หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1549-1554
บทที่ 1549 ดีดนิ้วสังหารปีศาจ
มู่เฉินย่างเท้าออกไป
พริบตาก็ไปปรากฏที่เบื้องหน้าร่างอสูรปีศาจด้วยสีหน้าสงบนิ่งพร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ยโค้งขึ้นที่มุมปาก
“แกนี่รนหาที่ตาย ครั้งก่อนข้าสามารถทำให้แกต้องหนีหางจุกตูดได้ ครั้งนี้ข้าก็บดขยี้แกได้!” จอมปีศาจเฮยซือเทียนสังเกตเห็นร่องรอยเยาะเย้ยบนมุมปากมู่เฉินก็คำรามด้วยไอสังหารเข้มข้นทำให้พื้นดินโยกคลอนไปหมด
ยามนี้จอมปีศาจเฮยซือเทียนกำลังคลุ้มคลั่งที่ถูกมดในสายตาของเขาเมื่อก่อนมองเหยียด นี่เป็นการดูถูกอย่างที่สุด
ตู้ม!
ขณะที่รัศมีปีศาจไร้ขอบเขตพวยพุ่งขึ้น ร่างอสูรปีศาจที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าก็เปล่งแสงเย็นเยือกออกจากดวงตา ก่อนที่มือจะประสานเข้าด้วยกันวาดตราประทับที่แปลกประหลาด ทันใดนั้นรัศมีปีศาจก็รวมตัวกันก่อร่างเป็นอักขระที่น่ากลัวนับไม่ถ้วนที่เอิบอาบไปด้วยพลังที่สามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งธรรมดาหวาดผวาได้
“ตราประทับศพปีศาจสวรรค์!”
เสียงเคร่งเครียดดังก้อง หมัดของร่างอสูรปีศาจก็เหวี่ยงออกไป
อ๊ากๆๆๆๆๆ!
เมื่อหมัดทะยานออกมาก็กลายเป็นร่างศพร้องโหยหวนนับไม่ถ้วนซึบซาบด้วยคลื่นความเย็นยะเยือก ปกคลุมพื้นดินเป็นชั้นน้ำแข็ง
ความมีชีวิตชีวาถูกลบออกไปภายใต้ความเย็นเยือกสุดขั้ว
หมัดดูราวกับตราประทับของของมัจจุราช ตัดความเป็นตายออกจากกัน
ภายในสำนักศึกษาทุกคนขนลุกซู่ ขณะมองตราประทับปีศาจที่กวาดลงมาด้วยความกลัวใหญ่หลวงในใจ สิ่งนี้ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายสูญเสียการควบคุมไป ร่างกายของแต่ละคนที่สูญเสียการควบคุมก็สั่นสะท้านทันที
หากหมัดนั้นบดขยี้ลงมา พื้นที่รัศมีล้านลี้ก็คงต้องราบเป็นหน้ากลอง ลบล้างทุกสรรพชีวิตในใต้หล้านี้
“นี่เหรอ พลังของจอมปีศาจเฮยซือเทียน…” เป่ยหมิงฉายสีหน้าซีดขาวและขมขื่น เผชิญหน้ากับพลังระดับนี้เขารู้ว่าแม้จะอยู่ในระดับเทียนจื้อจุน แต่ตัวเขาก็เป็นเพียงมดที่ตัวใหญ่ขึ้นหน่อยเท่านั้น
ไม่รู้ว่ามู่เฉินจะรับการโจมตีดุร้ายจากจอมปีศาจเฮยซือเทียนได้หรือไม่
เมื่อมองไปที่หมัดนี้ มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีความตายที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งทำให้ประหลาดใจอยู่หลายส่วน หมัดนี้น่าจะเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเฮยซือเทียนแล้ว เผชิญหน้ากับหมัดนี้กระทั่งจอมยุทธ์อย่างฉิงเทียนก็ยังต้องเลือกที่จะหลบเลี่ยง
ถ้าเป็นเมื่อห้าปีก่อนเขาคงจะหลบหนีไปแน่แล้ว…
แต่น่าเสียดายที่เวลาผ่านมาห้าปีแล้ว
มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้า ตราประทับปีศาจขยายขนาดออกไปอย่างรวดเร็วในดวงตาเขา รัศมีปีศาจพัดปกคลุมไปทั่ว ทว่าถึงจะอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถขยับเขยื้อนเสื้อผ้าของเขาได้ ไม่กี่ลมหายใจต่อมาขณะที่ตราประทับกำลังจะสัมผัสตัว ภายใต้สายตาของทุกคน เขาก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นเหยียดนิ้วออกไปก่อนจะแตะเบาๆ ไปที่ตราประทับปีศาจ
ทั้งสองฝั่งช่างมีขนาดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตราประทับปีศาจช่างใหญ่โตมโหฬาร ขณะที่มู่เฉินมีขนาดเล็กจิ๋วเมื่อเทียบกัน นิ้วที่ยื่นออกมาก็ยิ่งราวกับเส้นขนเส้นหนึ่ง…
จากนั้นสองกระบวนท่าก็ปะทะกัน
จังหวะที่ปะทะกัน ผู้คนก็ต่างส่งเสียงคราง เพราะร่างมู่เฉินช่างราวกับตั๊กแตนที่ยืนขวางหน้าล้อรถ…
“ตายซะ!”
จอมปีศาจเฮยซือเทียนคำรามลั่นขณะที่หมัดปีศาจระเบิดออกพร้อมกับรัศมี ด้วยพลังที่น่าสะพรึงก็จะทำลายมู่เฉินที่ขัดขวางอยู่ตรงหน้าให้สิ้นซากในพริบตา
เมื่อพลังน่ากลัวหลั่งไหลออกมา ศพนับล้านก็กวาดเข้ามา
ฉากเบื้องหน้าสะท้อนอยู่ในนัยน์ตาของมู่เฉิน รอยยิ้มอ่อนยกขึ้น เขาค่อยๆ เหยียดนิ้วออกแล้วดีดเข้าที่หมัดตราประทับปีศาจเบาๆ
เคร้ง!
เมื่อมู่เฉินดีดนิ้ว เสียงดังกึกก้องและระลอกคลื่นที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็กระจายออกไป
พลังงานที่ไม่สามารถพรรณนาได้บีบกดลงมาในขณะนี้ ห่อหุ้มปลายนิ้วมือของมู่เฉินไว้
ทั่วบริเวณเงียบงันภายใต้พลังอำนาจนี้ มากจนกระทั่งคลื่นหลิงในฟ้าดินยังแสดงสัญญาณโค้งคารวะ ราวกับว่าเป็นบริวารแห่งจักรพรรดิ
เวลานี้กระทั่งลั่วหลี เซียวเซียวและหลินจิ้งยังเบิกตาโตกว้าง พวกนางมองไปที่ร่างเงาของมู่เฉินด้วยความตกตะลึง นั่นเป็นเพราะขณะนี้แรงกดดันลึกลับที่ปลดปล่อยออกมาจากเขาทำให้คลื่นหลิงในร่างกายของพวกนางสงบลง มากจนพวกนางรู้สึกกดดันด้วยความอยากที่จะหมอบตัวลงไปในทิศทางของมู่เฉิน
กึก กึก!
แม้ว่าพวกนางจะพอต้านไว้ได้ แต่เหล่าศิษย์ในสำนักศึกษาทำไม่ได้ ดังนั้นแต่ละคนเข่าถึงกับทรุดลงพร้อมกับความหวาดผวาฉายบนใบหน้า
พร้อมกับที่นิ้วมือมู่เฉินดีดออกไป ซากศพนับล้านก็แข็งตัว ไม่มีริ้วอารมณ์ใดบนใบหน้าของมู่เฉินขณะมองไปที่ร่างอสูรปีศาจใหญ่โตมโหฬารเบื้องหน้า
ตราประทับปีศาจที่น่ากลัวแข็งค้าง ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย
หลังจากนั้นเขาก็เคาะนิ้วอีกครั้ง
ฮึ่ม!
ระลอกคลื่นแผ่วงออกมา
คลื่นนี้ทำให้เกิดสายลมฉ่ำพัดไปทั่วฟ้าดิน เปลี่ยนซากศพกลายเป็นควันสีฟ้าอมเขียวสลายหายไป
ใบหน้าของจอมปีศาจเฮยซือเทียนเขียนความตกใจหวาดผวาขีดสุดพร้อมกับความกลัววูบไหวดวงตา ในเวลาเดียวกันเสียงร้องแหลมก็ดังก้องขึ้น
“พลังงานนี้…พลังเอกภพ?!”
“เป็นไปได้ยังไง?! เป็นไปไม่ได้! พลังเอกภพจะถูกใช้โดยผู้ที่สามารถกระตุ้นทำเนียบเหนือภพได้เท่านั้น แล้วแกจะทำได้ยังไง?!”
เมื่อมองไปที่จอมปีศาจเฮยซือเทียนที่มีความกลัวอยู่บนใบหน้า มู่เฉินก็สะบัดแขนเสื้ออย่างไม่แยแส
“ข้าบอกแกแล้วว่าตอนนี้ควรคิดวิธีรักษาชีวิตตัวเองไว้…แต่แกดันคิดพลาด”
แกร็ก แกร็ก!
เมื่อภาพซากศพสลายไป รอยแตกก็ปรากฏขึ้นบนกำปั้นแล้วกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
อ๊าก!
จอมปีศาจเฮยซือเทียนส่งเสียงร้องโหยหวน เขารู้สึกได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่บุกรุกเข้ามา ในทางผ่านรัศมีปีศาจในร่างกายเขาก็เริ่มสลายลง
นั่นคือพลังของมหาพันภพเป็นสิ่งที่ไม่สามารถต้านทานได้
“ให้ตายเถอะ ที่แท้แกเป็นจอมยุทธ์บนทำเนียบคนที่สามของมหาพันภพ! ข้าต้องรายงานเรื่องนี้กับท่านเทพ!” จอมปีศาจเฮยซือเทียนคำราม ร่างอสูรปีศาจขนาดใหญ่ก็ระเบิดออกทันที เมื่อรัศมีปีศาจน่ากลัวแผ่ออกไปก็ครอบลงไปในทิศทางของทวีปเป่ยชาง ชัดเจนว่าตั้งใจจะทำลายทั้งทวีป
มู่เฉินมองดูการต่อต้านของจอมปีศาจเฮยซือเทียนแบบไม่แยแสพลางเป่าลมเบาๆ
ฟู่!
พายุทอร์นาโดหลิงกวนตัวขึ้นมาซึ่งบรรจุไปด้วยพลังเอกภพ ภายใต้เส้นทางรัศมีปีศาจที่รุนแรงก็พังทลายทั้งหมด
ฟิ้ว!
