ลำนำบุปผาพิษ 1768-1773
บทที่ 1768 ลงทัณฑ์
หลงโม่เหยียนถูกลงทัณฑ์อย่างโหดร้ายยิ่งนัก!
ค่ายกลกระบี่เมื่อสักครู่ เขายังหันมาสนใจการเคลื่อนไหวของตี้ฝูอีด้านนี้ได้บ้าง ยังหาจังหวะพูดจาได้สักเล็กน้อย แต่ค่ายกลกระบี่ในตอนนี้ทำให้เขาไม่อาจเสียสมาธิได้อีกต่อไป!
อย่าว่าแต่แบ่งสมาธิไปพูดจาเลย แม้แต่เวลาจะกะพริบตาสักนิดก็ยังไม่มี!
เขายังยั้งพละกำลังได้เล็กน้อยในค่ายกลกระบี่เมื่อสักครู่ ทว่าในค่ายกลกระบี่นี้ เขาทุ่มเทพละกำลังทั้งหมด ทว่ากลับยังคงถูกจับไว้และเฆี่ยนตี!
เขาก็เป็นยอดฝีมือในการสร้างค่ายกล มีบทบาทที่โดดเด่นในดินแดนเบื้องบน เมื่อตื่นรู้เขาเลื่อนขั้นขึ้นอย่างรวดเร็ว นำความสามารถทั้งหมดของดินแดนเบื้องบนกลับคืนมา เขาคิดว่าด้วยความสามารถของตนเองเช่นนี้ หากประมือกับตี้ฝูอี จะต้องมีความรุนแรงขนาดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอย่างแน่นอน!
ต่อให้ท้ายที่สุดแล้วจะเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ การประมือสักพันกระบวนท่าก็น่าจะไม่เป็นปัญหา
แน่นอน อีกฝ่ายเป็นดวงอาทิตย์ที่กำลังจะล่วงลับทางขุนเขาตะวันตก บางทีพลังวิญญาณอาจถดถอยลงไปไม่น้อย บางทียามนี้อาจจะสู้เขามิได้…
นี่คือความคิดของหลงโม่เหยียนตอนที่ยังไม่ได้ประมือกันกับตี้ฝูอี
หลังผ่านค่ายกลกระบี่ครั้งแรก เขาก็ลบล้างความคิดนี้ออกไป ต่อให้อีกฝ่ายกำลังจะดับสูญ พลังวิญญาณกลับไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย!
ตอนที่เขาข้ามผ่านค่ายกลกระบี่ครั้งแรก ยังคิดอย่างไร้เดียงสาว่านี่ก็คือพละกำลังทั้งหมดของตี้ฝูอี เขายังต้านทานไว้ได้
บัดนี้เมื่ออยู่ท่ามกลางค่ายกลกระบี่ครั้งที่สอง ในที่สุดเขาก็เข้าใจ สิ่งที่เขาเห็นเมื่อสักครู่เป็นเพียงแค่ฝนปรอย! ค่ายกลกระบี่ในตอนนี้ถึงจะเป็นพละกำลังที่แท้จริงของตี้ฝูอี! น่าหวาดกลัวเป็นที่สุด!
สามสิบกระบวนท่า!
เขาใช้กำลังทั้งหมดที่มี ภายในสามสิบกระบวนท่าเขาก็ถูกบีบบังคับให้ถอยหลังไปหลายก้าวติดต่อกัน ทนทุกข์ทรมานอยู่หลายครั้งหลายครา มีบาดแผลเพิ่มขึ้นบนร่างกายเจ็ดถึงแปดบาดแผล…
กู้ซีจิ่วนั่งอยู่บนศิลาก้อนหนึ่ง มองดูเรือนกายของตี้ฝูอี
เขายืนอยู่ตรงนั้น นิ้วมือทำมุทราควบคุมค่ายกลกระบี่ อาภรณ์ขาวพลิ้วไหวดังคลื่นหิมะ งดงามเหลือคณา
เธอรู้สึกว่าเธอยังเห็นไม่มากพอ ไม่อยากละสายตาออกไปจากเขา…
ถึงแม้เขายังสวมใส่หน้ากาก กู้ซีจิ่วก็ยังรู้สึกได้ว่าเขาซูบผอมลงไปไม่น้อย วันคืนเหล่านั้นเขาคงทนทุกข์ทรมานยิ่งนัก
เมื่อนึกถึงคืนวันที่เธอในสภาพวิญญาณอยู่กับเขาบนรถม้า หัวใจเธอพลันทุกข์ตรม เธอเห็นความเจ็บปวดของเขาทั้งหมด
ที่แท้เขาก็ทำเพื่อเธอถึงเพียงนี้…
ที่แท้ในใจเขามีเพียงเธอคนเดียวจริงๆ…
เขายืนอยู่ตรงนั้น อาภรณ์บนเรือนกายพลิ้งไหว ราวกับมีรัศมีแสงในตัว พร่างพราวยิ่งนัก
เขาที่เป็นเช่นนี้ยังมีอายุขัยอยู่ได้อีกเพียงสามเดือนเท่านั้นจริงหรือ?
ไม่! เธอไม่ยอม! เธอจะหาหนทางทำให้อายุเขายืนยาวขึ้น!
เธอฝืนลิขิตสวรรค์มาแล้วหลายครั้ง บางทีครั้งนี้ยังอาจฝืนได้อีก…
ลิขิตสวรรค์บอกว่าเธอจะฟื้นคืนชีพได้ในอีกสามสิบแปดปี นี่ไม่ใช่ว่าเธอฟื้นคืนชีพก่อนกำหนดหรือ?
