หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 883-888

 บทที่ 883 ดารานิรันดร์ที่ล่มสลาย!


พลังปราณของชายหนุ่มระเบิดกระจายออกมา ดวงเนตรปีศาจลืมตาตื่น ด้วยการเสริมพลังจากเกราะจักรพรรดิและพลังจากอาวุธเทพทำให้การฟาดฟันนั้นสั่นคลอนทั้งฟ้าดิน ต้านทานหมอกโลหิตเอาไว้ได้และฟันขาดครึ่งเป็นสองส่วน ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้ม เลือดสดๆ กระอักออกมาจากมุมปาก แรงปะทะสั่นสะเทือนไปรอบด้าน กระตุ้นให้พายุสุริยะบนดารานิรันดร์โหมกระหน่ำขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะพัดกระจายไปทั่วเหมือนน้ำพุปะทุขึ้นในทันใด


พลังระเบิดรุนแรงมากจนราวกับว่าจะสามารถทำลายได้ทุกสิ่ง สีหน้าของหวังเป่าเล่อพลันแปรเปลี่ยน แม้แต่ผู้อาวุโสฝ่ายขวายังต้องหรี่ตาและถอยกลับไปเล็กน้อย ดวงตาของเขาส่องประกายขณะตั้งผนึกฝ่ามือด้วยมือทั้งสองข้างและโจมตีออกไปทั่วทิศทางพร้อมถอยหลังกลับ การโจมตีเหมือนจะสุ่มไปมั่วๆ แต่ก็ได้ผลอย่างยิ่งยวด!


นั่นเพราะ…เมื่อเขาทำการโจมตี พายุสุริยะที่โหมกระหน่ำก็ได้รับการกระตุ้นอีกครั้งและระเบิดออกเป็นวงกว้าง เข้าเขมือบหวังเป่าเล่อไว้ภายใน


ผู้อาวุโสฝ่ายขวาร้องคำราม เขาแสยะยิ้มขึ้นที่มุมปากขณะกำลังใช้พลังทั้งหมดในการป้องกันตนเอง


“เหออวิ๋นจื่อบอกว่า ถ้าไม่มีอำนาจควบคุม คนที่ได้ฝึกวิชาดวงเนตรสวรรค์ก็ไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆ บนดารานิรันดร์นี้ หลงหนานจื่อ อย่าคิดว่าเจ้าแตกต่างไปจากใครคนอื่นที่นี่…ครั้งนี้ ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งเสีย!”


“บ้าชะมัด!” หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังเทพทั้งหมดที่มีด้วยสีหน้าราบเรียบเข้าต้านทานพายุสุริยะที่ตรงเข้ามากลืนกินไปพร้อมกับรีบรุดถอยหนี เขาตระหนักขึ้นมาในตอนนั้นว่าน่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะหาจุดอ่อนเพื่อหลบหนีออกไป ชายหนุ่มไม่สามารถขยายสัมผัสสวรรค์ออกไปได้เพราะความรุนแรงของพายุ


แม้จะดูเหมือนว่าเขาสามารถต้านทานการโจมตีของผู้อาวุโสฝ่ายขวาได้ แต่คลื่นความร้อนที่พายุสุริยะสร้างมาก็ทำให้ชายหนุ่มสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอแต่แสงจ้าบดบังสายตา นอกจากนี้ ร่างกายของหวังเป่าเล่อเหมือนจะเกิดการปริแตกและแทบระเหิดหายไปเมื่อพายุเข้ากลืนกิน


ต้องทุ่มทุกอย่างที่มี! เมื่อตระหนักว่าไม่สามารถหลบได้ หวังเป่าเล่อก็ร้องคำรามเมื่อเกราะจักรพรรดิเข้าเสริมพลังให้เขาราวกับมันได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ดวงเนตรปีศาจเบื้องหลังขยายใหญ่และแปรสภาพเป็นดวงเนตรปีศาจจำนวนมากที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม แม้แต่เปลวไฟสีดำในร่างก็พัดกระจายไปรอบด้าน ชายหนุ่มทุ่มทุกอย่างที่มี ร่างของเขาและผู้อาวุโสฝ่ายขวากำลังจะถูกพายุสุริยะที่พุ่งเข้ามากลืนกินในไม่ช้า


พายุพัดผ่านพวกเขาไปอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาไม่ถึงชั่วสิบอึดใจ ก่อนจะพัดกระจายจากบริเวณที่ทั้งสองอยู่ออกไปยังจักรวาลที่อยู่ห่างไกล เมื่อพลังพายุสุริยะพัดกระจายไป ร่างของหวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ปรากฏให้เห็นจากภายใน


ผู้อาวุโสฝ่ายขวาสั่นระริกไปทั่วร่าง รอบกายมีสมบัติเวทจำนวนมากช่วยคุ้มกัน ร่างของเขาซูบลงไปอย่างเห็นได้ชัดขณะที่สมบัติเวทมากมายสลายกลายเป็นฝุ่นผง ความหวาดกลัวฉายวาบขึ้นในแววตา พอได้สัมผัสพายุเมื่อครู่ก็รู้สึกว่าตนเองคิดผิดไป แม้เขาจะเป็นผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ แต่พลังมหาศาลเมื่อครู่ก็ทำให้หัวใจและกล้ามเนื้อทุกส่วนสั่นรัว


ถ้าหลงหนานจื่อไม่ตาย ก็ต้องบาดเจ็บหนัก! แม้จิตใจจะยังสั่นเทิ้ม เขาก็ยังหันไปทางหวังเป่าเล่อ แต่เมื่อเลื่อนสายตาไป ดวงตาของผู้อาวุโสก็ต้องเบิกกว้าง


ความจริงที่เห็นนั้น…แม้หวังเป่าเล่อจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก แต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้บาดเจ็บหนักเหมือนที่คิดเอาไว้ แท้จริงแล้ว หลังจากพายุพัดกระจายออกไป หวังเป่าเล่อกลับปลดปล่อยพลังเต็มพิกัดหลบหนีออกไปไกลในชั่วพริบตา


หืม หรือเจ้านั่นจะมีสมบัติเวทบางอย่าง…แต่บนดารานิรันดร์แห่งนี้ ไม่ว่าสมบัติเวทจะแกร่งกล้าเพียงใดก็ไม่มีทางทานทนได้นาน! เมื่อคิดย้อนไปว่าหวังเป่าเล่อมีเรือบินรบเวทมากมาย ชายหนุ่มก็น่าจะมีสมบัติสำหรับป้องกันสักชิ้นสองชิ้น ดังนั้นผู้อาวุโสฝ่ายขวาจึงไม่ได้คิดอะไรต่อให้มากความ ก่อนจะกัดฟันออกไล่ตามไป!


แต่ผู้อาวุโสไม่ได้รู้เลยว่า…หวังเป่าเล่อในตอนนี้มีคลื่นยักษ์ถาโถมอยู่ในใจ นั่นก็เพราะ…พายุสุริยะเมื่อครู่นั้นแม้จะดูน่าพรั่นพรึง แต่หลังจากระเบิดไปรอบบริเวณ กลับไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่เขาคิดเอาไว้!


อธิบายให้ชัดเจนคือชายหนุ่มมีพลังต้านทานบางอย่างในร่างกายที่สามารถต้านทานพลังเกือบครึ่งของพายุสุริยะที่เข้ามากลืนกิน ทำให้เขาสามารถทานทนพายุได้


เกิดอะไรขึ้นกัน


ผู้อาวุโสฝ่ายขวาไม่ใช่คนเขลา เขาบอกว่าวิชาดวงเนตรปีศาจใช้ไม่ได้ผลที่นี่ก็ต้องเป็นเช่นที่เขาว่าสิ เพราะเหออวิ๋นจื่อก็ได้ฝึกวิชาดวงเนตรปีศาจเช่นกัน อีกอย่างพวกเขาเคยยึดดารานิรันดร์แห่งนี้ ดังนั้นจึงสามารถทดสอบดูตอนไหนก็ได้


ถ้าไม่เป็นเช่นที่ว่า ผู้อาวุโสฝ่ายขวาคงไม่ตามมาใกล้เช่นนี้ เขาต้องมั่นใจว่าท่ามกลางภัยอันตรายในระดับเท่ากันนี้ ข้าจะต้องตายก่อนเขา…


เช่นนั้น…ทำไมพลังพายุสุริยะครึ่งหนึ่งถึงไม่เป็นผลตอนที่กลืนกินข้า หรือเป็นเพราะเปลวไฟสีดำ ไม่ใช่ ตอนที่ข้าสกัดเปลวเพลิงดารานิรันดร์ออกมา ถึงเปลวไฟสีดำจะมีผลบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากอะไร ถ้าอย่างนั้น…ก็เป็นไปได้แค่อย่างเดียว!


…………………..


บทที่ 884 ทางเดียวคือต้องสู้!


หวังเป่าเล่อไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มมั่นใจว่าวิชาดวงเนตรปีศาจช่วยลดทอนพลังครึ่งหนึ่งของพายุสุริยะไป ถึงกระนั้นก็ใกล้ถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว แม้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาจะอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์และน่าจะมีหนทางในการลดทอนพลังไปบ้าง สุดท้ายแล้วอีกฝ่ายก็ต้องอ่อนแอกว่าชายหนุ่ม


ดังนั้น…ถ้าหวังเป่าเล่อรู้สึกว่าใกล้ถึงขีดจำกัดของตนเองแล้ว ผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ต้องใกล้ถึงขีดจำกัดด้วยเช่นกัน!


แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อเขาหันไปมองผู้อาวุโสฝ่ายขวา สภาพปัจจุบันของอีกฝ่ายนั้นดูเลวร้ายอย่างเห็นได้ชัด เส้นผมหายไปจากหัวหมด ร่างกายซูบเซียวจนดูเหมือนโครงกระดูก พลังปราณที่แผ่ออกมาก็ดูอ่อนแรงลง เงามายาของดาวเคราะห์ปรากฏอยู่ด้านนอกร่างกายของผู้อาวุโส และดูเหมือนกำลังจะแหลกสลาย


ทั้งหมดพิสูจน์ได้จากความคลุ้มคลั่งและการไม่ยอมรับที่ฉายชัดในแววตาของชายชรา ผู้อาวุโสฝ่ายขวาไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติและสังเกตเห็นว่าหวังเป่าเล่อสามารถลดทอนพลังดารานิรันดร์ได้ การลดทอนพลังดังกล่าวไม่ได้มาจากสมบัติเวท แต่เป็นพลังของชายหนุ่มเอง!


