หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 889-894

 บทที่ 889 สันติที่มีขาย!

 

แม้ความโกรธของหวังเป่าเล่อจะลดน้อยลง แต่ก็ยังไม่สบอารมณ์กับการเล่นบทนกสองหัวของเซี่ยไห่หยางนัก ชายหนุ่มรู้ว่านักธุรกิจย่อมต้องสนใจเพียงการหากำไรเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังรู้สึกเจ็บใจอยู่ดี


“ศิษย์น้องไห่หยาง ข้าปฏิบัติกับเจ้าเหมือนมิตรสหาย แต่เจ้ากลับขายข้ากิน…” หวังเป่าเล่อพูดแผ่วเบา ถ้อยคำของเขาทั้งซื่อตรงและเจือไปด้วยความเศร้าสร้อยเล็กน้อย เซี่ยไห่หยางเงียบงันไปเมื่อได้ยิน หลังจากนั้นระยะหนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างอ่อนใจ


“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เจ้าพูดถูกต้อง ข้าทำเกินไปจริงๆ…ครั้งนี้ ข้าติดหนี้ท่านแล้ว”


“ลืมมันเสียเถิด เจ้าบอกว่าจะส่งของมาให้ข้า ข้าไม่ต้องการหรอก แต่เอาอย่างนี้เป็นไร…ตอนนี้ข้ามีปัญหาเล็กน้อย เจ้าอาจจะช่วยข้าเรื่องนี้แทนได้” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ในสายตาเขา ตัวเขาเองไม่ใช่คนใจแคบ หากเซี่ยไห่หยางเสียใจจริงๆ ก็คงไม่เหมาะที่จะพูดถึงเรื่องที่แล้วไปแล้ว กลับกัน หวังเป่าเล่อตัดสินใจพูดเรื่องปัญหาที่เขากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้แทน


ชายหนุ่มไม่ได้ซ่อนปัญหาจากเซี่ยไห่หยางแต่กลับบอกทุกอย่างออกไปตรงๆ ตัวตนของเขาถูกเปิดโปงเพราะเหตุการณ์ที่สุสานหลวง และตอนนี้ชายหนุ่มก็ถูกอารยธรรมครามทองคำหมายตาอยู่ พวกเขาวางกับดักรอหวังเป่าเล่อ แม้ว่าชายหนุ่มจะหนีเอาชีวิตรอดมาได้ แต่กลับต้องมาติดแหง็กอยู่ในอารยธรรมวิญญาณโลก


หวังเป่าเล่อยังเน้นย้ำอีกด้วยว่าขณะนี้ตนมีเวลาเหลือไม่มากแล้ว ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งอารยธรรมครามทองคำจะต้องหาตัวเขาพบและสังหารเขาในอีกไม่ช้า


แม้ว่าจะไม่ได้ปิดบังอะไรจากเซี่ยไห่หยาง หวังเป่าเล่อก็ดูจะเน้นรายละเอียดบางประการมากเป็นพิเศษและเล่าเชื่อมให้ทุกเรื่องดูเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ สุสานหลวง หวังเป่าเล่อไม่ได้แสดงความวิตกกังวลหรือตื่นตระหนกออกมาระหว่างการเล่า แต่เซี่ยไห่หยางก็รู้ทันทีหลังจากที่ฟังชายหนุ่มพูด หวังเป่าเล่อกำลังบอกใบ้ว่าเหตุการณ์ที่สุสานหลวงนั้นนำภัยใหม่ๆ มาสู่หวังเป่าเล่อ จะว่าให้ง่ายก็คือ หากเซี่ยไห่หยางรู้สึกผิดจริง ก็ต้องช่วยหวังเป่าเล่อแก้ไขวิกฤตที่เขากำลังเผชิญอยู่


เพราะการบอกเป็นนัยๆ ของหวังเป่าเล่อนี้เอง เซี่ยไห่หยางจึงไม่มีสิทธิ์ต่อรองใดๆ หรือตั้งราคาสำหรับความช่วยเหลือได้ ช่างเป็นการยากที่จะอธิบายถึงความชาญฉลาดที่แฝงอยู่ในถ้อยคำของหวังเป่าเล่อ คนฟังจำเป็นต้องใช้ความอาจหาญและจิตใจเพื่อที่จะรับรู้ถึงความสวยงามในถ้อยคำของชายหนุ่ม


เซี่ยไห่หยางยิ้มอย่างอ่อนใจอีกครั้ง ความชื่นชมและเคารพในตัวหวังเป่าเล่อเพิ่มสูงขึ้น ชายหนุ่มเชื่อว่าหวังเป่าเล่อผู้นี้มีโอกาสจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ฝึกตนที่ทรงพลังได้แน่


อันที่จริงแล้ว นี่เองเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเลือกขอโทษหวังเป่าเล่อหลังจากที่ทำการตกลงสามฝ่ายไป สัญชาตญาณบอกเซี่ยไห่หยางว่าหวังเป่าเล่อเป็นคนที่น่ามหัศจรรย์แถมยังมีสายป่านยาวนัก แม้จะมาจากพื้นฐานครอบครัวธรรมดา แต่เบื้องหลังม่านแห่งความธรรมดาสามัญนั้นซ่อนความลับที่แม้แต่เซี่ยไห่หยางก็ไม่อาจล่วงรู้ได้


ต่อให้ชายหนุ่มไม่สนใจเรื่องความลับของหวังเป่าเล่อ การที่ปรมาจารย์แห่งไฟอยากจะได้ตัวหวังเป่าเล่อไปเป็นศิษย์ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา สิ่งที่ทำให้อะไรๆ ยิ่งน่าทึ่งก็คือการที่หวังเป่าเล่อปฏิเสธข้อเสนอของปรมาจารย์แห่งไฟ ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะอยู่ในสถานการณ์อันตราย ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมติดต่อหาปรมาจารย์แห่งไฟมอบตนเป็นศิษย์กับอีกฝ่าย


ด้วยเหตุนี้…เซี่ยไห่หยางจึงเชื่อว่าหวังเป่าเล่อนั้นต้องได้รับการหนุนหลังจากใครสักคนที่แข็งแกร่งยิ่งและยังมีไพ่ตายเด็ดๆ ซุกซ่อนเอาไว้อีก


การคาดเดาของเซี่ยไห่หยางและข้อสรุปที่เขาคิดออกทำเอาชายหนุ่มนิ่งงันไป หลังจากนั้นชั่วขณะหนึ่ง เขาก็พูดออกมา


“การจะส่งเจ้ากลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นเรื่องง่ายดายสำหรับข้า ข้าสามารถเปิดสิทธิ์การเข้าถึงของข้าและละเว้นค่าธรรมเนียมการเคลื่อนย้ายในครั้งนี้ เจ้าจะถูกเคลื่อนย้ายไปยังตลาดที่ข้าสร้างฐานที่มั่นเอาไว้ ระยะทางในการเดินทางกลับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ของเจ้าคงจะสั้นลงไปมากทีเดียว


“การเคลื่อนย้ายเจ้าออกไปอาจจะเป็นเรื่องง่าย แต่…การทำลายผนึกภายในดารานิรันดร์ประดิษฐ์ของอารยธรรมครามทองคำดูเหมือนจะท้าทายอยู่สักหน่อย ดารานิรันดร์ประดิษฐ์ของพวกเขาอาจไม่ได้ล้ำยุคมากนัก แต่ก็ยังมีพลังของดารานิรันดร์อยู่…ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลเซี่ยเป็นตระกูลพ่อค้า การปฏิบัติตามกฎเป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับเรา พวกเราไม่สามารถใช้อำนาจเกินกว่าเหตุได้หากไม่มีความจำเป็น”


หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งที่เซี่ยไห่หยางพูด ชายหนุ่มกำลังจะอ้าปากตอบโต้แต่เซี่ยไห่หยางขัดขึ้นมาเสียก่อน ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ความคิดของเขา


“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้าไม่ได้กำลังจะคิดเงินกับเจ้า แต่ข้าต้องใช้เวลาเพื่อจะทำลายผนึกนี้…” เซี่ยไห่หยางนั่งอยู่ในตำหนักกลางตลาด แววครุ่นคิดปรากฏขึ้นบนดวงตาของเขาขณะที่พูด ชายหนุ่มกำลังคิดถึงขั้นตอนต่อไปและคิดว่าควรทำอย่างไรจึงจะสามารถแสดงความสามารถของตนเองพร้อมทั้งได้รับความเชื่อมั่นและความเคารพกลับมาจากหวังเป่าเล่อบ้าง


เซี่ยไห่หยางอาจปฏิบัติกับหวังเป่าเล่อฉันท์เพื่อน แต่หัวใจของเขาก็ยังเป็นนักธุรกิจอยู่ ทั้งคุณค่าที่เขามีต่อหวังเป่าเล่อหรือที่อีกฝ่ายมีต่อเขา ทั้งสองอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มต้องคำนึงถึงก่อนหน้ามิตรภาพ คุณค่าของหวังเป่าเล่อที่มีต่อเขาเป็นสาเหตุที่เซี่ยไห่หยางเลือกเก็บหวังเป่าเล่อเอาไว้ในฐานะเพื่อน เช่นเดียวกัน หวังเป่าเล่อเองก็คงอยากเก็บเซี่ยไห่หยางไว้เป็นเพื่อนมากขึ้นหากเขามีคุณค่า


ชายหนุ่มสามารถแก้ไขสถานการณ์ของหวังเป่าเล่อได้อย่างง่ายดาย สิ่งเดียวที่เขาต้องตัดสินใจก็คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำเช่นนั้น


มีประกายบางอย่างสะท้อนอยู่ในดวงตาของเซี่ยไห่หยางขณะที่ความคิดหลากหลายปรากฏขึ้นมาในใจเขา หลังจากนั้นริมฝีปากของชายหนุ่มก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนที่จะส่งข้อความเสียงออกไป


“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าธรรมเนียมการเคลื่อนย้ายแต่อย่างใด ครั้งนี้ข้าจะไม่คิดเงิน ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าทำลายผนึกเช่นกัน อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นพี่น้องกัน ข้าละค่าธรรมเนียมให้เจ้าได้อยู่แล้ว ขอเวลาข้าสองสัปดาห์ ข้าสัญญาว่าจะช่วยเจ้าทำลายผนึกนั้นให้จงได้!”


นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลงเมื่อได้ยินเซี่ยไห่หยางพูด ชายหนุ่มมีความรู้สึกว่ามีความหมายอีกชั้นหนึ่งอยู่ในคำพูดเหล่านั้น แต่เขาก็ไม่อาจบอกได้ว่ามันคืออะไร หวังเป่าเล่อจึงนิ่งเงียบรอให้เซี่ยไห่หยางพูดต่อไป


“แต่ศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้าคิดว่าสิ่งที่เจ้าต้องการตอนนี้ไม่ใช่วิธีการทำลายผนึกหรือการเคลื่อนย้ายออกไปแต่…คือสันติ!”


นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย เขาพูดออกมาเสียงเย็น


“ศิษย์น้องไห่หยาง เจ้า…หมายความว่ายังไง”


“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้าจะพูดตรงๆ กับเจ้า ข้าขายทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ รวมไปถึง…สันติด้วย!” เซี่ยไห่หยางยิ้ม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ


“สันติ เจ้าขายมันได้อย่างไร” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ชายหนุ่มดูไม่แน่ใจและเริ่มสงสัยว่าจะโดนเกลี้ยกล่อมให้ซื้อองครักษ์หรือไม่


“ข้าขายเหรียญตราสันติอย่างไรเล่า ท่านสามารถดูระยะเวลาที่เหลืออยู่ตามปฏิทินของสหพันธรัฐได้ด้วย เหรียญตราเหรียญหนึ่งอยู่ได้หนึ่งปี อธิบายให้ง่ายก็คือจะไม่มีใครกล้าสร้างปัญหาให้เจ้าหลังจากที่เจ้าซื้อเหรียญตราสันติ หากเจ้าพบศัตรู ก็แสดงเหรียญตราสันติให้พวกเขาเห็น แค่นั้นศัตรูก็จะหนีไปไกลหลายร้อยปีแสง พวกเขาอาจจะถึงขั้นทรุดตัวลงคุกเข่าร้องขอความเมตตาก็เป็นได้” เซี่ยไห่หยางอธิบายการทำงานของเหรียญตราสันติให้หวังเป่าเล่อฟัง การโฆษณาของเขาฟังดูน่าสนใจทีเดียว


หวังเป่าเล่อยังชั่งใจอยู่แม้หลังจากที่ได้ยินเซี่ยไห่หยางพูดแล้วก็ตาม จากนั้นชายหนุ่มจึงถามราคาของเหรียญตราออกไป สีหน้าแปลกแปร่งปรากฏบนใบหน้าของเขาหลังจากที่เซี่ยไห่หยางตอบ ในศีรษะของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยเสียงฝีเท้าของฝูงม้าย่ำกระเทือนลั่นทุ่ง หลังจากนั้นเพียงชั่วอึดใจ หวังเป่าเล่อก็ตัดสายเซี่ยไห่หยางโดยไม่พูดอะไรเลย


แผ่นหยกสื่อสารของเขาสั่นขึ้นมาในอีกอึดใจ เสียงหัวเราะอย่างอึดอัดของเซี่ยไห่หยางดังลอยออกมา


“เป่าเล่อ เป่าเล่อ ฟังข้าก่อน…”


