Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1949-1957

 ตอนที่ 1949 ฆ่าสังหารผู้บริสุทธิ์ไม่เ...

 

“ไม่ได้การแล้ว ให้ถูกกดดันเช่นนี้ต่อไปไม่ดีแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีเราคนใดจะหนีไปได้!”


ลู่ซินรู้ดีว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้พวกเขาทั้งหลายย่อมจะไม่สามารถทำการได้สำเร็จแน่


ไม่ว่าจะเป็นทางเย่หยวนหรือเทพถ่องแท้สี่ดาวตรงหน้าเขานี้ต่างก็มิใช่คนอ่อนแอที่จะกดดันได้เลย


เขานั้นต้องหนี นำข่าวกลับไป แล้วให้ท่านหยิงเฟิงส่งยอดฝีมือที่เหนือล้ำกว่านี้มาแทน


คิดมาได้ถึงตรงนี้ลู่ซินก็ได้แต่กัดฟันแน่นตัดสินใจปลดขวางมิติไร้รอยออกอย่างเงียบงัน


‘ฟุบ!’


ร่างของลู่ซินจางหายหลบหนีเข้าไปในความว่างเปล่า


เทพถ่องแท้สี่ดาวนั้นสามารถเดินทางนับหมื่นๆ กิโลเมตรได้ในพริบตา การหนีออกจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ไปนี้มันย่อมต้องใช้เวลาเพียงแค่พริบตา


เมื่อไป๋ตงเห็นเช่นนั้นเขาก็หัวเราะออกมาก่อนจะก้าวเท้าออกส่งร่างของตนให้หายลับไปเช่นกัน


ที่ด้านข้างเย่หยวนที่มีสัมผัสด้านมิติอันเฉียบคมก็รู้ได้ทันทีในวินาทีที่ขวางมิติไร้รอยถูกปลดออก


เมื่อเห็นว่าไป๋ตงตามศัตรูไปแล้วเย่หยวนจึงได้ตะโกนไล่หลังไป “อย่าให้มันตาย!”


“วางใจเถอะ!”


ในห้วงมิตินั้นมีเสียงของไป๋ตงตอบกลับมาก่อนจะเงียบหายไป


ตอนนี้ภายในจวนเจ้าเมืองมันจึงมีแต่เสียงของเย่หยวนและพวกซูเหมาทั้งสี่ที่เข้าปะทะกันอย่างต่อเนื่อง


“ลู่ซิน เจ้าไม่ได้ตายดีแน่!”


“เจ้าคนชั่วร้ายคิดหนีเอาตัวรอด ชีวิตเจ้าไม่ได้ตายดีแน่นอน!”



ลู่ซินนั้นหนีออกไปอย่างไม่คิดส่งสัญญาณบอกพวกเขาทั้งหลายและมันทำให้พวกเขาทั้งสี่ตกลงสู่สถานการณ์ที่เสียเปรียบมากกว่าเก่า


เมื่อมิติถูกปลดปล่อยการเคลื่อนไหวของเย่หยวนก็ยิ่งรุนแรงรวดเร็วอย่างไม่อาจคาดเดา


การใช้ห้วงมิติผสานเข้ากับกรงเล็บมังกรเอกภพมันทำให้ความได้เปรียบของเขาเพิ่มพูนอย่างมาก


ต่อให้จะเป็นคนทั้งสี่ร่วมมือกันมันก็ยังถูกเย่หยวนกดดันจนไม่อาจจะต้านทานได้แม้แต่น้อย


‘ปัง! ปัง! ปัง!’


หลังจากขวางมิติไร้รอยถูกยกเลิกมันจึงทำให้ภายในจวนเจ้าเมืองเกิดเสียงดังขึ้นสนั่นไปถึงภายนอก


เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอันแสนน่ากลัวจากภายในหนิงเทียนปิงก็ได้แต่ยืนหน้าซีด


ตอนนี้เขาได้เข้าใจแล้วว่าความรู้สึกตะขิดตะขวงนั้นมันคืออะไร!


การที่เย่หยวนสั่งให้เขาออกมาเตรียมงานนั้นมันเพื่อจะปกป้องตัวเขา


เทพถ่องแท้นั้นมิใช่ตัวตนที่เขาจะต้านทานได้เลย


คนทั้งห้านั้นปะทะกันอย่างรุนแรงรวดเร็วจนค่อยๆ ลอยตัวกันขึ้นมาจากจวนเจ้าเมือง


เย่หยวนนั้นดูราวกับเป็นเทพแห่งสงครามแม้จะถูกยอดฝีมือทั้งสี่เข้ารุมโจมตีเขาก็ยังคงปัดป้องต่อสู้ได้อย่างไม่เสียเปรียบ


ภาพตรงหน้านี้ย่อมถูกเหล่านักยุทธ์ทั้งหลายในเมืองจ้องมองดูด้วยความตะลึง


“นี่ตาข้าฝาดไปหรือ? เทพถ่องแท้สองดาวทั้งสี่คนนั้นกลับไม่สามารถต่อสู้กับท่านเย่หยวนคนเดียวได้?”


“ท่านเย่หยวนนั้นดูเหมือนจะบรรลุกายทองคำระดับหกไปแล้ว แต่กายทองคำระดับหกมันจะแข็งแกร่งได้ปานนี้หรือ?”


“กายทองคำระดับหกนั้นมันเพียงแค่จะทำให้ร่างกายของผู้ใช้แข็งแกร่งกว่านักยุทธ์ในระดับเดียวกันไปไม่มาก มีหรือที่จะแข็งแกร่งได้ปานนี้? ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้”


“ข้าได้ยินว่าในหมู่ผู้บ่มเพาะกายนั้นมีวิชาอีกรูปแบบหนึ่งที่เหนือกว่ากายทองคำนามกายทองคำสัมบูรณ์ นี่มันคือจุดสุดยอดของร่างกายที่ผู้บ่มเพาะกายจะมีได้ หรือว่า… ท่านเย่หยวนนั้นจะขึ้นไปถึงกายทองคำสัมบูรณ์ได้?”



เหล่านักยุทธ์ทั้งหลายต่างเฝ้ามองดูและคาดเดาไปต่างๆ นานา จนในที่สุดก็เริ่มมีคนพูดถึงกายทองคำสัมบูรณ์ขึ้นมาอย่างรวดเร็วทำให้ผู้คนทั้งหลายแตกตื่นกันไปทันที


แน่นอนว่าการบ่มเพาะด้านวรยุทธ์ของเย่หยวนนั้นยังขึ้นไม่ถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้ เพราะฉะนั้นเหตุผลเดียวที่จะอธิบายภาพตรงหน้านี้ได้ก็คือเรื่องนี้


กายทองคำสัมบูรณ์ในตำนานนี้ ท่านเย่หยวนกลับสามารถบ่มเพาะมันได้สำเร็จ!


ทุกผู้คนต่างเงยหน้าขึ้นไปมองดูร่างนั้นอย่างชื่นชม


เว้นเสียแต่ว่าพวกเขายังติดสงสัยเรื่องของเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายนี้ว่าเป็นใครมาจากไหน


อีกด้านที่มีการปะทะอันดุเดือดนั้นซูเหยาร้องบอกพวกทั้งสามคน “เลิกโจมตี! เราแยกกันไปสังหารผู้คนในเมืองนี้ มาดูกันหน่อยว่ามันจะสามารถฆ่าสังหารพวกเราทั้งสี่คนพร้อมกันได้หรือไม่!”


เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของเขาก็ดำมืดลงทันที


เพราะสิ่งที่เขากังวลที่สุดก็คือคนทั้งหลายนี้จะไปก่อความวุ่นวายในเมืองและเขาก็ไม่นึกไม่ฝันว่าคนพวกนี้จะทำการอย่างไม่มีความเป็นคน ขอแค่เพื่อเป้าหมายแล้วจะทำการใดก็ไม่คิดสนใจ


เมื่ออีกสามคนได้ยินเช่นนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออกทันที


พวกเขานั้นถูกเย่หยวนเล่นงานจนแทบไม่มีโอกาสหายใจ ต่างคิดว่าจะหนีกันไปให้รู้แล้วรู้รอดแต่ในวินาทีนี้สมองของซูเหมากลับเฉียบคมคิดวิธีการที่จะต้อนเย่หยวนให้จนมุมได้


‘ฟุบ ฟุบ ฟุบ ฟุบ’


คนทั้งสี่เองก็ย่อมไม่คิดจะลังเลใจใดๆ รีบพุ่งตัวลงไปยังสี่ทิศทางทันที


แม้ว่าเย่หยวนจะมีแนวคิดแห่งห้วงมิติที่เก่งกาจปานใดเขาก็ย่อมไม่มีทางจะไปปรากฏในสี่ทิศพร้อมๆ กันได้


ด้วยความโกรธแค้นนี้เย่หยวนจึงได้ต่อยหมัดออกมา


ไกลออกไปหนึ่งในนักฆ่าที่ถูกพลังหมัดนั้นได้ร่วงลงกระแทกพื้น!


เพียงแค่ว่าแม้ร่างนั้นจะบาดเจ็บหนักหนาจนมีสภาพดูไม่ได้ แต่เขาก็ยังไม่ตายลง


เทพถ่องแท้สองดาวนั้นมันแข็งแกร่งจนเกินไป!


ด้วยพลังฝีมือของเขาในตอนนี้การจะรับมือแบบตัวต่อตัวมันคงไม่ยากนักแต่การคิดจะฆ่าสังหารในกระบวนท่าเดียวมันย่อมไม่มีทางเป็นไปได้


ในเวลาที่หนึ่งคนถูกหมัดนี้ร่วงลงอีกสี่คนที่เหนือก็ได้แยกตัวออกไปจากเย่หยวนแล้ว


พวกเขานั้นย่อมไม่ได้คิดที่จะปัดป้องใดๆ มาแต่แรกและเพียงแค่หวังว่าจะโชคดีรอดไป


เย่หยวนทำร้ายหนึ่งผู้คน แต่ย่อมไม่อาจจะหยุดอีกสามคนได้ในเวลาเดียวกัน


“ฮ่าๆ เย่หยวน ข้าอยากรู้เสียจริงๆ ว่าเจ้าจะสังหารพวกเราทั้งสี่ทันหรือไม่! เอาสิ!” ซูเหมาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง


ฟุบ ฟุบ ฟุบ!


ดาบสามเล่มอันรุนแรงฝ่าทะลุฟ้าลงมายังเขตชุมชนในทันที


นั่นทำให้ใบหน้าของเย่หยวนซีดเผือด เขาใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติออกมาอย่างไม่รีรอ


‘ปัง!’


ดาบหนึ่งนั้นฟาดเข้าถูกกายเย่หยวนจนทำให้เย่หยวนร่วงตกลงมากลางถนน


แต่ดาบแสงอีกสองเล่มนั้นมันยังคงร่วงตกลงมาอย่างที่เย่หยวนไม่อาจห้ามได้


‘ตูม! ตูม!’


ดาบทั้งสองนี้ได้ทำลายล้างฆ่าสังหารนักยุทธ์ไปนับร้อยนับพัน


เทพถ่องแท้สองดาวนั้นมันสุดแสนที่จะแข็งแกร่ง สำหรับนักยุทธ์ทั้งหลายแล้วพวกเขานั้นเปรียบเหมือนกับเทพเจ้าอย่างแท้จริง


เมืองจักรพรรดิเช่นนี้นักยุทธ์ทั้งหลายส่วนมากจะยังอยู่ในอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าและอาณาจักรราชันพระเจ้า มีหรือที่จะต่อต้านพลังโจมตีอันรุนแรงเช่นนี้ได้?


ส่วนที่ถูกดาบแสงนี้ตัดผ่านมันได้กลายเป็นนรกบนดิน!


“ฮ่าๆ เยี่ยม!” ซูเหมาร้องบอกพร้อมเสียงหัวเราะ


นักฆ่าอีกผู้นี้เองก็หัวเราะขึ้นตาม “หากข้ารู้ว่าเจ้าเด็กนี้มันโง่เง่าเช่นนี้แค่เราจับผู้คนมาเป็นตัวประกันเสียหน่อยมันก็คงยอมจำนนแต่โดยดีแล้วใช่หรือไม่? มีหรือต้องลำบากยากเย็นขนาดนี้?”


ในวินาทีนั้นเย่หยวนก็พุ่งทะยานร่างขึ้นสู่ฟ้าอีกครั้งดาวตาทั้งสองของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น


การโจมตีก่อนหน้านี้มันไม่ได้สร้างความเสียหายบาดเจ็บใดๆ ให้แก่เย่หยวน แต่มีหรือที่ชาวเมืองจะรับพลังโจมตีที่รุนแรงเช่นนั้นได้?


“เอาอีก เอาอีกครั้ง!”


ซูเหมาหัวเราะลั่นก่อนจะฟาดดาบลง


“หยุด!”


เย่หยวนตะโกนร้องพร้อมขยับร่างอีกคราพร้อมถูกพลังดาบนั้นฟาดจนร่วงตกลงพื้นดิน


แต่ทว่าอีกสองแห่งนี้เขาไม่อาจป้องกันได้นั้นมันก็มีนักยุทธ์มากมายถูกฆ่าสังหารลง ไม่มีเวลาให้แม้แต่จะหนี


ภายในเมืองตอนนี้มันได้กลายเป็นความวุ่นวายโกลาหลอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่ใดที่ถูกดาบแสงนี้ฟาดลงมันได้กลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง


“หยุด! ข้าจะไปกับพวกเจ้า!” เย่หยวนร้องตะโกนบอก


ซูเหมานั้นยกมือขึ้นมาโบกห้ามคนทั้งสองให้หยุดมือลงได้


เย่หยวนบินขึ้นมาอยู่ต่อหน้าซูเหมาอีกครั้ง


ซูเหมานั้นถูกเย่หยวนอัดจนน่วมเมื่อเห็นว่าเย่หยวนพุ่งตัวกลับขึ้นมาเขาก็ถอยหลังกลับอย่างไม่รู้ตัวและร้องบอกขึ้น “หยุด!”


