War sovereign Soaring The Heavens 3342-3344

 ตอนที่ 3,341 : 3 จักรพรรดิอมตะสมญานาม ใต้บังคับบัญชาจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียน


 


“ดูเหมือนจะเสียเวลามากเกินไป…กระทั่งกําลังเสริมจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ที่โหยวเฟิงอวี้เรียกมาก็มาถึงแล้ว


 


เมื่อเห็นการมาของจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่า ที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียน ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ถึงปัญหาดังกล่าว


 


วูบ!


 


อย่างไรก็ตามขณะที่สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นตึงเครียด หลังเห็นจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าปรากฏตัวต่อหน้า ร่างปานภูตผีหนึ่งก็วูบมาปรากฏตัวลอยขวางเบื้องหน้าเขาเอาไว้


 


พอเห็นแผ่นหลังเบื้องหน้าชัดตา เขาก็อดอุทานออกไปไม่ได้ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่?”


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมงุนงงอยู่บ้าง ด้วยไม่เข้าใจว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่สมควรประมือกับเหลยอิงอยู่ ไฉนมาผุดโผล่เบื้องหน้าเขา เพื่อเตรียมรับมือจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าได้?


 


อย่างไรก็ตาม ครูต่อมาเขาก็ตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น


 


ปงงง!!


 


“อั๊ค-!!”


 


เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นจากด้านหลัง จากนั้นยังมีเสียงคนกระอักเลือดแผ่วเบาให้ได้ยิน


 


เป็นจักรพรรดิอมตะไว้ใจเหลยอิง ที่อยู่ๆก็โดนร่างแยกแห่งความตายของฉือหย่าชีปะทุพลังกล้าแข็งขึ้นจากเดิมหลายส่วน ซัดจนปลิดปลิวละลิ่วข้ามฟ้า พลังอัสนีทั่วร่างยังถูกพลังแห่งความตายกลืนกินทําลาย เลือดกระอักออกเป็นสาย เห็นชัดว่าได้รับบาดเจ็บหนักไม่น้อย


 


“เจ้า…ตอนแรกเป็นเจ้าซุกซ่อนพลังเอาไว้!?”


 


เหลยอิงที่ถูกซัดละลิวปลิวข้ามฟ้า สีหน้าเปลี่ยนไปใหญ่หลวง มองไปยังร่างฉือหย่าชีอีกครั้ง สองตานางยังเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวทั้งอิจฉาออกมาอย่างยากจะปกปิด


 


ร่างจริงของฉือหย่าชียังไม่ได้ลงมือเคลื่อนไหวอะไรแท้ๆ แต่อาศัยร่างแยกของกฏแห่งความตายก็เอาชนะนางได้แล้ว


 


หากร่างแยกแห่งความตายกับร่างจริงรวมเป็นหนึ่ง ความแข็งแกร่งของฉือหย่าชีก็ต้องยกกระดับเพิ่มขึ้นอีกขั้นอย่างไม่ต้องสงสัย และนี่เป็นเอกลักษณ์ของผู้ใช้กฎแห่งความตายทุกคน


 


“ไปเถอะ”


 


ร่างจริงฉือหย่าชีที่หยุดขวางเบื้องหน้าจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าเอ่ยขึ้นลอยๆเสียงเย็น


 


คําพูดของนาง แน่นอนว่ากล่าวกับต้วนหลิงเทียน


 


“คิดไป?”


 


มุมปากจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่ายกยิ้มแสยะดูเบา และแทบจะทันทีที่สิ้นคํากล่าวเยย้เยาะของมัน ก็ปรากฏเสียงหวีดหวิวฝ่าสายลมดังขึ้นสองครั้งติด


 


ฟุบ! ฟุบ!


 


พริบตาต่อมา ข้างกายจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าก็ปรากฏร่างคนขึ้น 2 คน เป็นชายวัยกลางคนที่ทั่วร่างมีเปลวเพลิงลุกโชนคนหนึ่ง กับหญิงชราร่างกายผ่ายผอมในชุดดําที่ถือไม้เท้าในมือ


 


ชายวัยกลางคนร่างหนาคนนี้ เพียงดูก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญกฏแห่งไฟ ส่วนหญิงชราร่างผอมชุดดํานั่น ผิวเผินไม่ต่างอะไรกับยายเฒ่าไร้แรงเดิน แต่หากมองสบตานาง จะพบว่าในแววตานางกลับเสมือนห้วงลึกอันไร้กันบึง!


 


“จักรพรรดิอมตะผลาญเผา จักรพรรดิอมตะไม้เท้าวารี”


 


เมื่อเห็นร่าง 2 ที่ทยอยกันปรากฏตัวออกมา ฉือหย่าชีก็กล่าวพึมพําออกมาเบาๆ สองตาดั่งสารทฤดูหดเล็กลงทันที


 


ฟุบ!


 


ต่อมาจักรพรรดิอมตะเหลยอิงที่พึ่งรับประทานโอสถอมตะและเดินพลังรักษาตัวไปรอบหนึ่งก็เห็นร่างมาหยุดขวางเบื้องหน้าฉืออย่าชีอีกคน ยังมองถามฉืออย่าชีด้วยสีหน้าถือไพ่เหนือกว่า “ฉือหย่าชี อย่าได้พยายามให้เปล่าประโยชน์เลย…หรือเจ้าคิดว่าอาศัยเจ้าเพียงลําพังจักรับมือพวกเรา 4 คนได้จริงๆ?”


 


ทั้ง 3 จักรพรรดิอมตะสมญานามที่พึ่งปรากฏตัวออกมา ไม่ว่าใครพลังฝีมือก็ไม่ได้ด้อยกว่าเหลยอิงทั้งนั้น


 


และจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 3 ก็เป็นคนของจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียน!


 


“เจ้าน่ะหรือคือฉือหย่าชี? อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์วังเทียนฉือ อายุได้พันปีก็กลายเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามแล้ว?”


 


ชายวัยกลางคนร่างหนา จักรพรรดิอมตะผลาญเผา มองถามฉือหย่าชีเสียงดังโผงผางพลางยิ้ม “น่าเสียดาย แต่หากพวกเรา 3 คนร่วมมือกัน อย่าว่าแต่เจ้า…ต่อให้เป็นจ้าววังเทียนฉือของเจ้าก็มีใช่คู่มือของพวกเรา”


 


“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจ้าววังจะขอความช่วยเหลือจากพวกเจ้า”


 


สองตาฉืออย่าชีทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง พอกล่าวออกอีกครั้งน้ำเสียงก็ฟังดูจริงจังนัก สีหน้าไม่อาจเฉยเมยไร้แยแสเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าคนเดียวอีกต่อไป


 


ก่อนหน้านั้น ตอนเผชิญหน้ากับจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่า ฉือหย่าชีเสมือนไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา สีหน้าท่าที่ยังเฉยๆสบายๆ


 


เห็นได้ชัดว่าไม่มีความยําเกรงใดๆต่อตัวจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าเลย


 


ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่ได้กลัวจักรพรรดิอมตะทองวว่างเปล่าจะร่วมมือกับเหลยอิงด้วยซ้ำ


 


“เช่นนั้นก็ให้ข้าชมดูหน่อยเถอะ ว่าอาวุโสทั้ง 3 ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในอู๋หยาเทียนมานานปีที่แท้จะร้ายกาจขนาดไหน”


 


พอเสียงฉือหย่าชีดังจบคํา ร่างแยกแห่งความตายที่ซัดเหลยอิงจนปลิวก่อนหน้า ก็วูบหายเข้าไปในร่างนางปานภูตผี ขณะเดียวกัน กลิ่นอายพลังที่แผ่ซ่านออกมาทั่วร่างนาง ก็ทวีความเข้มแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


 


ไอพลังแห่งความตายที่พวยพุ่งออกมาจากร่างนางยามนี้ ประหนึ่งเงาร่างภูตผีตัวเขื่องที่ปกคลุมร่างนางเอาไว้ก็ไม่ปาน


 


และฟังจากวาจาของฉือหย่าชี ดูเหมือนว่านางคิดจะต้านทานรับมือจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 3 เพียงลําพังจริงๆ!


 


“สาวน้อย เจ้าจักไม่ยโสเกินไปหน่อยหรือ?”


 


หญิงชราร่างผอมชุดดําที่ถือไม้เท้า จักรพรรดิอมตะไม้เท้าวารี พอได้ยินวาจาดังกล่าวของฉือหย่าชี สีหน้าของนางก็มืดลงไม่น้อย จากนั้นทั่วร่างผ่ายผอมราวยายเฒ่าไร้เรี่ยวแรง ก็ปรากฏไอพลังสีฟ้าสาดแสงสดใสนวลตา


 


เห็นได้ชัดว่าจักกรพรรดิอมตะไม้เท้าวารี เชี่ยวชาญกฏแห่งน้ำ


 


“หึ!”


 


ในเวลาเดียวกันไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่า หรือจักรพรรดิอมตะผลาญเผาเห็นได้ชัดว่าไม่สบอารมณ์วาจาผยองของฉือหย่าชีเมื่อครู่อยู่บ้าง แต่ละคนพ่นลมขึ้นจมูกเสียงเย็นสีหน้ากลายเป็นดุร้ายเอาเรื่อง


 


ซูมมม!!


 


วู้มมม!!


 


ทันใดนั้นเอง เป็นจักรพรรดิอมตะผลาญเผาปะทุพลังลงมือก่อนใคร เพลิงพลังพวยพุ่งออกมาจากร่าง เสมือนคนกลายเป็นเทพสงครามอัคคี ในมือไม่ทราบปรากฏหอกยาวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เพลิงพลังโดยรอบรวมรั้งลงสู่ตัวหอก เสือกแทงเข้าใส่ฉืออย่าชีดื้อๆ


 


เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ!


 


จักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าเองก็ไม่อยู่เฉย คนใช้เคลื่อนมิติวูบร่างไปหยุดในมุมอับสายตาฉือหย่าชี จากนั้นทิศทางตรงข้ามกลับปรากฏรอยแยกมิติ 9 รอยกลางหาว อุบัติคมมีดมิตาสีเทาพวยพุ่งออกมาฉับไว! เป็นการส่งเสียงบูรพาตีฝ่าประจิมที่น่าดูขมนัก!!


 


เวิงงง!!


 


ครืนนนน!!


 


ด้านจักรพรรดิอมตะไม้เท้าวารี หมุนควงไม้เท้าไม่กี่รอบ ทันใดนั้นอากาศธาตุเบื้องหน้านาง ก็อุบัติมวลน้ำมหาศาล ก่อนจะโถมถันเข้าใส่ฉืออย่าชีดั่งคลื่นสมุทรระลอกแล้วระลอกเล่า


 


ในเวลาเสี้ยวพริบตา จักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 3 ก็ลงมือออกมาแล้ว กระบวนพลัง 3 สายซัดถล่มเข้าใส่ฉืออย่าชีอย่างพร้อมเพรียง!


 


ฟุบบ!


 


เผชิญหน้ากับการจู่โจมจากจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 3 พร้อมกัน ฉือหย่าชีย่อมไม่ลําพองคิดต้านรับอย่างโง่งม พลังสีมีดระเบิดขึ้นทั่วร่าง คนพุ่งทะยานขึ้นฟ้าไปด้วยความเร็วปานภูตผีหลีกหลบกระบวนท่าของ 3 จักรพรรดิอมตะสมญานาม!


