Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 37 ตอนที่ 43-48

 ภาคที่ 37 บนเส้นทาง

 

ตอนที่ 43 หัวใจสั่นสะท้าน แข้งขาอ่อนยวบ

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ว่าแขนทั้งสองมีพละกำลังอันพลุ่งพล่านเหนือชั้นกว่าก่อนหน้านี้มากมายนัก เขาลอบพยักหน้า เพราะยามอยู่ที่ดินแดนจิตโลกา การฝึกกายคละถิ่นของเขาก็ไปถึงระดับจักรพรรดิช่วงต้น (จักรพรรดิเทพช่วงต้น) แล้ว เพียงแต่ยังไม่เสถียรเท่านั้น ด้วยพรสวรรค์ของตงป๋อเสวี่ยอิง ทั้งยังมีการตระหนักรู้ตำราผู้แกร่งกล้าของโลกแห่งนี้ ทำให้พลังยุทธ์พุ่งขึ้นไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นอีกครั้งอย่างรวดเร็วยิ่ง นอกจากนี้ยังเสถียรอย่างรวดเร็วอีกด้วย


 


ถึงแม้ว่าจะเริ่มต้นบำเพ็ญพลังยุทธ์กลับมาใหม่เพราะอยู่ภายใต้แหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกัน ทำให้การตระหนักรู้ของวิถีของเขาล้ำลึกยิ่งขึ้น! มีความคิดเกี่ยวกับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงกลาง’ มากมาย ถึงขนาดที่ขัดเกลาฝึกกายคละถิ่นออกมาได้หลายฉบับ ซึ่งล้วนสามารถฝืนระเบิดไปถึงพลังยุทธ์ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางได้ เพียงแต่ต่างก็ไม่เสถียรเท่านั้น


 


เส้นทางของเขาแตกต่างกันกับผู้คิดค้นคัมภีร์ไร้ขอบเขตและคัมภีร์ฟ้าดิน ตำราของผู้แกร่งกล้าคนอื่นก็มีส่วนช่วยส่งเสริมเขาบ้างเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น ‘จักรพรรดิเทพช่วงกลาง’ ที่อยากจะคิดค้นเส้นทางของตัวเองนั้นช่างยากเย็นเหลือเกินจริงๆ ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกับผู้ที่มีสายโลหิตบรรพเทวะคละถิ่นเหล่านั้นที่เพียงแค่ขุดค้นศักยภาพของสายโลหิตก็เพียงพอที่จะทำให้ยกระดับก้าวแล้วก้าวเล่าได้อย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แล้ว


 


พื้นฐานอันแน่นหนาหาใดเปรียบเช่นนี้ จึงสร้างเป็นโลกใบนี้ขึ้นมาได้ ผู้เหินทะยานสามารถต่อสู้ข้ามชั้นได้!


 


“ถึงแม้ว่าจะไม่เสถียร ทำให้ร่างกายของข้ามีการสูญเสียอย่างต่อเนื่อง แต่ร่างกายของข้าก็กำลังฟื้นฟูขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา ด้วยการฝึกกายคละถิ่นของข้าก็เพียงพอที่จะต้านทานได้ครึ่งชั่วยาม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ  อ้างอิงจากการสูญเสียเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ต่อสู้ ในครึ่งชั่วยามให้หลัง พลังชีวิตของร่างกายตนก็จะเหลืออยู่เพียงแค่สามส่วนเท่านั้น! นี่ก็เป็นสัญญาณเตือนภัยชีวิตของตน ภายใต้ความขัดแย้งของกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ ตนเองก็ไม่สามารถบำเพ็ญการเคลื่อนที่ในพริบตาได้สำเร็จ ทั้งยังไม่สามารถบำเพ็ญเคล็ดร่างแยกได้สำเร็จอีกด้วย! ไม่มีเคล็ดร่างแยก ตนเองก็ย่อมต้องรักษาร่างแยกเพียงหนึ่งเดียวที่โลกใบนี้เอาไว้อย่างสุดความสามารถ


 


“ครึ่งชั่วยามก็เพียงพอแล้ว!” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลิ่นอายพุ่งทะยานพลุ่งพล่าน มือหนึ่งกุมหอกยาวสีดำเอาไว้ ก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็บุกสังหารไปทางนายท่านแห่งสมาคมจิตมาร


 


“กลิ่นอายของเขาทะยานขึ้นอย่างมหาศาล แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้มากมายนัก หรือว่าไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางแล้วเล่า” ในใจของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารไม่สงบเป็นอย่างยิ่ง “เขาเป็นผู้เหินทะยาน ถ้าหากเขามีพลังยุทธ์ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางจริงๆ เช่นนั้นก็เพียงพอที่จะเทียบเคียงได้กับระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายแล้วสิ เกรงว่ามีความเป็นไปได้ที่จะสังหารข้าสำเร็จเสียด้วยซ้ำ”


 


“แย่แล้วสิ เขามาแล้ว”


 


นายท่านแห่งสมาคมจิตมารหางตากระตุกคราหนึ่ง เงาร่างอันรางเลือนของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่กลางอากาศเบื้องหน้ากลับบุกสังหารเข้ามาอย่างรวดเร็วยิ่ง


 


“นี่เขากำลังสำแดงเคล็ดต้องห้ามสักอย่างหนึ่งอยู่กระมัง จะต้องต้านทานได้ไม่นานสักเท่าใดอย่างแน่นอน!” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารคำรามไปพลาง สังเกตสีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงไปพลาง พร้อมกันนั้นสองมือก็ยื่นออกไปต้านรับหอกที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทิ่มแทงเข้ามา


 


พรึ่บ


 


สองมือของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารยื่นออกไป เบื้องหน้ากลับเป็นชั้นน้ำแข็งชั้นหนึ่ง ชั้นเปลวเพลิงชั้นหนึ่งอย่างน่าประหลาด… มีชั้นน้ำแข็งทั้งสิ้นสามชั้น ชั้นเปลวเพลิงสามชั้น นี่คือการป้องกันตัวอย่างสุดกำลังครั้งแรกตั้งแต่ที่นายท่านแห่งสมาคมจิตมารเคยประมือกับตงป๋อเสวี่ยอิงมา! ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นนายท่านแห่งสมาคมจิตมารเข้าโจมตีอย่างสุดกำลังทั้งสิ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนไหวจู่โจมอย่างลื่นไหลต่อเนื่องมาตลอดเท่านั้นเอง ตอนนี้นายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็ไม่กล้าที่จะโจมตีอย่างบ้าคลั่งแล้ว เขากลัวว่าภายใต้หอกเล่มนี้ เขาก็จะบาดเจ็บสาหัส เพียงสองสามฝีหอกก็จะจบชีวิตแล้ว!


 


ถ้าหากเป็นผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพของจักรพรรดิเทพช่วงกลางจริงๆ ก็ย่อมสามารถทำได้อย่างแน่นอน!


 


ดังนั้นเขาจึงป้องกันอย่างสุดกำลัง!


 


“ฉึก”


 


หอกยาวทิ่มแทงลงบนชั้นเปลวเพลิงชั้นนอกสุด ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นแทรกผ่านไปอย่างรวดเร็ว  แทรกผ่านสิ่งกีดขวางหกชั้นอย่างต่อเนื่อง และแทรกผ่านชั้นน้ำแข็งคุ้มร่างที่ผิวนอกของร่างกายนายท่านแห่งสมาคมจิตมาร เข้าไปภายในร่างกายของนายท่านแห่งสมาคมจิตมาร แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้พลังคุกคามก็อ่อนลงไปถึงสองส่วน เคล็ดวิชาป้องกันอย่างสุดกำลังของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารนี้ก็ยังคงล้ำเลิศอย่างที่สุด


 


“หืม” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารถลึงตามอง เขารู้สึกว่าระลอกคลื่นที่แกร่งกล้ากว่าก่อนหน้านี้ถึงสามเท่ากำลังพลุ่งพล่านพรั่งพรูอยู่ภายในร่างกายแล้วรวมตัวกันในที่สุด จากนั้นก็ระเบิดออก!


 


ก่อนหน้านี้เขาสามารถต้านทานเอาไว้ได้ แต่หลังจากที่แกร่งกล้าขึ้นสามเท่าแล้ว


 


“พรวด!”


 


นายท่านแห่งสมาคมจิตมารย่อมอดที่จะอ้าปากกว้าง กระอักโลหิตสดพุ่งกระฉูดออกมามิได้ ทั้งยังมีชิ้นส่วนอวัยวะภายในพุ่งออกมาอีกด้วย แล้วก็เริ่มมีบาดแผลฉีกขาดปรากฏขึ้น เขาเผยสีหน้าหวาดหวั่นมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง เป็นจักรพรรดิเทพช่วงกลางจริงๆ เสียด้วย!


 


“เป็นไปได้อย่างไรกัน”


 


“ไป!”


 


นายท่านแห่งสมาคมจิตมารมีความรู้สึกว่าการโจมตีเช่นนี้ย่อมมิอาจเอาชีวิตเขาได้ในสามฝีหอก ทว่าเพียงแค่สิบฝีหอกก็สามารถทำได้แล้ว! ภายใต้การห้ำหั่นอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ สิบฝีหอกจะนับเป็นอะไรได้เล่า


 


ภายใต้การคุกคามถึงชีวิต พร้อมกันกับที่นายท่านแห่งสมาคมจิตมารกำลังบาดเจ็บสาหัส เขาก็หันหน้าเตรียมหลบหนีโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย


 


พรึ่บ…


 


พลังน้ำแข็งห่อหุ้มปกคลุมไปทั่วสารทิศ ทั้งยังกดดันความเร็วของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านหลังอย่างสุดกำลังอีกด้วย ผิวกายของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารปรากฏเป็นสีแดงเข้ม ราวกับดาวตกดวงหนึ่ง บินตรงออกไปยังเรือใหญ่ที่อยู่กลางอากาศไกลออกไปลำนั้นอย่างบ้าคลั่ง บนเรือใหญ่ลำนั้นมีจักรพรรดิเทพสามท่านใต้บังคับบัญชาของเขา ทั้งยังมีจ้าวเทพกลุ่มหนึ่งอยู่อีกด้วย! เชื่อว่าน่าจะสามารถถ่วงเวลาจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้เอาไว้ได้เป็นระยะเวลานานพอสมควร


 


“เจ้าจะหนีพ้นหรือไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่ง เงาร่างก็เลือนรางขึ้นมา ถึงแม้ว่าขณะนี้ร่างฝึกกายคละถิ่นของเขาจะใช้สองแขนสำแดงออกมาเป็นหลัก พละกำลังพุ่งทะยาน การส่งเสริมด้านความเร็วสามารถมองข้ามได้! แต่ว่าเขาสำแดงวิถีกายแมลงมารห้วงอากาศ ภายใต้การทลายเปิดผลกระทบของไอหนาวเหน็บเหล่านั้น ความเร็วก็ยังมากกว่านายท่านแห่งสมาคมจิตมารอยู่พอสมควรอยู่ดี!


 


“อะไรกัน!”


 


“นี่… นี่มัน…”


 


“หนีเร็วเข้า!”


 


“แยกกันหนีสิ!”


 


จักรพรรดิเทพสามท่านและเหล่าจ้าวเทพกลุ่มใหญ่ที่เดิมทีต่างก็กำลังดูการต่อสู้อยู่บนเรือใหญ่กลางอากาศ พวกเขาต่างก็คิดว่าคราวนี้ล้มเหลวเสียแล้ว หัวหน้าทำอะไรจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นั้นมิได้เลย ส่วนจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นั้นก็ทำอะไรหัวหน้ามิได้เช่นเดียวกัน! หัวหน้าก็จะกลับมายังเรือใหญ่แล้วจากไปพร้อมกันกับพวกเขา!


 


แต่ทว่า


 


เมื่อพลังยุทธ์ของจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้ระเบิดออกมา เพียงแค่กระบวนท่าเดียวก็ต่อตีเสียจนนายท่านแห่งสมาคมจิตมารบาดเจ็บสาหัส เห็นได้ชัดเจนว่าทั้งสองฝ่ายมิได้มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับเดียวกันอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าจะมิได้มีความเรียบร้อยหมดจดเหมือนตงป๋อเสวี่ยอิงตอนเป็นยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้น แต่ก็คงจะใช้กระบวนท่าไม่เท่าไหร่นักก็สามารถสังหารหัวหน้าของพวกเขาได้แล้วกระมัง


 


“แยกย้ายกันเร็วเข้า”


 


“หนีสิ”


 


ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นสามท่านและเหล่าจ้าวเทพกลุ่มหนึ่งกลับตกใจเสียจนกระจายตัวกันออกไป วิ่งหนีไปยังทิศทางที่แตกต่างกันอย่างรวดเร็ว พวกเขามิได้อยากถูกฝังเป็นเพื่อนด้วยอยู่แล้ว!


 


นายท่านแห่งสมาคมจิตมารที่หนีมาทางเรือใหญ่อย่างรวดเร็วได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็สีหน้าแปรเปลี่ยน เมื่อต้นไม้ใหญ่โค่น ฝูงลิงก็แตกกระจาย ต้นไม้ใหญ่อย่างเขาต้นนี้กำลังจะโค่นลงแล้ว บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาก็ย่อมพากันเอาตัวรอด ย่อมไม่มีทางเต็มใจเสียเวลาเพื่อเขาแม้แต่น้อยอยู่แล้ว


 


“ปัง…”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านหลังพุ่งหอกอย่างดุดันเข้ามาคราหนึ่ง


 


ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างกันเป็นระยะทางช่วงหนึ่ง แต่ห้วงมิติโดยรอบกลับบีบอัดลงมาอย่างฉับพลัน ซึ่งก็คือกระบวนท่า ‘งดงามดุจภาพวาด’ นั่นเอง นายท่านแห่งสมาคมจิตมารรู้สึกเพียงว่าห้วงมิติโดยรอบกำลังบีบอัดลงมาอย่างฉับพลัน หมายจะขจัด ‘ความสูง’ ของร่างกายเขา เพื่อที่จะสังหารเขาโดยเฉพาะ นายท่านแห่งสมาคมจิตมารต้านทานอย่างสุดความสามารถ! แต่หอกยาวอันน่าหวาดหวั่นนั้นอยู่ภายใต้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์อันแสนพิเศษ ทำให้พลังแทรกผ่านห้วงมิติแล้วกดดันลงมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่ร่างฝึกกายคละถิ่นแข็งแกร่งยิ่งขึ้นแล้ว พลังคุกคามของกระบวนท่านี้ก็เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


 


“พรึ่บๆๆ” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารถูกกดดัน ตลอดร่างมีบาดแผลจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น หยาดโลหิตสาดกระจาย


 


ห้วงมิติที่หมายจะกดดันจนกลายเป็นกระดาษแผ่นหนึ่งอย่างฉับพลันนี้สลายตัวไปในที่สุด


 


แต่หลังจากนั้นที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงติดๆ กันก็คือ ‘ทลายเวหา’


 


“ฉึก”


 


อีกฝีหอกหนึ่งกระแทกลงมาอย่างดุดัน ห้วงมิติที่กดดันลงมาแล้วเดิมทีกำลังจะสลายตัวไปนั้นกลับระเบิดออกอย่างสมบูรณ์ภายใต้ฝีหอกนี้ แตกกระจายกลางท้องฟ้า!


