีกแล้ว ตะโกนจนคอแตกก็ไร้ประโยชน์ ท่านอ๋องจะไม่พบเจ้าอีก” โกวเยว่มองต่ำพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา


ใบหน้าโจวจ้าวฉายแววเศร้าโศกทันที เข้าใจโดยไม่ต้องคิดเลย ว่านี่คือประสงค์ของก่วงลิ่งกง ไม่อย่างนั้นสี่ทัพจะมีใครกล้าแตะต้องเขา เขาพลันกล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย “ถ้าข้าตาย ลูกน้องจะจะต้องปกป้องตัวเอง จะต้องต่อต้านจนตัวตาย ถึงตอนนั้นทัพตะวันตกก็จะวุ่นวายแล้ว ก่วงลิ่งกงก็อย่าได้คิดจะนั่งตำแหน่งอ๋องอย่างมั่นคงเลย!”


โกวเยว่แสยะยิ้ม “เจ้าประเมินตัวเองสูงไปแล้ว ถ้าท่านอ๋องไม่มีแม้แต่กำลังจะควบคุม แล้วจะยังบัญชาการทัพตะวันตกได้ยังไง? ท่านอ๋องดึงเจ้าขึ้นมาได้ ก็เตะเจ้าออกไปได้เหมือนกัน ไม่ได้ขาดแคลนอะไรทั้งนั้น ไม่ขาดคนมารับตำแหน่งขุนนาง เจ้ายังกลัวว่าจะไม่มีคนมาดันตำแหน่งเจ้าอีกเหรอ? มีท่านอ๋องคอยหนุนหลังคุมสถานการณ์โดยรวมเพื่อกำจัดความกังวล ในบรรดากำลังพลสายมะแมของเจ้ามีคนอยากแทนที่เจ้าอยู่แล้ว ถ้าข้าเดาไม่ผิด ตอนที่เจ้ากำลังถูกจับอยู่นี้ สายมะแมคงเริ่มใช้กำลังทหารควบคุมทั่วทุกพื้นที่แล้ว เกรงว่าจุดจบของบรรดาลูกน้องคนสนิทของเจ้าคงไม่ได้ดีกว่าเจ้าสักเท่าไรหรอก”


โจวจ้าวสีหน้าบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง ตอนนี้เพิ่งจะเข้าใจว่าเรื่องในวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกะทันหัน แต่มีการวางแผนตั้งนานแล้ว เขาพลันดิ้นรนพร้อมคำรามเสียงแตก “เพราะอะไร? ทำไม? หรือว่าเพื่อหลงซิ่นคนเดียว? ยอมกำจัดจอมพลผู้นี้ทิ้งเพื่อหลงซิ่นคนเดียวเหรอ? อย่าบอกนะว่าก่วงลิ่งกงยอมเชื่อคำพูดหลงซิ่นมากกว่าคำพูดข้า? ข้ายอมก้มหัวให้มาหลายปีขนาดนี้ ต่อให้ไร้ผลงานแต่ก็ลำบากทุ่มเท มีสิทธิ์อะไรล่ะ? มีสิทธิ์อะไรมาทำกับข้าอย่างนี้? สัจธรรมอยู่ที่ไหน ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน?”


โกวเยว่พ่นเสียงทางจมูก “หลงซิ่นเหรอ? จนป่านนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้ายังคิดว่าเป็นเพราะหลงซิ่น? หลงซิ่นไม่สำคัญอะไรในสายตาท่านอ๋องเลย ขาดหลงซิ่นไปสักคนแล้วจะทำไม?”


โจวจ้าวคำราม “งั้นเป็นเพราะอะไรกันแน่? ข้ายอมรับว่าเชื่อฟังก่วงลิ่งกงทุกอย่าง ไม่เคยคิดต่อต้านใดๆ!”


