Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1150-1155
ตอนที่ 1150 ใช้ความสามารถแห่งตนเข้าถึ...
หอมกุฎ
สูงโดดเด่นทะลวงเมฆ ยิ่งใหญ่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ทุกๆ แดนล้วนมีหอที่คล้ายกันหนึ่งหอ ภายในมีการต่อสู้ทดสอบ
มีเพียงบุคคลขอบเขตมกุฎหนึ่งพันอันดับแรกจึงจะมีคุณสมบัติเข้าไปแสวงศุภโชคและวาสนาในแดนเก้าบน ผ่านทางเดินที่เปิดออกโดยหอแห่งนี้ในอีกหนึ่งปีข้างหน้า!
นี่ก็หมายความว่าภายในหนึ่งปีนี้ ผู้แข็งแกร่งทุกคนที่ปรารถนาจะเข้าไปในแดนเก้าบน ล้วนต้องเข้ามารับการทดสอบในหอนี้
แน่นอนว่าการเข้าสู่แดนเก้าบนยังมีอีกทางหนึ่ง
นั่นก็คือบรรลุระดับราชันให้ได้ในหนึ่งปีนี้
สามารถมองเห็นผู้ฝึกปราณมากมายกำลังเข้าไปในหอแต่ไกล และมีผู้ฝึกปราณมากมายเดินออกจากหอมกุฎ
“อันดับเกิดการเปลี่ยนแปลงทุกวัน นอกเสียจากสามารถแทรกเข้าไปอยู่หนึ่งร้อยอันดับแรกในรวดเดียว มิฉะนั้นแม้ตอนนี้สามารถแทรกเข้ามาอยู่ในหนึ่งพันอันดับแรกได้ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะถูกเบียดลงไปตลอดเวลา”
มีคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์พูดคุยกัน
“พยายามเข้าเถอะ แดนเผาเซียนนี้ศุภโชคมากมาย ขอเพียงแค่คว้าเอาไว้ได้ ทำให้ศักยภาพของตนยกระดับขึ้นอย่างก้าวกระโดดก็ใช่จะเป็นไปไม่ได้”
“เฮ้อ แต่ยากเกินไป ผู้ฝึกปราณที่เข้ามาในแดนเผาเซียนครั้งนี้มากถึงหลายล้านคน กลับมีเพียงหนึ่งพันคนที่มีสิทธิ์เข้าไปในแดนเก้าบน การแข่งขันนี้โหดร้ายจริงๆ”
“ข้าน่ะไม่หวังแล้ว ขอเพียงแค่สามารถช่วงชิงวาสนาจำนวนหนึ่งได้ ทำให้ข้าบรรลุระดับราชันได้อย่างราบรื่นก็เพียงพอมากแล้ว”
“บรรลุราชันหรือ เหอะๆ ยังไม่ต้องพูดถึงมกุฎราชัน เพียงแค่สามารถก้าวสู่ระดับราชันก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำได้!”
“ในโลกนี้เต็มไปด้วยระดับกึ่งราชัน แม้พวกเขาจะโดดเด่น แต่ว่ากันถึงแก่นแท้แล้วล้วนเป็นผู้ที่พลาดจากการบรรลุสู่ระดับราชัน! คนที่สามารถเหยียบย่างระดับราชันได้จริงๆ แม้ในบรรดาผู้กล้าพันคนก็ยังไม่มีสักคน!”
“ไม่ นี่คือแดนมกุฎ วาสนาและศุภโชคมากมาย การบรรลุราชันก็ถูกกำหนดให้ง่ายกว่าโลกภายนอก”
ห่างออกไปหลินสวินกับอาหลู่ที่กำลังหอมกุฎ หลังจากได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้จิตใจก็ไม่สั่นคลอน
ถ้าอยากกลายเป็นราชัน พวกเขาสามารถทะลวงระดับได้นานแล้ว
แต่เป้าหมายของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่
อยากจะเป็นราชัน และอยากจะบรรลุขอบเขตมกุฎระดับราชัน!
ส่วนเรื่องที่จะแทรกตัวเข้าไปในหนึ่งพันอันดับแรก หลินสวินกับอาหลู่มั่นใจว่าจะทำได้
“พี่ใหญ่ ตอนนี้ไปเล่นกันหน่อยมั้ย” อาหลู่ยิ้มพูด
“ไว้ก่อนเถอะ”
หลินสวินตัดสินใจหาที่พักผ่อนก่อนจะได้จัดการมรรคาในตัวด้วย เพื่อเตรียมความพร้อมในการสร้างเมล็ดพันธุ์มรรคของตน!
ได้ฟังคำพูดของเซียนผลาญเฉินหลินคงทำให้หลินสวินตระหนักได้อย่างสิ้นเชิงว่า มรรคาของตนทำได้เพียงแค่แสวงหาด้วยตัวเอง
พูดง่ายๆ ก็คือคำว่า ‘อย่าคิดหาจากภายนอก!’
สำหรับหอมกุฎ ภายในหนึ่งปียังมีโอกาสเข้าไปทะลวงอีกมาก
กลับเป็นเจดีย์มกุฎนั่นที่ทำให้หลินสวินสนใจไม่น้อย
ขอเพียงแค่ได้รับการยอมรับจากเจดีย์นี้ ก็สามารถเข้าไปแสวงหาศุภโชคในแดนอื่นของสามพันแดนได้
นี่ก็เท่ากับการจัดแจงเส้นทางหนึ่ง ทำให้ระหว่างผู้ฝึกปราณที่กระจายอยู่ในสามพันแดนสามารถลงมือข้ามพื้นที่ได้
‘ก็ไม่รู้ว่าแม่นางจิ่งเซวียนอยู่ในแดนไหน…’
จู่ๆ หลินสวินก็นึกถึงจ้าวจิ่งเซวียน จากนั้นพลันส่ายหน้าจากไปพร้อมอาหลู่
……
มุมอันห่างไกลเปล่าเปลี่ยวในเมืองเผาเซียน
หลินสวินเปลี่ยนรูปลักษณ์ จ่ายโอสถราชันไปต้นหนึ่งเพื่อซื้อบ้านหลังหนึ่งจากมือผู้ฝึกปราณ
จากเรื่องนี้ก็สามารถดูออกว่ามูลค่าของเมืองโบราณเผาเซียนแพงแค่ไหน!
แน่นอนว่าก็มีเพียงแค่หลินสวินที่ยอมควักโอสถราชันต้นหนึ่งแลกกับบ้านหนึ่งหลัง ถ้าเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ คงยอมตายในเมืองแต่ไม่ยอมเสียโอสถราชันต้นหนึ่งกับเรื่องแบบนี้
แต่พักอยู่ในเมืองก็มีข้อดี อย่างเช่นการสืบข่าว หรือซื้อโอสถวิญญาณและวัตถุดิบเทพในมือผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ เป็นต้น
ถึงขั้นที่ในระหว่างฝึกปราณ ก็สามารถดูดซับไอวิญญาณที่บริสุทธิ์และหนาแน่นกว่า
เพราะทั้งเมืองโบราณราวกับกระบวนรอยสลักวิญญาณรวมที่ใหญ่โตอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทำให้ไอวิญญาณทั่วทุกทิศต่างมารวมตัวกัน!
เรียกได้ว่าการฝึกปราณในเมืองก็ไม่ต่างกับการฝึกปราณที่ถ้ำสวรรค์แดนมงคล ถึงขั้นที่ผลลัพธ์ดีกว่าด้วยซ้ำ
ที่หลินสวินเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ก็เพราะไม่อยากถูกรบกวน
ตอนนี้เขากำลังมีชื่อเสียง หากเปิดเผยฐานะจะต้องดึงดูดเรื่องเป็นเรื่องมากมายแน่นอน และอาจจะนำพาความเดือดร้อนมาสู่ตัวเอง
บ้านหลังนี้เก่าคร่ำคร่า พื้นที่ไม่ใหญ่ แต่ได้เปรียบที่ความเงียบสงบ
หลังจากหลินสวินวางกระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชันไว้หลังบ้านจึงรู้สึกผ่อนคลายลงมาก เช่นนี้แม้มีศัตรูภายนอกบุกรุกเข้ามา อย่างน้อยก็มีพลังป้องกันระดับหนึ่ง
“พี่ใหญ่ ข้าอยากไปสืบข่าวเกี่ยวกับแดนโบราณหมื่นคชาสักหน่อย”
ทันทีที่จัดแจงทุกอย่างลงตัวอาหลู่ก็รีบพูดขึ้น
จากการชี้แนะของเซียนผลาญเฉินหลินคง ศุภโชคของอาหลู่มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเกี่ยวข้องกับแดนโบราณหมื่นคชา
“อยากให้ข้าไปกับเจ้าหรือไม่”
หลินสวินพูด
“ไม่ต้อง แค่สืบข่าวเท่านั้น ข้าคนเดียวก็พอ”
อาหลู่พูดและออกไปอย่างเร่งรีบในวันนั้น
แต่สิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังคือ ในเมืองโบราณเผาเซียนที่กว้างใหญ่ไพศาล กลับไม่มีผู้ฝึกปราณคนไหนเคยได้ยินชื่อ ‘แดนโบราณหมื่นคชา’
สุดท้ายเขาตัดสินใจพึ่งเจดีย์มกุฎ มุ่งหน้าไปสืบในแดนอื่นๆ ของสามพันแดน ดูว่าสามารถสืบเบาะแสของแดนโบราณหมื่นคชาได้หรือไม่
เดิมหลินสวินตัดสินใจจะไปกับเขา แต่อาหลู่กลับปฏิเสธ
จากที่เขาบอกนี่คือมรรคาของเขา ต้องไปแสวงหาด้วยตัวเอง หากต้องการความช่วยเหลือจริงๆ เขาจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง
หลินสวินเองก็ไม่ได้ฝืน แค่แบ่งโอสถราชันและสมบัติส่วนหนึ่งในตัวให้อาหลู่ ในนั้นยังรวมไปถึงไผ่อสนีหมื่นเคราะห์ท่อนหนึ่ง
วันนี้อาหลู่จากไปอย่างเร่งรีบ
หลินสวินกลับไม่ได้เป็นห่วง พลังต่อสู้ในตัวอาหลู่แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว แม้เขาดูเหมือนหยาบกระด้าง แต่ความจริงกลับไม่ได้โง่เขลา รู้ว่าควรตัดสินสถานการณ์อย่างไร
และวันนี้เองที่หลินสวินเริ่มปิดด่านฝึกตน
การปิดด่านครั้งนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่ยกระดับพลังต่อสู้ แต่หมายจะจัดแจงมรรคาในตัวใหม่ เสาะหาและสำรวจหนทางในภายหน้า
ยากมาก!
ทว่านับตั้งแต่หลินสวินก้าวสู่ระดับหยั่งสัจจะ ก็เหยียบย่างบนหนทางแห่งมกุฎแล้ว หลายปีที่ผ่านมาได้สั่งสมประสบการณ์และความรู้หลากหลายมานานแล้ว
เขารู้ว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการคืออะไร!
…
ช่วงระยะเวลาหลังจากนั้นผู้ฝึกปราณในเมืองโบราณเผาเซียนพลันพบว่า เทพมารหลินราวกับระเหยหายกลางอากาศ ไม่มีการเคลื่อนไหวอีกเลยแม้แต่น้อย
“เขาเสาะหาวาสนาอยู่ในดินแดนแห่งศุภโชคสักแห่งหรือ”
“มีความเป็นไปได้ว่าจะเจอปัญหาที่ยากจัดการ ถึงอย่างไรศึกที่หุบเขาผลาญสวรรค์ บุคคลขอบเขตมกุฎที่ตายในมือเขาก็มากเกินไป!”
“ไม่ผิด ข้าได้ยินว่าขุมอำนาจอย่างพวกเผ่าอีกาทองได้เคลื่อนกำลัง มุ่งหน้าผ่านเจดีย์มกุฎไปขอกำลังเสริมที่แข็งแกร่งในแดนอื่นๆ เพื่อแก้แค้นเทพมารหลิน!”
“ข้าเองก็เคยได้ยินว่าผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์ก็กำลังตามหาเทพมารหลิน บอกว่าเทพมารหลินเป็นคนนอกรีต ต้องการโปรดสัตว์เขา!”
“มิน่าเทพมารหลินถึงหายไปไร้ร่องรอย หากเป็นข้าเจอปัญหามากมายขนาดนี้ ข้าเองก็ต้องหลบซ่อนตัวอย่างแน่นอน”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์เยอะมาก
แต่ท่ามกลางเวลาที่ผ่านพ้นไป ข้อวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับหลินสวินก็ค่อยๆ น้อยลง
ผู้ฝึกปราณที่เข้าสู่แดนเผาเซียนในครั้งนี้มากนับล้าน นี่เป็นจำนวนที่มากจนหาที่เปรียบไม่ได้อย่างแน่นอน ในนั้นมีผู้กล้าขอบเขตมกุฎอยู่ไม่น้อย ยิ่งไม่ขาดสัตว์ประหลาดยุคโบราณ
มีเรื่องใหญ่ที่สร้างความฮือฮาแทบจะทุกวัน
มีคนเข้าไปในดินแดนแห่งวาสนาโดยบังเอิญ ได้รับศุภโชคที่คิดไม่ถึง นำพาความปั่นป่วนโกลาหล
และมีเหตุการณ์เข่นฆ่าที่โหดเหี้ยมอำมหิตเกิดขึ้นในพื้นที่ต่างๆ ของแดนเผาเซียน บุคคลขอบเขตมกุฎบางคนร่วงหล่นเพราะเหตุการณ์นี้ ทำให้ผู้ฝึกปราณมากมายหัวใจสะท้าน
แต่ก็มีผู้แข็งแกร่งที่โดดเด่นสะดุดตาผงาดขึ้นมาเพราะเหตุนี้เช่นกัน กลายเป็นคนที่แต่ละขุมอำนาจใหญ่จับตามอง
เริ่มแรกแม้ผลงานของหลินสวินจะสะดุดตา แต่หลังจากเขาเงียบหายไม่มีข่าวคราวอีก แน่นอนว่าก็ไม่มีคนถามถึงและค่อยๆ ถูกลืมเลือนไป
……
เวลาล่วงเลยไปแล้วสามเดือนโดยไม่รู้ตัว
ในแดนเผาเซียนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีคนผงาดกร้าว มีคนร่วงหล่น มีคนดีใจ มีคนโศกเศร้า
แต่ทุกอย่างล้วนไม่เกี่ยวกับหลินสวินแล้ว
ภายในบ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบ หลินสวินปิดด่านฝึกตนในห้องหนึ่ง ตรวจสอบมรรคาของตน สะสางจัดแจงและสรุปประสบการณ์ ความรู้ ความเข้าใจของการฝึกปราณในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
คนยิ่งเติบโตเท่าไหร่ ก็จะยิ่งค้นพบว่าเมื่อก่อนตนอ่อนหัดและไร้เดียงสาเพียงใด
การฝึกปราณก็เช่นกัน
ยิ่งยืนอยู่สูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งเข้าใจว่ามรรคาที่ตนเดินก่อนหน้านี้เป็นทางที่ขดเขี้ยว หรือเป็นทางตรงที่เปิดสว่าง
สิ่งที่เมื่อก่อนคิดว่าถูก ก็ใช่ว่าจะถูกจริงๆ
สิ่งที่เมื่อก่อนคิดว่าผิด บางทีอาจจะซ่อนความเร้นลับที่เป็นเบาะแสของอะไรบางอย่าง
การฝึกปราณตลอดทางนี้ ก็เหมือนเดินอยู่ระหว่างภูเขาและแม่น้ำ
เมื่อก่อนเห็นภูเขาเป็นภูเขา เห็นน้ำเป็นน้ำ
จากนั้นเห็นภูเขาไม่ใช่ภูเขา เห็นน้ำก็ไม่ใช่น้ำ
สุดท้ายจึงเข้าใจว่า ภูเขาก็ยังคงเป็นภูเขาลูกเดิม น้ำก็ยังคงเป็นน้ำสายเดิม
เพียงแต่ถึงตอนนั้นแก่นอัศจรรย์ในจิตใจและสิ่งที่หยั่งรู้ได้ ได้แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิงแล้ว!