และในยามนี้ลำแสงปีศาจสายหนึ่งก็กะพริบวูบวาบต้องการที่จะหลบหนีโดยการฉีกขาดผ่านมิติออกไป
ทว่าเมื่อจอมปีศาจเฮยซือเทียนกำลังจะฉีกมิติออก ทันใดนั้นก็ตระหนักว่าตนเองได้สูญเสียการควบคุมร่างกายไป ร่างเงาของมู่เฉินปรากฏตัวขึ้นอย่างช้าๆ เบื้องหน้า
“ไอ้ศพดำ คิดจะหนีแล้วเหรอ?” มู่เฉินยิ้มอ่อนขณะมองคนตรงหน้า
ตอนนี้รัศมีปีศาจรอบร่างจอมปีศาจเฮยซือเทียนบางจางลง ชัดว่าได้รับบาดเจ็บหนัก ส่วนใบหน้าก็ไม่ได้มืดครึ้มเหมือนก่อนหน้า กลายเป็นซีดเผือดและเกรงกลัว
เห็นได้ชัดว่าพลังที่มู่เฉินเผยออกมาทำให้เขาหวาดกลัวไปหมดแล้ว
“ที่แท้มหาพันภพก็มีการเตรียมการมาตลอดหลายปี ดูเหมือนว่าแกคือความหวังสุดท้ายของที่นี่สินะ!” จอมปีศาจเฮยซือเทียนจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินพลางเอ่ยเสียงเข้ม
ทว่ามู่เฉินเพียงปรายตามองอย่างแผ่วเบา
จอมปีศาจเฮยซือเทียนรู้ทันทีว่าวันนี้คงไม่สามารถหนีไปได้ ดังนั้นสีหน้าจึงสาดความน่าขนพองสยองเกล้าออกมาอีกครั้ง มองไปที่มู่เฉินด้วยอาการเยาะเย้ย “เฮ้ แม้ว่าแกจะแข็งแกร่งพอกับไอ้เทพจักรพรรดิทั้งสองแล้วยังไง? แกคิดว่าพวกแกสามคนสามารถต้านทานท่านเทพของพวกข้าได้หรือ?”
“ฮ่าๆ พวกแกไร้เดียงสาเกินไปแล้ว! พวกแกไม่รู้หรอกว่าท่านเทพของพวกข้าน่ากลัวแค่ไหนในสภาพพร้อมรบสูงสุด!”
“ดังนั้นคราวนี้จักรวรรดิปีศาจจะทำลายมหาพันภพจนสิ้นซากแน่นอน!”
ไม่มีระลอกคลื่นวาบไหวในนัยน์ตา มู่เฉินแค่ยืนรอให้อีกฝ่ายพล่ามในวาระสุดท้าย ก่อนที่จะยื่นมือออกไปพร้อมกับพลังน่ากลัวควบรวมกัน
“พูดเสร็จแล้วก็ตายไปซะ”
หมัดของเขากำแน่น ทันใดนั้นร่างจอมปีศาจเฮยซือเทียนก็ถูกบดขยี้ด้วยพลังที่ไม่อาจต้านทานได้จนระเบิดออก
รัศมีปีศาจแผ่กระจายออกมา พริบตาก็สลายหายไป
แต่จะอย่างไรเสียงหัวเราะเสียดแทงของจอมปีศาจเฮยซือเทียนก็ยังคงดังก้องไปทั่วขอบฟ้า
“ฮ่าๆ ท่านเทพปีศาจจะแก้แค้นให้ข้า! แกรอเถอะมู่เฉิน! มหาพันภพถึงกาลอวสานแน่!”
พร้อมกับการตายของจอมปีศาจเฮยซือเทียน รัศมีปีศาจในภูมิภาคนี้ก็เริ่มกระจัดกระจาย แสงแดดส่องลงมายังดินแดนที่วินาศสันตะโร
ในสำนักศึกษาทุกคนตกตะลึงไปขณะมองท้องฟ้า แม้แต่เป่ยหมิง เสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทงและคนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึกสุดปอด
พวกเขามองไปที่ร่างเงาบนท้องฟ้า แผ่นหลังนั่นช่างพร่างพราวภายใต้แสงตะวัน
ไม่มีใครคิดว่าจอมปีศาจเฮยซือเทียนที่น่าสะพรึงกลัวจะตายด้วยน้ำมือของมู่เฉิน…
เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินก้าวไปถึงจุดที่ไม่อาจบรรยายได้ด้วยคำพูดแล้ว
ตู้ม!
ในที่สุดเหล่าศิษย์ในสำนักศึกษาเป่ยชางก็ฟื้นสติจากหายนะครั้งนี้ อึดใจต่อมาเสียงโห่ร้องก็ดังกระหึ่ม
“มู่เฉิน!”
“มู่เฉิน!”
เมื่อได้ยินเสียงร้องตื่นเต้น เป่ยหมิงก็รู้สึกโล่งใจมากก่อนที่จะหันไปมองไท่ชางด้วยรอยยิ้ม
“ดูเหมือนว่าสำนักศึกษาเป่ยชางได้สร้างจอมยุทธ์ที่น่าเกรงขามขึ้นแล้ว”
บทที่ 1550 เมื่อพบกันใหม่ก็ยืนอยู่จุด...
เสียงโห่ร้องสะท้อนทั่วสำนักศึกษาเป่ยชาง
ศิษย์ทุกคนต่างมีใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นขณะมองร่างเงาบนท้องฟ้า หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคารพสุดจะพรรณนา
ในช่วงนี้พวกเขาใช้ชีวิตหวาดระแวงภายใต้การคุกคามของเผ่าปีศาจ แต่ใครจะคิดว่าสถานการณ์ทั้งหมดจะพลิกผันในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้
จอมปีศาจเฮยซือเทียนที่อยู่ยงคงกระพันในสายตาของพวกเขา อ่อนแอราวกับมดต่อหน้าศิษย์พี่ของพวกเขาผู้ซึ่งลบมันออกไปด้วยการตวัดนิ้วครั้งเดียว…
ทุกคนรู้สึกถึงเลือดในกายเดือดพล่าน เพราะเป้าหมายสูงสุดในการฝึกยุทธ์ก็คือปกป้องคนที่ห่วงใยในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้และได้รับความเคารพจากทุกคนไม่ใช่เหรอ?
“เห็นไหม?! เห็นยัง?! ข้าบอกพวกเจ้าแล้วว่าตราบใดที่พี่ใหญ่มู่เฉินอยู่ที่นี่ จอมปีศาจเฮยซือเทียนต้องตายคาที่แน่นอน?!” เยี่ยสุนเอ๋อรู้สึกตื่นเต้นขณะที่ยกมือขึ้นเท้าเอว มองไปที่สมาชิกชุมนุมเทพธิดาลั่วด้วยความภาคภูมิใจ
“พี่ใหญ่สุนเอ๋อมองขาดจริงๆ!” เมื่อครู่ทุกคนยังรู้สึกช่วยไม่ได้กับความเชื่อมั่นแบบไร้เหตุผลของนาง แต่ตอนนี้พวกเขากลับอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วหัวแม่มือให้ด้วยชื่นชม
“ฮ่าๆ ข้าจะดูว่าใครกล้าแข่งกับชุมนุมเทพธิดาลั่วในอนาคตอีก!”
เหล่าศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักศึกษาเป่ยชางมองมาด้วยดวงตาฉายแววอิจฉาพวยพุ่ง หลังจากศึกนี้จบลงชุมนุมเทพธิดาลั่วจะเป็นชุมนุมสุดยอดในสำนักศึกษาอย่างไม่ต้องสงสัยและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะผ่านไปกี่รุ่นก็ตาม
นั่นเป็นเพราะต่อให้พวกเขาจบการศึกษาและออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางไป ขณะที่ท่องยุทธภพตราบใดที่พวกเขาบอกว่าชุมนุมที่พวกเขาเคยอยู่นั่นก่อตั้งโดยมู่เฉิน มิหนำซ้ำเขายังเป็นศิษย์พี่ของพวกเขา ไม่ว่าจะไปที่ใดก็คงมีแต่เสียงสรรเสริญ
บางคนที่มีความคิดเฉียบคมก็เริ่มมองหาลู่ทางที่จะเข้าร่วมชุมนุมเทพธิดาลั่วหลังจากเรื่องทั้งหมดนี้จบลง…
“เจ้านั่น…”
เสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทงและเวินชิงเฉวียนที่ฟื้นจากอาการตกใจก็แลกเปลี่ยนสายตากันด้วยรอยยิ้มเหยเก
นั่นเป็นเพราะมู่เฉินเกินความเข้าใจของพวกเขาไปแล้ว
ขณะที่พวกเขายังคงดำเนินตามเส้นทางเพื่อมุ่งสู่ระดับเทียนจื้อจุน พวกเขาก็ตระหนักได้ว่ามู่เฉินได้เกินขอบเขตเหล่านั้นเรียบร้อย…
ช่องว่างมหาศาลเช่นนี้ ทำให้ไม่มีกระทั่งความกล้าที่จะไล่ตาม
“ตอนนั้นทำไมข้าถึงไม่เห็นว่าเจ้านี่จะทรงพลังมากขนาดนี้…” หลี่เฉวียนทงถอนหายใจขณะหันไปมองร่างสะคราญโฉมบนท้องฟ้าพร้อมกับดวงตาหม่นแสงลง ย้อนกลับไปในอดีตคงไม่มีใครคาดคิดว่ามู่เฉินจะสามารถก้าวมาถึงจุดนี้ได้ยกเว้นลั่วหลี
ขณะที่ทุกคนคิดว่านางพบแค่ก้อนหินธรรมดาท่ามกลางผืนทราย นางกลับเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าหินที่นางพบจะส่องประกายเจิดจ้ากว่าเพชรเม็ดใดในโลก
เสิ่นชังเสิงแตะไหล่หลี่เฉวียนทงมองมาด้วยความเห็นใจ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสหายคนนี้แอบปลื้มลั่วหลีมาโดยตลอด แต่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสอีกแล้ว
เวินชิงเฉวียนก็ถอนหายใจ นางมักรู้สึกว่ามู่เฉินไม่เข้ากันกับลั่วหลีเลยเมื่อในอดีต แต่ขณะนี้นางต้องยอมรับว่าชายหนุ่มที่เคยประลองกันในศึกเบญจภาคีได้เติบโตขึ้นจนเหนือล้ำไปแล้ว
เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มคนนั้นอีกต่อไป ตอนนี้เขาคือสุดยอดจอมยุทธ์แห่งมหาพันภพ
เป่ยหมิงและไท่ชางพลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้า พร้อมกับการตายของจอมปีศาจเฮยซือเทียน ภัยพิบัติจากเผ่าปีศาจก็ไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป นั่นหมายความว่าหายนะที่สำนักศึกษาเป่ยชางกำลังเผชิญอยู่อันตรหายไปหมดแล้ว ดังนั้นรอยยิ้มจึงคลี่ออกบนใบหน้าของพวกเขา
