กระบี่จงมา 428.1-429.1

 บทที่ 428.1 ชีวิตคนไม่ใช่เรื่องราวในตำรา

 

เหยี่ยวที่กางปีกอยู่บนท้องฟ้าบินร่อนเป็นวงกลม อีกาบนกิ่งไม้แผดเสียงร้องแหลมดัง


ทางหลวงที่เดิมทีราบเรียบกว้างขวางพังเละเทะแตกแยกไปนานแล้ว รถม้าขบวนหนึ่งขับเคลื่อนกระเด้งกระดอนมาตลอดทาง


ในฐานะแคว้นใต้อาณัติที่ใหญ่ที่สุดของราชวงศ์จูอิ๋ง แคว้นสือหาวตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของราชวงศ์ มีชื่อเสียงว่าเป็นแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์กว้างขวางพันลี้ มีผลิตผลมากล้นที่สุดในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป เป็นคลังเสบียงขนาดใหญ่ของราชวงศ์จูอิ๋งมาโดยตลอด เป็นแคว้นใต้อาณัติเหมือนกัน แต่แคว้นสือหาวกับแคว้นหวงถิงที่อยู่ใต้อาณัติของต้าสุยกลับเลือกในสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นับตั้งแต่ฮ่องเต้ ขุนนางสำคัญในราชสำนักไปจนถึงแม่ทัพนายกองส่วนใหญ่ที่อยู่ชายแดนของแคว้นสือหาว ล้วนเลือกที่จะปะทะกับกองทัพใหญ่กองหนึ่งของต้าหลีซึ่งๆ หน้า


ไฟสงครามลุกลามไปทั่วแคว้นสือหาว นับตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ผลิของปีนี้เป็นต้นมา ตลอดทั้งแถบทิศเหนือของเมืองหลวงก็ทำสงครามกันอย่างดุเดือด ตอนนี้เมืองหลวงแคว้นสือหาวจึงตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของศัตรูแล้ว


ไม่เพียงแต่ชาวบ้านของแคว้นสือหาวเท่านั้น แม้แต่แคว้นเล็กๆ ใต้อาณัติในบริเวณใกล้เคียงหลายแห่งที่กองกำลังเป็นรองจากแคว้นสือหาวมากก็ยังอกสั่นขวัญผวา แน่นอนว่าสถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่ขาดคนฉลาดที่เลือกพึ่งพาสกุลซ่งต้าหลีตั้งแต่เนิ่นๆ เลือกที่จะนั่งดูไฟชายฝั่ง รอคอยดูเรื่องตลก หวังว่ากองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่บุกไปที่ใดที่นั่นก็พังราบเป็นหน้ากลองจะสามารถสังหารคนทั้งเมือง ปลิดชีพพวกคนโง่กลุ่มนั้นของแคว้นสือหาวที่เลือกจะจงรักภักดีต่อราชวงศ์จูอิ๋งให้ราบคาบ ไม่แน่ว่าอาจจะยังเห็นแก่ความดีของพวกเขา รบชนะโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ภายใต้ความช่วยเหลือของพวกเขาก็สามารถยึดเอาเมืองใหญ่ที่มีเสบียงอาวุธและคลังเงินทองหลายแห่งมาได้อย่างราบรื่น


เส้นทางที่ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อทำให้สารถีหลายคนของรถม้าขบวนนี้คร่ำครวญกันไม่หยุด แม้แต่ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่สะพายคันธนูอันยาว ตรงเอวห้อยดาบยาวก็ยังถูกแรงกระเทือนนี้ทำให้กระดูกทั้งร่างแทบจะเคลื่อนออกจากกัน แต่ละคนอ่อนระโหยโรยแรง พยายามทำตัวให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า สายตากวาดมองไปสี่ทิศ หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกโจรปล้นสะดม ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่เชี่ยวชาญด้านการขี่ม้ายิงธนูเหล่านี้ล้วนมีกลิ่นคาวเลือดลอยโชยมาจากบนร่าง เห็นได้ชัดว่าตลอดทางที่ลงใต้มานี้ พวกเขาที่อยู่ท่ามกลางสงครามอันวุ่นวายเดินทางกันได้ไม่ผ่อนคลายนัก


หากจะบอกว่าวิธีหาเงินเลี้ยงปากท้องของพวกเขาคือการเอาหัวไปผูกกับสายรัดกางเกง (เปรียบเปรยว่าทำเรื่องบางอย่างโดยไม่สนใจความปลอดภัยของตัวเอง) ก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะแค่ช่วงเวลาที่ยืนฉี่ หากไม่ทันระวังก็อาจจะทำให้หัวหล่นลงบนพื้นได้


การถูกดักกลางทางที่อันตรายที่สุดระหว่างการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่พวกชาวบ้านลี้ภัยที่ยากลำบากจนต้องกลายมาเป็นโจร แต่กลับเป็นทหารม้าแคว้นสือหาวสามร้อยนายกองหนึ่งที่แสร้งแต่งกายเป็นโจร เห็นขบวนพ่อค้าของพวกเขาเป็นเนื้อก้อนใหญ่ การเข่นฆ่าสังหารครั้งนั้นทำให้เหล่าองค์รักษ์ขบวนพ่อค้าที่ได้ลงสัญญายอมตายมาตั้งแต่แรกบาดเจ็บล้มตายกันไปเกือบครึ่ง หากไม่เป็นเพราะในบรรดากลุ่มผู้ว่าจ้างมีเทพเซียนบนภูเขาที่ไม่เปิดเผยตัวตนอยู่คนหนึ่ง ป่านนี้ทั้งคนและสิ่งของคงถูกทหารทางการกลุ่มนั้นห่อเป็นเกี้ยวกลืนลงท้องไปแล้ว


ขบวนรถม้ากลุ่มนี้ต้องเดินทางผ่านพื้นที่ใจกลางของแคว้นสือหาวไปยังชายแดนทางทิศใต้ มุ่งหน้าไปเยือนทะเลสาบเจี่ยนซูที่ถูกราชวงศ์โลกมนุษย์มองเป็นบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ ขบวนรถม้าได้เงินก้อนใหญ่มาแล้วก็ยังกล้ารับปากแค่ว่าจะหยุดลงที่ด่านชายแดนเท่านั้น ไม่อย่างนั้นต่อให้เงินมากแค่ไหนก็ไม่ยินดีเดินมุ่งหน้าลงใต้ไปแม้แต่ก้าวเดียว ยังดีที่พ่อค้าต่างถิ่นสิบกว่าคนนั้นก็รับปากแล้วว่าเมื่อเหล่าองค์รักษ์ของขบวนรถคุ้มกันมาส่งถึงด่านพันวิหคของชายแดนแล้วก็สามารถย้อนกลับไปทางเดิมได้เลย หลังจากนั้นพ่อค้ากลุ่มนี้จะเป็นหรือตาย จะตักตวงผลประโยชน์ก้อนใหญ่มาได้จากทางทะเลสาบเจี่ยนซู หรือจะไปตายอยู่กลางทาง ทำให้พวกโจรได้เฉลิมฉลองปีใหม่กันดีๆ ก็ล้วนไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของขบวนรถแล้ว


ตลอดทางที่เดินทางกันมานี้ ประหนึ่งเดินอยู่กลางนรกบนดินอย่างแท้จริง


ผู้คนหิวโหยอดอยากเป็นขบวนยาวไกลพันลี้อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่คำกล่าวอ้างอย่างที่บัณฑิตอ่านพบเจอในตำรา


ระหว่างทางมานี้ ขบวนรถมักจะพบเห็นกระท่อมที่มีเสียงกรีดร้องโหยหวนอยู่เป็นระยะ เพราะมีพวกผู้ใหญ่ที่จับเอาเด็กๆ มาขาย ตอนแรกเริ่มมีคนทำใจส่งบุตรชายหญิงของตัวเองขึ้นเขียงให้กับคนชำแหละเนื้อไม่ลง จึงคิดหาวิธีที่พบกันครึ่งทาง ระหว่างพ่อและแม่เด็กจึงมีการแลกเปลี่ยนบุตรชายหญิงที่ผอมแห้งใบหน้าเหลืองตอบให้แก่กันและกันก่อน จากนั้นถึงค่อยเอาไปขายให้กับทางร้าน


ชาวบ้านผู้ประสบภัยหลายคนที่หิวโหยจนกลายเป็นบ้าจะจับกลุ่มกันเหมือนผีดิบเดินได้หรือไม่ก็พวกวิญญาณเร่ร่อน ซัดเซพเนจรไปตามพื้นที่ต่างๆ ของแคว้นสือหาว ขอแค่พบเจอกับสถานที่ที่อาจจะมีอาหารก็จะกรูกันเข้าไป ป้อมส่งสัญญาณ จุดพักม้าแต่ละแห่งของแคว้นสือหาว หรือป้อมปราการดินที่ชนชั้นสูงของแต่ละท้องถิ่นสร้างขึ้นมาล้วนเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดและซากศพที่ยังไม่ทันได้เก็บกวาด ขบวนรถเคยผ่านป้อมขนาดใหญ่ที่มีชายฉกรรจ์ตระกูลเดียวกันห้าร้อยคนให้การปกป้อง พวกเขาทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้ออาหารมาไม่น้อย เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ใจกล้าจ้องมองคันธนูแข็งแรงที่องค์รักษ์ขบวนเดินทางพ่อค้าคนหนึ่งสะพายไว้ด้วยสีหน้าอิจฉา มาทำตีสนิทด้วย ชี้ไปทางรั้วไม้นอกป้อมปราการที่มีศีรษะแห้งเหี่ยวปักเรียงรายไว้ข่มขวัญผู้คน เด็กหนุ่มนั่งยองอยู่บนพื้น ตอนนั้นเขาพูดคุยกับผู้ติดตามคนหนึ่งของขบวนรถอย่างอารมณ์ดี บอกว่าหน้าร้อนนั้นยุ่งยากที่สุด พวกแมลงวันจะมาตอม ง่ายที่จะเกิดโรคระบาด แต่ขอแค่ถึงหน้าหนาว หิมะตกลงมาก็จะช่วยลดความยุ่งยากไปได้ไม่น้อย กล่าวจบเด็กหนุ่มก็หยิบหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง ขว้างไปทางรั้วไม้ กระแทกโดนศีรษะหนึ่งในนั้นอย่างแม่นยำ แล้วจึงปัดมือ ชำเลืองตามองผู้ติดตามของขบวนพ่อค้าที่เผยสีหน้าชื่นชมให้เห็น เด็กหนุ่มมีท่าทางลำพองใจไม่น้อย


ตอนนั้นหญิงสาวที่สวมชุดเขียวมัดผมหางม้าทำให้เด็กหนุ่มจิตใจหวั่นไหว การที่มาคุยเรื่องพวกนี้และทำแบบนี้ให้ผู้ติดตามของขบวนพ่อค้าดู ก็หนีไม่พ้นต้องการแสดงความสามารถของตัวเองออกมาต่อหน้าพี่สาวที่หน้าตางดงามผู้นั้น


น่าเสียดายก็แต่พี่สาวชุดเขียวไม่มองเขาเลย นี่ทำให้เด็กหนุ่มห่อเหี่ยวและผิดหวังอย่างมาก หากหญิงสาวที่งดงามราวกับเทพธิดาเดินออกมาจากภาพวาดบนผนังในศาลเช่นนี้มาปรากฎตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านอดอยากที่รนหาที่ตายอยู่แถวนี้ จะดีสักแค่ไหนกันนะ? ถ้าอย่างนั้นนางต้องมีชีวิตรอดแน่ อีกทั้งตนยังเป็นบุตรชายคนโตของตระกูล ต่อให้ตนจะไม่ใช่คนแรก แต่ก็ต้องมีสักวันที่วนมาถึงตนจนได้ แต่เด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าในบรรดากลุ่มชาวบ้านผู้ประสบภัยย่อมไม่มีสตรีที่งดงามดุจเทพธิดาแห่งสายน้ำเช่นนี้ ต่อให้มีสตรีที่โตเต็มวัย ส่วนใหญ่ก็มักจะผิวดำเกรียม แต่ละคนผอมจนหนังหุ้มกระดูกเหมือนผีที่หิวโหยจนตาย ผิวพรรณก็หยาบกระด้าง เห็นแล้วทุเรศตา