หลินสวินในตอนนี้กำลังพิสูจน์มรรคาในอดีตของตน เปรียบเทียบและอ้างอิง ใช้มันเป็นตัวนำเพื่อแสวงหาและสำรวจมกุฎมรรคาของตน!
เวลาสามเดือนทำให้เขาเข้าใจอะไรได้มากมาย ผลเก็บเกี่ยวไม่น้อย
รายละเอียดที่ไม่เคยสังเกตเห็นในการฝึกปราณที่ผ่านมา ล้วนทำให้เขามีการรับรู้และสัมผัสในรูปแบบใหม่ จากนั้นดำเนินการสรุปและยืนยัน อนุมานอ้างอิง ตรวจสอบข้อบกพร่องและชดเชยสิ่งที่ขาดตก แสวงหาความสมบูรณ์แบบขั้นสุด
‘มรรคของข้า หากหมายจะแตกต่างจากที่ผ่านมา แตกต่างจากโลก มีเพียงเสาะหาด้วยตัวเอง พึ่งพาตนเองเท่านั้น คนอื่น… ไม่สามารถชี้แนะข้าได้อย่างแท้จริง!’
การปิดด่านฝึกตนและทำความเข้าใจตลอดสามเดือน ทำให้จิตมรรคของหลินสวินยิ่งบริสุทธิ์และมั่นคง
บางทีแดนมกุฎแห่งนี้ที่มีวาสนานับไม่ถ้วนศุภโชคไม่มีที่สิ้นสุด แต่สำหรับเขาแล้ว หากต้องการแสวงหามกุฎมรรคาที่แตกต่างจากโลก จุดสำคัญยังคงเป็นการพึ่งตัวเอง
การชี้แนะของคนอื่นกับคัมภีร์ตำราที่ตนครอบครอง เป็นได้เพียงแค่ข้ออ้างอิงและการสะท้อนอย่างหนึ่ง มรรคาของตนจะต้องเดินด้วยตัวเองเพื่อพิสูจน์และเข้าถึง
นี่ก็คือการเข้าถึงมรรค
ใช้ตนเองเข้าถึงมรรค!
อย่างเช่นเจ้าคางคก มรรคาของเขามีวาสนากับเซียนผลาญเฉินหลินคง เป็นมรรคาสายหนึ่งเช่นกัน และมีความหวังที่จะก้าวขึ้นสู่ระดับมกุฎราชัน
แต่นี่ไม่เหมาะกับหลินสวินแน่นอน
ไม่ถึงขั้นแยกได้ว่าดีหรือไม่ดี เพียงแต่มรรคาที่เสาะหาแตกต่างกันก็เท่านั้น
ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน
‘ควรออกไปเดินเล่นสักหน่อยแล้ว’
วันนี้หลินสวินที่ฝึกตนอยู่ลืมตาขึ้นแล้ว หยัดกายลุกขึ้น เงาร่างว่างเปล่าไร้โลกีย์
ปิดด่านฝึกตนถึงตอนนี้ราวกับจันทร์เพ็ญทะเลมรกตแล้ว แม้ปิดด่านต่อไปก็ไร้ประโยชน์
สิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้ ก็คือไปแสวงหาและสำรวจหนทางที่จะควบรวมเมล็ดพันธุ์มรรคของตน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าถึงขอบเขตมกุฎระดับราชัน!
ตอนที่ 1151 ว่างเปล่าไร้ตัวตน
เมืองโบราณเผาเซียนคึกคักขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเทียบกับเมื่อสี่เดือนที่แล้วตอนที่หลินสวินเพิ่งมาถึง จำนวนผู้ฝึกปราณในเมืองมากขึ้นถึงสิบกว่าเท่า!
ผู้สืบทอดสำนัก ผู้แข็งแกร่งของตระกูล ลูกหลานจากเผ่าต่างๆ…
ถึงขั้นที่สิ่งมีชีวิตที่หายากบางอย่างยังเห็นได้ทั่วไปในเมือง
อย่างเช่นผู้แข็งแกร่ง ‘เผ่าสังข์วิญญาณ’ ที่แบกกระดองเจ็ดสีไว้กลางหลัง ผู้แข็งแกร่งเผ่า ‘กระสาหิมะ’ ที่มีเก้าหาง
ถึงขั้นที่ยังมีลูกหลาน ‘เผ่าทอเมฆา’ ที่พบเห็นได้น้อยมาก ร่างกายอ่อนนุ่มราวกับก้อนเมฆ ตอนที่เดินเหมือนลอยอยู่กลางอากาศ ตกใจเพียงนิดร่างกายที่ดุจดั่งก้อนเมฆก็จะแปรเปลี่ยนเป็นหมอกควันมากมาย ขวัญอ่อนมาก
นอกจากนี้ยังไม่ขาดสัตว์ประหลาดยุคโบราณ หรือผู้กล้าขอบเขตมกุฎ
หลินสวินเดินอยู่บนถนนที่ผู้คนขวักไขว่ไปมาคับคั่ง เหมือนกลับไปยังโลกภายนอกที่คึกคักรางๆ ทอดสายตามองไป เต็มไปด้วยผู้คนในอิริยาบถต่างๆ
ตอนนี้เขาแปลงร่างเป็นชายหนุ่มรูปลักษณ์ธรรมดาคนหนึ่ง ราวกับคนผ่านทาง เดินเล่นด้วยท่าทีของการเป็นผู้ชม
“คุณชาย นี่คือน้ำค้างวิญญาณแสงเพลิง ท่านต้องการหรือไม่”
เด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา ในมือขาวกระจ่างประคองกระปุกเครื่องเคลือบใบหนึ่ง มีแสงเพลิงงดงามเป็นสายๆ ผุดออกมา ขับให้ดวงหน้าของหญิงสาวแดงระเรื่อ น่ารักเย้ายวน
“แลกเปลี่ยนอย่างไร”
หลินสวินประหลาดใจอยู่บ้าง น้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ ถือกำเนิดในชั้นเมฆเรืองรอง ต้องทุ่มแรงใจอย่างมากในการจับทีละสาย เหมือนกับการสาวไหมอย่างไรอย่างนั้น
“เอ่อ ขอแค่เป็นวัตถุดิบวิญญาณ อะไรก็ได้ทั้งนั้น”
เด็กสาวพูดอย่างกลัวๆ นางดูเกร็งมาก เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยขายของกลางตลาด
หลินสวินคิดๆ แล้วหยิบขวดหยกขาวเล็กๆ ใบหนึ่งออกมา ยื่นให้นาง “ในนี้เป็นลูกกลอนนิลดำรวมแสงสามเม็ด ได้ไหม’’
“ได้!”
หญิงสาวตาเป็นประกาย ท่าทางดีใจมาก
หลินสวินเก็บน้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงขวดนั้นไปพร้อมรอยยิ้ม เตรียมจะจากไป เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าพลันแปรเป็นหมอกควันมากมาย
นี่ทำให้หลินสวินตกใจ คิดว่าศัตรูลอบทำร้ายเสียอีก
ใครจะคิดว่าหมอกควันเหล่านั้นกลับรวมตัวเป็นมือสองข้าง ประสานกันตรงหน้าหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณคุณชาย ท่านช่างเป็นคนดีจริงๆ”
หลินสวินพูดไม่ออก เพิ่งจะตระหนักได้ว่าเด็กสาวเมื่อครู่นี้เป็นลูกหลานของเผ่าทอเมฆา
“คุณชาย ข้าชื่อไฉไฉ่ ต่อไปหากข้าเก็บสะสมน้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงได้มากกว่านี้ ยังสามารถแลกเปลี่ยนกับท่านได้หรือไม่” ไฉไฉ่คาดหวังมาก
“ได้แน่นอน” หลินสวินยิ้มพูด
ฮูม
เมฆหมอกแปรเปลี่ยน ควบรวมเป็นกลีบดอกไม้เต็มท้องฟ้า ล่องลอยไม่ขาดสาย เสียงของไฉไฉ่ก็ดังขึ้นอย่างแฝงความดีใจเช่นกัน “ดีจังเลย ท่านเป็นคนแรกที่ยอมซื้อขายกับข้า ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณท่านมากจริงๆ”
กลีบดอกไม้เหล่านั้นล่องลอย งดงามราวกับภาพมายา
หลินสวินรู้ว่าไฉไฉ่กำลังใช้วิธีอันเป็นเอกลักษณ์ในการแสดงคำขอบคุณ
ความไร้เดียงสาและความอ่อนหวานของเด็กสาวราวกับแสงอาทิตย์ ทำให้หลินสวินที่ชินกับการเห็นภาพการเข่นฆ่าและคาวเลือดรู้สึกประทับใจไปด้วย
สุดท้ายไฉไฉ่แปรเปลี่ยนเป็นเมฆก้อนหนึ่ง หายไปท่ามกลางถนนที่รุ่งเรืองอย่างดีใจ
หลินสวินเดาว่านางคงไปเก็บน้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงบนชั้นเมฆอีกแล้ว
“ข่าวใหญ่ โจวชิงอวิ๋นปีศาจแห่งยุค จาก ‘ถ้ำสวรรค์ดารามายา’ ในแดนเร้นอริยะก้าวเข้ามาในหอมกุฎแล้ว แทรกเข้ามาอยู่ในอันดับที่เก้าสิบสามในรวดเดียว!”
“ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา นี่เป็นผู้กล้าขอบเขตมกุฎคนที่สิบสามที่แทรกเข้ามาอยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรก!”
บนถนนเสียงฮือฮาดังขึ้น ครื้นเครงอย่างที่สุด
หลินสวินเงี่ยหูฟังพลางเดินไปทางนอกเมือง
ไม่นานเขาก็ได้รู้ข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งโดยบังเอิญ ในสี่เดือนมานี้มีผู้แข็งแกร่งบรรลุระดับราชันอย่างต่อเนื่อง!
ล้วนเป็นบุคคลชั้นยอดในบรรดาคนรุ่นเยาว์ มาจากขุมอำนาจสำนักที่แตกต่างกัน เป็น ‘ราชันใหม่’ ที่แท้จริง!
แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่จบลงด้วยความล้มเหลวตอนที่ทะลวงระดับราชัน คนที่โชคดีก็กลายเป็นกึ่งราชัน
คนที่โชคไม่ดีก็ธาตุไฟเข้าแทรกโดยตรง ร่างแหลกมรรคสลาย
ทว่าแม้มีคนบรรลุระดับราชันอยู่ไม่น้อย แต่จนตอนนี้ยังไม่มีใครก้าวสู่ระดับมกุฎราชันอย่างแม้จริง
แน่นอนว่า นี่เพียงแค่ในแดนเผาเซียนเท่านั้น ในพื้นที่อื่นๆ ของสามพันแดนก็พูดยากแล้ว
“ได้ยินข่าวหรือยัง เผ่าอีกาทองกำลังตามหาเทพมารหลินอย่างบ้าคลั่ง ลือกันว่ามีผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองบรรลุระดับราชันแล้ว และไม่ใช่แค่คนเดียว!”
“ไม่เพียงแค่เผ่าอีกาทอง ขุมอำนาจสำนักอื่นๆ เองก็กำลังตามหาเทพมารหลิน อย่างบริเวณหอมกุฎและเจดีย์มกุฎล้วนมีคนจับตาดูอยู่ เพียงแค่เทพมารหลินปรากฏตัวก็จะถูกจับได้ในทันที”
“คลื่นลมกำลังจะมาเยือนแล้ว!”