ผู้อาวุโสตระหนักเรื่องนี้ช้าเกินไป แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของเขา ถ้าหวังเป่าเล่อพยายามซ่อนเรื่องนี้ไว้ด้วยการกระอักเลือดสดๆ และร้องครวญครางออกมาเป็นพักๆ ขณะหลบหนีเพื่อตบตา ผู้อาวุโสฝ่ายขวาย่อมสามารถมองออกได้ทันทีว่าเป็นกับดัก


แต่หวังเป่าเล่อกลับเงียบมาโดยตลอดและพุ่งทะยานออกไปอย่างดุดัน การกระทำของชายหนุ่มทำให้ผู้อาวุโสมองออกได้ยากว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล กระนั้นเขาก็ตอบโต้อย่างรวดเร็ว หลังจากมองพิจารณาหวังเป่าเล่อ ผู้อาวุโสก็เริ่มถอยหนีออกห่างอย่างไม่ลังเลใจ เขาไม่ได้แค่หนี แต่ยังยกมือสองข้างตั้งผนึกฝ่ามือขณะถอยออกห่าง พยายามสร้างพลังผนึกป้องกันไม่ให้หวังเป่าเล่อหลบหนีออกไปได้เหมือนเช่นตนเองโดยเลือกที่จะลงมือก่อน


“หลงหนานจื่อ เจ้าเล่ห์นักหรือ ข้ายอมรับว่าข้าสะเพร่าเกินไป แต่…ในเมื่อเจ้าเลือกเข้ามาที่นี่ ก็เท่ากับว่าเจ้าได้เลือกที่จะจบชีวิตแล้ว ข้าไม่ต้องโจมตีอะไรเจ้ามาก แค่กันไม่ให้เจ้าออกไปได้ก็เพียงพอแล้ว!” เมื่อผู้อาวุโสฝ่ายขวาคว่ำฝ่ามือลง พลังเทพก็ปะทุออกมา ผนึกมือขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นและพุ่งไปปะทะหวังเป่าเล่อ


“ในหมู่ผู้ฝึกตน สิ่งสำคัญที่สุดคือระดับการฝึกตน ข้าอยู่ระดับดาวพระเคราะห์ ส่วนเจ้าอยู่แค่ขั้นจิตวิญญาณอมตะ บนดารานิรันดร์แห่งนี้ ขอแค่ข้าทนอยู่ได้นานกว่าเจ้า เจ้าก็ต้องจบชีวิตลงที่นี่แน่!”


ดวงตาของผู้ฝึกตนฝ่ายขวาส่องประกายคลุ้มคลั่งขณะที่พลังปราณระเบิดออกมาจากทั่วร่าง ในฐานะที่เป็นทั้งผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์และเป็นผู้อาวุโสของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงผ่านการต่อสู้มามากมายและกลายเป็นคนเด็ดขาด ตอนนั้นเขาไม่สนใจอีกต่อไปว่าดาวเคราะห์ของตนจะเริ่มปริแตกขณะพยายามจัดการหวังเป่าเล่อ ผู้อาวุโสต้องการเปลี่ยนความคิดที่จะเข้าไปใกล้ชั้นดารานิรันดร์ของชายหนุ่มให้กลายเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายต้องนึกเสียใจเพราะมันเปรียบเหมือนเป็นการฆ่าตัวตาย!


“จริงหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตา รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า แม้รอยยิ้มนั้นจะดูไร้ซึ่งอารมณ์ แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความเหี้ยมโหด


“แล้วจะเป็นอย่างไรถ้าเจ้าไม่ใช่ระดับดาวพระเคราะห์อีกต่อไป” หวังเป่าเล่อพูด แววเย็นเยียบฉายวาบขึ้นในตา ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นรอไว้ก่อนแล้ว ในมือของเขา…มีแผ่นหยกอยู่!


“สาป!” หวังเป่าเล่อพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะปล่อยพลังปราณไปผสานรวมกับแผ่นหยกในมือ ทำให้แผ่นหยกสั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมปลดปล่อยด้ายสีดำจำนวนมากออกมา ด้ายสีดำเป็นเหมือนใยแมงมุม ทันใดที่ปรากฏมันก็พุ่งเป้าไปที่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ไม่สนใจพายุดารานิรันดร์ในบริเวณ พุ่งตรงไปยังจุดระหว่างคิ้ว หมายจะเข้ากลืนกิน!


“นี่มัน…” ผู้อาวุโสฝ่ายขวาหน้าซีดเผือดในทันใด สัญญาณอันตรายซึ่งเกินกว่าที่ดารานิรันดร์ทำให้ชายชรารู้สึกระเบิดขึ้นภายในใจ เขาสังหรณ์ใจว่าจะให้ด้ายนั่นเข้าใกล้ไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นจะต้องจบชีวิตลงเป็นแน่


ขณะที่กำลังตื่นตกใจสุดขีด ผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ตั้งผนึกฝ่ามือด้วยมือทั้งสองข้างและปล่อยพลังเทพออกไปต้านทานไว้ นอกจากนี้ยังปล่อยสมบัติเวทมากมายออกมาช่วยอีกแรง


แต่ก็ไม่เป็นผล!


ด้ายดำเคลื่อนตัวทะลุผ่านพลังเทพและสมบัติเวทของผู้อาวุโสฝ่ายขวา ระหว่างเคลื่อนตัวผ่าน ด้ายก็มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ก่อนจะกลายเป็นจุดสีดำพุ่งตรงไปยังหว่างคิ้วของผู้อาวุโสฝ่ายขวา ไม่เปิดโอกาสให้เป้าหมายได้ตอบโต้อะไร เหมือนว่าทุกอย่างได้กำหนดไว้แล้ว พริบตาต่อมา…ด้ายดำก็ปรากฏตัวฝังอยู่ตรงช่องว่างระหว่างคิ้วของชายชรา


เสียงสั่นสะเทือนดังกึกก้อง ร่างผู้อาวุโสสั่นเทิ้มรุนแรงขณะที่เขากรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ผนึกและฝ่ามือมายาตรงหน้าที่เพิ่งปล่อยไปสลายหายไปทันที ขณะที่กรีดร้องอยู่นั้น พลังปราณของเขาเหมือนจะโดนยับยั้งไว้ จุดสีดำตรงหว่างคิ้วเปล่งแสง ก่อนจะกะพริบติดต่อกันเก้าครั้ง พลังปราณของผู้อาวุโสลดทอนจากระดับดาวพระเคราะห์…ลงมาเป็นขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์!


สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นแตกต่างจากตอนที่หวังเป่าเล่อใช้คำสาปจัดการกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายไปเป็นขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น ครั้งนี้น่าตื่นตะลึงกว่ามาก เพราะเป็นการลดทอนพลังปราณจากระดับดาวพระเคราะห์ และนี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดหวังเป่าเล่อจึงไม่ยอมใช้คำสาปนี้กับผู้อาวุโสฝ่ายขวาก่อนหน้านี้


เขารู้ว่าการจะทำให้ระดับพลังปราณของผู้อาวุโสฝ่ายขวาตกลงได้นั้น จะต้องจัดการในตอนที่อีกฝ่ายอยู่ในสภาพไม่สู้ดี จึงเป็นเหตุให้…ชายหนุ่มเลือกเข้าไปใกล้ชั้นดารานิรันดร์ ทั้งหมดนี้…เขาทำไปเพราะ…วางแผนจะใช้คำสาปนี้!


“ตอนนี้เจ้าไม่ใช่ระดับดาวพระเคราะห์อีกต่อไป ทีนี้ก็มาดูกันว่าใครจะทนอยู่ได้นานกว่ากัน กลัวว่าเจ้าจะไม่ได้อยู่รอดแข่งขันกันกับข้าเพราะจะตายด้วยน้ำมือข้าไปเสียก่อน” จิตสังหารปรากฏขึ้นในดวงตาหวังเป่าเล่อขณะที่เขาขยับตัวพุ่งตรงไปทางผู้อาวุโสฝ่ายขวาที่กำลังถอยหนีพร้อมกรีดร้องเสียงลั่น!


การเปลี่ยนแปลงกะทันหันที่เกิดขึ้นทำให้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาไม่รู้ว่าจะต้องตอบโต้อย่างไร เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าหลงหนานจื่อที่อยู่ตรงหน้าจะมีเคล็ดวิชาน่าพรั่นพรึงเช่นนี้อยู่


โดยเฉพาะเมื่อชายชรานึกถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา ขณะที่ร้องครวญครางจากความปวดร้าวราวกับวิญญาณกำลังถูกบดขยี้ ภาพแผนการวางกับดักและการต่อสู้กับหวังเป่าเล่อก็ปรากฏขึ้นในหัว ขณะเดียวกันเขาก็กำลังถอยหนีไปด้วยความหวาดกลัว


ทั้งฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ของหวังเป่าเล่อ การที่ชายหนุ่มทำให้ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายต้องบาดเจ็บหนัก การถ่วงเวลาผู้อาวุโสฝ่ายขวาไว้ทำให้ไม่สามารถตั้งผนึกใหม่ได้ทันเวลา ทั้งหมดรวมกับการที่ชายหนุ่มทำให้พายุสุริยะปั่นป่วน ส่งผลให้ผู้อาวุโสไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ และต้องไล่ตามชายหนุ่มด้วยการปลดปล่อยพลังปราณ…


หลังจากนั้น หลงหนานจื่อก็เปลี่ยนทิศทางและมุ่งตรงไปยังชั้นดารานิรันดร์ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาคิดว่าตนเองมองแผนการของหลงหนานจื่อได้ทะลุปรุโปร่งและมีแผนโต้ตอบเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายไว้พร้อมแล้ว แต่สุดท้าย…เขาก็พบว่าอีกฝ่ายยังมีเล่ห์กลซ่อนไว้อีก เป้าหมายของหลงหนานจื่อคือทำให้ตนอ่อนแอลงและปล่อยคำสาปน่าสะพรึงกลัวใส่


จากที่เคยคิดว่าถือไพ่เหนือกว่ากลับต้องตกเป็นรองในทันใด การคำนวณและกลยุทธ์เช่นนี้ทำให้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาตื่นกลัวขึ้นมาจับจิต ก่อนหน้านั้น เขาก็ไม่ได้มองว่าหลงหนานจื่อเป็นคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังประเมินอีกฝ่ายต่ำไปอยู่ดี


แต่ผู้อาวุโสก็รู้ตัวช้าไป และผลกระทบที่ตามมานั้นหนักหนาทีเดียว ขณะที่ความคิดมากมายฉายชัดขึ้นในหัว ร่างผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็กระตุกเกร็งจากการที่ต้องฝืนทนกับความเจ็บปวดที่ออกมาจากวิญญาณ เขารีบถอยหนีอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้ล้มเลิกความคิดที่จะสังหารหวังเป่าเล่อ แม้จะตื่นกลัวอยู่มากเพียงใด จิตสังหารก็ทวีคูณเพิ่มขึ้นเช่นกัน!


ข้าจะทุ่มทุกอย่างที่มี จะปล่อยให้คนเช่นนี้มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้!


แม้จะรู้ว่าตนเองตกหลุมพรางและอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง แต่เขาก็ยังมีไพ่ตายที่จะพลิกสถานการณ์กลับมาได้!


หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวาจะมีกลยุทธ์อื่นใดหลงเหลืออยู่อีก แม้อีกฝ่ายจะยังมีไพ่ตายอะไรเหลืออยู่ก็คงไม่มีทางพลิกสถานการณ์ในตอนนี้ได้ เพราะชายหนุ่มรู้ดีว่าคำสาปมีผลสูงสุดแค่สิบห้านาที ไม่ว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวาจะมีวิธีการอะไร เมื่อคำสาปหมดฤทธิ์ เขาก็ต้องพบภัยอันตรายอยู่ดี


จะหนีก็ไม่ได้ เพราะหากยังติดอยู่ในดารานิรันดร์แห่งนี้ อนาคตต่อไปต้องมืดหม่นแน่ และคงจะถูกไล่ตามมาไม่เร็วก็ช้า นอกจากนี้ วิธีนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่หวังเป่าเล่อมักจะเลือกทำ


ดังนั้น…ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสู้!


ชายหนุ่มไม่เชื่อว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวาจะไม่ตื่นกลัวเมื่อตกอยู่ในสภาพเดียวกับเขา ซึ่งก็คือไม่สามารถออกจากดารานิรันดร์แห่งนี้ได้เพราะได้ทำลายจุดอ่อนของที่นี่ไปเองตอนที่ไล่ตามมา พายุสุริยะบนดารานิรันดร์ปั่นป่วนหนักทำให้ทั้งสองไม่สามารถใช้สัมผัสสวรรค์ได้ ภัยอันตรายล้อมรอบตัว การจะหาจุดอ่อนของพลังธรรมชาติจุดอื่นให้เจอเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก!


ยิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไป ก็ยิ่งออกจากที่แห่งนี้ได้ยากยิ่งขึ้น


เว้นเสียแต่…ผู้อาวุโสฝ่ายขวาจะมีวิธีอื่นที่ใช้ออกจากที่แห่งนี้ตอนไหนก็ได้ จึงกล้าตัดสินใจไล่ตามข้ามา!



 

 

 


บทที่ 885 กดดันถึงขีดสุด! 


เช่นนั้นแล้ว หากดูจากสภาพตาแก่นั่นในตอนนี้ หากเขามีวิธีที่ว่าจริง ในไม่ช้าเขาคงต้องใช้มันแน่…ขณะที่ความคิดเหล่านั้นผุดขึ้นมาในใจของหวังเป่าเล่อ ร่างกายของชายหนุ่มก็เคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว จิตสังหารระเบิดออกมาอย่างเข้มข้น และรัศมีความบ้าคลั่งจากกายเขาก็แผ่ออกไปทุกทิศทาง ชายหนุ่มเคลื่อนที่เข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็วราวกับเป็นพญามัจจุราช เกราะมหาจักรพรรดิถูกปลดปล่อยออกมา ดวงเนตรปีศาจปรากฏขึ้นและลืมตา ส่วนอาวุธเทพก็ส่องแสงสว่างเจิดจ้าราวจะแข่งกับแสงอาทิตย์ขณะที่หวังเป่าเล่อฟันเข้าใส่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาอย่างรุนแรง!


มีเสียงกัมปนาทดังก้องสะท้อนไปทั่ว ทำให้พายุสุริยะโดยรอบนั้นยิ่งพัดรุนแรงขึ้นอีก ผู้อาวุโสฝ่ายขวาส่งเสียงฮึ่มอยู่ในลำคอ พลางหยิบโล่ศิลาโบราณออกมา โล่นั้นมหัศจรรย์ยิ่ง ทันทีที่ปรากฏขึ้น มันก็ละลายเข้าปกคลุมร่างของผู้อาวุโสฝ่ายขวาเอาไว้ ทำให้ชายชราดูเหมือนกลายเป็นปีศาจศิลา


อาวุธเทพเข้าปะทะส่งเสียงคำรามดังสนั่น ผู้อาวุโสฝ่ายขวาที่กลายเป็นปีศาจศิลาไปแล้วยกมือทั้งสองขึ้นรับการโจมตีเอาไว้ แม้ว่ากายจะสั่นเทา แต่ก็ยังไม่แหลกสลายไป


หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ฝ่ายผู้อาวุโสฝ่ายขวา ใบหน้าที่แท้จริงใต้ศิลานั้นซีดขาว ขณะที่ล่าถอยไปพลางรับมือชายหนุ่มไปพลาง แต่ชายชราก็ยังช้ากว่าชายหนุ่มเล็กน้อยและถูกตามทันในอึดใจต่อมา หวังเป่าเล่อฟันลงไปอีกครั้ง และแม้ว่าการโจมตีก็ยังถูกรับเอาไว้ได้ แต่ครั้งนี้แขนศิลาไม่เพียงสั่นคลอนเท่านั้น แต่กลับมีรอยร้าวปรากฏให้เห็นด้วย


“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะทำลายเจ้าไม่ได้!” รัศมีแห่งความบ้าคลั่งบนกายของหวังเป่าเล่อทวีความรุนแรงเมื่อชายหนุ่มเริ่มเปิดหน้าโจมตีรัวเร็ว เขาพุ่งเข้าไปใส่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์รวดเร็วปานสายฟ้าฟาด เมื่อเข้าไปใกล้ ชายหนุ่มก็กวัดแกว่งอาวุธเทพอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นภาพติดตา แล้วเขาก็ฟันลงไปอย่างจัง จนเกิดเสียงคำรามลั่นสะท้อนก้องไปทั่ว


ผู้อาวุโสฝ่ายขวาไม่ใช่คู่มือของหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อยและทำได้เพียงตั้งรับอย่างเดียวเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น การโจมตีต่อเนื่องของชายหนุ่มยังไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายโจมตีกลับและกดให้ต้องปัดป้องอยู่อุตลุด แถมยังจำกัดขีดความสามารถในการใช้พลังเทพของเขาอีกด้วย หากมองจากที่ไกลๆ ก็จะเห็นร่างของผู้อาวุโสฝ่ายขวาที่ล่าถอยไม่หยุด เลือดจำนวนมากที่กระอักออกจากปากระเหยหายไปอย่างรวดเร็ว


ภายใต้การจู่โจมต่อเนื่องของหวังเป่าเล่อ ร่างหินของผู้อาวุโสก็มีรอยแตกเพิ่มมากขึ้นทุกที และเมื่อชายหนุ่มส่งเสียงคำราม ร่างศิลานั้นก็ระเบิดเปิดออกทันใด!


การระเบิดนั้นส่งให้ผู้อาวุโสอาเจียนเอาเลือดออกมาอีกคำรบเพราะอาการบาดเจ็บนั้นหนักหนากว่าเก่า แต่ในวินาทีนั้นเอง ประกายบ้าคลั่งก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของชายชรา ดูราวกับว่าเขาใช้ร่างศิลาเพื่อซื้อเวลาในการปลดปล่อยพลังเทพออกมา


“หลงหนานจื่อ ตาข้าบ้างล่ะ!” ผู้อาวุโสพูดก่อนจะคำรามออกมาดังสนั่น


“สมบัติเวททั้งเจ็ดจากภายใน!” ใบหน้าของผู้อาวุโสฝ่ายขวาทั้งบิดเบี้ยวและชั่วร้าย แม้ว่าก่อนหน้านี้ชายชราจะอยู่ในสภาพจนตรอกและไม่อาจใช้พลังเทพได้ แต่ในที่สุดเขาก็สามารถปลดปล่อยพลังเทพออกมาได้สองเคล็ดวิชาโดยอาศัยเกราะศิลายื้อเวลาเอาไว้ เขาไม่ต้องเตรียมอะไรเลยเพื่อปลดปล่อยพลังแรกออกมา เพราะมันเป็นความสามารถเฉพาะตัวที่พร้อมใช้งานเพียงแค่นึกถึงเท่านั้น ผู้อาวุโสอดทนรับการโจมตีมาตลอดก็เพื่อใช้อีกเคล็ดวิชาหนึ่ง!


เคล็ดวิชาแรกนั้นเป็นวิชาเก็บพลังเทพที่ชายชราเตรียมเอาไว้ใช้ตั้งแต่บรรลุขั้นระดับดาวพระเคราะห์ หากไม่จำเป็นถึงขีดสุด เขาก็ไม่อยากจะใช้มัน ตอนนี้นั้นเคล็ดวิชานี้ได้กลายมาเป็นหนึ่งในไพ่ตายของเขาแล้ว


ขณะที่เสียงคำรามดังสนั่นสะท้อนอยู่ไปมา ก็มีลำแสงเจ็ดสีระเบิดออกมาจากร่างของผู้อาวุโส แม้จะมีพายุสุริยะพัดอยู่รอบกาย แต่แสงทั้งเจ็ดก็ยังส่องสว่างเจิดจ้าอยู่นั่นเอง


ทันทีที่แสงเหล่านั้นส่องสว่างออกมา มันก็กะพริบสามครั้ง ก่อนที่ลำแสงสามเส้นจะอันตรธานไป มีวงแหวนสามวงที่กำลังขยายออกอย่างรวดเร็วปรากฏขึ้นมาแทนที่ ขณะที่หวังเป่าเล่อหรี่ตาก่อนจะมีประกายประหลาดสะท้อนขึ้นมาในดวงตาของเขา วงแหวนแสงทั้งสามก็กระแทกร่างชายหนุ่มอย่างแรง


เมื่อทั้งสองมาปะทะกัน วงแหวนแสงทั้งสามก็สั่นสะท้านก่อนจะทลายไป แต่พลังที่อยู่ภายในนั้นรุนแรงอย่างยิ่ง ทำให้ร่างกายของชายหนุ่มสั่นสะท้านและกระเด็นถอยหลัง ทว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวานั้นย่ำแย่หนักกว่าอย่างเห็นได้ชัด มีเลือดพุ่งกระฉูดออกมาจากปาก ก่อนจะระเหยไปก่อนกระทบพื้นดิน ภายใต้วงคำสาปนั้น พลังปราณของชายชราต้องรับมือกับทั้งแรงสะท้อนจากการพังทลายของสมบัติเวททั้งเจ็ดจากภายใน และพายุสุริยะที่รายล้อมอยู่ ทำให้สถานการณ์ของชายชรายิ่งเสี่ยงหนักเข้าไปอีก


ทว่าผู้อาวุโสกลับระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่นขณะที่ล่าถอย ก่อนจะมีความบ้าคลั่งปรากฏขึ้นในดวงตา


“หลงหนานจื่อ ข้ายอมรับว่าเจ้านี่มันไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ครั้งนี้…เจ้าถูกหลอกอีกแล้ว!” ผู้อาวุโสมีแววตาบ้าคลั่งขณะโบกผนึกฝ่ามือด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจะสะบัดออกไปข้างหน้าอย่างรุนแรง ในทันใดนั้น ลำแสงอีกสี่สีนอกกายเขาก็แปรสภาพเป็นวงแหวนแสงอีกสี่วง แต่คราวนี้ไม่ได้พุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ แต่กลับระเบิดและเริ่มหมุนวนเข้าใส่สิ่งรอบข้างแทน!


การระเบิดนั้นใช้พลังทั้งหมดในกายของผู้อาวุโสฝ่ายขวา มันเป็นไพ่ตายสุดท้ายในกายเขา เมื่อมันทลายลง ก็เกิดเป็นพายุหมุนที่รุนแรงราวหลุมดำขึ้น ทันทีที่ลมหมุนก่อตัวขึ้น สิ่งรอบข้างก็ถูกดึงดูดเข้าไปทันที


ภายในบริเวณของดารานิรันดร์อันบ้าคลั่ง และภายในความเวิ้งว้างที่เต็มไปด้วยพายุสุริยะ การปรากฏขึ้นของลมหมุนนั้น…ดึงเอาพายุสุริยะโดยรอบเข้าไปหามัน ทำให้เกิดแสงสีขาวปรากฏขึ้นตรงบริเวณที่ทั้งคู่ยืนอยู่


แต่นั่นยังไม่ใช่ส่วนที่น่ากลัวที่สุด การปะทะกันของทั้งคู่อาจไปกระตุ้นดารานิรันดร์จนถึงจุดหนึ่ง ทันทีที่พายุหมุนปรากฏขึ้น…ไกลออกไปจากพวกเขาทั้งสอง แสงสว่างที่เจิดจ้าเสียจนไม่อาจบอกสีได้ก็ปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ ช่างเป็นแสงที่รุนแรงคล้ายหมอกและของเหลวในเวลาเดียวกัน แสงนั้นมีพลังอันน่าสะพรึงกลัวระดับมหาศาล ที่ไหลกวาดเข้ามาหาพวกเขาทั้งคู่จากที่ไกลๆ!


ในตอนนี้ มีประโยคเดียวที่เพียงพอจะใช้อธิบายสถานการณ์ นั่นก็คือ…มืดฟ้ามัวดิน!