 


ปัง ปัง ปัง…


 


ส่วนนายท่านแห่งสมาคมจิตมารที่อยู่ภายในห้วงมิติก็รู้สึกเพียงว่าบริเวณรอบๆ กำลังแหลกสลายไปหมด ร่างกายของเขาก็เริ่มถูกฉีกทึ้งภายใต้พลังอันน่าหวาดหวั่นนี้เช่นเดียวกัน ชั้นน้ำแข็งหนาวเหน็บที่ผิวกายของเขาก็ต้านทานเอาไว้อย่างสุดกำลัง สองมือก็พยายามสำแดงเคล็ดวิชาต้านทาน แต่ก็ยังคงต้านเอาไว้ไม่อยู่


 


ท่ามกลางการระเบิด


 


เขาละทิ้งร่างกายครึ่งล่าง ตั้งแต่ช่วงเอวลงไปแหลกสลายไปจนสิ้น ร่างกายครึ่งบนยังคงฝืนรักษารูปลักษณ์เอาไว้ได้ ภายใต้การป้องกันอย่างสุดกำลังของมือทั้งสอง ร่างกายครึ่งบนนี้ก็ลอยออกจากห้วงมิติที่กำลังระเบิด


 


เมื่อลอยออกมาแล้ว อาการบาดเจ็บของเขาก็ฟื้นฟูอย่างรวดเร็วที่สุด ทว่าพลังชีวิตกลับสูญเสียไปเกือบครึ่งแล้ว สิ่งนี้ย่อมไม่สามารถชดเชยได้ภายในระยะเวลาอันสั้น!


 


ในขณะนี้นายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ภายใต้ความหวาดหวั่น เขาก็พลิกฝ่ามือหยิบเอากิ่งไม้อันแปลกประหลาดออกมากิ่งหนึ่ง นี่คือวัตถุคำมั่นที่เขาได้รับมาตอนที่หลบภัยอยู่ภายใต้สำนักของ ‘จ้าวหุบเขาฝูหลิ่ว’ ซึ่งก็คือวัตถุคุ้มกันชีพชิ้นหนึ่งที่จ้าวหุบเขาฝูหลิ่วมอบให้กับยอดฝีมือภายใต้สำนัก เมื่อใช้วัตถุคุ้มกันชีพชิ้นนี้ไปก็จะไม่มีอีกแล้ว! สถานะอย่างจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วนั้นย่อมรังเกียจที่จะมอบให้อีกเป็นครั้งที่สองอยู่แล้ว นอกเสียจากว่าจะมีคุณูปการอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นนายท่านแห่งสมาคมจิตมารจึงเลือกที่จะให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตายไปจนหมดสิ้นดีกว่าที่จะยอมใช้วัตถุคุ้มกันชีพอันล้ำค่าชิ้นนี้ แต่ตอนนี้เขาก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว! ถ้าหากยังไม่ใช้อีกเขาก็จะถูกจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้ปลิดชีพแล้ว!


 


“วิ้ง”


 


กิ่งไม้กิ่งนี้ระเบิดพละกำลังอันกล้าแกร่งออกมาอย่างฉับพลัน แล้วห่อหุ้มนายท่านแห่งสมาคมจิตมารเอาไว้


 


พรึ่บ!


 


เขาแปลงกายเป้นลำแสงสีเขียวเข้มสายหนึ่งในทันใด แล้วพุ่งทะยานออกไปไกลด้วยความเร็วอันน่าหวาดหวั่น ความเร็วที่พุ่งทะยานออกไปรวดเร็วกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า ทั้งยังเหนือกว่าวิถีกายแมลงมารห้วงอากาศที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงอยู่มากมายนัก


 


“หนีหรือ” ถึงแม้ว่าอัตราเร็วของตงป๋อเสวี่ยอิงจะช้าลงไปมาก แต่ก็ยังคงแปลงเป็นเงามายาอันรางเลือนแล้วไล่ตามติดไปอย่างรวดเร็ว


 


ทั้งสองคนนั้นคนหนึ่งหนีคนหนึ่งไล่ตาม เพียงพริบตาก็ทะยานออกมาจากเมืองจวิ้นซานแล้วหายลับไปท่ามกลางความรกร้างไกลออกไป


 


……


 


บรรดายอดฝีมือของเมืองจวิ้นซานแต่ละคนพากันมองอย่างตกตะลึง รวมถึงอวี้เฟิงจวิ้นซานด้วย พวกเขาต่างก็สับสนอยู่บ้าง ความจริงก็คือการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเกินไปเสียแล้ว


 


เมื่อพลังยุทธ์ของปรมาจารย์หิมะเหินผู้นี้ระเบิดออกมา เพียงกระบวนท่าเดียวก็ต่อตีจนทำให้นายท่านแห่งสมาคมจิตมารบาดเจ็บสาหัสจนหลบหนีไปอย่างหวาดหวั่น กระบวนท่าที่สองที่สามก็ต่อตีจนทำให้ร่างกายของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารแหลกลาญเหลือเพียงแค่ร่างกายครึ่งบนเท่านั้น จากนั้นนายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็หยิบเอากิ่งก้านต้นไม้อันแปลกประหลาดออกมาแล้วสำแดงวิธีการอันแปลกประหลาดทะยานหนีไปอย่างรวดเร็วเสียแล้ว! ปรมาจารย์หิมะเหินก็ขับไล่ออกไปจากเมืองจวิ้นซาน เข้าไปยังส่วนลึกของดินแดนรกร้างอันกว้างใหญ่เสียแล้ว


 


การต่อสู้รวดเร็วเหลือเกิน ทุกคนในที่นั้นต่างก็รู้สึกว่าศีรษะมึนงง ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่มีความหมายว่าอย่างไร พวกเขาคิดแล้วก็หัวใจสั่นสะท้าน แข้งขาอ่อนยวบอยู่บ้าง!

 

 

 


ภาคที่ 37 บนเส้นทาง

 

ตอนที่ 44 จัดการเรียบร้อยแล้ว

 

แม้แต่ประมุขหอสิงแห่ง ‘หอจิตฟ้า’ ผู้มีหูตากว้างไกลซึ่งทำการบันทึกกระบวนการต่อสู้นั้น แม้จะมองดูอยู่ห่างๆ ลำคอก็ยังแหบแห้งไปหมด เขาพึมพำเสียงต่ำว่า “เพียงกระบวนท่าเดียวก็ทำให้ประมุขสมาคมจิตมารได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียแล้ว สามกระบวนท่าก็ทำให้ร่างกายของประมุขสมาคมจิตมารแตกเป็นเสี่ยงๆ เห็นทีจะเป็นผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางคนหนึ่งจริงๆ พลังคงเกือบจะเทียบได้กับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายแล้วกระมัง”


 


พลังรบเทียบได้กับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย แสดงว่าอะไรหรือ


 


ยอดฝีมือทั้งหลายในเมืองจวิ้นซานต่างก็เข้าใจว่า อย่าง ‘เจ้าเมืองไม้บูรพา’ ผู้มีสถานะสูงส่งผู้นั้น ก็คือผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้อวี้เฟิงจวิ้นซานคิดหาวิธีจะยกบุตรสาวให้สมรสกับคุณชายเก้าแห่งเมืองไม้บูรพา แม้จะมอบของกำนัลให้มากมาย และคิดหาวิธีขอให้ ‘เจ้าเมืองไม้บูรพา’ ช่วยเหลือโดยผ่านบุคคลระดับสูงของเมืองไม้บูรพา แต่อันที่จริงแล้ว กองทูตที่เมืองจวิ้นซานส่งไปนั้นกลับไม่มีคุณสมบัติพอจะได้พบเจ้าเมืองไม้บูรพาเสียด้วยซ้ำไป!


 


ต่อให้ทอดสายตามองไปทั่วทั้งโลกเทพ จักรพรรดิเทพช่วงท้ายก็ล้วนแต่เป็นผู้ทรงอำนาจอย่างยิ่งทางฟากฝั่งหนึ่งทั้งสิ้น! แม้แต่สามตระกูลราชันย์ก็ยังต้องรักษามารยาท!


 


“ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางมีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย สามกระบวนท่าก็สามารถทำให้โจรเฒ่าจิตมารซึ่งจัดอยู่ในรายนามจักรพรรดิเทพพิการได้!” อวี้เฟิงจวิ้นซานใจสะท้าน


 


โจรเฒ่าจิตมารจัดอยู่ในหนึ่งพันอันดับแรกของโลกเทพ


 


สามกระบวนท่าก็ถูกตีจนพิการเสียแล้ว!


 


จะเห็นได้ถึงความน่าเกรงกลัวของท่านอาจารย์หิมะเหิน!


 


“โอกาสครั้งใหญ่ โอกาสครั้งใหญ่ ชิงอินบุตรสาวข้าสามารถคารวะเข้าอยู่ในสำนักของผู้แกร่งกล้าพรรค์นี้ได้ ทั้งยังกอบกู้ทั้งสกุลอวี้เฟิงเอาไว้ด้วยเหตุนี้” อวี้เฟิงจวิ้นซานมองไปทางอวี้เฟิงชิงอินบุตรสาวตน


 


สองพี่น้องอวี้เฟิงเหลยและอวี้เฟิงจิ่นพากันมองไปทางน้องสาวที่อยู่ข้างๆ พวกเขาทั้งสองออกจะอิจฉาอยู่บ้าง แต่ก็รู้สึกดีใจกับน้องสาวด้วย


 


“พลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย”


 


“สวรรค์!”


 


“ผู้แกร่งกล้าพรรค์นี้มาซ่อนตัวอยู่ในเมืองเล็กๆ ที่ไกลโพ้นอย่างเมืองจวิ้นซานของพวกเราหรือนี่”


 


ผู้แกร่งกล้าฝ่ายต่างๆ พากันตกตะลึง


 


พลังแข็งแกร่งเช่นนี้ทำให้พวกเขาต้องมองอย่างเทิดทูน เพราะถึงอย่างไรไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดของโลกเทพ พลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายก็นับว่าเป็นยอดฝีมือตัวยงแล้ว


 


“ก็ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสหิมะเหินไล่ตามไป จะสามารถสังหารประมุขสมาคมจิตมารผู้นั้นได้หรือไม่” ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากต่างทอดสายตามองไปยังทิศที่ประมุขสมาคมจิตมารและตงป๋อเสวี่ยอิงรุกไล่กันแล้วจากไป ความรกร้างไกลออกไปมองไม่เห็นเงาร่างคนแล้ว พวกเขาสองคนรวดเร็วมากจริงๆ


 


*******


 


ฟิ้วๆๆ…


 


เสียงลมพัดหวีดหวิว


 


ประมุขสมาคมจิตมารกำลังทะยานไปอย่างรวดเร็วจนชวนตกใจภายใต้แสงสีเขียวเข้มที่ห่อหุ้มอยู่ ร่างกายฟื้นฟูกลับมาจนสมบูรณ์ดีแล้ว แน่นอนว่านี่เป็นเพียงผิวเผินเท่านั้น ความเสียหายของพลังชีวิตของเขาจะชดเชยได้ก็ต้องใช้เวลานานมาก


 


“สมบัติล้ำค่าที่ท่านจ้าวหุบเขามอบให้ ทำให้บัดนี้ความเร็วของข้า จักรพรรดิเทพช่วงท้ายส่วนใหญ่ไล่ตามไม่ทันแล้ว และรวดเร็วกว่าจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นั้นมากด้วย” ประมุขสมาคมจิตมารมองไปด้านหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างน้อยก็มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแล้ว ทว่าเขาก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไปด้วยความเร็วสูงสุดโดยมิกล้าชักช้า ยิ่งสลัดไปได้ไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น


 


การเหินทะยานไปด้วยความเร็วสูงเช่นนี้ ใช้เวลาชั่วจอกชาหนึ่ง แสงสีเขียวเข้มเหนือผิวกายของเขาก็สลายไปในที่สุด


 


ประมุขสมาคมจิตมารมองดูกิ่งไม้ที่ถืออยู่ในมือ ยามนี้กิ่งไม้กลับทลายลงแล้วกลายเป็นผุยผงไป สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ถูกเผาผลาญไปจนสิ้นแล้ว


 


“เวลายาวนานถึงเพียงนี้ ข้าคงจะสลัดเขาไปได้ไกลมากแล้ว” ในใจของประมุขสมาคมจิตมารคิดเช่นนี้ ทว่าก็ยังคงทะยานไปอย่างสุดกำลัง เขามิได้หยิบเอาสมบัติล้ำค่าต่างๆ เช่นเรือรบมาด้วย การเหินทะยานนั้นไม่จำเป็นต้องให้เขาแบ่งจิตใจไปควบคุม แต่ความเร็วในการเหินทะยานกลับสู้ความเร็วในการหนีสุดชีวิตของเขาในตอนนี้ไม่ได้เลย


 


……


 


ท่ามกลางความรกร้าง


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมกายหยาบไว้ก่อนแล้ว ทำให้อณูโครงสร้างของกายหยาบเปลี่ยนแปลงไป และฟื้นคืนสถานะการฝึกกายคละถิ่นอันมั่นคง เขากำลังนั่งขัดสมาธิอย่างสบายๆ อยู่บนศิลาก้อนใหญ่ท่ามกลางความรกร้าง หยิบสุรามาไหนหนึ่งแล้วนั่งดื่มสุราอยู่ตรงนั้น


 


อีกฝ่ายหนีไปได้รวดเร็วถึงเพียงนั้น เขาไม่มีทางไล่ตามอย่างโง่งมหรอก จะต้องเหน็ดเหนื่อยเพียงใดกัน


 


“อื้ม ความเร็วของเขาช้าลงแล้ว เห็นทีพลังของสมบัติล้ำค่าคงจะเผาผลาญไปเกือบหมดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสัมผัสได้ถึงตำแหน่งคร่าวๆ ของประมุขสมาคมจิตมารผ่านวิชาสะกดรอย เพราะถึงอย่างไรเหตุปัจจัยระหว่างทั้งสองฝ่ายในตอนนี้ก็มิใช่ย่อยเลย


 


“รออีกสักหน่อย ด้วยวิถีกายแมลงมารห้วงอากาศของข้าที่ไล่ตามอย่างสุดกำลัง ยังต้องใช้เวลาอีกสักครู่จึงจะสามารถไล่ตามได้ทัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกะเวลาคร่าวๆ แล้วดื่มสุราต่อไป


 


“เกือบแล้ว”


 


“ควรออกเดินทางได้แล้ว”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือคราหนึ่งแล้วเก็บไหสุราลงไป มือทั้งสองเริ่มขยายใหญ่ขึ้น ผิวแขนยังมีเยื่อสีดำชั้นแล้วชั้นเล่าปรากฏขึ้นมา กลิ่นอายปะทุออกมาและกลายเป็นไม่มั่นคงอีกครา มือขวายื่นออกไป เขาถือหอกยาวสีดำเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือ


 


แคว่ก…


 


ด้านข้างมีรอยแยกสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบคราหนึ่งและหายไปในนั้น


 


ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา!