ตราบใดที่เธอคิด ตราบใดที่เธอพากเพียรมากพอ ไม่แน่ก็อาจทำให้ค้นเจอหนทางที่จะรั้งเขาไว้ได้…
กู้ซีจิ่วนั่งอยู่ตรงนั้น ความคิดมากมายผุดขึ้นไม่ขาดสาย ทุกความคิดล้วนเป็นการดึงรั้งเขาไว้!
“เจ้านาย!” หยกนภาไม่รู้ว่าโบยบินมาจากทิศทางใด ร่อนลงบนข้อมือเธอ เจื้อยแจ้วอยู่ในสมองของเธออย่างตื่นเต้น “เจ้านาย นึกไม่ถึงว่าท่านจะฟื้นคืนชีพได้รวดเร็วเพียงนี้! ข้าคิดถึงท่านมาก ข้ายังคิดว่าข้าต้องลอยล่องไปอย่างไร้จุดหมายบนโลกใบนี้อีกสิบกว่าปีถึงจะได้พบท่านอีกครั้ง…”
กู้ซีจิ่วไม่สนใจมัน เจ้านี่แม้แต่กระแสจิตกับเธอก็ไม่มี เปล่าประโยชน์ที่เธอเคยฝากความหวังไว้ที่มัน!
หยกนภายกเอ่ยถ้อยคำคะนึงถึงมากมายเจื้อยแจ้วอยู่ในหัวเธออย่างกระตือรือร้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้รับปฏิกิริยาตอบสนองจากกู้ซีจิ่วเลย มันค่อนข้างตกใจ “เจ้านาย ท่านรับรู้ไม่ได้ว่าข้ากำลังพูดกระมัง?!”
“สวรรค์! ท่านรับรู้ไม่ได้แล้วจริงๆ! หรือว่าร่างนี้ของท่านก็เป็นร่างโคลนนิ่ง?”
———————————————————————-
บทที่ 1769 ลงทัณฑ์ 2
“สวรรค์! ท่านรับรู้ไม่ได้แล้วจริงๆ! หรือว่าร่างนี้ของท่านก็เป็นร่างโคลนนิ่ง? ร่างโคลนนิ่งรับรู้การสื่อสารของข้าไม่ได้ ข้าสื่อสารกับท่านไม่ได้และไม่มีทางติดต่อได้กระมัง? เจ้านาย เจ้านาย ตอบกลับข้าสักคำ แค่คำเดียว…แม้จะเป็นการส่งสัญญาณให้ข้าก็ได้ เจ้านายยยยยยยยยยย…” หยกนภาอยากจะกรีดร้อง
กู้ซีจิ่วหยักยิ้มริมฝีปากเล็กน้อย รับชมการต่อสู้ต่ออยู่ตรงนั้น
เธอทำให้เจ้านี่ร้อนใจ…
ให้มันได้สัมผัสรสชาติที่ไม่มีทางสื่อสารกันได้อีกสักครั้ง
สายตาเธอมองไปท่ามกลางค่ายกลกระบี่ หลงโม่เหยียนประคับประคองอยู่ด้านในสี่สิบกว่ากระบวนท่าแล้ว ร่างกายมีบาดแผลเหวอะหวะนับไม่ถ้วน น่าเวทนายิ่งนัก
เธอรู้สึกเหมือนได้ระบายความโกรธแค้นในใจยิ่งนัก!
ระหว่างเธอกับเขาไม่มีความโกรธแค้นขุ่นเคืองใดๆ ต่อกัน ตอนแรกที่รู้จักกันเธอยังเคยช่วยเหลือพวกเขา ถึงขั้นยังเคยนัดหมายเล็กๆ กับเขาครั้งหนึ่งเพื่อชมดอกเหมยภายใต้การจัดแจงของกู้เซี่ยเทียน เธอรู้สึกว่าตัวเองกับเขาอย่างไรก็นับได้ว่าเป็นสหายที่คบกันแบบผิวเผิน นึกไม่ถึงตัวเองพยายามทำลายเขตแดนออกมาอย่างสุดชีวิตแต่กลับถูกเจ้านี่เล่นเล่ห์เพทุบาย!
เกือบจะถูกขังไว้ในเขตแดนออกมาไม่ได้อีกครั้งหนึ่ง…
หากเธอใช้วิชาทำลายเขตแดนไม่เป็น คาดว่าคงถูกเจ้านี่กักขังไว้หลายสิบปีเป็นแน่! บางทีเขาอาจกักขังเธอไว้ตลอดกาลเพื่อชิงอำนาจก็เป็นได้!