อาจารย์ใหญ่อีกสี่คนจากสำนักศึกษาอื่นๆ ก็เข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับพวกเขา ในเวลาเดียวกันดวงตาแต่ละคู่ก็สั่นไหวด้วยความอิจฉา เนื่องจากพวกเขารู้ว่าด้วยอดีตศิษย์คนนี้จากสำนักศึกษาเป่ยชางจะเติบโตแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน ชื่อเสียงก็จะดังก้องไปทั่วมหาพันภพ
บางทีในอนาคตสำนักศึกษาเป่ยชางจะอยู่ในตำแหน่งผู้นำภาคเบญจภาคีแล้ว
ความอึมครึมในภูมิภาคนี้หายไปและถูกแทนที่ด้วยเสียงโห่ร้อง
มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อบนท้องฟ้า ลบรัศมีปีศาจสายสุดท้ายออกไป จากนั้นก็มองไปที่มือของตนเอง เห็นได้ชัดว่าแม้กระทั่งตัวเขาก็ตกใจกับความแข็งแกร่งที่มี
เพราะก่อนที่จะเข้าสู่สมาธิต่อให้เขาจะใช้กำลังเต็มที่ เขาก็สามารถต่อสู้กับหมัวเฮอเทียนในระดับเดียวกันได้เท่านั้น
แต่ตอนนี้แม้ว่าหมัวเฮอเทียนจะอาศัยขวดมหาเพลิงวารี ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสู้กับมู่เฉิน
เนื่องจากตอนนี้แม้มู่เฉินจะยังไม่ได้ฝากชื่อไว้ในทำเนียบเหนือภพ แต่เขาก็สามารถควบคุมพลังเอกภพได้ ถึงจะเป็นเพียงเส้นสายเล็กๆ แต่ก็เกินขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายสุดไปแล้ว
“ห้าปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์นี่”
มู่เฉินพึมพำขณะที่หันกลับทะยานไปที่เบื้องหน้าลั่วหลี
ยามนี้ลั่วหลีกำลังมองมาด้วยความอึ้งทึ่ง นางยังไม่สามารถดึงสติกลับได้ เพราะยิ่งจอมยุทธ์ที่ทรงพลังก็ยิ่งสัมผัสได้ว่าพลังของมู่เฉินน่ากลัวเพียงใด
“คืนสติได้แล้ว” มู่เฉินยิ้มขณะโบกมือเบื้องหน้านาง
นัยน์ตาของลั่วหลีเกิดระลอกคลื่น จากนั้นก็กลอกตาใส่มู่เฉิน แต่นางกลับไม่รู้เลยว่าด้วยรูปลักษณ์ของนาง แค่การปรายตามองก็สามารถทำให้ทุกคนมึนเมาได้แล้ว
“เก่งไหม?” มู่เฉินยิ้มด้วยความอิ่มเอมใจเล็กน้อย เฉพาะต่อหน้าหญิงคนรักเท่านั้นที่เขาจะเปิดเผยด้านโอ้อวดให้เห็น
“เก่ง เจ้าเก่งที่สุด” ลั่วหลีรู้สึกขบขันปนฉิวในเวลาเดียวกันขณะที่พยักหน้า
“คิกๆ มู่เฉิน ตอนนี้เจ้าน่าเกรงขามมากเลยนะ”
พร้อมกับน้ำเสียงประหลาดใจ หลินจิ้งกระโดดเข้ามามองไปที่มู่เฉินก่อนจะเบ้ปาก “ข้าคิดว่าตัวเองสามารถดึงช่องว่างพลังเข้ามาใกล้ได้แล้ว แต่เจ้ากลับเหวี่ยงข้าออกไปไกลแทน”
เซียวเซียวก็เดินเข้ามามองไปที่มู่เฉินพลางเอ่ยขึ้น “เจ้าทำสำเร็จแล้วหรือ?”
นางทราบเหตุผลที่มู่เฉินหายหน้าไปในช่วงห้าปีนี้
มู่เฉินเหยียดเอว ดวงตาลึกล้ำมองไปในมิติไกลโพ้น “อีกนิดหน่อยน่ะ”
เขายังไม่ได้จารึกชื่อไว้ในทำเนียบเหนือภพ ทว่าเขารู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของมันอย่างคลุมเครือแล้ว…
เมื่อทั้งสี่คนสนทนากันเรียบร้อยก็พลิ้วลงมาจากท้องฟ้ามาปรากฏตัวที่เบื้องหน้าไท่ชางและเป่ยหมิง
เมื่อมองไปที่ใบหน้าคุ้นเคยทั้งสอง มู่เฉินก็รู้สึกถึงระลอกคลื่นในใจ ย้อนกลับไปตอนที่เขาออกท่องยุทธภพครั้งแรก เขายังคงเป็นจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ที่เพิ่งจะก้าวสู่ระดับจื้อจุน แต่ตอนนี้เขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของมหาพันภพแล้ว…
“ศิษย์มู่เฉินทักทายท่านอาจารย์ใหญ่และผู้อาวุโสเป่ยหมิง” มู่เฉินประสานมือคารวะ
แม้ว่าพลังของเขาจะก้าวข้ามทั้งสองคนเบื้องหน้าไปแล้ว แต่มู่เฉินก็ยังเคารพไท่ชางและเป่ยหมิงมาก ในอดีตทั้งสองดูแลเขาเป็นอย่างดีเมื่อเขาอยู่ในสำนักศึกษา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป่ยหมิงที่เคยถ่ายทอดวิชากายาเทพสายฟ้าให้เขา ซึ่งเป็นวิชาที่ช่วยเขาอย่างมากในอดีต
เมื่อมองไปที่ท่าทางอ่อนน้อมถ่อนตนของมู่เฉิน ไท่ชางและเป่ยหมิงก็รู้สึกพอใจ เด็กหนุ่มในตอนนั้นไม่ได้หยิ่งผยองเพราะความสำเร็จที่มี แต่ยังคงรักษาความสุภาพเรียบร้อยเอาไว้
ตอนนั้นเองเสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทง เวินชิงเฉวียนและเยี่ยชิงหลิงก็เข้ามาพร้อมกับรู้สึกยินดีในการรวมตัวกันอีกครั้ง
“พี่ใหญ่มู่เฉิน!” เยี่ยสุนเอ๋อพุ่งมายืนที่เบื้องหน้ามู่เฉินพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“สุนเอ๋อตัวน้อย”
เมื่อได้เห็นเยี่ยสุนเอ๋ออีกครั้งก็หวนนึกถึงอดีตไม่ได้ ตอนที่เขาอยู่ในมิติเป่ยชางก็ได้พบกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ เกล้าผมหางม้าซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ
แต่ตอนนี้เด็กหญิงตัวเล็กๆ คนนั้นเติบโตขึ้นแล้ว
“ข้าไม่ได้เป็นเด็กน้อยอีกต่อไปแล้วนะ!”
มู่เฉินเอื้อมมือขยี้ผมของเยี่ยสุนเอ๋อเหมือนที่เคยทำเมื่อในอดีต ทำให้ผมของนางยุ่งเหยิงไปหมด ขณะที่นางมองเขาอย่างฝืดเฝื่อน
หลังจากแกล้งเยี่ยสุนเอ๋อไปสักพัก มู่เฉินก็หันไปเห็นถังเชี่ยนเอ๋อที่ใบหน้ากำลังระบายรอยยิ้ม ผมยาวของนางเกล้าเก็บอย่างดี ไม่หลงเหลือเค้าความขี้เล่นในอดีตอีกต่อไป ตอนนี้นางเติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว
“ต้องขอบคุณพี่เชี่ยนเอ๋อที่ขยี้เครื่องรางชิ้นนั้น ทำให้ข้ารู้สึกได้ถึงพื้นที่นี้จนรีบเร่งมาที่นี่ได้ทันเวลา” มู่เฉินยิ้ม
ถังเชี่ยนเอ๋อยิ้มขณะมองไปมู่เฉินและลั่วหลียืนเคียงคู่กัน ทั้งสองโดดเด่นและดึงดูดสายตายิ่งนัก
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้า มิฉะนั้นสำนักศึกษาวั่นหวงคงไม่สามารถรอดพ้นจากหายนะได้” ถังเชี่ยนเอ๋อถอนหายใจแผ่วเบาด้วยความเศร้าโศก สำนักศึกษาวั่นหวงมีศิษย์บาดเจ็บล้มตายจำนวนหนึ่งในตอนที่หนีตายมายังทวีปเป่ยชาง
มู่เฉินทำได้เพียงแค่ตบไหล่นางเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบโยน
“พี่ใหญ่มู่เฉินจะออกเดินทางทันทีเลยไหม?” เยี่ยสุนเอ๋อโพล่งถามขึ้น คำพูดของนางดึงดูดสายตาของทุกคนมาทันที
เมื่อสัมผัสได้ถึงความอยากให้อยู่ต่อในสายตาของทุกคน มู่เฉินก็ยิ้มก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นกวาดมองสำนักศึกษาเป่ยชาง ณ ที่แห่งนี้ซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำงดงามในอดีต
“ข้าจะอยู่ในทวีปเป่ยชางอีกสักพักและแก้ไขหายนะเรื่องจักรวรรดิปีศาจภายในดินแดนมหาพันภพให้หมดสิ้น…”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน เสียงโห่ร้องแสบแก้วหูก็ดังขึ้นจากสำนักศึกษา
พอเห็นเช่นนี้มู่เฉินก็ยิ้ม ขณะเดียวกันมือที่นิ่มและเย็นฉ่ำก็เข้ามาจับมือเขาไว้ เขากำมือจับเอาไว้พลางมองไปในมิติ
เขารู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของความสงบสุข ก่อนสงครามครั้งใหญ่จะระเบิดออก
บทที่ 1551 รางวัล
พร้อมกับความตายของจอมปีศาจเฮยซือเทียน
ภัยพิบัติที่กลืนกินทวีปเป่ยชางก็สลายหายไป ความสงบสุขกลับคืนมาอีกครั้ง แต่ก็ได้ทิ้งร่องรอยไว้บนฏลก ซึ่งต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอีกพักใหญ่
หลังจากนั้นอีกสองวัน มู่เฉินก็นำลั่วหลี หลินจิ้งและเซียวเซียวตระเวนไปทั่วมหาพันภพ พวกเขาช่วยกันดับหายนะที่เกิดขึ้นรอบๆ
เมื่อมีการช่วยเหลือของมู่เฉิน ภัยพิบัติก็ไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป ในเส้นทางที่พวกเขาก้าวผ่าน ภัยพิบัติปีศาจจะถูกระงับอย่างรวดเร็วไม่สามารถก่อให้เกิดความปั่นป่วนใดๆ ได้
ภายใต้ประสิทธิภาพนี้ความสงบก็กลับคืนสู่มหาพันภพในเวลาเพียงสองวัน