“เพราะอะไรน่ะเหรอ?” โกวเยว่พลันชี้ไปที่ขอบฟ้า “เจ้าตาบอดหรือไง? ไม่เห็นจวนแม่ทัพภาคตลาดผีรับสมัครคนเหรอ? เจ้ามองเห็นแค่หลงซิ่นคนเดียวไปพึ่งพา เจ้าไม่เห็นเหรอว่าคนในทัพตะวันตกที่ไปขอพึ่งพามีมากเหมือนปลาในแม่น้ำ? หลังจากท่านอ๋องทราบเรื่องก็ไม่เป็นอันกินอันนอน ในทัพตะวันตกมีปัญหา แต่นึกไม่ถึงว่าปัญหาจะรุนแรงขนาดนี้ เจ้าเป็นจอมพลสายมะแม แต่มองไม่เห็นความรุนแรงของปัญหาเชียวเหรอ? ถ้าปล่อยให้เวลานานไป ทัพตะวันตกก็จะเปราะบาง ทำลายรากฐานของตัวเอง! สถานการณ์ที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีทำให้ท่านอ๋องเข้าใจถ่องแท้แล้ว ว่าทัพตะวันตกไปถึงขั้นที่ต้องปรับปรุงใหม่ การเยียวยาแขนที่ขาดแม้จะเจ็บ แต่จะไม่ทำก็ไม่ได้ ถ้าท่านอ๋องไม่ทำ เก็บไว้ให้คนรุ่นหลังจัดการก็จะยิ่งยากลำบาก เกรงว่าคนรุ่นหลังคงจะไม่มีอิทธิพลต่อทัพตะวันตกเหมือนท่านอ๋องแล้ว! ถ้าอยากจะเคาะภูเขาให้เสือสะเทือน ก็ย่อมต้องเลือกลูกน้องที่มีน้ำหนักมากพอ ที่แตะต้องเจ้าก็เพราะต้องการให้ทุกคนของทัพตะวันตกเห็นการตัดสินใจของท่านอ๋อง ใครจะทำลวกๆ ก็ลองดู เจ้าโจวจ้าวก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว!” ร่ายยาวไม่หยุดก็นับว่าทำให้โจวจ้าวได้ตายอย่างไม่คาใจ ถึงอย่างไรก็เป็นจอมพล จงรักภักดีต่อก่วงลิ่งกงมาหลายปี


“อา!” โจวจ้าวพลันเงยหน้าร่ำร้องระบายความเศร้า นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะตายเพราะเหตุผลนี้ เหตุใดตัวเองต้องมารับความอยุติธรรมนี้ เขาคำรามอย่างโกรธแค้น “ทำไมต้องเป็นข้า? ทำไมต้องเป็นข้า? จอมพลผู้นี้ไม่ยอม! จอมพลผู้นี้ไม่ยอม!”


“หลงซิ่นไปขอพึ่งพาจวนแม่ทัพภาคตลาดผี เลยทำให้เจ้าตกเป็นประเด็นสนทนาอีก กาจัดการลงโทษเจ้าก็จะเป็นการตักเตือนและปลอบใจทัพตะวันตกได้มากว่า ดังนั้นหลงซิ่นนับว่าเป็นบทนำ บอกได้เพียงว่าถึงคราวซวยของเจ้าพอดี!” โกวเยว่แสยะยิ้ม แล้วโบกแขนเสื้อพร้อมสั่งว่า “เอาตัวลงไป รอคำสั่ง ประหารต่อหน้าฝูงชน!”


โจวจ้าวที่ถูกลากออกไปพลันตะโกนเสียงดัง “ข้ายอมรับผิด ปล่อยครอบครัวข้าไป ปล่อยครอบครัวข้าไป!”


โกวเยว่หลุบตาลง “สายไปแล้ว! ตอนที่ลงมือกับเจ้า…ก็ลงมือกับทางนั้นด้วยเหมือนกัน!”