 


ทว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 3 จากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนไหนเลยจะง่ายดาย? ทันทีที่ฉือหย่าชีเลือกจะวูบร่างหลบหนีขึ้นฟ้า กระบวนท่าที่แต่ละคนชัดมา คล้ายมีดวงตางอกเงย ต่างพากันหักเหเปลี่ยนทิศทาง พุ่งขึ้นฟ้าติดตาฉือหย่าชีไปดั่งเงาตามตัว


 


วูบ!


 


ฉือหย่าชีเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วเบาๆ ทั่วร่างปะทุพลังแห่งความตายขุมหนึ่ง ก่อนร่างแยกแห่งความตายจะปรากฏขึ้น จากนั้นก็แยกห่างจากร่างจริงฉือหย่าชี ล่อพลัง 3 สายที่ถล่มเข้าใส่ไปอีกทาง


 


อย่างไรก็ตามในขณะที่ร่างแยกล่อพลัง 3 สา ร่างจริงฉือหย่าชีก็ไม่ได้อยู่เฉย คนพุ่งข้ามฟ้ามาฉับไว เหลือไว้แค่ภาพติดตาในอากาศ!


 


จักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าที่เชี่ยวชาญกฏมิติ พอเห็นฉืออย่าชีปะทุพลังวูบร่างเข้าใส่ตัวมันด้วยความเร็วสูง สีหน้าของมันก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง เร่งใช้พลังของกภูมิติเต็มกําลัง สร้างหัวงมิติกักกันฉืออย่าชีเอาไว้ในพริบตา


 


“พัง!”


 


อย่างไรก็ตาม ในมือฉืออย่าชีพลันปรากฎกระบี่สีเขียว 3 ฉือที่เรืองรองไปด้วยแสงพลังสีดําเล่มหนึ่ง เพียงนางจ้วงกระบีแทงออกไปเบื้องหน้า กรงมิติของจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าก็เสมือนฟองอากาศเปราะบาง แตกสลายลงในพริบตา!


 


“นั่นมัน…”


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมสังเกตเห็นว่ากระบี่สีเขียว 3 ผื่อที่ฉือหย่าชีที่ใช้อยู่ ปรากฏเงาร่างสิ่งมีชีวิตสีดําบางอย่างคล้ายอสรพิษเลื้อยลดบริเวนด้ามกระบี่ รัดพันมือฉือหย่าชีเอาไว้


 


“วิญญาณสถิตย์ศาสตรางั้นรึ?”


 


ในฐานะผู้ที่เคยครอบครองเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ และมีจิตวิญญาณสถิตย์ศาสตราอย่างผู้เฒ่าหัว ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันทีว่านั่นเป็นจิตวิญญาณสถิตย์ศาสตราของกระบีในมือฉืออย่าชี


 


เห็นได้ชัดว่ากระบี่อมตะระดับจักรพรรดิเล่มนี้ เป็นยอดกระบีในบรรดายอดกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิด้วยกัน การที่มันมีจิตวิญญาณสถิตย์ศาสตราเช่นนี้ ทําให้พลังอานุภาพของมันไล่ๆกับอุปกรณ์เทพระดับต่ำเลย!


 


“เจ้าจะมัวยืนโง่ทําอันใด? ยังไม่รีบหนีไปอีก!?”


 


ทันใดนั้นเองเสียงผ่านพลังของฉือหย่าชีก็ส่งตรงถึงหูต้วนหลิงเทียงดังลั่น กระตุ้นเตือนให้เร่งรุดหลบหนี


 


“ศิษย์พี่หญิงใหญ่”


 


เห็นสตรีร่างบางไกลตาที่ยืนหยัดรับมือต้านทานจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 3 เพียงลําพังแต่ยังมิวายหันมากล่าวเตือนตัวเองให้หลบหนีจากไป ใจต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความซาบซึ้งนักพอดึงสติกลับมาได้ ร่างสะท้านไปเบาๆพลังมิติพุ่งพล่าน เตรียมเคลื่อนร่างหลบหนีทันที


 


ถึงแม้ศิษย์พี่หญิงใหญ่จะแลดูหาญกล้าไม่หวั่นไหว


 


แต่ต้วนหลิงเทียนไหนเลยจะบอกไม่ได้ว่าหากนางต้องปะทะหักหาญกับจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 3 จริงๆ นางไหนเลยจะเป็นคู่มือของทั้ง 3


 


“คิดไปงั้นรึ?”


 


อย่างไรก็ตามตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนเผยท่าที่จะจากไปพร้อมเหลียนชิว เหลยอิงที่ชมดูเรื่องราวอยู่แต่แรก ก็ปะทุพลังที่พึ่งพื้นออกมาใช้เกือบหมด คนคล้ายอัสนีวาบฟ้าสายหนึ่ง จี้เข้ามาหมายขัดขวางต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วอัศจรรย์!


 


“อาวุโสเหลียนชิว อาการบาดเจ็บของนางยังเหลือไม่น้อย ท่านกับข้าพวกเรามาร่วมมือกันเล่นงานนางเถอะ!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวชวนเหลียนชิว จากนั้นก็เร่งเร้าพลังใช้ออกด้วยร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิว จากนั้นก็พุ่งส่วนเข้าใส่เหลยอิงอย่างไม่หวั่นเกรง


 


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


 


และแทบจะพร้อมๆกันกับที่ได้ยินเสียงต้วนหลิงเทียน ด้านเหลียนชิวก็ควบแน่นพลังสร้างกระพลังชุดหนึ่งขึ้นมาม้วนวนรอบกายเร่งเร้าสภาพวะก่อน จะจี้มือควบคุมกระบีพลังให้พุ่งเข่นฆ่าสังหารเข้าใส่เหลยอิงทันที!


 


กระบี่พลังชุดนี้เดิมทีก็เรียงรายกันเข่นฆ่าเข้าใส่เหลยอิง แต่พอลุถึงกลางทาง กระบี่พลังแต่ละเล่มก็พร่ามัวดั่งเงาเลือน ก่อนจะแตกตัวออกฉับไว กลับกลาเป็นห่าพิรุณกระบี่พลังห่าหนึ่ง ถล่มเข้าใส่เหลยอิงอย่างดุร้าย!


 


ด้านต้วนหลิงเทียนที่ควบสร้างร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิว และโจนทะยานสววนเข้าใส่เหลยอิงนั้น ก็ได้ลอบใช้พลังของเทพเบญจธาตุอย่างแยบคาย ถักทอกิ่งสนหลิวนับร้อยเป็นหนึ่งกิ่งมหึมา พุ่งสวนเข้าใส่เหลยอิงอย่างดุดัน!


 


“ตกแตนคิดหยุดรถม้า!!”


 


เหลยอิงแคนคําเย้ยหยันเสียงเย็น จากนั้นอัสนีพลังทั่วร่างก็ควบสร้างเป็นมังกรสายฟ้าสีม่วงตัวเขื่องพุ่งถล่มเข้าใส่กิ่งต้นไม้เทพสนหลิวมหึมาของต้วนหลิงเทียนอย่างอุกอาจ! ดูท่าคิดจู่โจมทําลายกิ่งใหญ่ และถล่มใส่ต้วนหลิงเทียนให้สิ้นชื่อรวดเดียว!!


 


“อาวุโสเหลียนชิว จู่โจมนางต่อไป ไม่ต้องหยุด!”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ราวกับจะอ่านใจเหลียนชิวได้ออก ว่าเหลียนชิวกําลังคิดจะรวมรั้งห่ากระบี่พลังมาช่วยเขาต้านทานมังกรสายฟ้า ก็เร่งแผดคําดังลั่น บอกให้เหลียนชิวจู่โจมใสเหลยอิงสืบต่อ!


 


เหลียนชิวที่คิดจะควบคุมห่ากระบี่ไปต้านรับมังกรสายฟ้า ก็ล้มเลิกความคิดในบัดดล เลือกที่จะเชื่อใจต้วนหลิงเทียนแล้วควบคุมห่าพิรุณกระบีถล่มใส่เหลยอิงเหมือนเดิม!


 


อย่างไรก็ตาม ห่าพิรณกระบี่ที่เหลยชิวสร้างขึ้น พลังอานภาพยังถือว่าอ่อนด้อยนัก แคปะทะเข้ากับรัศมีพลังคลุมกายทั่วไปของเหลยอิง มันก็ถูกทําลายได้ง่ายๆแล้ว เกรงว่าสุดท้ายคงเหลือกระบี่พลังไม่กี่เล่มที่จะถึงตัวเหลยอิง แถมคงสิ้นพลังอานุภาพจนทําได้แค่เกาแก้คันให้นาง!


 


อย่างไรก็ตาม พอตะโกนออกไปอย่างย่ามใจได้ไม่ทันไร เหลยอิงก็คล้ายจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง สีหน้านางเปลี่ยนสีไปในฉับพลัน


 


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!


 


กิ่งต้นไม้เทพสนหลิวที่ต้วนหลิงเทียนควบรวมสร้างขึ้นเป็นกิ่งเขื่อง เดิมทีก็ส่อแววพังทลายหลังปะทะกับมังกรสายฟ้าสีม่วงของเหลยอิง นอกจากนั้นเหลยอิงยังรู้ว่ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ของต้วนหลิงเทียน ตอนนี้ยังคงช่วยจักรพรรดิอมตะขยี้เมฆา เถิงฉงป้า รับมือจักรพรรดิอมตะมังกรฉางเจียงอยู่ ทําให้เหลยอิงไม่ได้เห็นต้วนหลิงเทียนอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย


 


อย่างไรก็ตามนางไม่คิดไม่ฝันเลย ว่ากิ่งต้นไม้เทพสนหลิวของต้วนหลิงเทียน ที่เดิมที่ส่อแววจะพังทลายใต้พลังอํานาจของมังกรสายฟ้านาง อยู่ๆคล้ายถูกฉีดเลือดไก่ ปลดปล่อยพลังอํานาจที่เหนือชั้นและทรงพลังสุดที่นางจะคิดคาดออกมาหน้าตาเฉย!


 


เรียกว่ากิ่งต้นไม้เทพสนหลิวอันเขื่องยามนี้ มันทรงพลังไม่ได้ด้อยไปกว่าการโจมตีเต็มกําลังของจักรพรรดิอมตะสมญานามระดับกลางค่อนไปทางสูงแม้แต่น้อย!


 


“เป็นไปไม่ได้!!”


 


เหลยอิงย่อมไม่รู้ ว่าต้วนหลิงเทียนได้ลอบใช้พลังของเทพเบญจธาตุอย่างแยบคาย หนุนเสริมพลังให้ร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวแต่แรก! แถมตอนแรกปะทะเขาก็เลือกปกปิดพลังเอาไว้ให้นางตายใจ พอถึงจังหวะสําคัญค่อยปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมา!!


 


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!


 


กิ่งต้นไม้เทพสนหลิวอันเขื่องที่ปะทะต้านทานกับมังงกรสายฟ้าสีม่วงตัวใหญ่ คล้ายได้รับพลังอํานาจหนุนเสริมจากทวยเทพ สามารถโต้กลับมังกรสายฟ้าของเหลยอิง ที่เร่งรุดจ่ายพลังเข้าไปหนุนเสริมตาลีตาเหลือกได้ง่ายดาย!