ทวีปเป่ยชาง สำนักศึกษาเป่ยชาง
หลังจากผ่านสงครามมาได้ทั่วทั้งสำนักศึกษาก็อยู่ในสภาพย่ำแย่ขีดสุด ตอนนี้ทั้งหมดรอการฟื้นฟูอยู่
แม้ว่าสถานที่จะถูกทำลาย แต่ก็ยังโชคดีที่ไม่มีนักเรียนได้รับบาดเจ็บล้มตายมากนัก ดังนั้นบรรยากาศในสำนักศึกษาจึงยกขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีมู่เฉินอยู่ ก็สร้างขวัญและกำลังใจได้มาก มิหนำซ้ำทุกคนยังยอมรับว่าสำนักศึกษาเป่ยชางมาถึงจุดสูงสุดแล้ว
บนภูเขาที่ตั้งอยู่ด้านหลังชุมนุมเทพธิดาลั่ว
มู่เฉินและลั่วหลีเดินขึ้นเขาช้าๆ ก่อนที่จะไปหยุดยืนอยู่ที่จุดสูงสุดมองลงไปที่กองบัญชาการใหญ่ของชุมนุมเทพธิดาลั่ว เฝ้ามองเหล่าศิษย์น้องที่กำลังช่วยกันสร้างบ้านพัก
ทั่วทั้งสำนักศึกษาตอนนี้เต็มไปด้วยพลังชีวิต
ศิษย์บางคนที่สังเกตเห็นมู่เฉินและลั่วหลี ก็มองไปด้วยความอิจฉา เพราะภายใต้แสงอาทิตย์ร่างเงาทั้งสองดูพร่างพราวโดดเด่นยิ่งนัก
“ข้าจำได้ว่าตอนนั้นเราช่วยกันก่อตั้งชุมนุมเทพธิดาลั่วขึ้นที่นี่…” มู่เฉินมองไปที่ทะเลสาบพร้อมกับรอยยิ้มหวนคำนึงประดับบนริมฝีปาก
ในตอนนั้นเขากร้าวแกร่งได้พบเจอสหายและคู่ต่อสู้มากมายในสำนักศึกษาแห่งนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปบางส่วนก็ถูกลืมเลือน กลายเป็นคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเท่านั้น
แต่โชคดีที่หญิงสาวที่ยืนข้างกายเขาไม่เปลี่ยนแปร
ดวงหน้าบอบบางของลั่วหลีเปล่งประกายด้วยความเงางามราวกับหยกอ่อน รอยยิ้มอ่อนโยนเผยออกมา ในเวลานั้นพวกเขานำศิษย์ใหม่รวมตัวกันและก่อตั้งชุมนุมเทพธิดาลั่วขึ้น ทุกคนทำงานอย่างหนักสร้างฐานรากในสำนักศึกษาเป่ยชางไว้
เมื่อหวนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ช่างเต็มไปด้วยความทรงจำงดงาม
ลั่วหลีมองไปที่สิ่งปลูกสร้างในสำนักศึกษาทันใดนั้นนางก็ยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่าภาคเบญจภาคีกำลังจะรวมกันเป็นหนึ่ง พวกเขาตั้งใจจะให้เจ้าตั้งชื่อเพื่อเป็นอนุสรณ์ด้วยนะ”
“โอ้?” มู่เฉินประหลาดไปจากนั้นก็พยักหน้า “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ในมหาพันภพสำนักศึกษาเพิ่มขึ้นทุกวัน บางแห่งมีรากฐานที่เหนือกว่าภาคเบญจภาคี ตอนนี้เมื่อพวกเขารวมเข้าด้วยกัน บางทีอนาคตอาจสามารถเขย่ามหาพันภพได้
“สำหรับชื่อ…”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นและยิ้ม “งั้นสำนักศึกษาชังจ่งแล้วกัน”
ด้วยการใช้ชื่อของทำเนียบเหนือภพ เขาหวังว่าจะมีศิษย์น้องจากที่นี่ทิ้งชื่อไว้บนทำเนียบในอนาคตเพิ่มได้อีก
“สำนักศึกษาชังจ่ง…”
ลั่วหลีพึมพำเบาๆ ก่อนจะยิ้ม “ไม่เลว ฟังดูทรงพลังมาก”
“แต่ถ้าห้าสำนักศึกษารวมตัวกัน ศึกเบญจภาคีก็จะไม่มีอีกต่อไปในอนาคต”
ลั่วหลีนั่งลงบนผืนหญ้าและพูดด้วยความกระเง้ากระงอดเล็กน้อย นางจำได้ว่าตนเองและมู่เฉินต้องต่อสู้กันอย่างไรและเอาชนะคู่แข่งขันในตอนนั้นได้
มู่เฉินนั่งลงพลางเหยียดแขนออกไปโอบเอวเล็ก ท่อนแขนเขาแนบข้างตัวนางจับแน่นสัมผัสส่วนโค้งเว้าที่น่าประทับใจ
เมื่อรู้สึกถึงการกระทำของมู่เฉิน ลั่วหลีก็เงยหน้ามองมาที่เขาเขม็ง
ถ้าเป็นคนอื่นคงยอมแพ้ต่อสายตานี้ไปแล้ว แต่มู่เฉินหน้าด้านทำเป็นไม่เห็น เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด
“เจ้านี่หน้าด้านจริงๆ”
ลั่วหลีหยิกเอวมู่เฉินเบาๆ ก่อนที่เธอเอนศีรษะซบบนไหล่มู่เฉิน ยามนี้นางรู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลายลง
ขณะที่ทั้งสองกอดกันและกัน ลั่วหลีก็มองไปที่มู่เฉิน “มู่เฉิน ครั้งนี้เราจะสามารถเอาชนะเทพปีศาจจักรพรรดิได้ไหม?”
มู่เฉินเม้มปากลังเลชั่วครู่ก่อนจะตอบว่า “ก่อนที่เทพปีศาจจักรพรรดิจะเผยตัวตน ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่ามันจะมีพลังเพียงใด”
“ดังนั้นข้าไม่แน่ใจว่าเราจะเอาชนะได้หรือไม่ ต่อให้ท่านเซียวเหยียน ท่านหลินต้งและข้ารวมพลังกัน”
คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่น แม้ว่าเขาจะแสดงความมั่นใจต่อหน้าคนอื่น แต่เขาก็บอกความคิดเห็นไม่ปิดบังเมื่ออยู่กับลั่วหลี
นั่นเป็นเพราะเทพปีศาจเก้าเนตรยากแท้หยั่งลึก
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน สีหน้าลั่วหลีก็เคร่งเครียดลงมาก นางมองคิ้วที่ขมวดแน่นของชายคนรักก็รู้สึกปวดใจ นางรู้ว่ามู่เฉินกดดันมากแค่ไหน
“มู่เฉิน เจ้าทำได้ดีมากแล้ว” ลั่วหลีเอื้อมมือคลายหัวคิ้วของมู่เฉินออก
“ยังจำได้ไหม…เจ้าเคยบอกข้าว่าจะเป็นยอดยุทธ์และปกป้องข้าจากพายุโหมกระหน่ำ… ตอนนี้ข้าพูดได้เต็มปากว่าเจ้าทำได้อย่างที่พูดตอนนั้นจริงๆ แล้ว…”
“เจ้าคือยอดยุทธ์หนึ่งเดียวในหัวใจข้า”
แววตาของลั่วหลีอ่อนหวานจนถึงจุดที่ทำให้ผู้คนมึนเมาได้
นางจ้องมองมู่เฉิน ใบหน้าก็แดงระเรื่อ น้ำเสียงอ่อนโยนของนางราวกับรำพึงรำพัน
“มู่เฉิน ข้าโชคดีจริงๆ…ที่ได้พบเจ้าในสงครามเทพยุทธ์…”
เสียงนุ่มนวลเปล่งออกมา มู่เฉินก้มศีรษะลงมองใบหน้าแดงก่ำในอ้อมกอด เขารู้สึกถึงหัวใจเต้นรัว
เขามองไปที่ริมฝีปากของหญิงสาวคนรัก ก็รู้สึกว่าอารมณ์ตกอยู่ในความว้าวุ่น เขาค่อยๆ กระชับมือที่โอบเอวบางของลั่วหลีเข้ามาแนบชิด
สัมผัสได้ถึงแววตาร้อนแรงของมู่เฉิน ลั่วหลีก็กะพริบตาอย่างกระวนกระวายเล็กน้อย
“ลั่วหลี ข้าโชคดีที่ได้ช่วยเหลือเจ้า… ในสงครามเทพยุทธ์ครั้งนั้น…”
พูดจบมู่เฉินก็ไม่สามารถข่มกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจได้อีกต่อไป เขาก้มศีรษะลงจูบริมฝีปากสีดอกกุหลาบ
เมื่อริมฝีปากทั้งสองสัมผัสกันก็กำจายด้วยความอบอุ่น
ร่างเล็กของลั่วหลีเอนลงบนผืนหญ้า มู่เฉินเหยียดแขนตั้งฉากบนพื้นมองไปที่ใบหน้าตื่นตระหนกของคนรัก
มือลั่วหลีพยายามดันหน้าอกของมู่เฉินออก ขณะที่กัดริมฝีปากหลบสายตาเขา “มู่เฉิน เจ้าคิดจะทำอะไร?”
นางมองเห็นไฟปรารถนาที่ลุกโชนในดวงตาของมู่เฉิน
มู่เฉินยิ้มกริ่มพลางโบกสะบัดแขนเสื้อ คลื่นหลิงกลายเป็นหมอกหนาทึบกระจายออกไปปิดกั้นบริเวณนี้ไม่ให้ถูกรบกวน
“ลั่วหลี เจ้าอยากให้รางวัลข้าบ้างไหม?”
เหมือนจะได้ยินความปราถนาที่ไม่ดีของมู่เฉิน ลั่วหลีก็ส่ายหน้าหวือ
“ในเมื่อเป็นแบบนี้…ก็อย่าหาว่าข้าแกล้งนะ!” มู่เฉินยิ้มก้มศีรษะลงจูบริมฝีปากสีดอกกุหลาบอีกครั้ง
เรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันเป็นเวลานาน ก่อนที่มู่เฉินจะดึงตัวออก ลมหายใจของทั้งคู่หนักหน่วงขึ้น
ลั่วหลีกัดริมฝีปาก ม่านตากระจ่างใสเต็มไปด้วยอารมณ์เข้มข้น ยิ่งมองไปที่มู่เฉิน นางก็รู้สึกได้ถึงไฟปรารถนาลุกโชนในดวงตาของคนรัก นางค่อยๆ คลี่ยิ้มอ่อนโยน
รอยยิ้มของนางตอนนี้ดูเปล่งประกายยิ่งนัก
มู่เฉินถึงขนาดอึ้งไปเลยทีเดียว เขาไม่คิดว่าลั่วหลีจะมีด้านทรงเสน่ห์เช่นนี้
“มู่เฉิน เจ้าต้องการรางวัลจริงๆ หรือ?” น้ำเสียงของลั่วหลีแฝงความเย้ายวนกระเพื่อมออกมา เวลานี้นางได้วางกฎเหล็กทั้งหมดลง นางรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของมู่เฉินและนางก็ไม่คิดต่อต้าน กลับกันหัวใจยังเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำ
สัมผัสกับความร้อนที่แผ่ซ่านมาถึงโพรงจมูกมู่เฉินก็พยักหน้า
“งั้น…เจ้าจะยังเป็นองครักษ์ของข้าไหม?”