ตอนเธอพุ่งตัวออกมา ถึงแม้อยากจะฉีกหลงโม่เหยียนเป็นชิ้น ทว่าเธอก็รู้ว่าตัวเองสูญเสียพลังวิญญาณไปมาก หากหลงโม่เหยียนเฝ้าอยู่ละแวกนั้นจริงๆ ไม่เพียงแต่เธอจะล้างแค้นไม่สำเร็จ อีกทั้งยังต้องหาวิธีใช้วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาหลบหนีอย่างสุดชีวิต ไม่ให้เขาจับตัวกลับไปได้อีก…
แม้แต่กลยุทธ์การหลบหนีเธอก็คิดไว้คร่าวๆ แล้ว ถึงแม้จะสิ้นหวัง ทว่าก็ช่วยไม่ได้
นึกไม่ถึงว่าทันทีที่ออกมาจะพบกับตี้ฝูอี เมื่อเห็นเขาอยู่ตรงนี้ เธอก็โล่งใจจริงๆ
ยามนี้เมื่อนั่งอยู่ตรงนี้ เธอเพิ่งจะรู้สึกว่าร่างกายปวดเมื่อยและอ่อนยวบอย่างรุนแรง
นี่แสดงถึงการสิ้นเปลืองพลังวิญญาณ เธอต้องการหาสถานที่พักพิงสักหน่อย
ตอนที่เธอกำลังครุ่นคิดว่าจะเคลื่อนย้ายศิลาที่อยู่เบื้องล่างไปหน้าต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล เบื้องหน้าพลันพร่ามัว ข้างกายเธอมีเก้าอี้โยกตัวหนึ่งปรากฏขึ้น…
กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง
เธอมองไปที่ตี้ฝูอี ตี้ฝูอียังคงควบคุมกระบี่เล่มนั้นฟาดฟันหลงโม่เหยียน เขาไม่ได้มองมาที่เธอเลย เพียงกล่าวออกมาหนึ่งประโยค “ศิลาเย็น ไปนอนบนเก้าอี้”
ช่างรู้ใจเสียจริง!
กู้ซีจิ่วลุกขึ้นนั่งลงบนเก้าอี้อย่างไม่เกรงใจแล้ว
เก้าอี้โยกไปเยกมา ราวกับแม้แต่ความเหนื่อยล้าที่ลึกถึงกระดูกเหล่านั้นก็ขจัดออกไปได้ เธอพรูลมหายใจเล็กน้อย รับชมการต่อสู้ต่อ
เธอก็เป็นผู้เชี่ยวชาญ ดูออกว่าหลงโม่เหยียนเริ่มเสื่อมทรุดเป็นม้าตีนปลายแล้ว คาดว่าคงประคับประคองไปได้อีกยี่สิบถึงสามสิบกระบวนท่าก็ถูกสับเป็นไส้ซาลาเปาแล้ว…
ช้าก่อน! ไส้ซาลาเปา?!
หลงโม่เหยียนผู้นี้เป็นคนดินแดนเบื้องบน เหมือนว่าฐานะจะสูงส่งยิ่งกว่าเซียนหญิงลี่หวางผู้นั้น ตอนนั้นที่ตี้ฝูอีจัดการเซียนหญิงลี่หวางก็ได้รับทัณฑ์สวรรค์ นางเพียงแค่มีส่วนร่วมเพียงเล็กน้อยยังถูกลงทัณฑ์อย่างสุดจะทานทน เกือบจะกลายเป็นตัวประหลาดไปแล้ว
หากหนนี้หลงโม่เหยียนถูกสังหารอีก เกรงว่าตี้ฝูอีจะต้องได้รับทัณฑ์สวรรค์…
เดิมทีเวลาของเขาก็เหลือไม่มากแล้ว…
เธอเพิ่งนึกถึงจุดนี้ จู่ๆ หยกนภาก็โบยบินไปเจื้อยแจ้วตรงหน้าของตี้ฝูอีอย่างสุดชีวิต ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ คนผู้นี้ไม่อาจสังหารได้! เขาคือคนจากดินแดนเบื้องบน ความผิดทั้งหมดที่เขากระทำมีโทษไม่ถึงประหารชีวิต หากท่านสังหารเขา เกรงว่าทัณฑ์สวรรค์จะมาถึงตัว! ท่านจะถูกลงทัณฑ์อีกไม่ได้แล้ว…’
หลงโม่เหยียนเหมือนตระหนักได้ถึงภยันตรายครั้งใหญ่ จึงตะโกนเสียงดัง “เทพศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่ได้มีจิตใจคิดร้ายต่อนาง เพียงแค่ต้องการกักขังนางไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง…ถึงแม้มีความผิดก็มีโทษไม่ถึงประหารชีวิต หากท่านสังหารข้าจะทำให้ดินแดนเบื้องบนขุ่นเคือง! ข้าคือองค์ชายของดินแดนเบื้องบน น้องเขยของจักรพรรดิเบื้องบน…”
บทที่ 1770 ลงทัณฑ์ 3
เขาเปิดเผยฐานะในดินแดนเบื้องบนของตนอย่างร้อนรน
แน่นอนว่าการพูดจาทำให้เสียสมาธิ บนร่างกายของเขาถูกคมกระบี่ไปอีกหลายจุด มีเล่มหนึ่งเกือบตัดแขนข้างหนึ่งขาด!
ตี้ฝูอีกลับเหมือนไม่ได้ยิน หยักริมฝีปากบางเล็กน้อย
ชั่วชีวิตนี้ของเขาไม่เคยถูกข่มขู่จากผู้ใด! อย่างไรเสีย เขาก็เหลือเวลาในชีวิตอีกแค่สามเดือน ภายในสามเดือนนี้ยังต้องสอนเทพศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ เวลากระชั้นยิ่งนัก ต่อให้เป็นคนดินแดนเบื้องบนก็ไม่กล้าทำอะไรเขาอีก…
คนดินแดนเบื้องบนก็เกรงกลัวสวรรค์ และกลัวถูกสวรรค์แก้แค้น…
หลงโม่เหยียนผู้นี้ยังไม่ได้ขึ้นนั่งตำแหน่งตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มกระหายในอำนาจ หากวันใดเขาได้กุมอำนาจไว้จริง เกรงว่าจะเห็นกู้ซีจิ่วเป็นหินที่ขวางทางแล้วกำจัดเสีย
ถึงแม้ขัดต่อลิขิตสวรรค์ เขาก็ไม่กล้ากำจัดกู้ซีจิ่วอย่างเปิดเผย ทว่าหากเขากักขังกู้ซีจิ่วไว้ตลอด ใช้กลอุบายควบคุมจักรพรรดิบัญชาการใต้หล้า สวรรค์ก็อาจอนุญาต
คนเช่นนี้ไม่อาจเก็บเอาไว้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นต่อไปกู้ซีจิ่วจะเดือดร้อนยิ่งนัก ไม่แน่เขาอาจกลายเป็นมารสวรรค์คนถัดไป และก่อให้เกิดพายุนองโลหิตในทวีปแห่งนี้อีกครั้ง…
เมื่อใดที่ตี้ฝูอีมีจิตสังหารขึ้นมา เทพเซียนผู้นั้นก็ต้านทานไว้ไม่ไหว!