“เจ้าหยุดพูดได้แล้ว ข้าจ่ายไม่ไหวหรอก!” หวังเป่าเล่อพูดอย่างเย็นชา


“เจ้าจะอารมณ์เสียทำไมอีกเล่า ข้ายังพูดไม่จบ อย่างไรเสียพวกเราเป็นพี่น้องกัน แถมเจ้ายังเป็นลูกค้าคนสำคัญของข้าอีกด้วย เอาอย่างนี้เป็นไร ข้าจะให้เหรียญตราเจ้าไปลองเป็นเวลาหนึ่งเดือน สันติเป็นเวลาหนึ่งเดือนแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย หากเจ้าพอใจกับสินค้าของข้าหลังช่วงทดลอง เจ้าก็สามารถซื้อสินค้าตัวจริงได้เลย เจ้าคิดว่าอย่างไร”


“เซี่ยไห่หยาง ทำไมข้าถึงได้กลิ่นไม่ดีเลย เจ้าแน่ใจหรือว่าเหรียญตราสันติของเจ้านั้นปลอดภัย” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ


“ข้าเป็นนักธุรกิจนะ ข้าต้องรับผิดชอบทุกๆ อย่างที่ข้าขาย เจ้าถือเหรียญตราเอาไว้เถิด แล้วเอาไปแสดงให้ศัตรูเห็นเมื่อเจอ ข้าสาบานว่าพวกมันจะต้องถอยกรูดไปหนึ่งร้อยปีแสงอย่างแน่นอน พวกที่ใจเสาะหน่อยก็อาจจะขาดใจตายคาที่ไปเลยก็เป็นได้!” มีเสียงตุ้บดังออกมาจากแผ่นหยก เซี่ยไห่หยางดูเหมือนจะยกมือขึ้นทุบอกเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้อีกฝ่าย


หวังเป่าเล่อไม่อยากคิดเรื่องนี้ให้มากความอีกต่อไป ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ต้องเสียเงินสักแดงเดียว อีกอย่างเขาก็ไม่ได้กังวลเรื่องเหรียญตรามากนัก ในใจของชายหนุ่มวุ่นวายอยู่กับเรื่องคำสัญญาของเซี่ยไห่หยางที่จะทำลายผนึกและเคลื่อนย้ายเขาออกไปมากกว่า หวังเป่าเล่อจึงพยักหน้าก่อนจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องทำลายผนึกกับเซี่ยไห่หยางแทน หลังจากที่สัญญาณเสียงจบลง ก็มีแสงสว่างส่องขึ้นมาจากแผ่นหยกสื่อสารในมือเขา รูปร่างหน้าตาของแผ่นหยกเปลี่ยนไปเป็นสีขาว มันยังคงเป็นแผ่นหยกอยู่เช่นเดิมเพียงแต่มีตัวอักขระตัวหนึ่งปรากฏขึ้นบนนั้น


อักขระนั้นไม่ได้เขียนด้วยภาษาซึ่งเป็นที่รู้จัก แต่มันทำให้มีคำว่า “สันติ” ปรากฏขึ้นในใจผู้ที่ได้พบเห็น


หวังเป่าเล่อจ้องมองเหรียญตราอยู่เป็นนานก่อนจะหรี่ตาลง ชายหนุ่มรู้สึกตกใจที่เซี่ยไห่หยางสามารถเปลี่ยนแผ่นหยกสื่อสารให้กลายเป็นเหรียญตราสันติได้อย่างง่ายดาย ในขณะเดียวกัน ศักยภาพอันล้นเหลือของอีกฝ่ายก็ทำให้ชายหนุ่มต้องชะงัก


หากเขามีพลังพอจะทำเช่นนี้ได้ แค่การทำลายผนึกก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากสำหรับเขา เขาพูดว่าต้องการเวลาสิบห้าวัน แต่นั่นคงเป็นเพียงข้ออ้าง…เซี่ยไห่หยางวางแผนจะมอบเหรียญตรานี้ให้ข้ามาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อจ้องไปยังเหรียญตรา ก่อนที่ประกายแสงหนึ่งจะปรากฏขึ้นในแววตา หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่อึดใจหนึ่ง ชายหนุ่มก็เก็บเหรียญตราไป จากนั้นก็มองไปยังผนึกที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า สุดท้ายแล้วหวังเป่าเล่อก็หันหลังเดินจากไป


มีความเป็นไปได้สูงว่าเซี่ยไห่หยางจงใจมอบเหรียญตรานี้ให้เขาตั้งแต่แรก หวังเป่าเล่อต้องรู้ให้ได้ว่าเจตนาที่แท้จริงของอีกฝ่ายคืออะไร


เขากำลังพยายามทำลายข้าอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหายตัวไปก่อนจะไปปรากฏอยู่ที่อีกตำแหน่งหนึ่งในอารยธรรมวิญญาณโลก เขาหยุดชะงักอยู่กลางคันเมื่อความคิดหนึ่งสว่างวาบขึ้นมาในใจ

 

 

 


บทที่ 890 เหรียญตราสันติ!

 

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มนึกย้อนกลับไปถึงบทสนทนาระหว่างตัวเขาและเซี่ยไห่หยางอย่างถี่ถ้วน จากนั้นพักใหญ่ ก็มีประกายแสงปรากฏขึ้นบนดวงตาของชายหนุ่ม เขานึกถึงคำพูดบางตอนของอีกฝ่ายขึ้นมาได้


เซี่ยไห่หยางพูดว่าตระกูลเซี่ยไม่สามารถใช้อำนาจสุ่มสี่สุ่มห้าได้โดยไม่มีเหตุผลอันควร… ตอนนั้นหวังเป่าเล่อคิดไปว่าเซี่ยไห่หยางคงกำลังเฉไฉ แต่ขณะนี้ หลังจากที่วิเคราะห์ไปบ้าง เขาก็ตระหนักได้ว่าการคาดเดาของเขาอาจจะถูกอยู่บ้าง


เขาพยายามจะทำลายผู้อาวุโสฝ่ายขวาหรือข้ากันแน่ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงและครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างหนัก ก่อนที่จู่ๆ จะหัวเราะออกมา จากนั้นจึงทรุดตัวลงนั่ง ปิดตาลงและเริ่มทำสมาธิ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ติดต่อไปทวงถามเซี่ยไห่หยางเรื่องการทำลายผนึกแต่อย่างใด


เซี่ยไห่หยางเองก็ไม่ได้ติดต่อเขากลับมาเช่นกัน ทั้งสองคนดูราวกับว่าจะตกลงกันได้อย่างเงียบงันและลืมเรื่องนี้ไปเสียสิ้น สิบวันผ่านไป ในวันที่สิบเอ็ด ดวงอาทิตย์ประดิษฐ์ที่ลอยคว้างอยู่บนฟ้าจู่ๆ ก็ส่องแสงสว่างจ้าขึ้นมาวาบหนึ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ชั่วขณะแห่งความผิดปกตินั้นคงอยู่เพียงชั่วครู่ และทุกๆ สิ่งก็กลับคืนสู่ภาวะปกติในพริบตา แต่ถึงอย่างนั้น หวังเป่าเล่อก็เปิดตาขึ้นมองจ้องไปยังดวงอาทิตย์


ในขณะเดียวกันนั้นเอง ภายในดารานิรันดร์ประดิษฐ์ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งนั่งอยู่ในบ่อวิญญาณและรักษาตนเองอยู่ก็ลืมตาขึ้นเช่นกัน มีรอยยิ้มฉาบพาดใบหน้า ชายชราค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ พลังปราณระดับดาวพระเคราะห์ไหลบ่าจากกายก่อนจะระเบิดออกมาอย่างปุบปับ อาการบาดเจ็บบนร่างหายไปหมดสิ้น อันที่จริงแล้ว ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสจะแข็งแกร่งกว่าเก่าเสียด้วยซ้ำ


ผู้อาวุโสฝ่ายขวารู้สึกมีกำลังใจเมื่อคิดได้เช่นนั้น ในขณะเดียวกัน ชายชราก็รู้สึกมั่นใจเรื่องโอกาสในการสังหารหวังเป่าเล่อ แม้ว่าการควานหาตัวชายหนุ่มจะไม่ได้คืบหน้าไปเท่าใดนัก แต่เขาก็รู้ถึงประสิทธิภาพของผู้ฝึกตนในอารยธรรมวิญญาณโลกดี ชายชราคงจะตกใจหากคนเหล่านั้นสามารถควานหาตัวหวังเป่าเล่อได้พบ


“หลงหนานจื่อ เวลาของเจ้าหมดแล้ว!” ผู้อาวุโสฝ่ายขวาพูดกับตัวเองอย่างภาคภูมิ ชายชราlihk’ผนึกฝ่ามือด้วยมือขวาแล้วชี้ไปยังที่ว่างข้างกาย ดารานิรันดร์ประดิษฐ์สั่นไหวเล็กน้อย ก่อนแผนที่ดวงดาวจะปรากฏขึ้นตรงหน้าชายชราในอึดใจต่อมา


แผนที่ดวงดาวแสดงให้เห็นพื้นที่ของอารยธรรมวิญญาณโลกทั้งหมดรวมถึงดาวเคราะห์ทุกดวงในอารยธรรมด้วย ทันทีที่มันปรากฏขึ้นตรงหน้าผู้อาวุโสฝ่ายขวา ดวงจิตเทพของเขาก็หลั่งไหลออกมาและเข้าไปในแผนที่ดวงดาวนั้น และด้วยความช่วยเหลือจากแผนที่ดวงดาว สัมผัสสวรรค์ของชายชราก็ไหลออกมาจากดารานิรันดร์ประดิษฐ์ มุ่งหน้าเข้าไปหาอารยธรรมวิญญาณโลก มันแพร่กระจายออกไปทั่วและครอบคลุมอารยธรรมเอาไว้ทั้งหมด


ดวงจิตเทพของผู้อาวุโสฝ่ายขวาปกคลุมอารยธรรมทั้งหมดภายในพริบตา มันเริ่มควานหาทั่วทุกดาวเคราะห์และทุกชีวิตในอารยธรรม เหมือนว่าสามารถมองทะลุผ่านทุกๆ สะเก็ดดาวหรือละอองฝุ่นในจักรวาลได้ ทว่า…เมื่อเวลาผ่านไปสีหน้าของผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากมั่นใจเป็นโกรธเกรี้ยวและขึงขัง ชายชราเริ่มมีใบหน้าเหยเก


ดวงจิตเทพของเขาครอบคลุมทั้งอารยธรรมวิญญาณโลกและสอดส่องทุกซอกทุกมุมถึงห้าครั้ง แต่ชายชราก็ไม่อาจจะหาหวังเป่าเล่อพบ!


เขามั่นใจมากว่าผนึกไม่ได้แตก แปลว่าหลงหนานจื่อไม่อาจหนีไปไหนได้ ชายหนุ่มยังติดอยู่ที่ไหนสักแห่งภายในอารยธรรมวิญญาณโลกแห่งนี้ การที่ชายชรายังหาเขาไม่พบก็แปลได้อย่างเดียวว่า หลงหนานจื่อผู้นี้…มีวิธีการหลบซ่อนตัวจากศัตรูได้อย่างไร้ที่ติ!


ชายชราคิดถูกแล้ว หวังเป่าเล่อสามารถปรับรัศมีของกายสารัตถะได้ดั่งใจนึก ต่อให้อยู่ในระดับดารานิรันดร์ ก็คงเป็นการยากยิ่งที่จะหาว่าชายหนุ่มซ่อนอยู่ที่ใด


อันที่จริงแล้ว ดวงจิตเทพของผู้อาวุโสฝ่ายขวากวาดผ่านยอดเขาที่หวังเป่าเล่อซ่อนตัวอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชายหนุ่มไม่ได้ตั้งใจหลบซ่อนด้วยซ้ำ แถมกำลังจ้องมองดวงอาทิตย์อยู่ด้วยสายตาไร้อารมณ์


แต่หวังเป่าเล่อเองก็รู้ดีว่า ไม่ว่ากายสารัตถะจะแข็งแกร่งเพียงใจ ตัวเขาเองตอนนี้ก็เสียเปรียบอย่างยิ่ง เพราะอย่างไรเสีย เขาก็ไม่ได้มาจากอารยธรรมวิญญาณโลก ไม่มีสิ่งใดในสัญญาณชีวิตของเขาเลยที่ผูกชายหนุ่มเข้ากับอารยธรรมแห่งนี้ อะไรๆ คงไม่เลวร้ายถึงเพียงนี้หากอารยธรรมวิญญาณโลกเป็นอารยธรรมทั่วๆ ไป หากเป็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็มั่นใจเขาคงซ่อนตัวได้อย่างไร้ที่ติแน่นอน


แต่เขาอยู่ในอารยธรรมที่มี…ดารานิรันดร์ประดิษฐ์ ชีวิตของผู้คนที่นี่และระดับปราณของพวกเขาถูกควบคุมโดยดารานิรันดร์ดวงนี้ อีกไม่ช้าผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ต้องควานหาตัวเขาพบเป็นแน่


เซี่ยไห่หยางเคยจะเล่นงานข้ามาก่อน…คราวนี้ข้าควรเชื่อเขาดีไหมนะ หวังเป่าเล่อถอนสายตาออกมาและเมินดวงจิตเทพของผู้อาวุโสฝ่ายขวาเสีย เขานึกไปถึงข้อตกลงที่ได้ทำไว้กับเซี่ยไห่หยาง


ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังคิดหนัก ผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็เกรี้ยวกราดขึ้นทุกที หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ชายชราก็พ่นลมออกมาทางจมูก สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะยกสองมือเพื่อสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ เขาบ้วนเอาสารัตถะของตนออกมากองหนึ่งและนำไปผสานกับแผนที่ดวงดาว เพื่อเพิ่มพลังของดารานิรันดร์ประดิษฐ์จนถึงจุดสูงสุดจะได้ค้นหาอย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น!