 


แม้ประมุขสมาคมจิตมารจะกำลังหนีอย่างสุดชีวิต แต่อันที่จริงแล้ว ระยะห่างระหว่างกันก็ไม่นับว่าไกลสักเท่าใดนัก ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงการเหินทะยานเท่านั้น! ใช้ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาซึ่งสามารถไปยังที่แห่งใดก็ได้ในโลกเทพอย่างง่ายดายมาไล่ตาม ช่างเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนจริงๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงคร้านที่จะใช้วิถีกายแมลงมารห้วงอากาศมาไล่ตามอย่างยากลำบาก


 


“แคว่ก” ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นท่ามกลางรอยแยกสีดำ และสัมผัสรับรู้ถึงตำแหน่งของประมุขสมาคมจิตมารด้านหน้า แล้วจึงสำแดงวิถีกายแมลงมารห้วงอากาศออกมาอย่างสบายๆ เงาร่างเลือนรางไป เขาไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว


 


เพียงสิบกว่าชั่วลมหายใจ


 


ประมุขสมาคมจิตมารที่กำลังหลบหนีไปนั้นมองดูเงาร่างที่ยังคงเล็กจิ๋วมากด้านหลังด้วยความแตกตื่น จักรพรรดิเทพหิมะเหินซึ่งกุมหอกยาวเอาไว้นั่นเอง!


 


“เขาไล่ตามมาแล้วหรือ” ประมุขสมาคมจิตมารตื่นตระหนกเหลือแสน “ข้าสลัดเขาไปได้ไกลถึงเพียงนั้นแล้ว เขาก็ยังคงไม่ปล่อยข้าไป แต่ยังคงไล่ตามจนสุดชีวิตเช่นนี้น่ะหรือ”


 


ช่วยไม่ได้


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงบรรลุถึงวิถีอากาศขั้นสุดยอดตั้งนานแล้ว อีกทั้งเส้นทางวิญญาณยังบรรลุถึงขั้นที่ไม่เคยมีมาก่อนอีกด้วย วิญญาณยังเคยหลอมรวมโลหิตหัวใจของมารดามังกรหมื่นสัมผัสเข้าไปหยดหนึ่งด้วย ตอนที่เขายังเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองนั้น จักรพรรดิเซี่ยก็ยังมิอาจสะกดรอยเขาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้เลย ในโลกใบนี้ ผู้ที่สามารถสะกดรอยตงป๋อเสวี่ยอิงได้เกรงว่าคงจะมีเพียงผู้แกร่งกล้าคละถิ่นสามท่านที่สร้างโลกใบนี้ขึ้นมาเท่านั้น


 


สวบๆๆ…


 


แม้ประมุขสมาคมจิตมารจะกำลังหนีอย่างสุดกำลัง แต่เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านหลังก็เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เงาร่างอันเลือนรางนั้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในสายตาของเขา


 


“เจ้าหนีไม่พ้นหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก


 


“จักรพรรดิเทพหิมะเหิน ข้ากับเจ้าไม่มีความขุ่นข้องหมองใจอันใดต่อกัน เจ้าก็สังหารจักรพรรดิเทพใต้บังคับบัญชาของข้าไปสองคนแล้ว เรื่องระหว่างเจ้ากับข้าจบลงแค่นี้ดีหรือไม่ ข้าจะลั่นสัตย์สาบานว่านับจากวันนี้ไปจะไม่มายังเมืองจวิ้นซานอีก จะไม่แก้แค้นสกุลอวี้เฟิงเลยแม้แต่น้อย” ขณะเดียวกับที่ประมุขสมาคมจิตมารหนีไปก็ถ่ายเสียงร้องขอด้วยความร้อนรนไปด้วย


 


“ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจต่อกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “เหตุใดข้าจึงจำได้ว่า ก่อนหน้านี้ ในเมืองจวิ้นซาน เจ้ายังพูดว่า ‘ความแค้นนี้ ข้าจิตมารจะจำเอาไว้’ อะไรสักอย่างอยู่เลยมิใช่หรือ”


 


ประมุขสมาคมจิตมารขมขื่นใจ


 


ตอนนั้นก็คือตอนนั้น ตอนนี้ก็คือตอนนี้สิ!


 


“จักรพรรดิเทพหิมะเหิน ได้โปรดละเว้นด้วย ท่านพูดอะไรข้าก็ยอมทั้งนั้น” ประมุขสมาคมจิตมารวิงวอนอย่างร้อนรน เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงไล่ตามมาใกล้แล้ว


 


แต่สิ่งที่ตอบรับเขา กลับเป็นหอกหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงที่แทงออกไปอย่างเยียบเย็น


 


หอกหนึ่งแทงออกไป


 


อากาศรอบด้านราวกับฟองอากาศเข้าห่อหุ้มประมุขสมาคมจิตมารเอาไว้ ก้อนจะยุบตัวลงอย่างรวดเร็วกลายเป็นจุดดำจุดหนึ่ง ประมุขสมาคมจิตมารอยู่ในฟองอากาศนี้ก็หดเล็กลงไปตามมันด้วย เขาทั้งโกรธแค้นทั้งสิ้นหวัง เหตุใดตนจึงโชคไม่ดีถึงเพียงนี้! เหตุใดจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้จึงไม่ยอมไว้ชีวิตตนสักครั้ง


 


……


 


ผ่านไปเพียงไม่กี่กระบวนท่า


 


ประมุขสมาคมจิตมารแหลกสลายกลายเป็นผุยผงเถ้าธุลีไปท่ามกลางมิติอันบ้าคลั่ง เหลือทิ้งไว้เพียงวัตถุต่างๆ เท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่งแล้วเก็บลงไป


 


“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงอย่างเย็นชาคราหนึ่ง เหตุใดเขาจึงไล่ตามอยู่ตลอด ไม่ยอมเหลือทางรอดให้ประมุขสมาคมจิตมารผู้นี้เลยน่ะหรือ


 


ก็เพราะในการสัมผัสรับรู้ของเขา เหตุปัจจัยบนร่างของประมุขสมาคมจิตมารนั้นลึกล้ำและหนักหน่วงนัก เหตุปัจจัยซึ่งเต็มไปด้วยความแค้นจำนวนนับไม่ถ้วนพัวพันกับประมุขสมาคมจิตมาร เมื่อเผชิญหน้ากับมารร้ายตัวฉกาจพรรค์นี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมลงมืออย่างโหดเหี้ยมเป็นธรรมดา! ประมุขสมาคมจิตมารเรียกตนเองว่า ‘จิตมาร’ กระทำการอันใดก็ไร้ข้อห้าม เขาผูกความแค้นกับอวี้เฟิงจวิ้นซาน ด้วยหมายจะทำลายทั้งสกุลอวี้เฟิง เท่านี้ก็สามารถเห็นนิสัยใจคอของเขาได้แล้ว


 


“สมาคมจิตมาร กำจัดหัวหน้า สังหารจักรพรรดิเทพไปสองคน หนีไปสามคน เกือบแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม แล้วเริ่มเดินทางกลับ


 


เขามิได้ไล่สังหารต่อไปแล้ว


 


ด้วยวิธีศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาของเขาซึ่งสามารถซ่อนเร้นและเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายได้อย่างง่ายดาย และศัตรูก็มิอาจสะกดรอยตามได้ เขาสามารถปลอมแปลงตัวตนเพื่อไล่สังหารจักรพรรดิเทพทั้งสามคนนั้นได้อย่างสบายๆ แต่โดยเนื้อแท้ของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ก็เพียงแค่ทนมารร้ายตัวฉกาจเหล่านั้นไม่ได้เท่านั้นเอง การช่วงชิงห้ำหั่นเอาเป็นเอาตายระหว่างผู้บำเพ็ญทั่วไปนั้น เขาคร้านจะไปยุ่งเกี่ยวด้วย


 


หัวหน้าสมาคมจิตมารและจักรพรรดิเทพทั้งห้า!


 


ผู้ที่สามารถนับได้ว่าเป็นมารร้ายตัวฉกาจอย่างแท้จริงก็มีเพียง ‘ประมุขสมาคมจิตมาร’ และ ‘จักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยน’ ที่โหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งกว่าผู้นั้น ตอนนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงสังหาร ‘จักรพรรดิเทพฉื้อเฟิง’ ก่อน จักรพรรดิเทพฉื้อเฟิงผู้นั้นเพียงแค่อันตรายกว่าอยู่บ้าง หมายจะลงมือกับอวี้เฟิงชิงอินซึ่งอ่อนแอที่สุดก่อน ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้กำจัดทิ้งทันที ต่อมาเขาจึงได้เลือกที่จะสังหารจักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยนผู้นั้น ก็เพราะเห็นเหตุปัจจัยแค้นจำนวนนับไม่ถ้วนที่พันธนาการอีกฝ่ายเอาไว้ได้อย่างแม่นยำว่าหนักหน่วงกว่าประมุขสมาคมจิตมารเสียอีก เขาจึงย่อมลงมือโดยไม่ไว้น้ำใจ


 


ส่วนอีกสามคนที่หนีไปนั้น…จัดเป็นระดับธรรมดาสามัญในโลกเทพ มิได้มีนิสัยชอบล้างสังหารตามอำเภอใจ หากแต่เข่นฆ่าและต่อสู้ตามปกติเท่านั้น


 


อันที่จริงแล้ว ในโลกเทพแห่งนี้ เนื่องจากความรกร้างกว้างใหญ่ไพศาล ประชากรก็ล้วนแต่อาศัยอยู่ในเมือง ดังนั้นจึงมีการล้างสังหารครั้งใหญ่น้อยมาก!


 


จักรพรรดิเทพสามคนนั้นหนีไป กลับไม่รู้ว่าที่พวกเขาสามารถมีชีวิตรอดได้ก็เพราะเหตุปัจจัยแค้นไม่นับว่ามากนัก


 


******


 


ณ เมืองจวิ้นซาน


 


ในที่สุด เงาร่างอันเลือนรางสายหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปก็ทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็ว


 


ภายในจวนสกุลอวี้เฟิงมีผู้แกร่งกล้ากลุ่มใหญ่รวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว แม้แต่ประมุขหอสิงแห่งหอจิตฟ้า จ้าวเทพชวนชิ่งแห่งกองกำลังย่อยเพลิงพิสดารและคนอื่นๆ ล้วนมาถึงที่นี่ แต่ละคนพากันแหงนหน้ามอง เมื่อได้เห็นเงาร่างในอาภรณ์สีขาวนั้นปรากฏกายขึ้นมา พวกเขก็ใจสะท้านด้วยความตื่นเต้น เพราะถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดหวั่นที่มีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย


 


ฟิ้ว


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงร่อนลงไป


 


“จักรพรรดิเทพหิมะเหิน”


 


“ผู้อาวุโสหิมะเหิน”


 


“ท่านอาจารย์หิมะเหิน”


 


ทันใดนั้นคำเรียกขานต่างๆ ก็ดังขึ้น ทุกคนล้วนเคารพเป็นอันมาก


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดตามองคราหนึ่งแล้วพูดพลางพยักหน้า “จักรพรรดิเทพจิตมารถูกข้าสังหารแล้ว!”


 


อวี้เฟิงจวิ้นซาน ประมุขหอสิงและทุกคนในที่นั้นต่างก็หัวใจบีบรัดแน่น แม้พวกเขาจะตามหาเหตุปัจจัยของ ‘ประมุขสมาคมจิตมาร’ ผ่านการสะกดรอยแล้วไม่พบ ก็พอจะเดาได้ว่าประมุขสมาคมจิตมารอาจจะตายไปแล้ว แต่เมื่อพูดออกมาจากปากของตงป๋อเสวี่ยอิง พวกเขาก็ยังคงรู้สึกว่าหัวใจหนักอึ้งไปหมด ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นถึงผู้แกร่งกล้าชั้นยอดที่จัดอยู่ในรายนามจักรพรรดิเทพเชียวนะ กลับถูกสังหารไปเช่นนี้น่ะหรือ


 


“ท่านอาจารย์” อวี้เฟิงชิงอินเดินเข้าไปใกล้แล้วตะโกนขึ้น


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองศิษย์ของตนแล้วจึงเผยรอยยิ้มออกมา พลางพูดว่า “ชิงอิน เรื่องนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลอีกแล้วนะ”


 


คนรอบด้านต่างพากันมองไปยังอวี้เฟิงชิงอินด้วยความอิจฉา พวกเขาล้วนสัมผัสได้ว่า ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพผู้นี้ปฏิบัติต่ออวี้เฟิงชิงอินผู้เป็นศิษย์แตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด เกรงว่าการลงมือในครั้งนี้ ก็คงมีศิษย์เป็นเหตุกระมัง


 


“ผู้อาวุโสหิมะเหิน” อวี้เฟิงจวิ้นซานหน้าทนพูดต่อไปว่า “ครั้งนี้ผู้อาวุโสช่วยเหลือทั้งสกุลอวี้เฟิงของข้า สกุลอวี้เฟิงเราไม่มีอะไรตอบแทนเลยจริงๆ”


 


“เอาล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากขัดขึ้นมา “ข้ายังมีธุระต้องกลับไปทำ คงไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนทุกท่านแล้ว ชิงอิน ไปกับข้า”


 


“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์” อวี้เฟิงชิงอินรับคำอย่างเชื่อฟัง


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงหมุนกายจากไป


 


เขาไม่ว่างพอจะมีกะจิตกะใจพูดพล่ามกับคนเหล่านี้


 


“นี่ นี่เป็นภูเขาที่พึ่งพิง” อวี้เฟิงจวิ้นซานมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี้เฟิงชิงอินบุตรสาวที่จากไปไกล แล้วก็อดรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมามิได้


 


จะต้องกอดเสาหลักต้นนี้เอาไว้ให้แน่น!