 


ตูมมมม!


 


เสียงปะทะระเบิดดังขึ้นถนัดถนี่ ยังดังสนั่นจนฟ้าสะท้านดินสะเทือน! ต่อมาก็เห็นร่างหนึ่งปลิดปลิวกระเด็นละลิ่วออกจากจุดปะทะ ร่างดังกล่าวกระอักโลหิตออกเป็นสายสร้างถนนสีเลือดตัดฟ้า กลิ่นอายพลังทั่วร่างอ่อนโทรมลงถึงขีดสุด! แลดูประหนึ่งสุนัขป่วยจึงคลานออกมาจากดงตีน!!


 


เป็นจักรพรรดิอมตะไร้ใจ เหลยอิง!


WSSTH ตอนที่ 3,342 : ด้ายแขวนพันชั่ง


 


(ชื่อตอนหมายถึงสถานการณ์เข้าสู่ช่วงคับขัน, วิกฤต มีความสุ่มเสี่ยงเป็นอย่างมาก)


 


เนื่องจากต้วนหลิงเทียนลอบใช้พลังของเทพเบญจธาตุอย่างแยบคาย ทั้งยังมีกลิ่นอายของร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวปกปิด ทําให้แม้ใกล้ๆจะมีจักรพรรดิอมตะสมญานามเป็นจํานวนมากก็ยากจะมีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขาทําอะไร


 


เว้นเสียแต่จะมีจักรพรรดิอมตะสมญานาม ที่จับตาดูเขาเอาไว้แต่แรก ถึงจะพอมองเห็นเบาะแสบางอย่าง


 


หลังจากที่ใช้กิ่งของต้นไม้เทพสนหลิวฟาดทุบจักรพรรดิอมตะไร้ใจเหลยอิงจนปลิดปลิว ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าโอกาสที่เขาจะใช้พลังเทพเบญจธาตุโดยที่ไม่มีใครเห็นอีกครั้ง คงยากจะเป็นไปได้เพราะถึงคนอื่นจะไม่รู้ แต่เหลยอิงที่สมควรจับตามองเขาเขม็งหลังจากนี้ต้องสังเกตเห็นแน่


 


“สารเลวน้อยนั่น มันใช้พลังอันใดกันแน่!?”


 


เหลยอิงที่ตอนนี้ได้รับบาดเจ็บหนัก สุดที่อาการบาดเจ็บจากฉือหย่าชีก่อนหน้าจะเทียบได้ พอมองไปยังร่างต้นไม้เทพสนหลิวที่มีชายหนุ่มชุดม่วงซุกซ่อนอยู่ไกลตา ในแววตานางก็ฉายชัดถึงความตกใจทั้งไม่อยากจะเชื่อ!


 


สารเลวน้อยต้วนหลิงเทียนคนนี้ ด่านพลังไม่ใช่ยังเป็นแค่จอมราชันอมตะหรือไร..แล้วไฉนถึงมีพลังร้ายกาจขนาดนี้ได้?


 


นางไม่ได้รู้เลยว่าเมื่อครู่ ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ใช้แค่พลังของเทพเบญจธาตุขั้นที่ 6 บางส่วน แต่เขายังใช้กระบีหลิงหลง 7 เปลี่ยน ที่เป็นถึงอุปกรณ์เทพระดับสูงอีกด้วย


 


หาไม่แล้วคงยากที่อาศัยพลังของต้วนหลิงเทียนเพียงอย่างเดียว จะซัดทําร้ายเหลยอิงจนอาการสาหัสสิ้นท่าแบบนี้ได้!


 


ยิ่งไปกว่านั้น ที่ต้วนหลิงเทียนบอกให้เหลียนชิวลงมือจู่โจมนางต่อไป โดยไม่ต้องหันมาช่วยเขา ทั้งหมดก็เพื่อทําให้เหลยอิงแบ่งความสนใจไปยังเหลียนชิว เช่นนั้นจึงไม่อาจสัมผัสได้ถึงจังหวะที่เขาใช้พลังของเทพเบญจธาตุ


 


ปงงง!!


 


ในขณะเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนซัดเหลยอิงบาดเจ็บสาหัส จนนําพาความตกใจมาสู่คนส่วนใหญ่ เสียงระเบิดหนึ่งพลันดังขึ้นสนั่น และเป็น 3 จักรพรรดิอมตะสมญานามใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียน ได้ร่วมมือกันบดขยี้การโจมตีของฉือหย่าชี กระทั่งยังซัดทําร้ายนางจนกระเด็น


 


ซู่ม


 


ฉือหย่าซีถูกซัดจนปลิวไประยะหนึ่ง ก่อนที่จะขึ้นร่างให้หยุดลง มุมปากปรากฏโลหิตไหลย้อยออกมาให้เห็น ร่างแยกแห่งความตายเองก็รีบวกกลับมารวมร่างกับนางอีกรอบ


 


“นับว่าอาวุโสทั้ง 3 ร้ายกาจสมคําร่ำลือจริงๆ”


 


ฉือหย่าขี่ยกมือขึ้นปาดเช็ดเลือดที่มุมปาก ดวงตาคู่งามปานสารทฤดู จับจ้องมองไปยัง 3 ร่างเบื้องหน้าด้วยความจริงจัง


 


“นังหนู พลังของเจ้านับว่าร้ายกาจมิใช่ย่อย”


 


จักรพรรดิอมตะไม้เท้าวารี มองฉือหยาชด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สองตาฉายชัดถึงความตกใจ “วันนี้หากไม่ใช่เพราะพวกเรา 3 คนลงมือพร้อมกัน อาศัยข้าเพียงลําพังคงไม่มีปัญญาสู้เจ้าได้แน่”


 


“ความแข็งแกร่งของเจ้าตอนนี้ ต่อให้เทียบกับโหยวเฟิงอวี้ จ้าววังเทียนฉือของเจ้า ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย”


 


สายตาที่จักรพรรดิอมตะไม้เท้าวารีใช้มองฉือหย่าชี เริ่มฉายถึงความนับถือให้เห็น


 


“ฉือหย่าชี เจ้าทําดีที่สุดแล้วอาศัยเจ้าเพียงลําพัง สามารถหยุดพวกเราให้เจ้าหนุ่มนั่นได้ครู่หนึ่ง ก็นับว่าช่วยเหลือมันครั้งใหญ่ ต่อให้หลังจากนี้เจ้าไม่คิดสอดมือทําอะไรอีก เจ้าหนุ่มนั่นก็ไม่คิดจะโทษเจ้าหรอก”


 


จักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญกล่าว


 


ถึงแม้ฉือหย่าซีจะหยุดทั้ง 3 เพราะอ้างว่าคิดจะจัดการต้วนหลิงเทียนด้วยตัวเองภายหลัง แต่ทุกคนรู้ดีว่าทั้งหมดนางก็แค่คิดจะช่วยเหลือต้วนหลิงเทียนโดยการปล่อยไป


 


“ผู้อาวุโสทั้ง 3 ข้าพูดไปแล้วว่าวันนี้ข้าจะปล่อยคนไปก่อน จากนั้นอีก 3 วันให้หลังข้าจะไปตามตัวกลับมา หรือคําพูดข้าที่เป็น 1 ใน 3 พัสดีคุกหมื่นพันธนาการแห่งวังเทียนฉือ เชื่อถือไม่ได้ขนาดนั้น?”


 


ฉือหย่าชีหยีตามองร่างทั้ง 3 เบื้องหน้า กล่าวออกเสียงหนัก


 


“3 วันหลังจากนี้? เหอะๆ นั่นมันนานมากพอให้เกิดความเปลี่ยนแปลงร้อยแปดพันเก้า แล้วใครจะกล้าโทษฉือหย่าซีเจ้าหากจับคนมาไม่ได้? ถึงตอนนั้นวังเทียนฉือจะทําอะไรเจ้าได้ หากเจ้ายืนกรานว่าทําเต็มที่แล้ว?


 


จักรพรรดิอมตะไม้เท้าวารีกล่าว “ยาโถวน้อย ความคิดตื้นเขินนี้ของเจ้าไหนเลยใช้กับ 3 ผู้เฒ่าอย่างพวกเราได้เล่า…ตอนพวกเรา 3 ผู้เฒ่าบันหัวผู้คนในระนาบเทวโลกกันอย่างสนุกสนาน เจ้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ!”


 


“ยาโถวน้อย เจ้าเองก็สมควรตระหนักได้ ว่าเมื่อครู่เป็นพวกเรา 3 คนยั้งมือไว้ไมตรีเจ้า หาไม่แล้วต่อให้เจ้าจะไม่ตาย แต่ก็ต้องมีหนังลอกกันบ้าง…เจ้าหลบไปเถอะ อย่าได้โดดลงโคลนปลักนี้ไปกับเจ้าหนุ่มนั่นเลย”


 


จักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่า เอ่ยออกเสียงเบา “สาวน้อยหากเจ้ายังดันทุรังสอดมืออีก ไม่เพียงแต่เจ้าจะยืนฝั่งตรงข้ามกับวังเทียนฉือ เจ้ายังเสมือนคิดต่อต้านพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ของพวกเราด้วย”


 


กล่าวถึงจุดนี้ จักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าก็มองจ้องฉือหย่าชีด้วยสายตาลึกซึ้ง ราวกับจะเน้นย้ำสถานการณ์ในปัจจุบันให้ชัดเจน


 


“ฉือหย่าซี”


 


ตอนนี้เอง จ้าววังเทียนฉือ โหยวเฟิงอวี้ ก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดช่วยมันเพราะเห็นแก่คําศิษย์น้อง แต่วันนี้ถือว่าเจ้าได้ทําดีที่สุดแล้ว พอเสียเถอะ…หากดันทุรังลงมือสืบต่อ ถึงอาวุโสทั้ง 3 จะไม่ทําร้ายเจ้าจนตาย แต่ก็อย่าหวังว่าเจ้าจะลุกมาสู้กับใครได้อีกหลายปี…”


 


“และเจ้าก็อย่าได้ใจให้มันมากเกินไปนัก! อย่าได้ลืมไปเสียเล่าว่าเจ้ามิใช่ศิษย์ในด่านของฉือหล่างแค่คนเดียว”


 


โหยวเฟิงอวี้ก็กล่าวย้ำออกมาแกมขู่ ให้ถือหย่าขี้รู้สถานการณ์


 


อย่างไรก็ตาม ขณะที่มองขู่อีกฝ่าย ในแววตามันก็ฉายชัดถึงความตกใจครั้งยิ่งใหญ่


 


มันไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ


 


ว่าบุตรีของฉือหล่างคนนี้ จะมีพลังไม่ได้ด้อยกว่ามันแล้ว!


 


วันนี้หากไม่ใช่เพราะมันเร่งติดต่อความช่วยเหลือจากตา…3 จักรพรรดิอมตะสมญานามจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์คงไม่มา!


 


และถ้าหากทั้ง 3 ไม่มา น่ากลัวว่าพวกถ้วนหลิงเทียนคงกลายเป็นปลาเล็ดลอดร่างแหแล้วจริงๆ!