ชายชรารู้ว่าหลงหนานจื่อต้องมีวิธีเฉพาะตัวในการหลบการค้นหาของเขาแน่ แต่เรื่องนั้นก็ไม่สำคัญแต่อย่างใด ผู้อาวุโสอาจจะหาหลงหนานจื่อไม่พบ แต่เขาก็สามารถระบุตำแหน่งของทุกสรรพสิ่งในอารยธรรมวิญญาณโลกแห่งนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือดินหินแม่น้ำใดๆ ก็ตามแต่


หากจะว่าไป ดารานิรันดร์ที่อารยธรรมครามทองคำหลอมขึ้นมาก็คล้ายวิญญาณวุธที่มีทั้งสติปัญญาและชีวิต มันเหมือนคอมพิวเตอร์อัจฉริยะของสหพันธรัฐ ทุกสรรพสิ่งในอารยธรรมวิญญาณโลกถูกบันทึกไว้ในหน่วยความจำของดารานิรันดร์ จากนั้นจึงนำมาเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับชีวิตอื่นๆ และสร้างขึ้นเป็นจารึกที่มองไม่เห็นของบุคคลนั้นๆ


ด้วยเหตุนี้…อารยธรรมวิญญาณโลกก็เป็นเหมือนภาพวาดภาพหนึ่งในสายตาของผู้อาวุโสฝ่ายขวา ชายชราสามารถหยุดทุกอย่างภายในภาพวาดด้วยการดีดนิ้วเพียงครั้งเดียว และในอึดใจต่อมา ก็กวาดตามองผ่านทุกๆ สรรพชีวิตในภาพวาดนั้น จ้องมองจนหายสงสัย อะไรก็ตามที่ไม่เข้าพวกจะเด่นชัดขึ้นมาทันที


การจะหาจุดหมึกบนกระดาษสีดำอาจดูเป็นงานที่เป็นไปไม่ได้ แต่หากเปลี่ยนกระดาษเป็นสีขาว จุดหมึกนั้นจะชัดเจนขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


ดังนั้นมันจึงไม่สำคัญเลยว่าหวังเป่าเล่อจะซ่อนตัวได้ดีเพียงใด เพราะชายหนุ่มไม่อาจซุกซ่อนความเป็นต่างดาวในตัวได้!


การใช้ดารานิรันดร์ประดิษฐ์ในการค้นหาเช่นนี้กินเอากายสารัตถะของผู้อาวุโสฝ่ายขวาไปส่วนหนึ่ง แต่ก็ได้ผลลัพธ์ดีเยี่ยม อึดใจถัดมา ผู้อาวุโสก็เห็นว่าแสงแทบทุกดวงบนแผนที่ดวงดาวดับมืดลงไป เหลือเพียงจุดแสงหนึ่งเดียวที่ยังส่องสว่าง


“หลงหนานจื่อ!” ผู้อาวุโสฝ่ายขวาระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วอันตรธานหายไป


หวังเป่าเล่อ ผู้ที่นั่งอยู่บนยอดเขานั้น จู่ๆ ก็กระโจนถอยหลังไปปรากฏตัวอยู่ไกลออกไปสามกิโลเมตรแทบจะในทันที ฉับพลันที่ชายหนุ่มโผล่ขึ้นมาตรงสถานที่แห่งใหม่ พลังอันมหาศาลก็พวยพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ก่อตัวขึ้นเป็นแท่งแสงที่กว้างร่วมสามกิโลเมตร ก่อนจะระเบิดจุดที่หวังเป่าเล่อนั่งอยู่เมื่อครู่


ภายในพริบตาเดียว ยอดเขาที่อยู่ห่างออกไปหายกิโลเมตรก็สลายกลายเป็นฝุ่นและจางหายไปอย่างไร้ร่องรอย…


ผู้อาวุโสฝ่ายขวามาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ ชายชราก้มหน้ามองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาเย้ยหยันก่อนจะพูดออกมาอย่างเนิบๆ


“หลงหนานจื่อ มีอะไรจะพูดก่อนตายไหม”


ดวงอาทิตย์ประดิษฐ์ที่ลอยอยู่เบื้องหลังเขาจู่ๆ ก็ส่องสว่างวาบขึ้นมา ก่อนจะแปรสภาพเป็นแรงกดดันที่ปกคลุมทั้งบริเวณเอาไว้ สัญญาณเตือนภัยดังลั่นอยู่ในศีรษะของหวังเป่าเล่อ แต่กลับไม่มีร่องรอยความกลัวหรือตื่นตกใจปรากฏบนใบหน้าเขาเลย กลับกัน สีหน้าแปลกประหลาดฉายขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นจ้องผู้อาวุโสฝ่ายขวา ไม่ได้ตอบคำถามที่แสดงความมั่นใจในการสังหารหวังเป่าเล่อของอีกฝ่าย  กลับกัน ชายหนุ่มกระแอมกระไอขึเนมา ก่อนจะดึงแผ่นหยกสีขาวโพลนออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บแล้วชูขึ้นในอากาศ


“ผู้อาวุโสฝ่ายขวา เจ้าเห็นเหรียญตรานี้ของข้าหรือไม่ รีบคุกเข่าคำนับท่านบิดาของเจ้า แล้วก็ไสหัวไปไกลๆ หลายร้อยปีแสงเดี๋ยวนี้เลย!”


ผู้อาวุโสฝ่ายขวาชะงัก ความหยิ่งยโสในน้ำเสียงของหวังเป่าเล่อทำให้เลือดของชายชราเดือดพล่านด้วยแรงโทสะ นัยน์ตาของเขากวาดมาหยุดที่เหรียญตรา และเห็นตัวอักขระทันที คำว่า “สันติ” ปรากฏขึ้นในใจอย่างฉับพลัน


“สิ่งนี้คือ…” ผู้อาวุโสชะงักอยู่กลางอากาศ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที ชายชราไม่เคยเห็นเหรียญตรานี้ แต่ก็เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน ลมหายใจของเขาติดขัด แล้วจู่ๆ ก็จำได้ขึ้นมา ภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเหรียญตราสันติที่ออกโดยตระกูลโบราณอันยิ่งใหญ่อย่างตระกูลเซี่ย


ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถล่วงเกินผู้ถือเหรียญตราดังกล่าวได้ หากละเมิดกฎข้อนี้…ก็จะต้องเป็นศัตรูกับตระกูลเซี่ยไปโดยปริยาย!


ทว่า…ตระกูลเซี่ยเป็นตระกูลที่ใหญ่โตนัก หากเปรียบเทียบตระกูลเซี่ยเป็นดวงอาทิตย์ อารยธรรมครามทองคำก็คงเป็นดาวเคราะห์เล็กจ้อยดวงหนึ่ง และผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่ต่างอะไรจากเศษฝุ่น


ความแตกต่างของอำนาจก่อให้เกิดความกลัวและความยำเกรง อีกทั้งยังทำให้ตระกูลเซี่ยดูเหมือนเป็นสิ่งที่อยู่ห่างไกล ระยะห่างนั้นทำให้พวกเขาเหมือนไม่มีอยู่จริง จนบางคนก็เกิดยั้งใจไม่อยู่ขึ้นมา


และในสถานที่ห่างไกลเช่นอารยธรรมวิญญาณโลกแห่งนี้ ความคิดดังกล่าวก็ยิ่งจริงเข้าไปใหญ่ การจะหยุดไล่ล่าแล้วถอยออกไปหนึ่งร้อยปีแสงนั้น…ผู้อาวุโสฝ่ายขวาไม่อาจบังคับใจตนเองให้ยอมทำตามได้!


หลังจากที่ขัดแย้งในใจอยู่พักใหญ่ จิตสังหารของผู้อาวุโสก็ปะทุขึ้นมา ก่อนที่เขาจะคำรามลั่น


“ลูกไม้ตื้นๆ ข้าไม่รู้จักไอ้ของที่เจ้าถืออยู่แม้แต่น้อย!” ผู้อาวุโสพูดจบก็ปล่อยพลังปราณทั้งหมดออกมา ร่างเขาแปรสภาพเป็นพายุหมุนน่าสะพรึงกลัวที่พุ่งสูงขึ้นไปในอากาศแล้วตรงเข้าใส่หวังเป่าเล่ออย่างรุนแรง!

 

 

 


บทที่ 891 เหตุผลของการจู่โจม!

 

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ด้วยสถานะปัจจุบันนั้นชายหนุ่มไม่ควรปะทะกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ เพราะฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ที่เป็นไพ่ตายของเขาถูกทำลายไปแล้ว แถมเกราะมหาจักรพรรดิตอนนี้ก็ไร้ซึ่งพลังวิญญาณ เขารีบถอยอย่างรวดเร็วเมื่อผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พุ่งเข้ามาใส่ ทิ้งภาพติดตาเอาไว้เบื้องหลัง


นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายขณะที่ล่าถอย และผู้อาวุโสฝ่ายขวาไล่ตามมา ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือ ตัวอักขระจำนวนมหาศาลปรากฏขึ้นมาบนพื้นในรัศมีร่วมร้อยเมตร ก่อนที่พวกมันจะระเบิดแปรสภาพเป็นใบมีดจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโส


ใบมีดเหล่านี้พุ่งเข้าใส่ชายชราราวกับเป็นห่าฝนจากพายุคลั่ง แม้จะไม่สามารถทำให้ผู้อาวุโสบาดเจ็บได้ แต่ก็ยังเป็นอุปสรรคซึ่งทำให้เขาเคลื่อนที่ได้ช้าลง!


ท้องฟ้าส่งเสียงคำรามดังลั่นจนผู้อาวุโสฝ่ายขวามีสีหน้าเครียดขึง ชายชราขยับมือทั้งสองเข้าหากันเป็นผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ลำแสงสีรุ้งปะทะออกมาจากกาย การปะทุออกมาแต่ละครั้งทำเอาท้องฟ้าสั่นไหว ก่อนจะทำลายใบมีดที่พุ่งเข้ามาหาเขาจนกลายเป็นผงไปในพริบตา


ระหว่างนี้ หวังเป่าเล่อก็ฉวยโอกาสเร่งความเร็วเต็มฝีเท้า เขาถอยห่างออกไปไกลร่วม 15 กิโลเมตร มีประกายเย็นยะเยือกสะท้อนอยู่ในแววตาเมื่อชายหนุ่มใช้ผนึกฝ่ามืออีกครั้งก่อนจะชี้ลงดิน


แผ่นดินในรัศมี 15 กิโลเมตรจากกายของชายหนุ่มเริ่มสั่นไหวรุนแรง มีลำแสงพวยพุ่งขึ้นสู่เบื้องบน แปรสภาพให้บริเวณนั้นกลายเป็นทะเลแห่งแสง เป็นอีกครั้งที่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาถูกวงแหวนปราณเข้ามาชะลอความเร็ว


วงแหวนปราณเหล่านี้…หวังเป่าเล่อหลอมขึ้นมาในระยะเวลาสองสัปดาห์ที่เขาทำสมาธิอยู่ ในช่วงระยะเวลานั้น ชายหนุ่มอาจดูเหมือนนิ่งดูดาย แต่ด้วยความเป็นตัวเขา หวังเป่าเล่อจึงไม่อาจฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเหรียญตราของเซี่ยไห่หยางได้ ชายหนุ่มเตรียมตัวอย่างหนักเพื่อที่จะเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสฝ่ายขวา


อันที่จริงแล้ว หากผู้อาวุโสฝ่ายขวาไม่ได้ทำลายทุกสิ่งในระยะสามกิโลเมตรรอบกายด้วยพลังเทพตั้งแต่แรกที่มาถึง วงแหวนปราณของหวังเป่าเล่อคงปลดปล่อยพลังออกมาได้มากกว่านี้ แต่ก็ไม่สลักสำคัญอะไรนัก เพราะชายหนุ่มมีเวลามากพอที่จะวางกับดักเอาไว้!


