Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1145-1150
ราชันเร้นลับ 1145 : ศรสามดอก
ไคลน์ไม่มีเวลามัวคิดเล็กคิดน้อย ทันทีที่เข้าสู่สถานะ ‘ปกปิด’ ชายหนุ่มสั่งให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนสลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดใหม่ที่เป็นอดีตโจรสลัด
ทันทีหลังจากนั้น มันกระตุ้นยุบพองหิวโหยและพาหุ่นเชิดเอ็นยูนกับโจนาสไปยังสุสานในแคว้นอาโฮว่า
เนื่องจากภาพฉายทางประวัติศาสตร์จะถูกดึงออกมาได้มากที่สุดเพียงสามภาพในเวลาเดียวกัน ไคลน์จึงไม่มีทางเลือกนอกจากใช้ร่างจริงพาหุ่นเชิดมาด้วย เพราะถ้าส่งภาพฉายทางประวัติศาสตร์มาแทน นั่นจะเป็นการสิ้นเปลือง ‘โควตา’ ที่สำคัญสำหรับอัญเชิญภาพฉายอื่น ส่วนหุ่นเชิดที่ยังหลงเหลือในจัตุรัสรำลึก มันจะไม่ตายในทันที ยังมีชีวิตอยู่ได้อีกราวครึ่งชั่วโมงในสภาพเหม่อลอย แต่ก็ไม่ใช่สถานะที่ผิดปกติในการฟังสุนทรพจน์ และต่อให้ไคลน์ไม่กลับไป ก็จะมีถุงมือแดงจากโบสถ์รัตติกาลมาช่วยเก็บกวาดให้
ขณะเดียวกันด้านนอกสุสานลับในแคว้นเชสเตอร์ตะวันออก แบร์นาแดตซึ่งสวมชุดสีเหลืองของเด็กสาวและหมวกอ่อนสีดำทรงโบราณ ถูกรายล้อมด้วยเถาวัลย์ที่งอกเงยจากความว่างเปล่า
ผมยาวสีเกาลัดของเธอถูกปล่อยลงตามธรรมชาติ คิ้วยาวตรงได้สัดส่วน ดวงตาคล้ายกับอัดแน่นไปด้วยน้ำทะเลสีคราม
จ้องมองกำแพงภูเขาตรงหน้า ราชินีเงื่อนงำยื่นมือขวาออกไปพร้อมกับสร้างสัญลักษณ์จากความว่างเปล่า
เพียงตวัดปลายนิ้ว หยดเลือดสีแดงสดที่ดูคล้ายกับอัญมณีเลอค่า ไหลออกจากความว่างเปล่าและแข็งตัว
เพียงพริบตาสัญลักษณ์ซับซ้อนที่เกิดจากการเรียงทับของ ‘ประตู’ ถูกวาดเสร็จ พวกมันสั่นระริกราวกับกำลังเชื่อมต่อเข้ากับที่ใดสักแห่ง
ไม่กี่อึดใจถัดมา สัญลักษณ์โลหิตขยายตัวกลายเป็นประตูมายาโปร่งแสง มองเข้าไปด้านในจะเห็นสุสานขนาดใหญ่ที่สร้างจากหินสีดำ
แบร์นาแดตย่างกรายเข้าไปทันที ผ่านกรอบประตูมายาจนกระทั่งบรรยากาศกลายเป็นมืดสลัว
แสงสว่างส่องมาจากเสาหินทั้งสองฝั่งทางเดินและตะไคร่น้ำประหลาดที่เกาะอยู่บนกำแพง พวกมันช่วยกันมอบแสงสว่างจนเธอสามารถมองเห็นสุสานลับที่ตั้งอยู่ภายในสายหมอกด้านล่าง
สัญลักษณ์ของมิสเตอร์ประตูใช้ได้จริง!
ทันใดนั้นพิธีกรรมบางอย่างถูกประกอบขึ้นอย่างรวดเร็วในชั้นใต้ดิน ส่งผลให้จุดแสงเริ่มทยอยมารวมตัวกันและควบแน่นกลายเป็นร่างหนึ่งกลางอากาศ
ร่างดังกล่าวมีคางเหลี่ยม ผมสีดำ ดวงตาสีฟ้า จมูกโด่ง เคราดกหนา สีหน้าแววตาเคร่งขรึม
รูปลักษณ์เช่นนี้นับว่าคุ้นตาชาวโลเอ็นเป็นอย่างมาก เพราะเหมือนกับใบหน้าที่ถูกพิมพ์บนธนบัตรสิบปอนด์ทุกประการ และแน่นอน ต่อให้คนที่ไม่เคยจับธนบัตรสิบปอนด์มาก่อน ก็ต้องเคยเห็นรูปปั้นที่มีใบหน้าดังกล่าวตามสถานที่สำคัญของอาณาจักร เช่นจัตุรัสรำลึก
ผู้ก่อตั้งและผู้พิทักษ์ของอาณาจักรโลเอ็น ปฐมกษัตริย์ วิลเลียมออกัสตัสที่หนึ่ง
ตัวตนที่สมควรถูกเรียกว่า ‘ท่าน’ !
อาศัยความช่วยเหลือจากพิธีกรรม ท่านสามารถหายตัวจากเบ็คลันด์มาปรากฏกายที่นี่ได้ในพริบตา!
สีหน้าแบร์นาแดตยังคงเรียบเฉย เพียงพลิกฝ่ามือ สมบัติชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้น
วัตถุดังกล่าวมีสีทอง รูปทรงคล้ายกาน้ำใบเล็ก มีไส้เทียนยื่นออกจากปากกา
ทันทีที่มือขวาของแบร์นาแดตถูไถไปบนผิววัตถุที่ปกคลุมด้วยสัญลักษณ์ซับซ้อน ไส้ตะเกียงลุกไหม้เงียบงัน
ละอองแสงที่สว่างขึ้นดูคล้ายกับไอน้ำที่ลอยสูง ก่อตัวเป็นร่างสีทองซีดอันพร่ามัวและบิดเบี้ยว
“ผู้เป็นนิรันดร์แห่งตะเกียงวิเศษเอ๋ย ความปรารถนาที่สองของข้าคือได้รับความแข็งแกร่งของ ‘จักรพรรดิความรู้’ เป็นเวลาหนึ่งวัน” แบร์นาแดตฉวยโอกาสที่วิลเลียมออกัสตัสยังเคลื่อนย้ายร่างกายไม่สมบูรณ์ กล่าวเป็นภาษาคนยักษ์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
สมบัติที่อยู่ในมือเธอมีชื่อว่า ‘ตะเกียงวิเศษประทานพร’ กล่าวกันว่ามาจากยุคสมัยที่หนึ่ง ถึงแม้เจ็ดโบสถ์หลักจะไม่เคยครอบครองสิ่งนี้ แต่มันก็มีรหัสของสมบัติปิดผนึก
ศูนย์-ศูนย์ห้า!
สมบัติชิ้นนี้สามารถบรรลุความปรารถนาของผู้ถือได้สิบข้อ แต่จะมาในรูปแบบที่บิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยผลลัพธ์ที่ยากจะคาดเดา
ไม่เคยมีอดีตเจ้าของคนใดเผชิญจุดจบที่ดี ไม่เว้นแม้แต่โรซายล์กุสตาฟ
มหาจักรพรรดิได้ตักเตือนบุตรสาวของตนว่า สำหรับพรสองข้อแรก ต้องไตร่ตรองคำพูดให้รอบคอบและเตรียมการอย่างถี่ถ้วนเสียก่อน แต่ห้ามขอพรข้อที่สามเด็ดขาด ไม่ว่ายังไงก็ห้าม!
…
แคว้นอาโฮว่า ใกล้กับสุสานลับ ไคลน์มาเยือนที่นี่อย่างเงียบงันโดยปราศจากพิรุธ
แม้ว่าเวลาจะกระชั้นชิดเข้ามา แต่ชายหนุ่มก็มิได้บุ่มบ่ามบุกเข้าไปในสุสานอย่างประมาท เพียงเหยียดแขนขวาจับอากาศตรงหน้า
หลังจากทำแบบเดิมซ้ำห้าครั้ง กล้ามเนื้อแขนไคลน์พลันหดเกร็งประหนึ่งกำลังดึงวัตถุที่หนักมาก
เมื่อดึงมือขวากลับ ร่างหนึ่งถูกวาดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ร่างดังกล่าวมีผิวสีแทน รูปร่างสันทัด ผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล ใบหน้าอ่อนโยนและมีไฝเม็ดเล็กใต้ติ่งหูขวา ไม่ใช่ใครนอกจากอะซิกอายเกส
ทว่าแตกต่างจากอะซิกที่ไคลน์รู้จัก ร่างดังกล่าวมีดวงตาเย็นชาสุดขีด แต่งกายในเสื้อคลุมสีดำเข้มปักด้ายสีทอง เหนือศีรษะสวมมงกุฎรูปนกที่สร้างจากทองคำ สายตามองต่ำราวกับกำลังดูแคลนสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
นี่คืออดีตกงสุลมรณะ เทวทูตลำดับสอง!
ไคลน์ไม่มัวจ้องมอง เหยียดแขนจับอากาศอีกครั้ง
ในหนนี้ คล้ายกับมันไม่ได้จับสิ่งใดออกมา แต่ในความจริงเป็นการเรียกตัวเองเมื่อสิบวินาทีที่แล้วซึ่งอยู่ในสถานะถูกปกปิด!
จากนั้น ไคลน์โยนขวดโลหะให้ภาพฉายตัวเองก่อนจะหายตัวเข้าไปในช่องว่างประวัติศาสตร์
สติฟื้นคืนมาอยู่ในร่างอดีตด้วยความคล่องแคล่ว
ไคลน์ในสถานะปกปิด นำกงสุลมรณะอะซิก ไปยังที่ตั้งสุสานลับซึ่งมองไม่เห็นทางเข้า จากนั้นก็หยิบขวดโลหะเมื่อครู่และใช้พลังวิญญาณดึงเลือดสีแดงสดราวกับอัญมณีออกมา วาดเป็นสัญลักษณ์สีแดงของมิสเตอร์ประตูกลางอากาศอย่างว่องไว
สัญลักษณ์เสร็จสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว เชื่อมต่อกับบางจุดภายในสุสานและขยายตัวเป็นประตูมายา
ไคลน์ในสถานะปกปิดและกงสุลมรณะอะซิก เดินผ่านกรอบประตูส่งตัวเองเข้าไปในสุสานปลายทาง
ขณะเดียวกันบรรดาเวรยามต่างตระหนักถึงผู้บุกรุกและเริ่มประกอบพิธีกรรม แต่สิ่งที่พวกมันเห็นกลับมีเพียงกงสุลมรณะซึ่งก้มมองทุกคนด้วยสายตาดูแคลน
ที่ใดสักแห่งภายในกรุงเบ็คลันด์ ขณะอดีตยุคแห่งนันวีลล์ ดริงก์ออกัสตัส เตรียมใช้เส้นทางที่เปิดออกโดยพิธีกรรมเพื่อมุ่งหน้าไปยังสุสานลับปลายทาง ชายที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้วและโพล่งขึ้น
“นั่นมันอะซิกอายเกส…ไม่สิ ท่าทีแข็งเกินไป คล้ายกับภาพฉายทางประวัติศาสตร์ที่ปราชญ์โบราณของลัทธิเร้นลับเรียกออกมา…งานนี้ให้ข้าจัดการเอง ท่านอยู่ที่นี่เพื่อคอยรับมือกับปราชญ์โบราณที่อาจซ่อนตัวในความมืด แม้พวกมันจะยังไม่ใช่เทวทูตแต่ก็น่ารำคาญพอตัว”
ดริงก์ออกัสตัส ชายชราซึ่งค่อนข้างเย่อหยิ่ง ผมสีดำมีสีเงินแซมพอประมาณ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาแสยะยิ้มหลังจากได้ยิน
“ปราชญ์โบราณก็อยู่ด้วยกันไม่ใช่หรือ? แม้จะเป็นสถานะปกปิด แต่ข้าสัมผัสได้จากความผิดปรกติรอบตัว…เจ้านั่นกำลังตบตาเรา ทำให้เราเข้าใจว่าเป็นการหลอกโจมตีที่นี่ด้วยภาพฉายทางประวัติศาสตร์ ส่วนตัวจริงเตรียมโจมตีสุสานอื่น…แต่ความจริงแล้วกำลังซ่อนตัวอยู่ข้างภาพฉายของอะซิก รอจนกระทั่งพวกเรานำกำลังหลักไปไว้ที่อื่น มันจะอาศัยสถานะปกปิดลอบเข้าไปทำลายสุสาน…นอกจากนั้นไม่ว่าตัวจริงจะอยู่ด้วยกันหรือไม่ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายอัญเชิญภาพฉายระดับเทวทูตออกมาแล้ว ต่อให้เจ้าใช้งานสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ แต่การกำจัดทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หากการต่อสู้ส่งผลกระทบไปถึงสุสาน สิ่งที่พวกเราทำมาทั้งหมดก็จะสูญเปล่า…และถึงอีกฝ่ายจะหลอกสามชั้นด้วยการนำตัวจริงไปบุกสุสานอื่น เจ้านั่นก็คงอัญเชิญเทวทูตตนใหม่ออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ไม่ได้แล้ว ส่งผลให้เจ้าจัดการได้ค่อนข้างง่าย”
ขณะกล่าววรรคแรก ดริงก์ออกัสตัสได้เดินผ่านประตูที่เปิดจากพิธีกรรมเข้าไปแล้ว ส่วนรายละเอียดช่วงหลังเป็นการพูดผ่านภาพมายาที่ยังตกค้างอยู่