“ตลอดไปจักรพรรดินีแห่งข้า” มู่เฉินจับมือลั่วหลีขึ้นมาจูบที่หลังมือ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…”
ลั่วหลียิ้มอ่อนหวานก่อนที่จะดันเอวขึ้น ร่างทั้งสองกลิ้งไป แต่ครั้งนี้เป็นลั่วหลีที่พลิกนั่งอยู่บนเอวของมู่เฉิน ดวงตาผลึกแก้วใสช้อนลงมามองเขาประหนึ่งจักรพรรดินี
จากนั้นนางก็พูดอย่างมั่นในว่า “งั้นจักรพรรดินีขออยู่บน”
นางเชิดคอเรียวระหงดังไข่มุกขึ้นพลางหายใจเข้าลึกราวกับว่าตัดสินใจแน่นอนแล้ว มือขาวเรียวเลื่อนไปที่สาบเสื้อกระตุกพันธนาการออก ใบหน้าของนางแดงระเรื่อไปหมด
เมื่อเสื้อผ้าเลื่อนหล่นออกจากผิวกายก็เผยให้เห็นถึงรูปร่างไร้ที่ติ แสงแดดส่องลงมากระทบร่างของนางเปล่งประกายจนถึงจุดที่ดูเหมือนว่าทุกสรรพสิ่งจะหยุดชั่วคราวภายใต้รูปร่างงดงามนี้
ในที่สุดเลือดก็ไหลออกจากโพรงจมูกที่ร้อนฉ่า
“มู่เฉิน นี่คือ…รางวัลที่ข้าให้เจ้า”
หญิงสาวยิ้มหวานร่างแนบลงมาช้าๆ
ในเวลานั้นสายลมฤดูใบไม้ผลิก็พัดพาเข้ามาพร้อมกับเสียงครวญครางดังก้องในหมอกหลิง ร่างสองร่างเกี่ยวกระวัดรัดรึงเข้าด้วยกัน
บทที่ 1552 สงครามที่ใกล้เข้ามา
ร่างลั่วหลีเต็มไปด้วยเหงื่อชื้น
ขณะที่นางแนบอยู่บนร่างของมู่เฉิน ไฟเสน่หาเติมเต็มจนไม่อาจจินตนาการได้ แพขนตาของนางกะพริบขึ้นลง
เมื่อมองไปที่หญิงสาวคนรักในอ้อมกอด มู่เฉินก็ลูบหลังบางสัมผัสถึงผิวอ่อนนุ่ม เมื่อรับรู้ว่านางเกาะเกี่ยวเขาไว้อย่างไร ความรู้สึกอ่อนโยนก็กวนตัวในหัวใจ
ลั่วหลีกะพริบตามองไปที่มู่เฉินด้วยความเขินอาย
“คนร้าย! ไหนบอกว่าจะทำแบบนี้ในวันแต่งงานไง…” ลั่วหลีกัดริมฝีปาก อดไม่ได้ที่จะหยิกมู่เฉินไปหนึ่งที
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง มู่เฉินก็ได้แต่ยิ้มแห้งพลางกกกอดหญิงสาวไว้แนบอกแน่นขึ้น
ลั่วหลีมุดหน้าลงไปในหน้าอกของเขา ขณะที่นางลูบหน้าท้องมองไปที่มู่เฉินอย่างอ่อนโยน ก่อนจะถามว่า “เจ้าชอบลูกชายหรือลูกสาว?”
คำถามของนางทำให้มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะยิ้มกว้าง “ลูกสาวสิ เพราะจะได้โตมาสวยเหมือนแม่”
ปากลั่วหลีเชิดขึ้นขณะกอดคอมู่เฉิน “ถ้างั้นจะตั้งชื่อลูกสาวว่าอะไรดี?”
หลังจากครุ่นคิดสั้นๆ มู่เฉินก็มีความสนใจขึ้นขณะแนะนำ “เรามาตั้งคนละอักษรดีกว่า”
“ตัวข้าชื่อเฉินแปลว่าเล็กเหมือนละออง ข้าเชื่อว่าตอนนั้นท่านพ่อท่านแม่ต้องการให้ข้าเป็นคนธรรมดาและมีชีวิตที่สงบสุข” มู่เฉินยิ้มขณะลูบไล้หน้าท้องของลั่วหลีอย่างอ่อนโยน “แต่สำหรับลูกสาวของข้ามู่เฉิน ข้าหวังว่านางจะดำรงอยู่เหนือล้ำล่องลอยสูงไปบนก้อนเมฆ ดังนั้นข้าอยากใช้คำว่า ‘หยุน’…”
ลั่วหลีเผยรอยยิ้มพิมพ์ใจเอี้ยวหน้ากล่าวว่า “ข้าหวังว่าความมืดจะจากไปพร้อมกับแสงสว่างสาดส่องอีกครั้งในมหาพันภพ ดังนั้นถ้าเรามีลูกสาว ข้าจะใช้คำว่า ‘ซี’…”
ซีหมายถึงแสง
มู่เฉินยิ้มบางพลางพยักหน้า “งั้นถ้าเรามีลูกสาว… เราจะเรียกเจ้าตัวเล็กว่ามู่หยุนซี ถ้าเป็นลูกชายก็ตั้งชื่อให้เรียบง่ายอย่างมู่ถู่หรือมู่สือก็ได้”
“ทำไมเจ้าเห็นลูกสาวสำคัญกว่าลูกชายอย่างนี้?!” ลั่วหลีอดจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินไม่ได้
“แต่มู่หยุนซีเป็นชื่อที่ดีทีเดียว…”
ลั่วหลีกัดริมฝีปากพร้อมกับความหวังในแววตา ฉากนี้ช่างน่าดึงดูดใจเสียจริง
เมื่อมองไปที่ลั่วหลี ความอ่อนโยนในหัวใจของมู่เฉินก็เพิ่มขึ้นขณะกำมือแน่น ‘ภาพงดงามอย่างยิ่ง อนาคตช่างเต็มไปด้วยความคาดหวังอย่างแท้จริง’
‘ถ้าเทพปีศาจจักรพรรดิคิดทำลายทุกสิ่งละก็…’
ทันใดนั้นดวงตาของมู่เฉินก็ถูกแทนที่ด้วยความดุร้าย ‘งั้นข้าก็จะลบล้างเทพปีศาจนั่นเอง!’
พร้อมกับความคิดนี้ ร่างสองร่างบนดินแดนวั้นมู่ก็เหมือนสัมผัสได้ถึงแรงอารมณ์ ขณะที่ดวงตาเปิดขึ้นช้าๆ
เมื่อพวกเขาลืมตาขึ้นแสงหลิงไร้ขอบเขตก็กำจายปกคลุมดินแดนวั้นมู่ทั้งหมด
ในส่วนลึกของรัศมีสว่างไสวสามารถมองเห็นร่างโบราณสองร่างได้อย่างคลุมเครือซึ่งเต็มไปด้วยความลึกลับไร้ขอบเขตและกลิ่นอายโบราณ
หนึ่งคือร่างรัศมีซึ่งเอิบอาบไปด้วยความสว่างไร้ขอบเขต ส่วนอีกหนึ่งเต็มไปด้วยพลังงานหลิงไร้ขอบเขตซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่มีวันหมดสิ้น
ทั้งสองร่างนี้ก็คือร่างมหารัศมีอนันด์และร่างมหาปราชญ์วิญญาณ
หลังจากผ่านการบ่มเพาะมาหลายปี ในที่สุดร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งสองก็ชำระได้สำเร็จแล้ว
ตอนนั้นเองมู่เฉินที่อยู่สำนักศึกษาเป่ยชางก็สัมผัสได้ เขารู้สึกโล่งใจมาก
“ในที่สุด…ก็เสร็จสมบูรณ์”
ทว่าขณะที่มู่เฉินดำดิ่งอยู่ในความสำเร็จ ทันใดนั้นม่านตาก็หดลงเขามองไปในทิศทางของดินแดนปีศาจที่อยู่นอกมหาพันภพ
“มู่เฉินเกิดอะไรขึ้นเหรอ?” ลั่วหลีสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของมู่เฉิน
“เทพปีศาจจักรพรรดิ…ปรากฏตัวแล้ว”
น้ำเสียงของมู่เฉินอัดแน่นด้วยจิตสังหารไร้ขอบเขต
ในเวลาเดียวกันในเมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่เบื้องหลังป้อมปราการของมหาพันภพ หลินต้งและเซียวเหยียนก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นเช่นกัน
ดวงตาของพวกเขาวูบวาบด้วยประกายไฟและคลื่นหลิงไร้ขอบเขต ขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากัน ไอสังหารที่แทรกซึมอยู่ในดวงตาก็แล่นเปรียะ
ไอสังหารปกคลุมทั้งเมือง ใบหน้าของเหล่าจอมยุทธ์เปลี่ยนไป พวกเขาเงยหน้าขึ้นกะทันหันมองไปยังทิศทางของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม
วาบ!