 


แต่ไหนแต่ไรเขา อวี้เฟิงจวิ้นซานยังไม่เคยมีโอกาสได้ประสบพบเจอกับเสาหลักเช่นนี้มาก่อนเลย!


 


ส่วนท่ามกลางเหล่าผู้แกร่งกล้า ประมุขหอสิงกลับถือคัมภีร์เอาไว้ในมือ แล้วบันทึกต่อไปว่า “มิอาจสะกดรอยเหตุปัจจัยแค้นของประมุขสมาคมจิตมารได้เลย จักรพรรดิเทพหิมะเหินบินกลับมาจากกลางความรกร้าง หมายความว่าจักรพรรดิเทพจิตมารถูกเขาสังหารไปแล้ว” ข้อมูลนี้ก็ถูกรายงานขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ประมุขหอสิงตื่นเต้นเหลือแสน เนื่องจาก ‘รายนามจักรพรรดิเทพ’ จะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงเพราะเรื่องนี้อย่างแน่นอน!

 

 

 


ภาคที่ 37 บนเส้นทาง

 

ตอนที่ 45 เผชิญหน้าอย่างเรียบเฉย

 

ยามราตรี


 


ภายในโถงตำหนักแห้งหนึ่งของสกุลอวี้เฟิง ขณะนี้อวี้เฟิงจวิ้นซาน พ่อบ้านถง สามผู้อาวุโสประจำตระกูลแห่งสกุลอวี้เฟิงรวมไปถึงสองพี่น้องอวี้เฟิงเหลยและอวี้เฟิงจิ่นล้วนรวมตัวกันอยู่ที่นี่


 


“นายท่าน คุณหนูสามกลับมาแล้วขอรับ” ยอดฝีมือคนหนึ่งที่เข้ามาจากนอกโถงตำหนักเอ่ยขึ้นด้วยความเคารพ


 


อวี้เฟิงจวิ้นซาน อวี้เฟิงเหลย อวี้เฟิงจิ่น พ่อบ้านถงและสามผู้อาวุโสประจำตระกูลต่างก็นัยน์ตาเป็นประกาย อวี้เฟิงจวิ้นซานสั่งการว่า “ดี เจ้าถอยออกไปได้”


 


พวกเขารออยู่ก่อนแล้ว


 


รอคอยให้อวี้เฟิงชิงอินกลับมา พวกเขากำชับเอาไว้ว่า อวี้เฟิงชิงอินกลับมาเมื่อใด ก็ให้นางตรงมาที่นี่ทันที


 


“ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วผู้อาวุโสหิมะเหินผู้นี้จะคิดอะไรอยู่ในใจ” พ่อบ้านถงเอ่ยปากพูดเสียงต่ำ


 


“หวังว่าเขาจะสามารถอยู่ในเมืองจวิ้นซานของเราต่อไปได้” อวี้เฟิงจวิ้นซานก็ออกจะประหวั่นใจอยู่บ้าง สามารถรอดพ้นหายนะครั้งใหญ่มาได้ครั้งหนึ่ง ทั้งสกุลอวี้เฟิงก็ล้วนแต่ยินดีปรีดา เพียงแต่อวี้เฟิงจวิ้นซานก็เกิด ‘ความคิดทะเยอทะยาน’ ขึ้นมา หากผู้แกร่งกล้าซึ่งมีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายคนหนึ่งสามารถรั้งอยู่ในเมืองจวิ้นซานได้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อสกุลอวี้เฟิงของพวกเขามากทีเดียว


 


เสียงฝีเท้าดังเข้ามาจากด้านนอก อวี้เฟิงชิงอินเดินเข้ามา นางมองเห็นบิดา พี่ชายและผู้อาวุโสทั้งหลายมองมา ก็อดสะดุ้งมิได้


 


“ชิงอิน รีบเข้ามานั่งเร็วเข้า” อวี้เฟิงจวิ้นซานพูดยิ้มๆ


 


“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ” อวี้เฟิงชิงอินนั่งลงด้วยความตื่นเต้นอยู่บ้าง


 


“น้องสาม ครั้งนี้ผู้อาวุโสหิมะเหินช่วยเหลือสกุลอวี้เฟิงของเรา บุญคุณใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ เขามีอะไรอยากให้สกุลอวี้เฟิงเราทำให้หรือไม่” อวี้เฟิงเหลยถาม


 


อวี้เฟิงชิงอินส่ายหน้ารัว “ไม่มีเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์มิได้ให้สกุลอวี้เฟิงเราทำอะไรเลย”


 


“ผู้อาวุโสหิมะเหินคงมิได้คิดจะจากเมืองจวิ้นซานไปหรอกกระมัง” อวี้เฟิงเหลยไล่ถามต่อ อวี้เฟิงจวิ้นซานและคนอื่นๆ ที่อยู่อีกด้านหนึ่งต่างก็เป็นกังวลขึ้นมา


 


หากช่วยเหลือสกุลอวี้เฟิงของพวกเขาแล้วก็จากไป!


 


เช่นนั้นวันคืนในภายหน้าของสกุลอวี้เฟิงก็มิได้แตกต่างอะไรจากตอนนี้มากนัก พวกเขาเมืองจวิ้นซานยังคงเป็นเพียงเมืองเล็กๆ อันไกลโพ้นท่ามกลางโลกเทพจำนวนนับไม่ถ้วนอันกว้างใหญ่ไพศาลดังเดิม ยังคงไม่สะดุดตาดังเดิม! นอกจากนี้ตามที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้ ความเป็นไปได้ที่จักรพรรดิเทพหิมะเหินจะจากไปนั้นมีสูงมาก ข้อแรก โดยทั่วไปแล้วผู้แกร่งกล้าระดับนี้ล้วนมีสิ่งที่ตนเองใฝ่หา เช่นสมบัติล้ำค่าและทรัพยากรต่างๆ มีน้อยมากที่จะอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ ไปตลอด ข้อสอง ที่ผ่านมาจักรพรรดิเทพหิมะเหินเก็บเนื้อเก็บตัวและรักสันโดษมาตลอด คงจะไม่ชมชอบการปะทะคารม และครั้งนี้เขาสังหาร ‘ประมุขสมาคมจิตมาร’ ไป ก็จะต้องชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งโลกเทพแน่นอน เกรงว่าถึงตอนนั้นก็คงต้องเกิดการปะทะคารมกันขึ้นมา แต่หากจากเมืองจวิ้นซานไปแล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองอื่นๆ และเก็บซ่อนตัว คนอื่นคิดจะหาตัวเขาก็หาไม่พบ อย่างน้อยสกุลอวี้เฟิงก็เคยลองมาแล้ว และพบว่ามิอาจสะกดรอย ‘จักรพรรดิเทพหิมะเหิน’ ผู้นี้ได้เลย นอกจากนี้ตามข้อมูล ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพก็แทบจะมิอาจสะกดรอยได้อยู่แล้ว


 


“ไม่นี่” อวี้เฟิงชิงอินมองดูบิดาและคนอื่นๆ ด้วยความงุนงง นางส่ายศีรษะ “อาจารย์มิได้บอกว่าจะจากไปเสียหน่อย!”


 


อวี้เฟิงจวิ้นซานและคนอื่นๆ พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก


 


“อาจารย์เพียงแค่กล่าวว่า เขาไม่ชอบการปะทะคารมกัน จึงให้ข้ามาบอกท่านพ่อและทุกท่านว่า หากไม่มีเรื่องสำคัญก็อย่าได้ไปรบกวนเขา” อวี้เฟิงชิงอินพูดขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง


 


“สมควรอยู่แล้วๆ” อวี้เฟิงจวิ้นซานเผยรอยยิ้มออกมา “การบำเพ็ญของผู้อาวุโสหิมะเหินสำคัญเพียงใด ด้วยสถานะของเขา ใช่ว่าผู้ใดอยากพบก็เข้าพบได้เสียที่ไหนกัน พวกเจ้าได้ยินชัดเจนกันหมดแล้วนะ หากไม่มีเรื่องสำคัญก็ห้ามไปรบกวนเขา”


 


“ขอรับ” อวี้เฟิงเหลยและคนอื่นๆ พากันรับคำ


 


อวี้เฟิงจวิ้นซานยิ้มสดใส


 


ไม่ชอบการปะทะคารมหรือ


 


ขอเพียง ‘ผู้อาวุโสหิมะเหิน’ พำนักอยู่ในเมืองจวิ้นซานของพวกเขา ขุมอำนาจฝ่ายต่างๆ รอบด้านก็ต้องมองพวกเขาสกุลอวี้เฟิงสูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง! พวกเขาสกุลอวี้เฟิงก็จะทำการแลกเปลี่ยนกับเมืองต่างๆ รอบด้านได้สบายขึ้นมากทีเดียว


 


“ผู้อาวุโสหิมะเหินผู้นี้ไม่ชอบการปะทะคารม แต่ก็ย่อมมีเรื่องจิปาถะที่ต้องจัดการอยู่แล้ว เขาก็ไม่มีลูกน้องที่ไหน ถึงเวลานั้น ก็ย่อมต้องเป็นสกุลอวี้เฟิงเราที่ช่วยเขาจัดการเรื่องจิปาถะจึงจะเหมาะสมที่สุด” อวี้เฟิงจวิ้นซานรู้สึกพึงพอใจมากขึ้น


 


“ชิงอิน” อวี้เฟิงจวิ้นซานถาม “ผู้อาวุโสหิมะเหินไม่ให้คนไปรบกวน ผู้ที่เป็นศิษย์อย่างเจ้าจะไปพบอาจารย์ คงจะไม่ได้รับผลกระทบกระมัง”


 


 “ข้าสามารถเข้าพบอาจารย์ได้ตลอดเวลา” อวี้เฟิงชิงอินกล่าว


 


“ดี” อวี้เฟิงจวิ้นซานพูดยิ้มๆ “ชิงอิน ผู้อาวุโสหิมะเหินอาจารย์ของเจ้ามีบุญคุณใหญ่หลวงต่อสกุลอวี้เฟิงเรา บุญคุณนี้จะต้องจดจำเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ เข้าใจหรือไม่”


 


“เจ้าค่ะ ข้ารู้” อวี้เฟิงชิงอินพยักหน้า


 


……


 


เห็นได้ชัดว่าสกุลอวี้เฟิงอยากจะให้ตนขึ้นไปบนเรือรบของ ‘จักรพรรดิเทพหิมะเหิน’ ลำนี้!


 


และในราตรีนี้เอง


 


เมืองไม้บูรพาก็ได้รับข่าวนี้เช่นกัน


 


“เอ๊ะ” เจ้าเมืองไม้บูรพานั่งอยู่บนยอดเขาภายในเมืองแห่งหนึ่งเพียงลำพัง ตัวเขาหลอมรวมกับโลกใบนี้อยู่ตลอดเวลา เขาสวมอาภรณ์เขียวทั้งร่าง กลิ่นอายยิ่งใหญ่และห่างไกลประหนึ่งผืนดินอย่างไรอย่างนั้น เขาลืมตาขึ้นมา แล้วเผยสีหน้าแตกตื่น “ในเมืองเล็กๆ อย่างเมืองจวิ้นซาน มีผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาเสียได้ อีกทั้งพลังยังเทียบได้กับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายเชียวหรือ”


 


“จักรพรรดิเทพหิมะเหินรึ”


 


เจ้าเมืองไม้บูรพาขมวดคิ้วเล็กน้อย


 


จะว่าไปแล้ว ภายในบริเวณอันใหญ่โตรอบด้าน เมืองไม้บูรพาเป็นขุมอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุด! เมืองเล็กๆ อย่างเมืองจวิ้นซานล้วนต้องไว้หน้าเมืองไม้บูรพา แต่บัดนี้ภายในบริเวณแถบนี้ กลับมียอดฝีมือที่มีพลังเทียบเท่ากับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายปรากฏขึ้นมา! ต้องรู้ไว้ว่า เขา เจ้าเมืองไม้บูรพาเป็นเพียงแค่จักรพรรดิเทพช่วงท้ายเท่านั้น


 


“สามารถทำให้จักรพรรดิเทพจิตมารบาดเจ็บสาหัสได้ในกระบวนท่าเดียว สามกระบวนท่าก็ทำให้เขาแหลกสลายเป็นผุยผงไปได้ พลังนี้เทียบได้กับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายอย่างแท้จริง ยังดีที่ดูนิสัยของเขาแล้วไม่ชมชอบการปะทะคารมสักเท่าใดนัก ก่อนหน้านี้ล้วนแต่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองจวิ้นซานโดยไม่เผยพลังออกมา”เจ้าเมืองไม้บูรพาพยักหน้าน้อยๆ “ต้องส่งกองเทวทูตไปเยี่ยมเยียนจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้เสียหน่อย”


 


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต้องส่งความปรารถนาดีไปสักหน่อย


 


เดิมทีนิสัยของเจ้าเมืองไม้บูรพาก็ไม่ชอบการช่วงชิงอยู่แล้ว! เพียงแต่การฝึกฝนสายเลือดบรรพเทวะนั้นต้องการสมบัติล้ำค่าและทรัพยากรเป็นอย่างมาก! บวกกับลูกหลานของทั้งตระกูลไม้บูรพาที่พึงพิงเขาอยู่นั้นมีจำนวนนับไม่ถ้วน ดังนั้นเจ้าเมืองไม้บูรพาจึงจำเป็นต้องแย่งชิงทรัพยากรต่างๆ


 


……


 


ข่าวสารฉับไวใช้ได้ทีเดียว เพียงไม่กี่วันหลังจากประมุขสมาคมจิตมารสิ้นใจ พวกเขาก็ทยอยกันทราบข่าว และเข้าใจว่าภายในโลกเทพแห่งนี้ มีผู้ทรงอำนาจเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งแล้ว! ยังดีที่อยู่ในดินแดนแถบเดียวกับเจ้าเมืองไม้บูรพา ผลกระทบที่มีต่อผู้แกร่งกล้าทั้งหลายในบริเวณอื่นของโลกเทพก็ย่อมสามารถมองข้ามไปได้


 


******


 


ณ จวนหิมะเหิน เมืองจวิ้นซาน


 


ที่ส่วนสูงสุดของหอ


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่เพียงลำพัง เขากำลังเคี่ยวกรำการฝึกกายคละถิ่นต่อไป


 


แม้เขาจะคิดค้นขึ้นมาหลายฉบับ ซึ่งล้วนทำให้ร่างกายของเขามีพลังระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางได้อย่างพอถูไถ แต่ก็ไม่เสถียรนัก! หากมิใช่มีเพียงสองแขนที่แข็งแกร่ง ก็มีเพียงแค่ขาทั้งสอง หรือไม่ก็มีเพียงส่วนท้อง ส่วนหลังเท่านั้น …มิอาจทำให้ทั้งร่างยกระดับอย่างมั่นคงได้เลย


 


“คิดไม่ถึงว่า จะต้องเผยพลังที่แท้จริงออกมาเพราะเรื่องของศิษย์ข้า”


 


“เปิดเผยก็เปิดเผยไปเถิด ก็ดีเหมือนกัน! หากเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นมา อาจจะสามารถทำให้ข้าได้พบกับการเคี่ยวกรำมากขึ้นก็เป็นได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงมั่นใจเต็มเปี่ยม อันที่จริงแล้วต่อให้เปิดเผยพลังออกไป เมื่อถึงระดับอย่างเขาแล้ว ต่อให้เปิดเผยพลังที่แท้จริงออกไป ก็เกรงว่าคงจะมีไม่กี่คนเท่านั้นที่มาหาเรื่องใส่ตัว!