“แต่ไม่ได้ข่าวของเทพมารหลินมาสี่เดือนเต็มแล้ว พวกเจ้าว่าเขาจะตระหนักได้ถึงอันตราย จนอาศัยพลังของเจดีย์มกุฎออกจากแดนเผาเซียนไปแล้วหรือไม่”
“มีความเป็นไปได้สูงมาก”
……
ไม่นานหลินสวินก็ได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์บางส่วน เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้าจากไป
ตลอดระยะเวลาสี่เดือน เห็นได้ชัดว่าในแดนเผาเซียนเกิดเรื่องขึ้นมากมาย แต่ทั้งหมดนี้ล้วนไม่กระทบต่อจิตใจของหลินสวินแล้ว
ไม่นานเขาก็ออกจากเมือง ราวกับคนสันโดษที่เดินเล่นอยู่ท่ามกลางฟ้าดินอันกว้างใหญ่
แดนเผาเซียนใหญ่มาก ภูเขาเรียงราย ฟ้าดินเป็นสีแดงเพลิงทั้งแถบ ราวกับโลกเล็กๆ ใบหนึ่ง เป็นสถานที่ที่มีวาสนาและศุภโชคมากมายกระจายอยู่
นับตั้งแต่วันนี้หลินสวินปล่อยตัวให้ว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง ทำตามใจตัวเอง
เขาเดินอยู่ในป่าลึกอย่างเนิบช้า แหงนหน้ามองสรรพสิ่งกลางฟ้าดิน บางทีก็ยืนอยู่บนภูเขาสูงเพียงลำพัง ชื่นชมการเกิดและสลายของเมฆ สีหน้าเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
พอมองไปก็สามารถมองได้หลายคืนวัน ราวกับหินผาที่ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด
บางทีนอนอยู่บนฝั่งแม่น้ำ ฟังเสียงน้ำไหล หลับไปพร้อมกับแสงดารา
บางคราวที่คึกขึ้นมาก็ดื่มยกใหญ่ เมาหลับอยู่ในพุ่มดอกไม้
บางคราอารมณ์ไม่ดี ก็จะวิ่งอย่างบ้าคลั่งในป่า ราวกับลมพายุที่โหมกระหน่ำและปลดปล่อยอย่างเอาแต่ใจ
จนถึงตอนหลังเขาไม่มีความคิดอะไรทั้งนั้น วนเวียน เดินเล่น เหม่อลอย ดื่มเหล้าและหลับใหลอยู่กลางฟ้าดินโดยลำพัง…
ฟ้าดิน สรรพชีวิต สรรพสิ่ง…
ล้วนไม่มีอยู่
โลกที่วุ่นวาย ความทรงจำในหัว ความรู้สึกในใจ…
เหมือนจางหายไปหมดแล้ว
เลือนรางว่างเปล่าไม่มีตัวตน
เจ็ดวันให้หลัง
ผู้ฝึกปราณในแดนเผาเซียนต่างลือกันว่ามีเจ้าบ้าคนหนึ่งแล้ว นั่งนิ่งเหม่อลอย วิ่งทะลวงป่าเขาราวกับคนป่า กลายเป็นตัวตลกของผู้คน
หนึ่งเดือนผ่านไป
ผู้ฝึกปราณที่เสาะหาวาสนาและศุภโชคอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของแดนเผาเซียน เกือบทุกคนล้วนเคยเห็นร่องรอยของ ‘เจ้าบ้า’ คนนั้น
นี่เป็นเรื่องน่าแปลก
แดนเผาเซียนไม่ใช่สถานที่ที่สงบสุข ตรงกันข้าม เพื่อช่วงชิงศุภโชคและวาสนา มีเหตุการณ์เข่นฆ่าและความขัดแย้งเกิดขึ้นในพื้นที่ต่างๆ แทบจะทุกวัน
แต่ ‘เจ้าบ้า’ คนนี้ รอยเท้าแทบจะย่ำไปทั่วทุกพื้นที่ของแดนเผาเซียนแล้ว แต่กลับสามารถอยู่รอดมาถึงตอนนี้ได้อย่างปลอดภัยหายห่วง นี่ยากจะเชื่อจริงๆ เหมือนปาฏิหาริย์อย่างไรอย่างนั้น
เขาเป็นใคร
ไม่มีใครรู้
วันนี้บนหน้าผาแห่งหนึ่งมีไม้ดอกที่แปลกประหลาดต้นหนึ่ง ลำต้นสูงเพียงสี่ฉื่อ หนาประมาณปากถ้วย เปลือกไม้เหมือนเกล็ดมังกรที่มีรอยแตก
บนกิ่งไม้มีดอกตูมสีแดงเพลิงเรืองรองดอกหนึ่ง ราวกับหลอมจากแร่ทองแดงเพลิง ส่องประกายปานโลหะ
ช่วงพลบค่ำตะวันยอแสงบนขอบฟ้าราวกับเพลิง
กลุ่มผู้ฝึกปราณรวมตัวกันอยู่ตรงหน้าผานานแล้ว สายตาจับจ้องไม้ดอกที่แปลกประหลาดต้นนั้น บนกิ่งไม้ดอกตูมดอกนั้นกำลังเบ่งบานทีละนิด
ทุกครั้งที่บานออกมากลีบหนึ่งก็ปลดปล่อยรุ้งศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงสายหนึ่งพุ่งทะลวงฟ้า พร้อมกับละอองแสงแดงเพลิงมากมายและกลิ่นหอมบริสุทธิ์สดชื่น น่าทึ่งเป็นพิเศษ
เพียงแต่ผู้ฝึกปราณเหล่านี้กลับไม่มีใครกล้าเข้าใกล้!
เหตุผลแรกเพราะดอกตูมดอกนั้นยังไม่บานเต็มที่
เหตุผลที่สองกลับเป็นเพราะตรงรากของไม้ดอกต้นนั้นมีงูวิญญาณสีทองอร่ามตัวหนึ่งขดพันอยู่ ลำตัวมีความหนาเพียงตะเกียบ ปกคลุมด้วยเกล็ดไฟที่เล็กละเอียด ศีรษะของมันนูนขึ้นรางๆ ราวกับกำลังจะรวมตัวเป็นนอ!
กลิ่นอายของมันรุนแรงและเหี้ยมโหดมาก ดูเหมือนเล็กแต่กลับประหนึ่งเป็นนายเหนือหัวในป่า
มันเองก็ไม่ขยับ กำลังรออยู่เงียบๆ เช่นกัน
“อา หอมมาก!”
ทันใดนั้นในชั้นเมฆแดงเพลิงมีเสียงใสกังวานดังขึ้น
พลันนั้นผู้ฝึกปราณไม่น้อยต่างหรี่ตา แม้แต่งูวิญญาณสีทองอร่ามตัวนั้นยังขดตัวกะทันหัน ท่าทางเหมือนเตรียมพร้อมโจมตี
ทว่าตอนที่เห็นเงาร่างในชั้นเมฆนั่นชัดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกปราณเหล่านั้นหรืองูวิญญาณตัวนั้นล้วนโล่งอก ไม่ได้เคลื่อนไหวในขั้นต่อไป
ในชั้นเมฆนั่นเป็นเด็กสาวงามงดคนหนึ่ง ในมือประคองกระปุกกระเบื้องหนึ่งใบ เมื่อครู่นี้กำลังเก็บน้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงในชั้นเมฆ
เป็นเด็กสาวชื่อไฉไฉ่แห่งเผ่าทอเมฆา
เพียงแต่ตอนที่นางเห็นสถานการณ์บนหน้าผา พลันตระหนักได้ถึงความผิดปกติ ตัดสินใจจะจากไป
“หยุด! แม่นางน้อย เจ้ามานี่”
ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งตะโกน นี่คือชายหนุ่มที่ใบหน้าเรียวยาวในชุดคลุมสีดำ
“ทำอะไร”
ไฉไฉ่ตื่นตระหนกมาก แม้แต่หน้าผากขาวผ่องยังมีเหงื่อซึมออกมา
“แค่เจ้าเชื่อฟัง ช่วยข้าจัดการเรื่องหนึ่งก็จะปล่อยเจ้าไป”
ชายหนุ่มชุดคลุมดำพูดพร้อมชี้นิ้วไปที่ไม้ดอกต้นนั้น “โน่น เห็นดอกไม้ดอกนั้นไหม เจ้าไปเด็ดมันมา”
เห็นได้ชัดว่าจะให้ไฉไฉ่ไปตาย!
สามารถคาดการณ์ได้ว่าหากนางเข้าไป อย่าว่าแต่เด็ดดอกไม้เลย แค่ขยับเข้าใกล้ก็จะถูกงูวิญญาณตัวนั้นโจมตีทันที
ทว่านี่ก็คือสิ่งที่ชายหนุ่มชุดคลุมดำอยากเห็น เพียงแค่งูวิญญาณถูกดึงดูด พวกเขาก็จะสามารถฉวยโอกาสเข้าไปชิงดอกไม้ทองแดงที่แปลกประหลาดไร้ที่เปรียบดอกนั้น!
ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ล้วนมองอยู่ห่างๆ ไม่ได้ห้าม
“ข้า…” ไฉไฉ่ยิ่งแตกตื่นขึ้น ใบหน้าซีดเซียว
เนื้อแท้แล้วนางเป็นคนใจดี ตั้งแต่เข้ามาในแดนมกุฎไม่เคยขัดแย้งกับใคร เก็บน้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงอยู่ในชั้นเมฆมาโดยตลอด เคยผ่านเหตุการณ์เช่นนี้เสียที่ไหน
“เร็ว!”
ชายหนุ่มชุดคลุมดำแค่นเสียงเย็นชา “มิฉะนั้นข้าจะฆ่าเจ้าตอนนี้!”
นี่เป็นเรื่องน่าละอายมาก บังคับให้เด็กสาวคนหนึ่งไปตาย วิธีการต่ำช้าและน่ารังเกียจมาก
แต่ไม่มีใครพูดอะไร
เพื่อช่วงชิงศุภโชคและวาสนา ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ไม่ว่าใครล้วนใจเหี้ยมขึ้นมา ทำได้ทุกอย่าง!
ไฉไฉ่ตกใจน้ำตาแทบจะไหลออกมาแล้ว สั่นเทิ้มไปทั้งตัว นางคิดไม่ถึงเลยว่า เพียงแค่คำพูดประโยคหนึ่งของตนก็นำพามาซึ่งคราวเคราะห์ถึงเพียงนี้
“ข้า… ข้าให้น้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงกับพวกเจ้า ปล่อยข้าไปได้หรือไม่” นางพูดด้วยเสียงสะอื้น น้อยเนื้อต่ำใจไร้ที่พึ่งยิ่ง ยื่นกระปุกกระเบื้องในมือออกไปอย่างสั่นๆ
นี่คือความทุ่มเทอย่างยากลำบากของนาง
“ถุย! แค่น้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงใครจะอยากได้”
ชายหนุ่มชุดคลุมดำสีหน้าอึมครึมเอ่ยว่า “แม่นางน้อย ให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย รีบลงมือ!”
ไฉไฉ่ตกใจจนตัวสั่น กระปุกกระเบื้องในมือร่วงลง ปากกระปุกเอียงตัว น้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงด้านในจะสาดกระเซ็นออกมาแล้ว
นี่คือเลือดเนื้อทุกอย่างของนาง เหนื่อยมาครึ่งเดือนกว่าจะเก็บได้มากขนาดนี้ ตอนนี้นางแทบจะทรุดแล้ว
และตอนนี้เอง มือใหญ่ข้างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ จับกระปุกกระเบื้องใบนั้นไว้แน่น
ตอนที่ 1152 ดุจดั่งเซียนจุติลงมา
กระปุกกระเบื้องที่เอียงตัวหล่นลงมาถูกจับไว้แน่น
ไฉไฉ่เบิกตาโพลงไม่กล้าเชื่อ
สายตาของนางเคลื่อนออกมาจากมือใหญ่ข้างนั้น พลันเห็นแขนที่เต็มไปด้วยฝุ่น มองขึ้นไปอีกจึงเห็นคนที่อยู่ตรงหน้าชัด
เผ้าผมยุ่งเหยิง หนวดเครารุงรัง เสื้อผ้ามอมแมม เปรอะเปื้อนไปทั้งตัว มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่เจิดจ้าและใสกระจ่าง
เพียงแต่แววตานั่นเหมือนจะใสและสะอาดเกินไป ราวกับไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก เผยความรู้สึกว่างเปล่าอย่างหนึ่งออกมา
ไฉไฉ่ชะงัก รู้สึกว่าคนมอมแมมตรงหน้าให้ความรู้สึกคุ้นเคยราวกับเคยรู้จักกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าเคยเจอที่ไหน
“เจ้าบ้าคนนั้น!”
บนหน้าผาห่างออกไปกลุ่มผู้ฝึกปราณจำเขาได้ มีคนพูดอย่างเย้ยหยัน
ช่วงที่ผ่านมาข่าวเกี่ยวกับ ‘เจ้าบ้า’ คนนี้ก็กลายเป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่งในแดนเผาเซียน
เขาเหมือนคนเถื่อนที่เสียสติไปแล้ว เดินอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ในแดนเผาเซียน ดูเลอะเลือนและบ้าคลั่ง
ท่ามกลางภูเขาแม่น้ำอันกว้างใหญ่ไพศาล สามารถมองเห็นร่องรอยของเขา
ในการเข่นฆ่านองเลือดเพื่อช่วงชิงวาสนาและศุภโชค ก็สามารถมองเห็นเงาร่างของเขาเช่นกัน
แต่เขาเป็นเหมือนคนผ่านทาง เดินทางผ่านไปโดยไม่สนใจ ไม่มีใครรู้ว่าเขาทำอะไรอยู่
และไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงบ้าถึงขนาดนี้
แต่สิ่งที่เหลือเชื่อที่สุดคือ ไม่ว่าจะเจออันตรายอะไรเขามักสามารถรอดชีวิตอย่างปลอดภัย เรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์หนึ่ง
“เจ้าบ้า เจ้ามานี่ ไปช่วยพวกข้าเด็ดดอกนั่นลงมา”
ชายหนุ่มชุดคลุมดำพูดเสียงเย็น
เงาร่างที่ถูกพวกเขามองว่าเป็นเจ้าบ้าหันมา สายตาเต็มไปด้วยความงงงวย
“อย่าไป!”
ไฉไฉ่หัวใจกระตุกวูบ สองมือพลันคว้าแขนของเจ้าบ้า กล่าวว่า “พวกเขาจะให้เจ้าไปตาย เจ้าดูสิ ตรงรากของไม้ดอกต้นนั้นมีงูวิญญาณตัวหนึ่งพันอยู่ จะพรากชีวิตเจ้าได้!”
เจ้าบ้าก้มหน้ามองลงไป
ฟ่อๆ!
ตอนที่ถูกสายตาของเขาสังเกตเห็น งูวิญญาณสีทองอร่ามตัวนั้นเหมือนตึงเครียดไร้ที่เปรียบ ร่างกายพลันรัดเกร็ง ในปากงูแลบลิ้นส่งเสียงฟ่อๆ เหมือนกำลังข่มขู่
“นางเด็กน้อย เจ้าช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!”
ชายหนุ่มชุดคลุมดำสีหน้าอึมครึม ลงมืออย่างรุนแรง ฟาดประกายอสนีที่สว่างไสวสายหนึ่งออกมา เปล่งประกายเรืองรองฉีกทึ้งห้วงอากาศ
“หนีเร็ว!”
ไฉไฉ่ส่งเสียงกรีดร้อง คว้าแขนของเจ้าบ้าเตรียมจะหนี
เพียงแต่นางกลับพบว่าแขนนั่นหนักอึ้งราวกับภูเขาลูกหนึ่ง ไม่ขยับเลยสักนิด ไม่สามารถถูกนางเคลื่อนย้ายได้แม้แต่น้อย
ตูม!