เย่หยวนเองก็ไม่อาจทำอะไรได้จึงได้แต่ตัวลงพร้อมด้วยสายตาที่เย็นเยือก


เมื่อซูเหมาเห็นว่าเย่หยวนหยุดลงจริงเขาก็หัวเราะขึ้นมาด้วยความพึงพอใจ “หึๆ ท่านเย่นั้นมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำ อย่าได้เข้ามาใกล้ข้า ข้ากลัว!”


เย่หยวนมองดูที่ใบหน้าของอีกฝ่ายก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “ข้าจะไปกับพวกเจ้า อย่าได้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์อีก!”


ซูเหมายิ้มเย้ยขึ้น “หากเจ้ายอมเสียแต่แรกมันก็คงไม่มีใครต้องตายหรอก หึๆ แต่…เราไม่มีทางเชื่อเจ้าได้ เจ้ามันแข็งแกร่งเกินไป! เมื่อใดที่เจ้าคิดกลับคำแล้วพวกเราก็คงไม่อาจทำอะไรเจ้าได้”


เย่หยวนกล่าวขึ้น “ข้าจะปิดพลังกาย เส้นเลือดและทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของตน! แต่พวกเจ้าต้องสาบานต่อเต๋าสวรรค์ว่าพวกเจ้าจะไม่ทำร้ายผู้คนในเมืองอีก!”


เมื่อซูเหมาได้ยินเขาก็ยิ่งยิ้มกว้างออกมาอย่างพึงพอใจ

 

 

 


ตอนที่ 1950 จุดฝังเข็มทอง

 

“นายท่าน!”


เมื่อเห็นว่าเย่หยวนถูกจับไปต่อหน้าต่อตาเช่นนั้นเหล่าผู้คนทั้งหลายจึงร่ำร้องออกมา


หลายต่อหลายคนนั้นถึงขั้นก้มคุกเข่ากราบลงในทิศทางที่เย่หยวนจากไป


พวกเขานั้นรู้ดีอย่างเต็มอกว่าที่เย่หยวนถูกคนทั้งหลายนี้จับตัวไปมันเป็นเพราะว่าเขาต้องการจะปกป้องชาวเมือง


ผู้บ่มเพาะกายนั้นเมื่อต้องปิดพลังกายและเส้นเลือดไปแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรกับการถูกปิดผนึกทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของนักยุทธ์ทั่วๆ ไป ไม่อาจจะใช้พลังกายที่เหนือล้ำนั้นออกมาได้อีก


เย่หยวนทำเช่นนั้นมันย่อมหมายถึงการปล่อยให้อีกฝ่ายนั้นมัดมือตน กลายเป็นได้เพียงหมูบนเขียงรอวันเชือด


ไป๋เฉิน หนิงเทียนปิงและเล้งชิวหลิงนั้นต่างอดทนไม่ไหวพุ่งตัวตามขึ้นไปหวังว่าจะหยุดคนทั้งหลายไว้


“ปล่อยอาจารย์ข้านะ!”


“นายท่าน ข้าไม่ยอมให้พวกมันนำตัวท่านไปแน่!”



เมื่อซูเหมาเห็นภาพนั้นเขาก็ยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย


“หยุด!”


แต่จู่ๆ กลับเป็นเย่หยวนก็ร้องห้ามขึ้น


ไป๋เฉินและพวกจึงได้แต่หยุดเท้าลงทันที


เย่หยวนมองดูคนทั้งหลายด้วยใบหน้าโกรธเคือง


ไป๋เฉินและพวกนั้นไม่เคยได้เห็นใบหน้าของเย่หยวนที่แสดงอารมณ์โกรธแค้นมากเท่านี้มาก่อน


เย่หยวนจ้องมองอย่างรุนแรงพร้อมกล่าวขึ้น “พวกเจ้ากลับไปเสีย! ใครก็ตามที่คิดก้าวเข้ามาอีกแม้แต่ก้าวเดียววันหน้าอย่ามานับว่าข้าเป็นคนรู้จักของพวกเจ้าอีก!”


นั่นทำให้ทุกผู้คนหน้าถอดสีไปอย่างไม่กล้าจะพูดอะไรอีก


ซูเหมาที่เห็นเช่นนั้นจึงยิ้มขึ้นมา “ช่างเป็นภาพที่น่าซาบซึ้งจริง! แต่… ยอมให้ตัวเองถูกจับเพื่อปกป้องมดปลวกทั้งหลาย ข้าต้องยอมรับเลยว่าเจ้านี่มันโง่เง่าจริงๆ”


เย่หยวนนั้นยังคงใบหน้าเรียบเฉยไว้ได้ในตอนที่พูดคุยกับซูเหมาและเขาเพียงแค่ตอบกลับไปสั้นๆ “ไปกัน”


เท่านี้เย่หยวนก็ถูกจับตัวไปภายใต้สายตาของทุกผู้คน


“เฮ้อ การได้มาพบเจ้าเจ้าเมืองเช่นนี้เรามันช่างมีโชคดีเป็นล้นพ้น! หากเป็นเมืองอื่นแล้วต่อให้เราจะถูกฆ่าสังหารล้างเมือง ท่านเจ้าเมืองก็คงไม่คิดแม้แต่จะขมวดคิ้วให้”


“นายท่านถูกพาตัวไปเช่นนั้นแล้ว…เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์จะเป็นอย่างไรต่อไป?”


“ไม่ว่าจะอย่างไรเสียเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้ก็จะเป็นบ้านของข้าไปตลอดชีวิต!”



การที่เย่หยวนยอมสละตนเพื่อช่วยเหลือผู้คนเช่นนี้มันย่อมทำให้ผู้คนทั้งหลายซาบซึ้งอย่างมาก


ในโลกของนักยุทธ์ผู้บ่มเพาะตนนั้นมันเป็นโลกที่แสนเห็นแก่ตัว


แต่ก็เป็นเพราะเช่นนั้นเองที่ทำให้การกระทำนี้ของเย่หยวนมันทรงคุณค่ามากขึ้นในจิตใจของผู้คน


เพราะแม้พวกเขาทั้งหลายนั้นจะเพิ่งพบเจอเรื่องราวสุดน่าหวาดกลัวแต่หลายต่อหลายคนก็ได้ตัดสินใจที่จะเรียกเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้ว่าบ้านไปแล้ว


ภายในจวนเจ้าเมืองในตอนนี้พวกไป๋เฉินทั้งหลายได้แต่กัดฟันแน่นด้วยใบหน้าโศกเศร้า


พวกเขานั้นไม่รู้เลยว่าเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายนั้นมาจากค่ายสำนักใด แต่ค่ายสำนักที่สามารถส่งกำลังเทพถ่องแท้ออกมาได้มากมายขนาดนั้นมันย่อมมิใช่กองกำลังที่ธรรมดาแน่


“ให้ตายสิ! ให้ตาย! นี่มัน… มันเป็นพวกเราที่อ่อนแอเกินไป!” ไป๋เฉินร่ำร้องขึ้นมาด้วยน้ำตานองหน้า


เหล่าคนที่เหลือก็ได้แต่นิ่งเงียบ


เพราะแม้แต่ไป๋เฉิน เทพถ่องแท้ผู้นี้ยังไม่อาจทำอะไรได้ แล้วพวกเขาเหล่านภาสวรรค์ทั้งหลายจะไปช่วยเหลืออะไรได้?