 


“รอจนรายนามจักรพรรดิเทพเปลี่ยนแปลง…ชื่อของข้าก็จะต้องแพร่ออกไปอย่างกว้างขวางแล้ว หากจักรพรรดิเป่ยเหออยู่ในโลกใบนี้ เขาก็ควรจะล่วงรู้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางรอคอย


 


จักรพรรดิเป่ยเหอถูกส่งถ่ายไป ก็น่าจะร่อนลงมาที่โลกใบนี้เช่นเดียวกัน


 


ระหว่างเขาและเป่ยเหอนั้นมีความแค้นต่อกันอยู่


 


“ไม่รู้ว่าเป่ยเหอจะมีปฏิกิริยาเช่นไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเรียบ


 


ความนิ่งเฉยนั้นมีสาเหตุมาจากพลังที่แท้จริง


 


แม้การฝึกกายคละถิ่นของเขายังไม่เสถียรพอ แต่ลำพังแค่วิถีอากาศของเขาก็สามารถคงพลังรบระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ ได้ครึ่งชั่วยามแล้ว พลังเช่นนี้ อยู่ในหุบเขาเขี้ยวหักก็ถือเป็นระดับจักรพรรดิแล้ว!


 


ส่วนวิถีเขตลวงโลกเทียมนั้น แม้แต่สำหรับ ‘จักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์’ ก็มีผลกระทบ จักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์เมื่ออยู่ในหุบเขาเขี้ยวหัก ก็ถือเป็นระดับยอดเคารพแล้ว!


 


ตอนที่เขาลงมือกับประมุขสมาคมจิตมาร ตั้งแต่ต้นจนจบก็มิได้ใช้งาน ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ เลย


 


หากเขาปะทุออกมาอย่างสุดกำลัง


 


วิถีเขตลวงโลกเทียมบวกกับพลังรบระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ ทางด้านวิถีอากาศ ก็ล้วนสามารถต่อกรกับยอดเคารพได้! ต่อให้ยังตกเป็นรองอยู่เล็กน้อยก็ตาม…การป้องกันตนเองก็มิได้มีปัญหาอันใด ส่วนความยุ่งยากอื่นๆ ในโลกเทพแห่งนี้ ตนก็ยังมี ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ อยู่ด้วย! เมื่อมีพลังเช่นนี้แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงยังคงพำนักอยู่ในเมืองจวิ้นซานอย่างสงบได้หลังจากสังหารประมุขสมาคมจิตมารแล้ว


 


“นายท่าน” ทหารคุ้มกันคนหนึ่งมาถึงด้านล่างหอ เขาพูดเสียงดังด้วยความเคารพว่า “ประมุขหอสิงแห่งหอจิตฟ้ามาเยี่ยมขอรับ”


 


“อ้อ ให้เขาเข้ามาเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงบัญชา


 


“ขอรับ” ทหารคุ้มกันจากไปอย่างรวดเร็ว


 


ไม่นานนัก


 


ประมุขหอสิงก็ไต่ขึ้นมาบนหอ เมื่อเขาเห็นชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ก็โค้งคำนับ “จักรพรรดิเทพ รายนามจักรพรรดิเทพฉบับล่าสุดออกมาแล้วขอรับ” พูดพลาง ม้วนสาส์นม่วนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มแล้วโบกมือคราหนึ่ง ม้วนสาส์นนั้นก็ลอยมาทางเขา “แค่เรื่องเล็กๆ อย่างการนำม้วนสาส์นมาส่ง แค่สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาสักคนมาส่งให้ก็พอแล้ว ประมุขหอผู้องอาจอย่างท่านยังต้องมามอบให้ด้วยตนเองด้วยหรือ”


 


“จักรพรรดิเทพอย่าได้กลั่นแกล้งข้าเล่นเลย ข้าเป็นเพียงประมุขหอจิตฟ้าตัวเล็กๆ ในเมืองจวิ้นซานคนหนึ่งเท่านั้น สามารถมามอบม้วนสาส์นให้จักรพรรดิเทพได้ ก็ถือเป็นเกียรติของข้า” ประมุขหอสิงกล่าว


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะพลางคลี่ม้วนสาส์นออก แล้วเริ่มพินิจดูรายนามจักรพรรดิเทพที่เปลี่ยนแปลงเพราะเขา ทุกครั้งที่รายนามจักรพรรดิเทพมีการเปลี่ยนแปลง จึงจะมีการออกรายนามจักรพรรดิเทพฉบับใหม่ขึ้นมา

 

 

 


ภาคที่ 37 บนเส้นทาง

 

ตอนที่ 46 จักรพรรดิเป่ยเหอ

 

รายนามจักรพรรดิเทพที่บันทึกอยู่บนม้วนสาส์นนั้นละเอียดมาก เขาใช้สติรับรู้สัมผัสดู ก็สามารถสัมผัสได้ถึงข้อมูลคร่าวๆ ของผู้แกร่งกล้าทุกคนที่จัดอยู่ในรายงาน หากต้องการข้อมูลโดยละเอียด ก็ต้องทุ่มเทบางสิ่งเพื่อซื้อเอาแล้ว!


 


“โอ้ อันดับที่สองร้อยหกสิบแปดหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ อันดับนี้ยังนับได้ว่ายุติธรรม


 


ในโลกใบนี้ ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์หรือระดับยอดเคารพและจักรพรรดิเทพช่วงท้ายมีทั้งหมดมากกว่าสามสิบท่าน! อย่างจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วก็อยู่ในระดับนี้


 


พลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย มีมากกว่าสองร้อยห้าสิบคน! ในจำนวนนั้นมีผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางกว่าสามสิบคน!


 


ตนจัดอยู่ในอันดับที่สองร้อยหกสิบแปด ถัดจากตนลงไปยังมีผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายและผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางอยู่อีก


 


“คาดว่าตอนที่ข้าปะทุพลังที่แท้จริงออกไป กลิ่นอายไม่เสถียร จึงส่งผลกระทบต่ออันดับ แต่ข้าได้สังหารประมุขสมาคมจิตมารกับมือตนเอง ได้พิสูจน์ความสามารถในการห้ำหั่นของข้า จึงได้จัดอยู่ในอันดับที่สองร้อยหกสิบแปดกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงใคร่ครวญ จากนั้นก็มองไปทางประมุขหอสิงแห่งหอจิตฟ้าที่อยู่อีกข้างหนึ่งแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ประมุขหอสิง หอจิตฟ้ายังนับว่าเห็นดีในตัวข้า จึงมิได้จัดข้าให้อยู่ในอันดับสุดท้ายของผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายและจักรพรรดิเทพช่วงกลาง!”


 


“นี่เป็นเรื่องที่เบื้องบนกำหนดมา ข้าไม่มีสิทธิ์ไปยุ่มย่ามอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว” ประมุขหอสิงกล่าว


 


“ฮ่าฮ่า”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะเบาๆ “ข้าไม่สนใจหรอก ทั้งยังรู้สึกว่าอันดับนี้ไม่เลวเลยเสียด้วยซ้ำไป”


 


ประมุขหอสิงหัวเราะไปด้วย


 


“เอาล่ะ หากไม่มีธุระอันใดแล้ว เชิญเจ้ากลับออกไปก่อนเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย


 


“ขอรับ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะขอรับ” ประมุขหอสิงโค้งคำนับก่อนจะถอยไป ช่วยไม่ได้ เขา ประมุขหอสิงเป็นเพียงจ้าวเทพระดับยอดคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนจักรพรรดิเทพหิมะเหินตรงหน้าผู้นี้เป็นระดับผู้ทรงอำนาจของทั้งโลกเทพอย่างแท้จริงแล้ว ประมุขหอสิงจึงย่อมต้องเคารพนบนอบไปเสียทุกเรื่อง ต้องทำให้งดงามหน่อย! เพราะถึงอย่างไรเขาก็ประจำการอยู่ที่หอจิตฟ้าแห่งเมืองจวิ้นซาน ผู้ที่มิอาจล่วงเกินได้เป็นที่สุดก็คือจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้นั่นเอง


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองม้วนสาส์นตรงหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาพึมพำเสียงเบาว่า “อันดับที่สองร้อยหกสิบแปด…บัดนี้การฝึกกายคละถิ่นก็ยังไม่เสถียรเลย ลำพังแค่พลังด้านวิถีอากาศ อันดับนี้ก็ออกจะสูงเกินไปหน่อยแล้ว!”


 


เขาบ่นไปพลางเก็บม้วนสาส์นลงไปยิ้มๆ


 


สำหรับเขาแล้ว นี่ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง! อันดับนั้นไม่สำคัญสักเท่าใดนัก ความก้าวหน้าของพลังของตัวเขาเองจึงจะสำคัญที่สุด เขามาถึงโลกใบนี้ ก็เพื่อเคี่ยวกรำตนเอง


 


******


 


เมื่อรายนามจักรพรรดิเทพออกมาแล้ว


 


ก็ทำให้ผู้แกร่งกล้าทั้งหลายของโลกใบนี้จับตามองผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่สองร้อยหกสิบแปดผู้นี้ทันที เพราะถึงอย่างไรเรื่องอย่างการที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารประมุขสมาคมจิตมาร ก็มีแต่ผู้ที่สนใจข้อมูลการสิ้นใจของผู้แกร่งกล้าในโลกเทพเป็นพิเศษเท่านั้นจึงได้ให้ทางหอจิตฟ้าเก็บรวบรวมข้อมูลจำพวกนี้มาอย่างยาวนาน ส่วน ‘รายนามจักรพรรดิเทพ’ มีผู้ให้ความสนใจมากกว่ามากมายนัก บรรดาจักรพรรดิเทพไปขนถึงจ้าวเทพในโลกเทพจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนให้ความสนใจแทบทั้งสิ้น


 


“เอ๊ะ”


 


ณ เมืองเล็กๆ อันไกลโพ้นแห่งหนึ่ง บุรุษอาภรณ์เขียวที่นั่งดื่มสุราอยู่ในหอสุราพลันสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย


 


เขาเพิ่งจะได้รับข้อมูลที่หอจิตฟ้าส่งมาให้เขา!


 


“รายนามจักรพรรดิเทพหรือ” บุรุษอาภรณ์เขียวพึมพำเสียงต่ำ “จักรพรรดิเทพหิมะเหิน ผู้เหินทะยานหรือ”


 


เขาส่งสารให้หอจิตฟ้าเพื่อซื้อรายงานโดยละเอียดเกี่ยวกับจักรพรรดิเทพหิมะเหินทันที


 


ผ่านไปชั่วครู่


 


“จ้าวเทพ” บ่าวรับใช้ของหอจิตฟ้าประจำเมืองเล็กๆ อันไกลโพ้นนี้เร่งตรงมายังหอสุราแห่งนี้โดยเฉพาะ แล้วมอบม้วนสาส์นม้วนหนึ่งให้บุรุษอาภรณ์เขียว “รายงานต้องใช้ศิลาอสนีสามก้อนขอรับ”


 


“ไปเถิด” บุรุษอาภรณ์เขียวโยนศิลาอสนีออกไปสามก้อน


 


“ขอรับ” บ่าวรับใช้รับศิลาอสนีไปแล้วแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว


 


จากนั้นบุรุษอาภรณ์เขียวก็มองดูโดยละเอียด


 


ในรายงานฉบับนี้บันทึกข้อมูลชุดหนึ่งของ ‘จักรพรรดิเทพหิมะเหิน’ เอาไว้โดยละเอียด เช่นเขาถูก ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ คุณหนูสามสกุลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซานพากลับมาจากกลางความรกร้าง เวลาอันแม่นยำของเรื่องราวต่างๆ ล้วนถูกบันทึกเอาไว้โดยละเอียด


 


“เฮอะ ดูจากเวลานี่ ก่อนที่คุณหนูสามสกุลอวี้เฟิงจะพาเขากลับมาจากกลางความรกร้าง หอจิตฟ้าหาบันทึกที่เกี่ยวข้องกับเขาไม่พบเลย” บุรุษอาภรณ์เขียวยิ้มเย็น จ้าวเทพคนหนึ่งทำอะไรอย่างเก็บเนื้อเก็บตัว จะไม่มีบันทึกก็เป็นเรื่องธรรมดานัก


 


“อิงซานเสวี่ยอิง เจ้าก็มายังโลกใบนี้แล้วหรือ” นัยน์ตาของบุรุษอาภรณ์เขียวฉายแววเยียบเย็น


 


เขา ก็คือจักรพรรดิเป่ยเหอนั่นเอง!