“อา…ฆ่าข้าแล้วมีประโยชน์อะไร? ต่อให้ปรับปรุงได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็ปรับปรุงไปทั้งชาติไม่ได้ ผลประโยชน์หมุนเวียนเป็นวัฎจักร…” โจวจ้าวส่ายหน้าร่ำร้อง ถูกลากออกไปอย่างนั้น เขาจินตนาการได้ถึงภาพที่ทัพใหญ่ล้อมโจมตีจวนตระกูลโจว จะต้องฆ่าทิ้งหมดแล้วแน่นอน ไม่เหลือแม้แต่ไก่หรือสุนัข คนตระกูลโจวที่มีหน้ามีตาและโอ้อวดความรวยจะต้องสิ้นหวังกันขนาดไหน


เขาเองก็เข้าใจดี ว่าตัวเองจะต้องตายแน่นอน ถ้าบัญชาการสวรรค์อนุญาตให้ลงโทษ เขาก็จะต้องถูกประหารประจาน แต่ถ้าบัญชาสวรรค์ไม่อนุญาตให้ฆ่าเขา ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะต้อง ‘ปลิดชีพตัวเองหนีการตัดสินคดี’ สรุปก็คือตอนนี้ไม่มีใครช่วยเขาได้ ต่อให้เป็นประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็ช่วยเขาไม่ได้อยู่ดี


…………………………

 

 

 


บทที่ 1736 ฝังศพครั้งใหญ่

 

ในจวนท่านอ๋อง ตอนแรกสมาชิกในครอบครัวยังไม่รู้ว่าด้านนอกเกิดเรื่องอะไรกันแน่ รอจนฝุ่นควันสลายไป เห็นโจวจ้าวถูกคุมตัวไป ถึงได้รู้ว่าการเข่นฆ่านอกจวนท่านอ๋องก็เพื่อจับกุมจอมพลสายมะแมโจวจ้าว มีคนไม่นน้อยพากันตะลึงค้างแล้ว


ทุกคนไม่ได้เจอจอมพลสายมะแมโจวจ้าวเป็นครั้งแรก ยามปกติเป็นบุคคลที่สง่าน่าเกรงขามสียขนาดนั้น ต่อให้เข้าออกจวนท่านอ๋องบ่อยๆ แต่ก็เห็นเขาเคารพนอบน้อมต่อหน้าท่านอ๋องและหวังเฟย ถ้าเป็นคนอื่นเกรงว่าเขาอาจจะไม่ชายตาแลด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ถูกจับตัวไปอย่างนี้แล้ว สะบักสะบอมจนตรอกอย่างกับอะไร


สำหรับคนที่ยามปกติรู้เพียงว่าตำแหน่งท่านอ๋องสูงส่งและมีอำนาจมากแต่กลับไม่รู้ว่าสูงส่งอำนาจมากอย่างไร วันนี้นับว่าได้บทเรียนยาวแล้ว ว่าเคราะห์ร้ายของจอมพลผู้สง่าผ่าเผยคนหนึ่งขึ้นอยู่กับความคิดชั่วแวบเดียวของท่านอ๋องหรือไม่ แค่คิดยังขวัญหนีดีฝ่อ และยิ่งรู้สึกกลัวเกรงอ๋องท่านนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ


ก่วงจวินอันยืนมองอยู่บนดาดฟ้าตึก เห็นกับตาว่าโจวจ้าวถูกลากไปอย่างนั้น เขานิ่งเงียบ อดไม่ได้ที่จะคิดว่า ถ้าตัวเองสืบทอดตำแหน่งอ๋องแล้วจะกล้าฆ่าจอมพลทิ้งอย่างนี้หรือเปล่า? คิดไปคิดมาก็ได้บทสรุปว่า ตัวเองคงไม่กล้าทำอย่างนี้หรอก เพราะตัวเองควบคุมลูกน้องของโจวจ้าวไม่ไหว ถ้าผิดพลาดขึ้นมา เมื่อทัพตะวันตกวุ่นวายก็จะทำให้เขารักษาตำแหน่งตัวเองไว้ไม่ได้ เพราะตัวเองไม่ได้มีอิทธิพลและความน่ากลัวต่อทัพตะวันตกเหมือนท่านพ่อ ยกตัวอย่างเช่นถ้ามีจอมพลอีกสองคนฉวยโอกาสกดดันให้ตนถอยจากตำแหน่ง แล้วตนควรจะทำอย่างไรดีล่ะ? อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ว่าสถานการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้น มีใครบ้างที่ไม่อยากนั่งตำแหน่งท่านอ๋อง? แต่จอมพลสองท่านนั้นไม่กล้ากดดันให้ท่านพ่อถอยจากตำแหน่งแน่นอน