ภายในสุสานลับแห่งแคว้นอาโฮว่า อะซิกอายเกสซึ่งมีสีหน้าเฉยเมยและเย็นชา ชำเลืองไปรอบตัวก่อนจะขยายร่างกลายเป็นงูยักษ์ซึ่งปกคลุมพื้นที่ว่างด้านบนสุสาน
งูยักษ์ดังกล่าวดูกึ่งมายากึ่งจริง คล้ายกับก่อตัวจากสิ่งที่มนุษย์มิอาจทำความเข้าใจ ร่างกายทุกส่วนปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีเขียวเข้มขนาดใหญ่ ตามซอกเกล็ดมีขนนกสีขาวงอกแซม บนเกล็ดอัดแน่นด้วยสัญลักษณ์ประหลาดที่มีรูปร่างแตกต่างกัน เพียงจ้องมองด้วยตาเปล่าก็มากพอจะทำให้คนเป็นเปลี่ยนเป็นซอมบี้
นี่คือ ‘เทพงูขนนก’ ในตำนานทวีปใต้ เบ้าตาลุกโชนด้วยเพลิงสีซีด ปีกขนาดมหึมาแผ่ออกจากแผ่นหลัง
ท่ามกลางเสียงสายลม งูขนนกที่กำลังลอยกลางอากาศ โน้มตัวไปด้านหน้าพร้อมกับพ่นเพลิงสีซีดออกมาปกคลุมสุสาน
…แม้ภาพฉายทางประวัติศาสตร์ของมิสเตอร์อะซิกจะอ่อนแอกว่าตัวจริงพอสมควร แต่ก็ยังแข็งแกร่งมากอยู่ดี…สมแล้วที่เป็นบุตรแห่งเทพมรณา กงสุลมรณะแห่งจักรวรรดิไบลัม…ไคลน์ซึ่งเคยทดลองอัญเชิญบนเกาะ คาดไม่ถึงว่าอะซิกอายเกสในร่างอดีตจะแข็งแกร่งขนาดนี้
ในเวลาเดียวกัน ละอองแสงกลุ่มหนึ่งพุ่งมาจากส่วนลึกของสุสาน ส่งผลให้เปลวไฟสีซีดชะงักงัน มิอาจพุ่งไปข้างหน้าได้มากกว่าเดิม
วินาทีถัดมาละอองแสงก่อตัวเป็นร่างมนุษย์ ไม่ใช่ใครนอกจากเทวทูตลำดับสอง ‘ผู้สร้างสมดุล’ ดริงก์ออกัสตัส
เมื่อเห็นอีกฝ่าย ไคลน์ในสภาพถูกปกปิดพลันเปลี่ยนท่าทีกลายเป็นแข็งทื่อและไร้ชีวิตชีวา เคลื่อนไหวจากสัญชาตญาณได้เพียงอย่างเดียว เนื่องจากจิตของไคลน์ถูกส่งกลับไปยังช่องว่างประวัติศาสตร์ซึ่งอยู่นอกสุสานลับเรียบร้อยแล้ว
จากนั้นชายหนุ่มเทเลพอร์ตไปยังด้านนอกสุสานลับทางตอนล่างของแม่น้ำทัสซอค หยิบขวดโลหะอีกใบออกมาพร้อมกับใช้พลังวิญญาณวาดสัญลักษณ์สีแดง
เพียงพริบตา สัญลักษณ์เลือดเสร็จสมบูรณ์และกลายเป็นประตูมายา ไคลน์กับหุ่นเชิดโจนาสและเอ็นยูนพากันย่างกรายเข้าไป
แน่นอนว่าในแม่น้ำและป่าด้านนอก ไคลน์เปลี่ยนหลายชีวิตให้เป็นหุ่นเชิดเตรียมรอไว้แล้ว
…
ใกล้กับโบราณสถานหมายเลขหนึ่งแถบชานเมืองเบ็คลันด์ ร่างหนึ่งออกจากสถานะล่องหน
ผมสีดำขลับ ใบหน้ากลมกลึงและอ่อนโยน เจือความอ่อนหวานเล็กน้อย บรรยากาศรอบตัวน่าหลงใหล ไม่ใช่ใครนอกจากแม่มดทริสซี่
หลังจากทริสซี่เข้าใกล้โบราณสถานหมายเลขหนึ่ง เธอหยิบขวดโลหะออกมาและใช้เลือดด้านในวาดสัญลักษณ์ของมิสเตอร์ประตู
ประตูมายาก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
ราชันเร้นลับ 1146 : นักต้มตุ๋นตัวจริง
หลังจากเดินผ่านประตูมายา ทริสซี่พรางตัวเงียบงันกระโดดจากหน้าผาตรงทางเข้า ร่อนลงไปในหุบเหวที่มืดมิดจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง
ที่นั่นคือสุสานลับของจักรพรรดิโลหิตทูดอร์
ระหว่างกำลังร่อนลง ร่างของทริสซี่เบาราวกับขนนก น้ำหนักของเธอแทบไม่หลงเหลือ แต่ความเร็วกลับไม่ลดลง
ไม่มีเวรยามคนใดตระหนักถึงการลอบเข้ามาของเธอ
ขณะทริสซี่กำลังย่างกรายเข้าใกล้เป้าหมาย เสียงหนึ่งดังขึ้น
“ห้ามซ่อนตัวที่นี่”
ร่างของทริสซี่ถูกเผยทันทีโดยมิอาจขัดขืน เธอพบชายคนหนึ่งกำลังลอยอยู่เหนือสุสานซึ่งเด่นตระหง่านท่ามกลางก้นหุบเหวอันมืดมิด
ชายคนดังกล่าวมีโครงหน้าทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ผมสีขาว หนวดม้วนเหนือริมฝีปาก คิ้วดกหนา ดวงตาค่อนข้างโต
แต่งกายในชุดสูทสุภาพ สวมผ้าคลุมผืนใหญ่ หัวรองเท้ายาวผิดปกติ รสนิยมค่อนข้างล้าสมัย ไม่ใช่ใครนอกจากครึ่งเทพผู้สนับสนุนจอร์จที่สาม เจ้าชายโกรฟ
นักล่าแห่งกลียุคลำดับสาม รายนี้สวมมงกุฎหนามเหนือศีรษะ ละอองแสงที่มารวมตัวกันรอบมงกุฎถักสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นทะเล
สมบัติปิดผนึก ศูนย์-สามหก
…
ปลายแม่น้ำทัสซอค ขณะไคลน์พาหุ่นเชิดโจนาสและเอ็นยูนผ่านบานประตูมายา นิมิตภาพหนึ่งผุดขึ้นในความคิด
วิหารสีดำตั้งเด่นตระหง่านเบื้องหน้า ประตูบานมหึมากำลังเปิดกว้าง ด้านในมีชายแต่งกายด้วยกางเกงเอี๊ยมและหมวกทรงสูง สตรีผู้แต่งกายในเดรสแขนฟูฟ่อง และสตรีผู้สวมเดรสปักลวดลายดอกไม้
พวกมันทั้งหมดลอยอยู่กลางอากาศ ไม่มีใครขยับเขยื้อน
“ก๊า!” “ก๊า!” “ก๊า!”
อีกาดำบินวนรอบยอดแหลมของวิหาร ส่งเสียงร้องที่ช่วยให้ใจสั่น
ทั้งที่ยังมิได้คาดเดาสิ่งใด แต่ไคลน์กลับรู้สึกประหนึ่งตกลงไปในรอยแยกธารน้ำแข็ง ร่างกายเย็นเยียบ เส้นขนลุกตั้งชัน
ความคิดนับไม่ถ้วนผุดขึ้นอย่างบ้าคลั่ง แต่ทั้งหมดล้วนเรียกชื่อเดียวกัน
ซาราธ!
ในพริบตาสัญชาตญาณของไคลน์สั่งให้เปลี่ยนตำแหน่งกับหุ่นเชิดที่เตรียมไว้ด้านนอก พยายามหนีออกจาก ‘วิหาร’ ตรงหน้าให้เร็วที่สุด
เห็นได้ชัดว่ามันกำลังเผชิญกับ ‘ปาฏิหาริย์’ เพราะหลังจากผ่านบานประตูมายา แทนที่จะได้เข้าไปในสุสานลับของจอร์จที่สาม แต่มันกลับถูกส่งมายังสถานที่ซึ่งยากจะอธิบาย
วินาทีถัดมาชายหนุ่มพบว่าด้ายวิญญาณที่เชื่อมต่อกับหุ่นเชิดด้านนอกถูกตัดขาด ร่างหลักลอยสูงไปยังด้านในของวิหารสีดำสนิท
หากปราศจากนิมิตลางสังหรณ์ที่สูงกว่าระดับของตัวเองซึ่งช่วยให้ตระหนักถึงอันตรายล่วงหน้า ทุกสิ่งคงสายเกินกว่าจะตอบสนอง และไคลน์คงกลายเป็นหนึ่งในคอลเลกชั่นหุ่นเชิดเรียบร้อยแล้ว
โดยไม่มัวคิดมาก ไคลน์รีบควบคุมด้านวิญญาณ เรียกพวกมันทั้งหมดกลับมาและเชื่อมต่อเข้ากับตัวเองเป็น ‘วงกลม’ ทีละเส้น
ผลลัพธ์ช่วยให้มันรอดพ้นวิกฤติได้ชั่วคราว แต่ก็ต้องสูญเสียหุ่นเชิดโจนาสและเอ็นยูนไปในเสี้ยววินาที
ลำคอของหุ่นเชิดทั้งสองกระตุกรุนแรง จากนั้นก็ถูก ‘มือล่องหน’ กระชากขึ้นไปแขวนไว้ด้านในวิหารที่มียอดแหลม
หลังจากรวมกลุ่มกับกองซากศพ พวกมันโยกเอนแผ่วเบาท่ามกลางสายลม เปล่งเสียงที่แตกต่างแต่เป็นคำพูดเดียวกัน
“ยินดีต้อนรับกลับ…”
…
ณ จัตุรัสรำลึก ร่างจินตนาการของกษัตริย์จอร์จที่สามยังคงมอบสุนทรพจน์
“…เราจะลดคุณสมบัติขั้นต่ำในการเลือกตั้ง นอกจากนั้นยังจะมอบอำนาจเพิ่มเติมให้กับสภาสามัญ…”
แม้ผู้คนจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่า เหตุใดสุนทรพจน์ถึงมีพัฒนาการในทิศทางนี้ แต่ก็เนื้อหาก็ฟังดูไม่เลว
นี่คือร่างกฎหมายที่ยื่นโดยสภาขุนนาง…แต่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายให้ประชาชนฟัง…คล้ายกับเป็นการเน้นย้ำว่า พระองค์จะดำเนินตามนโยบายดังกล่าวในอนาคต…ออเดรย์ค่อนข้างฉงน มิอาจหาเหตุผลมารองรับ
ณ โบราณสถานหมายเลขหนึ่งแถบชานเมืองกรุงเบ็คลันด์ ภายในสุสานลับที่มืดมิดและสง่างาม
จอร์จที่สามตัวจริงซึ่งสวมมงกุฎสีดำเรียบร้อย เริ่มดื่มโอสถ
ร่างกายของมันแปรสภาพกลายเป็น ‘เงาดำแห่งระเบียบ’ และขยายออกไปในลักษณะที่น่าอัศจรรย์ สุสานทั้งเก้าแห่งเปรียบดังเกาะท่ามกลางมหาสมุทรที่ว่างเปล่า เป็นส่วนหนึ่งของ ‘กฎ’ ทั้งมวล ประชาชนซึ่งพากันตะโกนว่า ‘จักรพรรดิจอร์จที่สาม’ อย่างพร้อมเพรียงเปรียบดังประภาคารจำนวนมากที่เป็น ‘หลักยึดเหนี่ยว’ ให้กับผู้ปกครองสูงสุดแห่งโลเอ็น ไบลัมตะวันออก และหมู่เกาะรอสต์ ทั้งหมดช่วยให้จอร์จที่สามหลุดพ้นจากโลกความจริงและกลายเป็นส่วนหนึ่งของ ‘เงาดำแห่งระเบียบ’
ระหว่างนี้ สติของจอร์จที่สามผันผวนอย่างมิอาจควบคุม ประหนึ่งกำลังถูกฉีกเป็นเศษเล็กเศษน้อย
ซาราธแห่งลัทธิเร้นลับติดต่อหาเราและเสนอตัวช่วยเหลือ…
เจ้านั่นบอกว่ามองเห็นความคิดของเกอร์มันสแปร์โรว์ผ่านคดีคาพิน ผ่านเหตุการณ์ลอบสังหารสตรีแห่งโรคภัย ผ่านเหตุการณ์ปิดปากกัปตันคลั่ง ผ่านการหายตัวไปของโจนาสโคลเกอร์ และอีกมากผลการทำนายของมันระบุว่า มันควรร่วมมือกับเราเพื่อช่วยเฝ้าสุสาน…รอให้เกอร์มันสแปร์โรว์เป็นฝ่ายเข้ามาหาด้วยตัวเองจากอิทธิพลของกฎการดึงดูด…
เจ้านั่นยังบอกด้วยว่า ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการกำจัดครึ่งเทพเส้นทางนักทำนายที่เก่งกาจ คือความอดทนและสมาธิ…
ทำตัวเหมือนกับพวกนักต้มตุ๋นไม่มีผิด…
แถมยังพา ‘เทพหายนะ’ เซียอา มาช่วยอีกแรง…
เราใช้พลังของตัวเองในการทำพันธสัญญากับพวกมัน…
ผนวกกับการมีผู้ช่วยที่เราเชิญมาจากสภานักสิทธิ์สนธยา รวมถึงโกรฟที่ถือครองสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ แม้ว่าครึ่งเทพส่วนใหญ่ของกองทัพและราชวงศ์จะถูกส่งไปรบในแนวหน้าหรือไม่ก็ปกป้องเบ็คลันด์ แต่เราก็ไม่ต้องกังวลว่าพิธีกรรมจะถูกขัดขวาง เว้นเสียแต่เทพแท้จริงจะเสด็จเยือน…
และนั่นก็เป็นไปไม่ได้…เดิมที เราคิดจะใช้โอกาสนี้เพื่อจับ ‘ศัตรู’ ที่คิดขัดขวาง แต่ท้ายที่สุด โอกาสมันเหมาะสมแก่การเลื่อนลำดับ…
หึหึ…แม้แต่โกรฟก็ยังไม่รู้ไพ่ตายของเรา…เจ้านั่นไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้…
อีกเพียงไม่ถึงสองนาที เราจะกลายเป็นเทพผู้มีชีวิตนิรันดร์ จักรพรรดิมืดผู้ปกครองความจริง…
…
“ก๊า!” “ก๊า!” “ก๊า!”