หากมองจากที่ไกลๆ แสงอันยิ่งใหญ่ดูราวกับเป็นหัตถ์สวรรค์ที่พร้อมทำลายทุกสรรพสิ่ง มันกระจายออกไปอย่างไม่รู้สิ้นสุด แสงนั้นเข้าปกคลุมบริเวณ กวาดล้างเอาทุกสิ่งเข้าไปด้วยพลังอันล้นเหลือ ต่อหน้าพลังนั้น ผู้ที่มีระดับปราณไม่สูงพอก็เป็นเพียงมดปลวก พวกเขาถูกทำลายไปอย่างง่ายดาย!


หากสวรรค์และพื้นพิภพอยู่ในบริเวณนั้น ก็คงมีหน้าตาเปลี่ยนไปเป็นแน่ แสงเจิดจ้านั้นเข้ามาแทนที่ทุกสิ่งและทำให้ทุกอย่างกลายเป็นสีเดียว เพียงมองแค่ปราดเดียว นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็แสบร้อนราวกับถูกทิ่มแทง ผู้อาวุโสฝ่ายขวาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ความตื่นตกใจถูกแสดงออกมาทางสีหน้าของเขา ตามแผนเดิม ชายชราต้องการใช้พายุหมุนนั้นเพื่อรวบรวมพลังของดารานิรันดร์ที่อยู่ในบริเวณเพื่อสร้างระเบิดขนาดใหญ่พอที่จะจัดการหลงหนานจื่อได้ เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าแผนนั้นจะทำให้สถานการณ์พลิกผันไปจนเลวร้ายเช่นนี้!


นั้นเพราะแสงเจิดจ้านั้น…ก็คือพายุสุริยะเช่นกัน!


พลังของมันรุนแรงพอที่จะทำลายทุกสรรพสิ่ง ผู้ที่ระดับปราณไม่ถึงระดับดาวพระเคราะห์ หากสัมผัสมันเข้าไปก็เท่ากับตายสถานเดียว!


ผู้อาวุโสฝ่ายขวามีใบหน้าซีดเซียว ก่อนจะหยุดวางแผนไปชั่วขณะ เขาคว้าไปที่มือขวาของตนอย่างไม่รอช้า อึดใจต่อมา มือขวาของชายชราก็ระเบิด เลือดและเนื้อที่กระจายออกไปถูกความร้อนสูงในบริเวณนั้นทำลายแทบจะในทันที แต่ขณะเดียวกันก็มีประกายแสงการเคลื่อนย้ายแพร่ออกมาจากภายใน แผนที่ดวงดาวรางๆ ปรากฏขึ้นมา บนแผนที่ดวงดาวนั้นเผยให้เห็นจุดแสงนับพัน แสงแต่ละจุด…เหมือนจะแสดงให้เห็นดวงอาทิตย์ดารานิรันดร์ของอารยธรรมนี้


สิ่งนี้…คือสาเหตุที่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ใช้เกราะศิลาในการซื้อเวลาก่อนหน้านี้ เป็นหนึ่งในสองไพ่ตายที่เขาใช้ มันคือ…พลังเคลื่อนย้ายของดารานิรันดร์ที่ถูกผนึกเอาไว้ในมือขวา โดยมีรากฐานมาจากดารานิรันดร์ของอารยธรรมครามทองคำ!


การเคลื่อนย้ายนี้สามารถพาผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ของอารยธรรมครามทองคำกลับไปสู่ตำแหน่งภายในอารยธรรมได้จากภายนอก ทุกๆ อารยธรรมที่เป็นจุดแสงอยู่นั้นเป็นเมืองขึ้นของอารยธรรมครามทองคำทั้งสิ้น


อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ยังไม่เสียดินแดนให้อารยธรรมครามทองคำ จึงไม่ได้อยู่ในอาณาเขตนั้น ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างกันได้ พวกเขาจึงต้องใช้ราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์เพื่อเปิดดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ให้กองทัพอารยธรรมครามทองคำลงมาจุติได้


แผนของผู้อาวุโสฝ่ายขวาคือใช้สมบัติเวททั้งเจ็ดจากภายในเพื่อให้สถานที่นี้อันตรายยิ่งกว่าเก่า ถึงขนาดที่จะกำจัดหวังเป่าเล่อไปได้ ในขณะเดียวกัน ชายชราก็จะใช้การเคลื่อนย้ายดารานิรันดร์เพื่อหนีออกจากดารานิรันดร์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เมื่อถึงนาทีอันตรายถึงตาย!


เขาต้องเลือกเป้าหมายของการเคลื่อนย้าย แต่เพราะผู้อาวุโสกำลังตกอยู่ในอันตราย จึงเลือกตำแหน่งไปแบบสุ่มๆ อึดใจต่อมา ร่างของเขาก็เริ่มจางลง!


แต่ทันทีที่เงาร่างของเขาเริ่มพร่าเลือน พร้อมๆ กับที่พายุสุริยะพัดโหมเข้ามา ประกายแสงก็สะท้อนวาบขึ้นในดวงตาของหวังเป่าเล่อ!


“ข้านึกว่าเจ้าจะรออีกสักหน่อยก่อนจะหนีเสียอีก!”

 

 

 


บทที่ 886 อารยธรรมวิญญาณโลก!

 

หวังเป่าเล่อคาดเดาไพ่ตายสุดท้ายของผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เอาไว้นานแล้ว ชายหนุ่มถึงกับคิดแผนเอาไว้ในใจมากมายเพื่อเตรียมรับมือ แต่เขาก็รู้ดีว่าเป็นการยากยิ่งที่จะคาดเดาความในใจของคนได้ถูก ฉะนั้นโดยมากแล้วการจะหลอกให้ฝ่ายตรงข้ามตายใจเพื่อบรรลุเป้าหมาย…มักขึ้นอยู่กับดวงชะตา


สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มทำได้คือพยายามให้แผนแต่ละขั้นนั้นไปถึงระดับที่ตั้งใจไว้ แต่สิ่งต่างๆ จะบรรลุตามเป้าหมายที่เขาตั้งเอาไว้หรือไม่นั้น หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจแน่ใจได้


ตามแผนเดิมของชายหนุ่ม เขาต้องการใช้ประโยชน์จากแรงกดดันของคำสาปและขโมยทางหนีของศัตรูเพื่อใช้หลบหนีเอง ทิ้งให้ศัตรูต้องตายอย่างน่าอนาถแทนตน แต่ขณะนี้…วิธีนั้นดูจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว


แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามแต่ แม้จะเกิดการสะดุดบ้าง ในวินาทีนั้น…ผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ปลดปล่อยเคล็ดวิชาย้ายตำแหน่งออกมาแล้ว หวังเป่าเล่อเพียงแค่ต้องเปลี่ยนการกระทำไปบ้างก็เท่านั้น


การระเบิดของพายุสุริยะทำให้ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกอื่น ดังนั้นทันทีที่กายของผู้อาวุโสเริ่มพร่าเลือนและกำลังจะเคลื่อนย้ายหนีไปนั่นเอง หวังเป่าเล่อก็ไม่รอช้า นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกายเด็ดเดี่ยว เขาเรียกใช้เกราะมหาจักรพรรดิในกายทันทีและระเบิดพลังออกมารุนแรงจนเกราะแทบจะทลายลงมา!


หวังเป่าเล่อปล่อยพลังของเกราะออกมาร้อยละเก้าสิบเก้าในพริบตา!


เกราะมหาจักรพรรดินั้นมหัศจรรย์ยิ่ง ไม่เพียงมีพลังมหาศาลเท่านั้น แต่ตอนนี้มันได้ผสานรวมเกราะของราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์เข้าไว้ด้วยกัน ในแง่หนึ่ง เกราะนั้นก็เหมือนอุปกรณ์เก็บพลังงานที่สหพันธรัฐสร้างขึ้น มันปล่อยพลังวิญญาณร้อยละเก้าสิบเก้าที่เก็บเอาไว้ออกมาในวินาทีนั้น ทำให้เกิดพลังงานที่รุนแรงพอจะสั่นคลอนสรวงสวรรค์ขึ้น พลังนั้นดูราวกับเป็นพายุ และเมื่อแพร่กระจายออกไป หวังเป่าเล่อก็ควบคุมมันเอาไว้อย่างเต็มกำลังก่อนจะซัดพลังทั้งหมดไปเบื้องหลังตน!


ที่เบื้องหลังชายหนุ่ม เมื่อวิชาดวงเนตรปีศาจถูกเรียกใช้ ดวงตาสีดำสนิทขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น ในวินาทีที่หวังเป่าเล่อระเบิดพลังเต็มที่ออกมา เปลวไฟสีดำก็แพร่กระจายออกมาด้วย ทำให้ดวงตาสีดำสนิทนั้นชัดเจนขึ้นมา ไหนจะพลังเกือบทั้งหมดของเกราะมหาจักรพรรดิอีก ขณะที่พลังทั้งหมดไหลบ่าเข้าไป ดวงตาสีดำ…ก็ขยายใหญ่จนกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง เริ่มมีเส้นเลือดปูดโปนปรากฏขึ้นให้เห็น ดวงตานั้นดูน่าสะพรึงกลัวยิ่ง ก่อนที่มันจะระเบิดอย่างรุนแรงไปทางผู้อาวุโสฝ่ายขวา!


มีพลังสกัดกั้นที่รุนแรงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนแผ่ออกมา แม้ว่าร่างกายของผู้อาวุโสฝ่ายขวาจะพร่าเลือนไปแล้วและการเคลื่อนย้ายก็ไม่อาจถูกยับยั้งได้หลังจากเรียกใช้งาน ภายใต้คำสาป ระดับปราณของชายชราตกลงไปสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะ ยิ่งไปกว่านั้น การเรียกใช้ดวงเนตรปีศาจของหวังเป่าเล่อพร้อมพลังเสริมจากเกราะมหาจักรพรรดิที่ปล่อยพลังออกมาถึงร้อยละเก้าสิบเก้า จนทำให้เกราะมหาจักรพรรดิไม่อาจถูกเรียกใช้งานได้อีกจนกว่าจะพักฟื้นสำเร็จ ก็ทำให้ร่างกายที่พร่าเลือนของชายชราเคลื่อนย้ายหนีไปไม่ได้


มันก็แค่หลังจากที่ทั้งคู่ปะทะกันไปก่อนหน้านี้จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไป พลังของคำสาปก็ใกล้ถึงขีดจำกัดเข้าไปทุกขณะ ฉะนั้น แม้ว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวาจะถูกดวงเนตรปีศาจปิดกั้นเอาไว้ แต่ก็เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น ภายในพริบตาชายชราก็กลับมาเป็นปกติ


แต่เพียงพริบตาก็เพียงพอแล้ว!


ในจังหวะที่ร่างกายของผู้อาวุโสชะงักก่อนจะกลับมาเป็นปกติ ก็มีเสียงปังดังขึ้น ร่างของหวังเป่าเล่อแปลงเป็นหมอกและเข้าไปปกคลุมบริเวณที่ร่างของชายชราหายไปด้วยความเร็วสูง ชายหนุ่มเข้าไปในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายพร้อมๆ กันกับอีกฝ่าย!


เช่นเดียวกับตอนที่หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาไล่ตามผู้อาวุโสฝ่ายขวาและป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนย้ายหนีได้ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็รู้ว่าชายหนุ่มตามเข้ามา แต่ก็ไม่สามารถปัดป้องได้ทันเวลา พายุสุริยะเองก็ใกล้เข้ามาเต็มที ไม่ว่าจะกล้ำกลืนเพียงใด ชายชราก็ทำได้เพียงมองหวังเป่าเล่อเคลื่อนย้ายไปพร้อมกันเท่านั้น!