วงแหวนปราณจำนวนมากนั้นมาจากเจ้าเยี่ยเหมิง เมื่อนำมารวมกับพลังปราณของหวังเป่าเล่อ พลังของวงแหวนปราณเหล่านี้ก็ถูกปลดปล่อยออกมาจนถึงขีดสุด


ขณะที่ชายหนุ่มล่าถอยไปนั้น เขาก็สร้างผนึกฝ่ามือจำนวนมากก่อนชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า หมู่เมฆแปรเปลี่ยนไปในทันใด เมฆดำครึ้มมารวมตัวกัน สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาราวกับมีตัวล่ออยู่บนดิน แผ่นดินบริเวณนั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นทะเลสายฟ้าในทันใด


หวังเป่าเล่อไม่ได้หยุดดูผลลัพธ์ของการเรียกลมฟ้าในครั้งนี้ ไม่ได้หยุดล่าถอยเช่นกัน ชายหนุ่มถอยออกมาอีกร่วมร้อยเมตร จากนั้นจึงสร้างผนึกฝ่ามืออีกครั้งก่อนจะชี้ลงไปบนแผ่นดิน เปิดเรียกใช้วงแหวนปราณอีกชุดหนึ่ง พร้อมส่งดวงจิตเทพเข้าไปยังเหรียญตราสันติ เขาตรวจสอบเหรียญตราไปก่อนหน้านั้นแล้ว แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่อาจเข้าใจวิธีการทำงานของมัน แต่ก็พอจะสรุปได้ว่าเหรียญตราหยกนี้สามารถใช้สื่อสารได้เช่นกัน


“เซี่ยไห่หยาง นี่มันเหรียญตราสันติบ้าบออะไรกัน ไร้ประโยชน์สิ้นดี ตอนนี้ข้าถูกศัตรูไล่ตามอยู่ เขาบอกว่าไม่รู้จักเหรียญตรานี้แม้แต่น้อย!” สีหน้าของหวังเป่าเล่อเรียบเฉยแม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะฟังดูเอะอะและเปี่ยมโทสะ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ส่งเสียงคำรามมาไกลๆ มีแสงสีรุ้งกระจายออกมาจากกายขณะที่ชายชราพุ่งผ่านทะเลสายฟ้า ลำแสง และพายุใบมีดมาหาหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มสร้างผนึกฝ่ามืออีกชุดหนึ่งเพื่อเรียกภูเขาให้พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินจนตั้งตระหง่านสูงล้ำราวกับเป็นบันไดสู่สรวงสวรรค์ เป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาเข้าถึงตัวหวังเป่าเล่อได้อีกครั้ง


“หลงหนานจื่อ!” ประกายอาฆาตสะท้อนอยู่ในดวงตาของผู้อาวุโสฝ่ายขวา ชายชรารู้สึกกดดันขึ้นมากหลังจากที่หวังเป่าเล่อหยิบเหรียญตราสันติออกมา เขาร้องโหยหวนเพราะจิตสังหารที่เข้มข้นเต็มล้นอยู่ในใจ ดวงอาทิตย์จู่ๆ ก็ส่องแสงเจิดจ้าขึ้น ลำแสงหนึ่งพวยพุ่งลงมาจากฟ้าตรงไปหาหวังเป่าเล่อ


หวังเป่าเล่อมีสีหน้าตื่นตกใจขึ้นมาทันที ชายหนุ่มถอยหนีอย่างรวดเร็วและหลบการโจมตีไปได้อย่างฉิวเฉียด ผู้อาวุโสฝ่ายขวาถึงยกฝ่ามือทั้งสองขึ้นตบหน้าผาก ทันใดนั้นก็มีเสียงหอนกราดเกรี้ยวที่ราวกับว่าดังมาจากยมโลกพวยพุ่งไปถึงสรวงสวรรค์ สุนัขป่าสีชาดตัวเขื่องปรากฏขึ้นมาด้านหลังชายชรา มันเข้าผสานรวมกับกายผู้อาวุโสฝ่ายขวาก่อนพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อทันที


ร่างของผู้อาวุโสฝ่ายขวาดูเหมือนเสาแสงสีแดงฉานจากที่ไกลๆ ซึ่งพุ่งเข้ามาใส่อย่างเกรี้ยวโกรธและคั่งแค้น


กำแพงขุนเขาที่พุ่งขึ้นมาจากพื้นดินแทบจะหยุดการเคลื่อนที่ของผู้อาวุโสร่างสุนัขป่าไม่ไหว ศิลาแข็งแกร่งก้อนเขื่องแตกสลายกลายเป็นผุยผง หวังเป่าเล่อยังคงหนีเต็มความเร็ว พลางใช้ผนึกฝ่ามือระเบิดวงแหวนปราณที่สร้างขึ้นมา แต่ก็ไร้ผล ผู้อาวุโสฝ่ายขวาไล่ตามเขาทันในอีกอึดใจต่อมา ก่อนจะอ้าขากรรไกรออกกว้าง พร้อมจะกลืนกินหวังเป่าเล่อเข้าไปทั้งตัว


“ตาย!”


“เซี่ยไห่หยาง!” หวังเป่าเล่อมีสีหน้าตกใจสุดขีดตอนที่ตะโกนเรียกชื่อนี้เข้าไปในเหรียญตราสันติ เหมือนว่าการตะโกนนั้นจะได้ผล หรืออาจเป็นเพราะกลไกบางอย่างในเหรียญตราสันติถูกเปิดขึ้นมา มีแสงสว่างส่องประกายเจิดจ้าออกมาจากเหรียญตรานั้นก่อนที่ผู้อาวุโสจะกลืนกินหวังเป่าเล่อเข้าไป แสงนั้นกระจายออกมา คลุมร่างหวังเป่าเล่อเอาไว้และแปรสภาพชายหนุ่มให้เป็นดวงไฟขนาดใหญ่!


กรามสุนัขป่าสีชาดของผู้อาวุโสฝ่ายขวาปิดลงในวินาทีที่ดวงไฟนั้นปรากฏขึ้น มีเสียงเปรียะดังสะท้อนในอากาศ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด


ผู้ที่สลายกลายเป็นผงไม่ใช่หวังเป่าเล่อ… แต่เป็นสุนัขป่าสีชาดที่ผู้อาวุโสรวมร่างด้วยเมื่อครู่ กรามของมันแตกสลาย ราวกับว่ากัดถูกก้อนหินแข็งที่ไม่อาจกัดเข้าได้ เขี้ยวก็แตกหัก ส่วนกรามล่างเปิดออก ร่างสุนัขป่าของผู้อาวุโสเลือนหายไปกลับมาเป็นร่างมนุษย์อีกครั้ง ผู้อาวุโสในขณะนี้มีสีหน้าตกตะลึงก่อนจะล่าถอยอย่างเร่งรีบ


ผู้อาวุโสฝ่ายขวาหยุดเมื่อถอยออกไปราวสามกิโลเมตรจากบริเวณที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่ สีหน้าของชายชราซีดขาว มีเลือดไหลออกมาจากปาก เปลวไฟเผาไหม้อยู่ในแววตาขณะที่เขาจ้องมองไปยังดวงไฟและหวังเป่าเล่อที่อยู่ภายในตาไม่กะพริบ


ผู้อาวุโสฝ่ายขวาพุ่งเข้ามาอีกครั้ง มุ่งตรงไปยังลูกไฟก่อนจะใช้ไพ่ตาย แสงสีรุ้งกระจายขึ้นส่องสว่างทั่วท้องฟ้าและส่งเสียงคำรามดังสะท้อนลั่นไปทั่ว ดวงไฟสุกสว่างนั้นไม่สะทกสะท้านแม้สักนิด กลับกัน ผู้อาวุโสฝ่ายขวาตัวสั่นไม่หยุดเพราะแรงสะท้อนกลับจากการโจมตีของตนเอง ก่อนจะบ้วนเอาเลือดออกมากองใหญ่ ท้ายที่สุด ชายชราก็ตัดสินใจทุ่มเททุกสิ่งที่มี เขาใช้พลังของดวงอาทิตย์อีกครั้ง มีลำแสงพุ่งลงมาจากฟากฟ้า แต่การโจมตีนั้นก็ไร้ผลต่อหน้าดวงไฟสุกสว่าง


ผู้อาวุโสฝ่ายขวาใกล้จะเสียสติเต็มทน ดวงตาทั้งคู่ของเขาแดงฉานขึ้นมาทันตา


ภายในดวงไฟสุกสว่างนั้น หวังเป่าเล่อเหมือนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ชายหนุ่มมองออกจากกำแพงของดวงไฟนั้นไปยังผู้อาวุโสฝ่ายขวา ก่อนจะหยิบเหรียญตราสันติขึ้นมาตะโกนเข้าไปทั้งๆ ที่อีกฝ่ายยังจ้องมองอยู่


“เซี่ยไห่หยาง!”


ครั้งนี้ มีเสียงของเซี่ยไห่หยางดังขึ้นจากเหรียญตรา สะท้อนก้องอยู่ในศีรษะของหวังเป่าเล่อ


“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้าจะรีบจัดการเรื่องนี้และให้คำตอบเจ้าโดยเร็ว ฮืม…การเมินเหรียญตราสันติของตระกูลเซี่ยก็เท่ากับเป็นการท้าทายอำนาจของพวกเรา!” คำพูดของเซี่ยไห่หยางแฝงความเหี้ยมเกรียมเอาไว้ ประกายแสงสะท้อนขึ้นในดวงตาของหวังเป่าเล่อเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ชายหนุ่มจบบทสนทนาลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกดวงไฟ ผู้อาวุโสฝ่ายขวามีสีหน้าโกรธเกรี้ยว หวังเป่าเล่อแสยะยิ้มใส่เขา


ผู้อาวุโสฝ่ายขวาโมโหเป็นอย่างยิ่ง ชายชราไม่รู้เลยว่าเหตุใดถึงได้เกิดอะไรเช่นนี้ขึ้นกับเขา ทำไมการจะฆ่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะสักคนถึงได้ยากเย็นขนาดนี้ ผู้อาวุโสอาจอธิบายได้ว่า ความผิดพลาดคราวก่อนของเขาเป็นเพราะพวกเขายังอยู่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในอาณาเขตของอารยธรรมครามทองทำ ถึงกระนั้น อุปสรรคขวากหนามก็ยังแน่นหนา การปรากฏขึ้นของเหรียญตราสันติในตำนานทำให้ผู้อาวุโสกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง ชายชรายิ่งกระวนกระวายขึ้นอีกหลังจากที่เห็นหวังเป่าเล่อส่งข้อความเสียงผ่านเหรียญตราหยกออกไปขณะที่อยู่ในดวงไฟ


ความวิตกกังวลและหงุดหงิดพุ่งสูงขึ้นในใจผู้อาวุโสจนอดรนทนไม่ได้ ชายชราคำรามออกมา ก่อนจะหันไปมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาอาฆาต และหันหลังกระโดดหนีขึ้นไปบนท้องฟ้าชนิดไม่มีปี่มีขลุ่ย มุ่งหน้ากลับไปยังดารานิรันดร์ประดิษฐ์


ชายชราตัดสินใจแล้ว เขาจะกลับไปยังดารานิรันดร์ประดิษฐ์และใช้พลังของมันติดต่อไปยังปรมาจารย์ระดับดารานิรันดร์ของอารยธรรมตัวเอง แม้ว่าการทำเช่นนั้นจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และแสดงความอ่อนแอของตัวเขาเองออกไป แต่ชายชราไม่อาจรับมือกับความเครียดที่กำลังเผชิญอยู่ได้อีกแล้ว เขาสัมผัสได้ถึงหายนะที่กำลังจะมาเยือน และความรู้สึกนั้นก็ทำให้ท้องไส้ของผู้อาวุโสฝ่ายขวาปั่นป่วน


ข้าจะเลิกเล่นเกมบ้าบอนี่แล้วกลับไปยังอารยธรรมครามทองคำ ใครอยากจะสังหารหลงหนานจื่อก็มาทำเอาเองเถอะ! ผู้อาวุโสฝ่ายขวาคิดอย่างโกรธเกรี้ยวขณะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วหายไปจากคลองจักษุของหวังเป่าเล่อ


ภายในดวงไฟที่สุกสว่าง หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปยังผู้อาวุโสฝ่ายขวาที่กำลังเคลื่อนที่ห่างออกไป ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย


ดูเหมือนว่าเซี่ยไห่หยางกำลังพยายามจะทำลายชีวิตใครสักคน แต่ไม่ใช่ข้า เขากำลังพยายามทำลายผู้อาวุโสฝ่ายขวา…หากเจ้านั่นยอมแพ้แก่อำนาจของเหรียญตราสันติตั้งแต่แรก ข้าก็คงไม่ต้องลำบากถึงเพียงนี้ แต่ความจริงที่ว่าเรื่องคลี่คลายได้ง่ายถึงเพียงนี้ ก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงอำนาจของเซี่ยไห่หยาง หมอนั่นพยายามโอ้อวดอยู่หรืออย่างไรกัน สีหน้าของชายหนุ่มดูเหมือนกำลังครุ่นคิด


แต่ถึงอย่างนั้น หากผู้อาวุโสฝ่ายขวาไม่ยอมก้มศีรษะให้อำนาจของเหรียญตรา เซี่ยไห่หยางก็มีเหตุผลที่จะก้าวเข้ามา เขายังสามารถอวดเบ่งได้อยู่! ความคิดเหล่านี้ไหลผ่านศีรษะของหวังเป่าเล่อไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นโบก มีหมอกกลุ่มหนึ่งลอยออกมาจากเรือบินรบเวทภายในกระเป๋าคลังเก็บ ก่อนจะรวมตัวและควบแน่นกันกลายเป็น…หวังเป่าเล่ออีกคนหนึ่ง!

 

 

 


บทที่ 892 เซี่ยไห่หยางโจมตี!