ท่ามกลางโลกอันมืดมิดที่มีเสียงอีกาดังกังวาน ศพซึ่งถูกแขวนอยู่ใต้ยอดแหลมสีดำ ร่อนลงมาพร้อมกับพุ่งตัวผ่านบานประตูหลัก
ทุกสายตาจดจ้องไคลน์ที่อยู่ด้านนอก
แทบจะในเวลาเดียวกัน ร่างหนึ่งถูกวาดขึ้นอย่างเชื่องช้ากลางอากาศ
ไคลน์ไม่สนใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร ขณะอยู่ในสถานะพิเศษของด้ายวิญญาณ ชายหนุ่มรีบดีดนิ้ว
เปาะ!
เปลวไฟสีแดงลุกไหม้ออกจากกระเป๋าสตางค์ทันที เพียงไม่นานก็ลุกท่วมร่างกาย
เปลวไฟดับลงในเวลาไม่นาน แต่ไคลน์ยังอยู่ในตำแหน่งเดิม มิอาจกระโจนออกไปด้านนอก
มันรีบกระตุ้นยุบพองหิวโหยต่อทันทีและพยายามใช้เทเลพอร์ตโดยปราศจากอาการลนลาน
ร่างไคลน์กลายเป็นโปร่งใส แต่ก็โผล่กลับมาอีกครั้งโดยที่มิอาจเคลื่อนย้ายตัวเองไปไหน
ประหนึ่งจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดกลายเป็นจุดเดียวกันอย่างน่าประหลาด
ในเวลาเดียวกันร่างที่ปรากฏตัวกลางอากาศถูกวาดจนเสร็จ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหรา ผมยาวสีเกาลัด ดวงตาสีฟ้า จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง ไม่ใช่ใครนอกจากโรซายล์กุสตาฟในสมัยเป็นมหาจักรพรรดิ
มันมองต่ำมาทางไคลน์ สัญลักษณ์มากมายผุดขึ้นในดวงตา
จิตไคลน์บวมพองทันที อัดแน่นไปด้วยความรู้ปริมาณมหาศาลที่ทั้งมีประโยชน์และไม่มี
เพียงพริบตาชายหนุ่มรู้สึกว่าศีรษะของตนกำลังจะระเบิด ความคิดยุ่งเหยิงโดยสมบูรณ์ ไม่แม้แต่จะขยับปลายนิ้ว
อาศัยสัญชาตญาณไคลน์ถ่ายเทความรู้เหล่านั้นเข้าไปในหนอนวิญญาณจำนวนมหาศาล
ผลลัพธ์ช่วยให้ไคลน์สามารถควบคุมร่างกายได้อีกครั้ง มือขวารีบจับคว้าบางสิ่งจากอากาศตรงหน้า
แขนของมันยวบลงกะทันหัน ไคลน์รีบชักกลับและดึงหางสีเงินสว่างซึ่งปราศจากเกล็ดออกมา ขณะเดียวกัน หุ่นเชิดจากด้านในวิหารกำลังพุ่งผ่านกรอบประตูและเตรียมโจมตี นอกจากนั้นยังมีอีกสองร่างใหม่ถูกวาดขึ้นกลางอากาศ
ในวินาทีที่ไคลน์ปล่อยมือขวา งูยักษ์ได้ปรากฏกายท่ามกลางดินแดนอันมืดมิด
ดวงตามีสีแดงสด สายตาเย็นชา บนร่างกายเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ ‘กงล้อ’ ที่แตกต่างกันจำนวนมาก
อสรพิษแห่งชะตา!
ไคลน์มิได้อัญเชิญตัวตนดังกล่าวจากช่องว่างประวัติศาสตร์ แต่เป็นวิลอัสตินที่ใช้ยันต์วันวานอีกครั้งและปรากฏตัวจากการเผาไหม้นกกระเรียนกระดาษในกระเป๋าสตางค์
การใช้ ‘กระโจนเพลิง’ เมื่อครู่ แท้จริงแล้วเป็นการขอความช่วยเหลือจากอสรพิษแห่งชะตา
และเหตุผลที่ต้องทำท่าทาง ‘ดึงออกมา’ ก็เพื่อปกปิดความจริงจากเทวทูตฝั่งตรงข้าม ไม่ให้อีกฝ่ายทราบตำแหน่งของอสรพิษแห่งชะตาและสร้างความเดือดร้อนแก่ครอบครัวนายแพทย์อลัน
สถานการณ์ปัจจุบันไม่เหมือนกับการกำจัดร่างโคลนอามุนด์ในคราวก่อน ไคลน์ไม่มั่นใจว่าจะขจัดภัยอันตรายได้ทั้งหมด จึงปรึกษากับวิลล่วงหน้าเพื่อหารือทางออกที่ดีที่สุด
โชคดีที่แผนการของวิลอัสติน ช่วยปิดบังแก่นแท้ของ ‘การอัญเชิญ’ เมื่อครู่อย่างมิดชิด
ทันใดนั้น อสรพิษปรอทขนาดมหึมาอ้าปากงับหางตัวเอง กลายเป็นกงล้อที่ดูลึกลับและน่าอัศจรรย์
สองร่างลึกลับปรากฏขึ้นสองฝั่งซ้ายขวาของภาพฉายของโรซายล์ที่ลอยอยู่กลางอากาศ ร่างหนึ่งคือราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดตซึ่งตัวจริงกำลังต่อกรกับเทวทูตลำดับหนึ่ง ‘หัตถ์ประกาศ’ วิลเลียมออกัสตัสที่หนึ่งอย่างดุเดือด ส่วนอีกร่างหนึ่งมีปีกเปล่งแสงบริสุทธิ์สยายจากแผ่นหลัง บรรยากาศยืนยันได้ชัดเจนว่าเป็นเทวทูต!
เพียงพริบตา ร่างของเทวทูตที่เพิ่งปรากฏกายทั้งสองเลือนหายอย่างรวดเร็ว ส่วนหุ่นเชิดที่พยายามโจมตีไคลน์ ถูกส่งกลับไปแขวนไว้ใต้ยอดแหลมของวิหารสีดำอีกครั้ง
หุ่นเชิดโจนาสและเอ็นยูนถูกไคลน์พาออกจากบานประตูมายาด้านหลัง หลบหนีออกจากโลกที่มีเสียงอีกาดังกังวานและโผล่ที่ปลายแม่น้ำทัสซอคอีกครั้ง
อสรพิษแห่งชะตา เริ่มต้นใหม่!
อสรพิษยักษ์ไร้เกล็ดเลือนหายไป ส่วนไคลน์ไม่ลังเลที่จะใช้เทเลพอร์ตส่งตัวเองผ่านโลกวิญญาณไปโผล่ที่สุสานลับอีกแห่งหนึ่ง มันใช้เลือดที่ยังเหลือวาดสัญลักษณ์และทำการเปิดประตูมายา
ในคราวนี้ มันเข้าไปด้านในจนกระทั่งพบสุสานลับที่มืดมิดและหม่นหมอง จากนั้นก็อัญเชิญคทาเทพสมุทร เสกพายุสายฟ้าอันน่าสะพรึงหนแล้วหนเล่าเพื่อทำลายเป้าหมายให้สิ้นซาก
ถัดมาไคลน์หันหลังกลับและจากไป
ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างราบรื่นราวกับความฝัน
ใช่แล้วความฝันอันแสนหวาน
ไคลน์ซึ่งตื่นตัวตลอดเวลาในความฝัน ตระหนักว่านับตั้งแต่ที่ตนย่างกรายเข้าไปในซากโบราณสถาน มันตกอยู่ในความฝันที่ใครบางคนสร้างขึ้น!
ราชันเร้นลับ 1147 : โกลาหล
สำหรับเรื่องที่กำลังติดอยู่ในดินแดนความฝัน ไคลน์แสร้งทำเป็นไม่สังเกตเห็น เพียงสลายภาพฉายกงสุลมรณะและเตรียมอัญเชิญ ‘ตัวเอง’ ออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์เพื่อตบตาเวรยามในสุสานลับของทูดอร์ จากนั้นก็แอบนำร่างหลักออกจากดินแดนความฝัน ลอบเข้าไปในส่วนลึกของสุสานลับและทำลายทิ้ง
ในปัจจุบันไคลน์สามารถเรียกภาพฉายทางประวัติศาสตร์ออกมาได้พร้อมกันสูงสุดสามภาพ หนึ่งคือกงสุลมรณะ อะซิกอายเกส หนึ่งคือตัวเองในสภาวะถูกปกปิด ซึ่งในกรณีของหัวหน้านักบวช อาเรียนน่า มันไม่แน่ใจว่าจะนับเป็นหนึ่งหรือไม่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เสี่ยง ไคลน์ตัดสินใจยกเลิกหนึ่งภาพก่อนจะอัญเชิญออกมาใหม่
เกี่ยวกับสถานะที่ผิดปรกติของอาเรียนน่า ไคลน์สงสัยว่ายังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้นอกจากตัวจริงมาเยือน นั่นก็คือ หลังจากที่ผู้นำแห่งสำนักชีรัตติกาลซึ่งอยู่ในแนวรบเทือกเขาอมานด้าสัมผัสได้ว่า ‘ตัวตนในอดีตถูกอัญเชิญ’ เธอทำการ ‘ปกปิด’ ร่างหลักจากโลกความเป็นจริง ส่งผลให้สติถูกโอนถ่ายมายังภาพฉายที่ไคลน์ดึงออกมา นั่นอาจเป็นคำอธิบายว่าทำไมภาพฉายของเธอถึงดูมีชีวิตชีวา กล่าวอีกนัยหนึ่งอำนาจในขอบเขตการปกปิดสามารถควบคุมภาพฉายทางประวัติศาสตร์ได้ในระดับหนึ่ง
สำหรับเทวทูตในขอบเขตการปกปิด ไคลน์มิอาจยืนยันสถานการณ์ของภาพฉายได้จากพลังปราชญ์โบราณ มันจึงตัดสินใจไม่ไปยุ่งกับภาพฉายของเธอเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ
ขณะไคลน์เตรียมอัญเชิญตัวเองในอดีต ดินแดนความฝันตรงหน้าเลือนหายอย่างเงียบงัน ทุกสิ่งรอบตัวกลับคืนสู่สภาวะปรกติ
มันกำลังยืนอยู่ริมผาสูงหน้าทางเข้า ด้านล่างเป็นสุสานสีดำเด่นตระหง่าน
ชายชราหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งกำลังลอยอยู่บนอากาศท่ามกลางแสงไฟจากตะไคร่น้ำริมกำแพงและเสาหินรอบหน้าผา มันจดจ้องไคลน์ด้วยสายตาสงบนิ่ง ถอนหายใจพลางกล่าวเป็นภาษาฟุซัคโบราณ
“เจ้าไม่หลงกลไปกับความฝันที่ข้าถักสาน”
ชายชรามีผมสีขาวล้วน ค่อนข้างดกหนา ใบหน้ามีริ้วรอยไม่มาก หน้าตาแสนธรรมดา
นักสานฝันลำดับสาม ของเส้นทางผู้ชม? ไม่สิ…ชายคนนี้มีระดับเทวทูตเป็นอย่างน้อย…ไคลน์ไม่ตอบสนอง จิตทวีความตึงเครียด ตัดสินใจรีบหยิบฮาร์โมนิก้านักผจญภัยออกมาเป่า
ไม่มีเสียงใดเล็ดลอด มีเพียงไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ซึ่งแต่งกายในเดรสสีเข้มซับซ้อนเดินออกมาข้างไคลน์
หนึ่งในหัวทองตาแดงที่ถูกหิ้วในมือ พ่นบางสิ่งออกจากปากเป็นแผ่นยันต์เพชรทรงสี่เหลี่ยม อีกหัวหนึ่งเปล่งเสียงเป็นเฮอร์มิสโบราณ
“วันวาน!”
วันวานอีกครั้ง!
มิสผู้ส่งสารทำการยืมความแข็งแกร่งจากตัวเองในอดีต!
เมื่อเทียบกับลำดับหนึ่ง อย่างอสรพิษปรอทพลังที่เธอสามารถหยิบยืมสามารถคงอยู่ได้นานกว่า
ทว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับยันต์
ชายชราในชุดคลุมสีเทาที่ลอยอยู่กลางอากาศ ยกมุมปากอย่างมีเลศนัยพร้อมกับตักเตือน
“อย่าใช้เฮอร์มิสโบราณต่อหน้าข้า”
…เฮอร์มิส…นี่คือเฮอร์มิสที่รอดชีวิตมาจากยุคสมัยที่สองและเป็นผู้สร้างภาษาเฮอร์มิสโบราณ? เทวทูตเส้นทางผู้ชม…ต้นกำเนิดของสมาคมแปรจิต ไคลน์ประหลาดใจในตอนต้นก่อนจะตระหนักบางสิ่ง
แม้เฮอร์มิสจะออกหน้าสู้ แต่ท่าทีกลับไม่จริงจังมากนัก!