ข้างกายของพี่สาวชุดเขียวยังมีสตรีที่อายุค่อนข้างมากคนหนึ่งยืนอยู่ นางสะพายกระบี่ แต่รูปลักษณ์กลับเป็นรองอยู่มากโข โดยเฉพาะทรวดทรงองค์เอวที่อีกคนคือฟ้า อีกคนคือดิน หากฝ่ายหลังปรากฏตัวเพียงลำพัง เด็กหนุ่มก็อาจจะหวั่นไหวอยู่เหมือนกัน แต่พอพวกนางยืนอยู่ด้วยกัน ในสายตาของเด็กหนุ่มจึงไม่เห็นฝ่ายหลังแม้แต่น้อย


ขบวนพ่อค้ามุ่งหน้าลงใต้ต่ออีกครั้ง


มักจะมีชาวบ้านเร่ร่อนถือกระบองไม้ที่เหลาปลายจนแหลมมาขวางทาง พวกที่ฉลาดหน่อย หรือควรจะพูดว่าพวกที่ไม่ได้หิวโซจนอับจนหนทางก็จะมักขอให้ขบวนพ่อค้ามอบอาหารให้บางส่วนเสียก่อน พวกเขาจึงจะปล่อยให้เดินทางต่อ


ขบวนพ่อค้าคร้านจะสนใจ ยังคงเดินทางต่อไปเรื่อยๆ โดยทั่วไปแล้วขอแค่พวกเขาชักดาบและปลดคันธนูลงมา พวกชาวบ้านที่ประสบภัยก็จะตกใจจนแตกฮือเหมือนนกแตกรัง


แล้วก็มีชาวบ้านบางส่วนที่สนแต่จะกระโจนเข้าใส่ คิดจะรุมทึ้งแย่งชิง เดิมทีพวกองค์รักษ์ผู้ติดตามขบวนพ่อค้าก็มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกยุทธในยุทธภพอยู่แล้ว อีกทั้งยังไม่ใช่คนของแคว้นสือหาว ตลอดทางที่ลงใต้มาจึงชาชินกันนานแล้ว อีกทั้งในกลุ่มยังมีพี่น้องและสหายที่ต้องตายไปมากขนาดนั้น ส่วนลึกในจิตใจจึงนึกอยากจะให้มีคนบุกเข้ามาเพื่อให้พวกเขาระบายความแค้นด้วยซ้ำ ดังนั้นขบวนทหารม้าฝีมือดีจึงยกมือตวัดดาบเหมือนแหที่หว่านออกไป บางครั้งก็แข่งฝีมือการยิงธนูกัน หากใครยิงเข้าดวงตาก็ถือว่าฝีมือยอดเยี่ยมที่สุด ยิงทะลุลำคอคือรองลงมา ยิงทะลุหัวใจก็รองลงมาอีก หากยิงโดนแค่ช่วงท้องหรือช่วงขา นั่นก็จะต้องถูกคนอื่นหัวเราะเยาะขบขัน


พ่อค้าที่จ้างองค์รักษ์และขบวนรถครั้งนี้มีจำนวนไม่มาก แค่สิบกว่าคนเท่านั้น


นอกจากหญิงสาวชุดเขียวมัดผมหางม้าที่ปรากฏตัวน้อยครั้ง รวมไปถึงหญิงสาวสะพายกระบี่ข้างกายนางที่ขาดนิ้วหัวแม่มือไปนิ้วหนึ่งแล้ว ยังมีคนหนุ่มสวมชุดคลุมสีดำที่ไม่ชอบยิ้มแย้มพูดคุย คนทั้งสามนี้เหมือนจะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน เวลาปกติหากขบวนรถหยุดพักม้า ซ่อมแซมรถ หรือไม่ก็ต้องพักค้างแรมกลางป่าเขา พวกเขาก็มักจะมารวมกลุ่มอยู่ด้วยกัน


นอกจากนี้ยังมีพ่อค้าตัวหลักที่ต้องการเงินไม่ต้องการชีวิต คือผู้เฒ่าที่สวมชุดยาวสีเขียวตัวหนึ่ง ว่ากันว่าแซ่ซ่ง พวกองค์รักษ์ล้วนชอบเรียกเขาว่าอาจารย์ซ่ง อาจารย์ซ่งมีผู้ติดตามสองคน คนหนึ่งสะพายกระบองยาวสีนิลไว้ด้านหลัง อีกคนหนึ่งไม่พกพาอาวุธ แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนในยุทธภพตัวจริง อายุของคนทั้งสองพอๆ กับอาจารย์ซ่ง นอกจากนี้ยังมีชายหญิงอีกสามคนที่แม้ใบหน้าจะมีรอยยิ้ม แต่ดวงตาของพวกเขากลับยังคงทำให้คนรู้สึกถึงความเย็นชา อายุต่างกันค่อนข้างมาก สตรีแต่งงานแล้วรูปโฉมธรรมดา คนที่เหลืออีกสองคนคือปู่และหลาน


พวกผู้ติดตามรู้สึกว่าพ่อค้ากลุ่มนี้ นอกจากอาจารย์ซ่งแล้ว คนอื่นๆ ล้วนวางมาดใหญ่โต ไม่ชอบพูดจา


ยามค่ำคืนของวันนี้ พวกเขาหยุดพักกันที่จุดพักม้าเก่าโทรมแห่งหนึ่งที่ถูกทิ้งร้างเพราะผู้ดูแลหนีหายไปสิ้น ข้าวของต่างๆ ในจุดพักม้าถูกกวาดไปเกลี้ยงนานแล้ว


หญิงสาวชุดเขียวมัดผมหางม้านั่งอยู่บนหัวกำแพงดินนอกจุดพักม้าที่พังถล่มไปแล้วเกินครึ่ง


สตรีสะพายกระบี่ที่ตัวติดกับนางเหมือนเงาไม่ห่างกายยืนอยู่ใต้กำแพง พูดเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ เหลือระยะทางอีกครึ่งเดือนกว่าก็จะเข้าอาณาเขตของทะเลสาบเจี่ยนซูแล้ว”


หญิงสาวชุดเขียวอืมรับอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


อาจารย์ซ่งผู้นั้นเดินออกมาจากจุดพักม้าช้าๆ เตะเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เดินทางมาด้วยกันซึ่งนั่งอยู่บนธรณีประตูให้พ้นทางเบาๆ จากนั้นก็เดินมาใกล้กับกำแพงเพียงลำพัง สตรีสะพายกระบี่รีบคารวะและเอ่ยกับเขาด้วยภาษาราชการของต้าหลีทันที “คารวะซ่งหลางจง”


ผู้เฒ่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “แม่นางสวียังคงเกรงใจเช่นนี้เสมอ ทำตัวห่างเหินเกินไปแล้ว”


คำเรียกว่าหลางจงนี้ไม่ได้แปลว่าหมอในร้านยา


ผู้เฒ่าสวมชุดเขียวท่าทางสุภาพเยือกเย็นผู้นี้ก็คือหลางจงผู้ดูแลหลักของกองบวงสรวงกรมพิธีการต้าหลี


ตำแหน่งนี้ สำหรับในแคว้นใต้อาณัติเล็กๆ อย่างแคว้นหวงถิง แคว้นสือหาวแล้ว ถือเป็นขุนนางเมล็ดงาที่ค่อนข้างใหญ่ ลำพังเพียงแค่ในที่ว่าการกรมพิธีการ เหนือหัวขึ้นไปก็มีรองเจ้ากรมพิธีการ เหนือขึ้นไปอีกยังมีเจ้ากรมพิธีการ ไม่แน่ว่าวันใดอาจถูกขุนนางผู้ช่วยที่ระดับขั้นเท่าเทียมกันอย่างหยวนไหว้หลางแย่งชิงตำแหน่งไป แต่เมื่ออยู่ที่ต้าหลี นี่กลับเป็นตำแหน่งที่สำคัญอย่างถึงที่สุด คือหนึ่งในหลางจงสามท่านที่กุมอำนาจมากที่สุดของราชวงศ์ต้าหลี ตำแหน่งไม่ถือว่าสูง ระดับห้าชั้นโท ทว่ากลับมีอำนาจอย่างยิ่ง นอกจากจะมีหน้าที่รับผิดชอบในขอบเขตของหลางจงกรมบวงสรวงแล้ว ยังดูแลเรื่องการทดสอบตัดสินผลงานขององค์เทพแห่งแม่น้ำและภูเขาในหนึ่งแคว้น รวมไปถึงยังมีอำนาจในการแนะนำให้ผู้อื่นได้เลื่อนขั้น


ต้าหลีไม่เคยคิดจะแต่งตั้งเทพวารีและศาลเจ้าให้กับแม่น้ำชงตั้น ทว่าอยู่ดีๆ กลับมีภูตแห่งสายน้ำที่ชื่อว่าหลี่จิ่นตนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา จากเดิมทีที่เป็นเถ้าแก่ของร้านหนังสือในเมืองหงจู๋ กระโดดก้าวเดียวกลับกลายเป็นเทพวารี ว่ากันว่าก็เพราะใช้ช่องทางของหลางจงท่านนี้ ได้เป็นปลาหลีที่กระโดดข้ามประตูมังกร เดินขึ้นไปอยู่บนแท่นบูชาเทพเจ้าที่ตั้งวางไว้สูง ได้เสวยสุขอยู่กับควันธูปจากช่องทางต่างๆ


หญิงสาวสองคนนี้ก็คือหร่วนซิ่วและสวีเสี่ยวเฉียวที่ลงจากภูเขาสำนักกระบี่หลงเฉวียนมาหาประสบการณ์


ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดถึงต้องออกจากราชวงศ์ต้าหลีมาไกลขนาดนี้ แม้แต่สวีเสี่ยวเฉียวและต่งกู่ก็ยังรู้สึกประหลาดใจ ทว่าหร่วนซิ่วศิษย์พี่หญิงใหญ่ของพวกเขากลับไม่เห็นเป็นสำคัญเลยแม้แต่น้อย


สวีเสี่ยวเฉียวเห็นว่าซ่งหลางจงมีท่าทางคล้ายอยากจะปรึกษาเรื่องสำคัญจึงเป็นฝ่ายเดินจากไปเอง


ซ่งหลางจงเดินขึ้นมาบนหัวกำแพงแล้วนั่งขัดสมาธิ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้าต้องขอบคุณความใจกว้างของแม่นางหร่วน”


หร่วนซิ่วเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งไปซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อ ส่ายหน้าพูดด้วยเสียงอู้อี้ว่า “ไม่ต้อง”


ซ่งหลางจงถามด้วยรอยยิ้ม “ขอละลาบละล้วงถามสักคำ แม่นางหร่วนซิ่วไม่ถือสา หรือว่ากำลังอดทนอยู่กันแน่?”


หร่วนซิ่วถาม “ต่างกันด้วยหรือ?”


ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเป็นอย่างแรก ข้าก็คงไม่ต้องทำอะไรที่เกินความจำเป็น ถึงอย่างไรข้าก็แก่จนอายุปูนนี้แล้ว เคยมีช่วงเวลาความรักความเลื่อมใสของวัยหนุ่มมาก่อนเช่นกัน รู้ดีว่าเป็นเรื่องยากที่เด็กซึ่งขนยังขึ้นไม่ครบอย่างหลี่มู่ซีจะไม่หวั่นไหว หากเป็นอย่างหลัง ข้าสามารถชี้แนะหลี่มู่ซีหรือท่านปู่ของเขาสักสองสามคำ แม่นางหร่วนไม่ต้องกังวลว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้คนลำบาใจ การเดินทางลงใต้ครั้งนี้เป็นการมาทำงานส่วนรวมที่ทางราชสำนักมอบหมายให้ กฎเกณ์ที่ควรต้องมีก็ยังต้องมี แม่นางหร่วนซิ่วไม่ได้ทำเกินไปแม้แต่น้อย”


หร่วนซิ่วกล่าว “ไม่เป็นไร เขาอยากมองก็ให้เขามองไปเถอะ ข้าไปบังคับลูกตาของเขาไม่ได้สักหน่อย”


ซ่งหลางจงหลุดหัวเราะพรืด

 

 

 


บทที่ 428.2 ชีวิตคนไม่ใช่เรื่องราวในตำรา

 

ในบรรดากลุ่มคนที่ติดตามมาครั้งนี้ ผู้ฝึกยุทธที่มีประสบการณ์ในยุทธภพอย่างโชกโชนสองคนที่อยู่ข้างกายเขา คนหนึ่งคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ดึงตัวมาจากกองทัพของต้าหลีชั่วคราว ขอบเขตร่างทอง ว่ากันว่าเขาคือสายลับใหญ่ของศาลาคลื่นมรกตที่เข้าไปชิงตัวคนถึงในกระโจมแม่ทัพ ถูกแม่ทัพที่มีพลังการต่อสู้ห้าวหาญขว้างจอกเหล้าใส่และด่าลามไปถึงมารดา แน่นอนว่าสุดท้ายก็ยังมอบตัวคนมาให้เขา


อีกคนหนึ่งคือเจ้าประมุขของพรรคใหญ่ในยุทธภพต้าหลี เป็นขอบเขตเจ็ดเหมือนกัน


นอกจากนี้อีกสามคนคือหน่วยจานกานที่รวมกลุ่มกันชั่วคราว ปู่หลานสองคน เด็กหนุ่มมีนามว่าหลี่มู่ซี คือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่เชี่ยวชาญเรื่องยันต์และค่ายกลคนหนึ่ง ทั้งสามรุ่นตั้งแต่ปู่ พ่อและตัวเขาเองต่างก็เป็นหน่วยจานกานของราชวงศ์ต้าหลี ก่อนหน้านี้บิดาเพิ่งตายไปได้ไม่นาน ดังนั้นการเดินทางไกลลงใต้ในครั้งนี้ สำหรับปู่หลานสองคนแล้ว เป็นทั้งการทำงานส่วนรวมให้กับที่ว่าการ แล้วก็มีความแค้นส่วนตัวปะปนอยู่ด้วย


การเดินทางลงใต้ไปเยือนทะเลสาบเจี่ยนซูในครั้งนี้มีอยู่สองเรื่อง เรื่องหนึ่งเป็นไปอย่างเปิดเผย แล้วก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก เขาที่เป็นหนึ่งในคนของกองงานบวงสรวงคือผู้ตัดสินใจ สามคนที่มาจากสำนักกระบี่หลงเฉวียนล้วนต้องเชื่อฟังเขา รับฟังคำสั่งและการจัดการของเขา


ช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ หน่วยจานกานของต้าหลีที่ไม่เคยบาดเจ็บล้มตายมานานหลายปีกลับต้องตายทีเดียวถึงสองคน มีผู้ฝึกตนโอสถทองต่างถิ่นที่ปิดบังสถานะคนหนึ่งแอบพาตัวลูกศิษย์คนหนึ่งไป เด็กหนุ่มคนนี้ค่อนข้างจะพิเศษ ไม่เพียงแต่เป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด ยังมีชะตาบู๊ติดตัว จึงดึงดูดความสนใจจากอริยะศาลบู๊หลายท่านในทวีปที่เขาอยู่อาศัย


ต้าหลีที่รู้เข้าก็ต้องการครอบครองตัวเขา แม้แต่ใต้เท้าราชครูที่พอได้ยินข่าวแล้วก็ยังให้ความสำคัญอย่างยิ่ง


ต้าหลีใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน พูดไปแล้วก็เหลวไหล เด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนที่หน่วยจานกานของต้าหลีหาตัวพบและหมายตาก่อน เป็นเหตุให้คนสามคนที่เจอต้นกล้าที่ดีต้นนี้ผลัดเวรกันเฝ้าคุ้มครอง อบรมปลูกฝังเด็กหนุ่มอย่างทุ่มเทเป็นเวลานานถึงสี่ปี ผลกลับกลายเป็นว่าผู้ฝึกตนโอสถทองที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำผู้นั้นไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน สังหารคนสองคน จากนั้นก็ลักพาตัวเด็กหนุ่มไป เผ่นหนีมาทางใต้ตลอดทาง ระหว่างนี้หลบพ้นการไล่ฆ่าและล้อมจับมาแล้วสองครั้ง เจ้าเล่ห์อย่างมาก อีกทั้งพลังการต่อสู้ก็สูงมาก ระหว่างที่หลบหนี เด็กหนุ่มคนนั้นก็ยิ่งเผยให้เห็นถึงจิตใจและคุณสมบัติอันเฉียบคมจนน่าตกตะลึง ทั้งสองครั้งเขาล้วนช่วยเหลือผู้ฝึกตนโอสถทองได้มาก


สุดท้ายรายงานของทางศาลาคลื่นมรกตบอกให้รู้ว่าผู้ฝึกตนโอสถทองและเด็กหนุ่มหนีเข้ามาในทะเลสาบเจี่ยนซู จากนั้นก็เป็นดั่งวัวดินที่จมลงสู่มหาสมุทร ไม่มีข่าวคราวส่งมาอีกเลย


สำหรับการไล่ฆ่าประเภทนี้ ไม่เพียงแต่ราชสำนักต้าหลีเท่านั้น อันที่จริงกองกำลังบนภูเขาทั้งหมดของแจกันสมบัติทวีปล้วนไม่โง่หรือมีใจคิดดูแคลน พรรคที่มีประสบการณ์โชกโชน ขอแค่พอจะมีรากฐานสักหน่อยก็ล้วนพยายามจะใช้วิธีสิงโตจับกระต่าย แก้ไขปัญหาทั้งหมดให้เสร็จสิ้นในรวดเดียว ไม่ใช่ทำตัวเหมือนแม่ทัพโง่ที่ทำเรื่องไม่สมควรด้วยการส่งคนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าไปตายอย่างเสียเปล่าบนสนามรบ ใช้สงครามเลี้ยงสงคราม สุดท้ายเป็นการเลี้ยงพยัคฆ์ไว้เป็นภัยต่อตัวเอง


ฝ่ายตรงข้ามคือโอสถทองเฒ่าที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าสังหาร อีกทั้งยังได้เปรียบด้านชัยภูมิ ดังนั้นในกลุ่มของซ่งหลางจงจึงไม่ได้มีพลังการต่อสู้แค่โอสถทองสองท่านเท่านั้น แต่เมื่อนำมารวมกันแล้วจะเทียบเท่าได้กับพลังการต่อสู้ของก่อกำเนิดใหญ่ที่ค่อนข้างแข็งแกร่งท่านหนึ่ง


สำหรับข้อนี้ ต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวเคยวิเคราะห์อย่างละเอียดเป็นการส่วนตัวอยู่หลายครั้ง ข้อสรุปสุดท้ายที่ได้ค่อนข้างจะทำให้พวกเขาวางใจ


ไม่อย่างนั้นหากเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์พี่หญิงใหญ่แม้แต่ปลายก้อย ตามหลักแล้ว ลูกศิษย์บุกเบิกขุนเขาสำนักกระบี่หลงเฉวียนอย่างต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวสองคนก็ไม่ต้องอยู่บนภูเขาเสินซิ่วอีกแล้ว


ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่มีเพียงซ่งหลางจงที่รู้ก็ค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหญ่แล้ว


เกี่ยวพันกับว่าตลอดทั้งทะเลสาบเจี่ยนซูจะตกเป็นของใคร


แม้แต่เขาก็ยังต้องคอยรับคำสั่งในเรื่องนี้


แม้แต่เจ้าเกาะบางท่านที่ลงหลักปักฐานอยู่ในทะเลสาบเจี่ยนซูอย่างลับๆ มาแปดสิบปีก็ยังเป็นแค่หมากเม็ดหนึ่งเหมือนกัน


เดินทางจากต้าหลีลงใต้มาด้วยระยะทางยาวไกลในครั้งนี้ มีเรื่องเล็กเรื่องหนึ่งที่ทำให้ซ่งหลางจงรู้สึกว่าน่าสนใจ


สำหรับการเดินทางลงใต้ครั้งนี้ โดยเฉพาะระหว่างที่โดยสารรถม้าผ่านแคว้นสือหาว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้พบเห็นและได้ยินมา ไม่ว่าอย่างไรเด็กหนุ่มหลี่มู่ซีก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้ ถึงขั้นที่ว่าส่วนลึกในจิตใจยังตำหนิเคียดแค้นตัวการสำคัญผู้นั้น ซึ่งก็คือราชวงศ์ต้าหลีของตัวเอง บางทีในสายตาของเด็กหนุ่มแล้ว หากกองทัพม้าเหล็กต้าหลีไม่ได้ลงใต้ หรือศึกสงครามจากการลงใต้ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานไม่ได้โหดร้ายนองเลือดถึงเพียงนี้ ก็คงไม่มีชาวบ้านที่ต้องระเหเร่ร่อนสูญเสียทุกสิ่งที่เคยมีมากมายขนาดนั้น ท่ามกลางหายนะของไฟสงคราม ชายหญิงที่เดิมทีเป็นคนซื่อสัตย์ดีงามกลับเปลี่ยนไป กลายเป็นว่าจะเป็นคนก็ไม่ใช่คน จะเป็นผีก็ไม่ใช่ผี


ทว่าท่านปู่ของหลี่มู่ซี ผู้ฝึกตน ‘หนุ่ม’ ที่อายุแปดสิบปีกลับเฉยเมยกับเรื่องเหล่านี้ แล้วก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้หลานชายฟัง


หร่วนซิ่วถาม “ได้ยินว่ามีเด็กจากตรอกหนีผิงคนหนึ่งอยู่ที่ทะเลสาบเจี่ยนซู?”


ซ่งหลางจงพยักหน้ารับ “แซ่กู้ เป็นเด็กที่มีโชควาสนายิ่งใหญ่มาก ถูกหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินที่มีกองกำลังใหญ่ที่สุดของทะเลสาบเจี่ยนซูรับตัวไปเป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย ตัวกู้ช่านเองได้นำ ‘ปลาหนีชิวตัวใหญ่’ ไปที่ทะเลสาบเจี่ยนซูด้วย เขาพาผู้ติดตามที่เป็นเจียวหลงซึ่งมีพลังการต่อสู้เทียบเท่าก่อกำเนิดตัวนั้นก่อคลื่นมรสุมไปทั่ว อายุยังน้อย แต่กลับมีชื่อเสียงมาก แม้แต่ราชวงศ์จูอิ๋งก็ยังเคยได้ยินว่าทะเลสาบเจี่ยนซูมีนายบ่าวคู่นี้อยู่ มีครั้งหนึ่งเคยพูดคุยกับท่านสวี่ ท่านสวี่พูดสัพยอกว่าเจ้าเด็กตัวน้อยที่ชื่อกู้ช่านผู้นี้คือผู้ฝึกตนอิสระก่อนกำเนิดโดยแท้”


หร่วนซิ่วยกข้อมือขึ้นมองมังกรเพลิงที่หลับสนิทซึ่งอยู่ในรูปลักษณ์ของกำไลสีแดงปลั่ง ก่อนจะวางข้อมือลงแล้วทำท่าครุ่นคิด


……


บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งมาถึงแถบริมอาณาเขตของทะเลสาบเจี่ยนซู ที่นั่นคือนครขนาดใหญ่ที่เจริญรุ่งเรืองซึ่งมีผู้คนคลาคล่ำ มีชื่อว่านครน้ำบ่อ


เขาจ้างรถม้ามาตลอดทาง สารถีคือผู้เฒ่าช่างคุยที่ขึ้นเหนือล่องใต้มาจนปรุ ส่วนตัวบุรุษวัยกลางคนก็เป็นคนใจกว้าง ชอบฟังเรื่องสนุกและเรื่องเล่าน่าสนใจ ไม่ชอบเอาแต่นั่งสุขสบายอยู่ในห้องโดยสารรถม้า จึงนั่งอยู่ข้างกายสารถีเฒ่ามาเกินครึ่งทาง ให้ผู้เฒ่าดื่มเหล้าไปไม่น้อย ผู้เฒ่าที่อารมณ์ดีมากจึงเล่าเรื่องประหลาดเกี่ยวกับผู้คนและเรื่องราวมากมายของทะเลสาบเจี่ยนซูที่เคยได้ยินมา บอกว่าที่นั่นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เล่าลือกันภายนอก มีการรบราฆ่าฟันกันก็จริง แต่ส่วนใหญ่ล้วนไม่เดือดร้อนมาถึงชาวบ้านอย่างพวกเขา ทว่าทะเลสาบเจี่ยนซูคือถ้ำผลาญเงินทองที่ใหญ่เทียมฟ้าอย่างจริงแท้แน่นอน เมื่อก่อนเขากับสหายเคยรับพวกคุณชายตระกูลเศรษฐีของราชวงศ์จูอิ๋งมากลุ่มหนึ่ง พูดจาคุยโวใหญ่โตอย่างมาก บอกให้พวกเขารออยู่ที่นครน้ำบ่อ บอกว่าอีกหนึ่งเดือนจะเดินทางกลับมา ผลกลับกลายเป็นว่ารออยู่ไม่ถึงสามวัน คุณชายหนุ่มกลุ่มนั้นก็โดยสารเรือจากทะเลสาบเจี่ยนซูกลับเข้ามาในเมือง บนร่างไม่เหลือเงินแม้แต่แดงเดียว คนหนุ่มเจ็ดแปดคน มีเงินมากถึงหกแสนตำลึง ทว่าเพียงแค่สามวันเงินเหล่านั้นกลับเหมือนไหลหายไปกับสายน้ำ แต่ฟังจากคำพูดของพวกลูกล้างลูกผลาญเหล่านั้นดูเหมือนว่าจะยังไม่หายสนุก บอกว่าอีกครึ่งปีจะเก็บเงินมาใหม่ แล้วก็จะต้องมาสำเริงสำราญที่ทะเลสาบเจี่ยนซูอีกครั้งอย่างแน่นอน