 

ระวังตัวไว้ก่อนดีกว่า! ร่างของหวังเป่าเล่อที่เพิ่งโผล่มานั้นคือกายสารัตถะที่แท้จริงของชายหนุ่ม เขาไม่เชื่อใจเซี่ยไห่หยางเต็มร้อย เป็นเหตุให้ต้องเรียกใช้ร่างอวตารที่สองก่อนจะเก็บกายสารัตถะที่แท้จริงเอาไว้ในกระเป๋าคลังเก็บ


ชายหนุ่มเลือกเก็บร่างที่แท้จริงเอาไว้ในกระเป๋าคลังเก็บแทนที่จะเอาไปซ่อนในที่ไกลๆ หากศัตรูไปค้นหาเขาในบริเวณรอบข้าง ก็จะพบร่างตัวล่อไม่ใช่ร่างจริงที่อยู่ในกระเป๋าคลังเก็บ


คล้ายๆ การนำดวงไฟสองดวงมาซ้อนกันเอาไว้ ดวงไฟดวงแรกย่อมต้องบดบังการมีอยู่ของอีกดวงเอาไว้ อันที่จริงแล้ว หวังเป่าเล่อทำถึงขนาดปล่อยสารัตถะครึ่งหนึ่งเข้าไปในร่างตัวล่อเพื่อจะได้ดูสมจริงยิ่งขึ้น แน่นอนว่า ร่างนั้นก็ต้องแข็งแกร่งเอาการเช่นกัน


แน่นอนว่า แผนของเขาไม่ใช่ว่าไร้ช่องโหว่ หากอีกฝ่ายเข้ามาดูใกล้ๆ ก็คงสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล


เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาอ่านแผนการของเขาออก หวังเป่าเล่อต้องหยิบเหรียญตราสันติออกมาเพื่อดึงความสนใจของอีกฝ่าย ชายหนุ่มหนีเพื่อจะล่อให้ผู้อาวุโสไล่ตาม จากนั้นจึงใช้วงแหวนปราณเพื่อให้ผู้อาวุโสไม่ทันได้สนใจเรื่องความสมจริงของร่างกายเขา นี่เป็นวิธีที่ชายหนุ่มแอบซ่อนร่างจริงเอาไว้ตลอดการต่อสู้ในครั้งนี้


ตามแผนการตั้งต้น หากร่างตัวล่อต้องตายในระหว่างการต่อสู้ ชายหนุ่มก็คิดไว้แล้วว่า ผู้อาวุโสต้องมาค้นดูกระเป๋าคลังเก็บของเขาแน่นอน หวังเป่าเล่อก็จะใช้โอกาสนั้นลอบโจมตีผู้อาวุโสฝ่ายขวาอย่างฉับพลัน


ความแตกต่างเรื่องระดับปราณของทั้งคู่ทำให้หวังเป่าเล่อไม่สามารถสังหารผู้อาวุโสฝ่ายขวาได้ด้วยการลอบโจมตีอย่างฉับพลันของเขา ถึงกระนั้น ชายหนุ่มก็หวังเพียงจะทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บเพื่อสร้างโอกาสหลบหนี เขาจะได้มีเวลามากขึ้น!


นี่คือแผนตั้งต้นของหวังเป่าเล่อ ต่อให้เหรียญตราสันติของเซี่ยไห่หยางไม่ทำงานก็ไม่ใช่ปัญหา ชายหนุ่มยังสร้างสถานการณ์ให้ตัวเองได้เปรียบได้อยู่ดี


แต่การเตรียมการเหล่านั้นไม่มีความหมายอีกต่อไป


หลังปรากฏตัวออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้น ร่างตัวล่อสลายกลายเป็นหมอกและไหลเข้ารวมกับกายสารัตถะของเขา สิ่งของต่างๆ ที่ชายหนุ่มเก็บไว้ในกระเป๋าคลังเก็บลอยออกมาสวมใส่ให้เขาโดยอัตโนมัติ


“เซี่ยไห่หยาง ไหนๆ เจ้าก็วางแผนจะแสดงความสามารถให้ข้าดูอยู่แล้ว ข้าจะรอฟังข่าวดีก็แล้วกัน!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง เขานั่งลงและรอคอยอย่างเงียบงัน


ชายหนุ่มไม่ต้องรอนานนัก…ทันทีที่เขาทรุดตัวลงนั่ง ผู้อาวุโสฝ่ายขวาที่ออกตัวมุ่งหน้าไปยังอวกาศก็เพิ่งกลับมาถึงดารานิรันดร์ประดิษฐ์ ก่อนที่ชายชราจะได้ติดต่อกับปรมาจารย์ผ่านพลังของดารานิรันดร์ประดิษฐ์ คลื่นพลังการเคลื่อนย้ายจำนวนมากที่เขาไม่ได้เป็นคนสั่งก็ปรากฏขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย


ผู้อาวุโสฝ่ายขวามีสีหน้าตื่นตกใจ ก่อนจะล่าถอยอย่างรวดเร็ว มีความระแวดระวังและหวาดกลัวปรากฏขึ้นในแววตา ความระแวดระวังนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตะลึงในอึดใจต่อมา ชายชราเฝ้ามองขณะที่คลื่นพลังเคลื่อนย้ายสั่นกระเพื่อมอยู่ในความว่างเปล่าตรงหน้า บุรุษผู้หนึ่งสืบเท้าออกมาจากประตูเคลื่อนย้ายช้าๆ


ชายคนนั้นมีผมสั้นและยังอยู่ในวัยเยาว์ ตัวสูงมาตรฐาน ผมบนศีรษะนั้นเห็นได้ชัดว่าถูกจัดแต่งด้วยน้ำมันจำนวนมาก เพราะทรงผมนั้นสะท้อนแสงเจิดจรัสเสียจนดูเหมือนเป็นที่มาของแสงเสียเอง มันดึงดูดสายตาทุกคู่ให้จับจ้องไปอย่างสุดจะควบคุม


ชายหนุ่มจ้องมองไปรอบๆ หลังเดินออกมาจากประตูเคลื่อนย้าย จนกระทั่งสายตาของเขามาหยุดอยู่ที่ผู้อาวุโสฝ่ายขวา ที่ตอนนี้มีสีหน้าตื่นกลัวและตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด


“สวัสดี!”


“เจ้าเป็นใคร” ผู้อาวุโสฝ่ายขวาเริ่มหายใจรัวเร็ว ชายชราสัมผัสได้ว่าชายผู้นั้นอยู่เพียงขั้นบำรุงชีพจร ยังไม่บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นด้วยซ้ำไป แต่ชายชราก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว ไม่สมเหตุสมผลสักนิดที่ผู้ฝึกตนขั้นบำรุงชีพจรจะเคลื่อนย้ายตนเองได้


ผู้อาวุโสเชื่อว่าตนรู้ว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงมีรูปลักษณ์เช่นนั้น แต่เขาไม่อยากเชื่อ เขาไม่กล้าที่จะเชื่อตนเอง


เซี่ยไห่หยางดูเหมือนจะมองไม่เห็นความกลัวในแววตาของผู้อาวุโสฝ่ายขวา ชายหนุ่มยิ้มออกมาน้อยๆ และเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ฟังดูราวกับเป็นนักธุรกิจที่กำลังพยายามขายสินค้า


“เซี่ยไห่หยางพร้อมให้บริการ สหายร่วมสำนักเต๋า ท่านอยากมาเป็นลูกค้าคนสำคัญของตระกูลเซี่ยหรือไม่ ท่านแค่จ่ายค่าธรรมเนียมก็สามารถมาเข้าร่วมได้ทันที ไม่สำคัญเลยว่าท่านจะประสบความยากลำบากใดๆ ในอนาคต ตระกูลเซี่ยจะอยู่เคียงท่านตราบใดที่ท่านมีเงินจ่าย”


“ลูกค้าคนสำคัญหรือ” สีหน้าของผู้อาวุโสฝ่ายขวาซีดขาวเมื่อได้ยินชื่อตระกูลเซี่ย ความกลัวในแววตาทวีความรุนแรงขึ้น เขาถึงกับซวนเซถอยหลังไปหลายก้าว แม้จะดูเหมือนเป็นการถอยตามสัญชาตญาณ แต่อันที่จริงแล้ว ชายชรากำลังสร้างผนึกฝ่ามือด้วยมือขวาที่ซ่อนเอาไว้ด้านหลัง พร้อมๆ กับพยายามออกคำสั่งไปยังดารานิรันดร์ประดิษฐ์


“ใช่แล้ว ค่าธรรมเนียมถูกๆ แค่ผลึกสีชาดหนึ่งหมื่นชิ้นเท่านั้น” เซี่ยไห่หยางพูดด้วยรอยยิ้ม


“ข้าขอเวลาไปรวบรวมเงินก่อนได้หรือไม่…” ผู้อาวุโสฝ่ายขวามีสีหน้าบูดเบี้ยว ก่อนจะเอ่ยถามช้าๆ


“แปลว่าท่านไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมได้ในตอนนี้สินะ ถ้าเช่นนั้นก็ง่ายหน่อย ถ้าจะว่ากับตามตรง ข้าเองก็ไม่ได้ชอบกฎของตระกูลเท่าใดนัก เห็นได้ชัดว่าท่านกำลังเผชิญกับตัวปัญหา แต่ท่านก็ยังต้องอธิบายการกระทำของตนเองอยู่นั่น” จนถึงเมื่อครู่ สีหน้าของเซี่ยไห่หยางยังอบอุ่นและยิ้มแย้มอยู่ แต่เมื่อพูดจบ นัยน์ตาของชายหนุ่มก็ส่องประกายอันตราย แววตาของเขานั้นราวกับเป็นกริช ทั้งส่องประกายและแหลมคม


“ท่านไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อเข้าเป็นลูกค้าคนสำคัญของตระกูลเซี่ยได้ แต่ตอนที่ท่านเห็นเหรียญตราสันติของตระกูลเซี่ย ท่านก็ยังจู่โจมผู้ถือครองเหรียญตราแทนที่จะถอยออกไปหนึ่งร้อยปีแสง”


ถ้อยคำเหล่านั้นราวกับเป็นฟ้าฟาดลงกลางใจ ใบหน้าของผู้อาวุโสซีดเผือดไร้สีเลือดในทันที ชายชราถอยหลังอีกครั้งหนึ่ง มือขวาพลางขยับสร้างผนึกฝ่ามืออย่างเร่งรีบขณะที่ความกลัวเกาะกุมจิตใจ เขาพยายามอธิบายตนเอง


“ข้า…”


“ท่านมีเวลาสองชั่วโมงเพื่อตระเตรียมพิธีศพของตนเอง สองชั่วโมงหลังจากนี้ จงฆ่าตัวตายเสีย แล้วจัดแจงให้ใครสักคนส่งศีรษะของท่านมาให้ตระกูลเซี่ยด้วย” เซี่ยไห่หยางพูดอย่างเยือกเย็น เมินความพยายามจะแก้ตัวของผู้อาวุโสฝ่ายขวาไปโดยสิ้นเชิง เสียงของเซี่ยไห่หยางทั้งหนักแน่นและทรงอำนาจจนฟังดูเหมือนเป็นประกาศิต จากนั้นชายหนุ่มจึงกลับตัวหันหลังไปยังความว่างเปล่า เตรียมจะจากไป


คำพูดของชายหนุ่มเปรียบเสมือนสายฟ้านับล้านที่ฟาดลงบนร่างของผู้อาวุโสฝ่ายขวา จิตใจของชายชราสั่นไหวไปด้วยความตื่นตระหนกและตื้อชาขณะที่ร่างกายเขาสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ดวงตาทั้งสองแดงก่ำขึ้นมาทันที ความเกลียดชังที่เขาสัมผัสระหว่างการเผชิญหน้ากับหวังเป่าเล่อและความรู้สึกจนมุมบีบคั้นจนเขาใกล้จะเสียสติ ขณะนี้ผู้อาวุโสใกล้จะเป็นบ้าเต็มทน


ความบ้าคลั่งและกระหายเลือดฉาบเคลือบอยู่บนแววตาของชายชรา เขาเชื่อมต่อกับดารานิรันดร์ประดิษฐ์สำเร็จอีกครั้งและสัมผัสได้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นมาคนเดียว ระดับปราณที่ต่ำเตี้ยของอีกฝ่ายก็ไม่ใช่การอำพรางแต่เป็นของจริง การค้นพบนี้ทำให้ผู้อาวุโสฝ่ายขวารู้สึกมั่นใจขึ้น อีกอย่างชายชราก็ยังรู้ด้วยว่า…เมื่อตระกูลเซี่ยมาเยือน เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตายเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้น…ผู้อาวุโสก็จะขอลองสู้เพื่อเอาชีวิตรอดสักครั้ง!


การเป็นนักโทษหนีคดีย่อมดีกว่าถูกส่งไปตาย!


จิตสังหารส่องประกายอยู่ในแววตาของผู้อาวุโสฝ่ายขวา เมื่อคิดได้เช่นนั้น ชายชราก็คำรามออกมา


“เจ้าจะบีบคั้นข้ามากเกินไปแล้ว!” เมื่อพูดจบ ชายชราก็ยกมือขวาขึ้นชี้ ดารานิรันดร์ประดิษฐ์สั่นไหวอย่างรุนแรง พลังอันมหาศาลไหลทะลักเข้าท่วมอากาศ ก่อนจะพุ่งเข้าไปหาเซี่ยไห่หยาง พลังโจมตีนั้นรุนแรงราวกับจะสามารถทำลายสรรพชีวิตที่ขวางหน้ามันได้ทั้งหมด สลายทั้งกายเนื้อและวิญญาณให้เหลือเพียงฝุ่นผง


เซี่ยไห่หยางไม่สะทกสะท้านกับการจู่โจมที่พุ่งเข้ามา ชายหนุ่มไม่ได้หันกลับมามองด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่กระแอมกระไอเบาๆ จากนั้นหัตถ์มายาก็โผล่ออกมาจากแผ่นหลังก่อนชี้ไปยังผู้อาวุโสฝ่ายขวา


นัยน์ตาของชายชราเบิกโพลง เขาตัวสั่น ก่อนที่ความบ้าคลั่งและจิตสังหารในแววตาของผู้อาวุโสจะจางหาย ก่อนที่สติปัญญาของเขาจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างกายของเขา…ก็เริ่มแหลกสลาย ภายในพริบตาเดียว ร่างของผู้อาวุโสก็กร่อนจนกลายเป็นเศษฝุ่น ดวงวิญญาณเทพของเขาสลายตามกายเนื้อไปด้วย!