เขากระตุ้นค่ายกลกระบี่ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น!
จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็เอ่ยปาก “อย่าสังหารเขา ท่านไม่อาจรับทัณฑ์สวรรค์ได้อีกแล้ว…”
“ไม่เป็นไร ยามนี้สวรรค์ทำอะไรข้าไม่ได้ เก็บเขาไว้จะเป็นภัยต่อเจ้า” น้ำเสียงตี้ฝูอีเยือกเย็น
ในขณะที่พูดคุยกัน แขนข้างหนึ่งของหลงโม่เหยียนหายไปแล้ว…
เขาที่เหลือแขนข้างหนึ่งพุ่งตัวไปซ้ายทีขวาทีในค่ายกลกระบี่ ประหนึ่งสัตว์ร้ายที่จะถูกผู้ล่าชำแหละ ใบหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง…
“ข้าไม่มีทางเป็นภัยต่อนาง!” หลงโม่เหยียนตะโกนเสียงดัง “ไม่มีทางเพิ่มความเดือดร้อนใดๆ ให้นาง! หากท่านไม่เชื่อ ข้าสาบานได้!”
“เปิ่นจุนไม่เชื่อเรื่องคำสัตย์สาบาน เชื่อคนตายมากกว่า คนตายแล้วจะค่อนข้างสงบเสงี่ยม” น้ำเสียงตี้ฝูอีเรียบเฉย วาจาที่เอื้อนเอ่ยเย็นเยียบจนน่ากลัว
หลงโม่เหยียนไร้ซึ่งวาจา
ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ ขาข้างหนึ่งของเขาก็หายไปแล้ว…
เขายืนไม่ได้อีกต่อไป ล้มตัวนั่งลงกับพื้นเสียงดังตึง จากนั้นจ้องมองกระบี่ลำแสงพร่างพราวมากมายโจมตีมาที่เขา…
สามร้อยหกสิบองศาไร้ซึ่งจุดบอด
เขาแทบจะไม่มีที่หลบหนี!
เงามืดแห่งความตายปกคลุมเหนือศีรษะ เขาหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง!
กระบี่มากมายเหล่านั้นไม่ได้ทิ่มแทงมาถึงอย่างที่คาดคิดไว้ หัวใจของเขาพลันสั่นไหว ดวงตามองเห็นกู้ซีจิ่วยืนอยู่ข้างกายตี้ฝูอี มือข้างหนึ่งของนางกดลงบนนิ้วมือที่ทำมุทราของตี้ฝูอี
ดังนั้นกระบี่หลายร้อยเล่มนั้นจึงลอยอยู่เหนือศีรษะหลงโม่เหยียนเช่นนั้น พร้อมที่จะร่วงหล่นลงมาได้ทุกเมื่อ
หลงโม่เหยียนชะงักงันไม่กล้าขยับเขยื้อน
“เจ้าให้คำสัตย์สาบาน” กู้ซีจิ่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาและแหบแห้ง มือน้อยๆ กุมนิ้วมือนิ้วหนึ่งของตี้ฝูอี เป็นนิ้วมือที่ใช้ทำมุทราพอดี
สายตาหลงโม่เหยียนเป็นประกาย รู้ว่านี่คือโอกาสรอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของตัวเอง จึงรีบกล่าวคำสาบาน “ข้าหลงโม่เหยียนไม่มีทางทำอันตรายใดๆ ต่อกู้ซีจิ่ว จะไม่ล้างแค้นผู้ใดชั่วกัปชั่วกัลป์ หากผิดคำสาบาน ขอให้ข้าต้องทนทุกข์ทรมานจากมีดเฉือนหัวใจนับหมื่น ตกนรกอเวจีไม่อาจหลุดพ้นได้ตลอดกาล”
เมื่อคำสาบานถูกเอื้อนเอ่ย ขอบฟ้าส่งเสียงคำราม บ่งบอกว่าคำสัตย์สาบานถูกสร้างขึ้นแล้ว
เมื่อสาบานเรียบร้อย เขามองตี้ฝูอีด้วยความหวังเต็มเปี่ยม “คราวนี้เทพศักดิ์สิทธิ์ก็วางใจได้แล้วกระมัง?”