บุรุษเดินอยู่บนถนนใหญ่ของนครน้ำบ่อที่ผู้คนแออัดจนเดินชนไหล่กัน ทำให้เขาดูไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย


ก่อนหน้านี้มีผู้ฝึกลมปราณกลุ่มหนึ่งเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูเมือง แต่กลับไม่ขอดูเอกสารผ่านทางอะไรทั้งนั้น ขอแค่จ่ายเงินก็เข้าเมืองได้


นครน้ำบ่อสร้างอยู่ติดริมน้ำทางทิศตะวันตกของทะเลสาบเจี่ยนซู


ทะเลสาบเจี่ยนซูมีอาณาบริเวณกว้างขวางอย่างยิ่ง มีเกาะน้อยใหญ่พันกว่าเกาะกระจายตัวกันดั่งดวงดาวบนทางช้างเผือก ที่สำคัญที่สุดก็คือมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น คิดจะยึดครองเกาะหรือน่านน้ำขนาดใหญ่เพื่อมาตั้งพรรคก่อสำนักที่นี่เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่หากเซียนดินโอสถทองคนสองคนได้ยึดครองเกาะที่ค่อนข้างใหญ่ไว้เป็นสถานที่ฝึกตนจะเหมาะสมที่สุด เพราะทั้งเงียบสงบ อีกทั้งยังเหมือนถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกลมปราณที่ฝึกวิชา ‘ใกล้น้ำ’ ที่ยิ่งมองเกาะบนทะเลสาบเจี่ยนซูเป็นสถานที่ที่ตัวเองต้องได้มาครอบครอง


บุรุษสะพายกระบี่เลือกเหลาสุราที่ตั้งอยู่กลางเมืองอันจอแจแห่งหนึ่ง สั่งเหล้าวิหคครวญที่ขึ้นชื่อที่สุดของนครน้ำบ่อมาหนึ่งกา ดื่มเสร็จแล้วก็คอยเงี่ยหูฟังบทสนทนาที่ลูกค้าโต๊ะใกล้ๆ พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่ได้ยินเรื่องอะไรเพิ่มเติมอีก เรื่องหนึ่งที่มีประโยชน์ก็คือ ดูเหมือนว่าผ่านไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทะเลสาบเจี่ยนซูจะจัดงานประชุมเจ้าเกาะที่จะจัดขึ้นทุกๆ หนึ่งร้อยปีขึ้น เพื่อที่จะเสนอให้มีการคัดเลือก ‘เจ้าแห่งยุทธภพ’ คนใหม่ที่ตำแหน่งว่างเปล่ามานานสามร้อยปีแล้ว


หลังจากที่บุรุษผู้นี้กินอาหารดื่มสุราเสร็จ จ่ายเงินเรียบร้อยก็เดินออกจากร้านอาหาร ถามทางไปยังถนนวานรร่ำไห้เส้นหนึ่งในนครน้ำบ่อที่เปิดให้ทุกคนไปเยือน ถนนเส้นนั้นเต็มไปด้วยร้านตระกูลเซียน ยาวถึงสี่ลี้ ทั้งสองปลายฝั่งของเส้นถนนมีผู้ฝึกลมปราณเฝ้าพิทักษ์ ซึ่งก็ไม่ดูที่ตัวตนเช่นกัน ขอแค่มีเงินก็เปิดทางให้ สำหรับข้อนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับนครมังกรเฒ่าที่มีธุรกิจการค้าเป็นอันดับหนึ่งของทวีป เยาะเย้ยคนที่ไม่มี อิจฉาคนที่มี ใครมีเงินคนนั้นก็ได้เป็นนายท่านใหญ่


ไม่เชื่อก็มองเหล้าในจอก แต่ละจอกล้วนดื่มคารวะคนมีเงินก่อน


หากพูดเช่นนี้ ก็ดูเหมือนว่าไม่ว่าที่ไหนบนโลก ประเพณีนิยมของสังคมก็ไม่ต่างกัน


ก่อนหน้านี้ฟังคำบอกเล่าของสารถีเฒ่า บุรุษวัยกลางคนที่ผูกน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดไว้ตรงเอวจึงรู้ว่าอยู่ในทะเลสาบเจี่ยนซูที่มีปลาและมังกรปะปนกัน ผู้คนสัญจรไปมาขวักไขว่ หากสามารถพูดภาษากลางของทวีปได้ก็ไม่ต้องเป็นกังวล แต่ระหว่างทางเขาก็ยังเรียนรู้ภาษาถิ่นของทะเลสาบเจี่ยนซูบางส่วนมาจากสารถีเฒ่า เรียนรู้มาไม่มากนัก แต่หากให้ถามทางหรือต่อรองราคาก็ยังพอทำได้ บุรุษวัยกลางคนเดินเตร็ดเตร่เที่ยวชมนู่นนี่ไปตลอดทาง ทั้งไม่ได้กว้านซื้อสมบัติพิทักษ์ร้านที่มีมูลค่าเทียมฟ้าให้ผู้คนต้องตื่นตะลึงอะไร แต่ก็ไม่ได้เอาแต่มองไม่ยอมซื้อ เขาเลือกอาวุธวิเศษสองสามชิ้นที่มองดูเข้าท่าแต่ราคาไม่แพง ลักษณะท่าทางคล้ายกับผู้ฝึกลมปราณต่างถิ่นทั่วไปที่มาที่นี่ก็เพื่อมาชมความครึกครื้น ไม่ถึงขั้นถูกใครใช้ตาสุนัขมองต่ำต้อย แต่ก็ไม่ถูกคนในพื้นที่มองว่าสูงส่งเช่นกัน


สุดท้ายบุรุษวัยกลางคนมาหยุดอยู่ที่ร้านขนาดเล็กซึ่งขายของโบราณจิปาถะแห่งหนึ่ง ของในร้านเป็นของดี เพียงแต่ราคาไม่ค่อยยุติธรรมนัก อีกทั้งมองดูแล้วเถ้าแก่น่าจะเป็นคนคร่ำครึไม่เหมือนคนทำมาค้าขาย ดังนั้นกิจการจึงค่อนข้างซบเซา มีหลายคนเดินเข้าๆ ออกๆ ทว่าคนที่ควักเงินเทพเซียนออกจากกระเป๋ากลับมีน้อยเพียงหยิบมือ บุรุษยืนอยู่ตรงหน้ากระบี่ทองสัมฤทธิ์โบราณเล่มหนึ่งที่วางขวางไว้บนชั้นวางกระบี่ซึ่งจัดทำขึ้นเป็นพิเศษ ไม่ยอมขยับเท้าก้าวไปไหนสักที กระบี่และฝักกระบี่วางแยกกัน หนึ่งอยู่สูงหนึ่งอยู่ต่ำ ตัวกระบี่สลักตัวอักษรเล็กๆ สี่คำว่า ‘เลียนแบบฉวีหวง’


มองบุรุษสะพายกระบี่สวมชุดคลุมตัวยาวที่ก้มตัวลงพินิจพิเคราะห์กระบี่เล่มนั้น ในที่สุดเถ้าแก่ผู้เฒ่าก็พูดขึ้นอย่างหมดความอดทน “มองอะไรนักหนา เจ้าซื้อไหวหรือไง? ต่อให้เป็นกระบี่ที่เลียนแบบฉวีหวงยุคบรรพกาลก็ยังต้องจ่ายด้วยเงินเกล็ดหิมะก้อนใหญ่ ไปๆๆ หากมองแล้วติดใจก็ไปหามองจากที่อื่นโน่น”


คงเป็นเพราะถุงเงินของบุรุษวัยกลางคนไม่ตุงแน่น เอวจึงยืดได้ไม่ตรง เขาไม่เพียงแต่ไม่เดือดดาล กลับยังหันหน้ามาถามผู้เฒ่าด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่ ฉวีหวงก็คือหนึ่งในแปดม้าลากรถฝีเท้าดีเยี่ยมของรถม้าคันที่ท่านผู้เฒ่าหลี่เซิ่งกับจักรพรรดิองค์แรกของโลกมนุษย์โดยสารมาร่วมกันเพื่อลาดตระเวนไปทั่วใต้หล้าใช่ไหม?”


เถ้าแก่วัยชราชำเลืองตามองกระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังบุรุษ สีหน้าก็ดีขึ้นเล็กน้อย “ยังถือว่าสายตาไม่แย่จนถึงขั้นตาบอด ถูกต้อง นี่ก็คือฉวีหวงของ ‘แปดอาชาแยกย้าย’ ภายหลังมีอาจารย์หลอมกระบี่ใหญ่ท่านหนึ่งของแผ่นดินกลางใช้แรงกายแรงใจและความทุ่มเทของทั้งชีวิตหลอมกระบี่ขึ้นมาแปดเล่ม โดยตั้งชื่อตามม้าทั้งแปดตัว คนผู้นี้มีนิสัยประหลาด หลอมกระบี่เสร็จแล้วก็ยอมขาย ทว่ากระบี่แต่ละเล่มจะขายให้กับคนซื้อของหนึ่งทวีปเท่านั้น เป็นเหตุให้จนตายก็ยังไม่อาจขายออกไปได้หมด ภายหลังมีของเลียนแบบนับไม่ถ้วน กระบี่โบราณที่กล้าสลักคำว่า ‘เลียนแบบ’ ไว้เบื้องหน้าฉวีหวงเล่มนี้ เลียนแบบได้เหมือนอย่างถึงที่สุด แน่นอนว่าราคาต้องสูงมาก วางขายอยู่ในร้านข้ามาสองร้อยกว่าปีแล้ว เจ้าหนุ่ม เจ้าซื้อไม่ไหวแน่ๆ”

 

 

 


บทที่ 428.3 ชีวิตคนไม่ใช่เรื่องราวในตำรา

 

บุรุษไม่ได้ตบหน้าตัวเองเพื่อให้ดูเป็นคนอ้วน เขาถอนสายตากลับมาจากกระบี่โบราณเล่มนั้นแล้วเริ่มหันไปมองของล้ำค่าชิ้นอื่นๆ สุดท้ายก็มายืนนิ่งอยู่ด้านหน้าภาพสตรีงดงามที่แขวนไว้บนผนัง สตรีที่อยู่ในภาพวาดนั่งหันข้าง ปิดหน้าร่ำไห้ หากเงี่ยหูตั้งใจฟังจะยังได้ยินเสียงสะอื้นแผ่วเบาดังออกมาจากภาพวาดด้วย


เถ้าแก่เฒ่าร้องโอ้โหขึ้นมาหนึ่งที “นึกไม่ถึงว่าจะเจอกับคนที่ดูของออก ของสองชิ้นที่เจ้ามองนานที่สุดนับตั้งแต่เข้ามาในร้านของข้าล้วนเป็นของที่ดีที่สุดในร้าน เจ้าหนุ่มนี่ไม่เลวเลย ในกระเป๋าไม่มีเงิน แต่สายตากลับไม่เลว ทำไม เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านเกิดเป็นเศรษฐีร่ำรวย แต่ภายหลังตระกูลตกอับก็เลยออกมาท่องยุทธภพเพียงลำพังอย่างนั้นหรือ? สะพายกระบี่ที่มีค่าแค่ไม่กี่แดง ห้อยกาเหล้าเก่าๆ ใบหนึ่งก็คิดว่าตัวเองเป็นจอมยุทธพเนจรแล้ว?”