ชายชราไม่ได้ถูกสังหารด้วยพลังจากภายนอก กลับกัน มันเป็นเพราะดาวเคราะห์ภายในกายของเขาแตกสลาย ผลลัพธ์คือแรงสะท้อนกลับอันรุนแรง และเพราะเหตุนั้น ดาวเคราะห์ภายในกายจึงกลืนกินร่างกายของตนเอง ไม่มีทางเลยที่ชายชราจะหลบเลี่ยงหรือรับมือกับแรงสะท้อนกลับเช่นนี้ได้!


การตายของผู้อาวุโสทำให้คำสั่งที่เขาออกไว้ตอนแรกเสื่อมกำลัง ผนึกที่ครอบอารยธรรมวิญญาณโลกเอาไว้อ่อนแรงลงก่อนจะหายวับไปทันที


ขณะที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น เซี่ยไห่หยางไม่ได้หันศีรษะกลับไปมองแม้แต่น้อย ชายหนุ่มยังคงเดินต่อไปในความว่างเปล่า ก่อนจะพูดออกมาแผ่วเบาเมื่อประตูเคลื่อนย้ายเปิดขึ้น


“ท่านคงเบื่อการมีชีวิตมากแล้วกระมัง ถึงได้ยอมทิ้งกระทั่งสองชั่วโมงสุดท้ายแห่งชีวิตตน”


เมื่อผู้อาวุโสฝ่ายขวาตายและผนึกรอบอารยธรรมวิญญาณโลกจางหาย หวังเป่าเล่อ ผู้ที่นั่งอยู่ภายในดวงไฟของตนเองก็ลืมตาโพลงขึ้น ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบนอารยธรรมวิญญาณโลก นัยน์ตาของเขาส่องประกาย ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนและโบกมือเพื่อปิดดวงไฟจากเหรียญตราสันติเสีย หวังเป่าเล่อจ้องออกไปยังจักรวาลด้วยดวงตาที่ส่องประกายเจิดจ้า


“ผนึกหายไปแล้ว…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง เสียงอันอบอุ่นของเซี่ยไห่หยางดังออกมาจากเหรียญตราสันติแทบจะพร้อมกัน


“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ปัญหาของเจ้าคลี่คลายแล้ว ข้าสัญญากับเจ้าไว้ไม่ใช่หรือว่าจะปลดผนึกให้ภายในสองสัปดาห์ เป็นอย่างไรเล่า ข้าไม่ได้ทำให้เจ้าผิดหวังใช่หรือไม่”


“ผู้อาวุโสฝ่ายขวาเล่า” หวังเป่าเล่อหรี่ตาและถามออกไปหลังจากที่เงียบไปชั่วอึดใจ เซี่ยไห่หยางเหมือนว่าจะรอฟังคำถามนั้นอยู่แล้ว เขาหัวเราะก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ


“เขาฆ่าตัวตายไปแล้ว”

 

 

 


บทที่ 893 ของขวัญจากอารยธรรมวิญญาณโลก!

 

ฆ่าหรือถูกฆ่า ความแตกต่างระหว่างทั้งสองคำห่างกันเพียงพยางค์เดียว แต่ความหมายนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง อันที่จริงแล้ว ถือเป็นขั้วตรงข้ามที่อยู่บนแนวระนาบเดียวกันก็ว่าได้!


วิธีการประกาศการฆ่าตัวตายของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ของเซี่ยไห่หยางแสดงให้เห็นถึงอำนาจและบารมีของเขาอย่างชัดเจน ใครก็ตามที่ได้ยินชายหนุ่มพูดเช่นนั้นก็ย่อมต้องตัวสั่นอย่างช่วยไม่ได้


ก่อนหน้านี้ หวังเป่าเล่อเคยสงสัยเรื่องตระกูลเซี่ยอยู่บ้างและพอจะเข้าใจว่าตระกูลใหญ่นี้น่ากลัวอย่างไร ชายหนุ่มกระทั่งคาดเดาไปว่ากับดักที่เซี่ยไห่หยางวางเอาไว้ให้เขานั้นตั้งใจเพื่อให้เขาต้องร้องขอความช่วยเหลือ แต่ความคิดเหล่านั้นก็ไม่ได้ช่วยให้หวังเป่าเล่อรู้สึกตกใจกับคำประกาศของเซี่ยไห่หยางน้อยลงแต่อย่างใด ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปเป็นเวลานาน


ถึงแม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ได้เห็นสิ่งที่เซี่ยไห่หยางกล่าวอ้างด้วยตนเอง แต่การที่อีกฝ่ายพูดออกมาด้วยอารมณ์สบายๆ และการที่ผนึกจางหายไปก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าเซี่ยไห่หยางไม่ได้โกหกหรืออวดโม้อยู่ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์…ตายแล้วจริงๆ!


เขาตายในอารยธรรมวิญญาณโลก อารยธรรมที่อยู่ภายใต้อาณัติของอารยธรรมครามทองคำ ผลพวงจากการตายของเขาจะต้องยิ่งใหญ่มาก แต่เซี่ยไห่หยางกลับไม่กังวลแม้สักนิด


ตระกูลเซี่ย…หวังเป่าเล่อหรี่ตา ชายหนุ่มไม่ได้ถามเรื่องผู้อาวุโสฝ่ายขวาอีก กลับกัน เขาเปลี่ยนไปพูดเรื่องการเคลื่อนย้ายตัวเขาและการออกจากอารยธรรมวิญญาณโลกแห่งนี้กับเซี่ยไห่หยาง


การเคลื่อนย้ายหวังเป่าเล่อออกจากอารยธรรมวิญญาณโลกตรงกลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้นเกินความสามารถของเซี่ยไห่หยาง แม้ว่าตระกูลเซี่ยจะทรงพลังและกว้างขวางเพียงใด แต่ก็ไม่อาจแผ่อิทธิพลไปครอบคลุมอาณาเขตใหญ่น้อยทั้งหมดในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นได้ ส่งผลให้เป็นเรื่องยากที่จะเคลื่อนย้ายได้อย่างแม่นยำ ถึงกระนั้น ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีวิธีแก้ไขปัญหานี้


ตลาดของตระกูลเซี่ยที่หวังเป่าเล่อเคยไปเยือนนั้นเป็นจุดศูนย์รวมการเดินทาง หวังเป่าเล่อต้องเคลื่อนย้ายไปยังตลาดก่อน จากที่นั่น ชายหนุ่มจึงค่อยเดินทางกลับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ถ้าคิดจากความเร็วของหวังเป่าเล่อก็คงใช้เวลาไม่นาน


“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ ศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้าจะไปรอเจ้าที่ตลาด เจ้าจะออกจากที่นี่เมื่อใดก็ได้ตามต้องการ แค่ส่งดวงจิตเทพของเจ้าเข้าไปในเหรียญตราสันติ ข้าได้เปิดสิทธิ์การเข้าถึงที่ท่านต้องการเอาไว้หมดแล้ว แต่ตามที่ข้าได้บอกไป ข้าจะยกเว้นค่าบริการให้แค่ครั้งนี้เท่านั้น…ข้าคงต้องรบกวนขอคิดค่าบริการเจ้าหากมีครั้งต่อไป” เซี่ยไห่หยางกระแอมกระไอก่อนจะจบบทสนทนา


เซี่ยไห่หยางกลับมายังตลาดและนั่งอยู่ในตำหนักของตนตามเดิม ในมือของเขามีแผ่นหยกสื่อสารอยู่แผ่นหนึ่ง นัยน์ตาของชายหนุ่มฉายแววพึงใจก่อนจะยิ้มออกมา เซี่ยไห่หยางรู้สึกพอใจกับการรับมือในเรื่องนี้ของตนเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มไม่เพียงแต่สะสางความบาดหมางระหว่างตัวเขากับหวังเป่าเล่อ แต่ยังช่วยอีกฝ่ายให้รอดพ้นภยันตรายได้ แถมยังมีโอกาสแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลและอำนาจอย่างเด็ดขาดด้วย


“เป่าเล่อ จากทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นมีคนเพียงหยิบมือที่ข้าให้ความช่วยเหลือเช่นนี้” เซี่ยไห่หยางพึมพำกับตนเอง ชายหนุ่มรู้ดีว่าความนับถือที่เขามีต่อหวังเป่าเล่อนั้นไม่ได้มาจากความชื่นชมที่ตนมีต่ออีกฝ่ายเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างหวังเป่าเล่อกับปรมาจารย์แห่งไฟด้วย


ยิ่งไปกว่านั้น…สัญชาตญาณของเซี่ยไห่หยางก็บอกเขาว่า ปรมาจารย์แห่งไฟไม่ใช่พันธมิตรคนเดียวที่หวังเป่าเล่อมี มีใครอีกคนหรืออะไรอีกอย่างที่ให้ความช่วยเหลือหวังเป่าเล่ออยู่ ใครอีกคนหรืออะไรอีกอย่างนี้แข็งแกร่งและลึกลับยิ่งกว่าปรมาจารย์แห่งไฟเสียอีก


ด้วยเหตุนี้ การลงทุนของเขากับหวังเป่าเล่อจึงคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง!


หวังเป่าเล่ออาจไม่ได้ล่วงรู้ความคิดของเซี่ยไห่หยางทั้งหมด แต่ชายหนุ่มก็พอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ แววตาครุ่นคิดปรากฏขึ้นบนใบหน้าขณะที่เขาวางเหรียญตราสันติลง อึดใจต่อมา นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็ส่องประกาย


ไม่สำคัญหรอก อย่างไรเสียนี่ก็เป็นข่าวดี! การสำแดงอำนาจของเซี่ยไห่หยางและความตายของผู้อาวุโสฝ่ายขวาเป็นสองสิ่งที่หวังเป่าเล่อรับรู้ด้วยความยินดี หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ชายหนุ่มก็ทำใจให้สงบ ก่อนจะมีเศษเสี้ยวแห่งความยินดีปรากฏขึ้นในใจ


นี่คงเป็นเพราะข้านั้นยอดเยี่ยมเกินไป หวังเป่าเล่อทอดถอนใจ ชายหนุ่มกำลังจะส่งดวงจิตเทพเข้าไปในเหรียญตราสันติแต่ก็หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาหรี่ตาลง ไม่ได้เริ่มการเคลื่อนย้ายทันที กลับกัน หวังเป่าเล่อออกจากดาวเคราะห์ มุ่งหน้าไปในอวกาศ ชายหนุ่มตรงไปยังอาณาเขตนอกอารยธรรมวิญญาณโลกที่สามารถเดินทางไปได้เพราะผนึกสลายลงแล้ว


หวังเป่าเล่อพุ่งทะยานออกไปหาอวกาศราวกับเป็นดาวหางและเข้าใกล้เส้นเขตแดนของอารยธรรมขึ้นทุกที อารยธรรมวิญญาณโลกไม่ได้ใหญ่โตนัก ดาวเคราะห์ที่หวังเป่าเล่ออยู่ก็ใกล้เส้นเขตแดนมาก ด้วยระดับปราณของเขาในตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ชายหนุ่มจะไปถึงขอบของอารยธรรมอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึง หวังเป่าเล่อก็พร้อมจะพุ่งตัวออกไปนอกอารยธรรมนี้ทันที


ตอนนั้นเอง…สรรพชีวิตในอารยธรรมวิญญาณโลก ไม่ว่าจะอยู่ตรงส่วนใดของอารยธรรม ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เด็กหรือชรา รวมไปถึงต้นไม้และสรรพสัตว์ ชีวิตเรือนแสน จู่ๆ…ก็ตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้


ซิ่วเหยียน หญิงสาวที่หวังเป่าเล่อได้พบก็เป็นหนึ่งในนั้น ไม่สำคัญว่าจะทำสิ่งใดอยู่ก่อนหน้านี้ ในวินาทีนั้น ทุกคนกลับมีแววตาว่างเปล่าก่อนที่จะตัวสั่นสะท้าน บางสิ่งที่หลับใหลอยู่ในกายพวกเขาได้ตื่นขึ้น


ใช่แล้ว มีบางสิ่งตื่นขึ้นมา!


หากมีผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์อยู่ใกล้เคียงและได้ใช้ดวงจิตเทพกวาดออกไปจนทั่ว ก็คงสัมผัสได้ถึงเปลวไฟเล็กจ้อยภายในกายของสิ่งมีชีวิตจำนวนมหาศาลในอารยธรรมวิญญาณโลกแห่งนี้ เส้นด้ายที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นปรากฏออกมาจากร่างของพวกเขาก่อนจะพวยพุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ด้ายเหล่านั้นปรากฏขึ้นมาจากทุกแห่งหนบนดวงดาว พุ่งออกไปรวมกันอยู่ ณ จุดหนึ่งในจักรวาล!


ก่อนจะรวมตัวกันเป็นร่างเงาที่พร่าเลือนของชายชราคนหนึ่ง!