 


เพราะสุดท้าย ที่เห็นได้ชัดว่าฉือหย่าชีจงใจช่วยต้วนหลิงเทียน!


 


“ศิษย์พี่หญิงใหญ่…”


 


ด้านต้วนหลิงเทียนที่ก่อนหน้าทุ่มความสนใจกับการรับมือเหลยอิง จึงไม่ทันเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ของเขา


 


อย่างไรก็ตาม ดูจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ กับสีหน้าทุกคน ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะเดาได้ว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ของเขาไม่เพียงแต่จะไม่ใช่คู่มือ 3 จักรพรรดิอมตะสมญานามนั่น ทว่าหากพวกมันทั้ง 3 ไม่ยั้งมือไว้ไมตรี นางคงไม่บาดเจ็บแค่เล็กน้อยอย่างที่เห็น


 


“ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ท่านไม่ต้องลําบากเพื่อข้าแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนที่มองร่างคือหย่าชีไกลๆ ในแววตานอกเหนือจากความซาบซึ้งบุญคุณ ยังเริ่มฉายยชัดถึงความแน่วแน่ กล่าวคําออกมาเสียงดังฟังชัด “จากนี้ข้าจะสะสางเรื่องราวของตัวเอง”


 


พอเสียงด้วนหลิงเทียนดังจบค่ำ ร่างเขาก็เริ่มสั่นไหว คนค่อยๆลอยออกมาจากร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิว จากนั้นก็กวาดตามองร่างที่ขวางทางทั้ง 3 ด้วยสายตาแหลมคม


 


จากสถานการณ์ในปัจจุบัน เขาไม่อาจหนีไปไหนได้แน่หากไม่ลงมือเต็มกําลัง เช่นนั้นก็มีแต่ใช้พลังของเทพเบญจธาตุลงมือเข่นฆ่าทั้ง 3 เพื่อเปิดทางเท่านั้น


 


ถึงตอนนั้นเขากับเหลียนชิวถึงจะมีโอกาสหนีรอดไปได้


 


ฟุบ! ฟุบ! ฟุ้บ!


 


หลังจากต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคํา และปรากฏตัวออกมาลอยล่องเหนือร่างอวตารกฏกต้นไม้เทพสนหลิว จักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 3 ก็แยกย้ายกันพุ่งมาปิดล้อมด้วนหลิงเทียนไว้ราวจุดยอดของ 3 เหลี่ยม


 


ขณะเดียวกันเหลียนชิวก็เห็นร่างไปหยุดด้านหลังต้วนหลิงเทียนโดยหันหลังให้ สองตาจับจ้องมองจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 3 เขม็ง


 


ตอนนี้จักรพรรดิอมตะสมญานามคนอื่นๆของวังเทียนฉือล้วนถูกพัวพันจนไม่อาจปลีกตัว ผู้ที่ขวางทางก็มีแต่ 3 คนที่ล้อมกรอบมันกับต้วนหลิงเทียนอยู่เท่านั้น


 


เหลยอิงนั่น ถูกต้วนหลิงเทียนซัดจนร่อแร่ไม่น้อย เกรงว่าวันนี้คงไม่อาลงมือขัดขวางอะไรได้อีกแล้ว เว้นเสียแต่นางจะแส่หาที่ตาย!


 


ฉือหย่างชีที่ลอยร่างชมดูเรื่องราวอยู่ไกลๆ ก็ได้แต่ขมวดคิ้วเคร่งเครียด นางรู้ดีว่าตอนนี้ไม่อาจลงมือทําอะไรได้อีก เพราะหากนางลงมืออีกครั้ง ไม่เพียงแต่จะถือว่ากบฏต่อวังเทียนฉือ ยังเป็นการขัดขวางพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์


 


ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่นาง กระทั่งบิดาของนางไม่เว้นศิษย์น้องอีก 5 คน ก็ต้องพลอยติดร่างแหจนตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสียงเพราะนาง


 


เพราะจากคําขู่ของจ้าววังเทียนฉือเมื่อครู่ ฉือหย่าซีวู้ดีแก่ใจว่านั่นคือขีดจํากัดความอดทนของอีกฝ่ายแล้ว หากนางกล้าขัดคําสั่ง ไม่พ้นอีกฝ่ายต้องเบนเข็มไปเล่นงานศิษย์น้องคนอื่นๆของนางจริงๆแน่!


 


ด้วยเหตุนี้ฉือหย่าซีจึงเสมือนติดในช่องทางคับแคบหนึ่ง จะรุกคืบก็ตีบตัน จะถอยก็มาไกลแล้ว สุดท้ายจึงทําได้แค่เลือกจะโอนอ่อนผ่อนปรน หยุดมือไปในลักษณะนี้


 


“ศิษย์น้องเล็ก…”


 


มองไปยังร่างในชุดสีม่วงไกลตา ลือหย่าชื่อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอนกล่าวพึมพําออกมาเสียงเบาอย่างจนปัญญา “ศิษย์พี่หญิง…ทําเต็มที่แล้ว”


 


“เจ้าหนู เป็นเจ้าสินะที่ก่อการอุกอาจ ปลดปล่อยนักโทษในคุกหมื่นพันธนาการ?”


 


จักรพรรดิอมตะไม้เท้าวารี มองต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน


 


“ไอ้หนู…เจ้ารู้หรือไม่ว่าในคุกหมื่นพันธนาการนั้น มีคนที่ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของพวกเราจับไปขังเป็นการส่วนตัว เผยหยวนจี๋ ?”


 


จักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญ ก็มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน แววตาของมันทําราวกับกําลังมองตะพาบในไห ที่หนีไปไหนไม่ได้


 


“เหอะๆ อาศัยจอมราชันอมตะตัวกระจ้อยคนหนึ่ง ถึงกับกล้าปล่อยเผยหยวนจี๋ ศัตรูของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียน..ข้าต้องบอกเจ้าเลยจริงๆว่าถึงพลังฝึกปรือเจ้าจักต้อยต่ำแต่ใจเจ้ามันได้!”


 


จักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่า ก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนเช่นกัน ลึกลงไปในแววตามันมีก็แต่ความเฉยเมยไร้แยแส


 


“พวกเจ้าเลิกพล่ามไร้สาระเถอะ”


 


เผชิญหน้ากับจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 3 ต้วนหลิงเทียนที่ตัดสินใจใช้พลังของเทพเบญจธาตุเต็มกําลังเพื่อเข่นฆ่าเปิดทาง ไม่ได้เผยท่าที่ยินดียินร้ายใดๆ เพียงมองกล่าวกับทั้ง 3 ด้วยน้ำเสียงเฉยเมย


 


“จะสู้ก็สู้ ไม่สู้ก็ไสหัวไป”


 


ทันใดนั้น สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเยียบเย็นหนึ่งเรื่องวาบ เทพเบญจธาตุทั้ง 5 ในโลกใบเล็กภายในกาย ที่ติดต่อสื่อสารกับเขาตลอดเวลา เร่งเร้าพลังเตรีมพร้อมปลดปล่อย ให้เขาชักนําพลังออกมาใช้ได้ทุกเมื่อ กระทั่งจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน หวงเอ้อ ก็พร้อมก่อร่างร่วมมือกับต้วนหลิงเทียนเข่นฆ่าเปิดทาง


 


“เหอะๆ ไอ้หนู ในเมื่อเจ้าเพื่อชีวิตนัก ข้าจักสงเคราะห์ให้!”


 


ในบรรดาจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 3 จากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียน อารมณ์ของจักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญนั้นฉุนเฉียวรุนแรงกว่าใคร หลังได้ยินวาจาไม่แยแสดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน มันย่อมทนไม่ไหวเป็นธรรมดา จึงลงมือก่อนใคร ร่างปลดปล่อยพลังเกรี้ยวกราด จนคนคล้ายกลับกลายเป็นยักษ์ไฟตัวเขื่อง อากาศส่งตัวปานจุดระเบิด ออกกระบวนท่าสังหารเข้าใส่ถ้วนหลิงเทียนฉับไว!


 


อย่างไรก็ตาม ในเสี้ยววินาทีก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะระเบิดพลังทั้งหมดเข่นฆ่าร่างยักษ์ไฟเบื้องหน้า กลับบังเกิดความเปลี่ยนแปลงหนึ่งขึ้นในฉับพลัน!


 


ตึงงงงง!!


 


ร่างยักษ์ไฟใหญ่เบิ้มที่กําลังพุ่งเข่นฆ่าเข้ามาอย่างดุร้าย อยู่ๆก็พบเจอกับม่านพลังมิติขุมหนึ่งผุดขึ้นยังความว่างเปล่าเบื้องหน้า หยุดขวางร่างใหญ่ไว้ได้ชะงัด ไม่ว่าจะเร่งเร้าจนเพลิงลุกโชนเร่าๆเพียงใด ม่านพลังมิติเบื้องหน้าก็คล้ายทรงพลังไร้สิ้นสุด ไม่อาจรุกคืบฝ่าได้แม้องคุลี


 


“กฏมิติ!?”


 


ในขณะที่จักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญไม่เชื่อว่าจะไม่อาจฝาม่านพลังมิติไปได้ เสียงตื่นตระหนกของจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าก็ดังขึ้นกะทันหัน


 


“ไม่ทราบเป็นผู้ยิ่งใหญ่ท่านใดผ่านมา ไฉนต้องสอดมือช่วยเหลือเจ้าหนุ่มนี่ด้วย?”


 


จักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าที่เชี่ยวชาญกฏมิติเช่นกัน แหงนมองขึ้นไปยังฟ้าเบื้องบนทันที สองตาจับจ้องไปยังจุดหนึ่งของแพเมฆไม่วางตา ราวด้านหลังแพเมฆนั้นมีอะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่


 


วูบ!


 


เสียงของสายลมหนึ่งดังขึ้น ปรากฏร่าง 5 ร่างผุดโผล่จากความว่างเปล่าปานภูตผี ยังปรากฏตัวไม่ไกลจากต้วนหลิงเทียนสักเท่าไหร่ เป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง สตรีงดงามแลดูสูงศักดิ์หนึ่ง จากนั้นก็ชายหนุ่มหญิงสาว 3 คน


 


และทั้ง 5 คนนี้ เห็นได้ชัดว่าที่ชายวัยกลางคนเป็นผู้นํา


 


ชายวัยกลางคนดังกล่าวว มาในชุดคลุมสีทองเข้ม ร่างสูง เนื้อตัวกํายําแลดูแข็งแกร่ง ใบหน้ารูปเหลี่ยมเต็มไปด้วยความสง่าผ่าเผย แม้ไม่ได้มีโทสะ หากแต่หว่างคิ้วกลับแผ่พุ่งความน่าเกรงขามคล้ายมีอํานาจสะกดข่มผู้คนประการหนึ่งตลอดเวลา


 


ด้านสตรีงดงามแลดูสูงศักดิ์นั้น มาในชุดสีขาวบริสุทธิ์ เพียงลอยร่างแน่นิ่งก็แลดูเลอค่าจนยากจะมีบุรุษใดกล้าเอื้อมแตะ บันดาลให้สรรพสิ่งรอบกายคล้ายมัวหมองไม่คู่ควร


 


สําหรับชายหนุ่มหญิงสาวทั้ง 3 ด้านหลังนั้น ชายหนุ่มในชุดสีดําสนิทมีใบหน้าเย็นชาราวไม่สนใจใคร สําหรับหญิงสาวในชุดข้างกาย ท่วงท่าสภาวะแลดูประหนึ่งสตรีศักดิ์สิทธิ์ ส่วนสตรีในชุดคลุมทองอีกคนนั้น แลดูห้าวๆซุกซนอย่างไรก็ไม่ทราบ


 


“หืม?”