และทันทีที่ทั้งสองเคลื่อนย้ายออกมา แสงสว่างเจิดจ้าของพายุสุริยะก็ไหลท่วมอาณาบริเวณและกลืนกินพื้นที่ที่ทั้งสองเคยยืนอยู่ไปเสียสิ้น มันยังกินพื้นที่ไปไกลกว่านั้น และอาณาเขตที่ได้รับผลกระทบก็กว้างขึ้นทุกทีๆ หลังจากที่ขยายแนวราบผ่านไปบางจุด มันก็เริ่มจะ…เคลื่อนที่ขึ้นในแนวตั้ง!


ในเวลานั้น แม้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และผู้ฝึกตนทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ลำแสงเจิดจ้าจากดารานิรันดร์และความกลัวจากส่วนลึกในใจก็พาให้ทุกคนจ้องมองไปยังดารานิรันดร์พร้อมกัน และสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!


ตอนนั้นเอง ปรมาจารย์มหาทัณฑ์และปรมาจารย์เต๋าใหม่ครามทองคำก็มองตากัน ก่อนจะถอยหนีพลางส่งดวงจิตเทพไปสั่งให้บรรดาศิษย์รีบถอยทันที!


หากเป็นเวลาอื่น ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์คงต้องเข้าไปขัดขวาง แต่สีหน้าของชายชราขณะนี้ซีดเซียว มีแววตื่นตะลึงปรากฏขึ้นในดวงตา เขารู้ดีว่าผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวากำลังทำสิ่งใดอยู่บนดารานิรันดร์ เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น ก็เป็นการยากที่ประมุขจะนิ่งเฉยอยู่ได้ เขาไม่อยากเชื่อว่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจะสามารถหนีออกมาจากสถานการณ์เช่นนั้นได้…ทว่าเมื่อได้เห็นพายุสุริยะ ชายชราก็สูญเสียความมั่นใจทั้งหมด พลางรู้สึกปั่นป่วนอยู่ในใจ


ชายชรารีบส่งข้อความเสียงไปยังเหออวิ๋นจื่อแห่งราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ทันที เมื่อเข้ารู้ว่าอำนาจสั่งการของเหออวิ๋นจื่อยังไม่กลับคืนมา ความรู้สึกไม่สบายใจก็ยิ่งหนักหนาขึ้น


แต่ไม่ว่าทุกสิ่งบนดารานิรันดร์จะดำเนินไปเช่นไร หลังจากที่ปล่อยพายุสุริยะออกมาแล้ว ประมุขสำนักก็ไม่อาจจะทำสิ่งใดได้นอกจากสงบใจเอาไว้ เขาหนีทันทีพลางใช้กำลังทั้งหมดไปกับการตั้งรับ หาไม่แล้ว…หากพายุสุริยะระเบิดก่อนที่พวกเขาจะออกไปได้ ก็อาจจะเกิดหายนะครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นก็เป็นได้


“บัดซบ!” ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กัดฟันและปล่อยให้ปรมาจารย์มหาทัณฑ์และปรมาจารย์เต๋าใหม่ครามทองคำหลบหนี ตัวเขาเองก็หลบหนีไปพลางส่งดวงจิตเทพออกไปเปิดการป้องกันในฐานที่มั่นชั่วคราวเต็มกำลัง ชายชราวางแผนจะให้ผลของพายุสุริยะเสร็จสิ้นไปก่อนแล้วค่อยสู้รบกันต่อไป


ขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็อยู่ในช่วงสงบศึก ณ สถานที่หนึ่ง ไกลออกไปจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ไกลออกไปยิ่งกว่าร้านค้าตระกูลเซี่ยที่หวังเป่าเล่อไปเยือนมาก่อนหน้านี้ มีอารยธรรมหนึ่งตั้งอยู่ ชื่อว่าอารยธรรมวิญญาณโลก


เพราะอารยธรรมแห่งนี้ผลิตศิลาวิญญาณขั้นสูงสุด จึงถูกอารยธรรมครามทองคำยึดครองเอาไว้มานานหลายปีมาแล้ว ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในอารยธรรมนั้นหากไม่ตายก็กลายเป็นทาส ในขณะที่ถูกกดขี่อยู่นั้น ดารานิรันดร์ของพวกเขา…ก็ถูกอารยธรรมครามทองคำชิงเอาไปผสานรวมกับดารานิรันดร์ของพวกเขาเอง สิ่งที่เหลืออยู่คือดารานิรันดร์ประดิษฐ์ที่หลอมขึ้นโดยอารยธรรมครามทองคำนั่นเอง


มันคือดารานิรันดร์ที่อยู่ภายนอก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นเพียงการรวมตัวกันของวงแหวนปราณจำนวนมหาศาล ขณะที่สามารถควบคุมอารยธรรมได้ทั้งหมด มันก็ยังเปลี่ยนตนเองให้เป็นเป้าหมายการเคลื่อนย้ายของอารยธรรมครามทองคำได้ด้วย ฝ่ายผู้ฝึกตนในอารยธรรมนี้นั้น โชคชะตาของพวกเขาก็พลันพลิกผัน กลายมาเป็นชาวเหมืองตั้งแต่เกิดจนตาย ผู้คนทุกรุ่นต่างก็ต้องทำงานถวายชีวิตให้อารยธรรมครามทองคำ


              การยึดครองอารยธรรมเช่นนี้เป็นเรื่องปกติยิ่งในอาณาบริเวณของอารยธรรมครามทองคำ แม้ว่าอารยธรรมวิญญาณโลกจะอยู่ในดาราจักรที่สิบเก้าแห่งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้าย แต่ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ก็ยังต้องเหาะเหินถึงพันปีเพื่อจะไปให้ถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จากที่นั่น หากไม่เปิดประตูเคลื่อนย้ายระดับจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ แต่แม้แต่อารยธรรมครามทองคำก็ไม่มีประตูเคลื่อนย้ายระดับจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านี้ มีเพียงผู้ที่กุมอำนาจเหนือจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นเท่านั้นที่จะมีได้ หากคนภายนอกต้องการขอยืม ราคาที่ต้องจ่ายก็สูงเสียจนกระทั่งอารยธรรมครามทองคำยังต้องตัวสั่น


เพราะอย่างไรเสีย ประตูเคลื่อนย้ายระดับจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ก็คือการสร้างฐานที่มั่นของตนเอาไว้ในหลายๆ บริเวณเหมือนเป็นเครือข่ายวิญญาณ ยิ่งปกคลุมพื้นที่ได้มากเท่าใด ก็ยิ่งมีตัวเลือกในการเคลื่อนย้ายได้มากเท่านั้น


ทฤษฎีเบื้องหลังประตูเคลื่อนย้ายดารานิรันดร์ของอารยธรรมครามทองคำก็เช่นกัน ทว่าแม้พวกเขาจะเป็นกำลังที่น่ากลัวที่สุดในดาราจักรลำดับที่สิบเก้า แต่ก็เพียงในแง่กำลังรบเท่านั้น ในส่วนของอิทธิพลนั้น ด้วยระดับปัจจุบันของอารยธรรมครามทองคำก็ยังไม่สามารถแผ่ไปทั่วดาราจักรได้


และในวินาทีนั้น ภายในจักรวาลอันน่าเบื่อหน่ายของอารยธรรมวิญญาณโลก ก็มีแสงเจิดจ้าสว่างขึ้นในบริเวณหนึ่ง แสงนั้นเจิดจรัสอยู่ชั่ววินาทีก่อนจะกระจายไปทั่วบริเวณ และหายไปในอึดใจถัดมา


แสงดังกล่าวจางไปก่อนที่อารยธรรมวิญญาณโลกจะทันมองเห็น ทันทีที่แสงนั้นสว่างขึ้นและจากไป หมอกกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ทันทีที่ปรากฏให้เห็น มันก็พุ่งไปยังทิศทางของอวกาศที่ห่างไกลอย่างไม่รอช้า


เมื่อมันเคลื่อนที่ออกไป หมอกกลุ่มนั้นก็เริ่มจับตัวกันก่อนจะกลายเป็นร่างของหวังเป่าเล่อ ใบหน้าของชายหนุ่มซีดขาวขณะที่เร่งความเร็วขึ้น เพราะเขารู้ดีว่า…กรอบเวลาของคำสาปนั้นอาจจะผ่านไปแล้วหรือกำลังจะสิ้นสุดลง หวังเป่าเล่อต้องเริ่มวิ่งตั้งแต่ตอนนี้…


ขณะที่ชายหนุ่มเคลื่อนที่ไป ก็มีเงาร่างอีกร่างหนึ่งซวนเซออกมาจากอากาศธาตุ หลังจากที่ก่อตัวกันอย่างรวดเร็ว ก็มองเห็นว่าเป็นร่างของผู้อาวุโสฝ่ายขวาที่อยู่ในสภาพน่าเวทนา ชายชรามองเห็นร่องรอยของหวังเป่าเล่อแต่ชะงักอยู่ชั่วขณะ


แม้เขาจะสัมผัสได้ว่าคำสาปบนร่างกำลังค่อยๆ จางไปอย่างรวดเร็ว แต่ความกลัวที่มีต่อหวังเป่าเล่อก็รุนแรงถึงขีดสุดตั้งแต่ตอนที่ประมือกันบนดารานิรันดร์แล้ว แม้ว่าจิตสังหารของชายชราจะรุนแรงขึ้น แต่เขาก็ตัดสินใจเลือกความปลอดภัย


สถานที่นี้อยู่ในอาณาเขตของอารยธรรมครามทองคำและมีวงแหวนปราณดารานิรันดร์ประดิษฐ์อยู่ หลงหนานจื่อ เจ้าหนีไม่รอดหรอก! ผู้อาวุโสฝ่ายขวาหรี่ตาลงและไม่ได้วิ่งตามไป กลับกันชายชรามุ่งหน้าไปยังดารานิรันดร์ประดิษฐ์ ผู้ฝึกตนในอารยธรรมวิญญาณโลกมองว่าเขาเป็นราวเทพยดาและไม่กล้าจะเข้าใกล้


ด้วยอำนาจควบคุมที่เขามีในฐานะผู้ฝึกระดับดาวพระเคราะห์ของอารยธรรมครามทองคำ คงไม่เกินไปนักหากจะกล่าวว่าเขาเป็นเทพในหมู่อารยธรรมรองๆ ขณะที่ผู้อาวุโสพุ่งเข้าไปหาดารานิรันดร์ประดิษฐ์ของอารยธรรมวิญญาณโลก วงแหวนปราณที่ผนึกทั้งอารยธรรมเอาไว้ ซึ่งป้องกันไม่ให้มีใครเข้าออกก็โผล่ขึ้นมาบริเวณเส้นเขตแดนของอารยธรรมวิญญาณโลก!

 

 

 


บทที่ 887 จุดจบของอารยธรรม!

 

วงแหวนปราณที่ลักษณะเหมือนหยากไย่ดูคล้ายรวงผึ้งในรัง มันปรากฏขึ้นปุบปับและโอบล้อมอารยธรรมวิญญาณโลกเอาไว้ทั้งหมด ไม่มีใครสามารถเข้ามาในอารยธรรมนี้หรือออกไปได้


วงแหวนปราณก่อตัวขึ้นรวดเร็วเกินไป กระสวยจำนวนหนึ่งที่ล่องลอยอยู่ในบริเวณเส้นเขตแดนของอารยธรรมขยับหลบไม่ทันจึงถูกทำลายไปในพริบตา อีกจำนวนหนึ่งติดอยู่ด้านนอกไม่สามารถเข้ามาได้


ผลก็คือเกิดความตื่นตระหนกแพร่กระจายไปทั่วฝ่ายปกครองของอารยธรรมวิญญาณโลก ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน แต่พวกเขารู้ดีว่าพลังเดียวที่สามารถปลุกให้ดารานิรันดร์ประดิษฐ์ปิดผนึกรอบอารยธรรมวิญญาณโลกได้ต้องมาจาก…อารยธรรมครามทองคำเท่านั้น


เป็นเหตุให้ฝ่ายปกครองยังคงรักษาท่าทีเอาไว้ได้ถึงแม้จะกังวลและหวาดกลัว ก่อนจะรีบไปขอคำอธิบายจากผู้ที่ประจำการอยู่ภายในดารานิรันดร์ประดิษฐ์ผ่านช่องทางพิเศษ ใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่เสียงหนึ่งซึ่งได้รับการขยายผ่านวงแหวนปราณของดารานิรันดร์ประดิษฐ์จะแผ่ไปทั่วอารยธรรมและสะท้อนก้องอยู่ในศีรษะของทุกคน


“ตามหาตัวคนๆ นี้ เมื่อหาพบ พยายามทุกวิถีทางเพื่อฆ่าเขาให้จงได้!”