พวกเขานั้นพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะตามรอยเท้าของเย่หยวนแต่นับวันความห่างระหว่างตัวพวกเขาทั้งหลายและเย่หยวนมันกลับยิ่งกว้างออก


จนสุดท้ายแล้วก็เป็นเย่หยวนที่ต้องมาปกป้องพวกเขาทั้งหลาย


แต่ระหว่างที่คนทั้งหลายนั้นยังคงมึนงงไม่อาจคิดได้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไปก็มีเงาร่างหนึ่งบินเข้ามาในจวนเจ้าเมือง


‘ตุบ!’


ไป๋ตงโยนร่างหนึ่งลงสู่พื้นเบื้องหน้าและมันจะเป็นใครไปได้นอกจากลู่ซิน?


สภาพของลู่ซินในตอนนี้เขาได้ถูกปิดผนึกทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ไปเรียบร้อยและได้เพียงแค่นอนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่มีแรงขัดขืน


เมื่อไป๋ตงเข้ามาถึงเขาก็สัมผัสได้ทันทีว่าบรรยากาศภายในมันผิดปกติอย่างมากจึงได้ถามขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้น? เย่หยวนเล่า?”


ไม่มีใครสามารถตอบเขาได้ในตอนนี้ภายในห้องโถงมันจึงปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัดที่ทำให้ผู้คนใจเสีย


“เจ้าตาย!”


จู่ๆ ไป๋เฉินก็ลุกขึ้นพุ่งตัวแทงหอกเข้าใส่ดวงใจลู่ซินที่นอนอยู่บนพื้น


ไป๋ตงขมวดคิ้วแน่นก่อนจะสะบัดมือปัดหอกนั้นของไป๋เฉินออกไป


“เย่หยวนบอกไว้ว่าให้จับเป็นมัน” ไป๋ตงบอก


ไป๋เฉินหันกลับมาร่ำร้องใส่ไป๋ตงทันที “ท่านอาจารย์ถูกพวกมันจับไปแล้ว! เก็บมันไว้จะยังมีประโยชน์ใด?”


เมื่อไป๋ตงได้ยินเช่นนั้นสองตาของเขาก็หรี่เล็กลงก่อนจะถามขึ้น “ด้วยพลังฝีมือของเย่หยวนแล้วมีหรือที่พวกมดปลวกเช่นนั้นจะจับเขาได้?”


ในหมู่คนทั้งหลายนั้นเล้งชิวหลิงนับว่ายังมีสติมากที่สุดนางจึงอาสาเป็นคนเล่าสรุปย้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ไป๋ตงฟังจนทำให้เขาผงะไป


เขาเองก็ไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนจะกล้าทำเรื่องอะไรเช่นนี้


เมื่อหยุดนิ่งไปได้พักหนึ่งในที่สุดไป๋ตงก็กล่าวขึ้น “ใจเย็นก่อน เย่หยวนย่อมไม่เป็นอันตรายแน่ พวกเจ้านำมันไปจับขังไว้ ข้าจะไปช่วยเย่หยวนหน่อย”


เมื่อทุกผู้คนได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็สั่นสะท้านขึ้นทันที และเป็นหนิงเทียนปิงที่ถามขึ้นมาก่อน “ผู้อาวุโส ท่านหมายความว่า?”


ไป๋ตงตอบกลับมา “พวกเจ้าทั้งหลายก็ดูถูกเย่หยวนกันเกินไป หากหมูหมากาไก่ที่ไหนก็มาจับตัวเขาไปได้เขาเองก็คงไม่สามารถจะก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ วางใจเถอะ เดี๋ยวข้าจะกลับมา”


พูดจบไป๋ตงก็ขยับตัวหายไปจากจุดที่ยืนในทันที


ทุกผู้คนต่างทำได้เพียงหันมามองหน้ากันด้วยความหวังที่เริ่มเกิดขึ้นมาในใจอีกครั้ง



เทพถ่องแท้ทั้งสี่คนนั้นได้นำพาตัวเย่หยวนออกมาเดินทางไกลนับหมื่นๆ กิโลเมตรในอึดใจจนตอนนี้พวกเขาทั้งหลายบินกันมาไกลจนไม่เห็นแม้แต่เงาของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เส้นขอบฟ้าแล้ว


“ซูเหมา ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะเจ้าเราทั้งหลายคงถูกจัดการสิ้นแล้ว!” นักฆ่าผู้หนึ่งพูดกล่าวชม


ซูเหมานั้นตอบกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ตอนนี้ยังมิใช่เวลามาตื่นเต้นดีใจ พวกเจ้าอย่าได้ลืมว่าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ยังมีเทพถ่องแท้สี่ดาวผู้นั้นอยู่อีก!”


นั่นทำให้ผู้คนทั้งหลายหน้าถอดสีไปตามๆ กันความดีใจที่เคยมีจางหายสิ้น


เมื่อสักครู่นี้พวกเขากำลังเหลิงเกินไปจริงๆ


ในหมู่คนทั้งสี่ตอนนี้ซูเหมานั้นนับได้ว่าเป็นหัวหน้า


“นี่มัน…เช่นนั้นเราต้องรีบหนีแล้ว ตราบเท่าที่เราหนีไปถึงชายแดนของเมืองจักรพรรดิปีกทองคำได้ภารกิจครั้งนี้ของเราย่อมจะลุลวงลงด้วยดี!”


ซูเหมาพยักหน้ารับ “ท่านหยิงเฟิงเองก็ได้ส่งเรื่องไปยังสาขาปีกทองคำแล้ว พวกเขาน่าจะส่งกำลังมารอรับเราที่ชายแดนเรียบร้อย แต่พวกเจ้าก็มิต้องกังวลให้มากมาย เรามีเด็กคนนี้อยู่ในมือต่อให้มันผู้นั้นตามมาถึงจริงๆ เราก็ยังพอจะใช้เด็กคนนี้ในการต่อรองไม่ให้มันทำร้ายเราไปได้”


แต่จู่ๆ ร่างของเย่หยวนก็หยุดลง


ซูเหมาขมวดคิ้วแน่น “เด็กน้อย เจ้าคิดจะทำอะไร? ข้าขอเตือนเลยนะว่าหากคิดทำอะไรแล้วแม้ว่าเบื้องบนจะสั่งให้จับเป็น แต่หากเจ้าทำให้เราลำบากจริงๆ ข้าก็รับประกันชีวิตให้ไม่ได้!”


เย่หยวนไม่คิดสนใจและตอบกลับไปด้วยสายตาเย็นเยือก “ที่นี่น่าจะไกลจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์พอแล้วใช่หรือไม่?”


“หืม? หมายความว่าอย่างไร?” ซูเหมาและพวกที่ได้ยินต่างสะดุ้งตัวขึ้นในทันที


จู่ๆ ภายในมือของเย่หยวนก็ปรากฏเข็มทองขึ้นและก่อนที่จะมีใครได้ทันขยับตัวเย่หยวนก็ได้ปักเข็มทองนั้นลงบนร่างด้วยความเร็วที่สายตาแทบมองไม่ทัน


จนในที่สุดเข็มทองนี้ก็ได้ปักลงไปยังจุดไป่หุ๋ยที่กลางศีรษะ


ภาพนี้มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้ซูเหมาและพวกไม่มีเวลาจะหยุดห้ามใดๆ ตอนนี้พวกเขาได้แต่มองมันด้วยหน้าซีดเผือด


‘อ้าก!’ เย่หยวนร้องออกมาพร้อมคลื่นพลังที่ปะทุขึ้น


‘ปัง!’