 


เขามาที่นี่ก่อนตงป๋อเสวี่ยอิงนานโข


 


เขามิอาจสะกดรอยตงป๋อเสวี่ยอิงได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจสะกดรอยเขาได้เช่นกัน อย่างตอนนั้นที่จักรพรรดิเป่ยเหอชิงเอา ‘หยาดน้ำพันเนตร’ ไป พวกตงป๋อเสวี่ยอิงหมายจะไล่สังหาร ก็มิอาจกำหนดตำแหน่งที่แม่นยำของจักรพรรดิเป่ยเหอได้


 


อย่างผู้ที่ฝึกฝนสายเลือดคละถิ่น แม้จะไม่เชี่ยวชาญทางด้านการเก็บงำกลิ่นอาย แต่เมื่อถึงระดับอย่าง ‘จักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ แล้วกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาส่วนมากล้วนสะกดรอยได้อย่างร้ายกาจนัก กลิ่นอายระดับยอดเคารพก็เก็บงำได้อย่างสมบูรณ์แบบ! ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยได้พบยอดเคารพเมื่ออยู่ในหุบเขาเขี้ยวหัก หากยอดเคารพจะเก็บงำกลิ่นอาย เขาก็ตรวจสอบไม่พบ ส่วน ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ เมื่ออยู่ในหุบเขาเขี้ยวหักก็เป็นจักรพรรดิที่ใกล้เคียงกับยอดเคารพที่สุดแล้ว! เขาก็ควบคุมกลิ่นอายของตนได้สมบูรณ์แบบมากเช่นกัน จึงมิอาจสะกดรอยเขาได้เลย


 


เขามาถึงโลกใบนี้ ในฐานะแขกจากโลกอีกใบ ก็ย่อมต้องถ่อมเนื้อถ่อมตัวเป็นอันมาก


 


เก็บงำกลิ่นอาย ปลอมแปลงเป็นจ้าวเทพคนหนึ่งแล้วซ่อนตัวอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง! เขาออกไปเคลื่อนไหวบ้างเป็นครั้งคราว


 


“อิงซานเสวี่ยอิง” ในใจจักรพรรดิเป่ยเหอมีความคิดวาบผ่านไปมากมาย


 


เมื่อดูจากเวลาที่มาถึง ชื่อ กระบวนท่าที่เชี่ยวชาญและสถานะผู้เหินทะยาน บวกกับที่เขาเก็บเนื้อเก็บตัวบำเพ็ญเป็นอันมาก ก็ล้วนสอดคล้องกับอิงซานเสวี่ยอิงทั้งสิ้น! ไม่มีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนี้หรอก


 


“ตามที่รายงานบันทึกเอาไว้ พลังทางด้านวิถีอากาศของเขาก็สามารถเทียบกับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายได้แล้วหรือนี่” จักรพรรดิเป่ยเหอขมวดคิ้วเล็กน้อย “หากนับรวมกับกระบวนท่าทางด้านวิญญาณของเขา เกรงว่าหากข้าเผชิญหน้ากับเขาก็อาจตกเป็นรองได้กระมัง”


 


“การยกระดับพลังของข้าจึงจะสำคัญที่สุด”


 


“รอให้ยกระดับขึ้นไปถึงขั้นยอดเคารพเสียก่อน ค่อยไปเล่นกับอิงซานเสวี่ยอิงสักหน่อย” จักรพรรดิเป่ยเหอลอบยิ้มเย็นชา เดิมทีเขาก็สั่งสมมาแน่นหนาอย่างยิ่งอยู่แล้ว เขาบำเพ็ญอยู่ในทางเดินเขี้ยวอสรพิษมานมนานถึงเพียงนั้นก็มีความก้าวหน้าอยู่บ้าง ตอนนั้นถูกตงป๋อเสวี่ยอิงและยอดเคารพเฮ่ากู่พบเข้า เขาจึงถูกบีบบังคับให้เลือกทางเส้นนี้ และถูกส่งมายังโลกใบนี้ เมื่อมาถึงที่นี่ เขาจึงพบว่าการขุดค้นพละกำลังสายเลือดของโลกใบนี้ร้ายกาจกว่าที่หุบเขาเขี้ยวหักมากมายนัก!


 


เก็บรวบรวมคัมภีร์ อ้างอิงและรู้แจ้งจากมัน


 


จักรพรรดิเป่ยเหอมั่นใจยิ่งขึ้นว่าตนจะสามารถบรรลุถึงระดับยอดเคารพได้


 


“รอดูเถอะ” จากนั้นจักรพรรดิเป่ยเหอก็ปล่อยเรื่องนี้ไป


 


……


 


เวลาล่วงเลยไป


 


หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารประมุขสมาคมจิตมารแล้ว ก็มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งโลกเทพ อย่างน้อยตัวเมืองทั้งหลายในแถบรอบๆ ก็ล้วนส่งกองเทวทูตมาเยี่ยมเยียน แม้แต่เมืองไม้บูรพาก็ยังส่งกองเทวทูตมา


 


กองเทวทูตโดยทั่วไป ตงป๋อเสวี่ยอิงคร้านที่จะพบ ให้อวี้เฟิงชิงอินไปพบหน้าแทนตนก็เพียงพอแล้ว! จะมีก็แต่กองเทวทูตเมืองไม้บูรพาเท่านั้น ที่ตนยอมไปพบด้วยตนเองสักครั้ง


 


จากนั้น วันคืนก็ฟื้นคืนสู่ความสงบ


 


เนื่องจากเขาโจมตีสังหารจักรพรรดิเทพไปหลายคน ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงมีสมบัติล้ำค่ามากมาย และมีจำนวนมากที่เขาไม่เห็นอยู่ในสายตา เขาตั้งใจคัดเลือกชิ้นที่มีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญสายเลือดทั้งหลายออกมาให้แก่ ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ ผู้เป็นศิษย์เพียงคนเดียวที่เขารับไว้ในโลกใบนี้ ตัวอวี้เฟิงชิงอินเองก็เป็นแม่ทัพเทพระดับยอดอยู่แล้ว เมื่อได้รับสมบัติล้ำค่า ก็บรรลุถึงระดับจ้าวเทพอย่างรวดเร็ว


 


อันที่จริงแล้ว ผู้แกร่งกล้าระดับแม่ทัพเทพไม่ว่าหน้าไหน หากเผาผลาญสมบัติล้ำค่าที่แม้แต่จักรพรรดิเทพก็ยังต้องเจ็บปวดใจอย่างที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทำ ก็ล้วนสามารถบรรลุได้อย่างง่ายดาย


 


อวี้เฟิงชิงอินบรรลุมิอาจนับเป็นอะไรได้


 


 ‘อวี้เฟิงเหลย’ พี่ใหญ่ของนางซึ่งก่อนหน้านี้เป็นยอดฝีมือที่ในเมืองจวิ้นซานเป็นรองเพียงแค่อวี้เฟิงจวิ้นซานเท่านั้นต่างหาก พลังของอวี้เฟิงเหลยถึงขั้นสามารถกดดันจ้าวภูเขาค้างคาวและจ้าวเทพเจียนอิ่นและคนอื่นๆ ได้อยู่เล็กน้อย! เมื่อประสบหายนะครั้งใหญ่นี้ จากความสิ้นหวังจนมีความหวังเต็มเปี่ยม หลังจากประมุขสมาคมจิตมารสิ้นใจไปสามแสนกว่าปี อวี้เฟิงเหลยก็บรรลุถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นแล้ว! ทำให้ทั้งสกุลอวี้เฟิงยินดีปรีดากับเขาเป็นอันมาก อวี้เฟิงชิงอินก็ตื่นเต้นยินดียกใหญ่ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มอบของกำนัลร่วมแสดงความยินดีกับอวี้เฟิงเหลยด้วย


 


เพียงพริบตาเดียว ประมุขสมาคมจิตมารก็สิ้นใจไปแปดสิบกว่าล้านปีแล้ว


 


ณ จวนหิมะเหินในเมืองจวิ้นซาน


 


ภายในจวนมีนักดนตรีกำลังร่วมบรรเลงเพลง และยังมีเหล่านางระบำกำลังระบำอยู่


 


ตงป๋อเสวี่ยอิง อวี้เฟิงชิงอินและ ‘เหลิ่งซิน’ ปรมาจารย์พิณอันดับหนึ่งแห่งเมืองจวิ้นซานนั่งมองพลางยิ้มอ่อนอยู่ตรงนั้น นับตั้งแต่ได้ฟัง ‘เหลิ่งซิน’ ดีดพิณจนเกิดการกระตุ้นบางอย่างขึ้นมาแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีงานอดิเรกอย่างการฟังเพลงพิณและชอบชมการระบำเพิ่มขึ้นมา


 


“ท่านอาจารย์ นี่คือเพลงระบำที่พี่เหลิ่งแต่งขึ้นด้วยตนเอง เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” อวี้เฟิงชิงอินเอ่ยถาม


 


“ท่านอาจารย์”


 


“ท่านอาจารย์”


 


อวี้เฟิงชิงอินมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความงุนงง


 


ยามนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังงหลับตา คล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง อวี้เฟิงชิงอินเห็นเข้าก็ไม่กล้าปริปากอีกต่อไป


 


“โครมมม…” ขณะนี้ร่างแยกทั้งหมดของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดและในดินแดนจิตโลกาล้วนสติรับรู้สั่นสะท้าน ความเร้นลับจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังผสานรวมกันและก่อให้เกิดกระบวนท่าอันสมบูรณ์แบบที่พิสดารจนถึงขั้นน่าเหลือเชื่อขึ้นมา

 

 

 


ภาคที่ 37 บนเส้นทาง

 

ตอนที่ 47 ท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลว...

 

ชั่วขณะที่กระบวนท่าอันสมบูรณ์แบบก่อตัวขึ้นมาในท้ายที่สุดนั้น ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีโลกลวงใบหนึ่งก่อกำเนิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ


มันกว้างใหญ่ไพศาล เต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างไร้ที่สิ้นสุด แต่กลับมีแววอาฆาตแฝงอยู่


ชีวิตชีวาและแววอาฆาตราวกับสองด้านของร่างเดียวกัน พัวพันวึ่งกันและกัน ทำให้ทั้งโลกเจิดจรัสมากยิ่งขึ้น ประหนึ่งมีเกิดก็ต้องมีตาย มีแสงสว่างก็ต้องมีความมืดมิด การพัวพันเช่นนี้ เหมือนกับหลั่งรินทะลุทะลวงไปทั่วทั้งโลกลวง พูดง่ายๆ ก็คือ ‘กฎเกณฑ์การหมุนเวียน’ ของโลกลวงแห่งนี้ มีหัวใจสำคัญก็คือทั้งสองด้านของร่างเดียวกันนี้นั่นเอง


ด้วยหัวใจสำคัญก็คือทั้งสองด้านของร่างเดียวกัน นำการรับรู้ด้านอื่นๆ ของวิถีเขตลวงโลกเทียมหลอมรวมเขาไปในนั้น


ทั้งหมดปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ


“โครมมม…” วิญญาณของร่างแยกแต่ละร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนสั่นสะท้านและเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น วิญญาณว่างเปล่าและกระจ่างชัดขึ้น เมื่อสำแดงกระบวนท่าอย่างเดียวกันออกมา ความเร็วกลับเพิ่มขึ้นและมุ่งตรงไปยังแก่นแท้มากยิ่งขึ้น


ไม่เพียงเท่านี้ วิญญาณก็เป็นจริงขึ้นด้วย ทั้งยังมุ่งตรงไปยัง ‘การเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้’ อีกด้วย


“วิญญาณของข้า”


“แข็งแกร่งนัก”


“เหมือนจะแข็งแกร่งกว่ากายหยาบเสียอีก”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความรู้สึกแข็งแกร่งขึ้นมารางๆ ราวกับวิญญาณของตนแข็งแกร่งจนถึงขั้นสามารถหลอมรวมเข้าไปในต้นกำเนิดของโลกใบนี้ได้ หากโลกใบนี้ไม่ถูกทำลาย วิญญาณของตนก็จะไม่ถูกทำลาย! แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงความรู้สึกอันเลือนรางเท่านั้น ยังบกพร่องอีกเล็กน้อย บกพร่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


ฟิ้ว


ทันใดนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเดิมทีหลับตาอยู่ในจวนหิมะเหินในเมืองจวิ้นซานก็พลันลืมตาขึ้นมา ดวงตาของเขาฉายแววลึกล้ำหาใดเปรียบ


เดิมทีปรมาจารย์พิณเหลิ่งซินและอวี้เฟิงชิงอินที่อยู่อีกด้านหนึ่งรู้สึกตกใจที่จู่ๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หลับตาลงแล้ว พูดอะไรไปก็ไม่สนใจ แต่เมื่อเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงเปิดเปลือกตาขึ้นมา พวกนางทั้งสองคนกลับจมดิ่งเข้าไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ราวกับเป็นดวงตาที่ชวนหลงใหลที่สุดในโลกใบนี้ ทำให้พวกนางทั้งสองยินยอมพร้อมใจถูกล่อลวงให้เข้าไป


“กายหยาบของข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าทั้งร่างกำลังโห่ร้อง วิญญาณหล่อเลี้ยงกายหยาบอย่างไร้รูปร่าง ทำให้กายหยาบสำแดงออกมาได้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น


การเปลี่ยนแปลงบางอย่างของกายหยาบเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น


ตงป๋อเสวี่ยอิงสนใจวิญญาณมากยิ่งกว่า!


“วิญญาณของข้า…ความรู้สึกเช่นนี้…” วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสัมผัสได้ถึงต้นกำเนิดอันแข็งแกร่งของโลกเทพแห่งนี้ ต้นกำเนิดของโลกใบนี้หยาบกว่า ‘โลกกำเนิด’ แต่จำนวนกลับมหาศาลกว่ามากทีเดียว วิญญาณ คือพละกำลังที่พิเศษที่สุดของชีวิตหนึ่งๆ อย่างดินแดนจิตโลกาก็มีการบูชาโลหิต และเค้นเอา ‘แก่นวิญญาณโลหิต’ ออกมาจากในนั้น หากดูดซับแก่นวิญญาณโลหิตจากวิญญาณที่ร้ายกาจยิ่งกว่า ผลลัพธ์ก็จะดีกว่าการดูดซับต้นกำเนิดเสียอีก


เห็นได้ชัดว่าวิญญาณและต้นกำเนิดโลกนั้นเป็นพละกำลังที่คล้ายคลึงกัน เพียงแต่พิเศษกว่าอยู่บ้าง


“ข้าสัมผัสได้ว่าขาดอีกเพียงนิดเดียวก็จะสามารถหลอมรวมเข้าไปในต้นกำเนิดโลกได้แล้ว”


เมื่อหลอมรวมเข้าไป


ต้นกำเนิดโลกไม่แตกสลาย วิญญาณของตนก็ไม่แตกสลายเช่นเดียวกัน


เรื่องนี้น่ากลัวเพียงใด


ต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่นซึ่งสามารถปกครองโลกกำเนิดใบหนึ่งได้ ก็มิอาจทำลายต้นกำเนิดโลกได้อยู่ดี เนื่องจากหากทำลายต้นกำเนิดโลกไป ทั้งโลกกำเนิดก็จะมลายหายไปหมด!