ประกายอสนีพุ่งเข้ามา กลับเห็นเจ้าบ้ายกมือขึ้นคว้าลวกๆ ประกายอสนีที่รุนแรงราวกับเปราะบางปานเศษกระดาษ แตกกระจายในอากาศประหนึ่งดอกไม้ไฟเบ่งบาน
ไฉไฉ่อึ้งงัน นี่… หรือจะเป็นยอมฝีมือพลิกฟ้าคนหนึ่ง
พวกชายหนุ่มชุดดำที่อยู่ห่างออกไปต่างนัยน์ตาหดรัดลง ในข่าวลือเจ้าบ้าคนนี้แม้จะเซอะซะ แต่กลับสามารถอยู่รอดปลอดภัยมาถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าก็มีความสามารถไม่น้อย
บรรยากาศพลันหนักอึ้งขึ้นมาเล็กน้อย
ชายหนุ่มชุดคลุมดำกลับสีหน้าย่ำแย่อยู่บ้าง การโจมตีของตนกลับถูกเจ้าบ้าคนหนึ่งสลายได้อย่างสบายๆ นี่ทำให้เขาเสียหน้า
แต่ไม่รอเขาเคลื่อนไหวอีกครั้ง พลันเห็นเงาร่างของเจ้าบ้าพริบไหวทีหนึ่งก็มาอยู่บนหน้าผาแล้ว จากนั้นตรงเข้าไปหน้าไม้ดอกต้นนั้น ยื่นมือไปคว้า
และตอนนี้เอง กลีบดอกกลีบสุดท้ายบนดอกตูมที่ราวกับหล่อขึ้นจากแร่ทองแดงเพลิงได้เบ่งบานแล้ว
ในดอกไม้ รุ้งศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงสว่างไสวสะดุดตาราวกับฝนเพลิงแดงพรั่งพรู กลิ่นหอมบริสุทธิ์คลุมเครือ ลอยอยู่กลางฟ้าดิน
พรึ่บ!
เพียงแต่ในเวลาเดียวกัน งูวิญญาณสีทองที่พันอยู่ตรงรากไม้ดอกก็โจมตีด้วย ราวกับสายฟ้าสีทองสายหนึ่งพุ่งกัดข้อมือของเจ้าบ้าคนนั้นไว้
“แย่แล้ว!”
ไฉไฉ่ตกใจจนหน้าเสีย ทนมองไม่ได้
“ลงมือ!”
และในเวลาเดียวกันพวกชายหนุ่มชุดดำก็โจมตีอย่างเหี้ยมหาญ พวกเขาเตรียมพร้อมมานานก็เพื่อรอตอนนี้
โครม!
แสงสมบัติ วิชามรรคที่ไม่มีที่สิ้นสุดพลุ่งพล่านในอากาศ สว่างไสวสะดุดตา ราวกับกระแสน้ำที่ไหลหลาก ล้วนเล็งไปยังเจ้าบ้าที่หันหลังให้ทุกคน!
แต่ภาพที่ทำให้พวกเขาต่างขนลุกเกิดขึ้นแล้ว การโจมตีใดๆ ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ราวกับตกลงในเหวลึก ถูกกลืนกินจมหายไร้ร่องรอย
สมบัติทุกชิ้นล้วนถูกสยบในชั่วขณะนี้ ร่วงลงพื้นพร้อมเสียงครวญ แสงสมบัติริบหรี่ลง!
ทุกคนต่างตื่นตกใจ ในใจขนลุก ตกใตจนหนังหัวแทบระเบิดออก
นี่เป็นไปได้อย่างไร
ส่วนเจ้าบ้านั่นกลับเหมือนไม่รู้สึกรู้สา
เขาถึงขั้นไม่เคยสนใจงูวิญญาณสีทองที่กัดข้อมืออยู่ ห่วงแต่เด็ดดอกไม้ประหลาดที่ผลิบานและเปล่งประกายราวกับโลหะ จากนั้นเงาร่างพริบไหว เคลื่อนกลับมาอยู่ข้างๆ ไฉไฉ่แล้วยื่นดอกไม้ดอนนั้นให้
“ให้… เจ้า”
เขาอ้าริมฝีปากแล้วเปล่งเสียงอย่างยากลำบาก เหมือนไม่ได้พูดมานานจนลืมไปแล้วว่าควรจะสื่อสารอย่างไร
ไฉไฉ่เองก็ตาค้าง หัวสมองว่างเปล่า
แต่ละภาพที่เห็นก่อนหน้านี้เหลือเชื่อเกินไป ทำให้จิตใจและร่างกายของนางถูกโจมตี ตกอยู่ในความตะลึง
“เจ้ากลัวหรือ”
เจ้าบ้าพูดพร้อมจับงูทองที่กัดข้อมือไม่ปล่อยขึ้นมา เพียงดีดนิ้วเสียงพรึ่บดังขึ้น งูทองตัวนั้นถูกดีดจนปลิว ตกลงในทะเลเมฆที่กว้างใหญ่ไพศาลห่างออกไปไกล
เมื่อมองดูข้อมือเขาอีกครั้ง สภาพสมบูรณ์ไร้บาดแผล แม้แต่รอยฟันยังไม่หลงเหลือ
เฮือก!
ชายหนุ่มชุดคลุมดำและคนอื่นๆ รู้สึกเพียงว่าไอหนาวสะท้านสายหนึ่งแพร่กระจายจากกระดูกสันหลังไปทั่วทั้งร่าง ขนลุกไปทั้งตัว ตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง
งูทองตัวนั้นใช่ว่าจะจัดการได้ง่ายๆ กลิ่นอายน่ากลัวอย่างที่สุด ก่อนหน้านี้หากไม่ใช่เพราะกลัวงูทองตัวนี้ พวกเขาจะรอถึงตอนนี้ได้อย่างไร
แต่ตอนนี้งูทองตัวนี้กลับถูกเจ้าบ้าคนนั้นดีดจนปลิวในทีเดียว…
แม้เรี่ยวแรงจะดิ้นรนยังไม่มี!
ท่าทางผ่อนคลายสบายๆ นั่น ทำให้พวกชายหนุ่มชุดคลุมดำแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
“ไม่กลัว”
ตอนนี้ไฉไฉ่ตั้งสติได้แล้ว
“เอาไป”
เจ้าบ้ายื่นดอกไม้ประหลาดดอกนั้นให้นางโดยไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ
“สหาย พวกข้าเป็นผู้สืบทอดสำนักกระบี่รู้ตน โอสถราชันต้นนี้ถูกเราหมายปองแล้ว เจ้าทำเช่นนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือ!”
ห่างออกไปชายหนุ่มชุดคลุมดำร้อนรน รีบส่งเสียงข่มขู่โดยไม่สนใจอย่างอื่น
สายตาของเจ้าบ้าใสกระจ่างอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่กลับดูว่างเปล่าอย่างที่สุด ราวกับไม่มีแม้แต่อารมณ์ ได้ยินเช่นนี้เขาพยายามใคร่ครวญครู่หนึ่ง แต่กลับเหมือนนึกอะไรไม่ออก จึงอดส่ายหน้าไม่ได้
จากนั้นก็พาไฉไฉ่จากไป
เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยกับเขา จิตใต้สำนึกเขารู้สึกอยากปกป้องนางขึ้นมาตามสัญชาตญาณ
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
พร้อมกับเสียงตะโกนนั่น กระบี่วิญญาณคดโค้งสายหนึ่งพุ่งออกมา เข้าไปเฉือนสังหาร
เจ้าบ้าสะบัดแขนเสื้อคราเดียวโดยไม่หันกลับมามองด้วยซ้ำ
ชิ้ง!
กระบี่วิญญาณนี้มาไวไปไว จู่ๆ ก็หมุนกลางอากาศ พุ่งย้อนกลับไปด้วยอานุภาพที่ดุดันและรุนแรงกว่าเมื่อครู่นี้
พรูด!
หน้าอกของผู้ฝึกปราณคนหนึ่งถูกแทงทะลุ เลือดไหลลงมาเป็นสาย
และสิ่งที่โจมตีสังหารเขาก็คือกระบี่วิญญาณของเขา!
“ไป!”
พวกชายหนุ่มชุดคลุมดำสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของเจ้าบ้าคนนั้น หันหลังหนีโดยไม่กล้าลังเลอีกต่อไป
……
บนฝั่งลำธารสายหนึ่งในหุบเขา
ไฉไฉ่พินิจเจ้าบ้าที่อยู่ตรงหน้าอย่างแปลกใจ เขาจ้องลำธารนิ่งๆ ไม่ขยับ ท่าทางมึนงงเลอะเลือน
“ข้า… ช่วยล้างให้เจ้าได้หรือไม่”
ครู่ใหญ่ไฉไฉ่อดพูดไม่ได้
เจ้าบ้าไม่รู้สึกตัว ราวกับไม่ได้ยิน
“งั้นข้าจะถือว่าเจ้าตอบรับเงียบๆ แล้ว”
ไฉไฉ่สูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งคล้ายรวบรวมความกล้ามหาศาล ยื่นมือดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาผืนหนึ่งแล้วแช่ในลำธาร ก่อนช่วยเช็ดฝุ่นและโคลนบนใบหน้าให้เจ้าบ้า
นางระมัดระวัง กิริยาอ่อนโยน ราวกับกลัวว่าจะทำให้เจ้าบ้าโกรธ
เวลาผ่านพ้นไป เจ้าบ้าจ้องลำธารราวกับรูปปั้นดินเผาอยู่อย่างนั้นตลอดไม่ขยับสักนิด
ไฉไฉ่ค่อยๆ ใจชื้นขึ้น จดจ่อกับการกระทำในมือ
เจ้าบ้าที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่รู้ว่าไม่ได้อาบน้ำมากี่วันแล้ว สกปรกไปทั้งตัว บนผิวหนังเต็มไปด้วยคราบสกปรกและฝุ่นดิน
ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงคนอื่นคงรังเกียจไปนานแล้ว
แต่ไฉไฉ่กลับตั้งใจมาก ดวงหน้าของนางบริสุทธิ์งดงาม นัยน์ตาใสส่องประกายระยิบระยับ ผิวพรรณละเอียดนุ่มนวล มีกลิ่นอายน่ารักไร้เดียงสา
เวลาล่วงเลยไป
เจ้าบ้าเงียบไม่พูดจาราวกับถูกสะกด
ไฉไฉ่เช็ดใบหน้า ลำคอ และแขนของเขาจนสะอาดตั้งนานแล้ว
คิดๆ แล้วนางก็หยิบดาบเล็กประณีตเล่มหนึ่งออกมา กำลังเตรียมจะโกนหนวดเคราที่รกรุงรังเหมือนกอหญ้าให้เจ้าบ้า
ตอนนี้เองจู่ๆ เจ้าบ้าก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา กวาดในธารน้ำเบาๆ
วู้ม
กระแสน้ำวนสายหนึ่งปรากฏขึ้น ราวกับหลุมดำหลุมหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น กลืนกินสายน้ำรอบทิศ
จากนั้นจู่ๆ กระแสน้ำวนสายนี้ก็พุ่งตัวสูงทะลวงฟ้า ส่งเสียงครืนโครม ลำธารทั้งสายถูกม้วนเข้ามา
ทั้งหุบเขาเริ่มสั่นสะท้าน ห้วงอากาศปั่นป่วน
ส่วนน้ำวนสายนั้นประหนึ่งหุบเหวขนาดใหญ่ที่หมุนตัว ราวกับจะกลืนกินท้องฟ้า!
ครืนโครม!
ในหุบเขา ก้อนหินต้นไม้ใบหญ้าแหลกสลาย กระแสอากาศระเบิดปั่นป่วน บนเนินเขาใกล้ๆ ตัวภูเขาสั่นสะเทือนราวกับจะถล่ม
เจ้าบ้าลุกขึ้นมา เสื้อผ้าโบกสะบัดตามสายลม หนวดเผ้าที่รกรุงรังปลิวสยาย แผ่อานุภาพทะลวงฟ้าออกมาทั่วร่าง ราวกับเทพที่ตื่นจากการหลับใหล ณ ตอนนี้!
เขายื่นมือออกไปชักนำ น้ำวนที่เหมือนหุบเหวใหญ่พลันมีพลังที่แตกต่างกันสองสายเพิ่มเข้ามา หนึ่งคือเปลวเพลิงที่แผดเผา อีกหนึ่งคือกระแสน้ำเชี่ยวกราก
น้ำกับไฟ เดิมเข้ากันไม่ได้
แต่ตอนนี้กลับอยู่ในวังวนเดียวกัน พลังทั้งสองสายอยู่ร่วมกันในกระแสน้ำวน กลายเป็นภาพความสมดุลที่มหัศจรรย์รางๆ!
ฮูม!
จากนั้นเสวียงมังกรครวญเสียงหนึ่งดังขึ้น ในส่วนลึกของน้ำวนราวกับมีเจินหลงตัวหนึ่งจำศีลอยู่ ทำให้อานุภาพของน้ำวนเปลี่ยนไป
ห้วงอากาศโดยรอบล้วนพังทลายลงในชั่วขณะนี้ บนฟากฟ้าชั้นเมฆระเบิด ทุ่งกว้างทั้งสี่ทิศ ภูเขาแต่ละลูกพังทลาย ปรากฏภาพการทำลายล้างครั้งใหญ่ที่สรรพสิ่งล่มสลาย
ไฉไฉ่ตะลึงงันไปนานแล้ว คุกเข่าอยู่บนพื้นตัวสั่นเทิ้ม มองทุกสิ่งอย่างยากจะเชื่อ
ท่ามกลางความมึนงง เจ้าบ้าที่อยู่ตรงหน้านางราวกับนายเหนือหัว มีอานุภาพกลืนกินภูผาธารา เหยียดหยันทั่วทิศ เหนือฟ้าใต้หล้ามีเพียงข้าเป็นใหญ่!
ตูม!
เจ้าบ้าสะบัดแขนเสื้อ กระแสน้ำวนนั่นพุ่งขึ้นบนท้องฟ้าหมื่นจั้งแล้ว แต่กลับเหมือนไม่เสื่อมคลายไม่ดับสลาย นั่นเป็นพลังของมหามรรคไร้มรณะ
“นี่ ก็คือมรรคของข้า”
ทันใดนั้นเจ้าบ้าพึมพำ เสียงเรียบเฉยไม่ดีใจหรือเสียใจ สิ่งที่มีคือการปล่อยวาง ปลอดโปร่งและใจที่เปิดกว้าง
ยามที่ไฉไฉ่เงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง ก็เห็นว่ารอบตัวเจ้าบ้ามีแสงมรรคสีเขียวไหลวน ชำระล้างดินโคลนทั่วร่างกายของเขาจนบริสุทธิ์เหนือโลกีย์ ผิวพรรณแวววาว
เขาลูบอย่างลวกๆ หนวดเคราที่ราวกับหญ้าป่าก็สลายไปทันที
ผมยาวทั้งศีรษะเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายบริสุทธิ์ขึ้นในชั่วขณะนี้ แต่ละเส้นแวววาวเป็นประกาย จากนั้นถูกเขารวบไว้ตรงท้ายทอยลวกๆ
ตอนที่หันมา ภาพที่สะท้อนเข้าตาไฉไฉ่คือโครงหน้าที่เด่นชัดหล่อเหลา นัยน์ตาดำของเขากระจ่างและเจิดจ้า ทั้งร่างแผ่ไอว่างเปล่าเหนือโลกีย์อย่างหนึ่งออกมา
โครม!