จู่ๆ พลังกายอันมหาศาลก็ปะทุออกมาจากร่างของเย่หยวนทำให้กดแรงกดดันมหาศาลขึ้นจนทำให้เทพถ่องแท้สองดาวทั้งสี่เสียสมดุล


ซูเหมามองดูภาพตรงหน้าอย่างแตกตื่น “นี่มัน… มันเป็นไปได้อย่างไร? ข้าปิดผนึกพลังกายเส้นเลือดของเจ้าแล้วแท้ๆ ทั้งยังนั่งรอจนพลังกายของเจ้าหายลับไปจนสิ้น! เหตุใด…เจ้าทำมันได้อย่างไรกัน?”


การผนึกพลังกายนั้นมันเป็นอะไรที่สุดแสนปลอดภัย


เพราะต่อให้อีกฝ่ายจะเก่งกาจมากมายเพียงใดเมื่อถูกผนึกแล้วก็ย่อมไม่มีแรงจะขัดขืน


ไม่เช่นนั้นแล้วด้วยสมองระดับซูเหมามีหรือที่เขาจะปล่อยให้เย่หยวนตามมาตัวเปล่าไม่มีการผูกมัดใดๆ เช่นนี้?


แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับสามารถเปิดพลังกายเบิกเส้นเลือดได้อีกครั้ง


เมื่อเห็นคลื่นพลังของเย่หยวนตรงหน้านี้พวกเขาทั้งหลายต่างสัมผัสได้เลยว่ามันมากเหนือกว่าก่อนหน้าเสียอีก!


เย่หยวนมองดูที่ซูเหมาพร้อมกล่าวขึ้น “เข็มทองฝังลงกลางจุดเปลี่ยนกลับพลังกายเส้นเลือด ประตูแห่งนรกสวรรค์บรรลุในทันตา!”

 

 

 


ตอนที่ 1951 เรียกระดม

 

‘อ่อก!’


เมื่อสิ้นเสียงนั้นเย่หยวนก็ต้องกระอักเลือดออกมาคำโตในทันที


เพราะการไหลเวียนของกระแสพลังและกระแสเลือดในร่างกายมนุษย์มันย่อมมีกฎของมันดี


การใช้เข็มทองปักจุดนี้มันจะทำให้คลื่นพลังและกระแสเลือดภายในร่างของคนผู้นั้นไหลย้อนกลับ มันคือการที่กระแสเลือดและพลังชีวิตทั้งหมดถูกบังคับให้ไหลย้อนจากความปกติแน่นอนว่าย่อมสร้างภาระที่หนักหนาให้แก่ร่างกาย


ภายในเวลาที่กระแสพลังชีวิตไหลย้อนกลับนี้มันจะทำให้คนผู้นั้นได้รับความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าเก่าอย่างมากมายแต่หลังจากนั้นมันจะมีเพียงแค่ความตายที่รอคอยพวกเขาผู้ใช้วิธีการนี้


การที่เย่หยวนกระทำเช่นนั้นมันย่อมเท่ากับการแลกชีวิตกับศัตรู ผลที่ตามมามันย่อมเหนือล้ำอย่างไม่อาจต้านทาน


ซูเหมามองดูเย่หยวนด้วยใบหน้าที่เหยเก “เจ้า… เจ้าบ้าเอ๊ย เจ้าคิดที่จะตายลงตรงนี้แล้วหรือ?”


เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “วางใจเถอะ เรื่องนี้มันย่อมไม่อาจเอาชีวิตข้าได้! กายทองคำสัมบูรณ์นั้นมันแข็งแกร่งกว่าที่เจ้าคาดคิดมาก! ตอนนี้พวกเจ้าทั้งหลายจงหนีให้สุดชีวิตเถิด แต่… พวกเจ้านั้นต้องเร็วกว่าข้าให้ได้!”


‘ปัง!’


เย่หยวนเองก็ไม่คิดรีรอและพุ่งตัวเข้าโจมตีนักฆ่าคนหนึ่งในพริบตา


แค่หมัดเดียวนี้ก็ส่งร่างของคนผู้นั้นลอยปลิวไปได้


จากนั้นเย่หยวนก็ชี้นิ้วมือออกใช้ดัชนีทำลายทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของอีกฝ่าย


แต่เย่หยวนก็ไม่คิดจะสนใจสภาพของอีกฝ่ายเขายกร่างนั้นขึ้นมาราวกับมันเป็นหมูหมาและรีบวิ่งตามนักฆ่าอีกคนไป


สภาพของเย่หยวนในตอนนี้มันเปี่ยมไปด้วยพลังแข็งแกร่งมากเหนือกว่าก่อนหน้าอย่างมากมาย


ก่อนหน้านี้ตอนที่สู้กันในเมืองพวกเขาทั้งหลายยังไม่อาจต้านทานเย่หยวนได้ ในเวลานี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง


บนเสื้อผ้าของเย่หยวนนั้นเต็มไปด้วยรอยเลือดที่ลากเป็นทาง


ซูเหมาที่เห็นเช่นนั้นย่อมไม่กล้าที่จะอยู่ต่อไป เขาทำได้เพียงแค่รีบพุ่งตัวหายไปในทันที


ส่วนนักฆ่าอีกสองคนนั้นก็มีความคิดไม่ต่างกับเขา เพียงแค่ว่าพวกเขาทั้งหลายนั้นแยกย้ายกันหนีไปคนละทิศทาง


พวกเขานั้นหวังเพียงแค่ว่าเย่หยวนจะไม่ตามติดไปในทิศทางของตน


เย่หยวนหัวเราะออกมาก่อนจะตามไปถึงตัวนักฆ่าอีกคนได้ในทันที


‘ปึก! ปึก! ปึก!’


สามหมัดถูกปล่อยออกมาเป็นชุดโดยที่หมัดหลังหนักแน่นกว่าหมัดหน้าอย่างมาก


นักฆ่าผู้นั้นตั้งรับได้เพียงชั่วอึดในหน้าอกก็กลายเป็นรูไป


จากนั้นเย่หยวนก็ใช้ดัชนีเดิมพุ่งทลายทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของอีกฝ่ายไป


การกระทำของคนทั้งหลายนั้นมันทำให้เย่หยวนแทบคลั่ง สภาพของเย่หยวนในตอนนี้คือปีศาจคลั่งที่กระหายความแค้นมีหรือที่จะยังมาทำการประนีประนอมใด?