รอยยิ้มมุมปากของตี้ฝูอีมิรู้ว่าเย้ยหรือยิ้ม “เปิ่นจุนจะฝืนเชื่อเจ้าสักครา แต่เจ้ากักขังเทพศักดิ์สิทธิ์คนใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาต อีกทั้งยังลอบวางยาพิษนาง โทษประหารชีวิตละได้ ทว่าโทษทัณฑ์ไม่อาจเลี่ยงได้…”
วาจายังไม่ทันขาดคำ กระบี่ล้ำค่าของเขาก็ร่วงหล่นดังสายฟ้าแลบ…
…
หลงโม่เหยียนไม่ได้หนีไปดังที่คาดหวัง ตี้ฝูอีทำให้พลังยุทธ์ทั้งร่างกายของเขาสูญสิ้น แล้วโยนเข้าไปในกระท่อมไผ่ของเขาทันที
——————————————————————
บทที่ 1771 ลงทัณฑ์ 4
แน่นอนว่าตี้ฝูอีไม่ลืมติดตั้งเขตแดนไว้รอบๆ กระท่อมไผ่ด้วย เขตแดนนี้ร้ายกาจกว่าเขตแดนนั้นของหลงโม่เหยียนเสียอีก ต่อให้พลังยุทธ์ของหลงโม่เหยียนฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์แล้วก็ยากยิ่งนักที่จะทำลายได้ นับประสาอะไรกับพลังยุทธ์ของเขาที่ถูกสลายไปหมดแล้วเล่า…
ก่อนหน้านี้เขาใช้เขตแดนมากักขังกู้ซีจิ่ว ยามนี้ตัวเขาก็ทำได้เพียงลิ้มรสชาติของการถูกขังดูบ้าง
เขตแดนที่เขาติดตั้งก่อนหน้านี้สามารถอยู่ได้ถึงสี่สิบปี แต่เขตแดนที่ตี้ฝูอีติดตั้งกลับอยู่ได้ถึงพันปี
กล่าวอีกนัยคือ เขาต้องถูกขังอยู่ที่นี่ไปอย่างน้อยหนึ่งพันปี
เขาสิ้นหวังยิ่งและสำนึกเสียใจนัก แต่น่าเสียดายที่บนโลกนี้ไม่มีโอสถลบล้างความเสียใจภายหลังให้กิน สิ่งที่รอคอยเขาอยู่คือความทรมานอันยาวนาน…
….
เมื่อจัดการหลงโม่เหยียนเรียบร้อยแล้ว ตี้ฝูอีก็เก็บค่ายกลกระบี่ มองนางที่อยู่ข้างกาย “ซีจิ่ว…”
เขาไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับนางอย่างไรดีไปชั่วขณะ อย่างไรเสียก่อนที่นางจะเกิดเรื่องขึ้น เขากับนางก็ต่างคนต่างเดิน ทางใครทางมัน สถานะเย็นชาหมางเมิน
ที่สำคัญกว่านั้นคือ เขามีชีวิตอยู่ได้ไม่นานแล้ว…
เมื่อมองเห็นนางยืนอยู่อยู่ข้างกาย ในสมองเขาราวกับมีหม้อน้ำเดือดปุดๆ อยู่ เขาอยากกอดนางไว้แน่นๆ ยิ่งนัก ทว่าอีกใจหนึ่งกลับลังเล…
กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองเขาอยู่ครู่หนึ่ง เม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มเล็กน้อย “ตี้ฝูอี ท่านไม่คิดจะกอดข้าเลยหรือ?” ในน้ำเสียงเจือความคับข้องหมองใจเอาไว้นิดๆ
เธอหลงนึกไปว่าสิ่งแรกที่เขาจะทำก็คือพุ่งมากอดเธอเสียอีก!
ผลคือเขามองเธอเสมือนคนโง่อยู่ตลอด สองแขนลู่แนบตัว ไม่มีทีท่าว่าจะโอบกอดเธอเลย
ตี้ฝูอีกำมือที่อยู่ในแขนเสื้อเล็กน้อย น้ำเสียงฝาดเฝื่อน “ซีจิ่ว ข้า…ข้าไม่สามารถอยู่กับเจ้าไปนานๆ ได้แล้ว…”
ไม่สามารถอยู่ข้างกายนางไปนานๆ ได้ ท้ายที่สุดแล้วก็ยังต้องทิ้งนางไว้เพียงลำพัง แล้วเขาจะจะรักนางอย่างไร้ซึ่งความกังวลอีกได้อย่างไร?
ถึงแม้เขาปรารถนาจะใช้บั้นปลายชีวิตที่เหลือครองคู่อยู่เคียงนางยิ่งนัก ไม่เหลือห่วงอาลัยใดๆ ไว้อีก แต่แบบนั้นก็เห็นแก่ตัวเกินไป เขาไม่อยากเอาเปรียบนาง…
กู้ซีจิ่วย่อมทราบถึงความกังวลของเขา แต่ก็ยังคงรู้สึกคับข้องหมองใจอยู่
เธอเม้มปากแน่น เอ่ยถามเขา “ตี้ฝูอี ในเมื่อท่านรู้ว่าเหลือเวลาอยู่ไม่มาก เช่นนั้นเหตุใดตอนนั้นถึงได้มาหยอกเย้าเกี้ยวพาข้า? ตอนที่เจอท่านอีกครั้งข้าไม่ได้หลงรักท่านเลย…”
ตี้ฝูอีปวดใจแปลบ “ขออภัยด้วย เป็นข้าไม่ดีเอง”
เบ้าตาของกู้ซีจิ่วแดงเรื่อ “ท่านทำให้ข้าหึงหวงคนตาย เพื่อที่จะผลักไสข้าออกไป ท่านยังกล่าวด้วยว่าเหตุใดคนที่ฟื้นขึ้นมาถึงเป็นข้า มิใช่หลานจิ้งเคอ…ท่านไม่รู้หรอกว่าวาจานี้มันทำร้ายข้ามากมายนัก นับแต่ยามนั้นมาข้าก็เริ่มรังเกียจตัวเอง รู้สึกว่าความจริงแล้วข้าสมควรตายโดยแท้…”
มือที่แนบอยู่ข้างกายของตี้ฝูอีกำแน่นอีกครั้ง ฝืนข่มความคิดที่อยากรั้งตัวนางเข้าสู่อ้อมแขนไว้ “ขอโทษ เป็นข้าเลวเอง…”
ตอนนั้นยามที่เอ่ยประโยคนั้นออกไป สีหน้าเขาไม่ปรากฏอารมณ์ แต่กลับปวดใจจนแทบจะหายใจไม่ออกแล้ว ทำร้ายนางหนึ่งเท่า เขาเจ็บกว่าสามเท่า
กู้ซีจิ่งหลุบตามองสองมือที่แนบอยู่ข้างลำตัวของเขา ถึงแม้มือของเขาก็ซุกอยู่ในแขนเสื้อ แต่เธอก็ยังมองออกว่าแขนของเขาแข็งทื่อ
อยากโผเข้าใส่อ้อมอกของเขาเหลือเกิน!