ชายชราคนนั้นก้าวขาออกมาก้าวหนึ่งก่อนจะหายตัวไป อึดใจถัดมา…เขาก็มาปรากฏอยู่ที่ขอบอารยธรรมวิญญาณโลกที่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อพอดิบพอดี! ชายหนุ่มที่กำลังจะออกตัวจากไปถึงกับชะงัก


เพื่อป้องกันมิให้เกิดการเข้าใจผิด ชายชราจึงรีบยกมือประสานก่อนจะโค้งศีรษะต่ำคำนับหวังเป่าเล่อทันทีที่ปรากฏกาย แววตาลุ่มลึกสะท้อนอยู่บนดวงตาของชายหนุ่ม เขาไม่ได้ดูประหลาดใจกับการปรากฏตัวอย่างปุบปับของชายชราเท่าใดนัก


“สวัสดี สหายร่วมสำนักเต๋าจากต่างจักรพิภพ!”


นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายขณะที่ชายหนุ่มส่งเอาสัมผัสของตนออกไปสำรวจรัศมีของชายชรา จากนั้น คิ้วข้างหนึ่งของเขาก็เลิกขึ้นเล็กน้อย หวังเป่าเล่อรู้ว่าชายชราตรงหน้าเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของดวงวิญญาณเทพเท่านั้น ร่างจริงที่สมบูรณ์ของเขาเคยอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์หรือสูงกว่า


แต่ขณะนี้ ชายชราอ่อนกำลังลงมาก อันที่จริงแล้ว การที่เหลือเศษเสี้ยวของดวงวิญญาณเทพเอาไว้ได้เช่นนี้จะเรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์ก็ย่อมได้ การจะรวบรวมกำลังมาปรากฏกายต่อหน้าหวังเป่าเล่อนั้นไม่ควรจะเป็นไปได้ แต่เขาก็ทำได้ ผู้อาวุโสคนนี้หากไม่ได้มีลูกไม้กลอุบายเก็บงำเอาไว้ ก็แปลว่าต้องได้รับพรอันยิ่งใหญ่ในการฝึกปราณที่หวังเป่าเล่อไม่เคยรู้จักมาก่อน


ช่วงแรกที่เขาสำรวจรัศมีของอีกฝ่าย หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงเปลวไฟในกายของชายชรา เป็นเปลวไฟแบบเดียวกับที่สัมผัสได้ในกายของผู้ฝึกตนสตรีที่เขาพบในโรงเตี๊ยม แม้จะไม่สามารถบอกได้ว่าชายชราคนนี้เป็นใคร หวังเป่าเล่อก็ค่อนข้างแน่ใจว่าเขาต้องเป็นปรมาจารย์คนก่อนของอารยธรรมวิญญาณโลกแน่


“ท่านต้องการอะไรจากข้าหรือ” หวังเป่าเล่อถามอย่างเย็นชา


ชายหนุ่มเดาถูก ผู้อาวุโสคนนี้คือปรมาจารย์คนก่อนของอารยธรรมวิญญาณโลก ดวงวิญญาณเทพของเขากระจัดกระจายไปทั่วจักรวาลเมื่อกายเนื้อตายลง แต่ด้วยวิธีการพิเศษบางอย่าง ชายชราได้เข้าไปหลอมรวมกับสายโลหิตของผู้คน ด้วยวิธีนี้ ชายชราจึงสามารถหลบเลี่ยงสายตาของอารยธรรมครามทองคำไปได้ เขาจำต้องอยู่ในภาวะหลับลึกและตื่นตัวสลับกันอยู่ไปมา ชายชราติดตามความเป็นไปของโลกผ่านความรับรู้ของชีวิตนับหมื่นที่เขาเข้าไปเร้นกายอยู่ภายในโดยไม่มีใครล่วงรู้ เขาเฝ้ารอโอกาสที่จะได้ชุบชีวิตตนเองและช่วยเหลืออารยธรรมของเขามาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา!


ชายชราสัมผัสได้ถึงการมาถึงของหวังเป่าเล่อและการเปิดผนึกครอบอารยธรรมวิญญาณโลก เขาไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากแต่เฝ้าดูอยู่เงียบๆ รอให้ทุกอย่างค่อยๆ คลี่คลายลง ชายชราเฝ้ามองการต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อกับผู้อาวุโสฝ่ายขวา สัมผัสได้ถึงความตายอันแปลกประหลาดของผู้อาวุโสพร้อมการสลายไปของผนึก ทำให้รู้สึกตื่นตะลึงอย่างยิ่งกับทุกสิ่งที่ได้เห็นและสัมผัส


สัญชาตญาณของชายชราบอกเขาว่า นี่อาจเป็นโอกาสทองครั้งเดียวในชีวิต!


ด้วยเหตุนี้ ชายชราจึงยอมเสี่ยงรวบรวมดวงไฟของตนเพื่อมาปรากฏกายต่อหน้าหวังเป่าเล่อ เมื่อได้ยินคำถามของชายหนุ่ม ชายชราก็รู้ดีว่าผู้ฝึกตนคนนี้ต้องรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร อันที่จริงแล้ว มีความเป็นไปได้มากที่หวังเป่าเล่อจะเฝ้ารอเขาอยู่ ชายชราจึงก้มศีรษะคำนับต่ำอีกครั้งด้วยสีหน้าจริงใจ


“ข้าไม่กล้าขออะไรจากท่านหรอก ข้าหวังเพียงว่า สหายร่วมสำนักเต๋าผู้ทรงเกียรติจะช่วยข้าแก้ไขสถานการณ์ของอารยธรรมวิญญาณโลกในสักวันหนึ่งในอนาคตหากท่านทำได้…แต่หากท่านทำไม่ได้ก็ไม่เป็นปัญหา แต่เมื่อโชคชะตาได้พาท่านมาที่นี่ ก็ขอให้เราได้ฉกฉวยโอกาสนี้เอาไว้ อย่าปล่อยให้หลุดมือไป” ทันทีที่พูดจบ ชายชราก็ยกมือขวาขึ้น เปลวไฟที่รวมตัวกันเป็นร่างกายของเขาก็มารวมอยู่ที่มือขวาจนกลายเป็นดวงไฟสว่างไสว


ชายชราสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้งเดียว ดวงไฟที่มือของเขาก็ลอยมาหาหวังเป่าเล่อ เห็นได้ชัดว่าชายชราเจ็บปวดจากการกระทำนี้ ร่างของเขาพร่าเลือนขึ้นกว่าเก่า และดูเหมือนจะทนได้อีกไม่นาน ดวงจิตเทพของเขาอ่อนแรงลงมากอย่างเห็นได้ชัด


“สิ่งนี้คือสสารดาวเคราะห์ เป็นส่วนหนึ่งของสารัตถะตั้งต้นแห่งอารยธรรมวิญญาณโลก มีฤทธิ์ช่วยให้ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณอมตะขั้นสมบูรณ์ผสานรวมกับดาวเคราะห์ได้ง่ายขึ้น!” ชายชรานิ่งเงียบไปหลังจากนั้น เขาคำนับอีกครั้ง ก่อนที่ร่างของเขาจะค่อยๆ สลายหายไปในความว่างเปล่า สรรพชีวิตที่งุนงงนับแสนตัวสั่นอีกครา บ้างก็เหี่ยวแห้งและสลายกลายเป็นผงไป พวกที่รอดชีวิตก็อ่อนแรงเป็นอย่างยิ่ง


จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ หวังเป่าเล่อได้พูดเพียงครั้งเดียว ชายหนุ่มเฝ้ามองร่างของชายชราสลายหายไป จากนั้นจึงก้มลงมองดวงไฟตรงหน้า ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าสสารดาวเคราะห์คือสิ่งใดแน่ แต่หลังจากใช้ดวงจิตเทพสำรวจดู เขาก็พบว่ามันมหัศจรรย์เพียงใด ความจริงใจและสำบัดสำนวนของผู้อาวุโสทำให้หวังเป่าเล่อได้เพียงแค่ทอดถอนใจ


ชายชราคนนี้ไม่ใช่ธรรมดาจริงๆ ด้วยวิธีที่เขาจัดการเรื่องนี้และปฏิบัติต่อข้า คงไม่ใช่การดีแน่หากจะเอารัดเอาเปรียบเขา ข้าคงรู้สึกไม่ดีถ้าต้องทำเช่นนั้น หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าชายชราคงรับรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นจึงตัดสินใจเสี่ยง อีกฝ่ายวางเดิมพันกับหวังเป่าเล่ออย่างเปิดเผยและปล่อยให้ชายหนุ่มตัดสินใจได้ตามใจชอบ หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบครุ่นคิดขณะที่หันกลับไปมองอารยธรรมวิญญาณโลก ชายหนุ่มไม่ได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธการช่วยเหลือ เขาเพียงแค่เปิดใช้งานการเคลื่อนย้ายด้วยเหรียญตราสันติก่อนจะก้าวออกจากอารยธรรมไป


วินาทีต่อมา…ลำแสงจากคาถาเคลื่อนย้ายก็เข้าคลุมตัวหวังเป่าเล่อก่อนที่ชายหนุ่มจะหายวับไป!

 

 

 


บทที่ 894 อยู่ตรงหน้าแท้ๆ!

 

เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้สัมผัสการเคลื่อนย้ายระยะไกลหลายปีแสง ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าร่างกายของตนกำลังถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ดวงวิญญาณเทพในกายแทบจะสลายเป็นผุยผง เขาเกือบล้มลงไปกองกับพื้นเมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง


หวังเป่าเล่อตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน ก่อนจะกวาดมองสำรวจสิ่งรอบข้างเร็วๆ ชายหนุ่มพบว่าตนเองยืนอยู่บนวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางราวสามสิบกิโลเมตร


มีตัวอักขระนับไม่ถ้วนสลักอยู่บนพื้น ตัวอักขระเหล่านี้ค่อยๆ จางหายไปช้าๆ แต่หวังเป่าเล่อก็พอจะจินตนาการได้ว่ามีเสาแสงพุ่งออกมาจากตัวอักขระเหล่านี้และทะยานสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าระหว่างการเคลื่อนย้ายของเขา


แผ่นหินสูงตระหง่านแปดแผ่นตั้งอยู่นอกวงแหวนปราณ มีตัวอักขระปกคลุมอยู่เช่นกัน ตัวอักขระเหล่านั้นก็กำลังจางหายไป ระหว่างแผ่นหินสองแผ่นตรงหน้าหวังเป่าเล่อใน มีกลุ่มคนราวสิบคนยืนอยู่


คนที่ยืนอยู่หน้าสุดคือเซี่ยไห่หยาง เขาส่งยิ้มกว้างมาทางหวังเป่าเล่อ


หวังเป่าเล่อถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นเซี่ยไห่หยาง เขาส่งดวงจิตเทพไปสำรวจทั่วบริเวณ ชายหนุ่มค่อยผ่อนคลายลงเมื่อพบว่าตนได้กลับมาสู่อาณาเขตตลาดตระกูลเซี่ย


ถึงอย่างนั้น ความเจ็บปวดที่ดวงวิญญาณเทพของเขาได้รับ ประกอบกับความรู้สึกวิงเวียนก่อนหน้าก็ทำให้หวังเป่าเล่อต้องหอบหายใจ แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีเวลามาจัดการกับความรู้สึกไม่สบายนี้ เขารีบลุกขึ้นสำรวจตัวเองด้วยใบหน้าที่ยังซีดขาว จิตใจเขาสงบลงบ้างเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีสารัตถะส่วนใดหล่นหายไประหว่างการเคลื่อนย้าย จากนั้นชายหนุ่มจึงก้าวไปหาเซี่ยไห่หยาง


ลมหายใจของหวังเป่าเล่อค่อยๆ นิ่งขึ้นขณะที่สืบเท้าตรงไปยังเซี่ยไห่หยาง อันที่จริง ชายหนุ่มเหมือนจะหายเป็นปลิดทิ้งแล้วตั้งแต่ยังอยู่ห่างจากเซี่ยไห่หยางราวๆ สามร้อยเมตร ประกายเจิดจ้าในแววตาของเขาก็กลับมาแล้วเช่นกัน


เซี่ยไห่หยางเองรู้สึกทึ่งเล็กน้อย เขารู้ถึงอันตรายของประตูเคลื่อนย้ายระดับจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ดี ความตายของผู้ฝึกตนระดับปราณต่ำกว่าระดับดาวพระเคราะห์ระหว่างการเคลื่อนย้ายเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง มีเพียงผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เท่านั้นที่จะปลอดภัยระหว่างการเคลื่อนย้ายระดับจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์


เซี่ยไห่หยางกำชับให้ลูกน้องระมัดระวังเป็นพิเศษระหว่างการเคลื่อนย้ายหวังเป่าเล่อ พวกเขาต้องรับรองว่าการเคลื่อนย้ายนี้ทั้งราบรื่นและนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้ว่าชายหนุ่มจะพยายามทำให้การเดินทางนั้นปลอดภัยที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่อาจป้องกันความรู้สึกเหนื่อยล้าแสนสาหัสที่ตามมาได้ โดยทั่วไปแล้วน่าจะใช้เวลาร่วมวันหนึ่งในการฟื้นฟู แต่หวังเป่าเล่อกลับหายเป็นปกติในเวลาเพียงพริบตา ทำเอาเซี่ยไห่หยางตะลึง รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้างขึ้นอีกเมื่อเอ่ยปากพูด


“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เจ้าช่างยอดเยี่ยมเสียจริง นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นคนที่ไม่ได้อยู่ในระดับดารานิรันดร์หายเหนื่อยจากการเคลื่อนย้ายระยะไกลได้เร็วขนาดนี้”