ไม่สิเขาอาจจงใจแสดงพฤติกรรมเช่นนี้เพื่อทำให้เราตายใจ…เส้นทางผู้ชมเก่งกาจด้านการครอบงำจิตใจ…ขณะไคลน์ผุดความคิดดังกล่าว อีกสองเศียรของไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ทำการเปล่งเสียงเป็นภาษาคนยักษ์และเอลฟ์
“วันวาน!”
ยันต์เพชรรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าลุกไหม้และหลอมรวมเข้ากับความว่างเปล่า
ร่างของไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ขยายออกอย่างรวดเร็ว ศีรษะทั้งสี่ลอยขึ้นและร่อนลงบนลำคอ
สี่หัวของหญิงสาวทยอยแปรเปลี่ยนเป็นภาพมายาทีละหนึ่ง
เพียงพริบตาไรเน็ตต์ไทน์เคอร์กลายร่างเป็นตุ๊กตาผ้าขนาดใหญ่ราวกับปราสาท แต่งกายในชุดโกธิกสีดำปักลวดลายซับซ้อน รายล้อมด้วยเถาวัลย์ที่ดูชั่วร้าย ดวงตาของเธอแดงก่ำราวกับเลือดสด
ไรเน็ตต์จ้องไปทางชายชราเฮอร์มิส อ้าปากกว้างแต่ไม่ส่งเสียง
ร่างกายเทวทูตเส้นทางผู้ชมพลันสว่างวาบ กลายเป็นกระต่ายสีขาวอวบอ้วน
‘คำสาปจำแลงกาย’ ของมารบรรพกาล!
กระต่ายมิได้เผยท่าทีตื่นตระหนก เพียงขยายร่างกายจนใหญ่ราวครึ่งหนึ่งของภูเขา สามารถเหยียบไคลน์ให้แบนได้ด้วยเท้าข้างเดียว
สำหรับเทวทูตเส้นทางผู้ชม ตราบใดที่เชื่อว่าตัวเองแข็งแกร่งพอ รูปลักษณ์จะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ!
เมื่อกระต่ายกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด บรรยากาศภายในโบราณสถานเริ่มแปรเปลี่ยน ภาพมายาซ้อนทับกับความจริง ส่งผลให้ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์สับสนระหว่างความเป็นจริงและความฝัน
ไคลน์สามารถจำแนกได้ชัดเจน และสังเกตเห็นว่า มิใช่แค่มิสผู้ส่งสารที่กำลังเผยร่างสัตว์ในตำนาน แม้แต่กระต่ายยักษ์ก็มีเกล็ดสีเทาปกคลุมร่างกาย บนเกล็ดเต็มไปด้วยลวดลายสามมิติลึกลับที่ดูคล้ายเชื่อมต่อกับจิตใจ
พวกเทวทูตช่างน่าสะพรึง…พวกท่านเผยร่างสัตว์ในตำนานทันทีที่เริ่มศึก…ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว ไม่กล้าเพ่งมองนานนัก เนื่องจากเวลาไม่เอื้ออำนวย และระดับตัวตนของมันยังไม่สูงพอ หากจ้องสัตว์ในตำนานร่างสมบูรณ์เป็นเวลานาน เกรงว่าอาจเกิดผลข้างเคียงร้ายแรง เป็นข้อห้ามพื้นฐานสำหรับสนามรบระดับสูง
ขณะมิสผู้ส่งสารกำลังต่อสู้กับกระต่ายที่ยักษ์ในคราบมังกร ไคลน์อาศัยลมแรงส่งตัวเองลงไปยังสุสานลับด้านล่าง พลางท่องพระนามเต็มอันมีเกียรติของใครบางคนเป็นภาษาคนยักษ์ด้วยเสียงแผ่ว จากนั้นก็คว้าแขนไปในอากาศ
ครั้งแรกล้มเหลว ครั้งที่สองล้มเหลว ครั้งที่สามก็ยังล้มเหลว!
บนเกาะแห่งจิตของไคลน์ กระต่ายสีขาวตัวอวบอ้วนทยอยผุดขึ้นทีละหนึ่ง ขณะสติกำลังเลือนรางลงทุกที มือขวาที่เหยียดไปข้างหน้า จับคว้าบางสิ่งจากภายในช่องว่างประวัติศาสตร์
เมื่อดึงแขนกลับ ภาพฉายถูกวาดอย่างรวดเร็ว เป็นสตรีที่แต่งกายในชุดคลุมสีเข้ม สวมผ้าคลุมศีรษะหลวม ๆ ใบหน้าสะสวย ดวงตาสีเข้มมืดมน
เทวทูต ‘ยางลบ’ แห่งโบสถ์รัตติกาลที่ไคลน์เคยพบเจอในอดีต
ในภายหลังชายหนุ่มทราบจากหมู่บ้านสายหมอกว่า หล่อนคือ ‘มารดาแห่งผืนนภา’ ของแคว้นรัตติกาล บุตรสาวของเทพบรรพกาลเฟรเกีย และปัจจุบันต้องสงสัยว่าจะเป็น ‘ภาชนะ’ ในการเสด็จเยือนของเทพธิดา
เนื่องจากเคยอัญเชิญภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ของหัวหน้านักบวช อาเรียนน่า สำเร็จในครั้งเดียว ไคลน์จึงลองเรียกสตรีผู้นี้ออกมา
พระนามเต็มอันมีเกียรติที่ท่องเมื่อครู่คือชื่อของเทพธิดารัตติกาล!
เกี่ยวกับการอัญเชิญภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ ปราชญ์โบราณมีขีดจำกัดที่ห้ามฝ่าฝืนก็คือ พวกมันมิอาจอัญเชิญสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางออกมาได้ แต่สำหรับ ‘ภาชนะของเทพแท้จริง’ ข้อจำกัดจะขึ้นอยู่กับว่ามีพลังของเทพแฝงอยู่มาน้อยเพียงใด และเกี่ยวข้องกับ ‘เอกลักษณ์’ โดยตรงหรือไม่ ในทำนองเดียวกัน ไคลน์มิอาจอัญเชิญอามุนด์ร่างต้นได้ แต่กับร่างโคลนยังพอมีโอกาส
เพื่อความแน่นอน ไคลน์อัญเชิญหล่อนในตอนที่กำลังยิ้มให้ตนท่ามกลางโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน และประสบความสำเร็จภายในสี่ครั้ง!
แต่แน่นอนไคลน์เชื่อว่าหากไม่ใช่เพราะตนได้รับการยินยอมจากเทพธิดา หรืออาจถึงขั้นได้รับความเหลือในระดับหนึ่ง มันคงไม่มีทางอัญเชิญภาพฉายนี้ออกมาสำเร็จ ไม่ว่าจะผ่านไปนับร้อยนับพันหรือนับหมื่นครั้ง
หญิงงามรายนี้มิได้จ้องมองปราชญ์โบราณผู้อัญเชิญเธอออกมา แต่ก้มมองลงไปยังสุสานลับเบื้องล่าง
โบราณสถานเกิดการสั่นสะเทือนหนักหน่วง สุสานลับสีทึบด้านล่างเริ่มโยกเอนพร้อมกับผุดระลอกคลื่นน้ำ คล้ายกับกำลังถูกเคลื่อนย้ายไปยังโลกแห่งการปกปิด
ทันใดนั้นท่อนแขนสองข้างเหยียดยาวเข้ามาจากโลกภายนอก ข้างหนึ่งกระแทกใส่ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ร่างยักษ์ อีกข้างกางห้านิ้วและพยายามจับคว้าไคลน์
แขนทั้งสองข้างยาวไม่ต่ำกว่าสิบเมตร ผิวสีเข้ม มีของเหลวเหนียวข้นปกคลุม บางจุดมีตุ่มเนื้อนูนยื่น บ้างเป็นกะโหลกศีรษะ ดวงตาปูดโปน และลิ้นที่มีหนามแหลม
เทพหายนะ เซียอา!
เวรยามที่ยังหลงเหลือภายในโบราณสถานต่างพากันเสียสติ บางคนยกดาบขึ้นมาฆ่าพวกพ้อง บางคนยกปืนเล็งตัวเองและเหนี่ยวไก
ผิวของไคลน์เริ่มแห้งและแตก สติที่เลือนรางเต็มไปด้วยความคิดบ้าคลั่ง มิอาจตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เทวทูตแห่งการปกปิดที่ถูกอัญเชิญออกมา ถอนสายตากลับตามสัญชาตญาณ แหงนมองขึ้นไปยังท่อนแขนทั้งสองข้างที่ราวกับมาจากส่วนลึกของฝันร้าย
ความหวาดผวาอันหนักหน่วงส่งผลแขนของเทพหายนะ เซียอา สั่นระริกแผ่วเบาจนพลาดการจับคว้าไคลน์ ขณะเดียวกันก็ถูกไรเน็ตต์ไทน์เคอร์สาปจนปกคลุมไปด้วยขนสั้นสีเขียว
ทันทีหลังจากนั้น ขณะท่อนแขนเริ่มเลือนราง พวกมันพยายามดิ้นรนให้หลุดจากสถานะถูกปกปิด
ในเวลาเดียวกัน ร่างของสามบุคคลปรากฏกายกลางอากาศด้านบนโบราณสถานใต้ดิน ประกอบด้วยจักรพรรดิโรซายล์ ปฐมกษัตริย์แห่งโลเอ็น วิลเลียมออกัสตัสที่หนึ่ง และเทวทูตนามธรรมที่เป็นกลุ่มก้อนของแสง
ภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ที่ซาราธอัญเชิญออกมา กำลังไล่ตามมาไม่ห่าง!
เมื่อเทวทูตจำนวนมากรวมตัวกันในสถานที่เดียว ลำพังออร่าก็มากพอจะทำให้บรรยากาศโดยรอบสั่นสะเทือน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกท่านกำลังปะทะกันอย่างดุเดือด
เพียงพริบตา สุสานสีเข้มทวีความสั่นสะเทือน บนพื้นผิวเผยให้เห็นรอยแตกชัดเจน
ไคลน์ไม่แปลกใจเลยสักนิด เพราะนี่คือแผนที่มันวางไว้ในหัว
ในเมื่อศัตรูแข็งแกร่งและเตรียมการรัดกุมเกินไปจนไม่เปิดช่องว่างให้ทำลายสุสาน มันก็จะดึงทุกคนมารวมตัวกันในจุดเดียวและสร้างความโกลาหล!
นี่คือแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ชุลมุนด้านนอกบายัมเมื่อในอดีต
ย้อนกลับไปในตอนนั้น ผลลัพธ์จากการที่มีเทพหายนะ เซียอา และ ‘ผลผลิตจากโครงการมรณาเทียม’ และเจ้าสมุทร แยนน์ค็อตแมนคอยโจมตีจากระยะไกล ส่วนมิสผู้ส่งสาร ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ก็คอยรับมือครึ่งเทพจากโรงเรียนกุหลาบ คือการพังถล่มของยอดเขา
ไคลน์ต้องการให้สุสานลับพังถล่มเหมือนกับยอดเขาดังกล่าว
มันไม่เชื่อว่าหากเทวทูตต้องปะทะกันอย่างดุเดือด จะมีใครใจเย็นคอยอนุรักษ์สภาพแวดล้อมมิให้พวกมันถูกทำลาย!
และหนนี้กลุ่มเทวทูตที่เข้าร่วมก็ถูกยกระดับจากอดีต!
ยังไม่พอ…ต้องทำให้วุ่นวายยิ่งกว่านี้…ไคลน์ควบคุมด้ายวิญญาณเพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันลอยขึ้นด้านบน จากนั้นก็ฉากหลบออกมาตั้งหลักและใช้สัญชาตญาณสัมผัสถึงตัวตนของมิติลึกลับเหนือสายหมอก พยายามสั่งให้พวกมันสั่นเทาแผ่วเบา
หมอกสีเทาปรากฏขึ้นกลางอากาศ เหนือขึ้นไปเป็นพระราชวังสีเทาเด่นตระหง่าน
ปราสาทต้นกำเนิด!
เพียงพริบตา ท้องฟ้าเหนือมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งวายุประจำกรุงเบ็คลันด์พลันหมองคล้ำ คล้ายกับพายุเตรียมก่อตัว
นกตัวหนึ่งที่มีขอบตาดำซึ่งคอยก้มมองบริเวณปลายน้ำของแม่น้ำทัสซอค รีบเปลี่ยนทิศทางการมอง
…
ในซากโบราณสถานหมายเลขหนึ่งแถบชานกรุงเบ็คลันด์ แม่มดทริสซี่ซึ่งถูกขโมยพลังไปหลายชนิด อยู่ในสภาพปางตายจนไม่น่าแปลกใจหากจะล้มลงและเสียชีวิต
โครม!
เธอกระแทกศีรษะใส่หน้าผาจนเกือบฝังเข้าไป เลือดแดงฉานชุ่มฉ่ำไปทุกทิศ
ทันใดนั้นหญิงสาวหยิบวัตถุคล้ายยันต์เพชรรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกมา
วันวานอีกครั้ง!
ราชันเร้นลับ 1148 : ไม่สายเกินไป
ในการต่อสู้ระดับสูง มีโอกาสน้อยมากที่จะใช้ยันต์ให้สำเร็จ นั่นเพราะไม่มีใครคิดจะปล่อยให้คู่ต่อสู้ท่องคาถาจนจบ สาเหตุที่ทริสซี่สามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการ เพราะเธอทำการแผดเผาจากภายในออกสู่ภายนอก ต้องขอบคุณเปลวไฟสีดำที่ดูชั่วร้าย พวกมันคล้ายกับดูดซับความร้อนในบริเวณใกล้เคียงไว้ทั้งหมดจนทำให้เกิดผลึกน้ำแข็งหนา ด้านนอกผลึกน้ำแข็งยังมีใยแมงมุมล่องหนที่พันซ้อนทับกันหลายชั้นจนเกิดเป็นรังไหม
อาศัยการป้องกันสามชั้น ทริสซี่ถ่วงเวลาไว้ได้หนึ่งถึงสองวินาที จึงรีบหยิบยันต์เพชรรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกมาและเปล่งเสียง
วันวาน!