ในเวลาเดียวกันด้านหลังของเขา น้ำวนที่ราวกับหุบเหวกลืนกินสายนั้นพลันสลายไปกลางฟ้าดิน แปรเป็นละอองแสงหลากสีสันส่องสว่างใต้หล้า
ขับเน้นให้เงาร่างสง่างามของเขามีกลิ่นอายเร้นลับว่างเปล่าเพิ่มเข้ามา
ดุจดั่งเซียนจุติลงมา
ตอนที่ 1153 ไอสังหารเมืองโบราณ
หลินสวินยืนเงียบๆ
ในหัวประสบการณ์ตลอดหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมาราวกับกระแสน้ำที่ไหลออกมา ฉายชัดอย่างละเอียด
จากนั้นล้วนแปรเป็นสัมผัสรับรู้อย่างหนึ่ง ตกตะกอนอยู่ในใจ
เขาตามหามรรคาของตนเจอแล้ว!
ไฉไฉ่อึ้งงันอยู่ตรงนั้น ก่อนหน้านี้หลินสวินดินโคลนเต็มตัว หนวดเครารกรุงรัง มองรูปลักษณ์ที่แท้จริงไม่ชัด ดูเลอะเลือนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
แต่เขาในตอนนี้ราวกับถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก ทั้งตัวไม่แปดเปื้อนฝุ่นดิน บริสุทธิ์กระจ่างราวกับเซียนจุติลงมาองค์หนึ่ง โดดเด่นเหนือโลกีย์
นี่ทำให้ไฉไฉ่แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
“เจ้าถือมีดทำไม”
หลินสวินยิ้มถาม
เขาได้สติอย่างแท้จริงแล้ว ฟื้นตื่นจากสภาวะ ‘ว่างเปล่าไร้ตัวตน’
ไฉไฉ่ร้องอาทีหนึ่ง ดวงหน้างามแดงระเรื่อ พูดอย่างอึดอัด “ข้า… เมื่อครู่นี้ข้าคิดว่าจะช่วยท่านตัดหนวดเครากับผมสักหน่อย เอ่อ ท่านอย่าได้เข้าใจผิดนะ”
นางรีบเก็บดาบเล็กในมือ
จากนั้นไฉไฉ่พลันฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ ยื่นดอกไม้ประหลาดดอกนั้นออกมาพร้อมพูดว่า “คุณชาย นี่ของท่าน”
นั่นเป็นโอสถวิญญาณที่ไม่ธรรมดามากต้นหนึ่ง เหนือกว่าคุณลักษณะทั่วไปมาก แต่ไฉไฉ่กลับเหมือนไม่สนใจเลยสักนิด เพียงคิดอย่างไร้เดียงสาว่านี่ไม่ใช่ของตนจึงต้องคืน
หลินสวินอึ้งไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นเอ่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “โอสถราชันต้นนี้ขายให้เจ้าแล้ว”
ไฉไฉ่พูดพร้อมยิ้มขื่น “แต่ข้าไม่มีเงินซื้อ”
“แค่น้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงอัคคีก็พอแล้ว คราวก่อนเจ้าเป็นคนพูดว่า ต่อไปหากเก็บน้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงได้ จะแลกเปลี่ยนกับข้าอีก”
หลินสวินสายตาอ่อนโยน นึกถึงยายหนูซย่าเสี่ยวฉง แต่เมื่อเปรียบกับไฉไฉ่แล้ว ซย่าเสี่ยวฉงก็คือหนอนเลอะเลือนที่ไม่มีหัวจิตหัวใจตัวหนึ่ง
“ท่านคือคุณชายคนนั้น!” ไฉไฉ่พูดอย่างประหลาดใจ
หลินสวินพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
สุดท้ายภายใต้การยืนหยัดของหลินสวิน ไฉไฉ่จึงเก็บโอสถราชันต้นนั้น ส่วนหลินสวินได้น้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงอัคคีกระปุกใหญ่มา
สำหรับผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ สมบัตินี้ไม่ถือว่าล้ำค่าอะไร แต่สำหรับหลินสวิน ความตั้งใจที่อยู่ในนั้นยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่ง
“ไปกันเถอะ ข้าพาเจ้ากลับเมือง”
หลินสวินพูด
ไฉไฉ่ตอบรับอย่างตรงไปตรงมา
ทั้งสองเคลื่อนไหวทันที ระหว่างทางหลินสวินอดถามไม่ได้ “แดนมกุฎอันตรายมาก เหตุใดเจ้าไปมาเพียงลำพัง”
ไฉไฉ่ตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติ “เพื่อฝึกปราณก็ต้องแบบนี้แหละ”
เสียงใสกังวานกลับทำให้หลินสวินอดทอดถอนใจในใจไม่ได้
ใช่ เพื่อฝึกปราณ!
ใครกำหนดว่าคนอ่อนแอไม่สามารถมาขุดหาวาสนาได้
และใครกำหนดว่าผู้ฝึกปราณที่สดใสไร้เดียงสาอย่างไฉไฉ่ จะไม่สามารถผงาดในแดนมกุฎได้
“คุณชายท่านดู แม้ก่อนหน้านี้ข้าจะเจออันตราย แต่กลับมีท่านช่วยเหลือ และท่านยังให้โอสถราชันต้นหนึ่งกับข้า นี่ก็คือวาสนาของข้า ถ้าอยู่ในโลกภายนอกจะมีวาสนาระดับนี้ได้อย่างไร”
ไฉไฉ่พูดอย่างจริงจัง
หลินสวินพยักหน้า ตระหนักได้ว่าแม้เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าจะใสซื่อไร้เดียงสา แต่ความคิดความอ่านกลับเด็ดเดี่ยวและเฉลียวฉลาดมาก
จู่ๆ ในระยะไกลก็มีเสียงทะลวงอากาศเร่งร้อนดังขึ้น แสงเคลื่อนไหวมากมายโฉบมาราวกับรุ้งศักดิ์สิทธิ์ มีถึงสิบกว่าคน
ผู้นำคือชายชุดทองที่ศีรษะสวมเกี้ยวประดับสูง อาจหาญอย่างมาก แผ่อานุภาพสะท้านขวัญไปทั่วทั้งตัว
“ศิษย์พี่เหยียน นางเด็กนั่นแหละ!” ข้างๆ ชายชุดทองมีคนตะโกนอย่างตื่นเต้น
ฮือฮาอยู่ครู่หนึ่งคนพวกนี้พลันพุ่งเข้ามา ปิดล้อมห้วงอากาศบริเวณรอบๆ
คนที่ตะโกนด้วยความตื่นเต้น ก็คือชายหนุ่มชุดดำที่เคยอ้างตัวว่าเป็นผู้สืบทอดสำนักกระบี่รู้ตนตรงหน้าผา
สีหน้าของเขาตื่นเต้นเอ่ยว่า “ข้าเห็นกับตาว่าเจ้าบ้าคนนั้นให้ดอกราชันทองแดงเพลิงกันางเด็กนี่!”
ศิษย์พี่เหยียนขานรับว่าอ้อ เหลือบมองไฉไฉ่แวบหนึ่ง จากนั้นสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่หลินสวินพร้อมพูดอย่างเรียบเฉย “คนผู้นี้เป็นใครอีกเล่า”
ชายหนุ่มชุดคลุมดำชะงักไป ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่รู้จัก”
ช่วยไม่ได้ หลินสวินก่อนหน้านี้กับหลินสวินตอนนี้ต่างกันเกินไป เรียกได้ว่าเป็นคนละคน นี่ทำให้ชายหนุ่มชุดคลุมดำยังไม่สามารถแยกแยะได้ไปชั่วขณะ
ทว่าแม้เขาไม่รู้จัก แต่ก็มีคนรู้จัก!
ตอนนี้พอเห็นใบหน้าของหลินสวินชัดแล้ว ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งพลันตะโกนออกมา “เขา เขา… เขาคือเทพมารหลิน!”
ประโยคเดียวราวกับสายฟ้าระเบิดดังก้องไปทั่วฟ้าดิน ทำให้สีหน้าของทุกคนรวมถึงศิษย์พี่เหยียนและชายหนุ่มชุดคลุมดำต่างเปลี่ยนไป ใบหน้าเผยความตกใจ
เทพมารหลินหรือ
เขาหายไปในแดนเผาเซียนมาเกือบครึ่งปีแล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึงปรากฏตัวอีกแล้ว
“เป็นเขาจริงๆ!”
ไม่นานก็ทยอยมีคนให้การยืนยัน แต่ละคนสีหน้าเคร่งเครียด สายตาที่มองไปทางหลินสวินแฝงความระแวงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
แม้บอกว่าหลินสวินเงียบหายไปช่วงหนึ่ง แต่ผลงานการต่อสู้อันนองเลือดของเขาในหุบเขาผลาญสวรรค์นั้น จนตอนนี้ยังเล่าลืออยู่ในแดนเผาเซียน!
เพียงแต่เทพมารหลินนี่กับเด็กสาวคนนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกัน
อย่าว่าแต่พวกเขา แม้แต่ไฉไฉ่ยังอึ้งจนตาค้าง คิดจนหัวแตกนางก็คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มอบอุ่นข้างๆ ตน กลับเป็นเทพมารหลินที่ชื่อเสียงสะเทือนไปทั่วใต้หล้า!
ทันใดนั้นนางพลันรู้สึกมึนงงเหมือนกำลังฝัน
บรรยากาศเงียบลงทันที
แม้จะเป็นศิษย์พี่เหยียนที่เป็นผู้นำยังรู้สึกเกินจะรับมือ ทำอะไรไม่ถูกทันที กลืนไม่เข้าคายไม่ออก อึดอัดใจอย่างมาก
และในใจเขาก็อยากด่าชายหนุ่มชุดคลุมดำให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ นางเด็กนี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทพมารหลิน ยังจะแก้แค้นบ้าบออะไรอีก นี่ไม่ต่างกับรนหาที่ตายเลยสักนิด!
“ทุกท่านมีเรื่องอะไรหรือ”
หลินสวินเอ่ยปาก ดวงตาสีดำราบเรียบกวาดมองทุกคน แต่ผู้ฝึกปราณทุกคนที่ถูกสายตาของเขากวาดผ่านต่างสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ไม่กล้าสบตากับเขา
ศิษย์พี่เหยียนเหงื่อเต็มหน้าผาก พูดกระแอมไอ “ไม่มีอะไร เพียงแค่ในใจชื่นชมชื่อเสียงของพี่หลินมานาน แต่ยังไม่มีวาสนาได้เจอ ยามนี้พอได้เจอ ด้วยความตื่นเต้นจึงโหวกเหวกไปบ้าง โปรดอย่าถือสา”
ในใจผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ต่างแอบชื่นชม ช่างสมกับที่เป็นศิษย์พี่เหยียน ไม่ยึดติด เปลี่ยนเรื่องหาทางออกให้ตัวเอง ควบคุมสถานการณ์ได้อย่างไม่ขาดตกเลยสักนิด!
หลินสวินขานรับว่าอ้อทีหนึ่งแล้วพูดว่า “ในเมื่อตอนนี้เจอหน้ากันแล้ว จะถอยไปได้หรือไม่”
ศิษย์พี่เหยียนเบี่ยงตัวเปิดทาง ยิ้มผายมือเชิญพร้อมพูดว่า “เช่นนั้นข้าผู้แซ่เหยียนไม่กวนแล้ว น้อมส่งพี่หลินแต่เพียงเท่านี้”
ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ล้วนสูดหายใจ การควบคุมสถานการณ์ของศิษย์พี่เหยียนสุดยอดจริงๆ เลย!
แน่นอนว่าก็มีคนแอบไม่พอใจ ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่เหยียนพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่า ไม่ว่าจะเป็นใครหากกล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกเขาสำนักกระบี่รู้ตน ก็ต้องชดใช้เป็นสิบเท่า
แต่ตอนนี้…
ยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ!
จนกระทั่งส่งหลินสวินและไฉไฉ่จากไปด้วยกัน เงาร่างหายไปแล้ว ศิษย์พี่เหยียนจึงปาดเหงื่อ
เขาเหมือนยกภูเขาออกจากอก “ยังดีๆ ไม่ได้ยั่วโทสะไอ้คนโหดเหี้ยมอำมหิต เย็นชาเลือดเย็น เผด็จการเอาแต่ใจ ไม่กลัวฟ้าดินนั่น มิฉะนั้นพวกเราคงไม่มีใครรอดไปได้”
ชายหนุ่มชุดคลุมดำพูดอย่างลังเล “แต่ศิษย์พี่ พวกเราทำแบบนี้จะ… อ่อนแอเกินไปหน่อยหรือเปล่า”
ศิษย์พี่เหยียนพูดอย่างเย็นชา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดสำนักของเราจึงชื่อว่า ‘รู้ตน’ นั่นก็คือตอนที่ควรก้มหัวก็ก้มหัว จึงจะได้อิสระอย่างแท้จริง เล่นแต่ไม้แข็ง อย่าว่าแต่เป็นอิสระ สิ่งที่เราต้องเผชิญมีเพียงความพินาศ!”
คำพูดที่ไม่มีมาดเลยสักนิด แต่กลับถูกเขาพูดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยวทรงพลัง แฝงการโน้มน้าวอย่างแรงกล้า
หากบรรพจารย์ผู้เปิดสำนักรู้ว่าเขาเข้าใจคำว่า ‘รู้ตน’ เช่นนี้ จะต้องโกรธจนกระโดดออกจากโลงศพแน่
คนอื่นๆ ต่างชื่นชม “ที่ศิษย์พี่เหยียนพูดมีเหตุผล”
“แต่จะว่าไป เทพมารหลินนี่ปรากฏตัวแล้ว คราวนี้ก็มีเรื่องสนุกให้ดูแน่ เท่าที่ข้ารู้ ในเมืองโบราณเผาเซียนมีขุมอำนาจไม่น้อยรอเขาอยู่”
ศิษย์พี่เหยียนคล้ายกำลังขบคิด พลันเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียน
“ไม่ผิด แดนเผาเซียนในตอนนี้ไม่ใช่ที่ยืนของระดับกระบวนแปรจุติแล้ว แต่เป็นแผ่นดินของราชัน เทพมารหลินจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องประสบเคราะห์”
มีคนตาเป็นประกาย พูดอย่างตื่นเต้น
“แดนมกุฎ อริยะไม่คงอยู่ หากอยู่ในโลกภายนอก เทพมารหลินยังสามารถพึ่งสมบัติอริยะไปสู้กับผู้แข็งแกร่งระดับราชัน แต่ตอนนี้ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว!”
“นี่ก็หมายความว่าเพียงแค่เขาปรากฏตัวหน้าเมืองโบราณเผาเซียน ก็จะถูกจับจ้องและดึงดูดผู้แข็งแกร่งระดับราชันมาโจมตีใช่หรือไม่”
“เป็นเช่นนี้แน่!”