พอคิดไปคิดมา เขาก็หาเหตุผลมาปลอบใจตัวเอง เพราะตัวเองยังด้อยคุณสมบัติและประสบการณ์ ยังไม่มีเครือข่ายและบารมีที่หยั่งรากลึกในทัพตะวันตก เรื่องนี้ทำไม่ได้ในตอนนี้ ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตทำไม่ได้


“ปรับปรุงภูเขาแม่น้ำใหม่อีกครั้ง ต้องฟื้นฟูให้ดีกว่าของเดิม” โกวเยว่ที่เดินเข้าในจวนกำชับกับสมาชิกสังกัดพ่อบ้านของจวนท่านอ๋อง สายตาบังเอิญเห็นก่วงจวินอันยืนอยู่บนหลังคาไม่ไกล เขาไม่ได้พูดอะไร เดินก้าวยาวเข้าไปในจวนต่อ


“พวกเจ้าชอบดูความคึกครื้นกันนักใช่มั้ย?” เสียงของก่วงลิ่งกงดังก้องอยู่บนฟ้าเหนือจวนท่านอ๋อง


เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น บรรดาคนที่ยืนอยู่บนหลังคาก็ทยอยกันกระโดดลงมาอย่างหวาดกลัว รีบหดหัวกลับเข้าไปอย่างซื่อสัตย์


ก่วงลิ่งกงที่อยู่บนตึกศาลาวางจอกสุราลง ลุกขึ้นยืนเอามือไขว้หลัง เดินเนิบนาบไปพิงระเบียงทอดสายตามองด้านนอก เสียงฉินดังสูงดังแผ่วอยู่ในศาลา


ขณะที่ฝั่งนี้กำลังลงมือกับโจวจ้าว ที่นอกจวนตระกูลโจว กูอวี้เฉิง เทพประจำดาวฟ้ามะแมนำผู้ติดตามหลายสิบคนมาถึงแล้ว มีธุระต้องการจะพบคุณชายโจวอ้าวหลิน ทหารยามเข้ามารายงาน ช่วงนี้โจวอ้าวหลินรู้สึกกดดันเหมือนถูกไฟไหม้หัวเพราะเรื่องของหลงซิ่น มีหรือที่จะกล้าปฏิบัติต่อลูกน้องไม่ดี เขาออกมาต้อนรับด้วยตัวเองพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม


กูอวี้เฉิงให้ทหารยามรออยู่ข้างนอก ตัวเองเดินเข้ามาในจวนจอมพลคนเดียว


“ท่านพ่อไปที่จวนท่านอ๋องแล้ว ไม่ทราบว่าเทพประจำดาวมาเพราะมีอะไรจะชี้แนะ?” หลังจากเข้ามาในโถงหลักของเรือนตัวเองและเชิญให้ดื่มน้ำชาแล้ว โจวอ้าวหลินก็ถามอย่างเป็นมิตร


ใครจะคิดว่ากูอวี้เฉิงจะยื่นมือผลักถ้วยน้ำชาไปด้านข้าง ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แล้วตะคอกเสียงต่ำ “โจวอ้าวหลิน เจ้ายอมรับผิดหรือเปล่า?”