นายหญิงสี่คนของแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู เซียวซุนเอ๋อ ไฉ่หลิง อิ้งฮวนฮวนและหลิงชิงจู๋ก็ปรากฏตัวที่เบื้องหลังสามีในยามนี้
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” พวกนางถามขึ้น
หลินต้งและเซียวเหยียนฉายสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นเสียงก็ดังสะท้อนในโสตประสาทของทุกคนในเมือง
“เทพปีศาจจักรพรรดิปรากฏตัวขึ้นแล้ว แจ้งคำสั่งเพิ่มการแจ้งเตือนระดับสูงสุด กองหน้าให้หยุดการโจมตีทันที”
เสียงนี้ทำให้หัวใจทุกดวงสั่นสะท้านพร้อมกับความโกรธ ความกลัวและความโล่งใจ…
ตลอดห้าปีที่ผ่านมาไม่มีข่าวใดของเทพปีศาจจักรพรรดิให้ได้ยิน แต่แม้อีกฝ่ายจะหายตัวไปก็ยังสร้างความกลัวขึ้นห่อหุ้มหัวใจของทุกคนในมหาพันภพ
ดังนั้นด้วยการปรากฏตัวนี้ พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจจากความกลัวในหัวใจ
อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการโจมตีกะทันหันของเทพปีศาจคนนี้
ท้ายที่สุดก็แค่สู้จนตัวตายเท่านั้น
หลินต้งและเซียวเหยียนมองเข้าไปในมิติไกลออกไปพร้อมกับสายตาทะลุผ่านปราการกั้นทั้งหมด มองเข้าไปที่จุดสิ้นสุดของความมืดมิด
รัศมีปีศาจไร้ขอบเขตกลายเป็นเมฆกลิ้งไปมา
ร่างสวมชุดขาวยืนอยู่บนเมฆดำดูราวกับบัณฑิตพร้อมกับความกรุณาปรานีเอิบอาบออกมารอบตัว
ดวงตาสามดวงเปิดอยู่บนหน้าผากกะพริบด้วยแสงวูบวาบน่ากลัว
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็คลี่ยิ้มพลางแลกสายตากับหลินต้งและเซียนเหยียนจากระยะไกล
ขณะที่ทั้งสามฟาดฟันกันด้วยสายตา มิติก็ผันผวนพร้อมกับแรงกดดันมหาศาลโอบรัศมีล้อมรอบในระยะสิบล้านลี้
“ทั้งสองไม่เจอกันนานนะ…”
เสียงของเทพปีศาจดังก้องขณะเคาะนิ้วเบาๆ ไปที่ทั้งสอง
“วันที่ข้ามาถึงจะเป็นวันทำลายล้างมหาพันภพ” เมื่อเขาสะบัดมือออก ความมืดก็ปิดกั้นประสาทสัมผัสของหลินต้งและเซียวเหยียน
แสงหลิงในนัยน์ตาทั้งสองสลายไป พวกเขามองเข้าไปในความว่างเปล่าอย่างเย็นชา
“อีกหนึ่งวันเทพปีศาจจักรพรรดิก็จะเคลื่อนไหวแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของสามี ใบหน้าของนายหญิงสี่คนก็เปลี่ยนไปอย่างน่ากลัว “ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้ว…”
“มู่เฉินเป็นอย่างไรบ้าง?” เซียวซุนเอ๋อถามด้วยคิ้วมุ่นแน่น
เมื่อได้ยินคำถาม ทั้งหลินต้งและเซียวเหยียนก็คลี่ยิ้มพึงพอใจ “เขาไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง”
เมื่อครู่นี้เองที่พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่ก่อตัวขึ้นในมหาพันภพ ซึ่งเป็นของมู่เฉิน
ใบหน้าของนายหญิงทั้งสี่คลายลง หากมู่เฉินทำสำเร็จมหาพันภพอาจยังไม่สิ้นหวังทุกประตู
“ต่อไป… เราก็จะมาดูว่าเทพปีศาจเก้าเนตรในสภาพพร้อมรบสูงสุดจะทรงพลังเพียงใด” เทพจักรพรรดิทั้งสองเงยหน้าขึ้น ไม่มีความกลัวใดๆ ตรงกันข้ามกลับเผยร่องรอยของความคาดหวัง
ที่สำนักศึกษาเป่ยชาง
มู่เฉินยืนขึ้นพลางยื่นมือไปให้ลั่วหลี “ถึงเวลาที่เราต้องไปแล้ว พรุ่งนี้เป็นวันชี้ชะตาของมหาพันภพ”
สีหน้าลั่วหลีเคร่งเครียดลงพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ
มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อหมอกหลิงค่อยๆ สลายไปพร้อมกับโอบลั่วหลีลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างนุ่มนวล
ภายในสำนักศึกษาเหล่าศิษย์ก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง พวกเขาต่างเงยหน้าขึ้นโค้งคำนับพร้อมกับเสียงที่ทำให้ปฐพีเลื่อนลั่น
“พวกเราขออวยพรให้ศิษย์พี่กลับมาพร้อมกับชัยชนะ!”
อีกด้านหนึ่งเสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทง เวินชิงเฉวียน ถังเชี่ยนเอ๋อและคนอื่น ๆ ก็มองไปที่เงาร่างของมู่เฉิน ก่อนจะประสานมือโค้งคำนับ
“มู่เฉิน พวกข้าจะตั้งมั่นรอที่นี่พร้อมกับเหล้าที่เตรียมไว้สำหรับการกลับมาด้วยชัยชนะของเจ้า”
พวกเขาทราบดีว่าการไปของมู่เฉินครั้งนี้เป็นการต่อสู้เพื่อมหาพันภพ เพื่อทุกคน เพื่อบ้านของพวกเรา
เมื่อมู่เฉินได้ยินเสียงก้องกังวานนั้นก็ยิ้มและหันไปพูดกับลั่วหลีเบาๆ “เพื่อเจ้าและเพื่อลูกสาวในอนาคต—มู่หยุนซี…”
“ข้าไม่มีทางแพ้สงครามครั้งนี้!”
บทที่ 1553 ชื่อข้า
ในสมรภูมิที่ทั้งสองฝ่ายเข้าห้ำหั่นกัน
ผืนดินวินาศสันตะโรผืนฟ้ามืดมิด มากจนแม้แต่มิติก็คงความเสถียรไว้ไม่ได้ บางครั้งเกิดรอยแตกกระจายออกมา…
ในช่วงครึ่งปีทั้งสองฝ่ายใช้สถานที่แห่งนี้เป็นสนามรบและต่างสูญเสียเป็นอย่างมาก จนแม้แต่ผืนโลกยังถูกย้อมเป็นสีแดงฉานเพื่อแสดงถึงความโหดร้ายที่มี
เนื่องจากทวีปแห่งนี้ถูกใช้เป็นสนามรบสำคัญระหว่างมหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจจึงได้รับการตั้งชื่อว่าทวีปหลิงหมัว
หุบเหวไม่มีที่สิ้นสุดทอดยาวออกไปในทวีปซึ่งดูราวกับขากรรไกรปีศาจ ภายในเหวมีกระแสน้ำมหึมาพวยพุ่งขึ้นกระแทกโขดหินส่งเสียงเสียดแทงแก้วหูยิ่งนัก
ทวีปหลิงหมัวแห่งนี้มีปลายด้านหนึ่งเป็นดินแดนปีศาจ อีกด้านหนึ่งคือมหาพันภพ
ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาสงคราม ณ ดินแดนแห่งนี้ไม่เคยหยุดนิ่ง แต่วันนี้กลับเงียบผิดปกติ ซึ่งหาได้ยากในทวีปซึ่งถูกย้อมด้วยเลือดแดงฉานแห่งนี้
อย่างไรก็ตามทุกคนรู้ดีว่านี่คือความเงียบสงบก่อนพายุทำลายล้างจะมา ซึ่งเป็นวันตัดสินชะตากรรมของมหาพันภพ…
หากพวกเขาผ่านพ้นภัยพิบัตินี้ไปได้มหาพันภพก็จะแต่มีสันติสุข มิฉะนั้นทุกสรรพชีวิตในระบบสุริยจักรวาลนี้จะถูกกดขี่และสังหาร ใช้ชีวิตอย่างโหดร้ายทารุณ
ดังนั้นในเวลานี้ทักษะลับนับไม่ถ้วนถูกงัดออกมา คลื่นหลิงก่อตัวเป็นกระจกฉายภาพสถานที่แห่งนี้ไปยังทุกมุมของมหาพันภพ
วันนี้ทุกคนในมหาพันภพเงยหน้าขึ้น กระจกมหึมาก่อตัวขึ้นเหนือทุกทวีปฉายภาพในทวีปหลิงหมัว
ทุกคนวางเรื่องในมือลงจ้องมองไปที่กระจกด้วยสายตาสั่นเทา เสียงสวดมนต์ดังสะท้อนออกมาอยู่ตลอดเวลา
พวกเขาภาวนาขอให้มหาพันภพประสบชัยชนะ
เมื่อทุกสายตาพุ่งผ่านกระจกก็สามารถมองเห็นทางทิศตะวันออกของทวีปหลิงหมัว อัดแน่นไปด้วยรัศมีหลิงเข้มข้น ผู้คนมากมายทอดตัวออกไปสุดสายตา มากขนาดนี้ก็ยังมีผู้คนเร่งรุดมาเพิ่มอีก
เห็นได้ชัดว่าเหล่าจอมยุทธ์ในมหาพันภพต่างมารวมตัวกันที่ทวีปหลิงหมัว
ตรงข้ามกับทิศตะวันตกถูกครอบงำด้วยรัศมีปีศาจ ซึ่งเมฆปีศาจขนาดใหญ่และหนาทึบทอดยาวยังไปฟ้าดิน สายตาดุร้ายสามารถมองเห็นได้ราวกับว่าพวกมันเป็นอสูรกายที่คืบคลานออกมาจากขุมนรก นำพาความพินาศมาสู่โลก
ทางทิศตะวันออกของทวีปหลิงหมัว
ณ จุดสูงสุดท่ามกลางความผันผวนของคลื่นหลิง เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามยืนเอามือไพล่หลัง เมื่อทุกคนที่มองไปยังร่างทั้งสองก็เกิดความรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเทพจักรพรรดิทั้งสองหยุดยั้งไม่ให้จักรวรรดิปีศาจเข้ามารุกรานมหาพันภพได้ สำหรับสุริยจักรวาลแห่งนี้ทั้งสองคือผู้นำอย่างไม่ต้องสงสัย
เหล่านายหญิงทั้งสองแคว้นพร้อมกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อขั้นเซิ่งระยะปลายคนอื่นๆ ยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา
แต่ละคนสวมสีหน้าเคร่งขรึมขณะสายตาวิตกกังวลมองไปที่เผ่าปีศาจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกหวาดกลัวและกระวนกระวายเกี่ยวกับเทพปีศาจจักรพรรดิ
ขณะทุกคนกระวนกระวายมาก หลินต้งและเซียวเหยียนก็ยังคงสงบนิ่ง ดวงตาลึกล้ำราวกับว่าสามารถทะลุผ่านห้วงมิติได้
“เวลาไม่รอท่าแท้จริง ถ้าเรามีเวลาอีกสักสามสิบปีก็คงสามารถเขียนชื่อเต็มไว้บนทำเนียบเหนือภพ ในเวลานั้นไม่ว่าเทพปีศาจจักรพรรดิจะมีวิธีการเช่นไร เราก็สามารถปราบปรามมันได้” หลินต้งถอนหายใจด้วยความเสียใจ
เซียวเหยียนพยักหน้าเห็นด้วยเนื่องจากมีความคิดคล้ายคลึงกัน เพียงอีกสามสิบปี พวกเขาก็สามารถเขียนชื่อเต็มบนทำเนียบเหนือภพได้แล้ว
ถึงเวลานั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องกลัวเทพปีศาจจักรพรรดิหน้าไหนอีก
ทว่าเทพปีศาจก็รู้สึกได้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่มีทางให้โอกาสพวกเขาพลิกสถานการณ์ไปได้
พร้อมกับความคิดที่เกิดขึ้น หลินต้งและเซียวเหยียนก็ถอนหายใจยาว พวกเขาไม่ได้กลัว แต่เพียงรู้สึกเสียใจเพราะอยู่ห่างจากจุดสุดยอดอีกก้าวเดียวเท่านั้น
“หืม?”
ทันใดนั้นทั้งสองก็หดตาพลางเงยหน้าขึ้นมองไปที่รัศมีปีศาจที่ไร้ขอบเขตทางทิศตะวันตก
เวลานี้ฉิงเทียน ชิงซัน จักรพรรดิมังกรแท้จริงและจอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็รู้สึกถึงแรงกดดันของปีศาจที่ทำให้หายใจไม่ออกบีบกดลงมาจากท้องฟ้าห่อหุ้มโลกทั้งใบเอาไว้
ภายใต้ความกดดันนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายอย่างพวกเขายังรู้สึกหวาดกลัว
กองทัพยิ่งใหญ่ของมหาพันภพตกอยู่ในความเงียบงันพร้อมกับความขนพองสยองเกล้าพล่านบนใบหน้า
“คารวะต่อท่านเทพปีศาจจักรพรรดิ!”