              การออกคำสั่งพร้อมปล่อยภาพของหวังเป่าเล่อทำให้อารยธรรมวิญญาณโลกเกิดโกลาหลยกใหญ่ การค้นหาอย่างจริงจังเริ่มต้นขึ้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกบีบให้ไล่ล่า ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งที่ส่งตรงจากอารยธรรมครามทองคำ


ขณะที่อารยธรรมวิญญาณโลกกำลังควานหาตัวหวังเป่าเล่อ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็กำลังนั่งแช่อยู่ในบ่อน้ำหนึ่งบนดารานิรันดร์ประดิษฐ์ ในน้ำนั้นเต็มไปด้วยปราณวิญญาณ สายหมอกลอยละล่องขึ้นมาจากบ่อน้ำวิญญาณ ก่อนจะไหลเข้ากายชายชราผ่านตา จมูก ปาก และหูของเขา


พลังปราณของผู้อาวุโสฟื้นคืนมาเต็มที่แล้ว แถมชายชรายังปลดเปลื้องคำสาปในกายออกไปจนหมดสิ้น แต่เพราะอาการบาดเจ็บรุนแรงที่ได้รับจากการต่อสู้บนดารานิรันดร์บวกกับความเกรงกลัวหวังเป่าเล่อ ชายชราจึงตัดสินใจจะฟื้นฟูอยู่บนดารานิรันดร์ประดิษฐ์ก่อน เขาจะฟื้นกำลังให้กลับมาจนบริบูรณ์แล้วค่อยออกไปไล่ล่าหวังเป่าเล่อ


แม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่ดารานิรันดร์ แต่ก็ยังอยู่ในความคุ้มครองของอารยธรรมครามทองคำ ผู้อาวุโสมั่นใจมากว่าจะสามารถสังหารหลงหนานจื่อได้หากอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ชายชราไม่กลัวว่าหลงหนานจื่อจะหนีไปได้แม้แต่น้อย เพราะทั้งดารานิรันดร์ประดิษฐ์และผนึกถูกหลอมขึ้นมาโดยปรมาจารย์ระดับดารานิรันดร์สามคนจากอารยธรรมครามทองคำ แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ทั่วไปก็ยากที่จะทำลายผนึกได้


ผู้อาวุโสฝ่ายขวายิ้มให้กับความคิดนั้น ชายชรามีวิธีการอื่นๆ ให้ใช้อีกเช่นกัน เขาไม่เคยติดต่อประมุขสำนักกลับไปเลยเพราะอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้นไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของอารยธรรมครามทองคำ แต่บัดนี้ ผู้อาวุโสสามารถติดต่อกับอารยธรรมครามทองคำได้ด้วยความเกื้อหนุนจากดารานิรันดร์ประดิษฐ์ ชายชราสามารถหยิบยืมมือผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากสำนักอื่นๆ เพื่อช่วยสังหารหลงหนานจื่อได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง


ทว่า…การทำเช่นนั้นก็เหมือนเปิดเผยความล้มเหลวของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ไหนจะยังเป็นความเสื่อมเสียชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของผู้อาวุโสเองด้วย เป็นเหตุให้ผู้อาวุโสละทิ้งความคิดนั้นทันทีที่ปรากฏขึ้นมาในศีรษะ


เรามีเวลาเพียงพอ คงไม่ใช้เวลานานนัก ภายในสองสัปดาห์นี้ หลงหนานจื่อจะต้องพบจุดจบแน่!


ขณะที่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาพักฟื้นอยู่นั้น ด้านนอกดารานิรันดร์ประดิษฐ์และอารยธรรมวิญญาณโลก บนดาวเคราะห์ที่ใกล้ดารานิรันดร์ที่สุด ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในนคร มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ เขากำลังเงยหน้ามองดวงตะวันบนท้องฟ้า มีรอยยิ้มเยาะปรากฏอยู่บนใบหน้า


ชายหนุ่มผู้นั้นคือหวังเป่าเล่อ ตอนนี้เขาดูแตกต่างจากผู้ฝึกตนที่เป็นมนุษย์อย่างมาก แทนที่จะมีสองตา ชายหนุ่มกลับมีสามตา หูก็ใหญ่โต และแขนก็หนาใหญ่กว่าต้นขา หวังเป่าเล่อดูแข็งแรงเป็นอย่างยิ่ง


โฉมหน้าของชายหนุ่มตอนนี้คงจะดูประหลาดยิ่งหากอยู่ในสหพันธรัฐหรือในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่กลับธรรมดายิ่งในอารยธรรมวิญญาณโลกแห่งนี้ เพราะทุกคนต่างก็หน้าตาเช่นนี้ทั้งนั้น


ค่านิยมด้านความงามบนอารยธรรมแห่งนี้ยังแตกต่างจากสหพันธรัฐอีกด้วย ดูเหมือนว่าที่นี่จะให้ค่าความไม่เท่าเทียมกันเป็นมาตรวัดความสวยงาม สิ่งก่อสร้างก็ถูกสร้างขึ้นมาจากหินสีแตกต่างกัน หินเหล่านั้นแตกต่างกันทั้งขนาดและรูปลักษณ์ ทุกๆ สิ่งดูไม่เข้ากันอย่างประหลาด และตึกที่ไม่เข้ากันเหล่านี้ก็ประกอบขึ้นเป็นนคร


แม้จะไร้ซึ่งความเข้ากันหรือความสวยงาม นครหน้าตาประหลาดนั้นก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คน คนเดินถนนเป็นสายย่ำไปบนถนนอันพลุกพล่านและเอะอะ อัตราส่วนผู้ฝึกตนต่อคนธรรมดาก็น่าตื่นตะลึงเช่นกัน จากคนสิบคน เก้าคนเป็นผู้ฝึกตน แต่ส่วนมากแล้วมีระดับปราณต่ำ หวังเป่าเล่อไม่พบผู้ที่อยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นแม้แต่คนเดียวหลังจากที่มองหามาเป็นเวลานาน


ที่นี่คืออารยธรรมวิญญาณโลกสินะ…หวังเป่าเล่อนั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมและจิบเครื่องดื่มพื้นเมืองชื่อดังไปด้วย ชายหนุ่มเงยหน้ามองดวงตะวันก่อนจะหรี่ตาลงช้าๆ


หวังเป่าเล่อมองไม่เห็นดวงตะวัน หากแต่เป็นทรงกลมสีม่วงขนาดยักษ์ทำจากโลหะ หากเขามองเข้าไปให้ลึกกว่านั้น ก็จะเห็นตัวอักขระนับไม่ถ้วนเรียงรายอยู่บนพื้นผิวของทรงกลม อักขระเหล่านั้นทับซ้อนกันอยู่ไปมาและส่องแสงเรืองรอง ปล่อยความร้อนและแสงสว่างให้กระจายไปทั่วทั้งอารยธรรม


หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นว่าตัวอักขระเหล่านั้นบางตัวก็เลือนหายไปและถูกแทนที่ด้วยตัวอักขระใหม่ ด้วยระดับปราณเดิมของเขา ชายหนุ่มคงไม่อาจบอกสาเหตุของปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ แต่ด้วยระดับปราณในตอนนี้ เขาสามารถบอกได้หลังจากที่เพ่งมองอยู่นาน


ช่างเป็นดารานิรันดร์ประดิษฐ์ที่มหัศจรรย์อะไรเช่นนี้…มันควบคุมทุกชีวิตบนอารยธรรมแห่งนี้ เมื่อตัวอักขระตัวหนึ่งจางหายไป ก็แปลว่ามีชีวิตหนึ่งในอารยธรรมนี้ที่จบสิ้นลง เมื่อตัวอักขระตัวใหม่ปรากฏ ก็แปลว่ามีชีวิตใหม่ถือกำเนิด! หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก อำนาจของอารยธรรมครามทองคำทำให้ชายหนุ่มอดตื่นกลัวไม่ได้


ระหว่างการหลบหนี ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงผนึกทันทีที่มันถูกเปิดใช้ เขาต้องใช้พลังพิเศษของกายสารัตถะในการแปรสภาพเป็นร่างของประชาชนทั่วไปในอารยธรรมครามทองคำ หวังเป่าเล่อยังบอกเจ้าเยี่ยเหมิง ผู้ที่ซ่อนอยู่ภายในเรือบินรบเวทในกระเป๋าคลังเก็บของเขาอีกด้วย นางอธิบายถึงสถานการณ์ของอารยธรรมวิญญาณโลกให้เขาฟัง แต่ นางก็ไม่ได้ใส่ใจอารยธรรมนี้เท่าใดนักเมื่อครั้งอยู่ในอารยธรรมครามทองคำ ยิ่งไปกว่านั้น กลไกภายในของดารานิรันดร์ประดิษฐ์ยังเป็นความลับสุดยอด หญิงสาวไม่รู้เรื่องนี้มากนัก หวังเป่าเล่อต้องวิเคราะห์และตัดสินผลด้วยตนเอง


ตอนนี้เมื่อหวังเป่าเล่อเข้าใจสถานการณ์ ชายหนุ่มก็พอจะคาดเดาแผนของผู้อาวุโสฝ่ายขวาได้เลาๆ ส่งผลให้ตัวเขาเองไม่กังวลกับการที่อารยธรรมครามทองคำจะส่งผู้ฝึกตนฝีมือฉกาจมาไล่ล่าตนนัก เขารู้อีกด้วยว่าตัวเขาเองยังพอมีเวลาให้คิดแผนหลบหนีออกไป


นั่นเป็นเหตุว่าทำไมหวังเป่าเล่อจึงมาที่นี่ เขาตั้งใจจะมาเรียนรู้อารยธรรมนี้ให้มากขึ้นและมาดูดวงอาทิตย์ฝีมือมนุษย์ให้ชัดเจน ชายหนุ่มต้องการดูว่าดวงอาทิตย์นั้นมีจุดอ่อนหรือไม่ และนครนี้ก็อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด


              ทว่าหวังเป่าเล่อก็ทำได้เพียงถอนใจอยู่ในอกหลังจากที่มองดูผู้คนอย่างถี่ถ้วน พร้อมกับตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับดวงอาทิตย์ประดิษฐ์ดวงนี้ไปด้วย


ช่างเหลือเชื่อนัก…ดวงอาทิตย์ประดิษฐ์เหล่านี้เกินกว่าความสามารถในการหลอมของข้าไปมาก พลังธรรมชาติที่ซุกซ่อนอยู่ภายในจะต้องแข็งแกร่งมากแน่ๆ มันมีพลังพอที่จะทำให้ทุกคนในอารยธรรมวิญญาณโลกต้องตกเป็นทาสตลอดไปได้!