เสียงดังก้องครอบคลุมทั้งจวนจอมพล ทำให้คนในจวนจอมพลตกใจอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ทำให้โจวอ้าวหลินงุนงง


ผู้ติดตามกูอวี้เฉิงที่อยู่นอกจวนพลันปล่อยกำลังพลกลุ่มใหญ่ออกมา แล้วบุกสังหารเข้าไปในจวนจอมพลโดยตรง มีส่วนหนึ่งบุกสังหารเข้าไป มีอีกส่วนหนึ่งถูกค่ายกลใหญ่ที่เพิ่งเปิดใช้ชั่วคราวกันไว้ด้านนอก ทัพใหญ่ที่เร่งตามมาสนับสนุนเฝ้ารักษารอบจวนจอมพลอย่างเข้มงวดทันที ใครจะคิดว่าระหว่างทางจะเกิดความขัดแย้งภายใน มีคนตะโกนเสียงดังว่า “โจวจ้าวถูกอ๋องสวรรค์ก่วงประหารแล้ว กำลังพลที่ยอมให้จับแต่โดยดีจะพ้นข้อหา!”


“เหลวไหล!” เสียงตะโกนอันเกรี้ยวกราดของใครบางคนดังก้อง ไม่นานทัพใหญ่ที่เฝ้ารักษาการณ์ก็เข่นฆ่ากันเอง มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่พุ่งไปสนับสนุนที่จวนจอมพล กำลังพลที่ถูกกันอยู่นอกค่ายกลใหญ่ประจัญบานกันแล้ว


ในโถงหลักของเรือนโจวอ้าวหลิน จู่ๆ ก็มีกำลังพลกลุ่มใหญ่พุ่งออกมาอย่างไม่ขาดสาย บนศีรษะของแต่ละคนโพกผ้าขาวราวกับเป็นหน่วยกล้าตาย พุ่งปะทะกับทหารองครักษ์กลุ่มใหญ่ของจวนจอมพล


กูอวี้เฉิงที่สวมเกราะรบถือกระบี่วิเศษไว้ในมือแล้ว มือข้างหนึ่งลากโจวอ้าวหลินที่กระอักเลือดออกมา ทั้งตัวมีลักษณะโหดเหี้ยมดุร้าย เรียกได้ว่าใช้ฐานะเทพประจำดาวลงสนามด้วยตัวเอง โดยมีแม่ทัพใหญ่เกราะแดงสี่คนล้อมพิทักษ์อยู่รอบกาย


ในจวนจอมพลวุ่นวายอุตลุดแล้ว มีเสียงเข่นฆ่า เสียงร่ำไห้ เสียงกรีดร้องดังขึ้นทุกที่ ทิวทัศน์อันงดงามในจวนจอมพลพังยับเยิบอยู่ภายใต้ศึกใหญ่ในชั่วพริบเดียว


“ท่านแม่!” สาวน้อยคนหนึ่งตกใจจนร่ำไห้เสียงสั่นอยู่ท่ามกลางการคุ้มกันของกลุ่มทหารองครักษ์


คนหลายสิบคนพุ่งเข้ามา โจมตีทหารองครักษ์จนกระจัดกระจายไป หอกยาวด้ามหนึ่งแทงหลังทะลุหน้าอกของสาวน้อยอย่างไม่ปรานี เลือดสดพุ่งระเบิดออกมา เสียงร้องไห้ของสาวน้อยหยุดชะงัก ถลึงดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา ทั้งตัวถูกเหวี่งออกไปเพียงชั่วพริบตาเดียว


คนเป็นทั่วทุกซอกมุมล้มลงพื้นกลายเป็นคนตาย บ้างก็ถูกสังหารจนร่างแยก


สตรีวัยกลางคนที่ดูสง่างามทว่าจนตรอกกำลังสู้ไปถอยไปอยู่ท่ามกลางการล้อมพิทักษ์ของกลุ่มทหารองครักษ์ นางถือดาบใหญ่พร้อมตะโกนเสียงดัง “กันไว้! กันไว้! กำลังหนุนกำลังจะมาถึงแล้ว หลังจากจบเรื่องจอมพลจะตบรางวัลอย่างงาม! ข้าให้สัญญาตรงนี้เลย ผู้กล้าจะต้องได้รับรางวัลอย่างงาม!” สตรีวัยกลางคนผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือหลันหลิง ฮูหยินของโจวจ้าวนั่นเอง