เผ่าปีศาจต่างๆ ส่งเสียงโห่ร้องขณะที่คุกเข่าลง
แม้แต่จอมปีศาจเซิ่งเทียนและคนอื่นๆ ก็คุกเข่าด้วยเช่นกัน สายตาโหดร้ายพุ่งตรงไปที่มหาพันภพ
พวกเขารู้ดีว่าการมาถึงของเทพปีศาจจักรพรรดิจะทำลายความสมดุลระหว่างทั้งสองฝ่าย
ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง เมฆปีศาจพลุ่งพล่านภาพเงาหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหน้ากองทัพจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ
เขามีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา เปล่งประกายระยิบระยับด้วยรัศมีรอบตัว ไม่มีกลิ่นอายน่ากลัวใดๆ ที่เป็นของเผ่าปีศาจ ภายใต้รอยยิ้มช่างดูใจบุญสุนทานมากล้น
ทว่าดวงตาทั้งสามบนหน้าผากกลับแผดไอน่ากลัว เมื่อความสุดขั้วทั้งสองรวมเข้าด้วยกันก็ดูลึกลับยิ่งนัก
นี่ก็คือเทพปีศาจจักรพรรดิ
เทพปีศาจโบกมือ เสียงร้องร้อนแรงก็สงบลง เขามองไปที่หลินต้งเซียวและเหยียนพร้อมกับรอยยิ้ม “ห้าปีผันผ่าน ในที่สุดเราก็มาพบกันใหม่”
เสียงนี้ไม่ดังเลย แต่ทำให้ทวีปหลิงหมัวสั่นสะเทือนพร้อมกับคลื่นเสียงแผ่ออกไปข้ามขอบฟ้า ทำให้ท้องฟ้าพังทลายลง
สีหน้าของหลินต้งและเซียวเหยียนเย็นชาลงเช่นกันเมื่อหันไปมองเทพปีศาจด้วยดวงตาเฉียบคม
“เจ้าสองคนน่าทึ่งจริงๆ ถ้าข้าไม่มีรากฐานมาก่อนก็คงไม่สามารถจัดการกับพวกเจ้าได้ ดังนั้นหากเจ้าสองคนยอมรับตราประทับเทพปีศาจของข้าละก็ ข้าจะยอมปล่อยให้มหาพันภพดำรงอยู่ได้” เทพปีศาจมองไปที่หลินต้งและเซียวเหยียนขณะที่พูด
“เราไม่เคยเชื่อในความเมตตากรุณาของศัตรู” เซียวเหยียนยิ้ม
“นอกจากนี้ก็ยังไม่แน่ว่าใครจะชนะสงครามครั้งนี้”
เมื่อได้ยินคำพูดนี่ เทพปีศาจก็ยิ้มไม่แยแส “เจ้าสองคนพัฒนาขึ้นอย่างแข็งแกร่งภายในห้าปี แต่อย่างที่ข้าพูดไม่มีใครในมหาพันภพสามารถหยุดข้าได้ เมื่อข้าได้เก้าเนตรกลับคืนมา”
พูดจบเขาก็ก้าวออกไป แรงกดดันปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมาพร้อมกับเสาปีศาจนับล้านจั้งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากลืนกินแสงสว่างทั้งหมด
ภายในความมืด แรงกดดันปีศาจที่น่ากลัวแผ่กระจายออกไป ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวไม่รู้จบ
ฝั่งกองทัพมหาพันภพ ทุกคนตกอยู่ในความมืดขณะที่อุทานขึ้นด้วยความกลัว ความมืดนี้ดูเหมือนจะสามารถกัดกร่อนจิตใจของผู้คนได้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังสั่นสะท้าน ถ้าสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไปผู้คนต้องเป็นบ้าแน่
ฟู่ ฟู่!
ขณะที่มหาพันภพตกอยู่ในความโกลาหล เพลิงโชติช่วงขนาดใหญ่ก็ลุกโชนกลายเป็นดอกบัวหมุนรอบตัวช้าๆ เอิบอาบด้วยรัศมีขับไล่ความมืด
บนดอกบัวเรือนผมของเทพจักรพรรดิอัคคีพะเยิบพะยาบเบาๆ ขณะที่สาดสีหน้าเย็นชา
ตู้ม!
ในเวลาเดียวกันอักขระโบราณแปดตัวก็หมุนไปรอบ กลายเป็นวงแสงที่มีคลื่นขนาดใหญ่แผ่ออกมาเพื่อขับไล่ความมืด
เมื่อดอกบัวเพลิงและอักขระโบราณไหลเวียน ก็ยึดครองท้องฟ้าฝั่งหนึ่งและขับไล่ความมืดออกไป
อย่างไรก็ตามความมืดยังคงแผ่กระจายออกไปในท้องฟ้าส่วนใหญ่ กลืนกินแสงสว่างอย่างต่อเนื่อง พยายามที่จะห่อหุ้มมหาพันภพไว้ในความมืดอีกครั้ง
พลังงานทั้งสองฝ่ายเสียดสีกันอยู่ตลอดเวลา รัศมีวูบไหวระหว่างความสว่างและความมืด
ทุกคนในมหาพันภพมองไปที่ภาพนี้ด้วยอาการตัวสั่นเทา พวกเขาสวดอ้อนวอนไม่หยุด เนื่องจากรู้ว่าดอกบัวและอักขระพวกนี้คือความหวังสุดท้ายของพวกเขา
“อย่างที่ข้าบอกไปแล้ว เจ้าสองคนหยุดข้าไม่ได้” เทพปีศาจมองดูอย่างไม่แยแส ก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ ความมืดไร้ขอบเขตแผ่ออกไปเรื่อยๆ
ความมืดค่อยๆ กลืนกินแสงจากดอกบัวและอักขระโบราณ
ทุกคนรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งหัวใจกับภาพเบื้องหน้าครรลองสายตา ‘เทพปีศาจจะชนะจริงหรือ?’
ทว่าตอนที่พวกเขากำลังเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เสียงผิดแผกก็ดังขึ้น เสียงหัวเราะสดใสดังก้องไปทั่วมหาพันภพ
“ในเมื่อสองคนไม่พอ ก็เพิ่มอีกคนแล้วกัน…”
ทันทีที่เสียงนั้นดังก้อง ทุกคนก็เหลียวมองไปที่ด้านหลัง จากนั้นตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น เนื่องจากพบว่ามีคลื่นหลิงไร้ขอบเขตรวมตัวกัน พลังเอกภพลึกลับพลิ้วลงมาก่อตัวเป็นม่านแสง…
“ทำเนียบเหนือภพ!”
เมื่อฉิงเทียน ชิงเหยี่ยนจิ้งและจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายคนอื่นๆ เห็นภาพนี้ก็อุทานด้วยความตื่นเต้น
“นั่นมู่เฉิน!”
“ในที่สุดเขาก็มาถึงที่นี่และเรียกทำเนียบเหนือภพแล้ว!”
“เขากำลังจะเขียนชื่อลงไปแล้ว!”
พวกเขามองไปที่กระดานด้วยความตื่นเต้น ขณะที่ร่างเงาหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นพร้อมกับรูปลักษณ์ที่คุ้นเคย เขาก็คือมู่เฉิน
ยามนี้มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่กระดานด้วยสองมือประสานกันค่อยๆ วางลงไป
ขณะเดียวกันเสียงสะท้อนก็ดังก้องไปทั่วหล้า
“วันนี้ทำเนียบเหนือภพจะจารึกชื่อข้า”
บทที่ 1554 เทพจอมยุทธ์คนที่สาม
เสียงดังก้องพร้อมกับพลังลึกลับสะท้อนไปทั่วทุกมุมมหาพันภพ
ในเวลาเดียวกันทุกคนก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่กระดานสูงตระหง่านด้วยความตกใจ
กระดานนี้ทั้งลึกลับและโบราณนำพาแรงกดดันที่ไม่อาจอธิบายได้ ราวกับน้ำหนักของโลก
ที่ทวีปหลิงหมัวจอมยุทธ์ทุกคนก็ตัวสั่น พวกเขารู้ว่าทำเนียบเหนือภพเป็นตัวแทนของอะไร
นั่นหมายความว่านอกเหนือจากเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามแล้ว มหาพันภพจะมีเทพจอมยุทธ์ทำเนียบเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง
นี่เป็นข่าวดีสำหรับมหาพันภพ
หลินต้งและเซียวเหยียนรู้สึกพอใจกับภาพเบื้องหน้า เนื่องจากมู่เฉินปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญ นอกจากนี้ขวัญกำลังใจของเหล่าจอมยุทธ์ก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน
“ทำเนียบเหนือภพ?!”
การปรากฏขึ้นของกระดานโบราณขับไล่ความมืดที่ไม่มีที่สิ้นสุด เทพปีศาจกวาดมองไปที่ร่างสูงโปร่งที่เบื้องล่างนั่นด้วยสายตาโหดร้าย
“ที่แท้มหาพันภพพยายามจะสร้างจอมยุทธ์เหนือภพขึ้นมาใหม่ในช่วงห้าปีนี้นี่เอง!”
เทพปีศาจหรี่ตาลงเยาะเย้ย “แต่ถึงพลังของไอ้หนูนี่จะค่อนข้างดี แต่ก็ยังขาดไปส่วนหนึ่งที่จะเขียนชื่อของตนเองไว้บนกระดานบ้านั่น”
ด้วยสายตาเฉียบคม เทพปีศาจสามารถบอกได้เลยว่าขุมพลังของมู่เฉินอาจจะอยู่เหนือระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลาย แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะจารึกชื่อไว้ได้
มู่เฉินได้ยินเสียงเยาะเย้ยอย่างชัดเจน ทว่าเขากลับไม่สนใจเงยหน้าขึ้นมองกระดานโบราณด้วยแววตาลุกโชน
ในที่สุดเขาก็สามารถทำตามความปรารถนาที่ตั้งไว้ได้แล้ว
ตอนนี้เขาเริ่มวาดตราประทับ รัศมีระเบิดออก ทุกคนสามารถเห็นร่างโบราณที่เอิบอาบด้วยรัศมีนิรันดร์—ร่างมหาเทพนิรันดร์!
ภายใต้การควบคุมของมู่เฉิน ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็ก้าวออกมารวมเข้ากับร่างกายเขา ขณะนี้รัศมีระเบิดออกมาจากมู่เฉิน ทำให้ทั้งร่างของเขาดูราวกับอัญมณีโปร่งแสง เมื่อคลื่นหลิงไหลเวียนก็เกิดแรงกดดันที่ไม่อาจจินตนาการได้
เวลานี้แม้แต่จอมยุทธ์อย่างฉิงเทียนยังรู้สึกกดดันอย่างมากจากมู่เฉิน
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนมู่เฉินค่อยๆ ยื่นนิ้วออกมา กดลงบนกระดานโบราณ
ฮึ่ม!