บุรุษยังคงมองประเมินภาพวาดที่มหัศจรรย์นั้น เมื่อก่อนเคยได้ยินคนเล่าว่า บนโลกมีอักษรภาพของอดีตราชวงศ์ที่ล่มสลายอยู่มากมาย ซึ่งหากโชควาสนานำพา ตัวอักษรจะบ่มเพาะให้เกิดอารมณ์เศร้าสร้อยและโกรธขึ้ง และบุคคลบางส่วนในภาพวาดก็จะกลายมามีจิตวิญญาณ แสดงความโศกเศร้าเสียใจอยู่ในภาพวาดเพียงลำพัง


บุรุษหันหน้ามายิ้มกล่าวว่า “จอมยุทธพเนจรไม่ได้ดูกันที่ว่ามีเงินมากหรือน้อยสักหน่อย”


ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “คำพูดที่เหมือนผายลมแบบนี้ มีเพียงพวกคนทึ่มที่ท่องยุทธภพได้แค่สองสามปีเท่านั้นแหละที่จะพูด ข้าดูแล้วเจ้าก็อายุไม่ใช่น้อยๆ คาดว่ายุทธภพทั้งหลายที่ผ่านมาก็คงเสียเปล่าซะแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นก็แค่ไปท่องขอบบ่อน้ำมาแล้วคิดไปเองว่าเป็นแม่น้ำทะเลสาบที่แท้จริง”


บุรุษยังคงไม่โกรธ เขาชี้ไปที่ภาพแขวน ถามว่า “ภาพหญิงสาวผู้นี้ราคาเท่าไหร่?”


ผู้เฒ่าโบกมือ “ไอ้หนุ่ม อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลยดีกว่า”


บุรุษยิ้มกล่าว “หากข้าซื้อไหว เถ้าแก่จะว่าอย่างไร มอบของเล็กๆ ที่ไม่มีราคาค่างวดให้ข้าเป็นของขวัญสักชิ้นสองชิ้น ดีไหมล่ะ?”


ผู้เฒ่าที่ต้องอยู่เฝ้าร้านซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษปีแล้วปีเล่าจนกลายเป็นความเบื่อหน่ายพลันนึกสนุก ชี้ไปยังชั้นวางสมบัติชั้นหนึ่งที่อยู่ใกล้กับประตูใหญ่ เลิกคิ้วพูดว่า “ได้สิ เห็นหรือไม่ ขอแค่เจ้าควักเงินเทพเซียนมาจ่ายได้ ของบนชั้นวางนั้นเจ้าเลือกไปได้เลยสามชิ้น ถึงเวลานั้นหากข้าขมวดคิ้วสักครั้งจะยอมเปลี่ยนไปใช้แซ่ตามเจ้าเลย!”


บุรุษพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม


เถ้าแก่วัยชราลังเลเล็กน้อย กล่าวว่า “ประวัติความเป็นมาของภาพสตรีภาพนี้คงไม่ต้องพูดให้มากความแล้ว ถึงอย่างไรเจ้าก็มองข้อดีของมันออก สามเหรียญเงินร้อนน้อย หากจ่ายไหว เจ้าก็เอาไปเลย จ่ายไม่ไหวก็รีบไสหัวไปซะ”


บุรุษหันหน้าไปมองภาพแขวนบนผนังแวบหนึ่ง แล้วจึงหันหน้ากลับมามองเถ้าแก่ชราอีกครั้ง ถามว่าต่อรองราคาไม่ได้แล้วใช่ไหม เถ้าแก่ผู้เฒ่าพยักหน้ารับพลางหัวเราะหยัน บุรุษคนนั้นหันหน้าไปมองภาพวาดสตรีอีกครั้ง แล้วค่อยหันมามองร้านที่ตอนนี้โล่งว่างไม่มีลูกค้าสักคน และยังมองไปทางประตูใหญ่บานนั้น ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะคิดเงิน พลิกหมุนข้อมือ ตบเงินเทพเซียนสามเหรียญลงบนโต๊ะ ใช้ฝ่ามือปิดทับ ดันไปทางเถ้าแก่ร้าน เถ้าแก่วัยชราก็ชำเลืองมองไปทางประตูร้านเหมือนกัน วินาทีที่บุรุษยกมือขึ้น ผู้เฒ่าก็ใช้ฝ่ามือปิดทับเงิน รวบมาไว้ข้างกายตัวเอง แง้มฝ่ามือออกดู เมื่อแน่ใจว่าเป็นเงินร้อนน้อยสามเหรียญจริงๆ ก็กำไว้ในฝ่ามือ สอดเก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อ เงยหน้ายิ้มกล่าว “ครั้งนี้เป็นข้าที่มองพลาดไปเอง เจ้าหนุ่ม เจ้าใช้ได้เลยนี่นา พอจะมีความสามารถอยู่บ้าง ขนาดข้าที่ฝึกฝนตัวเองจนเหมือนมีเนตรทิพย์ก็ยังมองผิดไป”


บุรุษยิ้มอย่างระอาใจ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเลือกของที่ชอบสามชิ้นมาจากชั้นวางนั่นแล้วนะ”


เถ้าแก่ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ไปเถอะ ทำการค้า ความซื่อสัตย์เล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ยังต้องมีอยู่บ้าง ข้าจะช่วยเก็บภาพวาดสตรีนี้ใส่กล่องให้เจ้า วางใจเถอะ ลำพังเพียงแค่กล่องผ้าแพรก็มีมูลค่าสองเหรียญเงินเกล็ดหิมะแล้ว ไม่มีทางเหยียบย่ำภาพเหมือนที่ล้ำค่าชิ้นนี้แน่นอน”


บุรุษไล่สายตาไปบนชั้นวางสมบัติหน้าประตู ส่วนเถ้าแก่ผู้เฒ่าก็ปลดเอาภาพเหมือนลงมาอย่างระมัดระวัง ตอนที่บรรจุมันลงในกล่องผ้าแพรล้ำค่าก็คอยใช้หางตาลอบมองบุรุษผู้นั้นอยู่ตลอดเวลา


มารดามันเถอะ หากรู้แต่แรกว่าไอ้หมอนี่กระเป๋าเงินตุงแน่น ใช้เงินมือเติบขนาดนี้ เขาจะกล้ารับปากยกของรางวัลอะไรให้ได้ยังไง? อีกทั้งยังยกให้ทีเดียวตั้งสามชิ้นรวด เวลานี้เขาเสียดายจะแย่แล้ว


พอบุรุษคนนั้นเลือกของมาสองชิ้น เถ้าแก่ผู้เฒ่าก็พอจะโล่งใจได้บ้าง ขาดทุนไม่มาก แต่พอไอ้หมอนั่นเลือกของชิ้นสุดท้ายที่เป็นตราประทับหยกหมึกซึ่งยังไม่มีใครแกะสลักลงไป หนังตาของเถ้าแก่ผู้เฒ่าก็กระตุกเบาๆ รีบเอ่ยขึ้นว่า “ไอ้หนู เจ้าชื่อแซ่อะไร?”


เดิมทีบุรุษยังลังเลอยู่บ้าง แต่พอเถ้าแก่ผู้เฒ่าถามเช่นนั้น เขาก็หยิบมันมาไว้ในมืออย่างตัดสินใจเด็ดขาด หันหน้ามายิ้มกล่าวว่า “แซ่เฉิน”


เถ้าแก่วัยชรากล่าวอย่างน่าสงสารว่า “ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้ข้าจะใช้แซ่เฉินตามเจ้า เจ้าวางตราประทับนั่นกลับไปได้ไหม?”


บุรุษส่ายหน้ายิ้มๆ “ทำมาค้าขาย ต้องมีความซื่อสัตย์เล็กๆ น้อยๆ”


เถ้าแก่ผู้เฒ่าพูดเสียงขุ่น “ข้าว่าเจ้าอย่ามัวเป็นจอมยุทธพเนจรผายลมสุนัขอะไรนี่อยู่เลย มาเป็นพ่อค้าเถอะ ผ่านไปไม่กี่ปี เจ้าต้องร่ำรวยมีเงินมีทองเยอะแน่”


แม้ปากของผู้เฒ่าจะเอ่ยเช่นนี้ แต่อันที่จริงเขาเองก็ได้กำไรไปไม่น้อย จึงอารมณ์ดีมาก รินชาถ้วยหนึ่งให้ลูกค้าแซ่เฉินอย่างที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน


คนผู้นั้นก็ไม่ได้คิดจะจากไปทันที ด้านหนึ่งคิดว่าควรจะซื้อเลียนแบบฉวีหวงเล่มนั้นไปดีหรือไม่ อีกด้านหนึ่งก็อยากได้ยินเรื่องราวของทะเลสาบเจี่ยนซูที่เจาะลึกมากขึ้นจากปากของผู้เฒ่า เขาจึงดื่มชาพลางพูดคุยกับอีกฝ่ายไปด้วย


บุรุษจึงได้รู้เรื่องวงในมากมายที่ไม่เคยได้ยินจากสารถีเฒ่ามาก่อน


ทะเลสาบเจี่ยนซูคือดินแดนสุขาวดีนอกโลกของผู้ฝึกตนอิสระ คนฉลาดจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข แต่คนโง่จะมีสภาพอเนจอนาถมากเป็นพิเศษ อยู่ที่นี่ผู้ฝึกตนไม่มีการแบ่งแยกดีเลว มีเพียงตบะสูงหรือต่ำที่นำมาแยกแยะความตื้นลึกหนาบาง


ธุรกิจการค้าเจริญรุ่งเรือง ร้านค้าตั้งเรียงราย เต็มไปด้วยความพิเศษมหัศจรรย์


ไปอยู่ที่อื่นแล้วอับจนหนทางหรือตกระกำลำบาก แต่พอมาอยู่ที่นี่มักจะหาที่พักพิงกายได้ แน่นอนว่าไม่ต้องวาดหวังว่าจะใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขสบายอุรา แต่ขอแค่ในมือมีหัวหมู เจอศาลถูก ชีวิตหลังจากนี้ก็จะไม่ยากลำบาก ส่วนจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของใครของมัน พึ่งพาภูเขาลูกใหญ่ ช่วยออกแรงออกเงินก็เป็นทางออกเส้นหนึ่งเหมือนกัน ในประวัติศาสตร์ของทะเลสาบเจี่ยนซู ใช่ว่าจะไม่เคยมีผู้กล้าที่ต้องแบกรับความอัปยศมานานหลายปี แต่สุดท้ายกลับลุกผงาดกลายเป็นผู้พิชิตของพื้นที่แห่งหนึ่งสักหน่อย


นอกประตูร้าน กาลเวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ


ในร้าน ผู้เฒ่าพูดคุยอย่างอารมณ์ดี


เคยมีผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลคนหนึ่งร่วมมือกับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองท่านหนึ่ง อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าเมื่ออยู่ในแจกันสมบัติทวีปตัวเองจะเดินอาดๆ หรือทำตัวกร่างแค่ไหนก็ได้ พวกเขาจึงจัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นในเกาะขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของทะเลสาบเจี่ยนซู แจกจ่ายเทียบเชิญไปให้กับเหล่าผู้กล้าทั้งหลาย เชื้อเชิญให้เซียนดินและผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรทั้งหมดของทะเลสาบเจี่ยนซูมาร่วมงาน ป่าวประกาศว่าจะยุติสถานการณ์วุ่นวายดั่งฝูงมังกรไร้หัวของทะเลสาบเจี่ยนซู จะตั้งตัวเป็นเจ้าแห่งยุทธภพที่ออกคำสั่งแก่กลุ่มผู้กล้า


ในงานเลี้ยง เจ้าเกาะของทะเลสาบเจี่ยนซูสามสิบกว่าคนที่มาร่วมงาน ไม่มีสักคนที่เสนอความเห็นต่าง หากไม่ได้ปรบมือร้องให้กำลังใจ พยายามเออออคล้อยตามอย่างสุดกำลัง ก็สรรหาถ้อยคำมาประจบเอาใจ พูดว่าทะเลสาบเจี่ยนซูควรจะมีบุคคลยิ่งใหญ่ที่สามารถสยบผู้คนได้เช่นนี้มานานแล้ว จะได้มีกฎเกณฑ์ที่พอเป็นรูปเป็นร่างสักที แต่ก็มีเจ้าเกาะบางส่วนที่เก็บปากเก็บคำ ผลคือพองานเลี้ยงเลิกราก็มีคนแอบรั้งรออยู่บนเกาะต่อแล้วเริ่มลงนามสวามิภักดิ์ ช่วยกันวางแผนการ อธิบายรากฐานและที่พึ่งของภูเขาใหญ่แต่ละแห่งบนทะเลสาบเจี่ยนซูให้คนทั้งสองฟังอย่างละเอียด