แน่นอนว่าฝีเท้าของเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายนั้นย่อมรวดเร็วเมื่อพุ่งตัวผ่านมิติไปมันย่อมเป็นระยะนับหมื่นกิโลเมตร


ในชั่วพริบตานั้นคนทั้งสองก็ได้พุ่งตัวหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว


แต่เย่หยวนนั้นได้ติดปราณเทวะไว้กับตัวคนทั้งสอง หากทั้งสองไม่ได้หนีห่างไปไกลจนออกนอกระยะจริงๆ เย่หยวนย่อมจะสามารถติดตามพวกเขาทั้งสองได้


ตอนที่เย่หยวนเป็นแค่นภาสวรรค์หกดาวเขายังมีความเร็วที่เหนือล้ำจนเทพถ่องแท้สี่ดาวอย่างหยูเหวินเฟิงและพวกยังไม่อาจตามทันได้


ตอนนี้เมื่อเย่หยวนก้าวขึ้นมาถึงอาณาจักรนภาสวรรค์เก้าดาวขั้นสุดแล้วความเร็วในการเคลื่อนย้ายมิติของเขามันก็ย่อมจะพัฒนาขึ้นหลายเท่าตัวจนตามเทพถ่องแท้สองดาวทันได้อย่างง่ายดาย


เหตุผลที่เขาเลือกจะลงมือในพื้นที่นี้มันเป็นเพราะว่าที่นี่เป็นพื้นที่ราบกว้างทำให้เย่หยวนสามารถใช้พลังของเคลื่อนย้ายมิติออกมาได้อย่างเต็มที่


เย่หยวนนำเชือกออกมามัดร่างของนักฆ่าทั้งสองที่นอนแน่นิ่งก่อนจะลากร่างทั้งสองนั้นตามไปด้วย


จากนั้นเขาก็ก้าวเท้าออกและจางหายไปจากจุดที่ยืน


หลังจากผ่านไปได้ไม่กี่อึดใจเย่หยวนก็ตามไปจับนักฆ่าคนที่สามและทำลายพลังบ่มเพาะของเขาลงก่อนจะมัดเขารวมเข้ากับคนทั้งสองด้วยเชือกเดียวกันนั้น


ตอนนี้ผู้ที่เหลือรอดมันจึงมีแค่ซูเหมาคนเดียว


สภาพของซูเหมาในตอนนี้มันเหมือนสุนัขที่ลืมบ้าน พยายามจะวิ่งหนีให้สุดชีวิต


เขานั้นใช้ปราณเทวะออกมาจนถึงที่สุดพร้อมภาวนาในใจว่าขอให้เย่หยวนหาตัวเขาไม่เจอ


เวลาผ่านไปเรื่อยแต่เขาก็ยังไม่พบเย่หยวนดั่งที่เขาภาวนา


ซูเหมาได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่เขาก็ยังไม่ได้วางใจอย่างสมบูรณ์


“ข้าหนีได้แน่! ข้าต้องหนีได้! มันนั้นใช้วิชากลับกระแสและคงทนทานมันได้ไม่นานนัก ตราบเท่าที่ข้าหลบรอดได้จนถึงเวลานั้นข้าย่อมจะหนีไปได้!”


ซูเหมานั้นร่ำร้องขึ้นในใจ


มีหรือที่สภาพของซูเหมาในตอนนี้จะยังมีเวลาไปคิดเรื่องการตอบกลับหลังเย่หยวนหมดแรง? ตอนนี้สมองของเขานั้นสั่งให้เขาหนีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น


ในตอนนี้เขาหวังเพียงแค่ให้อีกสองคนที่เหลือถ่วงเวลาไว้ให้มากกว่านั้นหน่อย


แต่ความเป็นจริงมันกลับไม่เป็นไปดั่งที่เขาหวัง


‘โฮ่ก!’


จู่ๆ ภายในความว่างเปล่าตรงหน้าก็เกิดเสียงมังกรคำรามขึ้น


ซูเหมาหน้าซีดเผือดลงทันทีพยายามยกมือขึ้นมาป้องกันไว้


แต่กรงเล็บมังกรเอกภพนี้มันโจมตีเข้ามาอย่างกะทันหันเกินไปทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพลังที่รุนแรงบ้าคลั่ง


‘ปัง!’


คลื่นพลังอันเดือดดาลพุ่งเข้ามาปะทะร่างของซูเหมาจนลอยปลิวไปไกลพร้อมด้วยเลือดที่สาดไหล


ร่างของเย่หยวนค่อยๆ ปรากฏออกมาจากช่องว่างมิติ


เขาหันมองดูซูเหมาด้วยใบหน้าเย็นชา “เจ้า…สมควรตาย!”


ซูเหมาก้มลงคุกเข่าต่อหน้าเย่หยวนอย่างสิ้นหวัง “ข้า…ข้าผิดไปแล้ว! ข้าขอร้องเถอะ ปล่อยข้าไปด้วย!”


“ปล่อยเจ้าไป? แล้วใครจะมาปล่อยชีวิตนักยุทธ์ผู้บริสุทธิ์ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ของข้าไป? เจ้าวางใจเถอะ ข้ายังไม่ฆ่าสังหารเจ้าลงตอนนี้แน่ ข้าจะใช้หัวสุนัขของเจ้าเพื่อถวายเซ่นแก่เหล่าผู้คนเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ที่ต้องตายไป!”


พูดไปเย่หยวนก็ง้างกรงเล็บออกมาอีกครั้ง


‘ปัง!’


ซูเหมานั้นถูกตะปบจนร่างแนบติดพื้นก่อนที่เย่หยวนจะทำลายทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาลง


จากนั้นแสงดาบอันเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้น


‘ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ!’


หลังจากนั้นก็เกิดเสียงร่ำร้องกับหมูที่กำลังถูกเชือดดังตามขึ้นมา ตอนนี้เส้นเอ็นแขนขาของพวกซูเหมาทั้งหมดได้ถูกตัดขาดลงแล้ว


พวกเขานั้นถูกทำลายทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์และตัดเอ็นแขนขา ตอนนี้คนทั้งสี่นี้จึงมีสภาพไม่ต่างจากคนพิการที่ไม่อาจทำได้แม้แต่ลุกขึ้นยืน


เมื่อจัดการเสร็จสิ้นเย่หยวนก็ถอนหายใจยาวและร่วงลงไปนอนกองกับพื้นเช่นกัน เพราะร่างกายของเขาในตอนนี้เองก็ไม่อาจจะขยับเคลื่อนไหวได้แล้ว


ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่แต่ในที่สุดก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากช่องว่างมิติ


ไป๋ตงมองดูเย่หยวนที่นอนหมดสติและพวกซูเหมาที่นอนร้องระงมอยู่บนพื้นพร้อมถอนหายใจ “ช่างเป็นเด็กที่บ้าคลั่งจริงๆ ข้าล่ะยอมเจ้าเลย!”


พูดจบไป๋ตงก็แบกเย่หยวนขึ้นหลังพร้อมลากพวกซูเหมากลับเข้าไปในช่องว่างมิติอีกครั้ง



ภายในเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่น ณ ห้องลับในโรงเตี้ยมน้อยๆ แห่งหนึ่ง ตอนนี้หยิงเฟิงกำลังนั่งขมวดคิ้วแน่น


เขานั้นมองดูที่ยันต์สื่อสารที่ได้รับมาและพูดบ่น “เย่หยวนคนนี้ช่างน่าเกรงกลัว! เดินทางไปยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวครั้งนี้มันกลับนำพาเทพถ่องแท้มากมายกลับมาด้วย! ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์น้อยๆ นั้นมันจะมียอดคนเช่นนี้หลบซ่อนอยู่ได้! ดูท่าครั้งนี้ข้าคงต้องเดินทางออกไปเองเสียแล้ว!”