ในช่วงเวลาที่สัมผัสกันจักรวาลก็สั่นสะเทือน พลังลึกลับบนทำเนียบพยายามขัดขวางเขาจากการสร้างชื่อเอาไว้
“ยังขาดนิดหน่อย” หลินต้งและเซียวเหยียนแสดงความคิดเห็น เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินอาจจะสามารถกระตุ้นทำเนียบเหนือภพได้ แต่ก็ยังไม่พอที่จะเขียนชื่อตนเองลงไป
นี่มีสาเหตุมาจากรากฐานของเขา เพราะสุดท้ายเขาก็ยังอ่อนเยาว์ ต่อให้สืบทอดมรดกของเทพจักรพรรดินิรันดร์แล้ว แต่ก็ไม่น่าเชื่อสำหรับมู่เฉินที่จะบรรลุเป้าหมายนี้
“ดูเหมือนความหวังของพวกแกจะดับวูบลงแล้วใช่ไหม?” เทพปีศาจยิ้มตาหยี
เสียงหัวเราะระเบิดจากกองทัพจักรวรรดิปีศาจ ขณะตอกหน้าใส่มหาพันภพ
ทว่าหลินต้ง เซียวเหยียนและจอมยุทธ์สูงสุดคนอื่นๆ ไม่ได้รับผลกระทบอะไร เนื่องจากพวกเขาคาดการณ์เรื่องนี้มานานแล้ว มิหนำซ้ำมู่เฉินก็ไม่คิดจะพึ่งพาความสามารถของตัวเองอย่างเดียวในการเขียนชื่อไว้บนทำเนียบเหนือภพ
ท่าทางของมู่เฉินไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เขาไม่ได้ฝืนเมื่อพบสิ่งกีดขวาง แต่กลับหลับตาลง
การหลับตากินเวลาไปสิบกว่าลมหายใจ
ขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกงุนงง จู่ๆ มิติก็ฉีกออกจากกันด้านหลังมู่เฉิน ทุกคนเห็นเงาร่างสีดำและสีขาวมายืนอยู่ข้างๆ เขา
ภาพเงาทั้งสองสวมเสื้อคลุมสีดำและสีขาวตามลำดับ ดูเหมือนกันกับมู่เฉินมาก
“เรามาสายไปหน่อย” มู่เฉินชุดดำยิ้มแหย
“มาถูกเวลาเลยทีเดียว” มู่เฉินยิ้มขณะที่พูดต่อ “ลงมือเถอะ”
ร่างรองทั้งสองพยักหน้าพลางประสานมือ จากนั้นรัศมีหลิงไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกที่เบื้องหลังพวกเขาราวกับกลายเป็นโลกแห่งพลังงานหลิง
ภายในโลกมีร่างเงาโบราณสองร่างปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ
ร่างหนึ่งดูเหมือนทำจากอัญมณีขาวใสซึ่งเอิบอาบด้วยความสว่างไม่มีที่สิ้นสุด ในเส้นทางของแสงกระทั่งมิติก็ยังทนทานขึ้นจนไม่สามารถทำลายได้
อีกร่างหนึ่งดูเหมือนไร้ตัวตน แต่กลับถูกห่อหุ้มด้วยพลังงานไร้ขอบเขต ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์อย่างฉิงเทียนยังรู้สึกว่าตัวตนอ่อนแอ
ร่างมหารัศมีอนันด์!
ร่างมหาปราชญ์วิญญาณ!
ทุกคนมองไปที่ร่างสองร่างพร้อมกับประกายไฟแล่นพล่านในดวงตา ทั้งสองร่างก็คือหนึ่งในร่างมหาเทพปฐมกาล ไม่คิดว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จในการฝึกฝนจริงๆ
นั่นหมายความว่าเวลานี้มู่เฉินเป็นผู้สืบทอดร่างมหาเทพปฐมกาลสามร่าง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“เขาทำได้จริงๆ” หลินต้งและเซียวเหยียนถอนหายใจ วิชาสามพิสุทธิ์มีความลึกซึ้งอย่างแท้จริง แต่นั่นก็เป็นโชคชะตาของมู่เฉินด้วย ซึ่งแปลว่าวิชาสามพิสุทธิ์เหมาะสมกับเขามาก กระทั่งพวกเขาเองยังไม่รู้สึกว่าจะทำได้ดีกว่าเขา
รอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าเทพปีศาจแข็งค้างขณะมองไปที่มู่เฉินอย่างลึกล้ำ “ไม่คิดว่าจะมีคนสามารถรวมร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งสามไว้ในคนคนเดียวได้”
เขาสามารถบอกได้ว่ามู่เฉินทั้งสามเป็นร่างเดียวกัน นี่น่าจะเป็นทักษะพิมพ์ร่างที่ลึกซึ้ง ที่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองและฝึกฝนร่างมหาเทพปฐมกาลได้
จอมยุทธ์จะต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของตนเองที่เบื้องหน้าทำเนียบเหนือภพ แต่มู่เฉินทั้งสามเป็นคนเดียวกัน ดังนั้นจึงสามารถร่วมมือกัน
นั่นหมายความว่าไม่ยากแล้วที่มันจะเขียนชื่อไว้บนกระดานโบราณเส็งเคร็งนั่น
ดวงตาของเทพปีศาจวูบไหว คิดจะลงมือทำลายแต่สุดท้ายก็รั้งตัวเองไว้ เพราะการปรากฏขึ้นของทำเนียบเหนือภพทำให้เวลานี้พลังงานพิภพแข็งแกร่งอย่างที่สุด ดังนั้นหากเขาออกกระบวนท่าอะไรก็จะถูกโจมตีจากกระดานโบราณแทน
แม้ว่าอนาคตเขาจะจัดการกับกระดานนั่นเพื่อให้อยู่ในการควบคุม แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม
ดังนั้นเขาจึงกดรัศมีปีศาจโดยรอบมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา
ฮึ่ม!
ในเวลาเดียวกันร่างมหารัศมีอนันด์และร่างมหาปราชญ์วิญญาณก็ได้หลอมรวมกับร่างรองของมู่เฉิน คลื่นหลิงของพวกเขาเพิ่มขึ้นในระดับที่น่ากลัว
“ให้เราช่วยเสริมแรงเจ้า!”
ร่างรองทั้งสองคำรามขณะที่ยื่นมือออกมาพร้อมกับกระแสพลังงานหลิงที่ไร้ขอบเขตสองสายระเบิดออกมาจากฝ่ามือพวกเขา
ตู้ม!
กระแสพลังทั้งสองรวมกันที่นิ้วของมู่เฉิน นิ้วก็โปร่งใสแบบคลุมเครือ
พร้อมกับท่าทางเคร่งเครียด นิ้วของมู่เฉินก็ค่อยๆ แตะลงไป
เมื่อนิ้ววาดลงไป แรงกีดขวางลึกลับก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดวงตาของมู่เฉินระเบิดด้วยแสงแหลมคมพลางกดลงไปอย่างแรง
ฮึ่ม!
ขณะนั้นระลอกคลื่นกระจายออกไปบนทำเนียบเหนือภพ ม้วนตัวไปทั่วมหาพันภพโลก
ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นเสียงโบราณในเวลานี้
แรงกีดขวางลึกลับถูกเจาะทะลุในเวลานี้ มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ว่านิ้วได้กดลงบนทำเนียบแล้ว จากนั้นก็ตวัดเส้นสายบนกระดานลึกลับ
พร้อมกับนิ้วของมู่เฉินพลิ้วไหว ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงพลังลึกลับที่รวบรวมบนกระดานพร้อมกับเส้นสายที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น
เมื่อเส้นสายสุดท้ายสะบัดลง พลังยิ่งใหญ่ก็กวาดออกมา คำว่า ‘มู่’ ถูกจารึกไว้บนทำเนียบเหนือภพเรียบร้อย
มู่!
เมื่อปลายตัวอักษรจบลง มู่เฉินก็ครุ่นคิดชั่วครู่และคิดดำเนินการต่อ ทว่าเขาก็ต้องหยุดลงเพราะรู้สึกได้ว่าตนเองยังไม่แข็งแกร่งพอ
“ทำเนียบเหนือภพแยกออกเป็นส่วนชื่อและแซ่ ตราบใดที่จารึกทั้งสองส่วนเสร็จถึงจะนับว่าได้จารึกชื่อไว้อย่างสมบูรณ์แบบ”
“แต่การพยายามทำส่วนที่สองให้เสร็จยากกว่าส่วนแรก ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมท่านเซียวเหยียนและท่านหลินต้งถึงติดอยู่ในขั้นตอนนี้”
มู่เฉินสั่นหัวอย่างเสียดาย ถ้าเขาจารึกชื่อทั้งหมดได้การจัดการกับเทพปีศาจจักรพรรดิก็จะไม่มีปัญหา
ขณะที่เขาถอนหายใจในหัวใจ มู่เฉินก็ถอนมือกลับ ขณะเดียวกันอักษรมู่ก็เปล่งประกายความสดใสราวกับว่าถูกตราตรึงในส่วนลึกของสุริยจักรวาลนี้แล้ว
พลังลึกลับพลิ้วลงมาห่อหุ้มมู่เฉินทั้งสาม
พวกมู่เฉินหลับตาลงเสื้อผ้ากระพือไหว ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ไม่อาจต้านทานได้ค่อยๆ แทรกซึมออกจากร่างมู่เฉิน
นี่เกินขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้ว!
นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
มู่เฉินทั้งสามสบตากันพลางยิ้ม พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังงานลึกลับในร่างกาย นี่คือพลังงานพิภพ
ตอนนี้พวกเขาแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนยิ่งขึ้นไปอีก
“ยินดีกับการจารึกชื่อไว้บนทำเนียบเหนือภพได้” เซียวเหยียนกับหลินต้งยิ้มขณะประสานมือไปทางมู่เฉิน
ยามนี้มู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ในระดับเดียวกับพวกเขาแล้ว
ทุกคนในมหาพันภพเฝ้ามองฉากนี้ด้วยความตื่นเต้นและเสียงดังก้องขึ้น
“ขอแสดงความยินดีกับเทพจักรพรรดิมู่ที่เขียนชื่อไว้บนทำเนียบเหนือภพได้!”
ฉิงเทียนและเหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นปลายก็โค้งคำนับให้ น้ำเสียงพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความเคารพ ตอนนี้มู่เฉินมีคุณสมบัติที่จะยืนในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามแล้ว หลังจากจารึกชื่อไว้บนทำเนียบสำเร็จ
ด้วยสถานะของเขาสมควรได้การเรียกว่าเทพจักรพรรดิมู่แล้ว!
นั่นเป็นเพราะขณะนี้มู่เฉินคือเทพจอมยุทธ์อันดับสามของมหาพันภพ!
ขอบคุณครับ สนุกมาก
ตอบลบ