เพียงแต่ว่าเหตุการณ์ที่ปรากฏต่อจากนั้น ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนของทะเลสาบเจี่ยนซูในอีกกี่ร้อยปีให้หลัง ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อยก็ล้วนรู้สึกสาสมใจเป็นอย่างยิ่ง


คืนนั้นมีผู้ฝึกตนสี่ร้อยกว่าคนจากเกาะแต่ละแห่งกรูกันมาล้อมเกาะแห่งนั้น


ใช้สมบัติอาคมเกือบเก้าร้อยชิ้น บวกกับนักรบเดนตายอีกสองร้อยกว่าคนที่แต่ละเกาะเลี้ยงดูเอาไว้ ร่วมใจกันสังหารผู้ฝึกตนก่อกำเนิดและผู้ฝึกกระบี่โอสถทองสองท่านที่ฝีมือล้ำโลกได้สำเร็จ


บังเอิญยิ่งนักที่คนที่มีปณิธานการสังหารเด็ดเดี่ยวที่สุดก็คือ ‘เจ้าเกาะหญ้ายอดกำแพงที่ยอมสวามิภักดิ์ก่อนผู้ใด’ กลุ่มนั้น


บุรุษผู้นั้นรับฟังอย่างตั้งใจ แล้วก็ถือโอกาสถามถึงหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวิน


เถ้าแก่ผู้เฒ่ายิ่งเล่าก็ยิ่งสนุกปาก


บอกว่าตอนนี้สกัดคงคาเจินจวินผู้นั้นร้ายกาจนักล่ะ


เมื่อสองปีก่อนมีมารน้อยผู้หนึ่งได้กลายมาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของสกัดคงคาเจินจวิน สมกับคำว่าสีครามเกิดจากต้นครามแต่เข้มกว่าครามจริงๆ ถึงขนาดสามารถควบคุมเจียวหลงที่น่ากลัวตัวหนึ่งได้ เปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ในถิ่นของตัวเอง คนในจวนเค่อชิงใหญ่คนหนึ่ง แม่นางเปิดสาบเสื้อหลายสิบคน และคนอีกร้อยกว่าคนล้วนถูก ‘หนีชิวใหญ่’ ตัวนั้นสังหารจนสิ้น ส่วนใหญ่ล้วนมีสภาพการตายอเนจอนาถ ตายตาไม่หลับ


หลังจากนั้นก็ยิ่งไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เปิดศึกนองเลือดอีกครั้ง สังหารศิษย์พี่ใหญ่ร่วมสำนักของตน ‘หนีชิวใหญ่’ ตัวนั้นได้เผยนิสัยดุร้ายอำมหิตออกมาอย่างเต็มที่ หลายครั้งที่ลงมือล้วนไม่ใช่เพื่อสังหารคน แต่เพื่อตอบสนองความสนุกในการได้เข่นฆ่าของตัวเองเท่านั้น ผ่านไปที่ใด บนพื้นก็เต็มไปด้วยเศษซากโครงกระดูก


หลังจากนั้นมาสองอาจารย์และศิษย์บุกไปที่ใดก็พังราบเป็นหน้ากลอง ยึดครองเกาะบริเวณใกล้เคียงที่กองกำลังของตระกูลอื่นสร้างรากฐานไว้อย่างแน่นหนาไปแล้วไม่น้อย


ผู้ใดที่โอนอ่อนเจริญรุ่งเรือง ผู้ใดที่ขัดขืนต้องตาย ว่ากันว่าหญิงสาวหน้าตางดงามหลายคนถูกมารน้อยที่ขนยังขึ้นไม่ครบผู้นั้นชิงตัวกลับไป และดูเหมือนว่าภายใต้การอบรมสั่งสอนของศิษย์พี่หญิงรองของมารน้อย พวกนางก็ได้กลายเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อรุ่นใหม่


หลังจากนั้นทะเลสาบเจี่ยนซูก็ไม่เคยมีวันเวลาที่สงบสุขอีกเลย ยังดีที่นั่นเป็นเพียงการตีกันของเทพเซียน ไม่ได้เดือดร้อนมาถึงนครน้ำบ่อที่ห่างไกลแห่งนี้


หลังจากจบเรื่องมารน้อยแซ่กู้ก็เคยถูกศัตรูคู่แค้นลอบสังหารอยู่หลายครั้ง แต่เขากลับไม่ตาย กลับกันยังยิ่งกำเริบเสิบสานและโอหังมากขึ้นเรื่อยๆ ชื่อเสียงความดุร้ายเป็นที่เลื่องลือ ผู้ฝึกตนที่เป็นหญ้าบนยอดกำแพงกลุ่มใหญ่รอบกายเขาต่างก็ตั้งฉายาอันสูงส่งให้มารน้อยว่า ‘รัชทายาทแห่งทะเลสาบ’ เข้าฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ มารน้อยยังเคยมาที่นครน้ำบ่อครั้งหนึ่ง ขบวนของเขาเอิกเกริกไม่แพ้ให้กับองค์รัชทายาทของราชวงศ์ในโลกมนุษย์คนใดเลย


เถ้าแก่เฒ่าพูดคุยอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน ทว่าบุรุษคนนั้นกลับไม่ได้เอ่ยอะไร เอาแต่ฟังเงียบๆ


ท่ามกลางแสงสนธยา ผู้เฒ่าส่งตัวบุรุษออกไปนอกประตูร้าน บอกว่ายินดีต้อนรับหากเขาจะมาอีก ไม่ต้องซื้อของก็ได้


บุรุษวัยกลางคนพยักหน้ารับ ตอนที่ลุกขึ้นยืน เขาสอดของเล็กๆ สามชิ้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ หนีบกล่องผ้าแพรใบนั้นไว้ใต้รักแร้แล้วจากไป


ผู้เฒ่ารู้สึกสงสัยเล็กน้อย ดูเหมือนว่าตอนที่บุรุษผู้นี้จากไป คล้ายจะ…ตกใจจนขวัญหาย? แปลกจริง ทั้งๆ ที่เป็นคนในยุทธภพที่มีเงิน ไยต้องเป็นเช่นนี้?


ผู้เฒ่าไม่คิดมากอีก โคลงศีรษะเดินกลับเข้ามาในร้าน


การค้าใหญ่ของวันนี้ สมกับคำว่าสามปีไม่ค้าขาย ค้าขายทีกินได้นานสามปีจริงๆ เขาอยากจะรู้นักว่าวันหน้าเจ้าพวกตะพาบเฒ่าจิตใจชั่วช้าร้านใกล้เคียง ยังจะมีใครกล้าพูดว่าตนไม่ใช่คนที่สมควรทำการค้าอีกบ้าง


ส่วนหลังจากที่บุรุษผู้นั้นจากไปแล้วจะกลับมาซื้อเลียนแบบฉวีหวงเล่มนั้นอีกหรือไม่ แล้วทำไมฟังเรื่องเล่าไปแล้ว จากที่พอจะฝืนใจยิ้มได้บ้าง สุดท้ายถึงไม่เหลือรอยยิ้มเลย มีเพียงความเงียบงัน เถ้าแก่ผู้เฒ่ากลับไม่ได้ใส่ใจนัก


เทพเซียนตีกันบนทะเลสาบเจี่ยนซู มารน้อยกู้ บุญคุณความแค้น ความเป็นความตายอะไรนั่น ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องของคนอื่น พวกเราฟังแล้วเอามาเล่าต่อก็จบเรื่องกันไป


ส่วนลูกค้าคนนั้นที่พอออกมาจากร้านแล้วก็เดินไปอย่างเชื่องช้า


ชีวิตคนไม่ใช่เรื่องเล่าในตำรา รักชอบเกลียดเศร้า พบพรากจากลา ล้วนมีอยู่ในหน้าหนังสือ พลิกเปิดหน้าหนังสือนั้นง่าย ทว่าใจคนกลับยากที่จะซ่อมแซมแก้ไข


ใครเป็นคนพูดกันนะ ชุยตงซาน? ลู่ไถ? จูเหลี่ยน?


จำไม่ได้แล้ว


หลังจากที่บุรุษวัยกลางคนเดินไปได้สิบกว่าก้าวก็หยุดเดิน เขานั่งลงบนขั้นบันไดที่อยู่ระหว่างสองร้าน


คล้ายสุนัขข้างทางตัวหนึ่ง

 

 

 


บทที่ 429.1 ช่วงล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง...

 

ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดโชย ปูใหญ่อวบอ้วน เวลานี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการกินปูเสื้อทองของนครน้ำบ่อ เมื่อถึงช่วงเวลาของมื้ออาหาร ทั่วทั้งเมืองจะอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมที่มีเฉพาะตัว


 


ถึงขั้นที่ว่าจะมีพวกนักกินที่เดินทางไกลเป็นพันลี้มาเยือนราชวงศ์จูอิ๋ง ผลัดกันชนจอกเหล้าอยู่ในเหลาสุราและจวนริมน้ำร่วมกับสหายสนิทของตัวเอง แต่ปีนี้แคว้นสือหาวที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบซูเจี่ยนมากที่สุดกลับแทบไม่มีใครมาเสพสุขกับลาภปากที่นี่ เพราะถึงอย่างไรชีวิตก็แทบจะรักษาไว้ไม่ได้อยู่แล้ว


 


ยังเหลืออีกสิบวันก่อนที่งานชุมนุมเจ้าเกาะของทะเลสาบซูเจี่ยนจะถูกจัดขึ้น ถึงเวลานั้นเจ้าเกาะร้อยกว่าแห่งจะพากันขึ้นไปบนเกาะกงหลิ่วที่เจ้าของเกาะไม่อยู่มานานหลายปี เพื่อคัดเลือกเจ้าแห่งยุทธภพคนถัดไป


 


หลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินย่อมต้องเป็นตัวเลือกที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน


 


แต่ที่นี่คือทะเลสาบซูเจี่ยน คือทะเลสาบซูเจี่ยนที่ในงานเลี้ยงสีสันอาหารตระการตา เสียงชนจอกเหล้าเคล้าเสียงหัวเราะพูดคุยเพิ่งจะจางหายไปก็มีผู้ฝึกตนอิสระสี่ร้อยกว่าคนร่วมมือกันมาสังหารก่อกำเนิดและผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง


 


สองวันมานี้ในเมืองน้ำบ่อมีข่าวลือแพร่ออกมา บอกว่ามารน้อยกู้ผู้นั้นจะมากินปูที่เมือง ฟ่านเยี่ยนเจ้านครน้อยของนครน้ำบ่อได้เริ่มทุ่มเงินก้อนใหญ่เพื่อหาซื้อปูเสื้อทองที่อวบอ้วนที่สุดของทะเลสาบซูเจี่ยนมาแล้ว คือ ‘กิ่งไผ่’ ที่หายากที่สุดในบรรดาปูเสื้อทอง ตัวโตอย่างมาก เต็มเปี่ยมไปด้วยแก่นแห่งโชคชะตาน้ำ ชั่วชีวิตของชาวประมงธรรมดาอย่าได้หวังว่าจะจับมาได้สักตัว ขนาดพบเห็นยังยาก นั่นคือของล้ำค่าที่มีเพียงผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตเท่านั้นถึงจะพอโชคดีจับมาได้


 


เกาะชิงเสียที่เป็นดั่งดวงตะวันกลางนภาในทุกวันนี้ หนึ่งปีที่ผ่านมาหลิวจื้อเม่าเริ่มหยุดการขยับขยาย ก็เหมือนกับคนผู้หนึ่งที่สวาปามกินอาหารเข้าไปอย่างบ้าคลั่งจนอิ่มแปล้ จึงต้องค่อยๆ ย่อยส่วนที่กินเข้าไปก่อน ไม่อย่างนั้นสถานการณ์ที่มองดูเหมือนจะดี แท้จริงแล้วกลับจะกลายเป็นเม็ดทรายหนึ่งถาดที่กระจัดกระจายเพราะจิตใจคนไม่มั่นคง สำหรับในข้อนี้ หลิวจื้อเม่ามีสติแจ่มชัดมาโดยตลอด ในส่วนของผู้ฝึกตนอิสระที่เลือกมาสวามิภักดิ์ต่อเกาะชิงเสียก็จะยิ่งคัดเลือกอย่างเข้มงวด ส่วนการลงมืออย่างเป็นรูปธรรมนั้นก็ล้วนยกให้ผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งที่เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของเขาซึ่งมีนามว่าเถียนหูจวินเป็นผู้จัดการ