เปลวไฟสีใสลุกโชนท่ามกลางเพลิงสีดำที่ดูชั่วร้าย ยันต์เพชรสลายตัวไปอย่างเงียบงันและหลอมรวมเข้ากับความว่างเปล่า
ไคลน์มอบสิ่งนี้ให้กับแม่มด โดยหวังว่าการโจมตีจากทั้งสามทิศทางจะมีจุดใดจุดหนึ่งสร้างความเสียหายได้สำเร็จ
ทริสซี่มองเห็นสายหมอกสีเทา มองเห็นจุดแสงซึ่งเป็นฉากในอดีต เรียงรายหนาแน่นราวกับทะเลดวงดาว
ประกอบด้วยภาพสมัยเด็กของเธอที่เตร็ดเตร่ไปตามท้องถนน ตอนนั้นยังถูกแก๊งอันธพาลควบคุมตัว ถูกบังคับให้ฉ้อโกงและปล้นจี้ชาวบ้าน จนกระทั่งเข้าร่วมกับชุมนุมสัมผัสวิญญาณและกลายเป็นนักลอบสังหาร เขาเริ่มมีความสุขกับการปลิดชีวิตผู้อื่น สังหารหมู่ และคอยกระตุ้นให้ผู้คนเผยใบหน้าที่แท้จริงหลังหน้ากาก จนกระทั่งเขากลายเป็นเธอ กลายเป็นแม่มด เริ่มสร้างภัยพิบัตินานาชนิด แต่ในภายหลัง ภายใต้การจัดแจงของนิกายแม่มด ทริสซี่ถูกส่งตัวไปเป็นภรรยาลับของเจ้าชายเอ็ดซัค ยิ่งเวลาผ่านไป ความเป็นตัวเองก็ยิ่งลดลงเนื่องจากหลงมัวเมาไปกับความสุขสม แม้จะพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้น แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงถลำลึกเข้าไปในนรกที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ขณะครุ่นคิด ภาพการมองเห็นของทริสซี่ขยายเข้าไป
ภายในจุดแสงดังกล่าว สนามหญ้าด้านนอกหน้าต่างมีสีเขียวขจี กลุ่มม้ากำลังเดินอ้อยอิ่ง มองเห็นหลุมกอล์ฟได้จากจุดห่างไกล และภายในบ้านมีตู้จัดแสดงที่บดบังทัศนียภาพบางส่วนจากประตู
ทริสซี่ในอดีตกำลังยืนริมขอบฉาก มองออกไปด้านนอก มือซ้ายสวมแหวนไพลิน
ในตอนนั้นเธอยังไม่ใช่ผู้วิเศษลำดับห้า และไม่มีพลังใดควรค่าแก่การให้ตัวตนในปัจจุบันหยิบยืม ทว่าเธอมีแหวนของนิกายแม่มดที่เกี่ยวพันกับแม่มดบรรพกาลอย่างใกล้ชิด
สิ่งที่ทริสซี่ต้องการจะยืมคือแหวน!
เพียงพริบตา แหวนไพลินที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ปรากฏขึ้นบนนิ้วก้อยของทริสซี่ แตกต่างจากในอดีต ปัจจุบันเธอมีอักขระพิเศษที่เป็นสัญลักษณ์แห่งการยอมจำนนต่อแม่มดบรรพกาล และนั่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เธอกลายเป็นครึ่งเทพลำดับสี่
กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้ว่าร่างจริงจะยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอในการเป็น ‘ภาชนะ’ ให้ทวยเทพสถิต แต่ตอนนี้มีเพียงพอแล้ว
แหวนไพลินช่วยให้ทริสซี่ได้รับแรงบันดาลใจบางอย่าง
เฝ้ามองฉากในอดีตเป็นครั้งสุดท้าย ทริสซี่ทำลายรังไหมใยแมงมุม ละลายผนึกน้ำแข็งหนาอย่างเงียบงัน จนกระทั่งเปลวไฟสีดำเริ่มสลายตัว หญิงสาวยกมือซ้ายขึ้น หลับลงตาพลางแสยะยิ้ม จากนั้นก็เลื่อนแหวนไพลินสัมผัสกับหว่างคิ้ว
แหวนหลอมละลายราวกับโลหะ ไหลซึมเข้าสู่ศีรษะของทริสซี่ในลักษณะกึ่งจริงกึ่งมายา
เมื่อเปลวไฟสีดำถูกเจ้าชายโกรฟละลายจนหมด หอกแสงเล่มยาวที่ลุกโชติช่วงได้ถูกยิงใส่หญิงสาว
ด้านหน้าคมหอก ปีกสีขาวทยอยกางออกทีละคู่ ห่อหุ้มปลายหอกประหนึ่งเทวทูตโอบกอด อำนาจของมันคือการผนึกพื้นที่โดยรอบทั้งหมด ส่งผลให้เป้าหมายมิอาจหลบหนี
ในเวลาเดียวกัน ทริสซี่ลืมตาขึ้น เป็นดวงตาสีดำสนิท
เส้นผมของเธอลอยขึ้นไปในอากาศ ทุกเส้นขยายขนาดจนเท่ากับอสรพิษตัวเล็ก พื้นผิวมันวาวและดูชั่วร้าย สุดปลายเป็นหัวงูฝังลูกตาสีดำขาว ปากอ้าออกเล็กน้อยพร้อมกับแลบลิ้นสองแฉก
หอกที่ควบแน่นจากแสงบริสุทธิ์หยุดลงตรงหน้าทริสซี่ประหนึ่งถูกยันไว้ด้วยมือล่องหน มิอาจเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้แม้แต่นิ้วเดียว
หอกแสงเปลี่ยนเป็นสีเทาอย่างรวดเร็ว จากมายากลายเป็นจริง ราวกับหอกที่แกะสลักจากหิน
หอกตกลงพื้นกระแทกขอบผาชัน กระจัดกระจายกลายเป็นเศษผง
รอบตัวทริสซี่ สีเทาอ่อนกระจายออกไปเป็นวงกว้างในทุกทิศทางประหนึ่งมีชีวิตชีวา ทุกจุดที่พวกมันผ่าน หินจะยิ่งทวีความแข็ง ส่วนวัตถุประเภทอื่นจะถูกทำให้กลายเป็นหิน
พิธีกรรมต่าง ๆ ภายในโบราณสถานหมายเลขหนึ่งถูกย้อมด้วยสีเทาทันที ส่งผลให้เทวทูตที่คอยปกป้องสุสานลับแห่งอื่นมิอาจค้นพบความผิดปรกติของที่นี่และรุดมาช่วยเหลือ
เพียงพริบตาเจ้าชายโกรฟถูกรายล้อมด้วยสีเทาที่แผ่ขยายเข้ามาในความว่างเปล่า และทำได้เพียงพึ่งพาแสงจากมงกุฎหนามเหนือศีรษะในการสร้างเขตปลอดภัยอันคับแคบรอบตัว หมดสิทธิ์ใช้งานพลัง ‘ห้าม’ โดยสิ้นเชิง
ทริสซี่ซึ่งดวงตาปราศจากสีขาว ไม่แม้แต่จะชำเลืองมองคู่ต่อสู้ เพียงย่างกรายไปทางสุสานลับด้านล่างหุบเขาอันมืดมิดในสภาพเส้นผมอสรพิษชี้ขึ้นฟ้า
บึ้ม!
ผืนดินสั่นสะเทือนรุนแรง ส่วนลึกของหุบเหวส่งเสียงพังทลายแผ่วเบา ขณะเดียวกัน อุกกาบาตสีแดงหางเป็นเปลวเพลิง ผุดขึ้นจากความว่างเปล่าและพุ่งผ่านแม่มดทริสซี่ไปทางสุสานลับ
เพียงพริบตาโบราณสถานการณ์กำลังเผชิญหน้าหายนะ
จอร์จที่สามซึ่งกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการดื่มโอสถ สัมผัสถึงเหตุการณ์ดังกล่าวและผุดความโกรธเคืองเจือสับสน
มันแบ่งพลังออกมาบางส่วนอย่างยากลำบาก อาศัยการเตรียมการล่วงหน้า จอร์จที่สามส่งพลัง ‘บิดเบือน’ ไปยังจุดเกิดเหตุเพื่อแยกสุสานลับออกจากโลกแห่งความจริง ป้องกันมิให้อุกกาบาตและแผ่นดินไหวสัมผัสกับสุสาน
บึ้ม! ครืน!
ท่ามกลางภัยพิบัติ หน้าผาชันทรุดตัวลงทีละนิด โบราณสถานเริ่มถูกทำลายไปทีละส่วน ทันใดนั้น น้ำเสียงเจือความโกรธของจอร์จที่สามดังมาจากภายในสุสานลับที่มีโลกเป็นของตัวเอง
“เธอเสียสติไปแล้วหรือ?”
สำหรับผู้วิเศษลำดับ 4 การฝืนเป็นภาชนะให้ทวยเทพ ชะตากรรมเดียวที่รออยู่คือความตาย!
ทริสซี่หัวเราะในลำคอ ผิวหน้าของเธอที่ดำเนินมาถึงขีดจำกัดเริ่มปริแตกทีละจุด เผยให้เห็นเลือดเนื้อที่คล้ายกับกำลังยุบพองอย่างบ้าคลั่ง
แม่มดที่มีสภาพน่าสะพรึง พ่นลมหายใจเย้ยหยันและกล่าว
“ตอนจบของบทละครที่ดี ควรลงเอยด้วยความตายของพวกคนเลวไม่ใช่หรือ? ทั้งนาย…และฉัน…”
ยังไม่ทันจะสิ้นเสียง ทริสซี่แสยะยิ้มชั่วร้ายพร้อมกับเสกอุกกาบาตกระแทกใส่สุสานลับที่ถูกกีดกันด้วยห้วงมิติ หวังทำลายมันให้สิ้นซาก
…
ภายในสุสานแห่งอื่น ไคลน์มิได้เล่นใหญ่เกินตัว รีบตัดการเชื่อมต่อกับปราสาทต้นกำเนิด ทำให้ดูเหมือนตนขอความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูล
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ควรจะทำให้เทวทูตทุกตนหยุดนิ่งและแหงนหน้ามอง แต่น่าเสียดาย เทวทูตแห่งการปกปิดเป็นเพียงภาพฉายที่ไคลน์ดึงมาจากช่องว่างประวัติศาสตร์ เธอทำได้เพียงต่อสู้ตามสัญชาตญาณ ส่งผลให้สถานการณ์ทวีความโกลาหล
ทันใดนั้นภาพฉายของวิลเลียมออกัสตัสที่หนึ่งชักดาบเรเพียร์สีเงินออกมาชี้ไปด้านหน้าแล้วก็ตวัดลง
โดยไม่ต้องเปล่งเสียง ความโกลาหลและพิสดารภายในโบราณสถานทั้งหมดหยุดลงทันที การต่อสู้ถูกแบ่งออกเป็นหลายสังเวียน
เฮอร์มิสดวลกับสตรีเลอโฉมใบหน้าเฉื่อยชา เทพหายนะเซียอาชิงความได้เปรียบเหนือไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ ภาพฉายทางประวัติศาสตร์ของจักรพรรดิโรซายล์และเทวทูตแสงกำลังรายล้อมไคลน์ วิลเลียมออกัสตัสอยู่ในตำแหน่งอิสระที่คอยป้องกันมิให้เกิดความเสียหายกับสุสานด้านล่าง
สมแล้วที่เป็นหัตถ์ประกาศิต…รูม่านตาไคลน์พลันเบิกกว้าง และแทบไม่ต้องคิด มันสอดมือขวาเข้าไปในเสื้อ เหยียดมือซ้ายออกไปด้านหน้าเพื่อยืมพลังจากตัวเองในอดีต
ไม่ว่าจะเป็นกงสุลมรณะ หัวหน้าสำนักชีรัตติกาล หรือเทวทูตแห่งการปกปิด ทั้งหมดล้วนเป็นภาพฉายทางประวัติศาสตร์ที่มีตัวตนสูงเกิดกว่าระดับของไคลน์ ส่งผลให้สิ้นเปลืองพลังวิญญาณมหาศาลเพื่อคงสภาพ ก่อนที่พลังวิญญาณจะเหือดแห้ง ไคลน์จำเป็นต้องยืมพลังจากตัวเองในอดีต
ผลลัพธ์ทำให้ร่างกายชายหนุ่มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณปลอม และภายในห้านาทีถัดไป สิ่งนี้จะทำหน้าที่เหมือนพลังวิญญาณจริงทุกประการ
ทันใดนั้นไคลน์เห็นแสงสว่าง
เทวทูตซึ่งเกิดจากการควบแน่นแสงบริสุทธิ์ แผ่นหลังมีปีกมายา ทำการพรั่งพรูน้ำตกแสงใส่ชายหนุ่มอย่างท่วมท้น
ท่ามกลางทะเลแห่งแสงอันเจิดจ้า วัตถุบางชนิดร่วงหล่นอย่างรวดเร็วไปในทิศทางของสุสาน
หนังสือปกสีเข้มที่ทำจากกระดาษหนัง
การเดินทางของกรอซาย!
ไคลน์อาศัยแก่นสำคัญของพลังแบ่ง ‘หนอนวิญญาณ’ และพลังแปลงโฉม ทำการหดตัวกลายเป็น ‘ที่คั่นหนังสือเลือดเนื้อ’ และซ่อนตัวอยู่ในการเดินทางของกรอซาย ปกป้องตัวเองจากแสงสว่างอันท่วมท้น
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส เนื่องจากแสงสว่างยังคงส่องโดนบางจุดของร่างกาย
ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ในตำแหน่งที่การเดินทางของกรอซายร่วงหล่น จักรพรรดิโรซายล์ในเครื่องแต่งกายสง่างามกำลังยืนรอในท่ายกมือ
“…” โดยไม่สนใจประเด็นอื่น ไคลน์คิดออกเพียงวิธีปกป้องตัวเองเบื้องต้น
ซ่อนตัวอยู่ในช่องว่างประวัติศาสตร์!