เขาไม่รู้ว่าร่างของหวังเป่าเล่อตอนนี้ไม่ใช่ร่างจริงแต่เป็นกายสารัตถะ ผลกระทบใดก็แล้วแต่ที่มีผลร้ายต่อกายเนื้อแทบจะไม่ส่งผลกับหวังเป่าเล่อเลย


แต่ชายหนุ่มจะไม่บอกเรื่องนี้กับเซี่ยไห่หยาง เขาพุ่งตัวออกไปข้างหน้าเป็นระยะทางสามร้อยเมตรมายืนอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม


“เจ้าลืมเรื่องภารกิจของปรมาจารย์แห่งไฟไปแล้วหรือ พวกเราถูกเคลื่อนย้ายไปในรูปแบบคล้ายๆ กันนี้ ข้าชินแล้ว” หวังเป่าเล่อยิ้ม ก่อนจะลอบนำชื่อของปรมาจารย์แห่งไฟมาร่วมวงสนทนาด้วยในรูปแบบของคำอธิบาย


สิ่งนี้เป็นมาตรการป้องกันตัวของหวังเป่าเล่อ และเป็นการกระตุ้นเตือนเซี่ยไห่หยาง หวังเป่าเล่อต้องการให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขามีผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งและพร้อมจะให้ความช่วยเหลือเขาทุกเมื่อตามต้องการ เซี่ยไห่หยางต้องระมัดระวังหากจะวางแผนล่อลวงเขาอีกครั้ง


เซี่ยไห่หยางดูไม่สะทกสะท้านกับคำพูดนั้นแม้ว่าจะแอบหน้าบูดอยู่ในใจ แม้ว่าจะทำดีกับหวังเป่าเล่อไปมากมายเท่าใด อีกฝ่ายก็ยังสงสัยเขาอยู่นั่นเอง ชายหนุ่มรู้ดีว่าปรมาจารย์แห่งไฟนั้นชื่นชมหวังเป่าเล่อเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่อีกฝ่ายจะต้องพูดเรื่องปรมาจารย์แห่งไฟทุกๆ ครั้งที่พบหน้ากัน


รอยยิ้มบนใบหน้าของเซี่ยไห่หยางกว้างขึ้นสวนทางกับความคิด การกระทำของหวังเป่าเล่อเป็นเครื่องพิสูจน์ความมีสติและเฉลียวฉลาดของอีกฝ่าย แสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มรู้ว่าจะใช้เส้นสายให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร หากเซี่ยไห่หยางคิดในแง่ดี สิ่งนี้แปลว่าหวังเป่าเล่อมีโอกาสอย่างมากที่จะมีชีวิตรอดบนเส้นทางแห่งการฝึกปราณและพัฒนาไปเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง การลงทุนของเซี่ยไห่หยางนับว่าปลอดภัยแล้ว


รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาไม่ได้จางหายไปขณะที่ทั้งคู่พากันเดินทางกลับไปยังตลาด ชายหนุ่มพูดคุยกับหวังเป่าเล่ออย่างมีความสุข พลางชวนคุยเรื่องสัพเพเหระไปตลอดทาง เขาตั้งใจพูดคุยเรื่องอดีตและใช้โอกาสนี้สร้างเสริมมิตรภาพให้มั่นคง แต่แผ่นหยกสื่อสารของเขาก็เกิดสั่นขึ้นมาทันทีที่ถึงตลาด สีหน้าของเซี่ยไห่หยางพลันเปลี่ยนไปเมื่อมองเห็นเนื้อหาของข้อความนั้น แม้ว่าท่าทีของเขาจะมั่นคงเพียงใด เซี่ยไห่หยางก็ไม่อาจซุกซ่อนความตื่นตะลึงและเสียขวัญในแววตาเอาไว้ได้ หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งลอบมองดูอยู่ไม่ห่างเกิดสนใจขึ้นมา


“ศิษย์น้องไห่หยาง เกิดอะไรขึ้นหรือ” หวังเป่าเล่อถามอย่างสนใจ


“ไม่มีอะไรหรอก…ศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้าเกรงว่าข้าคงไม่อาจอยู่กับเจ้าได้นานนัก ข้ามีธุระเล็กน้อย จำเป็นจะต้องกลับไปที่ตระกูลทันทีเพื่อสะสาง” เซี่ยไห่หยางกังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้โกหก ชายหนุ่มจำเป็นต้องกลับบ้านเพราะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นจริงๆ เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากยกมือประสานคารวะหวังเป่าเล่อแล้วเดินจากไป


เขาไม่อาจบอกหวังเป่าเล่อถึงรายละเอียดทั้งหมดได้ ทำได้เพียงให้ข้อมูลคร่าวๆ เท่านั้น


“มีผู้ทรงอำนาจสองคน…เกิดต่อสู้กันขึ้นมา…” เซี่ยไห่หยางพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะรีบรุดจากไป หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นเซี่ยไห่หยางมีสีหน้าเช่นนั้นมาก่อน ชายหนุ่มยืนมองอีกฝ่ายเดินจากไปด้วยแววตาครุ่นคิด


“เขาพูดจาคลุมเครือ…ผู้ฝึกตนทรงพลังสองคนสู้กันหรือ ทรงพลังสักเพียงไหนกัน” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเองก่อนจะหันหลังเดินจากมา ชายหนุ่มเดินทอดน่องอยู่ในตลาด ไหนๆ ก็มาอยู่ที่นี่แล้ว เขาจึงวางแผนจะเติมวัตถุดิบที่ใช้หมดไปแล้ว เพราะเมื่อกลับไปถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ต้องพบการต่อสู้ครั้งใหญ่แน่นอน


ระหว่างที่หวังเป่าเล่อเดินไปมาในตลาดอยู่นั้น เซี่ยไห่หยางที่เพิ่งรีบรุดจากไปก็จัดแจงรวบรวมลูกน้องที่ไว้ใจได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายทันที ประตูถูกเปิดรอเอาไว้แล้วเมื่อชายหนุ่มไปถึง เขายืนอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายและเฝ้ามองขณะที่แสงเรืองของวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายฉายลงมารอบกาย ใบหน้าของเขาน่ากลัว ทั้งยังมีประกายกล้าสะท้อนอยู่ในแววตา


จักรพรรดิเดือนแยกลอบโจมตีเฉินชิงโดยใช้หม้อหลอมดั้งเดิมทั้งแปดหลอมวงแหวนปราณขึ้นมาด้วยความช่วยเหลือจากกลุ่มราชันสวรรค์ของเขา จักรพรรดิดึงเอาพลังงานจากดารานิรันดร์นับพันเพื่อเสริมพลังวงแหวนปราณและขังเฉินชิงเอาไว้…เขาตั้งใจจะหลอมเฉินชิง แต่ไม่คาดคิดว่าศัตรู…จะเรียกเต๋าสวรรค์จากยุคสมัยก่อนหน้ามาทำลายวงแหวนปราณเสียสิ้น วงแหวนปราณนั้นทำงานย้อนกลับ ขณะนี้จักรพรรดิเดือนแยกและลูกน้องติดอยู่ภายในหม้อหลอมแทน!


การสื่อสารถูกตัดขาด ไม่มีใครด้านในสามารถรับข้อความได้ ไม่มีใครเข้าไปในวงแหวนปราณได้เช่นกัน แต่มีพวกเราบางส่วนที่เริ่มสูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับราชันสวรรค์ทั้งเจ็ดในดวงวิญญาณเทพไป…สิ่งนี้ต้องเป็นพลังเทพอันสะเทือนเลื่อนลั่นของสำนักแห่งความมืดเป็นแน่ พลังในการลบการมีอยู่ของคนคนหนึ่งให้สูญสิ้นไป ไม่เหลือกระทั่งความทรงจำเกี่ยวกับคนคนนั้นในจิตใจของผู้อื่น!


เต๋าสวรรค์จากยุคสมัยก่อนหน้า…สำนักแห่งความมืด! เซี่ยไห่หยางตัวสั่นเมื่อคิดถึงสำนักแห่งความมืดขึ้นมา ชายหนุ่มไม่เคยเห็นสำนักแห่งความมืดที่แท้จริง แต่เขาได้ใช้เวลาในห้องสมุดส่วนตัวของตระกูลตั้งแต่ยังเล็ก และเคยได้อ่านจารึกจำนวนมากเกี่ยวกับสำนักแห่งความมืด เขาอ่านเยอะเกินไปมาก เซี่ยไห่หยางรู้ว่าสำนักแห่งความมืดนั้นเป็นสำนักอันเกรียงไกรที่กระทั่งตระกูลไม่รู้สิ้นยังยำเกรงและหวาดกลัวมาตั้งแต่อดีต


หากไม่ใช่เพราะตระกูลจำนวนมากที่อยู่ใต้ตระกูลไม่รู้สิ้นร่วมมือกันต่อต้านสำนักแห่งความมืด หากปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ และหากสำนักแห่งความมืดไม่ได้กำลังเสื่อมลง จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นอาจยังใช้ชื่อเดิมอยู่ก็เป็นได้… ชื่อที่ว่าก็คือจักรพิภพแห่งความมืด!


ว่ากันว่าเฉินชิงเป็นผู้ทรยศสำนักแห่งความมืดในครั้งนั้น หากเป็นเรื่องจริง เหตุใดเขาจึงสามารถรวมเอาเศษเสี้ยวเต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืดที่ถูกทำลายไปแล้วและเรียกมันออกมาได้อีกเล่า…เหตุใดเขาจึงต้องเสี่ยงสร้างความโกลาหลในจักรพิภพเต๋าด้วยการสร้างผนึกเหนือสนามรบและปลดปล่อยพลังเทพที่สามารถลบการมีอยู่ของคนคนหนึ่งออกไปจนสิ้น…หากปรมาจารย์เดาถูก เฉินชิงทำเช่นนี้เพื่อจะซ่อนความลับบางอย่างที่ใหญ่กว่านั้น


เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลยแท้ๆ ตระกูลเซี่ยนั้นยิ่งใหญ่นัก และข้าเองก็เป็นแค่ผู้น้อย ต่อให้ฟ้าถล่ม พวกเขาก็คงไม่คิดเรียกข้าด้วยซ้ำ โชคไม่ดี ที่พ่อผู้ไม่เอาถ่านของข้าดันไปเกี่ยวพันกับเรื่องวุ่นนี่ด้วย…ใบหน้าของเซี่ยไห่หยางหม่นหมอง เขากลัดกลุ้มอย่างหนักอยู่ในใจ ชายหนุ่มได้รับข่าวว่าบิดาของเขาเป็นผู้หลอมหม้อหลอมดั้งเดิมทั้งแปดที่จักรพรรดิเดือนแยกใช้เพื่อจับตัวเฉินชิง


แม้จะเป็นเพียงการทำธุรกิจ เซี่ยไห่อย่างก็รู้จักลักษณะนิสัยของเฉินชิงผู้ยิ่งใหญ่เป็นอย่างดี บุรุษผู้นี้ทั้งร้ายกาจและพร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ แถมยังไม่เคยสนใจหากทำให้ใครได้รับความเสียหาย ตระกูลเซี่ยย่อมไม่ทุ่มเททุกสิ่งเพื่อปกป้องบิดาของเซี่ยไห่หยางเป็นแน่ เพราะอย่างไรเสีย อีกฝ่ายก็คือเฉินชิง บุรุษที่สามารถประมือกับปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลเซี่ยได้อย่างสูสี


เพราะเหตุนี้ เมื่อรู้เรื่องเข้าเซี่ยไห่หยางจึงนั่งไม่ติด แม้ว่าเขาจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ก็ต้องกลับบ้านเพื่อไปปรึกษากับบิดาว่าจะเอาตัวรอดจากปัญหานี้ได้อย่างไร


แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าการต่อสู้นี้จะจบอย่างไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเฉินชิงได้เปรียบอยู่ จักรพรรดิสวรรค์องค์อื่นๆ ของตระกูลไม่รู้สิ้นต่างก็ยังไม่ตัดสินใจเข้าข้างใคร มีความเป็นไปได้มากว่าเฉินชิงจะสังหารคู่ต่อสู้แล้วเดินจากไปโดยไม่ได้รับผลกระทบ ข้าต้องหาคนที่พอจะคุ้นเคยกับเฉินชิงให้พบโดยเร็วที่สุด และต้องรีบอธิบายสถานการณ์ให้เขาทราบ เตรียมการล่วงหน้าเพื่อจะเกลี้ยกล่อมเฉินชิงทันทีที่เขาออกมาจากสนามรบที่ถูกผนึก เขาจะได้ปล่อยบิดาของข้าไป…เซี่ยไห่หยางกังวลว่าผมจะร่วงหมดศีรษะ ตัวเขาและเฉินชิงอยู่ห่างกันคนละโลก เขาจะไปรู้จักสหายของเฉินชิงได้อย่างใดกัน อีกอย่างหนึ่ง เขายังต้องคิดคำพูดโก้หรูที่จะใช้เกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายด้วย


เซี่ยไห่หยางที่จากไปด้วยความหวาดวิตกนั้นไม่รู้เลย…ว่ามีใครบางคนซึ่งกำลังเดินอาดๆ อยู่ในตลาดที่เขาดูแล สามารถเปลี่ยนใจเฉินชิงได้ อันที่จริงแล้ว แค่คำๆ เดียวจากคนผู้นี้ หรือแค่ข้ออ้างที่คิดขึ้นมาง่ายๆ…ก็สามารถช่วยบิดาของเซี่ยไห่หยางจากเรื่องวุ่นวายทั้งหมดได้แทบจะทันที

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)