 


ช่วงแรกเริ่มสุดนางคือศิษย์พี่หญิงรองของกู้ช่าน แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่อย่างสมเหตุสมผล ศิษย์พี่ใหญ่ถูกศิษย์น้องเล็กอย่างกู้ช่านฆ่าตายไปแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่ควรปล่อยตำแหน่งเว้นว่างเอาไว้ ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย หากแพร่ออกไปจะไม่น่าฟังแค่ไหน


 


ตอนนี้คนที่ล้อมวนเวียนอยู่รอบกายกู้ช่านมีผู้ฝึกตนหนุ่มสาวที่ตัวตนไม่ธรรมดาและลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์กลุ่มใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นฟ่านเยี่ยนเจ้านครน้อยของนครน้ำบ่อที่กำลังจะจัดงานเลี้ยงรับรอง ‘พี่ใหญ่กู้’ ที่เป็นบุตรชายโทนของเจ้านคร ถูกฮูหยินเลี้ยงดูอย่างตามใจจนไม่กลัวแม้แต่เทพเทวดา ป่าวประกาศว่าชีวิตนี้ตนจะไม่ยอมพ่ายแพ้ให้แก่เทพเซียนพสุธาอะไรทั้งนั้น จะยอมศิโรราบให้กับวีรบุรุษชายชาตรีเท่านั้น


 


พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นคนประเภทไร้สมอง


 


คนอายุเกือบสามสิบปีแล้วยังชอบเรียกกู้ช่านว่าพี่ใหญ่กู้ คนของนครน้ำบ่อต่างก็ชอบมองเจ้านครน้อยผู้นี้เป็นตัวตลก


 


นอกจากนี้ยังมีศิษย์พี่สี่แห่งเกาะชิงเสีย ฉินเจวี๋ย ศิษย์พี่หกเฉาเจ๋อ ล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่โดดเด่นมากเป็นพิเศษของทะเลสาบซูเจี่ยน พรสวรรค์ดีเยี่ยม สังหารใครไม่เคยใจอ่อน คือขุนพลคนสนิทของสกัดคงคาเจินจวินที่ออกกรีฑาทัพไปทั่วสี่ทิศ


 


และยังมีศิษย์น้องเล็กของเจ้าของเกาะหวงหลี ลวี่ไช่ซาง อายุต่างจากศิษย์พี่ที่เป็นเจ้าของเกาะอยู่หลายร้อยปี เนื่องจากเป็นลูกศิษย์ที่บรรพจารย์ท่านหนึ่งรับตัวมาก่อนจะปิดด่าน ฐานะจึงสูงมากเป็นพิเศษ


 


ก่อนที่เกาะชิงเสียจะเจริญรุ่งเรือง เกาะหวงหลีคือเกาะขนาดใหญ่ในจำนวนน้อยนิดที่สามารถงัดข้อกับเกาะชิงเสียได้ แน่นอนว่าทุกวันนี้พลังอำนาจย่อมเทียบกับเกาะชิงเสียไม่ได้


 


นายน้อยแห่งเกาะกู่หมิง หยวนหยวน (元袁) มีชื่อเล่นว่าหยวนหยวน (圆圆) พ่อแม่คือคู่บำเพ็ญตนคู่หนึ่งของเกาะกู่หมิง เป็นผู้ฝึกตนโอสถทองทั้งสองคน สตรีแซ่หยวน (元) บุรุษแซ่หยวน (袁) เป็นคู่ที่แต่งงานกันแล้วบุรุษย้ายเข้ามาอยู่บ้านภรรยา มารดาของหยวนหยวนเป็นสตรีดุร้ายป่าเถื่อนที่ทำให้หลิวจื้อเม่าปวดหัว ประเด็นสำคัญคือผู้ฝึกตนหญิงคนนี้มีภูมิหลังที่ใหญ่มาก ในอดีตเคยเป็นอนุภรรยาซึ่งเป็นที่โปรดปรานของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดท่านหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋ง


 


หันจิ้งหลิงองค์ชายแคว้นสือหาว หวงเฮ้อบุตรชายของแม่ทัพใหญ่


 


กู้ช่าน ฟ่านเยี่ยนคุณชายเสเพล ฉินเจวี๋ย เฉาเจ๋อ ลวี่ไช่ซาง หยวนหยวน หันจิ้งหลิง หวงเฮ้อ บวกกับเถียนหูจวินศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ไม่ชอบปรากฏตัว แต่กลับเป็นคนเดียวที่ปฏิบัติตามคำสั่งของกู้ช่านอย่างไม่รีรอ


 


นอกจากเถียนหูจวินที่ถูกกู้ช่านบังคับลากตัวมาร่วมด้วยแล้ว คนอื่นๆ อีกแปดคนล้วนสวามิภักดิ์ด้วยความสมัครใจ ว่ากันว่าภายใต้คำแนะนำของกู้ช่าน ไม่รู้ว่าพวกเขาไปจับไก่ตัวผู้ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งมาจากไหน เอามากรีดเลือดไก่สาบานเป็นพี่เป็นน้องกัน เรียกตัวเองว่าสิบวีรบุรุษแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน


 


ไม่พูดถึงคนของทั้งทะเลสาบซูเจี่ยน อันที่จริงแม้แต่คนทั้งแปดก็ยังอดสงสัยไม่ได้ ทั้งๆ ที่มีกันเก้าคน แต่เหตุใดถึงป่าวประกาศแก่คนนอกว่าสิบวีรบุรุษ?


 


ตอนนั้นมารน้อยกู้ช่านแค่เปลือยเท้ายืนอยู่บนเก้าอี้ใหญ่อันดับสอง กระโดดโลดเต้นชี้ไปยังเก้าอี้อันดับหนึ่งที่ว่างเปล่า คลี่ยิ้มกว้างพูดว่าตำแหน่งนี้เก็บไว้ก่อน


 


กู้ช่านผู้นี้อายุไม่มาก แต่พอมาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน ส่วนสูงของเขากลับเหมือนหน่อไม้ที่ผุดขึ้นหลังฝนฤดูใบไม้ผลิ ปีหนึ่งก็สูงขึ้นคืบใหญ่ เด็กอายุสิบกว่าขวบกลับตัวสูงพอๆ กับเด็กหนุ่มอายุสิบสี่สิบห้าแล้ว


 


มีข่าวลือเล็กๆ บอกว่าเจียวหลงที่ชอบจับผู้ฝึกลมปราณกินเป็นอาหารตัวนั้นสามารถนำพลังกลับมาหล่อเลี้ยงเรือนกายของกู้ช่านได้ บนเกาะชิงเสีย การลอบฆ่าครั้งเดียวที่ขยับใกล้ความสำเร็จมากที่สุดก็คือนักฆ่าคนหนึ่งที่ตวัดดาบฟันลงบนกระดูกสันหลังของมารน้อยกู้อย่างแรง หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปต้องตายคาที่แน่นอน ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่าง หากไม่ได้พักฟื้นรักษาตัวสักสองสามปีก็อย่าหวังว่าจะลงจากเตียงมาได้ ทว่าเวลาไม่ถึงครึ่งเดือน มารน้อยผู้นั้นกลับออกจากภูเขามาอีกครั้ง แล้วก็เริ่มมานั่งอยู่บนหัวของเจียวหลงที่ถูกเขาเรียกว่า ‘หนีชิวน้อย’ ตัวนั้น ให้มันพาแหวกว่ายธาราของทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างมีความสุขอีกครั้ง


 


วันนี้มองจากหอเรือนสูงของนครน้ำบ่อไปยังทะเลสาบซูเจี่ยนก็จะสามารถมองเห็นเรือหอเรือนขนาดใหญ่ยักษ์ลำหนึ่งขับเคลื่อนตรงมาช้าๆ ความใหญ่โตของเรือนั้นทำให้มันมีระดับสูงเทียบเท่ากับความสูงของกำแพงนครน้ำบ่อ


 


รอบด้านของเรือหอเรือน นอกจากคลื่นน้ำที่ถูกตัวเรือแหวกทะยานออกมาแล้ว บนผิวน้ำของทะเลสาบที่ห่างจากเรือหอเรือนไปร้อยกว่าจั้งก็มีริ้วน้ำกระเพื่อมเป็นวงเบาๆ ซึ่งสังเกตเห็นได้ไม่ง่ายนัก


 


มีคนผู้หนึ่งที่ลักษณะคล้ายเด็กหนุ่มสวมชุดหม่างสีหมึกกระชับรับกับรูปร่าง นั่งเท้าเปล่าอยู่บนราวรั้วของหัวเรือ เขาแกว่งเท้าทั้งสองข้าง ทุกๆ ระยะเวลาช่วงหนึ่งจะสูดจมูกด้วยความเคยชิน ดูเหมือนว่ากาลเวลายาวนาน ตัวก็สูงขึ้นแล้ว ทว่าบนใบหน้ายังคงมีน้ำมูกสองเส้น จึงต้องสูดมังกรเขียวตัวน้อยสองตัวกลับถ้ำไป


 


ด้านหลังของเขามีคนยืนอยู่สามคน ศิษย์พี่หญิงใหญ่เถียนหูจวิน ทุกวันนี้นางเป็นผู้ดูและเกาะชิงเสียและมีอำนาจใหญ่ในการตัดสินความเป็นความตายของคนเกือบหมื่นที่อยู่บนเกาะใกล้เคียงใต้อาณัติ จึงเริ่มมีบารมีอำนาจที่คล้ายคลึงกับสกัดคงคาเจินจวินอยู่หลายส่วนแล้ว คนที่ยืนขนาบซ้ายและขวาของนางคือศิษย์น้องสองคนอย่างฉินเจวี๋ยและเฉาเจ๋อ


 


ขยับไปเบื้องหลังก็คือแม่นางเปิดสาบเสื้อหน้าตางดงาม บุคลิกท่าทางแตกต่างกันออกไปหลายสิบคนที่ยืนเป็นแถวเรียงราย เพียงแต่ว่าเมื่อออกมาเที่ยวเล่นด้านนอกจึงเปลี่ยนมาสวมอาภรณ์ที่สุภาพถูกกาลเทศะ


 


และเบื้องใต้น้ำของทะเลสาบที่อยู่รอบเรือหอเรือน


 


ก็คือ ‘หนีชิวน้อย’ ตัวหนึ่งที่ยาวหลายร้อยจั้ง


 


ท่าเรือตรงริมฝั่งถูกเจ้านครน้อยอย่างฟ่านเยี่ยนยึดครองอยู่นานแล้ว เขาขับไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกไป หยวนหยวนเจ้าเกาะน้อยแห่งเกาะกู่หมิง ลวี่ไช่ซางแห่งเกาะหวงหลีที่ผู้ฝึกตนเฒ่าผมขาวโพลนกลุ่มใหญ่พากันเรียกขานว่าบรรพจารย์น้อย และยังมีหันจิ้งหลิงองค์ชายแคว้นสือหาวที่มาหลบเลี่ยงหายนะอยู่ที่นี่เกือบครึ่งปีแล้ว พวกเขากำลังพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินอยู่ริมชายฝั่ง มีเพียงหวงเฮ้อบุตรชายของแม่ทัพใหญ่แคว้นสือหาวคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้มาอยู่ด้วย ช่วยไม่ได้ บิดาที่ในมือกุมอำนาจปกครองทหารชายแดนตะวันออกเฉียงใต้ฝีมือดีหกหมื่นนายของแคว้นสือหาวผู้นั้น ว่ากันว่าเพิ่งจะแทงข้างหลังฮ่องเต้แคว้นสือหาวไปหนึ่งมีดด้วยการสวามิภักดิ์ต่อกองทัพม้าเหล็กสกุลซ่งต้าหลี อีกทั้งยังคิดจะสนับสนุนให้องค์ชายหันจิ้งหลิงขึ้นเป็นฮ่องเต้คนใหม่ ช่วงนี้จึงยุ่งมาก หวงเฮ้อจึงปลีกตัวมาไม่ได้ ได้แต่สั่งให้คนนำจดหมายลับมาส่งที่นครน้ำบ่อบอกว่า ให้พี่น้องหันจิ้งหลิงรอฟังข่าวดี


 


เค้าโครงของกำแพงเมืองนครน้ำบ่อชัดเจนขึ้นทุกที


 


เถียนหูจวินเดินมาหยุดอยู่ข้างราวรั้ว พูดเสียงเบาว่า “จะเปลี่ยนเส้นทางเข้าเมือง จงใจเปิดโอกาสให้นักฆ่ากลุ่มนั้นจริงๆ หรือ?”