เพียงแต่ถ้าเขาไม่เป็นฝ่ายกอดเธอก่อน ความคับข้องไม่เป็นธรรมในหัวใจเธอจะสงบลงได้อย่างไร?
เธอสูดหายใจตื้นๆ คราหนึ่ง แล้วเงยหน้ามองเขาต่อ “เช่นนั้นท่านยังต้องการข้าอยู่หรือไม่?”
ลมหายใจของตี้ฝูอีขาดห้วงไป แน่นอนว่าเขาต้องการ! ต้องการจะตายอยู่แล้ว! แต่ว่าเขาไม่อาจเห็นแก่ตัวเช่นนี้อีกได้
“ซีจิ่ว เจ้าก็รู้แล้วนี่…รู้ถึงสถานการณ์ของข้า ข้ากับเจ้าไม่เหมาะจะอยู่ด้วยกันแล้วจริงๆ สามเดือนนี้ข้าจะถ่ายทอดทักษะทั้งหมดให้เจ้า…”
“ท่านคิดจะเป็นอาจารย์ข้างั้นรึ? ในช่วงเวลาสุดท้ายท่านคิดจะเป็นอาจารย์ข้าหรือ?!”
“มิใช่ แค่ถ่ายทอดให้ ซีจิ่ว เวลาของพวกเรากระชั้นยิ่งนัก…”
“ตี้ฝูอี เดิมทีข้าควรจะฟื้นคืนชีพในอีกสามสิบแปดปีให้หลัง ทว่าฟื้นคืนชีพก่อนกำหนดได้ ท่านทราบเหตุผลหรือไม่?” กู้ซีจิ่วก้าวขึ้นไปด้านหน้า จ้องเขาเขม็ง เธอจำเป็นต้องใช้ยาแรงกับเขาแล้ว!
บทที่ 1772 ความคับข้องใจของเธอ
ตี้ฝูอีส่ายหน้า เหตุผลข้อนี้เขาก็อยากรู้มากเช่นกัน!
การปรากฏตัวของนางราวกับปาฏิหาริย์โดยแท้! จวบจนยามนี้เขายังไม่ค่อยอยากเชื่อเลยว่าเป็นเรื่องจริง…
กู้ซีจิ่วหลุบตาต่ำ “อันที่จริง…ข้าอยู่ข้างกายท่านตลอด”
หา? ตี้ฝูอีงงงันในทันใด เลิกคิ้วมองนาง
“ข้าเห็นท่านอุ้มสังขารนั้นของข้าตระเวนไปทั่ว มองเห็นท่านพูดคุยกับสังขารนั้น มองเห็นท่านแกะสลักหุ่นไม้ของข้านับไม่ถ้วน…ยามนั้นข้านึกว่าท่านทำไปเพื่อคืนชีพให้หลานจิ้งเคอ ในใจอึดอัดยิ่งนัก…ตอนนั้นข้าอยากแยกจากท่าน ไม่พบเจอท่านอีกต่อไป แต่ข้าแยกจากไปไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้อยู่ข้างกายท่านตลอด อยู่ที่นั่นอย่างทรมานใจนัก”
น้ำเสียงกู้ซีจิ่วค่อนข้างแหบพร่า ขนตาที่หลุบลู่ไหวระริกเล็กน้อย
นิ้วมือตี้ฝูอีกำเข้ากัน ข่มความปรารถนาจะรั้งนางเข้ามากอดเอาไว้ “ขอโทษนะ…”
กู้ซีจิ่วส่ายหัวนิดๆ “เริ่มแรกข้านึกว่ามีสาเหตุมาจากสังขารนั้น นึกว่าตัวเองที่อยู่ในสภาพวิญญาณแยกจากร่างเดิมไม่ได้ ภายหลังข้าถึงได้ทราบว่าไม่ใช่…มีวันหนึ่งที่ออกไปทำธุระด้านนอกแล้วไม่ได้นำสังขารนั้นไปด้วย ผลคือข้าพบว่าข้าลอยอยู่รอบกายท่านตลอด แยกห่างจากท่านได้ไม่เกินยี่สิบลี้…ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ข้าแยกจากไปไม่ได้คือท่าน ห่วงอาลัยของข้าก็คือท่าน…”
หัวใจของตี้ฝูอีทั้งฝาดเฝื่อนทั้งอบอุ่น “ซีจิ่ว…”
“ยามนั้นข้านึกว่าในใจของท่านมีผู้อื่นอยู่ ทว่ายังคงปล่อยวางท่านไม่ได้ ต้องการติดตามอยู่ข้างกายท่าน…ว่ากันตามจริงแล้ว ตัวข้าเองก็รู้สึกว่าน่าขายหน้าอย่างยิ่งเช่นกัน ไม่มีศักดิ์ศรีเลยสักนิด แต่ข้าควบคุมตัวข้าไม่ได้เลย…”
เสียงกู้ซีจิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง “หลังจากข้าติดตามอยู่ข้างกายท่านได้ไม่กี่วัน ในที่สุดก็พบว่าผู้ที่ท่านต้องการคืนชีพให้มิใช่หลานจิ้งเคอ แต่เป็นข้า…ท่านไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นข้าดีใจมากแค่ไหน ปีติยินดีจนอยากจะหมุนอยู่รอบตัวท่านตลอด…”
จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็โผเข้าใส่ร่างเขา!