 


เมื่อกลุ่มคนไม่ทราบที่มาปรากฏตัวขึ้นหยุดยั้งจักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญได้ชะงัด ต้วนหลิงเทียนที่กําลังจะระเบิดพลังสังหารอยู่รอมร่อ ก็เร่งสะกดพลังเทพเบญจธาตุที่กําลังจะปะทุออกมาได้ทันท่วงที


 


วินาทีนี้เขาตระหนักว่ามีคนมาช่วยเขา เพียงแต่เขาไม่รู้ว่ากลุ่มคนเบื้องหน้าเป็นใคร


 


“คนพวกนี้มาจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนเช่นนั้นหรือ? สหายของอาวุโสเมิ่งชวน?”


 


ต้วนหลิงเทียนอดคิดไปในทํานองดังกล่าวไม่ได้


 


และในขณะที่กําลังสงสัยเรื่องนี้ เขาก็รู้ได้ทันทีว่ากลุ่มคนทั้ง 5 เบื้องหน้าที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นในความว่างเปล่านั้น เป็นการใช้ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติวูบร่างมา


 


ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในกฏมิติเหมือนกัน จึงไม่ยากที่ต้วนหลิงเทียนจะระบุได้อีกว่ามี 1 ใน 5 ใช้เคลื่อนมิติหอบหิ้วทุกคนมา!


ตอนที่ 3,343 : จักรพรรดิอมตะสลายกําเนิด จี้อวี่เหนียน!


 


ในบรรดาคนทั้ง 5 ที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวออกมาช่วยเขา ชายวัยกลางคนคลุมทองที่แลดูน่าเกรงขาม กับสตรีสะสวยในชุดขาวแลดูเลอค่าสูงศักดิ์นั่นต้วนหลิงเทียนไม่คุ้นหน้าแม้แต่น้อย เขามั่นใจ ว่าไม่เคยรู้จักทั้งคู่กระทั่งมั่นใจว่าไม่เคยเห็นทั้งคู่มาก่อนด้วยซ้ํา


 


อย่างไรก็ตาม สําหรับชายหนุ่มหญิงสาวทั้ง 3 ที่อยู่เบื้องหลังทั้งคู่ ถึงแม้วนหลิงเทียนจะมั่นใจว่าพึ่งเคยเห็นอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก แต่ไม่ทราบทําไมเขากลับรู้สึกว่าทั้ง 3 ช่างให้ความรู้สึกคุ้นเคยทั้งให้ความรู้สึกสนิทใจกับเขานัก


 


ดูเหมือนจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เจอทั้ง 3


 


อย่างไรก็ตาม เขามั่นใจว่า


 


เขาไม่เคยเห็นชายหนุ่มหญิงสาวทั้ง 3 มาก่อน!


 


“ไม่ทราบว่าท่านเป็นผู้ใด”


 


จักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่ามองถามชายวัยกลางคนคลุมทองด้วยความหวั่นเกรง ถึงแม้มองปราดแรกมันจะรู้สึกว่าชายวัยกลางคนผู้นี้คุ้นๆแต่ปุบปับกลับนึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร


 


“สมกับที่เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามของพระราชวังจักรพรรดิสวรค์แห่งอู่หยาเทียนจริงๆเจ้าคงไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตากระมัง”


 


ได้ยินคําถามของจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่า ชายวัยกลางคนก็หันมาเหลือบมองมันผ่านๆ อ่ยคําแฝงความนัยหนึ่ง “ แม้พวกเราจะเคยพบกันครั้งเดียว แต่ข้ายังจดจําได้ว่าเจ้าคือจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่า….แต่ดูเหมือนข้าจักเป็นแค่คนตัวเล็กๆไว้สําคัญ ไม่ได้อยู่ในสายตาสูงส่งของจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าเจ้า”


 


กล่าวถึงท้ายประโยค มุมปากของชายวัยกลางคนคลุมทองก็เผยรอยยิ้มประชดประชันหนึ่ง


 


“นี่ท่านรู้จักข้าหรือ?”


 


จักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าขมวดคิ้วยู่ย่น ในฐานะที่เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามที่ เชี่ยวชาญ 1 ใน 4 กฏสูงสุดอย่างกฏมิติ มันไม่เพียงมีแวดวงในอู่หยาเทียน แต่จักรพรรดิอมตะสมญานามที่เชี่ยวชาญในกฏมิติของระนาบเทวโลกอื่นๆมันก็รู้จักไม่น้อย กล่าวได้ว่าแวดวงมันมักออกจากอู่หยาเทียนไปติดต่อแวดวงจักรพรรดิอมตะสมญานามที่เชี่ยวชาญกฏมิติในระนาบเทวโลกอื่นอยู่บ่อยๆ


 


มันจึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายคุ้นๆหน้า แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน


 


“ ตาเฒ่า เพียงเพราะเจ้าไม่ได้สวมหน้ากากนั่น..จักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าก็ถึงกับจดจําเจ้าไม่ได้แล้วหรือ?”


 


สตรีสะสวยแลดูสง่างามหันมามองถามชายวัยกลางคนคลุมทองข้างๆด้วยรอยยิ้ม


 


“ดูเหมือนจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่า จะจําข้าไม่ได้จริงๆ”


 


ชายวัยกลางคนในชุดคลุมทองเอ่ยออกเสียงเบา


 


“หน้ากาก?”


 


ด้วยมีเสียงของสตรีชุดขาวกระตุ้นเตือนความจํา ทําให้ร่างจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่ายงะไปเล็กน้อย จากนั้นในใจพลันปรากฏภาพจําหนึ่งวาบขึ้น และพอนึกได้ว่าเบื้องหน้าที่แท้เป็นผู้ใด ลูกตามันก็หดแคบลงเร็วไว สีหน้ายังซีดลงไม่น้อย!


 


เป็นมัน!?


 


“ทําเป็นลึกลับ!!”


 


ทันใดนั้นเอง จักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญที่รู้สึกอับอายทั้งโกรธเกรี้ยว เพราะไม่เพียงแต่จะถูกอีกฝ่ายขัดขวาง แต่อีกฝ่ายกระทั่งไม่เหลียวแลมันสักครั้ง มันก็หัวร้อนจนทนไม่ไหว โพล่งคําออกมาด้วยน้ําเสียงดุร้าย ทั่วร่างปรากฏเพลิงไฟลุกท่วมอีกครา


 


ฟูมมม!


 


เสียงพลังปะทุรุนแรงดังขึ้น เป็นก้อนมหึมาที่ก่อร่างขึ้นจากความว่างเปล่าอัดแน่นไปด้วยพลังไฟสุดไพศาล ง้างฟาดไปทางชายวัยกลางคนในชุดคลุมทองอย่างดุดัน!


 


“เพลิงผลาญ หยุดมือ!!”


 


การลงมืออย่างกะทันหันของจักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญ นับว่าเหนือความคาดหมายของจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าอยู่บ้าง! จักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าพึ่งจะนึกออกว่าอีกฝ่ายเป็นใครไม่ทันได้พูดอะไร จักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญดันลงมือใส่ผู้อื่นเต็มกําลังเสียอย่างนั้น!


 


ไม่เพียงแต่มันจะใช้ออกด้วยศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิ แต่ยังผสานไว้ด้วยความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟทั้งหมดที่เข้าใจ บ่งชี้ว่ามันหัวร้อนสุดทน คิดลงมือสังหารชายวัยกลางคนให้จบๆไป!


 


เสียงตะโกนของจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าไม่ได้เบาเลย เรียกว่าดังสนั่นลั่นฟ้าก็ยังได้ เพราะมันแฝงเร้นไปด้วยพลังเซียนอมตะต้นกําเนิด หมายห้ามปรามจักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญให้จงได้!


 


จังหวะนี้จักรพรรดิอมตะสมญานามคนอื่นๆที่กําลังประมือกัน ไม่เว้นจ้าววังเทียนฉือ โหยวเฟิงอวี้ที่ยังถูกเมิ่งชวนพัวพันไม่เลิก ราวมไปถึงจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับที่กําลังเล่นงานเผยหยวนจีพร้อมจักรพรรดิอมตะหอนฟ้า ก็ต่างซัดพลังทิ้งท้าย ผละแยกออกจากกัน และเหลีอบไปมองทางจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าทันที


 


พวกมันจึงได้เห็นว่า


 


ขณะนี้ จักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญที่สภาวะคล้ายรวมเป็นหนึ่งกับค้อนไฟอันเขื่อง ได้ปลดปล่อยพลังทําลายอันดุร้ายออกมา ง้างฟาดไปทางชายวัยกลางคนในชุดคลุมทองที่ยังคงลอยร่างนิ่งใบหน้าเฉยเมยไร้แยแส


 


การลงมือครั้งนี้ของจักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญ แม้ดูทรงแล้วก็เป็แค่การง้างค้อนฟาด ทุบไปตรงๆไร้ลูกเล่นใดๆ แต่จากกลิ่นอายพลังน่ากลัวนั่น ก็บอกได้ว่ามันลงมือจู่โจมออกไปสุดตัว! เผยพลังอันน่าพรั่นพรึงสมกับเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามแห่งพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ออก มาจนหมด!!


 


“หากตอนที่เจ้านั่นร่วมมือกับจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าและจักรพรรดิอมตะไม้เท้าวารีกมรุมข้า ทุ่มพลังจู่โจมสุดตัวแบบนี้…ข้าคงไม่ได้บาดเจ็บแค่เล็กน้อยแน่”


 


เห็นฉากการลงมือเบื้องหน้า ถือหย่าชีก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวพึมพํากับตัวเบาๆ


นางย่อมรู้เป็นธรรมดาว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 3 ที่กลุ้มรุมนาง ไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดสักคน


 


หากทั้ง 3 ทุ่มกําลังทั้งหมดเล่นงานนางแต่แรก อย่าว่าแต่ 3 คนเลย เกรงว่าแค่ 2 คนก็ทําให้นางไม่มั่นใจแล้ว ว่ายังจะรับมือได้ไหวถึงร้อยกระบวนท่าหรือไม่


 


“ไฉนมันมาที่นี้ได้!?”


 


แตกต่างจากจ้าววังเทียนฉือ โหยวเฟิงอ เผยหยวนจี้รวมถึงคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีปฏิกิริยา ใดๆหลังเห็นชาวัยกลางคนในชุดคลุมสีทอง


 


ด้านเมิ่งชวนถึงกับหยีตาแทบปิด หลังเห็นหน้าค่าตาชายวกลางคนในชุดคลุมทองชัดๆ! ในแววตายังฉายแววตกตะลึงทั้งเหลือเชื่อ เพราะร้อยพันหมื่นคาดมันก็ไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้เพราะชายวัยกลางคนนั้น ไม่ได้มีชื่อเสียงด้อยไปกว่าจักรพรรดิอมตะกร่างสวรรค์ เมงหลัว พี่ชายของมันเลย!