ตรงนี้เพิ่งพูดจบ ด้านหลังก็มีกำลังพลกลุ่มใหญ่สังหารเข้ามาอีก หลันหลิงหันกลับไปมอง พอเห็นกูอวี้เฉิงถือกระบี่คุมตัวลูกชายนางเอาไว้ นางก็เบิกตากว้างแทบถลน โบกดาบชี้พร้อมตวาดว่า “กูอวี้เฉิง ปกติจอมพลดูแลเจ้าไม่ขาดตกบกพร่อง เจ้าบังอาจก่อกบฏเหรอ!”


“จะเรียกว่ากบฏได้ยังไง เทพประจำดาวผู้นี้ได้รับคำสั่งให้มาปราบโจรกบฏ ผู้ที่ก่อกบฏก็คือพวกเจ้าต่างหาก!” กูอวี้เฉิงโบกกระบี่ในมือ ตัดศีรษะโจวอ้าวหลินเสียตรงนั้นเลย ไม่สนใจเลือดสดที่พ่นใส่ร่างตัวเอง ถือโอกาสโยนศีรษะขึ้นบนฟ้า พร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดัง “โจวจ้าวถูกอ๋องสวรรค์ก่วงประหารแล้ว กำลังพลที่ยอมให้จับแต่โดยดีจะพ้นข้อหา!”


“ได้รับบัญชาจากอ๋องสวรรค์ก่วงให้ปราบกบฏ โจวจ้าวถูกอ๋องสวรรค์ก่วงประหารแล้ว กำลังพลที่ยอมให้จับแต่โดยดีจะพ้นข้อหา!”


“ได้รับบัญชาจากอ๋องสวรรค์ก่วงให้ปราบกบฏ โจวจ้าวถูกอ๋องสวรรค์ก่วงประหารแล้ว กำลังพลที่ยอมให้จับแต่โดยดีจะพ้นข้อหา!”


ทั้งด้านในและด่านนอกค่ายกลใหญ่มีเสียงตะโกนนี้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ทำเอากำลังพลจวนจอมพลตระหนกขวัญเสีย ทุกคนต่างรู้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะประสงค์ของอ๋องสวรรค์ก่วง มีหรือที่กูอวี้เฉิงจะกล้าทำอย่างนี้ ต่อให้ทำลายจวนตระกูลโจวได้แต่ก็เท่ากับรนหาที่ตายอยู่ดี


ส่วนบนท้องฟ้า มีกำลังพลมืดฟ้ามัวดินพุ่งเข้ามาอีก แต่ละคนโพกผ่าขาวที่ศีรษะ พร้อมตะโกนเสียงดังสะเทือนเมฆว่า “ปราบกบฏ”


เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ กำลังพลของจวนจอมพลที่อยู่นอกค่ายกลใหญ่จำนวนไม่น้อยก็ทยอยกันโยนอาวุธในมือแล้วตะโกนเสียงดังว่า “ยอมแพ้” ภายใต้ผลกระทบที่เชื่อมโยงกัน ทัพใหญ่ที่เฝ้ารักษาการณ์พ่ายแพ้ยับเยิน


มีเพียงกำลังในจวนจอมพลที่สู้ตายอย่างไม่ยอมแพ้ ทั้งหมดเป็นทหารคนสนิท ทุกคนต่างรู้ดี ต่อให้จบเรื่องแล้วปล่อยไป แต่ก็ไม่มีใครปล่อยพวกเขาไว้ให้เกิดปัญหาตามมาทีหลัง ต่อให้ยอมแพ้ก็ไม่มีทางรอดอยู่ดี


บึ้ม! ค่ายกลใหญ่ที่คุ้มกันถูกตีแตก กำลังพลกลุ่มใหญ่บุกสังหารเข้ามา ชั่วพริบตาเดียวกำลังพลในจวนจอมพลก็ถูกตีแตกกระเจิงพ่ายแพ้ยับเยิน