ตี้ฝูอีตัวแข็งทื่อทันที จะผลักนางออกก็ไม่เหมาะอีก ตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่ง มือน้อยๆ ของกู้ซีจิ่วก็ยื่นสอดเข้ามาในสาบเสื้อของเขา….
ประเจิดประเจ้อ!
หยกนภาอยากจะปิดตานัก ไม่นึกเลยว่าจู่ๆ เจ้านายผู้เคร่งขรึมเป็นการเป็นงานของมันจะใจกล้าได้เช่นนี้
ทว่ากู้ซีจิ่วกลับไม่ได้ลวนลามตี้ฝูอี มือน้อยๆ ของเธอยื่นสอดเข้าไปในมิติเก็บของของเขา หยิบตุ๊กตาไม้มากมายนับไม่ถ้วนออกมาจากด้านใน…
ตุ๊กตาไม้เหล่านั้นคือรูปสลักของกู้ซีจิ่ว ทุกตนล้วนสมจริงดุจมีชีวิตค อากัปกริยาแตกต่างกันไป
กู้ซีจิ่วชูพวกมันขึ้นสูง “ข้าได้เห็นท่านแกะสลักสิ่งเหล่านี้ทุกวัน ข้าทราบว่าท่านเสียใจยิ่งนัก และปวดใจยิ่งนัก…ข้าก็ค่อนข้างโกรธท่านเช่นกัน เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าท่านชอบข้าถึงเพียงนี้ เหตุใดต้องผลักไสข้า? เหตุใดต้องทำร้ายข้า? บีบให้ข้าแยกจากท่านทำไม? ยามนั้นไม่ว่าข้าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ตกเลย…”
จู่ๆ หยกนภาที่อยู่ด้านข้างก็สอดปากเข้ามา ‘เจ้านาย วันนั้นในโรงเตี๊ยมที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ทำอาหารไว้หนึ่งโต๊ะ ท่านก็มาอยู่ด้านข้างด้วยใช่ไหม? แถมยังฉกกุ้งไปด้วย…’
กู้ซีจิ่วถลึงตามองมันแวบหนึ่ง “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ?! ยามนั้นข้านึกว่ามีกระแสจิตติดต่อกับเจ้าได้ พยามจะคุยกับเจ้าสุดชีวิต เจ้ายังตกใจจนเผ่นแน่บอยู่เลย!”
หยกนภาหดตัว ‘ข้านึกว่าผีหลอก เป่าลมหนาวยะเยือกใส่ร่างข้านี่นา…’
ตี้ฝูอีถอนหายใจพลางเอ่ย “อันที่จริงยามนั้นข้าก็สัมผัสได้เช่นกันว่าเจ้าอยู่ข้างกายข้า แต่ไม่ว่าจะเรียกวิญญาณอย่างไรก็เรียกเจ้าไม่ได้เลย…”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “บางทีตัวข้าในยามนั้นอาจไม่นับว่าเป็นวิญญาณ ตัวข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าตอนนั้นเป็นสิ่งใด สัมผัสถึงร่างกายของตนไม่ได้เลย บางทีศาลระลึกคุณความดีที่ท่านสร้างให้อาจจะมีประโยชน์…”
—————————————————————
บทที่ 1773 ความคับข้องใจของเธอ 2
กู้ซีจิ่วส่ายหัว “บางทีตัวข้าในยามนั้นอาจไม่นับว่าเป็นวิญญาณ ตัวข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าตอนนั้นเป็นสิ่งใด สัมผัสถึงร่างกายของตนไม่ได้เลย บางทีศาลระลึกคุณความดีที่ท่านสร้างให้อาจจะมีประโยชน์ ข้าค่อยๆ มีประสาทสัมผัสทั้งห้าขึ้นมา ค่อยๆ สัมผัสและควบคุมร่างกายของตนเองได้แล้ว ยามนั้นในใจข้ามีความสุขยิ่งนัก คิดว่าถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ คงมีสักวันที่สามารถปรากฏตัวต่อหน้าท่าน พูดคุยกับท่านได้ ยามนั้นข้าติดตามอยู่ข้างกายท่าน เห็นท่านทุกข์ตรมถึงเพียงนั้น ในใจข้าก็ทรมานยิ่งนักเช่นกัน เพียงแต่กลับรู้สึกว่าท่านสมควรโดนแล้ว ใครใช้ให้ท่านทำข้าเสียใจล่ะ? ข้าถึงขั้นที่คิดว่าเป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่เลวเหมือนกัน สามารถเฝ้ามองท่านได้ตลอดเวลา ท่านมองไม่เห็นข้า ต่อให้ข้านอนอยู่ในอ้อมอกท่านท่านก็ไม่รู้…”
“ยามนั้นข้าฝึกฝนไปอย่างช้าๆ ในใจคิดว่าถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปข้าจะฟื้นคืนชีพได้ เพียงแต่ระยะเวลาจะยืดยาวไปอีกหน่อย ไม่แน่ว่าอาจต้องใช้เวลาถึงร้อยแปดสิบปี…” น้ำเสียงกู้ซีจิ่วต่ำพร่าลงไป “ตอนนั้นข้านึกไปว่าวันหน้าพวกเรายังมีเวลาอีกเนิ่นนาน ยังสามารถอืดอาดยืดยาด…ขอเพียงให้ข้าได้อยู่ข้างกายท่าน ต่อให้เป็นผีข้าก็ยอม ไม่นึกเลย…”
“ไม่นึกเลยว่าจู่ๆ ข้าก็ถูกขังไว้ในศาลบูชาแห่งนั้น ออกไปไม่ได้อีก!” กู้ซีจิ่วชี้นิ้วหนึ่งไปทางศาลทูตสวรรค์กู้ที่อยู่ไม่ไกลหลังนั้น “วันนั้นข้ามาที่ศาลบูชาแห่งนี้พร้อมกับท่านชัดๆ ใจลอยไปเพียงประเดี๋ยวเดียว ก็พบว่าท่านพาสังขารนั้นหายไปแล้ว ข้าถูกทิ้งไว้!”