 


กล่าวไปแล้ว หากเทียบกับอีกฝ่าย พี่ชายของมันยังถือว่าเป็นแค่ดาวรุ่งดวงใหม่เท่านั้น!


 


กระทั่ง เมื่อ 100 ปีก่อน ยามที่พี่ชายของมันประมือกับอีกฝ่าย แค่จะเอาตัวให้รอดก็เต็มกลืน แล้ว!


 


“ตายย!!!”


 


จักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญคํารามสนั่นปานสัตว์ร้าย อารมณ์ของมันตอนนี้ เกรี้ยวกราดยิ่งกว่าฟ้าคุ้มฝนคลั่งเสียอีก!!


 


มันที่หัวร้อนจัด จนลงมือออกมาด้วยบันดาลโทสะ ไม่เพียงแต่จะปลดปล่อยพลังความ กซึ้งของกฎแห่งไฟออกมาทั้งหมดกระทั่งอารมณ์ยังเดือดดาลปานเพลิงไฟไปด้วย!


 


ทําให้ถึงแม้เสียงตะโกนห้ามปรามของจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าจะห่างไกลคําว่าเบา แต่เพราะเสียงพลังเพลิงไฟที่ปะทุ รวมถึงเสียงแหวกฝ่าสายลมด้วยความเร็วสูงรอบตัว ได้ลดทอนเสียงรอบข้างไปมาก จึงทําให้มันได้ยินไม่ชัดเจน


 


“อาศัยพลังเท่านี้ เจ้ายังคิดให้ข้าตาย?”


 


ท่ามกลางสายตาของทุกคน ชาวัยกลางคนที่เผชิญหน้ากับการลงมืออย่างเกรี้ยวกราดของจักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญก็กล่าวคําออกมาด้วยรอยยิ้มดูแคลน หากทว่าแววตาของอีกฝ่ายกลับกลายเป็นแหลมคม พุ่งยิงรังสีฆ่าฟันออกมาอย่างเห็นได้ชัด!!


 


และพริบตาต่อมา ชายวัยกลางคนในชุดคลุมทองก็อันตรธานหายไปจากสายตาของทุกคน


 


ปรากฏตัวอีกครั้ง ก็ไปผุดโผล่เบื้องหน้าจักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญแล้ว!


 


“ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะทําให้ข้าตายได้อย่างไร”


 


ชายวัยกลางคนในชุดคลุมทอง ที่อยู่ๆก็รูบร่างข้ามมิติไปโผล่ในระยะจู่โจมของจักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญ ใบหน้าของมันช่างเฉยเมยนัก สายตาที่ใช้มองจักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญยังฉายแววหยอกล้อให้เห็น


 


บรึม!!


 


ตูมมมม!!


 


โดนชายวัยกลางคนคลุมทองวูบร่างมากล่าวท้าทายซึ่งๆหน้าแบบนี้ จักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญที่หัวร้อนเป็นทุน ก็ไม่รอช้าฟาดทุบค้อนลงมาอย่างดุร้าย เงาค้อนแหวกฟ้าลงมาฉับไวเพลิงพลังงปะทุระเบิดออกมาถี่ยิบจนสภาวะพลังซ้อนทับราวระลอกคลื่นทับซ้อน!


 


ค้อนอันเขื่องที่ลุกโชนไปด้วยเปลวไฟร้อนลวก ฟาดทุบลงมาด้วยสภาวะดุร้ายหาใดเปรียบยังผลให้มวลอากาศแตกระเบิดไม่หยุด ก่อเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ทั้งคลื่นกระแทกกําจายออกไปรอบสารทิศ!


 


ปงงงงง!!


 


บังเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นลั่นหล้า ราวกับฟ้าถล่มลงแล้วก็ไม่ปาน


 


“ให้ตายเถอะ”


 


ในสายตาของต้วนหลิงเทียน ค้อนอันเรื่องที่อัดแน่นไปด้วยเพลิงไฟ แม้จะฟาดทุบลงมาด้วยสภาวะพลังดุร้ายหาใดเปรียบ แต่กระนั้นมันกลับหยุดลงเหนือศีรษะชายวัยกลางคนคลุมทองดื้อๆ!ราวกับความว่างเปล่าตรงนั้นเป็นปราการแกร่งไร้ทลาย มวลพลังที่อัดแน่นในก้อนจึงระเบิดออกไป ทุกทิศทางราวห่ามังกรเพลิงฝูงใหญ่หลุดพันธนาการ มุ่งหนีไปทั่วสารทิศ!!


 


และเมื่อค้อนที่เปี่ยมล้นไปด้วยสภาวะพลังเกรี้ยวกราดสุดตัวของจักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญห ยุดชะงักลง ไม่อาจรุกคืบได้แม้องคุลี ชายวัยกลางคนในชุดคลุมทองก็ไม่รอให้ใครทันได้ตตัว แค่น คําสบถเย้ยเสียงเย็นออกมาเบาๆ


 


และทันใดนั้นเอง


 


เปรียะ!


 


เสียงราวบางสิ่งปริแตกดังขึ้นถนัดหู จากนั้นรอยแยกมิติอันน่าสะพรึงกลัวก็ปรา กฏขึ้นเหนือศีรษะชายวัยกลางคนคลุมทองมองไปยังคล้ายปากของอสูรร้ายตัวเขื่องอ้าออก ฮุบ กลืนเพลิงไฟที่แตกตัวระเบิดออกไปทุกทิศทางในบัดดล!


 


หลังกลืนเปลวเพลิงแล้ว เสียงปานกระจกแตกร้าวก็ดังขึ้นระรัว ความว่างเปล่าใต้รอยแยกมิติเสมือนเริ่มบิดเบือนพับไปอย่างประหลาด มองไปประหนึ่งอุบัติขั้นบันไดก่อตัวทอดยาวออกไปเบื้องหน้า!


 


และเหนือขั้นบันไดนี้ รอยแยกมิติที่ราวกับปากอสูรกายก็ราวกับมีชีวิตขึ้นมา มันพุ่งถลาออกไปตามขั้นบันได จี้เข้าใส่จักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญ!!


 


“ใต้เท้าจี้อวี่เหนียน โปรดเมตตาด้วย!!”


 


ตอนนี้เอง จักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าที่เห็นฉากเรื่องราวถนัดตา ก็เร่งผสานพลังตะคอกคําสุดตัวอย่างร้อนรน


 


อนิจจามันยังตะโกนออกมาช้าไป


 


เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ!


 


ท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน จักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญที่คล้ายตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของรอยแยกมิติที่พุ่งตามห้วงมิติที่พับย่นแผ่ขยายออกมาราวขั้นบันได ก็พยายามหลบเลี่ยง แต่ร่างมันพึ่งขยับไม่ทันไร ก็โดนมิติพับผ่นที่แผ่มาราวขั้นบันไดนั่นฉีกเป็นชิ้นๆ !!


 


จากนั้นในสายตาของทุกคน ร่างที่แหลกเป็นชิ้นๆของจักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญ ก็ถูกรอยแยกมิติที่ราวกับปากของอสูรร้ายกระหายเลือดที่ตามมาไล่หลัง กลืนกินหายไปไม่มีเหลือ


 


ก่อนจะเห็นฉากนี้ ทุกคนก็ตระหนักได้แต่แรก


 


จักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญนั่น ตกตายวิญญาณสลายตั้งแต่โดน ห้วงมิติทับซ้อนที่แผ่ขยายมาราวขั้นบันไดคลี่กางนั่นไปแล้ว


 


“ช่างเป็นการใช้กฏมิติอันร้ายกาจนัก!!”


 


นี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่ต้วนหลิงเทียนได้เห็นการใช้พลังของกภูมิติอันน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้เพราะถึงเขาจะมีผลึกสํานึกของผู้แข็งแกร่งที่สุด แต่เสมือนมันอิงตามระดับความเข้าใจของเขา ทําให้เขาแลเห็นแค่การผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติแค่ 2 ประการชุดต่างๆเท่านั้น


 


ทว่าการลงมือของชายวัยกลางคนในชุดคลุมทองเบื้องหน้า เขาเชื่อว่าไม่มีการผสานรวมความลึกซึ้งของภูมิติแค่ 2 ประการชุดใด จะทําอะไรแบบนี้ได้เลย


 


กระทั่งเขายังสัมผัสได้ว่าเมื่อครู่ ไม่พ้นต้องเป็นการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 3 ประการ!แม้จะไม่ได้ทรงพลังถึงขั้นการผสานรวมความลึกซึ้ง 4 ประการของกฏอื่น แต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันสักเท่าไหร่


 


จักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญ จักรพรรดิอมตะสมญานามแห่งพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์อู่หยาเทียนที่เร่งเร้าพลังสภาวะถึงขีดสุด ออกกระบวนท่าลงมือจู่โจมเข่นฆ่าเข้าใส่ผู้อื่นเขาก่อน


 


อย่างไรก็ตามฝายหลังนึกจะลงมือก็ลงมือ เพียงวูบร่างไปโผล่เบื้องหน้า ปลดปล่อยกระบวนท่าออกมาอย่างไร้เรื่องราว ก็ถล่มมันจนตายไม่เหลือซาก!


 


“จี้อวี่เหนียน?!”


 


ตอนนี้เอง ข้างๆจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าที่ได้แต่คลี่ยิ้มขึ้นขมสีหน้าสลดแลดูอับจ นหนทางร่างชราของจักรพรรดิอมตะไม้เท้าวารีก็สะท้านไปราวเป็นไข้จับสั่น สีหน้ายังกลาย เป็นอัปลักษณ์ปั้นยา มองร่างในชุดคลุมทองอีกครั้ง ลูกตาก็หดหยีเผยประกายหวาดกลัว กล่าวอ กเสียงสั่นว่า “มัน…มันคือจื้อเหนียนงั้นหรือ!?”


 


“เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่น…กระทั่งจื้อเหนียนยังมาช่วยมันเชียวหรือ!?”


 


กับฉากเรื่องราวเบื้องหน้า แม้แต่เพิ่งชวนเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะงงเป็นไก่ตาแตก เพราะมันรู้ดีว่าชายวัยกลางคนชุดทองนั่นก็คือ ขี้อวี่เหนียน ผู้อาวุโสใหญ่แห่งเผ่ามังกรของว่านโช่วเทียน หรือที่รู้จักกันดีในนามจักรพรรดิอมตะสลายกําเนิด!