“ฆ่า!” หลันหลิงโบกดาบลงสนามรบด้วยตัวเอง สังหารทิ้งไปแล้วหลายสิบคน ทว่ายามเผชิญหน้ากับทัพใหญ่ที่เหมือนกระแสน้ำ หัวเดียวกระเทียมลีบแพ้ล่าถอยตลอดทาง


“ฮูหยิน กอบกู้สถานการณ์ไม่ได้แล้ว ตราบใดที่ภูเขาเขียวขจี ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีไม้ฟืน!” ท่ามกลางทหารคนสนิทที่คุ้มกันอยู่ทางซ้ายและขวา หนึ่งในนั้นตะโกนขอร้องให้หลันหลิงรีบหนีไป


“ตามข้าสังหารออกไป!” หลันหลิงโบกดาบพุ่งนำขึ้นฟ้า กำลังพลนับร้อยตามคุ้มกัน


ทว่าภายใต้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งระลอกที่ยิงพร้อมกัน ทำให้คนกลุ่มนี้ถูกกดลงมาแล้ว ทัพใหญ่พุ่งเข้ามาล้อมโจมตี กำลังพลกลุ่มนี้ราวกับตกอยู่ในกองโคลน ยากที่จะหนีเอาตัวรอดได้อีก


สังหารจนถึงตอนสุดท้าย ศึกโดยรอบสงบลงแล้ว มีเพียงทหารไม่กี่คนที่ปกป้องอยู่ข้างกายหลันหลิง พวกเขาทำตัวเหมือนสัตว์ที่ดิ้นรนอยู่ในกับดัก ทัพใหญ่ที่ล้อมอยู่ส่วนมากหยุดมือแล้ว ได้แต่มองอยู่อย่างนั้น


ทัพใหญ่ที่ล้อมไว้หลีกทางให้ช่อทางหนึ่ง กูอวี้เฉิงถือกระบี่เดินเข้ามา ตะคอกว่า “หยุดมือ!”


กำลังพลที่ล้อมโจมตีหยุดถอยหลัง ทหารองครักษ์ไม่กี่คนที่ทั้งตัวเปื้อนเลือดล้อมพิทักษ์หลันหลิงที่จนตรอกเอาไว้ตรงกลาง


“โจรกบฏ!” หลันหลิงตะโกนเสียงแข็งขณะชี้ดาบใส่กูอวี้เฉิง


“โจวฮูหยิน ทำไมต้องต่อต้านโดยไร้จุดหมาย ยอมให้จับแต่โดยดีเถอะ บางทีท่านอ๋องอาจจะลดหย่อนโทษให้” กูอวี้เฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ


“เหลวไหล! ข้าเป็นจอมพลฮูหยินผู้สง่าน่าเกรงขาม ไม่มีเหตุผลให้ลดตัวไปขอร้องโจรกบฏ!” พอพูดจบ หลันหลิงที่หันมองรอบข้างก็พลันวางดาบบนคอคาวดุจหยกของตัวเอง เลือดสดพุ่งออกมา เด็ดขาดที่สุด


“ฮูหยิน!” พวกทหารองครักษ์ร้องไห้อย่างเศร้าโศก รีบเข้ามาแย่งประคองหลันหลิงที่ล้มลง


พอหลันหลิงตาย กำลังพลกลุ่มหนึ่งก็พุ่งมาข้างหน้าอีกครั้ง ประหารพวกทหารองครักษ์ที่เหลือ


หลังจากรอบข้างเงียบสงบลงโดยสิ้นเชิง กูอวี้เฉิงก็เดินถือดาบไปข้างศพหลันหลิงด้วยสีหน้าตึงเครียด จากนั้นถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยความปลง “ช่างเป็นสตรีหาญจริงๆ เหตุใดจึงให้กำเนิดลูกชายชั่วที่นำภัยมาสู่ตัวอย่างนั้นได้ ทหาร ฝังศพครั้งใหญ่!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)