ครืน!
เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องจากด้านนอกโบราณสถาน
แรกเริ่มด้วยการดังจากจุดห่างไกล แต่ปิดท้ายด้วยเสียงที่ใกล้ราวกับดังขึ้นข้างหู
ไคลน์และภาพฉายทางประวัติศาสตร์ รวมถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโบราณสถานพลันตกตะลึงและยืนแข็งทื่อ เช่นเดียวกันกับ ‘ทะเลแสง’ ที่ลดทอนความเจิดจ้าลง
ไม่สิ ยังเหลือหนึ่งบุคคลที่ไม่ได้รับผลกระทบ เทวทูตแห่งการปกปิดของโบสถ์รัตติกาล สตรีใบหน้างดงามและเฉื่อยชารายนี้ฉวยโอกาสทำให้ร่างกายจางลง กลายเป็นลวดลายจำนวนมากที่สื่อถึงการปกปิดและความสยดสยอง โลกที่แปลกประหลาดขยายปกคลุมเฮอร์มิส ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ ท่อนแขนของเซียอา เทวทูตแสง และวิลเลียมออกัสตัสที่หนึ่ง
แม้ว่าสิ่งที่ไคลน์อัญเชิญจะเป็นเพียงภาพฉายทางประวัติศาสตร์ซึ่งถูกลดทอนฝีมือลงมาก แต่แก่นแท้บางอย่างยังคงอยู่!
ในที่สุดความโกลาหลที่คาดหวังก็มาถึง!
สำหรับผู้ช่วยคนอื่นของจอร์จที่สาม เช่นราชาเทวทูตมันยังคงอยู่ในสุสานแห่งอื่น
ในวินาทีที่โลกประหลาดกึ่งโปร่งใสก่อตัวขึ้น เทวทูตทุกตนพยายามขัดขืน
ท่ามกลางความโกลาหล โลกประหลาดถูกฉีกทำลายอย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม ภายใต้การชักนำของหญิงสาว กลุ่มก้อนลำแสงผสานเข้ากับพลังของเทวทูตและพุ่งตรงไปยังสุสานลับด้านล่าง
ครืน!
เสียงฟ้าร้องดังสนั่นอีกระลอก จักรพรรดิโรซายล์ที่พยายามจะหยุด ผงะตกใจอีกครั้งจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด
เพียงพริบตา สุสานลับสีเข้มที่ดูสง่างามถูกโจมตีจนเกิดรอยแตกลึกบนพื้นผิว เผยให้เห็นสภาพด้านใน
ภายในช่องว่าง กระแสเลือดพวยพุ่งขึ้นมาด้านบน บ้างเป็นสีแดงสด บ้างหมองคล้ำ
บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม!
คราวนี้เป็นปืนใหญ่อัดอากาศที่ยิงโดยไคลน์ผู้กลับคืนร่างมนุษย์ในท่าถือการเดินทางของกรอซาย
สุสานลับที่ใกล้พังทลายรอมร่อ ถึงคราวจบสิ้นโดยสมบูรณ์ เลือดด้านในพรั่งพรูออกมาเพิ่มขึ้น
…
เนื่องจากสุสานถูกทำลาย พิธีกรรมเลื่อนลำดับของจอร์จที่สามจึงขาดเสถียรภาพเพราะเสาหลักในการค้ำจุนหายไป
หากมีสุสานเพียงหลังเดียวที่ถูกโจมตี มันยังสามารถพึ่งพาการเชื่อมต่อระหว่างตนกับสุสานเหล่านั้นเพื่อสร้างแนวป้องกันบางอย่าง แต่ปัจจุบันมันเผชิญหน้ากับการโจมตีที่หนักหน่วงเกินไป
เมื่อร่างมายาของมันเริ่มเดือดปะทุ จอร์จที่สามมิอาจคงสภาพพลัง ‘บิดเบือน’ ที่ส่งไปยังโลกภายนอกได้อีก ในที่สุดสุสานซึ่งเคยถูกตัดขาดจากโลกความจริงก็กลับมาปรากฏต่อหน้าทริสซี่
ใบหน้าชุ่มเลือดของหญิงสาวซึ่งกำลังบิดเบี้ยว ยกโค้งมุมปากอย่างพึงพอใจ
…
กรุงเบ็คลันด์ จัตุรัสรำลึก
“เหล่าพสกนิกรที่รักทุกท่าน…” ขณะจอร์จที่สามเจ้าของหนวดทรงโบราณและใบหน้าเคร่งขรึม เตรียมกล่าวปิดสุนทรพจน์ เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วจัตุรัส
เลือดเนื้อของมันกลายเป็นสะเก็ดดอกไม้ไฟที่กระจายเต็มอากาศ
ราชันเร้นลับ 1149 : หนี
เมื่อออเดรย์และชาวเมืองมองเห็นฉากดังกล่าว พวกมันรู้สึกตื่นตาตื่นใจประหนึ่งได้เห็นมายากลที่ยอดเยี่ยม ไม่มีใครเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ไม่กี่วินาทีถัดมา เหตุการณ์เริ่มโกลาหล ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้คน ทหารองครักษ์ต่างพากันกรูขึ้นไปบนเวทีสูง
เหล่าคณะรัฐมนตรีและขุนนางของสภาสูงพลันแตกตื่นและหากำบังหลบ บางคนรวบรวมความกล้าและวิ่งตามองครักษ์ขึ้นไป
ออเดรย์เฝ้ามองด้วยท่าทีเหม่อลอย เธอมิได้ประหลาดใจมากนัก แต่ก็ไม่คิดว่านี่จะเป็นเรื่องจริง
หากมิสเตอร์เวิร์ลให้ความสนใจใครเป็นพิเศษ นั่นแปลว่าเป้าหมายถูกจับตามองโดยมิสเตอร์ฟูล และพระองค์ไม่เคยล้มเหลวมาก่อน
นี่คือเจตจำนงของเทพ
ในจัตุรัสเทศบาลแห่งอื่นประจำกรุงเบ็คลันด์ เบ็นสัน เมลิสซ่า และคนที่เหลือต่างก็ได้ยินเสียงระเบิด จากนั้นก็ตระหนักว่าสุนทรพจน์ของกษัตริย์หยุดลงกลางคัน
หลังจากความเงียบเข้าครอบงำสักพัก ผู้คนเริ่มกระสับกระส่ายพลางส่งเสียงกระซิบกระซาบ
ความตื่นตระหนักและหวาดกลัวในอนาคตที่ไม่แน่นอน กำลังกัดกินจิตใจพวกมัน
…
เขตชานกรุงเบ็คลันด์ ภายในโบราณสถานหมายเลขหนึ่ง
สติของจอร์จที่สามกำลังเลือนรางสุดขีด มันสัมผัสถึงจิตสำนึกอันบ้าคลั่งและท่วมท้นกำลังปะทุจากภายในประหนึ่งภูเขาไฟ ส่งผลให้ร่างกายเริ่มแปรสภาพ ทุกสิ่งรอบตัวถูกบิดเบือน
มันเห็นบัลลังก์สีดำขนาดมหึมาอย่างคลุมเครือ และเห็นว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ด้านบน สวมมงกุฎจักรพรรดิสีดำ เฝ้ามองโลกเบื้องล่างด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย ปกครองเหล่าพสกนิกรประหนึ่งทวยเทพ
มันเหยียดแขนออกไปโดยพยายามจับคว้าอนาคตดังกล่าว แต่กลับถูกคำสาปจำนวนมากและการโจมตีที่ไม่รู้จักถาโถมเข้าใส่ ส่งผลให้เอื้อมไปไม่ถึงความฝันดังกล่าว
“ไม่…”
มือมายาของจอร์จที่สามชะงักค้างกลางอากาศ สติของมันเลือนรางและขาดห้วง ร่างกายแปรสภาพโดยสมบูรณ์
ทริสซี่ที่ปัจจุบันกลายเป็นเพียงก้อนเลือด ใช้เส้นผมอสรพิษหนาจำนวนมากห่อหุ้ม ‘เงาดำแห่งระเบียบ’
บึ้ม!
ด้านนอกโบราณสถานหมายเลขหนึ่ง ภูเขาและป่าไม้พังทลายจนเกิดฝุ่นควันลอยฟุ้งปริมาณมหาศาล
บึ้ม!
จุดที่เชื่อมกับแม่น้ำทัสซอคพลันเกิดหลุมลึกขนาดมหึมา ส่งผลให้กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากพรั่งพรูเข้าไป
ครืน—!
บนท้องฟ้าสูงในจุดดังกล่าว พายุอันน่าสะพรึงก่อตัวขึ้นและปกคลุมไปทั่วบริเวณ
บนยอดเขาไกลออกไป ร่างของสองบุคคลกำลังเฝ้ามองฉากดังกล่าวโดยไม่มีใครพูดคำใดเป็นเวลานาน
หนึ่งในนั้นคือแม่มดยุพนิรันดร์ที่แต่งกายในชุดคลุมสีขาวบริสุทธิ์ อีกคนคือวิญญาณมารเทวทูตสีชาดในร่างชายผิวซีดสวมเสื้อคลุม
ผ่านไปหลายวินาที นักบุญขาว คาร์เทอริน่าถอนหายใจแผ่ว
“เหตุผลที่เราไล่ตามเธอ เพราะท่านบรรพกาลแจ้งว่าเธอมีแนวโน้มที่จะทำลายตัวเอง”
หลังจากยืนฟังเงียบงัน ใบหน้าของวิญญาณมารเทวทูตสีชาดบิดเบี้ยวเล็กน้อย
“ข้ารู้แล้วว่าใครคอยขัดขวางผลการทำนายของข้า”
คาร์เทอริน่ามีคำตอบในใจมากมาย แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยัน จึงเลือกที่จะเงียบ
วิญญาณมารเทวทูตสีชาดเปล่งเสียงเชื่องช้า
“รัตติกาล”
เว้นวรรคสักพัก มันข่มอารมณ์พลางเสริม
“ไม่อย่างนั้นข้าคงหาทริสซี่ชีคพบนานแล้ว”
โดยไม่รอการตอบสนองจากคาร์เทอริน่า วิญญาณมารเทวทูตสีชาดหันหลังกลับและเดินจากไปทันที
…
ภายในโบราณสถานอีกแห่ง ไคลน์ที่ได้เห็นสุสานลับพังทลายและมีเลือดไหลออกมาเป็นจำนวนมาก เกิดความยินดีปรีดาอย่างเหนือคำบรรยาย แต่ก็ต้องรีบดึงสติกลับมาสนใจสถานการณ์ปัจจุบัน
เมื่อพิธีกรรมของจอร์จที่สามล้มเหลวและหมดสิทธิ์กลายเป็นจักรพรรดิมืด นั่นหมายความว่าเป้าหมายของไคลน์ลุล่วงแล้ว และขั้นตอนถัดไปคือการหาทางหลบหนี!
ทันใดนั้นอาศัยประโยชน์จากแรงกระเพื่อมที่เกิดขึ้นขณะสุสานถูกทำลาย ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ซึ่งตระหนักว่าข้อตกลงระหว่างเธอกับไคลน์ลุล่วงแล้ว หยุดต่อสู้และหลบหนีเข้าไปในส่วนลึกของโลกวิญญาณทันที
พลังที่เธอยืมจากอดีตกำลังจะหมดลง!
เทวทูตแห่งการปกปิดเจ้าของใบหน้าสะสวยแต่เฉื่อยชา ถึงขีดจำกัดที่ไคลน์จะคงสภาพไว้ได้ หลังจากจำแลงกายเป็นโลกพิสดาร เธอเลือนหายไปตามธรรมชาติ
ภายในโบราณสถานที่ใกล้ถูกทำลาย ไคลน์กำลังเผชิญหน้ากับท่อนแขนของเทพหายนะเซียอา เฮอร์มิสจากโบราณ ภาพฉายของจักรพรรดิโรซายล์ ภาพฉายของวิลเลียมออกัสตัสที่หนึ่ง ภาพฉายของเทวทูตแสงนิรนาม และเสียงฟ้าร้องที่ยังไม่ทราบเป้าหมาย ทุกฝ่ายสามารถสังหารชายหนุ่มได้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ
และหากมันหวังอัญเชิญเทวทูตออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์อีกครั้ง ใช่ว่าเพียงสองสามหนจะประสบความสำเร็จ
โดยปราศจากความลังเล ร่างไคลน์กลายเป็นมายา พยายามหลบเข้าไปในช่องว่างประวัติศาสตร์
ทันใดนั้นท่ามกลางทัศนียภาพของไคลน์ที่เต็มไปด้วยสายหมอกสีเทา วังวนอันเกิดจากกลุ่มหนอนแมลงสีใสปรากฏขึ้น พวกมันแผ่ขยายหนวดรยางค์โปร่งใสออกไปทุกทิศทาง
ซาราธ!
ร่างจริงของซาราธ!
มันกำลังรอไคลน์ภายในช่องว่างประวัติศาสตร์!
ถึงตรงนี้ไคลน์มิอาจถอนตัวจากการเข้าไปหลบในช่องว่างทางประวัติศาสตร์ ทำได้เพียงมองดูร่างของตนถูกวังวนดูดเข้าไปยังจุดศูนย์กลางของสายหมอก!