หยกนภามีเครื่องหมายอัศเจรีย์ติดกันสามอันบนใบหน้า ‘เจ้านาย ข้านึกออกแล้ว ดูเหมือนนับจากวันนั้นมา ข้าก็สัมผัสถึงการคงอยู่ของท่านไม่ได้อีกเลย ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ใช้สารพัดเวทวิชาเพื่อค้นหาท่านอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่ตลอด ซ้ำยังทำข้าวของนุ่มฟูบางเบามากมายเพื่อล่อให้ท่านออกมาหยิบด้วย ยามนั้นเขาราวกับวิกลจริตไปแล้ว ทำอาหารโต๊ะใหญ่ทุกวัน ลมพัดมาคราหนึ่งก็นึกว่าท่านมาแล้ว…ที่แท้ท่านก็ถูกทิ้งไว้ที่นี่อย่างไร้สาเหตุนี่เอง ทำไมท่านไม่ไปตามหาพวกเราล่ะ? อันที่จริงวันนั้นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเมืองนี้ทั้งวันเลยนะ…’
กู้ซีจิ่วปรายตามองมันแวบหนึ่ง “เจ้านึกว่าข้าไม่อยากไปตามหาหรือไง? ข้าถูกกักบริเวณไว้ที่นี่!”
“เกิดอะไรขึ้น? ผู้ใดกักบริเวณเจ้า?” นัยน์ตาตี้ฝูอีคมปลาบขึ้นมา
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ไม่ทราบรายละเอียดชัดเจน ศาลเจ้าแห่งนี้มีเขตแดนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ซ้ำยังกักขังเฉพาะข้าด้วย ชาวบ้านธรรมดาเข้าออกได้ตามอัธยาศัย มีแต่ข้าคนเดียวที่ไม่ได้ ไม่อาจออกห่างศาลแห่งนี้ได้เกินสามลี้ ยังมีเสียงที่แยกเพศไม่ออกอีกเสียงหนึ่งพูดพล่ามอยู่ข้างหูข้าด้วย…”
เธอเล่าเหตุการณ์ตอนที่เธอถูกขังไว้ที่นี่ เมื่อได้ยินกู้ซีจิ่วพูดถึงผู้ถ่ายทอดบัญชาสวรรค์อันใด ตี้ฝูอีก็ปรายตามองหยกนภาแวบหนึ่ง
หยกนภาหดตัว ‘ไม่ใช่ข้า!’
ตี้ฝูอีเอ่ยอย่างเยียบเย็น “รู้ว่าไม่ใช่เจ้า เจ้าไม่มีความสามารถเช่นนี้”
หยกนภาพูดไม่ออกเลย
กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปากนิดๆ สายตาร่อนลงบนใบหน้าตี้ฝูอี “ข้าได้ทราบจากปากคำของเสียงนั้นว่าข้าคือว่าที่เทพศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่ จะต้องเข้าแทนที่ท่าน!”
น้ำเสียงเธอสั่นพร่าเล็กน้อย “จะอย่างไรข้าก็นึกไม่ถึงเลยว่าระหว่างข้ากับท่านจะอยู่รอดได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น…พอทราบเรื่องนี้ปฏิกิริยาแรกของข้าคืออะไรรู้ไหม? ข้าไม่อยากคืนชีพแล้ว! ข้าไม่ต้องการแทนที่ท่าน! ข้ายอมอยู่ในสภาพนี้ต่อไป…”
ตี้ฝูอีพลันปวดใจ เขาย่อมทราบดีว่าความจริงนี้มีผลกระทบต่อนางมากมายนัก “ซีจิ่ว การล่วงลับของข้าถูกกำหนดไว้ก่อนแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะคืนชีพหรือไม่ข้าล้วนไร้หนทาง…”
กู้ซีจิ่วพยักหน้า “ใช่ เสียงนั้นก็บอกข้าแบบนี้เหมือนกัน จากนั้นมันก็บอกว่าอีกสามสิบแปดปีให้หลังข้าถึงจะคืนชีพได้…ส่วนท่านจะล่วงลับไปในอีกสี่เดือนให้หลัง…”
———————————————————–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น