ศิษย์พี่เหยียนพูดอย่างมีเหตุมีผล “แน่นอน พวกเจ้าอย่าได้คิดว่าข้ากำลังสาปแช่งเทพมารหลิน ข้าแค่วิเคราะห์ความจริงเรื่องหนึ่งเท่านั้น”
คำพูดรอบคอบไร้ช่องโหว่ แม้หลินสวินได้ยินก็ไม่สามารถกล่าวโทษได้
พูดถึงตรงนี้เขาใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วพูดว่า “แน่นอน หากเทพมารหลินสามารถเข้าเมืองได้อย่างปลอดภัยก็เพียงพอจะหลีกเลี่ยงเคราะห์สังหารครั้งนี้ได้ เพราะผู้แข็งแกร่งระดับราชันถูกการจำกัดของเมืองโบราณเผาเซียน ไม่สามารถเข้าเมืองได้ นี่อาจจะเป็นโอกาสรอดเพียงหนึ่งเดียวของเทพมารหลิน”
ชายหนุ่มชุดคลุมดำพูด “ข้ารู้สึกว่าเขาไม่มีโอกาสแล้ว ช่วงนี้ประตูเมืองถูกควบคุมอย่างหนาแน่น มีผู้แข็งแกร่งระดับราชันบัญชาการอยู่ หากเทพมารหลินปรากฏตัว ก็จะถูกสังหารตั้งแต่นอกเมือง”
“ศิษย์พี่เหยียน พวกเราเองก็รีบกลับเมืองไปดูหน่อยเถอะ นี่ต้องเป็นศึกใหญ่แน่ หากไม่เห็นกับตาจะต้องเสียใจไปทั้งชีวิต”
มีคนทนรอไม่ไหวแล้ว
“ไป!”
ศิษย์พี่เหยียนเองก็หวั่นไหวอย่างมาก โบกมือใหญ่ ตัดสินใจหวนกลับเมืองเผาเซียนทันที
……
ในระยะไกลสามารถมองเห็นเค้าโครงอันเกรียงไกรไร้ที่เปรียบของเมืองโบราณเผาเซียนแล้ว
เพียงแต่ตอนที่หลินสวินเตรียมจะเดินหน้าต่อ พลันสังเกตว่าบริเวณประตูเมืองกลับมีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งของผู้แข็งแกร่งระดับราชันวนเวียนอยู่
และไม่ใช่แค่หนึ่งคน!
“ไฉไฉ่ ช่วงนี้เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นหรือเปล่า” หลินสวินหยุดฝีเท้า ถามอย่างสบายๆ
ไฉไฉ่ชะงักไปแล้วเอ่ยว่า “มีเรื่องฮือฮาเกิดขึ้นทุกวัน ไม่รู้ว่าคุณชายหมายถึงด้านไหน”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมหน้าประตูเมืองถึงมีผู้แข็งแกร่งระดับราชันมาดูแลหลายคน” หลินสวินถาม
ไฉไฉ่เผยสีหน้ารังเกียจทันที พูดอย่างขุ่นเคือง “คุณชาย ท่านคงไม่รู้ ผู้แข็งแกร่งระดับราชันเหล่านั้นล้วนเป็นผู้สืบทอดที่มาจากสำนักใหญ่ต่างๆ มาควบคุมประตูเมืองตั้งแต่หนึ่งเดือนกว่าก่อนหน้า”
“มีเพียงผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่ที่เข้าออกได้ตามใจ ผู้ฝึกปราณที่อยู่ในขุมอำนาจเล็กๆ หรือไม่มีสำนัก อยากเข้าเมืองก็ต้องเสียเงินก้อนใหญ่ เกินไปแล้วจริงๆ!”
“อย่างน้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงที่ข้าเก็บมา ทุกครั้งที่เข้าเมืองก็จะถูกพวกเขาชิงไปครึ่งหนึ่ง ผู้ฝึกปราณบางคนแย่กว่าอีก สมบัติที่ได้รับมา ถือยังไม่ทันอุ่นก็ถูกพวกเขาซื้อไปแล้ว”
“ซื้อไปหรือ” หลินสวินอึ้ง
ไฉไฉ่พูดอย่างดูถูก “แน่นอนว่าพวกเขาไม่ปล้นอย่างเปิดเผย เพราะจะสร้างความเสื่อมเสียแก่ชื่อเสียงของสำนักพวกเขา แต่จะบังคับให้ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ขายสมบัติให้พวกเขาในราคาที่ต่ำที่สุด”
หลินสวินเพิ่งจะเข้าใจ อดหัวเราะเยาะไม่ได้ “เผด็จการและไร้ยางอายจริงๆ”
ว่าแล้วร่างกายของเขาพลันส่ายทีหนึ่ง แปรเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มที่รูปลักษณ์ธรรมดา จากนั้นพูดกับไฉไฉ่ว่า “ไฉไฉ่ลำบากเจ้าไปก่อนนะ”
เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วเก็บไฉไฉ่เข้าไปในเจดีย์สมบัติไร้อักษร
เก็บสมบัติอริยะไว้กับตัว เพียงแค่ไม่แสดงอานุภาพย่อมไม่มีทางละเมิดกฎระเบียบของแดนมกุฎ ไม่ทำให้เจดีย์สมบัติไร้อักษรถูกทำลาย
ทำทุกอย่างนี้เสร็จ หลินสวินจึงมุ่งหน้าไปยังเมืองโบราณเผาเซียนที่อยู่ห่างไป
ตอนที่ 1154 จังหวะสุดท้าย
แตกต่างจากการเข้าออกเมืองเผาเซียนก่อนหน้านี้จริงๆ
หน้าประตูเมืองมีผู้ฝึกปราณจากขุมอำนาจสำนักเฝ้าอยู่ มีเพียงผู้ฝึกปราณที่มาจากขุมอำนาจสำนักเดียวกันจึงสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ
ส่วนผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ก็ทำได้เพียงเข้าแถวอยู่หน้าเมือง อยากจะเข้าเมืองก็ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่
นี่คือกฎ
กฎนี้ขุมอำนาจใหญ่หลายสายร่วมกันตั้งขึ้น ใครกล้าละเมิดก็จะขัดแย้งกับขุมอำนาจใหญ่เหล่านั้น!
นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณที่มาจากสำนักทั่วไปรู้สึกอึดอัด
แต่ช่วยไม่ได้ เพื่อแสวงหาวาสนา พวกเขาจำต้องออกจากเมือง และถ้าออกจากเมืองก็จะต้องเข้าเมือง
เผชิญกับกฎที่เผด็จการอย่างที่สุดเช่นนี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงบีบจมูกทน
“เข้าแถว เร็วหน่อย!”
หน้าประตูเมือง ชายที่ไว้หนวดเคราคนหนึ่งตะโกน
นี่คือระดับกึ่งราชันคนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าอายุมากแล้ว มาจากเขาวิญญาณหมื่นอสูร นามว่าหลูเหิง
คนอย่างเขาเข้ามาในแดนมกุฎ แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อยกระดับมรรคา ทำได้เพียงแต่เป็นผู้ตักตวงทรัพยากรในการฝึกปราณให้สำนักก็เท่านั้น
เหนือกำแพงเมือง ชายชุดคลุมเทาคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเกียจคร้าน ดูอ่อนวัยมาก แต่บนร่างกายกลับแผ่อานุภาพระดับราชันที่น่ากลัวออกมา
นี่คือราชันคนใหม่!
เขานามว่าอูหยวนเจิ้น มาจากเผ่าอีกาทอง แต่เดิมก็เป็นผู้แข็งแกร่งขอบเขตมกุฎอยู่แล้ว เมื่อสามเดือนก่อนเพราะควบคุมมรรควิถีในตัวไม่ได้ จึงถูกบีบให้ทะลวงระดับ
ไม่คิดว่าเขากลับบรรลุระดับสังสารวัฏอย่างราบรื่น กลายเป็นราชันรุ่นเยาว์คนหนึ่ง
ในบริเวณที่ห่างจากอูหยวนเจิ้นไม่มากนัก หญิงชุดเขียวคนหนึ่งสายตาราวกับคมดาบ กวาดมองกลุ่มคนที่อยู่ด้านล่าง แต่ทุกคนที่ถูกสายตาของนางกวาดผ่านต่างแข็งทื่อไปทั้งตัว สัมผัสได้ถึงความรู้สึกหายใจไม่ออกอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
หญิงชุดเขียวคนนี้ก็เป็นบุคคลระดับราชันเช่นกัน นามว่าเมี่ยวเฉิน มาจากสำนักยุทธ์นครนิล เป็นศิษย์น้องร่วมสำนักกับเทพธิดาหลิงหวาที่ตายในมือหลินสวิน
เพียงแต่ตอนนี้เมี่ยวเฉินกลายเป็นราชันที่แท้จริงแล้ว ฐานะแตกต่างจากเมื่อก่อน
นอกจากอูหยวนเจิ้นกับเมี่ยวเฉิน ด้านล่างกำแพงเมืองตรงสองข้างประตูยังมีผู้ชายอยู่ด้านละคน
ด้านซ้ายคือชายหนุ่มชุดเหลืองที่กอดกระบี่ยาวไว้ในอกยืนพิงอยู่กำแพง รูปร่างสูงโปร่ง สีหน้าเย็นชาเรียบเฉย
เขานามว่าซางชง มาจากเผ่าวิญญาณสมุทร
ด้านขวาคือชายเย็นชารูปร่างกำยำ กำลังก้มหน้าตั้งใจเช็ดดาบศึกอยู่
เขานามว่าหวังอวิ๋นทง มาจากลัทธิบูชาจันทร์แห่งแดนเร้นอริยะ เดิมก็เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎเช่นกัน เป็นศิษย์พี่ของเลี่ยอวิ๋นไห่ที่ตายในมือหลินสวิน
ไม่ว่าจะเป็นซางชงจากเผ่าวิญญาณสมุทรหรือหวังอวิ๋นทงจากลัทธิบูชาจันทร์ ล้วนบรรลุระดับราชันแล้ว!
ราชันรุ่นเยาว์สี่คนควบคุมอยู่ทั้งบนและล่างของประตูเมือง พลังระดับนี้ทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณที่เข้าแถวอยู่ต่างอกสั่นขวัญแขวน
อย่าว่าแต่ขัดคำสั่งเลย แม้ความคิดจะต่อต้านยังไม่กล้ามี!
หลินสวินเองก็เข้าแถวอยู่ และตอนที่เข้าแถวก็ได้สังเกตเห็นอูหยวนเจิ้น เมี่ยวเฉิน ซางชงและหวังอวิ๋นทงแล้ว
ด้านบนของประตูเมืองยังมีรูปประกาศจับรูปหนึ่งติดอยู่
แวบเดียวหลินสวินก็ดูออกว่า เค้าโครงรูปลักษณ์ของรูปประกาศจับที่ร่างออกมาก็คือตน!
เห็นได้ชัดว่าหมายจับนี้ติดมานานแล้ว และรางวัลนำจับคือโอสถราชันสามต้น
หลินสวินเหลือบมองแวบหนึ่งก็เก็บสายตา
ในใจเขากลับปรากฏไอสังหารที่ไม่อาจยับยั้งได้
เห็นได้ชัดว่าเหล่าขุมอำนาจใหญ่ที่เคยถูกตนจัดการล้วนอดไม่ไหวแล้ว กำลังตามหาเบาะแสของตนอย่างบ้าคลั่ง
และที่พวกเขากล้าเหิมเกริมไม่กลัวฟ้าดินเช่นนี้ ก็เพราะมีผู้แข็งแกร่งระดับราชันเป็นกำลังหลัก!
‘เข้าเมืองไปก่อน!’
หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ สกัดกั้นไอสังหารในใจไว้
เมืองโบราณเผาเซียนปกคลุมด้วยพลังต้องห้ามตามธรรมชาติ สามารถกำราบผู้แข็งแกร่งระดับราชัน ทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าเมืองได้
มิฉะนั้นราชันที่มาจากขุมอำนาจใหญ่อย่างอูหยวนเจิ้น เมี่ยวเฉิน หวังอวิ๋นทงและซางชง จะลดตัวลงมาเฝ้าอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร
“เอาสมบัติที่เก็บอยู่ในตัวเจ้าออกมา!”
ไม่นานก็ถึงตาหลินสวิน ชายหน้าหนวดหลูเหิงพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด “จำไว้ หากกล้าซ่อนละก็ ที่นี่ก็จะเป็นสุสานฝังกระดูกเจ้า!”
ว่าแล้วเขาก็หยิบคันฉ่องสมบัติสำริดบานหนึ่งออกมา เริ่มกวาดขึ้นลงบนตัวหลินสวิน
นี่คือสมบัติประหลาดชิ้นหนึ่ง สามารถทำให้สมบัติทุกอย่างในตัวผู้ฝึกปราณไม่สามารถอำพรางได้
แน่นอนว่าสมบัติพลิกฟ้าบางอย่างไม่สามารถถูกตรวจค้นได้ อย่างเช่นเจดีย์สมบัติไร้อักษรและห้องโถงมรรคาสวรรค์ในห้วงนิมิตของหลินสวิน
ไม่นานหลูเหิงก็เก็บคันฉ่องสมบัติสำริด
ในเวลาเดียวกันหลินสวินเองก็หยิบแหวนเก็บของที่เตรียมเอาไว้นานแล้วออกมาอย่างให้ความร่วมมือ
หลูเหิงตรวจดูคร่าวๆ พบว่ามีแค่พวกวัตถุดิบวิญญาณทั่วไปที่ไม่เข้าตา ก็อดไม่ได้ที่จะก่นด่าอย่างไม่อภิรมย์ “ซวยจริงๆ เลย เจอคนจนอีกคนแล้ว รีบไสหัวไป!”
หลินสวินเลิกคิ้ว เหลือบมองหลูเหิงแวบหนึ่ง ในใจได้ตัดสินโทษตายอีกฝ่ายแล้ว
ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถือสา เขาข่มกลั้นอารมณ์นั้นไว้ ตรงเข้าประตูเมืองไป
แต่ตอนนี้เอง จู่ๆ เสียงตะโกนหนึ่งก็ดังขึ้น…
“ช้าก่อน!”
เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าหลินสวิน
นี่เป็นชายหนุ่มชุดคลุมดำที่นัยน์ตาแดงก่ำ แผ่กลิ่นอายคาวเลือดไปทั่วทั้งตัว
เขาเหมือนพบเหยื่อ ตื่นเต้นอย่างที่สุด กรีดร้องเสียงแตกพร่า “เทพมารหลิน! เร็ว! เจ้าหมอนี่คือเทพมารหลิน!”
ตอนแรกเพราะเสียงตะโกนของชายหนุ่มคนนี้ ทำให้ทุกคนบริเวณรอบๆ ต่างประหลาดใจ ในใจสั่นสะท้าน แม้แต่ราชันทั้งสี่ที่กระจายอยู่ในตำแหน่งที่ต่างกันยังตกใจ เคลื่อนสายตาไปมอง
แต่ตอนได้ยินเสียงกรีดร้องแหบพร่าที่แฝงความตื่นเต้นของชายหนุ่มชุดคลุมดำ บรรยากาศทั่วทั้งลานพลันเปลี่ยนไป
สารเลวเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ!