มันยกนิ้วขึ้นมาเตรียมดีดเพื่อจุดไฟเผานกกระเรียนกระดาษ แต่กลับพบว่าที่นี่ไม่สามารถจุดไฟได้
ซาราธซึ่งจับตามองมาสักพัก มีเข้าใจเกี่ยวกับไพ่ตายของเหยื่อในระดับหนึ่ง จึงอาศัยระดับตัวตนที่สูงกว่าและอำนาจในขอบเขตความพิสดาร ยับยั้งมิให้ไคลน์ควบคุมเปลวไฟได้อีก!
นอกจากนั้นสัญชาตญาณของไคลน์ยังเตือนว่า ปลายทางของการ ‘เทเลพอร์ต’ เชื่อมโยงกับวังวนหนอนแมลงสีใสอย่างน่าประหลาด
มันหนีไม่พ้นและไม่มีเวลาอัญเชิญผู้ช่วย
ทว่าผู้วิเศษเส้นทางนักทำนาย ย่อมไม่ลงมือโดยไม่เตรียมตัวล่วงหน้า
วังวนหนอนโปร่งใสหมุนรอบตัวเองอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังต้อนรับ ‘การมาเยือนที่มิอาจเลี่ยง’ ของไคลน์ และหนวดรยางค์โปร่งใสกำลังแหวกว่ายไปมาโดยที่ไม่มีสิ่งใดสามารถยับยั้ง
พวกมันรัดพันร่างกายไคลน์ แต่สุดท้ายกลับคว้าได้เพียงหนังสือโบราณปกหนังสีเข้ม
บนผิวของปกหนังสือยังมีคราบเลือดเปียกติดอยู่
การเดินทางของกรอซาย!
ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ไคลน์ทำการหักนิ้วตัวเองและปล่อยให้เลือดหยดลงบนผิวการเดินทางของกรอซาย ส่งตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกหนังสือเพื่อหลบหนีกับดักที่ซาราธวางไว้
ทันทีที่เข้าสู่โลกหนังสือ ไคลน์เอื้อมมือไปข้างหน้าทันที จับคว้าหุ่นเชิดที่เคยครอบครองครู่หนึ่งออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์
เฮอร์วินแรมบิส!
ไคลน์เคยทดสอบดูแล้ว หากเป็นที่นี่มันสามารถอัญเชิญภาพฉายทางประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นจริงได้ เพราะที่นี่ยังได้รับความช่วยเหลือจากปราสาทต้นกำเนิด อ้างอิงจากการที่โลกภายในหนังสือสามารถสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลได้อย่างอิสระ แต่แน่นอนต่อให้ไม่ได้ผล ไคลน์ก็ยังมีวิธีแก้ขัดเป็นการอัญเชิญจัสติส ออเดรย์ ที่เคยมีตัวตนภายในโลกหนังสือออกมา!
สรุปโดยสั้น ชายหนุ่มต้องการผู้วิเศษลำดับกลางถึงสูงของเส้นทางผู้ชม จุดประสงค์เพื่อนำตนเข้าไปในทะเลจิตใต้สำนึกรวมและเข้าสู่ ‘เมืองแห่งปาฏิหาริย์’ เลฟซิด เป้าหมายคือโถงแห่งความจริง
ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี เพราะไคลน์ไม่มีทางทราบว่า เทวทูตลำดับหนึ่ง อย่างซาราธจะใช้เวลานานแค่ไหนในการถอดรหัสความลับของ ‘การเดินทางของกรอซาย’ และยิ่งไม่มีข้อมูลว่าอีกฝ่ายสามารถบุกรุกเข้ามาโดยตรงได้หรือไม่
ทางรอดเดียวคือต้องแข่งกับเวลา!
เฮอร์วินแรมบิสเจ้าของมาดอ่อนโยนและสง่างาม แต่งกายในชุดสุภาพและติดโบสีแดงเข้ม จับแขนไคลน์ด้วยสีหน้าแข็งทื่อ จากนั้นก็พาเข้าสู่ทะเลจิตใต้สำนึกรวมซึ่งมีลักษณะเป็นแสงเงาซ้อนทับกัน
อาศัยพลังของ ‘จอมบงการ’ พวกมันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนกระทั่งถึงเลฟซิดภายในไม่กี่วินาที จากนั้นก็มาถึงหน้าโถงแห่งความจริง
ไคลน์ยกเลิกการคงสภาพหุ่นเชิดเฮอร์วินแรมบิส อาศัยแรงลมส่ง มัน ‘วิ่ง’ ผ่านประตูเข้าไปด้านใน
ขณะเดินผ่านภาพจิตรกรรมที่มีสีสัน เสียงชายหนุ่มดังก้องภายในห้องโถง
“ถ้าเป็นที่นี่ โอกาสอัญเชิญ ศูนย์-ศูนย์แปด สำเร็จน่าจะสูงขึ้น…”
“หากใช้มันวาดต่อท้ายภาพจิตรกรรมบนผนังฝั่งซ้าย มีโอกาสที่จะส่งผลต่อโลกความจริง…”
“อาศัยการจัดแจงทางโชคชะตา ซาราธอาจทำพลาดและเปิดช่องว่างให้เราหนีอย่างปลอดภัย…”
“ไม่สิ ให้ร่างโคลนของอามุนด์เข้ามาตะลุมบอนกับซาราธ แบบนี้จะง่ายกว่ามาก…”
“ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเทพธิดาถึงต้องการ ‘ล่อ’ อามุนด์เข้ามาในเบ็คลันด์…”
“ภาพจิตรกรรมฝาผนังฝั่งขวาสื่อถึงโลกในหนังสือ เราสามารถใช้ ศูนย์-ศูนย์แปด เพื่อพรรณนาถึงประตูชั่วคราวสำหรับเปิดทางหนี…”
ขณะกำลัง ‘บิน’ ไคลน์เหยียดแขนขวาออกไปจับคว้าความว่างเปล่า
ห้าครั้ง สิบครั้ง ยี่สิบครั้ง เมื่อไคลน์ทำการยืมพลังจากตัวเองในอดีตเพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณ มือขวาของมันจมลง ก่อนจะดึงปากกาขนนกทรงโบราณสีทึบออกมา
ศูนย์-ศูนย์แปด!
วินาทีถัดมาชายหนุ่มมาถึงหน้าเสาหินต้นยักษ์ที่ต้องใช้หลายคนโอบ
แม้จะผ่านกาลเวลามานานจนเสื่อมสภาพ แต่มันก็เคยเป็นบัลลังก์ของมังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวล
ไคลน์อ้อมเสาหินไปทางด้านหลังจนกระทั่งสุดทางภาพจิตรกรรม ยกปากกาศูนย์-ศูนย์แปด ขึ้นและเตรียมเขียน
ชายหนุ่มไม่เคยทดสอบการใช้ศูนย์-ศูนย์แปดกับที่นี่มาก่อน ด้วยเกรงว่าอาจไปกระตุ้นให้พี่ชายอามุนด์ไหวตัวทัน จนตระหนักว่ามีใครบางคนพยายามขัดขวางพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืดของจอร์จที่สาม
แต่ปัจจุบันมันไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นอีกต่อไป สามารถเขียนในสิ่งที่ตนต้องการได้เต็มที่
ทันใดนั้นศูนย์-ศูนย์แปดที่กำลังจะถูกเขียนพลันเลือนหายไป สลายตัวก่อนจะครบกำหนดด้วยซ้ำ!
เกิดอะไรขึ้น…ไคลน์เริ่มตื่นตัว
ทันใดนั้น ชายหนุ่มพบว่าโถงแห่งความจริงมิได้ขยายความคิดของตนให้เป็นเสียง สภาพแวดล้อมกำลังเงียบสงัดสุดขีด
เมื่อสัมผัสวิญญาณถูกกระตุ้น ไคลน์บรรจงหันกลับไปและพบว่าเสาหินที่ผ่านร้อนผ่านหนาวเป็นเวลานานจนสึกกร่อน แปรสภาพกลายเป็นไม้กางเขนยักษ์ที่สูงกว่าร้อยเมตรตั้งแต่ตอนไหนก็มิอาจคาดเดา
เบื้องหน้าไม้กางเขน ร่างอันพร่ามัวขนาดมหึมากำลังยืนเด่นสง่า ราวกับแบกทุกสิ่งไว้บนแผ่นหลังและเฝ้ามองวิญญาณทุกดวงด้วยสีหน้าเห็นใจ
ภายในโถงแห่งความจริง แถวม้านั่งสีดำจำนวนมากปรากฏขึ้น แต่มีผู้สวดวิงวอนเพียงคนเดียว
ผู้วิงวอนนั่งอยู่กึ่งกลางแถวหน้าสุดในสภาพหลับตา แต่งกายด้วยชุดคลุมสีขาวเรียบง่าย หนวดเคราสีทองปกปิดครึ่งล่างของใบหน้า มือสองข้างประสานกันบนสร้อยคอไม้กางเขนสีเงินตรงหน้าอก บรรยากาศอ่อนโยนและสงบเสงี่ยม
อาดัม
ประธานใหญ่แห่งสภานักสิทธิ์สนธยา ราชาเทวทูตอาดัม
ไคลน์ไม่ทราบว่าชายคนนี้เข้ามาตั้งแต่ตอนไหน
ขณะเดียวกัน อาดัมเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงตากระจ่างใสเหมือนเด็ก
มันบรรจงยืนขึ้นเชื่องช้า กล่าวด้วยมาดสงบนิ่ง
“การร่วงหล่นของจอร์จที่สามส่งผลให้โลเอ็นเผชิญสูญเสียครั้งใหญ่ อินทิสจะไม่นิ่งดูดายอีกต่อไป พวกเขาจะฉวยโอกาสนี้ในการเปิดศึกเต็มอัตรา และสงครามที่ปกคลุมโลกก็จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ…เจ้ายอมรับบทสรุปเช่นนี้หรือไม่?”
ราชันเร้นลับ 1150 : เผ่นป่าราบ
แม้ว่าในโถงแห่งความจริงจะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอุณหภูมิ แต่ไคลน์กลับรู้สึกเย็นเยียบและร้อนรน ต้องการจะโต้แย้งสักสองสามคำ แต่สุดท้ายกลับทำได้เพียงปิดปากเงียบ
จ้องมองไปทางอาดัมโดยไม่กล่าวคำใดสักพัก จนกระทั่งภาพของตนสะท้อนบนกระจกตากระจ่างใสของอาดัม ไคลน์ตอบอย่างยากลำบาก
“ผมยอมรับ…แต่ก็จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อลดความเสียหายที่เกิดจากสงคราม…ตราบใดที่ผมยังมีชีวิตอยู่”
มันเว้นวรรค ก่อนจะถามด้วยเสียงหนักแน่น
“นี่คือราคาที่ผมต้องจ่าย เพื่อตอบแทนของขวัญที่คุณเคยมอบให้? หลังจากที่นักบวชสักคนเอ่ยนามคุณภายในหนังสือ คุณก็แอบจัดแจงทุกสิ่งอย่างเป็นความลับ?”
อาดัมซึ่งแต่งกายในชุดคลุมสีขาวเงียบง่าย ยังไม่มอบคำตอบในทันที เพียงเดินไปทางจิตรกรรมฝาผนังฝั่งซ้ายมือและหยุดลงหน้าภาพหนึ่ง เงยหน้าขึ้นและเฝ้ามองด้วยสายตาเชยชม
บนภาพดังกล่าว หนังสือที่เย็บติดกันด้วยกระดาษหนัง ลอยสูงขึ้นไปเหนือก้อนเมฆ ผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว จนกระทั่งตกลงบนอุ้งเท้าขนาดใหญ่ของสิ่งมีชีวิตบางประเภท
พิจารณาอยู่สักพัก อาดัมกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“เจ้ากลับไปได้”
ไคลน์รู้สึกราวกับถูกปฏิเสธโดยโถงแห่งความจริง เมืองแห่งปาฏิหาริย์ และทะเลห้วงจิตรวมของโลกหนังสือ ร่างกายลอยขึ้นและพุ่งออกจากพื้นที่ดังกล่าว
ระหว่างนั้น มันเห็นอาดัมเดินกลับไปยังม้านั่งสีดำแถวหน้าสุด ถือไม้กางเขนสีเงินในสภาพหลับตา สวดวิงวอนอย่างเคร่งขรึมต่อหน้าร่างมายาขนาดมหึมา
ด้านนอกทะเลห้วงจิตรวม บานประตูมายาปรากฏตัวอย่างเงียบงันกลางอากาศ ปลายทางคือโลกภายนอก
โลกภายในหนังสือเริ่มปฏิเสธไคลน์และ ‘ขับ’ ชายหนุ่มออกจากประตู
ทันใดนั้น ไคลน์กลับมายังโลกแห่งความจริง รอบตัวเต็มไปด้วยสายหมอกสีเทาอ่อน เป็นจังหวะก่อนจะเข้าไปหลบในช่องว่างประวัติศาสตร์
จุดที่แตกต่างจากอดีตก็คือ มันมิได้ถูกกักขังภายในวังวนหนอนแมลงสีใส สำหรับหนวดรยางค์ล่องหนที่ดูลื่น พวกมันรัดพันการเดินทางของกรอซายแผ่วเบาจนกระทั่งหายไปในความว่างเปล่า
โดยไม่มัวอาลัยอาวรณ์กับการสูญเสีย ไคลน์ตัดสินใจทำตามสัญชาตญาณทันที
มันกระโดดไปลงในสายหมอกสีเทาฝั่งตรงข้าม ซ่อนตัวอยู่ในจุดอับแสง หนึ่งในช่องว่างของประวัติศาสตร์
วินาทีถัดมา ไคลน์นึกเสียใจในสิ่งที่ตนเลือก เพราะหนวดรยางค์อันน่าสะพรึงของซาราธยังคงแผ่ขยายไปทั่วสายหมอกสีเทา และหนอนโปร่งใสจำนวนมากก็เลิกรวมตัวกันเป็นวังวน แต่ทั้งหมดพรั่งพรูเข้าหาชายหนุ่มด้วยความเร็วสูง
ซาราธสามารถต่อสู้ภายในช่องว่างประวัติศาสตร์!