ครึ่งปีมานี้ลู่ซินนั้นติดต่อส่งข้อมูลให้หยิงเฟิงมาตลอด


และก่อนหน้านี้ไม่นานลู่ซินก็ได้ส่งข้อความมาบอกว่าเย่หยวนนั้นได้นำพากลุ่มกองกำลังเทพถ่องแท้มากมายกลับมาจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาว


ตอนนี้จวนเจ้าเมืองนั้นมันถูกล้อมรอบไปด้วยยอดฝีมือเทพถ่องแท้ แค่พวกเขาทั้งหลายนี้มันก็ทำให้การเข้าไปจับกุมเย่หยวนเป็นเรื่องยากเย็นขึ้นอย่างมากแล้ว


เพราะเช่นนั้นหยิงเฟิงจึงได้รู้สึกปวดหัวอย่างมาก


“หนึ่งเทพถ่องแท้หกดาว สามเทพถ่องแท้ห้าดาว ดูท่า… สาขาเก้ามั่นเราจะต้องทุ่มกำลังทั้งหมดออกไปจัดการเรื่องครั้งนี้เสียแล้ว!”


พูดจบหยิงเฟิงก็ได้วางตราขึ้นมาในมือก่อนจะส่งเส้นด้ายไหมสีดำพุ่งทะลวงเข้าไปในห้วงมิติ


ครึ่งเดือนจากนั้นก็มีเงาร่างสีดำปรากฏขึ้นมาตามๆ กันภายในห้องลับนี้


คนทั้งหลายนี้ล้วนเป็นยอดนักฆ่าในสาขาเก้ามั่นนี้ ในยามปกติเวลาแล้วพวกเขานั้นจะแฝงตัวอยู่ในเมืองหลวงจักรพรรดิหรือยอดเมืองหลวงจักรพรรดิต่างๆ การที่พวกเขาจะถูกเรียกมาเช่นนี้มันเป็นอะไรที่หาได้ยากยิ่ง


แต่ในตอนนี้เพื่อการจับกุมเย่หยวน หยิงเฟิงถึงขั้นเรียกคนทั้งหลายนี้มารวมกัน


ในหมู่คนทั้งหลายนั้นผู้อ่อนแอที่สุดเป็นถึงเทพถ่องแท้สี่ดาว


และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นเป็นถึงยอดฝีมือเทพถ่องแท้เจ็ดดาว!


และตัวหัวหน้าสาขาเก้ามั่นนี้ หยิงเฟิงนั้นก็เป็นถึงเทพถ่องแท้แปดดาวด้วย


กองกำลังในระดับนี้มันมากพอที่จะทำลายเมืองหลวงจักรพรรดิลงได้

 

 

 


ตอนที่ 1952 มัดรวม!

 

“นายท่าน มันเป็นเรื่องใดกันถึงเรียกพวกเรามา?”


“ใช่แล้ว การเรียกรวมพลมากมายขนาดนี้ในสาขาเก้ามั่นมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!”



ทุกผู้คนต่างพยายามพูดแสดงความคิดเห็นของตนออกมาแต่การกระทำครั้งนี้ของหยิงเฟิง


แม้ว่าสาขาเก้ามั่นนี้มันจะดูเหมือนมิใช่สาขาที่ใหญ่โตนักแต่พลังของพวกเขามันก็มากพอที่จะทำลายเมืองหลวงจักรพรรดิลงได้ง่ายๆ


โดยปกติแล้วคนทั้งหลายนี้ย่อมจะแยกย้ายกันไปประจำการในที่ต่างๆ


การที่เรียกระดมพวกเขามาพร้อมๆ กันเช่นนี้มันย่อมทำให้พวกเขาทั้งหลายต้องประหลาดใจ


หยิงเฟิงยกมือขึ้นมาเป็นสัญญาณให้ทุกคนสงบก่อนจะกล่าวขึ้น “ที่เรียกพวกเจ้าทั้งหลายมาในวันนี้ก็ย่อมเพราะว่ามันมีเรื่องสำคัญให้ต้องจัดการ…”


หยิงเฟิงได้บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ออกมาทำให้ทุกผู้คนหน้าถอดสีไปทันที


“แค่เมืองจักรพรรดิน้อยๆ นั้นกลับมียอดฝีมือมากมายเช่นนั้น?”


“นี่มันจริงหรือ? แค่เพราะเด็กน้อยนภาสวรรค์ผู้หนึ่งทางหอมหาสมบัติกลับจะส่งผู้คนมากมายขนาดนี้มาเพื่อปกป้องเขา?”


“เจ้าจะไปรู้อะไร! เย่หยวนผู้นี้นี่แหละที่ตอนนี้ได้กลายเป็นเสาหลักทำเงินของหอมหาสมบัติ การส่งผู้คนมาปกป้องเขาในระดับนี้มันย่อมมิใช่เรื่องแปลกใดๆ เลย”



ในห้องลับใต้ดินน้อยๆ นี่มันถูกใช้เป็นสถานที่วางแผนการบุกเข้าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ ส่วนอีกด้านที่จวนเจ้าเมืองของเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่นนั้น หยูเหวินเฟิงก็กำลังนั่งพูดคุยกับชายวัยกลางคนตรงหน้าด้วยท่าทางสุดแสนจะระมัดระวังเกรงใจ


ชายคนนี้มีนามว่าต้วนยี่ เป็นเจ้าหอมหาสมบัติแห่งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิห้าสวรรค์และเป็นยอดฝีมือเทพถ่องแท้เก้าดาว


“นี่มัน…ท่านต้วนยี่ เจ้าโรงเตี้ยมน้อยๆ นั้นมันมีเรื่องราวใดเกิดขึ้นกันแน่?” หยูเหวินเฟิงไม่อาจทนความสงสัยได้อีกต่อไปจึงถามขึ้น


ต้วนยี่นั้นนั่งหลังตรงยกชาขึ้นมาจิบพร้อมด้วยท่าทางสุดจะชื่นชมในรสชานี้


“ท่านเจ้าเมืองหยูทนไม่ถามมาได้นานถึงขนาดนี้มันทำให้ข้าประทับใจจริงๆ แต่มิใช่ว่าต้วนผู้นี้ไม่คิดจะบอกท่าน แต่ข้าแค่กลัวว่าท่านจะกังวลกลัวเรื่องที่เกิดขึ้นจนเกินไป ท่านอยากจะรู้จริงๆ หรือ?” ต้วนยี่ถามด้วยรอยยิ้มบางๆ


หยูเหวินเฟิงหรี่ตาลงไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขานั้นคาดเดาได้แล้วว่าโรงเตี้ยมน้อยๆ แห่งนั้นมันต้องมีเรื่องไม่ธรรมดาเกิดขึ้นอย่างแน่นอนถึงได้ทำให้เทพถ่องแท้เก้าดาวได้เดินทางมายังจวนเจ้าเมืองแห่งนี้ มีหรือที่มันจะเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปได้?