 


การลงมือของจื้อเหนียนเมื่อครู่ มันคือการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติหลายประการเรียกว่าคร่าชีวิตผู้คนในที่นี้ได้ในพริบตาแทบทุกคน


 


ต่อหน้าจักรพรรดิอมตะสลายกําเนิด จักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญนั่น ไม่ต่างอะไรกับกระดาษเปื่อยเปียกน้ําเลย ถูกฉีกเป็นชิ้นๆอย่างไร้ซึ่งพลังอํานาจต้านทาน


WSSTH ตอนที่ 3,344 : เจ้าตัวเล็กทั้ง 3 โตแล้ว


 


จักรพรรดิอมตะสลายกําเนิด จื่อวี่เหนียน


 


ในบรรดาจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ตอนนี้ มีเพียงเมิ่งชวน จักรพรรดิอมตะหยกกุ้ง คนเดียวที่เคยเห็นหน้าตาของจักรพรรดิอมตะสลายกําเนิด จื่อวี่เหนียน ส่วนจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าเคยพบเจอแต่ตอนที่อีกฝ่ายใส่หน้ากากเท่านั้น


 


ด้วยเหตุนี้จักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าจึงรู้สึกว่าจี้อวี่เหนียนให้ความรู้สึกคุ้นๆ แต่จดจําไม่ได้ว่าเป็นผู้ใด


 


มันพึ่งจะจําได้ว่าอีกฝ่ายคือจื้อวี่เหนียนเอาตอนที่ สตรีชุดขาวที่แลดูสง่างามเลอค่า นั่นกล่าวถึงเรื่องไม่ได้สวมหน้ากากออกมา


 


พอมันจดจําได้ว่าอีกฝ่ายคือจักรพรรดิอมตะสลายกําเนิด จี้อวี่เหนียน ด้านจักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญก็ปะทุพลังลงมือไปแล้ว กว่ามันจะตะโกนหยุดเรื่องราวจบคํา จักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญก็ถูกฆ่าตายไปซะก่อน


 


“เจ้านั่นก็คือจักรพรรดิอมตะสลายกําเนิด จี้อวี่เหนียน อาวุโสใหญ่ของเผ่ามังกรแห่งว่านโช่วเทียน?”


 


“ให้ตายเถอะ ข้าได้ยินชื่อเสียงจักรพรรดิอมตะสลายกําเนิดจี้อวี่เหนียนผู้นี้มานานแล้ว พอได้พบเจอนับว่าสมคําร่ําลือจริงๆ จักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญนั่นจะอย่างไรก็เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์อู่หยาเทียน แต่ต่อหน้ามันกลับคล้ายตัวอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง.. “


 


“ร้ายกาจยิ่ง”


 


นอกจากเมิงชวนกับจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่า จักรพรรดิอมตะสมญานามคนอื่นๆที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ ก็เคยได้ยินแต่ชื่อของจี้อวี่เหนียนเท่านั้น เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอีกฝ่ายตัวเป็นๆ


 


จังหวะนี้กระทั่งสองงตาของจักรพรรดิอมตะสมญานามที่หลบหนีออกจากคุกหมื่นพันธนาการไม่เว้นเผยหยวนจี้ก็ทอแสงจ้าขึ้นมา


 


การมาถึงของจี้อวี่เหนียน ย่อมเหนือความคาดหมายของพวกมันเช่นกัน


 


และจากการกระทําของจี้อวี่เหนียนตั้งแต่ตอนปรากฏตัวนั้น พวกมันเห็นได้ชัดเลยว่า..


 


จี้อวี่เหนียนเป็นมิตร ไม่ใช่ศัตรู!


 


“อาวุโสจี้”


 


จ้าววังเทียนฉือ โหยวเฟิงอวี้ มองจี้อวี่เหนียนด้วยใบหน้าอัปลักษณ์นั้นยาก เพราะไม่ว่าจะจักรพรรดิอมตะเพลิงเผลาญ จักรพรรดิอมตะไม้เท้าวารี หรือจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่า ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนของตามัน จักรพรรดิสวรรค์แห่งอู่หยาเทียนส่งมาช่วยเหลือ


 


แต่จักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญ กลับถูกอีกฝ่ายฆ่าทิ้งต่อหน้าต่อตา


 


“จักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญ จะอย่างไรก็เป็นคนที่ท่านตาข้าส่งมาเพื่อช่วยเก็บกวาดนักโทษแหกคุกน…ท่าน ไฉนถึงต้องลงมือสังหารผู้คนด้วย? ท่านไม่คิดจะอธิบายให้ข้าฟังหน่อยหรือ?”


 


เสียงกล่าวของโหยวเฟิงอวี้ ยิ่งมาน้ําเสียงก็ยิ่งมืดมนมากขึ้น


 


คนอื่นๆอาจจะหวาดกลัวความแข็งแกร่งของจื่อวี่เหนียน แต่มันไม่ได้กลัวเลย เพราะนี่ก็เหมีอนมันที่ไม่กล้าลงมือกับเมิ่งชวน จี้อวี่เหนียนก็ไม่กล้าแตะต้องมันง่ายๆแน่ เพราะเบื้องหลังมันมีตาที่เป็นจักรพรรดิสวรรค์แห่งอิหยาเทียนหนุนหลังอยู่


 


สําหรับจักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญ มันก็รู้ว่าไฉนจี้อวี่เหนียนถึงกล้าฆ่า ไม่พ้นอีกฝายคงต้องคิดว่าจักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญเป็นแค่ลิ่วล้อคนหนึ่งของตามันเท่านั้น ไม่ได้สลักสําคัญอะไรถึงจะตายไปก็เท่านั้น


 


อย่างไรก็ตาม แม้มันจะรู้เหตุผลดี แต่มันก็ยังอยากฟังคําอธิบายจากปากของอีกฝ่าย


 


เพราะสุดท้ายแล้ว ตอนนี้มันก็จําต้องเรียกขวัญกําลังใจกลับคืน


 


มันเดาได้ไม่ยากเลย ว่าตอนนี้จักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่า กับจักรพรรดิอมตะไม้เท้าวารีคงหวาดกลัวจนหัวหดหมดแล้ว ไม่พ้นต้องคิดแต่จะล่าถอยจากไปถ่ายเดียว


 


“ให้ข้าอธิบาย?”


 


จี้อวี่เหนียน กลอกตามองไปยังโหยวเฟิงอวี้ กล่าวออกเสียงเฉย “คิดจะให้ข้าซื้อเหนียนอธิบาย อาศัยจ้าววังเทียนฉืออย่างเจ้ายังไร้คุณสมบัติ หากตาของเข้ามาด้วยตัวเอง ถ้าอารมณ์ดีหน่อย ข้าอาจจะอธิบายให้มันฟังอยู่บ้าง”


 


“กล่าวเช่นนี้หรืออาวุโสจี้ตั้งใจเป็นปกปักษ์กับวังเทียนฉือข้า? กระทั่งคิดจะเป็นศัตรูกับพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู่หยาเทียน?”


 


โหยวเฟิงอวี้ ไม่คิดเลยว่าจี้อวี่เหนียนจะไม่ไว้หน้ามันสักนิด สีหน้ามันจึงกลายเป็นอัปลักษณ์ดูไม่ได้ สองตายังฉายแววเย็นชาแหลมคมปานมีดดาบ


 


เรียกว่าหากสายตาฆ่าคนได้ ไม่ทราบจี้อวี่เหนียนจะถูกมันฆ่าตายไปแล้วกี่รอบ


 


“เจ้าจะคิดแบบนั้นก็ได้”


 


จี้อวี่เหนียนตอบคําเสียงเฉย ไม่ได้สนใจคําขอะไรของโหยวเฟิงอวี้สักกะฝึก


 


“ท่าน!”


 


จังหวะนี้โหยวเฟิงอวี้วมีโฒโหแทบกระอัก ขณะเดียวกันมันก็เร่งติดต่อไปหาตาของมันทันที


 


ด้านจักรพรรดิสวรรค์แห่งอิหยาเทียน ก่อนหน้าก็ได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือจากโหยวเฟิงอวี่มาแล้วรอบหนึ่ง จึงส่งจักรพรรดิอมตะสมญานามใต้บัญชาไป 3 คน เพราะคิดว่าเพียงเท่านี้ก็คงพอจะช่วยจัดการนักโทษให้โหยวเฟิงอวี้ได้แล้ว


 


มันเองก็สุดที่จะจินตนาการได้ออก ว่าเรื่องราวกลับบานปลายไปกันใหญ่ ถึงขั้นอาวุโสใหญ่เผ่ามังกรอย่างจี้อวี่เหนียนจะมาด้วย!


 


“แล้วเจ้าจี้อวเหนียนนั่น มันไม่ไว้หน้าข้าเลยรึ?”


 


“เจ้ารอข้าที่นั่น ข้าจักรีบไปเดี๋ยวนี้!”


 


หลังได้รับทราบถึงความเหิมเกริมของอวเหนียน เสียงตอบข้อความของจักรพรรดิสวรรค์อูหยาเทียนก็ฟังดูมืดมนนัก


 


ด้านโหยวเฟิงอวี้ พอรับทราบว่าตามันจะมาด้วยตัวเอง สองตาก็ลุกวาวสว่างจ้าทันที


 


“อาวุโสจี้ ตอนนี้ท่านตาของข้ากําลังมา ว่าแต่ท่านจักอยู่รอท่านตาข้า หรือจักวิ่งหนีเยี่ยงมุสิกข้ามถนนถูกคนไล่เล่า?”


 


โหยวเฟิงอวี้ หันไปมองจี้อวี่เหนียนด้วยสายตาแหลมคมปานมีสายฟ้าแลบลั่น เอ่ยถามออกมาเสียงเข้มแฝงความเย้ยหยัน


 


“หึ!”


 


และพร้อมๆกันกับที่โหยวเฟิงอวี้วี่กล่าวจบคํา สีหน้าจี้อวี่เหนียนก็มีดลงทันที เสียงพ่นลมสบถอย่างไม่สบอารมณ์ดังขึ้น จากนั้นร่างก็ไปวูบไปโผล่เบื้องหน้าโหยวเฟิงอวี้ราวภูตผี


 


ปงงง!!


 


โหยวเฟิงอวี้ ที่รู้สึกตัวว่าผิดท่า ก็พยายามเร่งเร้าพลังขึ้นมาป้องกันตัวเอง อนิจจานไหนเลยจะไปสู้จี้อวี่เหนียนได้? พลังมิติของอีกฝ่ายสามารถปนนี้ม่านพลังสายลมของมันได้ง่ายดายก่อน จะซัดกระแทกเข้ากลางอกอย่างจัง จนคนตัวปลิวกระเด็นไปไม่เป็นท่า


 


“อั๊คค-”


 


โหยวเฟิงอวี้วี่ที่ร่างปลิวไปไปไม่เป็นท่าราวว่าวสายปานขาด กระอักโลหิตออกปากเป็นสายลากยาวไปกว่า 100 หมี ค่อยขึ้นร่างหยุดลงกลางหาวได้อีกครั้ง! สารรูปแลดูอนาถราวขอทานเฒ่าใกล้ตาย…


 


“จ้าววัง!”


 


พอเห็นโหยวเฟิงอวี้ถูกซัดจนบาดเจ็บสาหัส สีหน้าเหล่าจักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนถือก็มีดไปเป็นแถบ พวกมันหันไปมองจี้อวี่เหนียนอย่างไม่พอใจทั้งหวาดระแวง แต่ที่มากกว่าใดอื่นคือความกลัว


 


จี้อวี่เหนียนที่ลอยร่างอยู่ตรงนั้น สีหน้ายังคงเฉยเมยไร้แยแส “ผ่านไปหลายปีดีดัก แต่โหยวเฟิงอี้เจ้ากลับก้าวหน้าแค่เล็กน้อย กระทั่งนังหนูผู้นั้นยังดีกว่าเจ้าเสียอีก!”