ขณะเดียวกันในที่สุดหลินสวินก็เดาฐานะของชายหนุ่มชุดคลุมดำคนนี้ออกแล้ว ในใจชิงชังนัก จะเข้าเมืองอยู่แล้ว กลับถูกเจ้าหมอนี่ทำลาย จะให้หลินสวินทนได้อย่างไร
แทบจะเป็นตอนที่เสียงกรีดร้องของอีกฝ่ายจบลง หลินสวินก็ออกโจมตีอย่างเหี้ยมหาญแล้ว
โครม!
ชายหนุ่มชุดคลุมดำยังคงตื่นเต้นและย่ามใจ ไหนเลยจะคิดว่าจู่ๆ ภาพตรงหน้าพลันพร่าเบลอ ลำคอถูกจับกุม จากนั้นถูกบีบจนหักดังแกร๊ก สิ้นชีพคาที่
ส่วนหลินสวินกลับไม่คิดจะหยุด พุ่งไปทางประตูเมือง สำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งออกมาเต็มกำลัง!
“อยากไปหรือ ไม่มีทาง!”
ต้องยอมรับว่าการตอบสนองของผู้แข็งแกร่งระดับราชันน่ากลัวเกินไป ตอนที่หลินสวินลงมือ เงาร่างหนึ่งได้ลงมาจากฟ้าแล้ว
เป็นอูหยวนเจิ้นจากเผ่าอีกาทอง เขาแผ่แสงทองที่สว่างไสวทั่วทั้งตัว พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วเหลือเชื่อราวกับเคลื่อนย้ายในชั่วพริบตา
และตอนที่พุ่งออกมา ก็ยื่นแขนไปคว้าตัวหลินสวินกลางอากาศแล้ว
โครม!
มือใหญ่สีทองอร่ามควบรวม มีพลังมรรคราชันแสบตารัดพันอยู่ ทำให้อากาศบริเวณรอบๆ ประตูเมืองระเบิด สภาพการณ์น่ากลัว
ผู้ฝึกปราณหลายคนอยู่บริเวณนั้นพอดี แต่เขากลับไม่สนใจสักนิด การคว้าจับนี้ยังไม่ทันมาถึง ก็มีผู้ฝึกปราณที่เป็นผู้บริสุทธิ์หลายคนหนีไม่ทัน ร่างกายแตกสลายกะทันหัน ฝนโลหิตสาดกระเซ็น
ปัง!
หลินสวินไม่ได้หันกลับไป สำแดงปะทะฟู่ซี่ออกมาเต็มกำลัง ภาพมายาของสัตว์เทพฟู่ซี่ปรากฏขึ้น
เพียงแต่ยังไม่สามารถต้านทานได้ก็ถูกมือใหญ่สีทองนั่นตบจนแหลกละเอียด แล้วกระแทกใส่หลังหลินสวินโดยที่อานุภาพไม่ลดลงสักนิด
เห็นอยู่ว่าเขากำลังจะถูกฝ่ามือใหญ่คว้าตัวเอาไว้ เงาร่างพลันพุ่งปราดออกไป แสงมรรคสว่างไสวไปทั่วทั้งตัว ความเร็วเพิ่มขึ้นเป็นเท่าใหญ่ หลีกหนีไปได้อย่างหวุดหวิดอีกครั้ง
โครม!
มือใหญ่สีทองนั่นกระแทกลงมาจนพื้นดินสะเทือน แยกเป็นร่องลึกที่น่าหวาดหวั่น ฝุ่นควันคละคลุ้ง
และตอนนี้เองหลินสวินห่างจากประตูเมืองไม่ถึงสิบจั้งแล้ว
ถ้าเป็นปกติ ระยะห่างเพียงเท่านี้ชั่วพริบตาก็ไปถึงแล้ว
แต่ตอนนี้ระยะห่างสิบจั้งนี้กลับเหมือนเส้นแห่งความเป็นความตายหน้าประตูผี เต็มไปด้วยไอสังหารยิ่งใหญ่
ฉัวะ!
ปราณกระบี่สีดำบาดตาโฉบมา แทงใส่หลินสวินที่พุ่งเข้ามา
นี่เป็นการลงมือของเมี่ยวเฉินแห่งสำนักยุทธ์นครนิล ทั้งยังชิงลงมือตั้งแต่ตอนที่หลินสวินหนีจากฝ่ามือของอูหยวนเจิ้นอย่างหวุดหวิดแล้ว
ปราณกระบี่สายหนึ่ง รุนแรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เผยอานุภาพอันน่ากลัวของราชันคนหนึ่งออกมาอย่างเต็มที่
นอกจากถอย ก็ไม่สามารถต้านทานได้เลยจริงๆ!
แทบจะในเวลาเดียวกัน ซางชงแห่งเผ่าวิญญาณสมุทร หวังอวิ๋นทงแห่งลัทธิบูชาจันทร์ต่างพุ่งมา ล้อมหลินสวินจากด้านหลัง
การกระทำทั้งหมดนี้จบลงแทบจะในชั่วพริบตา
ผู้แข็งแกร่งระดับราชันรุ่นเยาว์สี่คนเผยประสบการณ์ต่อสู้ที่เผ็ดร้อนอย่างที่สุดออกมาในตอนนี้ ปิดกั้นประตูเมืองฝั่งนี้ไว้แน่นหนา
ส่วนผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ เพราะการเปลี่ยนแปลงในที่นั้นเกิดขึ้นไวเกินไป ทำให้คนส่วนใหญ่ตอบสนองไม่ทัน!
สถานการณ์อันตรายอย่างมาก!
นี่คือเหตุการณ์ที่จะต้องตายสถานเดียว!
ระดับราชันสี่คน สุ่มเลือกคนใดคนหนึ่งออกมา ก็ล้วนเพียงพอจะกำราบผู้แข็งแกร่งที่ต่ำกว่าระดับราชันทุกคนได้ แม้จะเป็นผู้กล้าขอบเขตมกุฎก็ไม่มีพลังพอจะสู้กับพวกเขา
เพราะระดับราชันอยู่เหนือระดับปราณใหญ่ทั้งห้าแล้ว!
หากอยู่ในโลกภายนอก หลินสวินสามารถใช้เจดีย์สมบัติไร้อักษร และสามารถใช้ขวดมหามรรคไร้ขอบเขต ถึงขั้นที่สามารถเรียกใช้ยานขนส่งอวกาศเพื่อหนีเอาตัวรอดได้
แต่ที่นี่คือแดนมกุฎ มีกฎระเบียบอริยะไม่คงอยู่เป็นข้อจำกัด การใช้สมบัติอริยะมีแต่จะทำให้หลินสวินตายไวขึ้น!
เวลาเหมือนจะช้าลง
ผู้แข็งแกร่งสี่คนสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา มั่นใจในชัยชนะ ที่พวกเขาเฝ้าอยู่ตรงนี้ก็เพื่อรอคอยโอกาสเช่นนี้!
ตอนนี้โอกาสมาถึงแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางทนเห็นหลินสวินหนีไปได้แน่
อีกอย่างพวกเขาย่ามใจมาก เพราะอยู่ในระดับราชัน ทำให้พวกเขาไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว ก่อนหน้านี้อาจจะหวาดกลัวหลินสวินมาก
แต่ตอนนี้ในสายตาพวกเขาหลินสวินเป็นแค่หนอนตัวเล็กๆ เท่านั้น สามารถบี้ให้ตายได้ตามอำเภอใจ!
และในช่วงสำคัญนี้ หลินสวินได้ตัดสินใจทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคน
เงาร่างของหลินสวินไม่เคยถอยหนี กลับใช้ความเร็วที่ไวกว่ารับปราณกระบี่สีดำที่แทงสังหารเข้ามา!
พรูด!
ปราณกระบี่ทะลวงผ่านหน้าอกไป นำพาเลือดสีแดงสายหนึ่งออกมา
ส่วนหลินสวินก็พุ่งตัวไปข้างหน้าแล้ว
เมี่ยวเฉินที่ขวางอยู่ด้านหน้าทำอะไรไม่ถูก ทว่าปฏิกิริยาของนางไม่ช้าเลยสักนิด จะฟันออกไปอีกกระบี่ตามจิตใต้สำนึก
แต่ไม่รอให้ได้ลงมือ พลังจิตของนางก็เจ็บแปลบขึ้นมาอย่างรุนแรงราวกับถูกดาบคมฟันใส่ ภาพตรงหน้าพร่ามัวขึ้นมา
และตอนนี้เองหลินสวินก็คว้าโอกาสไว้ ใช้ความเร็วที่แทบจะสุดชีวิตพุ่งเข้าประตูเมืองนั่นไป!
ครืนโครม!
หน้าประตูเมือง การโจมตีของราชันสี่คนจบลง หมอกควันคละคลุ้ง ประกายศักดิ์สิทธิ์สั่นไหว คลื่นกระทบที่น่ากลัวแผ่กระจายออกมา ราวกับภูเขาถล่มสมุทรกระหน่ำ สถานการณ์น่ากลัวอย่างที่สุด
สามารถคาดการณ์ได้ว่า หากหลินสวินช้าเพียงนิดจะต้องถูกสังหารคาที่แน่!
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นไวเกินไป ความเป็นความตายตัดสินในชั่วพริบตา ถ้าเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎคนอื่น ในสถานการณ์ที่จนตรอกเช่นนี้ กลัวว่าคงมีน้อยมากที่จะสามารถคลี่คลายเคราะห์แห่งการทำลายล้างขั้นสุดเช่นนี้ได้เหมือนอย่างหลินสวิน
แม้แต่หลินสวินเอง ตอนนี้ยังตกใจจนเหงื่อท่วมตัว!
ตอนที่ 1155 พยัคฆ์ลำบาก?
ในประตูเมือง เดิมทีผู้คนขวักไขว่ไปมาคับคั่ง คึกคักอย่างที่สุด
แต่พอการโจมตีของผู้แข็งแกร่งระดับราชันสี่คนปะทุขึ้นนอกประตูเมือง เกิดความสะเทือนสะท้านขวัญราวกับฟ้าถล่มดินทลาย ทำให้ผู้ฝึกปราณในประตูเมืองต่างตกใจ สั่นเทิ้มไปทั้งตัว
บรรยากาศที่เดิมครื้นเครงคึกคักก็หายไป
ทุกสายตาล้วนมองมายังประตูเมือง
ที่ตรงนั้นมีเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ หน้าอกถูกกรีดเปิดออก เลือดสดไหลพรูราวกับน้ำตก เหมือนสัตว์ปีศาจที่เพิ่งหลุดพ้นพันธนาการ กลิ่นอายที่แผ่ออกมารอบตัวทำให้ทุกคนต่างหวาดหวั่น
แน่นอนว่าคนผู้นี้คือหลินสวิน
ตอนนี้พวงแก้มของเขาซีดขาว ชุ่มไปด้วยเลือดและเหงื่อทั่วทั้งตัว หน้าอกถูกปราณกระบี่ของผู้แข็งแกร่งระดับราชันคนหนึ่งแทงทะลุ ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส
ปราณกระบี่นั่นน่ากลัวเกินไป เต็มไปด้วยพลังระดับราชัน แม้หลินสวินจะหลบเลี่ยงอันตรายมาได้ แต่ก็ยังบาดเจ็บรุนแรง
“รังเกียจที่ข้าสังหารคนไม่มากพอจริงๆ หรือ…”
ยามนี้ดวงตาดำของหลินสวินเยียบเย็นอย่างที่สุด ความเจ็บปวดรุนแรงบนร่างไม่สามารถแทนที่เพลิงโกรธซึ่งลุกโชนขึ้นในใจเขา
แค้น!
ความแค้นสลักลึกลงกระดูก!
ช่วงเวลาอันตรายแห่งความเป็นความตายที่ประสบเมื่อครู่นี้ ทำให้หลินสวินถูกยั่วโทสะอย่างสิ้นเชิง ราชันสี่คนลงมือพร้อมกันเพื่อเล่นงานเขาคนเดียว!
คิดว่าตนรังแกได้ง่ายจริงหรือ
หลินสวินกำหมัดแน่นเงียบๆ เส้นเลือดบนหลังมือปูดนูน!
หรือจะบอกว่า คิดว่าอาศัยผู้แข็งแกร่งระดับราชันแล้ว จะสามารถมองตนเป็นเนื้อปลาบนเขียงที่สามารถฆ่าได้ตามใจชอบหรือ
…
นอกประตูเมืองฝุ่นควันคละคลุ้ง ราชันสี่คนสีหน้าอึมครึม สายตาเย็นชา จ้องหลินสวินที่อยู่ด้านในประตูเมืองอย่างไม่ละสายตา
ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ต่างอึ้งจนพูดไม่ออก
ไม่มีใครคิดว่าภายใต้สถานการณ์ที่จนหนทางเช่นนี้ หลินสวินยังสามารถหลุดรอดได้!
นั่นเป็นถึงบุคคลที่เพิ่งบรรลุระดับราชันสี่คนเชียวนะ ลงมือพร้อมกัน เพียงพอที่จะสยบผู้กล้าขอบเขตมกุฎทุกคนได้อย่างง่ายดาย
แต่ตอนนี้กลับปล่อยให้หลินสวินหนีเคราะห์ไปได้
นี่ดูเหลือเชื่อเกินไป ทำให้ยากจะเชื่อ
“ดันปล่อยให้เขาหนีไปได้… น่าอายจริงๆ”
อูหยวนเจิ้นพึมพำ เขาโกรธจนหน้าเขียว อยากจะพุ่งเข้าเมืองเสียเดี๋ยวนี้ แต่สุดท้ายเขาก็ทนเอาไว้
เมืองโบราณเผาเซียนมีพลังต้องห้ามชั้นหนึ่งโดยธรรมชาติ กดข่มระดับราชัน หากเข้าไปโดยพลากรจะต้องถูกพลังต้องห้ามสะท้อนกลับ
“พูดได้เพียงว่าเจ้าหมอนี่เจ้าเล่ห์เกินไป หากไม่ใช่เพราะสหายเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬมองทะลุฐานะของเขา จะปล่อยให้เขาฉวยโอกาสเข้าเมืองไปได้อย่างไร”
ผมสีเขียวทั่วศีรษะของซางชงแห่งเผ่าวิญญาณสมุทรพลิ้วไหว สีหน้าก็อึมครึมอย่างที่สุดเช่นกัน
“เขาถูกปราณกระบี่ของข้าโจมตีจนบาดเจ็บสาหัสแล้ว แม้เข้ามืองไปก็ยากจะรอดชีวิต!”