“ทางสายวิญญาณบรรลุถึงขั้นสุดยอด ก็สามารถไปถึงขั้นนี้ได้เชียวหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ


เขาเพิ่งจะรู้แจ้งท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมขึ้นมา


ท่าไม้ตายที่สามนี้ เป็นการนำเอาท่าไม้ตาย‘ ความสว่างไสวของโลกลวง’ และท่าไม้ตายที่สอง ‘การสังหารของโลกลวง’ ก่อนหน้านี้หลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ อานุภาพก็เหนือกว่าก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้เช่นนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความรู้สึกว่าเข้าใกล้ ‘วิญญาณขั้นสุดยอด’ ขึ้นมาอย่างหาใดเปรียบ บัดนี้ตนสร้างกระบวนท่านี้ขึ้นมา ห่างจากขั้นสุดยอดเพียงเส้นบางๆ เท่านั้น!


“เส้นทางวิญญาณ หากบรรลุถึงขั้นสุดยอด เห็นทีคงจะเหนือกว่าผู้ที่บรรลุถึงขั้นสุดยอดบนเส้นทางทั่วไปจะสามารถเทียบได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ


ก็ถูกต้องแล้ว


แก่นแท้ของชีวิตก็คือวิญญาณ!


ความยากของการฝึกฝนเส้นทางวิญญาณ เหนือกว่าเส้นทางอื่นๆ มากมายนัก


……


“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลียวมองรอบกาย ภายในโถงตำหนักนี้ อวี้เฟิงชิงอิน ปรมาจารย์พิณเหลิ่งซินรวมทั้งเหล่านางระบำและนักดนตรีที่กำลังแสดงอยู่ต่างก็ล้มลง


“เห็นทีตอนที่ข้าบรรลุเมื่อครู่ จะส่งผลกระทบต่อพวกเขาเข้าโดยมิได้ตั้งใจ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง ระลอกคลื่นหนึ่งก็กวาดไปทั่วทั้งโถงตำหนัก คนทั้งหมดภายในโถงตำหนักต่างพากันฟื้นคืนสติขึ้นมา พวกเขายังรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง


อวี้เฟิงชิงอินมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ยังคงตกใจอยู่บ้าง “ท่านอาจารย์ เหตุใด เหตุใดข้าจึงหลับไปได้เล่า”


“ข้าส่งผลกระทบต่อพวกเจ้าโดยมิได้ตั้งใจ ใช่แล้ว ข้าเตรียมจะเก็บตัวสักระยะหนึ่ง หากไม่มีเรื่องสำคัญก็อย่ามารบกวนข้าล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ


“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์” อวี้เฟิงชิงอินรับคำ


“อื้ม”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าแล้วยืดกายขึ้น เขาพยักหน้าน้อยๆ ให้กับปรมาจารย์พิณเหลิ่งซินที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็จากไปอย่างรวดเร็วแล้วเริ่มเก็บตัวทันที


******


ภายในห้องเงียบ


ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสความเปลี่ยนแปลงที่มาจากการรับรู้ครั้งนี้โดยละเอียด อย่างแรกก็คือฝึกกายคละถิ่น เดิมทีจักรพรรดิเทพช่วงกลางยังไม่มั่นคง แค่สามารถคงการต่อสู้ไว้ได้ราวครึ่งค่อนชั่วยามเท่านั้น แต่บัดนี้วิญญาณส่งผลกระทบต่อกายหยาบ ทำให้กายหยาบสมบูรณ์แบบขึ้นมาบ้าง โดยรวมแล้วแข็งแกร่งขึ้นราวห้าส่วน ส่วนสถานะซึ่งเดิมทีไม่เสถียรนั้น แม้บัดนี้จะยังไม่เสถียรดี แต่ความเสียหายต่อร่างกายกลับลดลงเป็นอันมาก แรงฟื้นฟูของร่างกายเองก็เพียงพอที่จะต้านทานได้


ก็หมายความว่าสามารถคงการต่อสู้เอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง


“ผลกระทบของวิญญาณต่อกายหยาบแค่อยู่บนพื้นฐานของกายหยาบเดิม หากทำให้สมบูรณ์แบบ ก็แค่ยกระดับขึ้นได้ไม่กี่ส่วนเท่านั้นเอง”


“แต่การฝึกกายคละถิ่นของข้า จะต้องวิวัฒน์จากแก่นแท้”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจว่า วิญญาณมีประโยชน์ต่อกายหยาบเพียงแค่ช่วยแต่งแต้มสีสันลงไปเท่านั้น การที่ตนจะฝึกกายหยาบให้บรรลุถึง ‘ร่างกึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ไปจนถึงสำเร็จเป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่น ตนก็ยังต้องยกระดับวิถีอากาศขึ้นต่อไป


“อีกนิดเดียว”


“ท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมนี้ห่างจากขั้นสุดยอดอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า


เนื่องจากสองท่าไม้ตายก่อนหน้านี้ร้ายกาจมากแล้ว


ท่าไม้ตายที่สามก็ยกระดับขึ้นเป็นอย่างมาก! เมื่อพูดจากเรื่องระดับแล้ว ก็ต่างจากกระบวนท่าขั้นสุดยอดไม่มากสักเท่าใดนักแล้ว


แต่ทว่า…


มิได้บรรลุถึงขั้นสุดยอด! ก็คือมิได้บรรลุ!


‘ขั้นสุดยอด’ เป็นตัวแทนของครบสมบูรณ์!


อย่างตอนที่ตนเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองทางด้านวิถีอากาศ อาศัยเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งก็สามารถสำแดงพลังรบที่เทียบกับขั้นสุดยอดออกมาได้แล้ว กระบวนท่าแข็งแกร่งก็มิได้หมายความว่าระดับขั้นถึงแล้ว


ท่าไม้ตายที่สามนี้ซึมซับความเร้นลับของ ‘ดวงตาสีเทา’ และ ‘ดวงตาสีทอง’ ของสิ่งมีชีวิตพันเนตรนั้น ทั้งยังหลอมรวมกันได้สำเร็จ กระบวนท่าแข็งแกร่งพออย่างแท้จริง! แต่ทางด้านระดับขั้นก็ยังบกพร่องอยู่บ้าง


ความบกพร่องเล็กน้อยเหล่านี้…


ก็ทำให้วิญญาณของตนไม่มีทางครบสมบูรณ์ได้!


“ข้าอยากจะให้ศัตรูจมดิ่งมากเกินไป และยังล้างสังหารวิญญาณของศัตรูด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ เนื่องจากสิ่งที่ท่าไม้ตายที่สามนี้ต้องการก็คือการหลอมรวมท่าไม้ตายทั้งสองนี้เข้าด้วยกัน ดังนั้นตอนแรกเขาก็ได้ใช้สองกระบวนท่านี้เป็นสองด้านของร่างเดียวแล้วคิดค้นท่าไม้ตายขึ้นมาได้สำเร็จในที่สุด


“กระบวนท่านี้ของข้าออกจะสุดโต่งเกินไปหน่อย”


ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ที่มาของปัญหาแล้ว


“ท่าไม้ตายที่สี่หลังจากนี้…ก็สามารถชดเชยข้อบกพร่องเหล่านี้ได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “ตอนที่ข้าคิดค้นท่าไม้ตายที่สี่ขึ้นมานั้น ก็ควรจะถึงคราวที่วิถีเขตลวงโลกเทียมของข้าบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว! ข้าตั้งตารอคอยจริงๆ!”


******


หลังจากบรรลุแล้วคิดทบทวนดู เพื่อเสริมพลังให้แข็งแกร่ง


เรื่องนี้ใช้เวลาไม่นานสักเท่าใดนัก ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บตัว ก็เพราะหลังจากเข้าถึงท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมแล้ว เขาก็ควรจะจากเมืองจวิ้นซานไปอีกสักครั้งได้แล้ว


“ฟิ้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิ โบกมือคราหนึ่ง ตรงหน้าก็มีม้วนสาส์นม้วนหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า


บนม้วนสาส์นมีข้อมูลเกี่ยวกับ ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางด้านวิถีอากาศ’ บันทึกเอาไว้โดยละเอียด ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในเมืองจวิ้นซานก็ได้ใช้งานหอจิตฟ้า อย่างแรกก็คือเก็บรวบรวมคัมภีร์ผู้เหินทะยานทางด้าน ‘วิถีอากาศ’ ส่วนอีกอย่างหนึ่งก็คือเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสารของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศ อันที่จริงแล้วเขาได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มานานแล้ว เพียงแต่รู้สึกมาตลอดว่ายังไม่ถึงเวลาเคลื่อนไหว


“เมืองมังกรเหล็กมีซากของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศอยู่ร่างหนึ่ง!” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ่านดูสิ่งที่รายงานบันทึกเอาไว้


ร่างกายของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นมีกฎเกณฑ์ปรากฏขึ้นมาทุกหนแห่ง


เช่นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นบางตน ทั้งร่างอาจจะมีเพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้นที่มีกฎเกณฑ์วิถีอากาศปรากฏขึ้นมาบ้างเล็กน้อย จึงมีส่วนช่วยตงป๋อเสวี่ยอิงน้อยมาก


ส่วน ‘ทางสายอากาศ’ หมายความว่าสิ่งที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นเชี่ยวชาญที่สุดก็คือกระบวนท่าทางสายอากาศ กฎเกณฑ์ปรากฏขึ้นทั่วร่าง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นทางสายอากาศทั้งสิ้น ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงใฝ่หา เพียงแต่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศโดยกำเนิดนั้นมีให้เห็นน้อยมาก


“เจ้าเมืองมังกรเหล็กจัดเป็นอันดับเจ็ดของรายนามจักรพรรดิเทพ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ


ในโลกใบนี้มีผู้ที่มีพลังรบระดับยอดเคารพมากกว่าสามสิบคน!


เจ้าเมืองมังกรเหล็กจัดเป็นอันดับเจ็ด! เขามีบุตรธิดาห้าคน แต่ละคนล้วนถูกบ่มเพาะจนถึงระดับจักรพรรดิเทพทั้งสิ้น แน่นอนว่ามีเพียงคุณชายใหญ่เท่านั้นที่เป็นจักรพรรดิเทพช่วงท้าย!  ขุมอำนาจเจ้าเมืองมังกรเหล็กยังแข็งแกร่งกว่าจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วผู้นั้นอยู่ขุมหนึ่ง


“หากได้ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศที่เจ้าเมืองมังกรเหล็กเก็บเอาไว้ร่างนั้นมา ก็จะเป็นประโยชน์ต่อข้ามากมายยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ เจ้าเมืองมังกรเหล็กมีแรงคุกคามมากเกินไป เขาก็ไม่เคยคิดจะไปหักหาญเอามา แค่พยายามเจรจาแลกเปลี่ยนก็พอแล้ว แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็รอให้คิดค้นท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมขึ้นมาได้เสียก่อน จึงวางแผนจะเคลื่อนไหว

 

 

 


ภาคที่ 37 บนเส้นทาง

 

ตอนที่ 48 เมืองมังกรเหล็ก

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้น เขายืนอยู่ภายในห้องเงียบ ทันใดนั้นโครงร่างก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย รูปโฉมก็เปลี่ยนแปลงไป แม้แต่ท่วงท่าก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย กลายเป็นดูเยียบเย็นราวกับน้ำแข็งหมื่นปีก็มิปาน อันที่จริงแล้วการเปลี่ยนแปลงเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น สำหรับคนระดับอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว การเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายวิญญาณนั้นง่ายดายมาก เพียงแต่จะสกัดกั้นเคล็ดวิชา ‘สอดส่อง’ กลับมิใช่เรื่องง่ายเลย


 


ผู้แกร่งกล้าของโลกใบนี้ บางคนมีจิตสัมผัสพิเศษ เนื่องจากวิญญาณเป็นเหตุ


 


จิตสัมผัสบางอย่างสามารถมองเห็นพลังที่แท้จริงของผู้อื่นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง! เช่น ‘ดวงตาทิพย์แสงมรกต’ ของพ่อบ้านอวิ๋นผู้นั้น สายเลือดบรรพเทวะนั้นมีต้นกำเนิดเป็นถึงผู้แกร่งกล้าคละถิ่นสามท่านที่รังสรรค์โลกใบนี้ขึ้นมา แน่นอนว่าย่อมมีสิ่งที่น่าพิศวงต่างๆ เป็นธรรมดา อย่างผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพ หากเชี่ยวชาญทางด้านการสอดส่อง วิธีการทางด้านการสอดส่องก็จะร้ายกาจกว่าพ่อบ้านอวิ๋นผู้นั้นเสียอีก


 


ก่อนหน้านี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถสกัดกั้นการสอดส่องได้!


 


แต่ตอนนี้…


 


“ด้วยผลสำเร็จบนเส้นทางวิญญาณของข้า เกรงว่าต่ำกว่าผู้แกร่งกล้าคละถิ่นลงไป คงไม่มีผู้ใดสามารถมองพลังที่แท้จริงของข้าได้ทะลุปรุโปร่งกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ ครั้งนี้กระบวนท่าที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียม วิญญาณวิวัฒน์ไปอีกครั้ง จนไปถึงตรงหน้าขีดจำกัด ‘การเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้’ แล้ว ขอเพียงบรรลุขึ้นมาอีกบ้างสักเล็กน้อย ก็จะเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้ได้สำเร็จ ถึงตอนนั้นวิญญาณก็สามารถหลอมรวมเข้าไปในต้นกำเนิดของโลกใบหนึ่งได้แล้ว หากโลกไม่แตกสลายก็ไม่ตาย!


 


บัดนี้กลิ่นอายวิญญาณเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงเชื่อว่าไม่มีผู้ใดสามารถมองทะลุการปกปิดวิญญาณของตนแล้วมองตนอย่างทะลุปรุโปร่งได้


 


“เข้ามาอีกสักกระบี่หนึ่งสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือออกไป ในมือก็มีกระบี่เทพซึ่งอยู่ในฝักปรากฏขึ้นเล่มหนึ่ง เขายิ้มออกมาแล้วโบกมือคราหนึ่ง ก่อนจะสะพายกระบี่เทพเอาไว้บนหลัง


 


อาภรณ์สีขาวทั้งร่าง สะพายกระบี่เทพเอาไว้บนหลัง


 


“วิ้ง”


 


กลิ่นอายของตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทะยานขึ้นไปจนถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย! กลิ่นอายของเขาเต็มไปด้วยความเฉียบคม


 


แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้อาศัยความพิเศษของวิญญาณก็สามารถปลอมแปลงได้อย่างง่ายดาย หากเขาปรารถนา ก็สามารถปลอมแปลงเป็นระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ได้ เพียงแต่ไม่จำเป็น!