 


สิ้นคํากล่าว จี้อวี่เหนียนก็หันไปมองร่างที่สตรีลอยอยู่ไม่ไกล


 


เป็นฉือหย่าชี


 


ได้ยินคําพูดดังกล่าวของจี้อวี่เหนียน ทุกคนพลันตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่งที่แท้จื้อเหนียนมาถึงนานแล้ว! แต่อีกฝ่ายเลือกจะซ่อนตัวหลังม่านเมฆเพื่อชมดูเรื่องราว!!


 


“ทําไม? พวกเจ้าอยากฉะกับข้ารึ?”


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของจักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือ จี้อวี่เหนียนก็กวาดตามองหน้าพวกมันทุกคพลางกล่าว “หากข้องใจนัก พวกเจ้าก็มัดรวมกันเข้ามาเลยเถอะ!”


 


ต้องบอกเลยว่าจี้อวี่เหนียนนั้นหยิ่งผยองมาก!


 


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครขอเพียงสายตาไม่ฝ้าฟาง ย่อมแลเห็นเรื่องหนึ่งชัดเจน


 


อีกฝายมีทุนรองให้หยิ่ง!!


 


“หืม?”


 


ทันใดนั้นเอง จื่อวี่เหนียนที่กวาดตามองท้าจักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉืออย่างไม่แสรอบหนึ่ง ก็วกกลับมาหยุดมองยังจักรพรรดิอมตะหอนฟ้าอีกครั้ง ค่อยเลิกคิ้วกล่าวขึ้นว่า “ไม่แปลกใจเลยที่ไฉนข้ารู้สึกคุ้นๆหน้าเจ้าแต่แรกที่เท้าเจ้าคือหมาน้อยที่ติดตามอยู่ข้างกายเจ้า 3 ตาไม่ใช่รึไง?”


 


“แล้วไฉนหมาน้อยเจ้าถึงมาอยู่ร่วมก๊วนกับพวกวังเทียนฉือได้เล่า? ติดตามอยู่กับเจ้า 3 ตา ดีๆไม่ชอบกลับถ่อมาถึงวังเทียนฉือทําอะไร? เจ้ายิ่งมายิ่งเหลวไหลใหญ่แล้ว!”


 


กล่าวจบจี้อวี่เหนียนก็ส่ายหัวไปมา


 


“อาวุโสจี้”


 


โดนจี้อวี่เหนียนตําหนิ ไม่เพียงจักรพรรดิอมตะหอนฟ้า หยางเซี่ยวเทียน จะไม่โกรธ แต่ยังดูลกลี้ลุกลนราวเด็กน้อยทําผิด “ข้ากับพี่ใหญ่ทะเลาะกันเล็กน้อย…ข้าก็เลยออกมาหาที่พักใจบ้างอะไรบ้าง”


 


จักรพรรดิอมตะหอนฟ้าต่อหน้าจี้อวี่เหนียนแล้ว ช่างแลดูเรียบๆร้อยๆไม่น้อย แววตายังฉายความยําเกรงอยู่หลายส่วน


 


จี้อวี่เหนียนคนนี้ ในอดีตมันเคยพบเจออีกฝ่ายหลายครั้งแล้ว แน่นอนว่าทุกครั้งที่เจอเป็นอีกฝ่ายมาหาพี่ใหญ่ของมัน


 


ไม่หยางเจี้ยนไปหาซื้อเหนียน จี้อวี่เหนียนก็มาหาหยางเจียนเพื่อพบปะสนทนา บ้างก็ประมือกันชมดูความก้าวหน้า


 


ตอนแรกก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ เป็นพวกมันมีเรื่องมีราวกับจี้อวี่เหนียนจนต้องปะทะไล่ฆ่ากัน แต่ ลังๆมาทั้งคู่ก็ค่อยๆคลี่คลายเรื่องราวความบาดหมาง จนกลับกลายเป็นสหาย


 


จื่อวี่เหนียนคนนี้ ก็เป็นตัวตนที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าหยางเงี่ยนเลย


 


“อ้อ ที่แท้เจ้าหอบข้าวหอบของหนีมานี้ เพราะงอนพี่ใหญ่เจ้างั้นสิ?”


 


อวี่เหนียนหยีตากล่าวอย่างระอา


 


“อาวุโสจี้”


 


ตอนนี้เอง โหยวเฟิงอวี้วี่ที่ถูกจี้อวี่เหนียนซัดจนเจ็บหนัก หลังตบโอสถอมตะเข้าปากกับเดินพลังไม่กี่รอบ ลมหายใจมันก็ค่อยๆฟื้นกลับมาเป็นปกติ สองตามองจ้องไปยังจี้อวี่เหนียนไกลๆ เอ่ยถามออกมาเสียงหนักว่า “ท่านไฉนต้องสอดมือเข้ามาแทรกแซงเรื่องราวภายในของวังเทียนฉือข้าด้วย?”


 


“อ้อ เรื่องนี้เจ้าต้องถามเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 นั่นแล้วล่ะ”


 


จี้อวี่เหนียนเอ่ยออกเสียงเบา โดยเฉพาะตอนกล่าวคํา เจ้าตัวเล็ก น้ําเสียงของมันก็อ่อนโยนขี้นมาก ไม่เฉยเมยหัวนแข็งเหมือนก่อนหน้า


 


ได้ยินดังว่า สายตาของโหยวเฟิงอวี้ และคนอื่นๆ ไม่เว้นต้วนหลิงเทียนก็เบนไปตกลงบนร่างของชายหนุ่มหญิงสาวทั้ง 3 ด้านหลังสตรีสะสวยชุดขาวแลดูสูงศักดิ์ไม่ไกลทันที


 


“ฮ่าๆๆๆ!!”


 


และตอนนี้เอง สตรีในชุดทองก็หันหน้าไปมองกล่าวกับหญิงสาวชุดขาวและชายหนุ่มชุดดําข้างกายด้วยเสียงหัวเราะ สองตากลมสดใสดั่งมณียังแลดูสนุกสนานนัก “ไล่ล่ะๆๆ เสี่ยวเฮยเสี่ยวไป ข้าบอกพวกเจ้าแล้วพี่ใหญ่หลิงเทียนจําพวกเราตอนโตไม่ได้หรอกเห็นแล้วรึยังเล่า?”


 


“เอาล่ะๆ เจ้าชนะแล้ว”


 


หญิงสาวในชุดขาวกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้


 


เนื่องจากบรรยากาศตอนนี้มันค่อนไปทางตึงเครียดอยยู่บ้าง ทําให้ค่อนข้างเงียบ แม้เสียงของสตรีทั้ง 2 จะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่ก็ยังดังมากพอเข้าหูทุกคน


 


ทันใดนั้นสายตาของทุกคนไม่เว้น เผยหยวนจี้กับโหยวเฟิงอวี้ ก็เบนมาตกยังร่างต้วนหลิงเทียนทันที


 


เมื่อครู่สตรีชุดทองนั่กล่าวคํา “พี่ใหญ่หลิงเทียน” ออกมาไม่ผิดแน่ และในที่นี้ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ชื่อ “หลิงเทียน


 


“เสี่ยวเฮย? เสี่ยวไป?”


 


ในขณะที่ทุกคนหันมามองต้วนหลิงเทียน ต้วนหลิงเทียนก็กําลังอื้ออึงราวตัวโง่งมอยู่บ้างเพราะเขารู้สึกตกตะลึงกับบทสนทนาระหว่างสตรีทั้ง 2 แล้วจริงๆ


 


เสี่ยวเฮย เสี่ยวไป..


 


ช่างเป็นชื่อที่คุ้นเคย และทําให้เขาคิดถึงนัก


 


ตอนนี้พอมองไปยังร่างชายหนุ่มหญิงสาวทั้ง 3 อีกรอบ ใจต้วนหลิงเทียนก็สะท้านไปทันใดยิ่งมาก็ยิ่งเต้นไปไม่เป็นจังหวะ “ใช่พวกมันหรือไม่….พวกมัน….ที่แท้…กลับโตขนาดนี้แล้วหรือ?”


ในความทรงจําของต้วนหลิงเทียนนั้น แม้เจ้าตัวน้อยทั้ง 3 ในอดีตจะจําแลงกายเป็นมนุษย์ได้แล้ว แต่ก็ยังอยู่ในรูปลักษณ์เด็กน้อยไม่กี่ขวบอยู่


 


ส่วนทั้ง 3 คนเบื้องหน้า ตอนนี้แลดูเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้แตกต่างไปจากเขาสักเท่าไหร่


 


นอกจากนั้น แรกเห็นทั้ง 3 เขาก็รู้สึกคุ้นเคยทั้งสนิทใจแปลกๆ ยังนึกไม่ออกว่าไฉนถึงได้รู้สึกแบบนั้น…พอมาตอนนี้ ทุกอย่างกระจ่างแล้ว ที่แท้ทั้ง 3 ก็คืออดีตอสรพิษน้อยทั้ง 2 กับเจ้าหนูขนทองแสนซนตัวกลมนั่น!


 


“พี่ใหญ่หลิงเทียน”


 


สุดท้ายก็เป็นชายหนุ่มชุดดําที่ใบหน้าเย็นชาคนแรกที่ปั้นหน้าเข้มต่อไปไม่ไหว เห็นร่างมาหยุดลงเบื้องหน้าตัวนหลิงเทียน ใบหน้าเย็นชาแต่เดิมบัดนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส สองตากลายเป็น อ่อนโยน ร่างสูงใหญ่ยังสะท้านไปเบาๆ


 


“เสี่ยวเฮย?


 


ตัวนหลิงเทียนมองขึ้นๆลงๆชายหนุ่มชุดดําเบื้องที่สูงเท่าๆเขา แม้จะพอคาดเดาตัวตนอีกฝ่ายได้แล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าปักใจเชื่อทั้งหมด ได้แต่เอ่ยถามออกไปเสียงเบา


 


“ข้าเองพี่ใหญ่”


 


ชายหนุ่มชุดดําพอได้ยินถ้วนหลิงเทียนเรียกหาว่า “เสียวเฮย” สองตาก็ทอประกายจ้าแลดูสดใส จากนั้นก็ก้าวออกไปเบื้องหน้ากางมือทั้งสองออก ร่างยังสั่นสะท้านไปด้วยความตื่นเต้น


 


สองตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน ยังเริ่มมีน้ําตาเอ่อคลอ


 


“ฮ่าๆๆๆ เสี่ยวเฮย! เป็นเจ้าจริงๆด้วย!”


 


ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้าดึงร่างเสียวเฮยมากอดด้วยความคิดถึง แลดูเสมือนพี่น้องที่พรัดพรากจากกันมานานได้มาพบเจอกันอีกครั้ง กระชับวงแขนแน่น สองตาฉายชัดถึงความตื่นเต้นยินดียากระงับอารมณ์สืบไป


 


นานนักยังเนิ่นนานกว่า 200 ปีแล้ว


 


เขาไม่ได้พบเจอเสี่ยวเฮย เสี่ยวไป และเสี่ยวจินมา 200 กว่าปี


 


บัดนี้เจ้าตัวเล็กในวันวาน เติบโตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)