เมี่ยวเฉินแห่งสำนักยุทธ์นครนิลกัดฟัน ในแววตาแผ่ประกายหนาวเย็น แทบอยากจะเลือกใครสักคนมากัดเพื่อระบายอารมณ์
เดิมทีนางเป็นคนที่มีโอกาสสังหารหลินสวินที่สุด แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายไม่เพียงใจเหี้ยมกับศัตรู กับตัวเองก็ยังเหี้ยมยิ่งกว่า ไม่คิดจะหลีกหนี ยอมบาดเจ็บหนักเพื่อคว้าโอกาสรอดเพียงเสี้ยวเดียว
จวบจนกระทั่งตอนนี้ นางเองยังไม่เข้าใจว่าการโจมตีที่ผ่าใส่พลังจิตของตนมาจากหลินสวินหรือคนอื่น
หากไม่เป็นเช่นนี้ แม้หลินสวินสู้สุดชีวิต นางก็มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะสังหารอีกฝ่ายได้
แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของนาง หวังอวิ๋นทงผู้สืบทอดลัทธิบูชาจันทร์ที่อยู่ข้างๆ พลันส่งเสียงคำรามยาว
“ทุกท่าน เทพมารหลินปรากฏตัวแล้ว ถูกพวกข้าโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส เขาพ้นจากความตายแล้ว ตอนนี้อยู่ด้านในประตูเมือง เป็นโอกาสดีที่สุดในการสังหารเขา ทุกคนยังไม่ลงมืออีก?”
เสียงคำรามราวกับฟ้าร้องสะเทือนกลางฟ้าดิน ถึงขั้นกระจายไปยังท้องฟ้าเหนือเมืองโบราณเผาเซียนทั้งเมือง ทำให้แปดทิศสั่นไหว
ทันใดนั้นกองกำลังแต่ละขุมอำนาจใหญ่ที่กระจายตัวอยู่ในเมือง มีผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไหร่วางการกระทำในมือลง ต่างพุ่งออกมา
ถูกเตือนเช่นนี้ พวกอูหยวนเจิ้น เมี่ยวเฉิน ซางซงต่างตะโกนแจ้งข่าวบอกขุมอำนาจสำนักตัวเอง ให้ฉวยโอกาสนี้ล้อมโจมตีหลินสวิน!
เทพมารหลินที่แกล้วกล้าคนนี้ อาจสามารถทำให้ผู้ฝึกปราณคนใดๆ ในเมืองหวาดเกรง
แต่เทพมารหลินในตอนนี้บาดเจ็บสาหัสเจียนตายแล้ว เรียกได้ว่าไม่มีภัยคุกคามสักนิด เป็นโอกาสดีที่สุดในการสังหารเขา
หากรอให้ฟื้นตัว เช่นนั้นทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว!
ได้ยินเสียงตะโกนเหล่านี้ หลินสวินหันกลับมา ดวงตาดำเย็นเยียบถึงขีดสุด มองพวกอูหยวนเจิ้นเงียบๆ แวบหนึ่ง
จากนั้นก็หมุนตัวเดินไป
แม้เพียงสายตาเดียว แต่พวกอูหยวนเจิ้นต่างสะท้านในใจ สัมผัสได้อย่างฉับไวถึงไอสังหารในใจหลินสวิน
ทันใดนั้นบนใบหน้าของพวกเขายิ่งอึมครึมกว่าเดิม
พวกเขาในตอนนี้ล้วนบรรลุระดับราชันแล้ว ไม่สามารถเปรียบกับเมื่อก่อนได้อีกต่อไป เทพมารหลินนี่กลับยังกล้าข่มขู่เช่นนี้ ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!
“สั่งการลงไป ปิดทางเข้าออกของเมืองโบราณเผาเซียน ให้เจ้าหมอนี่ติดปีกก็หนีไม่รอด!”
อูหยวนเจิ้นคำรามออกคำสั่ง
…
เขาคือเทพมารหลิน!
ในเมืองผู้ฝึกปราณที่เดิมตกใจ ล้วนมั่นใจในฐานะของหลินสวินแล้ว ต่างอดกลัวไม่ได้
เงียบไปนานครึ่งปี ทุกคนต่างคิดว่าเทพมารหลินสัมผัสได้ถึงความผิดปกตินานแล้ว จึงอาศัยพลังของเจดีย์มกุฎออกจากแดนเผาเซียนไป
แต่ใครจะคิดว่าเขากลับไม่ได้ไปไหน!
อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ยังรอดพ้นจากการร่วมมือโจมตีของผู้แข็งแกร่งระดับราชันสี่คน!
“เทพมารหลินยังเหี้ยมหาญเหมือนเดิม!”
มีคนถอนหายใจ
“ไม่ได้ยินหรือ เขาบาดเจ็บสาหัสเจียนตายอยู่แล้ว ตอนนี้แค่ผู้แข็งแกร่งธรรมดาคนหนึ่งลงมือก็คุกคามชีวิตเขาได้แล้ว!”
มีคนตาเป็นประกาย
“ในเมืองมีกองกำลังขุมอำนาจใหญ่มากมายอยู่ หากพวกเขารู้ข่าวนี้ จะต้องลงมือสังหารหลินสวินทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย”
มีคนถอนหายใจในใจ
ในสถานการณ์เช่นนี้เทพมารหลินจะรอดได้อย่างไร
ออกจากเมืองก็เผชิญกับการสังหารของผู้แข็งแกร่งระดับราชัน
อยู่ในเมืองต่อก็เหมือนเหยื่อที่ถูกขังอยู่ในกรง จะถูกเหล่าขุมอำนาจใหญ่ตามเก็บ!
ไม่ว่าจะเป็นผลลัพธ์แบบไหน ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับความตาย
และมีผู้ฝึกปราณจำนวนหนึ่งสังเกตเห็นว่าหลินสวินจากไป จึงรีบตามไปอย่างไม่ทิ้งร่องรอย ไม่ประสงค์ดีอย่างเห็นได้ชัด
ทุกคนต่างรู้ว่าเทพมารหลินเคยปล้นคลังสมบัติของเผ่าอีกาทอง และเคยสังหารบุคคลขอบเขตมกุฎที่สะดุดตายี่สิบหกคนในหุบเขาผลาญสวรรค์
ตอนนี้เขากำลังจนตรอกไม่สามารถหนีไปไหนได้ เหมือนผู้มีความสามารถที่มักถูกกลั่นแกล้ง ดึงดูดพวกโลภมากไม่หวังดี!
……
หลินสวินไม่ได้เคลื่อนไหวไวนัก
เขาได้รับบาดเจ็บหนักเกินไป กระทบต่อความเร็ว
แม้ตอนอยู่ระหว่างทางเขาได้กลืนของเหลววิญญาณปฐมอสนีในไผ่อสนีหมื่นเคราะห์ไปท่อนหนึ่งแล้ว และได้ใช้พลังมรรคไร้มรณะในการฟื้นฟู
แต่บาดแผลของเขากลับยังไม่สมานอย่างสมบูรณ์
เพราะปราณกระบี่สายนั้นของเมี่ยวเฉินไม่เพียงแค่แทงทะลุหน้าอก พลังมรรคราชันที่สั่งสมบนปราณกระบี่ ยังทำลายอวัยวะภายในและรากฐานพลังปราณของเขาด้วย!
นี่ก็คือแผลมรรค แม้ของเหลววิญญาณปฐมอสนีจะมหัศจรรย์อย่างหาที่สุดไม่ได้ ก็ยากมากที่จะประสานแผลนี้ในทันที
“สหายยุทธ์หลิน ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่”
ทันใดนั้นผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งพุ่งมาจากด้านหลัง แต่ละคนสายตาเป็นประกาย
“แน่นอนว่าต้องการ พวกเจ้าไปหาพวกเผ่าอีกาทอง เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ สำนักยุทธ์นครนิล เผ่าวิญญาณสมุทร แล้วแก้แค้นให้ข้าเป็นอย่างไร”
หลินสวินไม่หันกลับไปด้วยซ้ำ เอ่ยเสียงเย็นชา
สีหน้าของผู้ฝึกปราณเหล่านั้นเปลี่ยนไป แต่การเคลื่อนไหวของพวกเขาก็ยังรวดเร็วไม่เปลี่ยน ตามไปติดๆ
มีคนฝืนยิ้มพูด “สหายยุทธ์หลิน นี่เจ้าสร้างความลำบากใจให้กันแล้ว เจ้าก็รู้ดีว่าเจ้ากำลังเผชิญกับความตาย สิ่งเดียวที่พวกข้าทำได้ คงจะเป็นการช่วยเจ้าดูแลทรัพย์สมบัติในตัวอย่างดี”
“ใช่ รอเจ้าตาย พวกข้าก็จะเห็นแก่ที่อยู่ในวิถีเดียวกัน ช่วยเก็บกระดูกเจ้าตั้งสุสาน อย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นศพไร้ญาติ”
คนอื่นๆ ต่างพูดขึ้นด้วยท่าทางหวังดี
เพียงแต่แม้จะพูดจาดูดี ความจริงสีหน้ากลับอัปลักษณ์มาก หมายจะตีชิงตามไฟโดยแท้ ปรารถนาสมบัติในตัวหลินสวิน
“ให้โอกาสพวกเจ้าครั้งหนึ่ง หายไปจากตรงนี้เดี๋ยวนี้!”
หลินสวินหมดความอดทนแล้ว ไอสังหารในใจพลุ่งพล่าน เอ่ยเตือนเป็นครั้งสุดท้าย
โต้ตอบก่อนตายก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก
หลินสวินพูดเช่นนี้ออกมา สีหน้าของเหล่าผู้ฝึกปราณเปลี่ยนไปอีกครั้ง
แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังคงไม่สามารถทนความโลภในใจได้ ตามประกบหลังต่อ เหมือนแมลงวันที่ได้กลิ่นคาวเลือดไม่มีผิดเพี้ยน
“สหายยุทธ์หลิน พวกข้าอุตส่าห์หวังดี เจ้าอย่าให้ต้องใช้ไม้แข็ง!”
มีคนพูดเสียงเย็น
ฟุ่บ!
เพิ่งจะสิ้นเสียง พลังจิตของเขาพลันถูกเฉือนทันที ร่างกายหล่นตุบลงพื้น ตาเบิกโพลงตายคาที่
นี่ทำให้คนอื่นๆ ต่างกลัวจนขนลุกขนพอง
“อย่างพวกเจ้ายังจะคิดไม่ซื่อกับข้าหรือ ถ้ากล้าเดินเข้ามาอีกก้าวข้าจะฆ่าพวกเจ้าทุกคนแน่!”
ห่างออกไปเสียงอันเรียบเฉยเย็นชาของหลินสวินดังขึ้น
ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ล้วนสับสน อดลังเลไม่ได้
และตอนที่พวกเขาลังเลอยู่นั่นเอง เงาร่างของหลินสวินได้เคลื่อนออกไปไกลแล้ว
แต่การที่พวกเขาไม่ตาม ไม่ได้หมายความว่าผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ จะไม่ตาม ดั่งคำที่ว่าคนตายเพราะทรัพย์ นกตายเพราะอาหาร ผู้แข็งแกร่งที่หมายตาหลินสวิน ใครจะยอมพลาดโอกาสดีเช่นนี้
“เทพมารหลิน หยุด!”
มีคนตะโกน ผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งโฉบมาจากกลางอากาศ ราวกับอินทรีที่จับจ้องเหยื่อ ลงมือโดยตรง
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
เพียงแต่หลินสวินไม่หันหลังกลับไปด้วยซ้ำ ผู้ฝึกปราณแต่ละคนกลับร่วงลงจากกลางอากาศสู่พื้นดิน นอนตายคาที่
พลังจิตของทุกคนล้วนถูกฟันสะบั้นลบล้าง!
ไม่มีคาวเลือด จากภายนอกก็ดูบาดแผลไม่ออก แต่กลับสยดสยองมากอย่างไม่ต้องสงสัย
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
ผู้ฝึกปราณหลายคนเห็นภาพนี้จากมุมมืด ต่างตกใจจนหนังหัวชาวาบ ขนลุกซู่
“เทพมารหลิน ในเมืองนี้ไม่มีที่ยืนสำหรับเจ้าแล้ว หากเจ้าหยุดอยู่ตรงนี้ บางทีข้าอาจจะขอความเมตตาให้เจ้า ชี้ทางรอดให้กับเจ้า”
ไม่นานผู้แข็งแกร่งขอบเขตมกุฎคนหนึ่งปรากฏตัว นี่คือชายหนุ่มที่สวมชุดหรูหรางตระการตาคนหนึ่ง ดูเย่อหยิ่งมาก ขวางอยู่ตรงหน้าหลินสวิน
“ไสหัวไป!”
คำตอบของหลินสวินสั้นกระชับ
และความเร็วของเขาไม่เคยลดลงเลยแม้แต่น้อย
“เช่นนั้นก็ให้ข้าส่งเจ้าไปลงนรก!”
ชายหนุ่มสีหน้าทะมึนลง เรียกกระบี่วิญญาณเล่มหนึ่งออกมาฟันลงไป
เขาไม่ได้ประมาท ทันทีที่ลงมือก็ใช้ไม้ตาย!
หนึ่งกระบี่โจมตีออกมา ราวกับม่านน้ำตกสะเก็ดไฟทะยานสู่ท้องฟ้า งดงามสะดุดตา
เขาเชื่อมั่นว่าเทพมารหลินสวินที่บาดเจ็บสาหัสเจียนตายไม่มีทางต้านกระบี่นี้ได้
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกผิดคาดคือ ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินไม่เคยลงมือ แน่นอนว่าไม่อาจเรียกว่าต้านทานได้
และในเวลาเดียวกัน พลังจิตของเขาพลันรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงปานฉีกขาด ภาพตรงหน้ามืดสลัวลง
ปัง!
ชั่วพริบตาแม้แต่เกราะสมบัติจิตวิญญาณที่คุ้มกันรอบๆ พลังจิตยังระเบิดออก แสงกระบี่สายหนึ่งพลันเฉือนเข้าใส่พลังจิตในเวลาเดียวกัน
“อ๊าก…!”
ชายหนุ่มส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างที่สุด ทำให้ทุกคนกลัวจนตัวสั่น
เสียงปึ้กดังขึ้น เขาคุกเข่าลงกับพื้น จากนั้นร่างกายทรุดลงหมดลมหายใจไปแล้ว
พรึ่บ!
ในเวลาเดียวกัน เงาร่างที่แทบจะเรียกได้ว่าไร้ตัวตนสายหนึ่งออกมาจากห้วงนิมิตของเขา ติดตามหลินสวินที่อยู่ห่างออกไป
เงาร่างนี้ แน่นอนว่าเป็นเสี่ยวอิ๋น
——
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น