 


“แคว่ก”


 


ทันใดนั้นภายในห้องเงียบก็มีรอยแยกมิติสีดำสายหนึ่งผุดขึ้นมา


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก่อนจะเข้าไปในนั้นแล้วหายวับไป มุ่งหน้าไปยังเมืองมังกรเหล็ก


 


******


 


เมืองมังกรเหล็ก


 


นี่คือเมืองใหญ่อันรุ่งเรืองหาใดเปรียบ เจ้าเมืองมังกรเหล็กสามารถจัดอยู่ในอันดับที่เจ็ดของผู้แกร่งกล้าที่มีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ทั้งหมดสามสิบกว่าคนได้ แน่นอนว่าพลังจะต้องน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง ต้องรู้ไว้ว่า ‘จ้าวหุบเขาฝูหลิ่ว’ สิ่งมีชีวิตคละถิ่นซึ่งสามารถสำแดงพลังรบระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ออกมาได้โดยกำเนิดและสามารถปกป้องสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดทั้งฝูงได้ผู้นั้น ก็จัดเป็นแค่อันดับที่สิบสองเท่านั้นเอง


 


“จวนมังกรเหล็ก” ตงป๋อเสวี่ยอิงแปรเป็นลำแสงสายหนึ่งบินเหินอยู่เหนือท้องฟ้า เขาทะยานลงไป ร่อนลงตรงหน้าจวนขนาดมหึมาอันสูงตระหง่านแห่งหนึ่ง จวนแห่งนี้กินพื้นที่กว้างขวางนัก ใหญ่โตกว่าเมืองจวิ้นซานทั้งเมืองเสียอีก มีอาณาเขตกว่าล้านลี้!


 


“แฮ่…”


 


ภายในจวนมีเสียงสะท้อนก้องขึ้นมาเป็นครั้งคราว


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็พอเดาออกว่า เสียงคำรามนี้น่าจะเปล่งออกมาโดยสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด ‘มังกรเกล็ดจมเก้าเขา’ ภายในโลกเทพแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด ‘มังกรเกล็ดจมเก้าเขา’ ทั้งหมดสองคนด้วยกัน พวกมันใช้ชีวิตอยู่ในจวนมังกรเกล็ดเหล็ก! นับได้ว่าพวกมันมีความสัมพันธ์แบบร่วมมือกับเจ้าเมืองมังกรเหล็ก พวกมันต้องให้เจ้าเมืองมังกรเหล็กคอยคุ้มครอง! ส่วนคัมภีร์มังกรเหล็กไร้ทลาย คัมภีร์สำหรับบำเพ็ญซึ่งเจ้าเมืองมังกรเหล็กเป็นผู้คิดค้นขึ้นนั้น ด้วยความช่วยเหลือจากมังกรเกล็ดจมเก้าเขา เมื่อบำเพ็ญแล้วจึงคล่องตัวลื่นไหล บุตรธิดาทั้งห้าของเจ้าเมืองมังกรเหล็กล้วนถูกบ่มเพาะจนถึงระดับจักรพรรดิเทพ ทั้งยังสามารถกล่าวได้ว่าผลาญสมบัติล้ำค่าไปเป็นจำนวนมาก วงศ์วานทางสายเจ้าเมืองมังกรเหล็กที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปนี้ มีจักรพรรดิเทพถือกำเนิดขึ้นมามากนับร้อยคน! ซึ่ง ‘มังกรเกล็ดจมเก้าเขา’ สองตนนั้นมีส่วนช่วยเป็นอย่างมาก


 


“สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดของโลกใบนี้ก็ช่างน่าสงสารจริงๆ ผู้แกร่งกล้ามากมายยิ่งนัก แม้สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดจะสามารถรักษาชีวิตได้อย่างร้ายกาจ แต่เมื่อประสบกับการล้อมโจมตีของผู้แกร่งกล้าจำนวนมากก็ต้องสิ้นชีวิตไปอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง


 


ในหุบเขาเขี้ยวหักนั้นใช้งานซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดน้อยมาก ดังนั้นยอดเคารพทั้งห้าจึงคร้านจะไปสังหาร


 


แต่โลกใบนี้…เห็นได้ชัดว่ามีวิธีการใช้งานที่สูงส่งกว่ามากทีเดียว


 


“จักรพรรดิเทพท่านนี้ ท่านมายังจวนมังกรเหล็กของเราด้วยธุระอันใดหรือ” เหล่าทหารคุ้มกันมองดูบุรุษอาภรณ์ขาวซึ่งสะพายกระบี่เทพตรงหน้า เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเฉียบคมอันน่าหวาดหวั่น หัวใจของพวกเขาก็บีบรัดแน่นอย่างมิอาจควบคุม จึงมีท่าทีเกรงอกเกรงใจขึ้นมา


 


“ข้าเมฆาเขียว มาที่นี่เพื่อคารวะเจ้าเมืองมังกรเหล็ก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย


 


“ท่านเจ้าเมืองของเราไม่พบแขกง่ายๆ หรอก” ทหารคุ้มกันคนหนึ่งพูดพลางขมวดคิ้ว แม้บุรุษอาภรณ์ขาวตรงหน้าจะมีกลิ่นอายอันแข็งแกร่งจนพวกเขาต้องเกรงใจ แต่ก็มิได้เกรงกลัว! เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นคนของจวนเจ้าเมืองมังกรเหล็กซึ่งท่านเจ้าเมืองเป็นถึงจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์! ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายก็มีมากถึงแปดท่านด้วยกัน แม้ส่วนใหญ่จะต่างคนต่างสร้างเมืองของตนเองขึ้นมา แต่ที่อยู่ในจวนก็มีจักรพรรดิเทพช่วงท้ายถึงสามคน ทั้งยังมีจักรพรรดิเทพช่วงกลางและช่วงต้นจำนวนมากกว่าอีกด้วย


 


“ช่วยไปรายงานสักหน่อยเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย


 


“ก็ได้ ท่านคอยอยู่ตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน” เพราะเห็นแก่พลังของคนตรงหน้า ทหารคุ้มกันจึงช่วยไปรายงานให้


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ


 


ไม่เสียทีที่เป็นจวนมังกรเหล็ก! หากตนคงกลิ่นอายเอาไว้แค่ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง เกรงว่าหากไม่มีเหตุผลเพียงพอ คงคร้านที่จะไปช่วยตนรายงานกระมัง


 


ผ่านไปชั่วจอกชาหนึ่ง ทหารคุ้มกันผู้นั้นก็กลับมาแล้วพูดกับตงป๋อเสวี่ยอิงว่า “คุณชายใหญ่ของข้าเชิญท่านเข้าไป โปรดตามข้ามา”


 


“ประเสริฐ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปด้านในทันที คุณชายใหญ่หรือ เจ้าเมืองมังกรเหล็กมีบุตรธิดาห้าคน ผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดก็คือคุณชายใหญ่ซึ่งเป็นจักรพรรดิเทพช่วงท้าย! ตามที่รายงานบรรยายเอาไว้ คุณชายใหญ่แห่งจวนมังกรเหล็กผู้นี้…ตามปกติแล้วก็เป็นผู้ดำเนินการหลักของจวนมังกรเหล็ก เนื่องจากคนที่มีพลังระดับอย่างเจ้าเมืองมังกรเหล็กนั้นคร้านที่จะทำเรื่องจิปาถะเองแล้ว เขาจดจ่อกับบำเพ็ญเพียงอย่างเดียว ด้วยหมายจะบรรลุเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นให้สำเร็จ


 


ระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ไม่ว่าคนไหน ก็ล้วนแต่ถูกขนานนามว่าเป็นร่างกึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ยืนอยู่ตรงหน้าเส้นแบ่งของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้ว! ผู้ที่บำเพ็ญสายเลือดเหล่านี้ เมื่อบรรลุและตื่นรู้ในท้ายที่สุดก็จะสามารถสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้


 


“ไปทางนี้ขอรับ” ทหารคุ้มกันนำทางอยู่ด้านหน้า “อย่าได้เดินสุ่มสี่สุ่มห้าเป็นอันขาด จวนมังกรเหล็ก เรามีสถานที่ต้องห้ามมากมายที่ห้ามผู้มาเยือนจากภายนอกเข้าไปเด็ดขาด”


 


“เข้าใจแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินตามไป


 


จวนมีขอบเขตนับล้านลี้ และทหารคุ้มกันผู้นี้ก็บินไปค่อนข้างช้า ครู่ใหญ่จึงนำทางตงป๋อเสวี่ยอิงไปถึงในสวนแห่งหนึ่ง


 


“คุณชายใหญ่ นำจักรพรรดิเทพเมฆาเขียวมาถึงแล้วขอรับ” ทหารคุ้มกันพูดอย่างเคารพนบนอบ


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไป


 


บุรุษอาภรณ์ดำผู้หนึ่งกำลังเอนพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ ด้านข้างยังมีสาวรูปโฉมงดงามหยดย้อยท่าทีแช่มช้อยสองนางคอยปรนนิบัติ ป้อนสุราชั้นเลิศให้อย่างไม่ขาดสาย


 


บุรุษอาภรณ์ดำผู้นี้หน้าตาหล่อเหลาเอาการ เขาปรายตามองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่ง นัยน์ตากลับแฝงไว้ด้วยความเหิมเกริม เขาโบกมือเบาๆ คราหนึ่ง “ถอยไปก่อน…จักรพรรดิเทพเมฆาเขียว หากท่านไม่รังเกียจ ขอเชิญท่านมาร่วมดื่มสุราด้วยกันสักสองสามจอกเถิด”


 


“ได้ดื่มสุราในจวนมังกรเหล็กสักสองสามจอก ผู้ใดจะรังเกียจได้ลงคอเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มก่อนจะนั่งขัดสมาธิลง


 


บุรุษอาภรณ์ดำผู้นี้ก็คือคุณชายใหญ่แห่งจวนมังกรเหล็ก…‘เถี่ยหลงอวิ๋นซาน’ อันดับที่แปดสิบห้าของรายนามจักรพรรดิเทพ! ที่เขามีพลังเช่นนี้ได้ แน่นอนว่าเป็นเพราะความช่วยเหลือนานัปการจากบิดาของเขาและสมบัติล้ำค่าด้วย! แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สามารถถูกตระกูลจิตฟ้าจัดให้อยู่ในอันดับที่แปดสิบห้าของรายนามจักรพรรดิเทพได้ จะเห็นได้ถึงความแข็งแกร่งของเขาแล้ว! บวกกับที่ขุมอำนาจอันยิ่งใหญ่อย่างเมืองมังกรเหล็กก็ล้วนแต่มีคุณชายใหญ่ผู้นี้คอยบัญชาการทั้งหมด ท่าทางเหิมเกริมของเขา ก็ถูกบ่มเพาะขึ้นมาจากการที่ตัวเขาอยู่ในสถานะอันสูงส่งมาอย่างยาวนาน


 


“จักรพรรดิเทพเมฆาเขียว จักรพรรดิเทพช่วงท้ายหรือ ในรายนามจักรพรรดิเทพของตระกูลจิตฟ้าไม่มีชื่อของจักรพรรดิเทพเมฆาเขียวอยู่นี่นา” คุณชายใหญ่แห่งจวนมังกรเหล็กพูดพลางหัวเราะเบาๆ จวนมังกรเหล็กย่อมมีวิธีส่องสำรวจมากมายเป็นธรรมดา เขายังถึงขั้นเคยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางคนหนึ่งใช้จิตสัมผัสสอดส่องมาก่อน พวกเขาต่างก็เชื่อว่าพลังของจักรพรรดิเทพเมฆาเขียวผู้นี้เป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายอย่างแท้จริง


 


“ที่ผ่านมาข้าเก็บตัวบำเพ็ญเพียรมาโดยตลอด จึงมิได้อยู่ในรายนามน่ะขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว


 


“ฮ่าฮ่า ข้าไม่สนหรอกว่าพี่เมฆาเขียวจะเก็บตัวบำเพ็ญจริงหรือไม่ หรือว่าจะมีจิตสัมผัสแอบซ่อนหรือเก็บงำกลิ่นอายอะไร ข้าล้วนไม่สนใจทั้งสิ้น” คุณชายใหญ่จวนมังกรเหล็กพูดพลางหัวเราะเสียงดังกังวาน “สิ่งที่ข้าสนใจก็คือ พี่เมฆาเขียวมาหาข้าที่นี่ด้วยเรื่องอันใดหรือ”


 


เขาไม่สนใจตัวตนของผู้มาเยือน


 


ด้วยพลังของเขาและมีบิดาคอยหนุนหลังอยู่ ในโลกเทพ ต่อให้เป็นสามตระกูลราชันย์ เขาก็ไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย!


 


แม้เบื้องหลังของสามตระกูลราชันย์จะมี ‘สามบรรพเทวะคละถิ่น’ อยู่ก็ตามที แต่หากว่ากันตามความหมายจริงๆ แล้ว ชาวโลกเทพจำนวนนับไม่ถ้วนก็ล้วนแต่เป็นชนรุ่นหลังของบรรพเทวะคละถิ่นกันทั้งสิ้น! ดังนั้นขอเพียงไม่ทะเยอทะยานจนถึงขั้นไปโจมตีถิ่นของสามตระกูลราชันย์ โดยทั่วไปแล้วต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าจากสามตระกูลราชันย์มาล่าสังหารอยู่ภายนอกแล้วผู้แกร่งกล้าทั้งหลายสิ้นใจไป บรรพเทวะคละถิ่นก็ไม่เคยปรากฏกายมาก่อน


 


แต่หากบุกสังหารมาถึงถิ่นของสามตระกูลราชันย์ ก็เป็นการท้าทายบรรพเทวะคละถิ่นแล้ว!


 


“ข้ามาที่นี่ก็เพื่อซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศตนหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก “ข้าต้องการซากนี้ ไม่ทราบว่าต้องแลกมาด้วยสิ่งแลกเปลี่ยนระดับไหน จวนมังกรเหล็กจึงจะยอมขายให้ข้า”


 


“ฮ่าฮ่า…” ดวงตาของคุณชายใหญ่จวนมังกรเหล็กเป็นประกายขึ้นมา เขาพูดยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อพี่เมฆาเขียวมาที่นี่เพื่อซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นร่างนี้ เชื่อว่าท่านก็คงจะรู้ดีว่าซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศนั้นหาได้ยากเพียงใด! ทั้งโลกเทพ มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเพียงสามตนเท่านั้น สองตนยังมีชีวิตอยู่ ส่วนซากเพียงหนึ่งเดียวนั้นอยู่กับข้า มันเชี่ยวชาญทางด้านการหลบหนีและรักษาชีวิตเป็นอันมาก ความยากในการสังหารมันยากเย็นกว่าการสังหารสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทั่วไปมากมายนัก”


 


“ข้ารู้ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


 


และนี่ก็คือสาเหตุที่เขาต้องฝึกฝนท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมให้สำเร็จเสียก่อนจึงค่อยมาเจรจา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)