 


เด็กหนุ่มผู้นั้นยกสองมือกอดอก แสยะปากยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้ามาที่นี่ก็เพราะอยากกินปูจริงๆ น่ะหรือ? กินจนแม่งจะอาเจียนออกมาอยู่แล้ว แถมเวลากินยังร้อนในไม่สบายตัวด้วย อร่อยสู้ปูทอดในลำธารเล็กของบ้านเกิดไม่ได้เลย กรุบกรอบทุกคำ ไม่ต้องใช้ตะเกียบเลยด้วยซ้ำ รสชาติแบบนั้นต่างหากถึงจะเรียกว่าอร่อย พวกบ้านนอกที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนเช่นพวกเจ้าจะเข้าใจกะผายลมอะไร! ในกระเป๋ามีเงินเหม็นๆ แค่ไม่กี่แดงก็อวดเก่งซะไม่มี เจ้าเห็นว่าข้าต้องพกเงินไหม? ต้องพาผู้ติดตามมาเป็นโขยงไหม?”


 


เถียนหูจวินคลี่ยิ้ม “ศิษย์น้องเล็กคือมังกรในกลุ่มคน คนธรรมดาสามัญอย่างพวกเราย่อมเทียบด้วยไม่ได้อยู่แล้ว”


 


เด็กหนุ่มเอนตัวไปด้านหลัง เบี่ยงหน้ามาหัวเราะหึหึ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ต่อให้เจ้าพูดจาน่าฟังก็ไม่มีคุณสมบัติจะเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อหรอกนะ หน้าตาอัปลักษณ์เกินไป หน้าอกก็เล็กเกินไป น่าสงสารจริงๆ ลองไปหยิบกระจกธรรมดาสักบานมาส่องดูสิ สำหรับสตรีที่หน้าตาธรรมดาอย่างพวกเจ้า นั่นจะกลายเป็นกระจกส่องมารเลยนะ”


 


เถียนหูจวินยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ลึกๆ ในใจของนางไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องร้าย


 


บนทางเส้นเล็กเงียบสงัดริมทะเลสาบแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากท่าเรือไปไกล ใบของต้นหลิ่วเริ่มกลายเป็นสีเหลือง บุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ข้างต้นหลิ่ว ทอดสายตามองไกลๆ ไปยังเรือหอเรือนของทะเลสาบซูเจี่ยนลำนั้น ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าลงมา ยกขึ้นแล้วก็วางลง วางลงแล้วก็ยกขึ้นอีกครั้ง ไม่ได้ดื่มเหล้าเสียที


 


……


 


เมื่อชาวบ้านในท้องถิ่นของเขตการปกครองหลงเฉวียนคุ้นเคยกับเทพเซียนบนภูเขามากขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มมีคนใคร่ครวญบางอย่างออก รู้ว่าที่แท้ก็ไม่ใช่หมอทุกคนในใต้หล้าที่สามารถทำยาที่ทำให้คนไร้ความเจ็บปวด สามารถปิดตาลงอย่างสงบท่ามกลางโรคร้ายทุกข์ทรมานที่ต้องเผชิญ โดยเฉพาะเมื่อมีคนถูกรับเข้าไปในสำนักกระบี่หลงเฉวียนอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ในกลุ่มของนักโทษราชวงศ์สกุลหลูก็ยังมีเด็กสองคนที่ได้เดินขึ้นฟ้า กลายเป็นเทพเซียนน้อยบนภูเขาเสินซิ่วในก้าวเดียว


 


ร้านยาตระกูลหยางจึงคึกคักขึ้นมา ป้าๆ น้าๆ หลายคนพากันจับจูงเด็กรุ่นหลังในตระกูลของตัวเองมาเยี่ยมเยือนร้านยา แต่ละคนล้วนฉลาดเฉลียว เมื่อต้องการมาเยี่ยมเยือนเทพเซียน แน่นอนว่าหยางเหล่าโถวที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ในเรือนด้านหลังร้านยาย่อมต้องเป็นคนที่ ‘น่าสงสัย’ มากที่สุด เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ร้านยาตระกูลหยางเกือบจะต้องปิดร้าน ประมุขสกุลหยางรุ่นปัจจุบันที่ได้รับคำสั่งสอนสืบทอดมาจากบรรพบุรุษหลายรุ่นละอายใจจนเกือบจะคุกเข่าโขกหัวขออภัยหยางเหล่าโถว


 


ล้วนเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง หรือไม่ก็คือคนในเมืองเล็กที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี พวกเขาใช้สารพัดวิธี แต่สรุปแล้วก็คือพยายามจะตีสนิทหาเส้นสาย สกุลหยางไม่ได้อยู่ในอันดับของสี่แซ่สิบตระกูลใหญ่ในเมืองเล็ก เป็นเพียงแค่ตระกูลที่พอมีอันจะกินทั่วไป ถึงอย่างไรก็ไม่อาจสั่งให้ลูกจ้างร้านขับไล่คนไปได้ นอกจากนี้เว้นเสียแต่ว่าจะตัดสินใจเด็ดขาดให้เลือดตกยางออกกันไปข้าง ก็ไม่มีทางไล่คนเหล่านั้นไปได้จริงๆ


 


เมื่อรับมือไม่ไหวจริงๆ ทางร้านยาก็ได้แต่หาคนมายืนเฝ้าหน้าประตู พูดเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดีว่า หยางเหล่าโถวไม่ใช่เทพเซียนผู้เฒ่าอะไร เป็นแค่คนแก่ที่มีสูตรลับซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษติดตัวไม่กี่สูตรเท่านั้น


 


คำพูดผายลมที่หลอกผีแบบนี้ ใครจะเชื่อ ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้คนเกิดความสงสัย ยิ่งรู้สึกว่าหยางเหล่าโถวที่ชอบพ่นควันโขมงคนนั้นก็คือยอดฝีมือที่มาซ่อนตัวอยู่ในโลก


 


โชคดีที่ดูเหมือนหยางเหล่าโถวจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แล้วก็ไม่ได้บอกให้เจ้าประมุขสกุลหยางปิดร้านด้วย กลับยังบอกให้ทางร้านยาบอกต่อๆ ไปว่า เขาเป็นวิชาดูโหงวเฮ้งและจับกระดูกชั่งน้ำหนัก แต่ทุกครั้งที่ช่วยทดสอบให้แก่เด็กๆ ว่ามีคุณสมบัติในการเป็นเทพเซียนหรือไม่จะต้องเก็บเงิน อีกทั้งยังไม่ใช่ถูกๆ ราคาคือหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ


 


ถึงอย่างไรชาวบ้านของเมืองเล็กก็ยากจนกันจนชินแล้ว ต่อให้เป็นครอบครัวที่จู่ๆ ก็มีเงินขึ้นมา ซึ่งอยากจะวางแผนปูทางบนภูเขาให้แก่ลูกหลาน ก็ไม่มีทางเป็นคนประเภทที่ไม่เห็นเงินอยู่ในสายตา บางคนยอมทุบหม้อขายเหล็ก เก็บสะสมเงินได้หนึ่งพันตำลึงเงิน บางคนอาศัยหยิบยืมจากสหายที่จู่ๆ ก็เป็นเศรษฐีภายในชั่วข้ามคืนเพราะขายสมบัติตกทอดจากบรรพบุรุษ ยังดีที่มีคนไม่น้อยเลือกจะรอดูไปก่อน วันแรกคนที่พกเงินไปร้านยาจึงมีไม่มาก หยางเหล่าโถวพูดจาภาษาเทพเซียนที่คนฟังรู้สึกเหมือนยืนอยู่ในดงเมฆหมอก สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือหยางเหล่าโถวเอาแต่ส่ายหน้าท่าเดียว ไม่ถูกใจใครทั้งนั้น


 


รอจนคนที่มาเยือนน้อยลงแล้ว ทางร้านยาก็มีคำพูดประกาศออกมาอีกว่าจะไม่รับเงินเกล็ดหิมะแล้ว ขอแค่ซื้อยาหนึ่งห่อจากร้านยาตระกูลหยางก็พอ ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนบ้านกัน หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะออกจะแพงเกินไปจริงๆ


 


เมื่อเป็นเช่นนี้คนที่มาเยือนจึงลดฮวบลงทันที


 


นี่ร้านยาตระกูลหยางอยากได้เงินจนเป็นบ้าไปแล้วหรือไง


 


แต่จากนั้นก็มีคนทยอยกันเปลี่ยนใจ ไปขอทวงเงินเกล็ดหิมะเหรียญนั้นคืนจากร้านยาตระกูลหยาง โวยวายตีโพยตีพาย ใช้ทุกวิธีการ หากไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล


 


สำหรับเรื่องนี้ร้านยายืนกรานเด็ดขาดอย่างผิดปกติ ไม่ยอมถอยให้แม้แต่ก้าวเดียว อย่าว่าแต่เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญเลย แม้แต่เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญก็อย่าได้หวัง การค้าขายที่เจ้ายินยอมข้าพร้อมใจในใต้หล้านี้ มีหลักการให้คืนเงินที่ไหน? คิดว่าร้านยาตระกูลหยางทำการกุศลจริงๆ หรือไง?


 


ทุกคนล้วนรู้สึกเหมือนชนกำแพง ทว่าจู่ๆ กลับมีวันหนึ่ง คนผู้หนึ่งที่สนิทสนมกับร้านยาตระกูลหยางดื่มเหล้าเมามายก็หลุดปากเล่าว่าตัวเองอาศัยความสัมพันธ์ที่สนิทสนมไปขอเงินเทพเซียนเหรียญนั้นกลับคืนมาได้ อีกทั้งร้านยาตระกูลหยางยังพูดเองว่า แท้จริงแล้วหยางเหล่าโถวผู้นั้นก็คือนักต้มตุ๋นที่อาศัยตำราการดูใบหน้าคนที่ผุพังเล่มหนึ่ง แม้แต่ข่าวลือก่อนหน้านี้ก็ล้วนเป็นร้านยาตระกูลหยางที่จงใจปล่อยออกไป เป้าหมายก็เพื่อหาเงินเข้าร้านยา


 


ผู้คนเดือดดาลทันใด


 


เพียงชั่วข้ามคืนชื่อเสียงของร้านยาตระกูลหยางก็ฉาวโฉ่เละเทะ ลูกหลานสกุลหยางแต่ละคนเหมือนหนูข้ามถนนที่ถูกคนวิ่งไล่ทุบตี พากันตำหนิพร่ำบ่น เรียกร้องให้เจ้าประมุขสกุลหยางไปบอกให้ตาเฒ่าที่ไม่มีความสามารถแต่ยังกล้าเล่นผีหลอกเจ้าเก็บผ้าหอบเสื่อไสหัวออกไปจากร้านยา


 


เจ้าประมุขสกุลหยางพูดจนปากเปื่อยกว่าจะปลอบใจผู้คนในตระกูลให้สงบลงได้


 


หลังจากนั้นมาร้านยาก็กลับสู่ความสงบในที่สุด


 


 คาดว่าต่อให้ร้านยาและหยางเหล่าโถวอ้อนวอนว่าจะไปจับกระดูกดูโหงวเฮ้งให้ก็คงไม่มีใครยินดี ไม่เก็บเงินยังคร้านจะสนใจ เว้นเสียจากว่าจะมอบเงินให้ด้วย


 


เป็นเหตุให้ทางร้านยาต้องเปลี่ยนลูกจ้างร้านมาใหม่สองคน คนหนึ่งคือเด็กสาวที่ทำงานเผาเครื่องปั้นจากตรอกฉีหลง อีกคนหนึ่งคือเด็กที่มาจากตรอกเถาเย่ แต่กลับไม่มีใครให้ความสนใจแล้ว


 


เรื่องหยุมหยิมไร้สาระพวกนี้ คนนอกมองเห็นแค่ความสนุก คนในกลับมองเห็นหนทาง คนที่มีโชควาสนามองเห็นมหามรรคา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)