นี่คือความเหนือกว่าของผู้วิเศษลำดับสูงในเส้นทางเดียวกัน
ศัตรูตัวฉกาจที่สุดของนักทำนาย คือนักทำนายที่มีลำดับสูงกว่า
ไคลน์ไม่ลังเลอีกต่อไป เฉกเช่นตอนที่ดื่มโอสถเพื่อเลื่อนลำดับ มันรีบ ‘วิ่ง’ ท่ามกลางจุดแสง พยายามสำรวจเข้าไปในส่วนลึกของสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์
ฉากแล้วฉากเล่าแล่นผ่านการมองเห็น มีทั้งภาพสุสานลับพังทลาย เบ็คลันด์ถูกโจมตีทางอากาศ และโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน แต่สัมผัสวิญญาณที่คอยเตือนอันตรายให้ไคลน์ ไม่เพียงจะไม่บรรเทาลง กลับยิ่งทวีความเข้มข้นมากกว่าเก่า
มัน ‘เห็น’ เงาดำหนาทึบขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นทีละนิดและเริ่มครอบงำตน
นี่คือกระแสการถาโถมของหนอนแมลงโปร่งใสและหนวดรยางค์ล่องหน!
ไคลน์เผ่นหนีอย่างสิ้นหวัง พลางเอ่ยพระนามเต็มอันมีเกียรติของเทพธิดารัตติกาลอย่างต่อเนื่องเป็นภาษาคนยักษ์ หวังพึ่งพาความช่วยเหลือจากพระองค์ เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่มันทำได้ และอีกฝ่ายคือตัวตนเดียวที่สามารถช่วยเหลือ
แน่นอนหากมันรู้จักนามเต็มอันทรงเกียรติของอามุนด์ คงพยายามดึงผู้เย้ยเทพรายนี้เข้ามาเอี่ยว
มีเพียงทำให้สถานการณ์วุ่นวายถึงขีดสุด ประตูแห่งทางรอดจึงจะเปิดออก
ฉากแล้วฉากเล่าแล่นผ่านสายตาชายหนุ่ม โรซายล์สถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิ ยุคปฏิวัติเครื่องจักรไอน้ำ ศึกตระบัดสัตย์ และสงครามกุหลาบขาว ไคลน์ตระหนักได้ว่าเงาดำปกคลุมร่างกายตนมากขึ้นทุกที สติเลือนรางลงราวกับกำลังถูกควบคุมด้ายวิญญาณ
ทันใดนั้น สุนัขแห่งฟัลกริมวิ่งออกมาจากจุดต่าง ๆ ของสายหมอกสีเทาอ่อน
ร่างกายพวกมันปกคลุมด้วยขนสั้นเกรียนสีดำสนิท เบ้าตาเป็นเปลวเพลิงลุกไหม้ มุมปากยาวไปถึงท้ายทอย
กลุ่มสัตว์ประหลาด ‘ผู้พิทักษ์แห่งปราสาทต้นกำเนิด’ วิ่งผ่านไคลน์และไล่ล่าบางสิ่งด้านหลัง
สติไคลน์ฟื้นคืนกลับมาทันที
บัดซบ! มันสบถกับตัวเองด้วยดวงตาแดงก่ำและพร่ามัว ขณะเดียวกันก็ยังคง ‘เผ่น’ จากยุคสมัยที่ห้าไปจนถึงยุคสมัยที่สี่ และถึงยุคสมัยที่สาม
เงาดำขนาดใหญ่ซึ่งดูคล้ายกระแสน้ำชะงักงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถาโถมเข้าใส่ไคลน์ต่อราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ท่วมท้นช่องว่างประวัติศาสตร์ที่ชายหนุ่มวิ่งผ่านมา
ไคลน์ไม่หวงแหนพลังวิญญาณ ท่ามกลางสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ มันวิ่งสุดแรงเกิดด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่มี อาศัยแสงไฟที่ตัวเองเคยจุดขึ้นคอยนำทาง มุ่งหน้าจากยุคสมัยที่สามไปจนถึงยุคสมัยที่สอง จนกระทั่งมาถึงจุดแสงอันอ้างว้างแห่งเดียวในยุคสมัยที่หนึ่ง เป็นภาพของป่าเสื่อมโทรมและหลุมศพขนาดเท่ามนุษย์
ประวัติศาสตร์เมื่อครั้งราชาคนยักษ์ เออเมียร์ฝังพ่อและแม่
สำหรับ ‘กระแสเงาดำ’ ของซาราธ คล้ายกับพวกมันยังไม่เข้าใจอดีตเหล่านี้ดีพอ จึงเลิกเล่นตามตั้งแต่ตอนไหนก็มิอาจทราบได้
ถึงตรงนี้ พลังวิญญาณไคลน์ใกล้เหือดแห้งเต็มที และภายในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ ชายหนุ่มทำได้เพียงยืมพลังจาก ‘ตัวเอง’ ที่อยู่บนเส้นเวลาปัจจุบัน และเห็นได้ชัดว่ามันไม่มีตัวตนอยู่ในยุคสมัยนี้
และเมื่อพลังวิญญาณแห้งเหือด ไคลน์จะถูกขับออกจากสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์และกลับสู่โลกความจริง เมื่อถึงตอนนั้น มันจะต้องเผชิญหน้ากับซาราธอีกครั้ง
ฟู่ว…ไคลน์ถอนหายใจยาว นำนกกระเรียนกระดาษอีกตัวออกมาพร้อมกับดีดนิ้วจุดไฟ
ทว่าหลังจากรอคอยนานหลายวินาที อสรพิษแห่งชะตากลับมิได้ปรากฏกาย
ในช่องว่างประวัติศาสตร์ เราใช้นกกระเรียนกระดาษติดต่อกับวิลตามปรกติไม่ได้…ทำไมอามุนด์ถึงไม่ปรากฏตัวสักที…ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์ตัดสินใจท่องพระนามเต็มเป็นภาษาคนยักษ์
“เทพธิดารัตติกาลผู้สูงสง่ายิ่งกว่าดวงดารา ผู้ยั่งยืนยิ่งกว่านิรันดร์ พระองค์ผู้เป็นสตรีสีชาด มารดาแห่งความลับ จักรพรรดินีแห่งเคราะห์กรรมและนายหญิงแห่งความสุขสงบ…”
ผ่านไปสักพัก ไคลน์ผุดแนวคิดใหม่ จึงรีบออกจากสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์และกลับสู่โลกจริงโดยไม่ลังเล
ทันทีที่ปรากฏกาย ด้ายวิญญาณของชายหนุ่มพลันลอยไปในอากาศพร้อมกับถูกหนวดรยางค์ล่องหนจับไว้
ที่ฝั่งตรงข้าม อีกร่างหนึ่งโผล่ออกมาในเวลาไล่เลี่ย
เป็นมาดามอาเรียนน่า หัวหน้านักบวชแห่งรัตติกาลที่มีฝ่าเท้าเปลือยเปล่า
จากพลังในปัจจุบันของไคลน์ ภาพฉายทางประวัติศาสตร์ระดับเทวทูตที่อัญเชิญออกมาน่าจะสลายไปหมดแล้ว ดังนั้นอาเรียนน่าที่กำลังเห็นจึงต้องเป็นตัวจริงอย่างไร้ข้อกังขา
หัวหน้าสำนักชีรัตติกาลจ้องมาทางไคลน์ จากนั้นก็ทำให้ชายหนุ่มหายตัวไปท่ามกลางหนวดรยางค์ล่องหนของซาราธ
ไคลน์เข้าสู่โลกแห่งการปกปิดของอาเรียนน่า ปัจจุบันเป็นยามค่ำคืนที่มืดมิด รายล้อมด้วยวิหารเก่าแก่จำนวนมาก กึ่งกลางท้องฟ้ามีพระจันทร์สีแดงดวงใหญ่ห้อยแขวน
อาศัยประสบการณ์ที่เคยร่วมมือกันมาหลายหน ไคลน์ใช้เทเลพอร์ตเพื่อส่งตัวเองไปยังดวงจันทร์ด้านบน จากนั้นก็ออกจากโลกแห่งการปกปิดไปยังสถานที่อื่น
หลังจากกลับสู่โลกความจริง ไคลน์พบว่าตนทิ้งระยะห่างจากซาราธได้ไกลพอสมควร จึงรีบเทเลพอร์ตหนีทันที ส่วนอาเรียนน่าหลังจากถ่วงเวลาซาราธได้สักพัก เธอหลบหนีอย่างง่ายดายโดยการเข้าสู่สถานะถูกปกปิด
บึ้ม!
เสียงฟ้าร้องอันน่าสะพรึงดังกึกก้อง ส่งผลให้หนวดรยางค์ล่องหนและมันวาวซึ่งพยายามจับคว้าตำแหน่งที่ไคลน์หายตัวไป รีบหดกลับและหายไปพร้อมกับร่างหลัก
ไคลน์ที่เทเลพอร์ตมาถึงทะเล ไม่คิดจะยืมพลังจากตัวเองในอดีต แต่เลือกยืม ‘กระดาษคน’ จากช่องว่างประวัติศาสตร์และสะบัดข้อมือพร้อมกับจุดไฟเผา
ข้าวของส่วนใหญ่ของไคลน์ได้รับความเสียหายขณะกลายร่างเป็น ‘ที่คั่นหนังสือ’ ส่วนหุ่นเชิดโจนาสกับเอ็นยูน ชะตากรรมเป็นอย่างไรก็มิอาจทราบได้ บางทีคงระเหยไปท่ามกลางการโจมตีของเทวทูตแห่งแสง
พรึบ!
กระดาษคนลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีแดงเข้ม เกิดเป็นภาพมายาของเทวทูตสยายปีกหลายชั้นออกมาปกคลุมไคลน์ ลบร่องรอยอย่างหมดจด
จากนั้นไคลน์เทเลพอร์ตอีกครั้งเพื่อหลบหนีออกจากพื้นที่
…
ในสุสานลับของแคว้นเชสเตอร์ตะวันออก วิลเลียมออกัสตัสที่หนึ่งและราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดต อาศัยพลังของตัวเองในการหยั่งรู้ถึงการร่วงหล่นของจอร์จที่สาม
รายหลังไม่มัวแช่อยู่นาน รีบสลายร่างกายในลักษณะฟองสบู่และหายตัวไป
วิลเลียมออกัสตัสที่หนึ่งไม่มีอารมณ์จะยับยั้งหรือไล่ตาม และสีหน้าก็มิได้เผยความเจ็บปวดมากมายอะไร
…
ไคลน์ซึ่งอ้อมเป็นระยะทางไกลพลางใช้อ้อมกอดเทวทูตเพื่อลบร่องรอยถึงสามครั้ง เดินทางกลับมายังเบ็คลันด์อย่างเงียบเชียบ เพราะเชื่อว่าที่นี่ปลอดภัยที่สุดในโลกแล้ว
มันมิได้กลับบ้านเช่าหลังเก่า แต่เลือกเช่าห้องใหม่ภายในโรงแรมย่านสะพานเบ็คลันด์
แน่นอนว่ามันไม่ลืมที่แปลงโฉม เปลี่ยนความสูงเปลี่ยนบุคลิกและบรรยากาศรอบตัว
ยิ่งดูธรรมดาสามัญมากเพียงใด โอกาสถูกพบความผิดปรกติก็ยิ่งน้อย
หลังจากเข้าไปในห้อง ไคลน์ฝืนเอาชนะความอ่อนล้าทางใจและบาดแผลทางกาย เอ่ยนามเต็มของเทพสมุทร คาเวทูว่า เตรียมเดินถอยหลังสี่ก้าวเข้าสู่สายหมอกเพื่อใช้ ‘ตาทิพย์’ และอ้อมกอดเทวทูตของจริง ยืนยันความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมที่ตนกำลังอาศัย
โชคดีที่ซาราธน่าจะทำพันธสัญญากับจอร์จที่สาม จึงมิอาจละทิ้งสุสานที่ตนดูแลได้ตามต้องการ ไม่อย่างนั้นเราคงกลายเป็นหุ่นเชิดของมันนานแล้วท่ามกลางการต่อสู้ที่วุ่นวาย…การปรากฏตัวของมันและเทพหายนะ เซียอา อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเรามาก…ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก ก้าวทวนเข็มนาฬิกา อ้าปากเปล่งภาษาจีนกลาง
“เซียนราชันฟ้าดิน…”
ทันใดนั้นร่างกายชายหนุ่มพลันสั่นสะท้าน น้ำเสียงขาดห้วงกะทันหันด้วยใบหน้าที่แข็งทื่อ
ในมุมสายตาไคลน์ชายคนหนึ่งกำลังนั่งบนเก้าอี้ข้างกระจกบานใหญ่ภายในห้อง รูปร่างสันทัด เพศชาย ใบหน้าค่อนข้างหนุ่ม สวมเสื้อนอกสีเข้มและกางเกงขายาวทำจากขนสัตว์ ผิวพรรณดูคล้ายกับลูกครึ่งโลเอ็นไบลัม
นี่คือหุ่นเชิดที่ไคลน์ทำสูญหายในศึกก่อนหน้านี้ ผู้ชนะ เอ็นยูน
เมื่อเผชิญกับสายตาที่แข็งทื่อของไคลน์ เอ็นยูนยิ้มและกล่าว
“อย่าทิ้งหุ่นเชิดเอาไว้ส่งเดชสิ…พวกมันถูกแกะรอยได้ง่าย”
ขณะกล่าว มันบรรจงลุกขึ้นยืน หยิบแว่นผลึกออกจากกระเป๋าพลางวางลงบนดวงตาข้างขวาอย่างใจเย็น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น