หวังเป่าเล่อถอนใจเบาๆ ขณะที่หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นั้น ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากนอกโรงเตี๊ยม


“มากินอะไรกันเสียหน่อยก่อนกลับสำนักเถิด” ตามมาตรฐานความงามในอารยธรรมนี้ กลุ่มห้าคนนี้เรียกได้ว่าหน้าตาดีมากๆ หลังจากที่เข้ามาในโรงเตี๊ยม พวกเขาก็เลือกนั่งโต๊ะใกล้ๆ หวังเป่าเล่อ ก่อนจะเริ่มพูดคุยกันอย่างออกรส


ทั้งห้าแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบบเดียวกัน มีรูปพระจันทร์เสี้ยวสีม่วงปรากฏอยู่บนชายแขนเสื้อ จากในห้าคนนั้น สี่คนอยู่ในขั้นบำรุงชีพจรชั้นกลาง คนสุดท้ายซึ่งชายหนุ่มที่ดูค่อนข้างหยิ่งยโส อยู่ในขั้นบำรุงชีพจรชั้นสมบูรณ์


ลูกค้าคนอื่นๆ ในโรงเตี๊ยมดูจะมีปฏิกิริยากับการมาถึงของพวกเขา บ้างก็หลบตา บ้างก็เรียกเก็บเงินอย่างเร่งรีบ อาการนั้นทำให้หวังเป่าเล่อสนใจไม่น้อย ชายหนุ่มตัดสินใจแอบฟังบทสนทนาของผู้มาใหม่


“ศิษย์พี่ไถ่จง ท่านพิสูจน์ตัวเองได้อีกครั้งแล้ว แถมยังทำคุณประโยชน์ใหญ่หลวงให้สำนักโดยการทำผลงานได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับภารกิจนี้ ท่านจะต้องบรรลุขั้นปราณได้อีกแน่เมื่อกลับไปถึงสำนัก ท่านจะต้องเป็นที่หนึ่งในสำนักจันทรากล้วยไม้เป็นแน่!”


“ถูกต้องแล้ว ด้วยบรรณาการที่ท่านเตรียมมา ท่านจะต้องได้รับอำนาจการควบคุมระดับสองเมื่อกลับถึงสำนักและทำการบูชายัญให้ดวงอาทิตย์สีคราม พลังแฝงของท่านจะถูกปลดปล่อยออกมา และท่านก็จะบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นแน่นอน!”


“ฮะฮ่า แล้วจะได้เห็นกันว่าเจ้าหลัวเจ้ายังจะกล้าวางก้ามอยู่ไปมาอีกหรือไม่!”


ชายหนุ่มชื่อไถ่จงกระแอมหลังจากได้ยินสิ่งที่บรรดาศิษย์น้องพูด


“เอาละ การรับใช้สำนักเป็นหนึ่งในหน้าที่ของพวกเราในฐานะศิษย์ แต่หลัวเจ้า…ฮึ่ม เมื่อข้ากลับไปถึงสำนักเมื่อใด ข้าจะสั่งสอนมันให้รู้สำนึกที่มันกล้ามาล่วงเกินศิษย์น้องซิ่วเหยียน!” ชายหนุ่มนามไถ่จงพูดอย่างเยือกเย็น มีประกายความกระหายสะท้อนอยู่ในแววตาเมื่อเขาลอบกวาดสายตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เมื่อนั้นเองที่เขามองเห็นว่าสายตาของนางไม่ได้จับจ้องเขาอยู่แต่อย่างใด หากแต่อยู่ที่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างไม่ห่างออกไปนัก


“ศิษย์น้องซิ่วเหยียน เจ้ารู้จักคนคนนั้นหรือ” ไถ่จงเหลือบมองคนที่หญิงสาวกำลังมองอยู่ก่อนจะเอ่ยถาม มีประกายความหยามเหยียดสะท้อนอยู่ในแววตา เมื่อเขารู้ว่าคนคนนั้นอยู่ในขั้นบำรุงชีพจรเท่านั้น


“ไม่ แต่ศิษย์พี่ไถ่จง ท่านไม่รู้สึกหรือ…ว่ามีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับคนผู้นั้น ข้าอธิบายไม่ถูก แต่เหมือนว่าข้ามีความรู้สึกอันยากจะอธิบายนี้…”


ชายหนุ่มที่เตะตาพวกเขาแน่นอนว่าคือหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มชั่งใจอยู่ไม่น้อยหลังจากที่ได้ยินบทสนทนา แต่ตามที่พวกเขาพูดกัน ที่นี่ไม่มีใครจำเป็นต้องฝึกฝนเพื่อจะบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่น ไม่จำเป็นต้องหาวัตถุเวทมาสร้างเป็นแก่นในอีกด้วย อันที่จริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลืนโอสถด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่ต้องทำคือ…ทำการสังเวยต่อหน้าดวงอาทิตย์สีคราม!


ดวงอาทิตย์สีครามคือดวงอาทิตย์ที่มนุษย์สร้างขึ้น แปลว่าพวกเขาได้อำนาจควบคุมระดับสูงและระดับปราณขั้นสูงจากการสังเวยเพื่อบูชาดวงอาทิตย์สีครามอย่างนั้นหรือ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลง บทสรุปที่ชายหนุ่มได้มาในศีรษะทำให้เขาถึงกับทอดถอนใจ


ความเข้าใจที่ข้ามีเกี่ยวกับดวงอาทิตย์ประดิษฐ์นี้ยังไม่สมบูรณ์ มันไม่เพียงกำหนดความเป็นความตายของผู้คนบนอารยธรรมวิญญาณโลกแห่งนี้เท่านั้น แต่ยังควบคุมระดับปราณได้ด้วย ระดับปราณของทุกคนบนอารยธรรมวิญญาณโลกไม่ใช่ของจริง แต่คือผลจากการปรับแต่งของดวงอาทิตย์ประดิษฐ์ ดวงอาทิตย์เป็นผู้กำหนดระดับปราณที่แต่ละคนมี หากดวงอาทิตย์ประดิษฐ์จางหายไป ทุกคนก็จะกลายเป็นคนธรรมดา!


นี่มันอารยธรรมทาสชัดๆ…หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก ความมุ่งมั่นส่องประกายอยู่ในแววตา ชายหนุ่มจะไม่ยอมให้สหพันธรัฐตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เป็นอันขาด!

 

 

 


บทที่ 888 เซี่ยไห่หยางผู้กระตือรือร้น!

 

ระดับปราณของพวกเขาเป็นภาพลวงตา แต่ชีวิตที่กำลังใช้เป็นของจริง…หวังเป่าเล่อถอนใจเบาๆ ชายหนุ่มไม่อาจอธิบายความรู้สึกที่เขามีในตอนนี้ได้ แต่เขาก็รู้ว่าจะต้องทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อป้องกันไม่ให้สหพันธรัฐซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา ต้องตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายกันนี้


ไม่มีอะไรมีค่าพอให้สืบอีกต่อไปแล้ว ข้าควรจะไปดูผนึกให้ใกล้ชิดกว่านี้…เผื่อจะมีทางอื่นให้ออกไปจากที่นี่ได้ หวังเป่าเล่อแอบส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนและกำลังจะเดินออกไป แต่สตรีนางหนึ่งที่อยู่ข้างๆ เขาก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน นางมีสีหน้าสับสนขณะที่จ้องมองมาทางหวังเป่าเล่อ หลังจากกังวลอยู่ชั่วอึดใจ นางก็พูดออกมา


“ช้าก่อน สหายร่วมสำนักเต๋า”


หวังเป่าเล่อชะงักและหันไปมองสตรีที่เพิ่งจะพูดกับเขา ชายหนุ่มรู้สึกถึงสายตาที่นางจ้องมองมาเมื่อครู่ เขายังรับรู้ถึงความพิเศษบางอย่างเกี่ยวกับสตรีนางนี้ผ่านดวงจิตเทพอีกด้วย


มีเปลวไฟประหลาดอยู่ภายในกายนาง มันถูกซุกซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด หากไม่ใช่เพราะระดับปราณของหวังเป่าเล่อที่ใกล้จะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์อยู่รอมร่อและเพราะเขาเป็นบุตรแห่งความมืด ชายหนุ่มก็คงไม่อาจสัมผัสถึงเปลวไฟนั้นได้


เปลวไฟดังกล่าวเหมือนเป็นเมล็ดพันธุ์อย่างหนึ่ง ผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์เป็นอย่างน้อยได้ปลดปล่อยออกมาก่อนจะตาย อันที่จริงแล้ว…หวังเป่าเล่อเชื่อว่านี่ต้องไม่ใช่เมล็ดพันธุ์เพียงเมล็ดเดียวที่ผู้ฝึกตนคนนั้นปล่อยออกมา


อาจจะเป็นเศษเสี้ยวของดวงจิตจากดาวเคราะห์ต้นกำเนิดกระมัง หลังจากมองสำรวจแล้วหวังเป่าเล่อก็ไม่ใคร่จะสนใจนัก โอกาสการชุบชีวิตตัวเองผ่านเศษเสี้ยวของดวงจิตตนนั้นแทบจะเท่ากับศูนย์ในสภาพแวดล้อมของอารยธรรมวิญญาณโลกปัจจุบัน สิ่งเดียวที่เศษเสี้ยวนั้นทำได้คือให้เจ้าของร่างได้รับพลังปราณจริงๆ ไปบ้าง


ทว่าข้อจำกัดทางสิ่งแวดล้อมยังมีผลต่อพลังปราณจริงๆ ที่คนจะได้รับ ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ขั้นปราณสูงสุดที่จะบรรลุได้ก็คือขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้น


หากเขาไม่ได้ติดอยู่ในนี้ หวังเป่าเล่อคงจะสนใจพูดคุยกับหญิงสาว แต่ชายหนุ่มไม่ได้อยากคุยในตอนนี้ หลังจากที่จ้องมองอยู่ชั่วครู่เขาก็กล่าวขึ้น


“เราคงไม่มีวาสนาต่อกัน” หลังจากที่พูดจบ หวังเป่าเล่อก็หันหลังและเดินออกไป ชายหนุ่มชื่อไถ่จงที่นั่งอยู่ข้างๆ สตรีนางนั้นลอบถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นการตอบโต้ของอีกฝ่าย แต่ถึงกระนั้น เขาเองก็ต้องรักษาศักดิ์ศรีของสตรีที่หมายปอง จึงได้ทำท่าขึงขังก่อนจะโพล่งออกมา


“หยุดอยู่ตรงนั้น ใครบอกว่าให้เจ้าไปได้กัน!” เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มนั้นชินกับการได้อะไรดั่งใจ เขาก้าวออกมาก้าวหนึ่งขณะที่พูดและคว้าแขนหวังเป่าเล่อเอาไว้ แต่ขณะที่มือของเขากำลังจะคว้าโดนหวังเป่าเล่อ จู่ๆ ไถ่จงก็หยุดค้างไปเฉยๆ แววตระหนกปรากฏอยู่บนใบหน้าเมื่อเขายืนอยู่หลังหวังเป่าเล่อ ทุกสิ่งกลับมาเป็นปกติในอีกอึดใจต่อมา ราวกับว่าเขามองไม่เห็นหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ชายหนุ่มหันหลังกลับไปหาเหล่าสหายก่อนจะหัวเราะเสียงลั่น


“มากินอะไรกันเสียหน่อยก่อนกลับสำนักเถิด” คำพูดเหล่านั้น…เป็นคำพูดเดียวกับที่ชายหนุ่มพูดเมื่อครู่ตอนที่พวกเขาเพิ่งจะมาถึง การพูดซ้ำเช่นนี้ควรเป็นเรื่องแปลกประหลาด แต่ไม่มีใคร กระทั่งลูกค้าคนอื่นๆ เจ้าของโรงเตี๊ยม หรือลูกน้อง รวมไปถึงเด็กสาวที่มีเปลวไฟพิเศษอยู่ในกายแสดงอาการสับสนหรือสงสัยออกมา ราวกับว่าทุกอย่างเป็นปกติกระนั้น


ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่ง และบรรดาเพื่อนศิษย์ต่างก็พูดคุยกันอย่างครื้นเครงตามเดิม


“ศิษย์พี่ไถ่จง ท่านพิสูจน์ตัวเองได้อีกครั้งแล้ว…”


ดูเหมือนว่าเวลาจะถูกย้อนกลับไปตอนที่ผู้ฝึกตนทั้งห้าเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมเป็นครั้งแรก เพียงแต่ว่าครั้งนี้ หวังเป่าเล่อได้เดินออกไปจากโรงเตี๊ยมอันแน่นขนัดแล้ว เงาร่างอันโดดเดี่ยวของเขาดูเดียวดายขณะที่กำลังเดินคล้อยหลังจากไปไกล


ชายหนุ่มไม่ได้ติดใจกับสิ่งที่คนธรรมดาเหล่านั้นพูดสักเท่าใด ด้วยระดับปราณของเขาและนิมิตมืด เขาสามารถปรับแต่งความทรงจำของทุกคนในโรงเตี๊ยมได้โดยที่คนเหล่านั้นไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย


หลังจากที่ร่างของชายหนุ่มหายลับตาไป หญิงสาวนามซิ่วเหยียนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไถ่จงก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง นางมองตรงไปยังบริเวณเส้นขอบฟ้าที่ร่างของหวังเป่าเล่อเดินจากไปด้วยสายตาสับสนเล็กน้อย


“ศิษย์น้องซิ่วเหยียน เจ้ามองอะไรอยู่หรือ”


“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” หญิงสาวส่ายศีรษะก่อนจะกลับมาร่วมวงพูดคุยต่อไป จากนั้นนางก็ตัวสั่นขึ้นมาครั้งหนึ่งโดยที่ไม่รู้ตัว


นางยังไม่รู้อีกด้วยว่าในขณะเดียวกันนั้น คนเกือบล้านคนจากทั่วอารยธรรมวิญญาณโลก ทั้งในเมืองมากมายรวมไปถึงในดินแดนห่างไกล ผู้ซึ่งมีระดับปราณและสถานะสูงต่ำต่างๆ กันและมีหน้าตาไม่เหมือนกัน ต่างก็พากันตัวสั่นขึ้นมาด้วย


หวังเป่าเล่อ ผู้ที่เดินอยู่ภายในเมืองและเตรียมตัวจะออกเดินทางก็รู้สึกบางอย่างขึ้นมาในวินาทีนั้น คิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ คลายออกช้าๆ เขาไม่สนใจความรู้สึกนั้น ก้าวออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง และก้าวลงไปในห้วงเหวหายตัวไปจากเมือง ร่างของเขาดูพร่าเลือนราวกับเป็นหมอก หมอกที่เหมือนจะสลายหายไปในจักรวาล เล็ดลอดผ่านการมองเห็นทั้งจากตาเนื้อและสัมผัสสวรรค์ ก่อนจะเคลื่อนที่อย่างเงียบงันไปในห้วงอวกาศห่างไกล


อารยธรรมวิญญาณโลกไม่ได้ใหญ่โตเท่าใดนัก หวังเป่าเล่อใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็มาถึงขอบอารยธรรม ชายหนุ่มมองเห็นผนึกที่ครอบอารยธรรมนี้จากมุมหนึ่งถึงอีกมุมได้ชัดเจน


หวังเป่าเล่อแปรสภาพจากหมอกกลายมาเป็นหลงหนานจื่ออีกครั้ง ก่อนจะจ้องไปยังผนึกรูปรวงผึ้งอยู่เป็นเวลานาน คิ้วของเขาขมวดเป็นปมแน่น ชายหนุ่มไม่กล้าออกแรงลองทำลายผนึกสุ่มสี่สุ่มห้า เขามีความรู้สึกไม่ค่อยดีนักเกี่ยวกับผนึกนี้


ฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ขณะนี้ไร้ประโยชน์ และเรือบินรบเวทจำนวนมากของเขาตอนนี้หากไม่เสียหายก็พังไปสิ้น เกราะมหาจักรพรรดิก็สูญเสียพลังวิญญาณไปแทบทั้งหมดเช่นกัน หากจะพูดกันตามตรง ชายหนุ่มตอนนี้ไม่มีกลเม็ดเด็ดพรายให้เลือกใช้งานมากนัก


หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน หวังเป่าเล่อก็ส่งดวงจิตเทพเข้าไปในกระเป๋าคลังเก็บ เจ้าเยี่ยเหมิงนั่งอยู่ในเรือบินรบเวทลำหนึ่งด้านในนั้น กำลังนั่งสมาธิอย่างเงียบงัน


เจ้าลานอนแผ่หลาพร้อมส่งเสียงกรนดังสนั่นอยู่ข้างนาง ส่วนเจ้าอู๋น้อยนั้น…ก็รออยู่ข้างกายเจ้าเยี่ยเหมิง พลางลอบมองนางอยู่บ้างเป็นบางครั้ง


เจ้าเยี่ยเหมิงลืมตาขึ้นทันทีที่ดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อลอดเข้ามาในกระเป๋าคลังเก็บ จากนั้น ด้วยความช่วยเหลือจากดวงจิตเทพ นางก็มองไปยังผนึกที่อยู่รอบๆ อารยธรรม เจ้าอู๋น้อยเองก็จ้องมองอยู่เช่นเดียวกัน


“เยี่ยเหมิง เจ้าช่วยข้าดูที ว่า…มีวิธีไหนหรือไม่ที่จะทำลายวงแหวนปราณนี้ได้!”


หวังเป่าเล่อเล่าให้เจ้าเยี่ยเหมิงฟังว่าเกิดอะไรขึ้นทันทีที่ถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่ พวกเขาตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะซ่อนรัศมีได้เพราะอยู่ในกายสารัตถะ แต่เจ้าเยี่ยเหมิงทำไม่ได้ นางอาจถูกดารานิรันดร์ประดิษฐ์พบตัวได้ทันทีที่ออกจากกระเป๋าคลังเก็บ ส่งผลให้หลังจากที่พูดคุยกันนางแล้ว หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจไม่ให้นางออกมา


หญิงสาวศึกษาผนึกผ่านดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่ออย่างถี่ถ้วน คิ้วคู่งามม้วนขมวดเป็นปมแน่น ก่อนที่จะทอดถอนใจออกมา


“ดวงอาทิตย์ประดิษฐ์ดวงนี้เป็นแก่นของอารยธรรมครามทองคำ วงแหวนปราณภายในดวงอาทิตย์ถูกหลอมขึ้นโดยผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์สามคน…ต่อให้เป็นอาจารย์ของข้าที่สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะพังมันไม่ได้ เป่าเล่อ ผนึกนี่ไม่ใช่อะไรที่เราจะทำลายลงเองได้” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดเบาๆ นางเองก็กังวลเช่นกันเมื่อรู้ถึงความยากลำบากที่ชายหนุ่มต้องเผชิญ


หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไปเมื่อได้ยินคำตอบของนาง มีบางอย่างสะท้อนอยู่ในดวงตา ก่อนที่ชายหนุ่มจะส่งข้อความเสียงไปหาเจ้าอู๋น้อย


“เจ้าอู๋น้อย เจ้าช่วยอะไรข้าได้บ้างไหม”


นัยน์ตาของเจ้าอู๋น้อยแสดงความสับสนเมื่อได้ยินคำถามจากหวังเป่าเล่อ ถึงกระนั้น เขาก็พยายามเต็มที่และทำเหมือนว่ากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก แต่สุดท้ายก็ได้เพียงส่ายศีรษะ


หวังเป่าเล่อจ้องมองเจ้าอู๋น้อยอย่างเปี่ยมความหมาย ก่อนจะเมินอีกฝ่ายไปหลังจากนั้น และหันกลับไปจ้องวงแหวนปราณตรงหน้าเขม็ง สมองของชายหนุ่มทำงานอย่างหนัก ก่อนที่จู่ๆ เขาจะดึงแผ่นหยกออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ


เซี่ยไห่หยางมอบแผ่นหยกนี้ให้หวังเป่าเล่อ พร้อมบอกว่าสามารถใช้ติดต่อสื่อสารกับเขาได้ขณะที่อยู่ในสุสานหลวง หวังเป่าเล่อไม่ได้คิดที่จะติดต่อเซี่ยไห่หยางไปยกเว้นแต่จะเป็นทางเลือกสุดท้าย สัญญาสามฝ่ายที่เซี่ยไห่หยางทำยังคงทิ้งรสขมเอาไว้ในปากของหวังเป่าเล่อ เป็นเหตุว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงไม่ได้คิดเรื่องจะติดต่อเซี่ยไห่หยางไปแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่มาถึงดารานิรันดร์ หวังเป่าเล่อหยิบแผ่นหยกขึ้นมาก่อนจะจดจ้องไปอย่างลังเลใจยิ่ง


วงแหวนปราณนี้แม้จะแข็งแกร่ง แต่เซี่ยไห่หยางก็อาจจะทำอะไรกับมันได้ด้วยทรัพยากรมหาศาลที่เขามี! ไว้ข้าค่อยคิดวิธีอื่นหากข้าไม่สามารถติดต่อเขาได้ หรือต่อให้ข้าติดต่อเซี่ยไห่หยางได้ หากราคาที่เขาขอมันเกินเหตุไป ข้าก็จะเลิกทำการค้ากับเขาเสีย…อย่างร้ายที่สุด ข้าก็จะไปที่ดารานิรันดร์ประดิษฐ์ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาคงกำลังพักฟื้นอยู่ที่นั่นเป็นแน่ ข้าจะไปสู้แค่ตายเพื่อสังหารเขาให้ได้ สิ่งเลวร้ายที่สุดก็คงจะเป็นการที่ข้าต้องระเบิดเปลวเพลิงดารานิรันดร์ของข้าก็เท่านั้น! หวังเป่าเล่อมีสายตามุ่งมั่น ชายหนุ่มส่งดวงจิตเทพเข้าไปในแผ่นหยกในมือเพื่อพยายามติดต่อกับ…เซี่ยไห่หยาง!


ทันทีที่ดวงจิตเทพแผ่เข้าไปในแผ่นหยก ก็มีแสงสว่างจ้าส่องออกมาจากอุปกรณ์นั้น ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะได้อ้าปากพูด เสียงของเซี่ยไห่หยางก็พุ่งออกมาจากแผ่นหยกและดังอยู่ในใจของหวังเป่าเล่อ


“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ฮะฮ่า ไม่ได้คุยกันนานเลย ข้าเริ่มจะคิดถึงเจ้าขึ้นมาเสียแล้ว ข้ายอมรับว่าข้าทำผิดไป ได้โปรดอภัยให้ข้าเถิด ข้ากำลังสงสัยว่าข้าควรจะส่งของไปคำนับเจ้าบ้างดีหรือไม่ อย่างไรเสีย พวกเราก็เป็นมิตรที่ดีต่อกัน แถมเจ้ายังเป็นลูกค้าคนสำคัญของข้าอีกด้วย” เสียงของเซี่ยไห่หยางที่แผ่ออกมาจากแผ่นหยกทั้งอบอุ่นและกระตือรือร้น แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ชอบสิ่งที่เซี่ยไห่หยางทำ แต่ก็อดรู้สึกพึงใจไม่ได้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)