ที่สำคัญในตอนนี้ภายในจวนเจ้าเมืองเองก็ยังมีเทพถ่องแท้ขั้นปลายพักอยู่มากถึงยี่สิบกว่าคน


กองกำลังเช่นนี้มันย่อมทำให้หยูเหวินเฟิงไม่อาจนอนหลับได้สนิทในช่วงหลายวันที่ผ่านมา


เขานั้นตื่นตกใจเป็นอย่างมากเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเหล่ายอดฝีมือเทพถ่องแท้ทั้งหลายนี้ หลายต่อหลายคนไม่ได้มาจากค่ายสำนักเดียวกัน


อย่างเช่นต้วนยี่ที่เป็นเจ้าหอมหาสมบัติแห่งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิห้าสวรรค์ ส่วนยอดฝีมือท่านอื่นนั้นบ้างก็มาจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิ บ้างก็มาจากเมืองหลวงจักรพรรดิระดับสูง


และมันยังมีอีกหลายคนที่เป็นยอดฝีมือมาจากวังพำนักจักรพรรดิเทพสวรรค์


เพียงแค่ว่าเหตุใดคนทั้งหลายจึงได้มารวมตัวกันที่นี่?


เทพสวรรค์?


แต่แม้จะเป็นยอดฝีมือเทพสวรรค์เองก็คงไม่อาจบัญชาเทพถ่องแท้จากหลายค่ายสำนักเช่นนี้ออกมาได้!


แล้วใครกันที่สามารถสั่งการกองกำลังผสมเช่นนี้?


หยูเหวินเฟิงนั้นเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้เปี่ยมหัวใจมาในหลายวันนี้


คนทั้งหลายนี้ได้ลอบเข้ามาในเมืองและมาถึงจวนเจ้าเมืองอย่างที่ไม่มีใครรับรู้


ตอนนี้ภายในจวนเจ้าเมืองมันมีเพียงเขาผู้เดียวเท่านั้นที่รู้เรื่องราว


เมื่อได้ยินคำถามนั้นของต้วนยี่ หยูเหวินเฟิงจึงพยักหน้ารับออกมา “ท่านต้วนโปรดชี้แนะด้วย!”


ต้วนยี่ยกชาขึ้นมาดื่มอีกครั้งก่อนจะยิ้มตอบ “แท้จริงแล้วเจ้าโรงเตี้ยมน้อยนั้นมันเป็นที่ตั้งสาขาของประตูวิญญาณมรณา! หากให้ข้าเดาแล้วมันคงมียอดฝีมือเทพถ่องแท้ขั้นกลางหลบซ่อนอยู่ภายในนั้นไม่น้อยกว่าสิบคน!”


‘เคร้ง!’


หยูเหวินเฟิงตัวสั่นเทาปล่อยให้แก้วชาในมือร่วงลงสู่พื้นจนแตกออก


ตอนนี้ใบหน้าของเขาขาวซีดเสียยิ่งกว่ากระดาษ สองมือนั้นสั่นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด


ประตูวิญญาณมรณานั้นมันคือชื่อที่ผู้คนได้ยินแล้วต้องขวัญผวา


และกองกำลังในระดับนั้นมันกลับมาตั้งสาขาอยู่ใต้จมูกของเขา!


พวกนี้มาอยู่ได้กี่ปีแล้ว?


และมียอดฝีมือมากมายแค่ไหนแล้วที่ต้องถูกคนทั้งหลายนี้กำจัดลง?


หยูเหวินเฟิงนั้นมีความคิดต่างๆ นานาอยู่เต็มสมอง หวาดกลัวอย่างสุดขีด


“แต่ท่านต้วน หอมหาสมบัติของท่านเองก็ไม่ได้เป็นศัตรูกับประตูวิญญาณมรณามิใช่หรือ?” หยูเหวินเฟิงถามขึ้น


ต้วนยี่ยิ้มตอบ “หอมหาสมบัติของข้านั้นทำธุรกิจ ตราบเท่าที่มันมีผลประโยชน์มากพอข้าย่อมลงมือได้ ที่สำคัญเจ้ากองกำลังนี้มันได้สร้างชื่อเสียไว้มากมาย เป็นหน้าที่ของทุกผู้คนอยู่แล้วที่ต้องจัดการมันลง!”


หยูเหวินเฟิงตื่นตกใจอย่างมากและเขายิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีกว่าใครกันแน่ที่เป็นคนสั่งการคนทั้งหลายอยู่ด้านหลัง


ในตอนนั้นเองที่ปรากฏเงาร่างหนึ่งขึ้นในโถง


ผู้มาถึงนั้นก้มลงคารวะต้วนยี่และกล่าวรายงาน “ท่านต้วน พวกประตูวิญญาณมรณาได้ออกเดินทางแล้ว!”


นั่นทำให้หยูเหวินเฟิงสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ตอนนี้เขาได้เข้าใจแล้วว่าการปะทะกันของยอดเทพถ่องแท้ทั้งหลายกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า


ต้วนยี่ยกชาขึ้นมาดื่มอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้น “ไปเรียกรวมพล เจ้าประตูวิญญาณมรณาสาขาเก้ามั่นนี้มันได้สร้างความฉิบหายมามากพอแล้ว สมควรแก่เวลาที่จะถูกกำจัดเสียที”



คนของประตูวิญญาณมรณาทั้งหลายนั้นได้พรางตัวเดินทางออกจากเมืองไป


หยิงเฟิงสั่ง “ระหว่างทางไปพยายามอย่างทำตัวเด่นมากนัก อย่าได้ไปแหวกหญ้าให้งูตื่น เมื่อเราไปถึงเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แล้วก็จงลอบเข้าไปก่อนแล้วหาโอกาสลงมือภายหลัง เข้าใจหรือไม่?”


“ครับท่านหยิงเฟิง!”


ทุกผู้คนรับทราบคำสั่งพร้อมมุ่งหน้าเดินทางไปบนอากาศ


เพียงแค่ว่าพวกเขาทั้งหลายนี้ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตนได้ถูกสายตามากมายจับจ้องอยู่


และที่ด้านหน้านั้นสิ่งที่รอพวกเขาทั้งหลายอยู่ก็คือการลอบโจมตีอันแสนสะท้าน


ระหว่างที่ผู้คนทั้งหลายนั้นกำลังเดินทางไปจู่ๆ ก็เกิดคลื่นพลังอันรุนแรงผ่าทะลุห้วงมิติออกมาโจมตีใส่พวกเขาคนหนึ่ง


‘ตูม!’


ด้านบนฟ้านั้นมันเกิดเสียงดังสนั่นขึ้น


เหล่าผู้อ่อนแอนั้นถึงขั้นตายลงด้วยคลื่นพลังอันบ้าคลั่งนี้


การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้มันทำให้ไม่อาจมีใครตั้งรับได้ทัน


นั่นทำให้บนท้องฟ้าเกิดเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นไปทั่ว


หยิงเฟิงหน้าถอดสีทันที เขาได้รู้แล้วว่าพวกตนถูกลอบโจมตี!


เป็นไปได้อย่างไร?


พวกเขาเหล่าประตูวิญญาณมรณานั้นล้วนเป็นฝ่ายที่ลอบโจมตีผู้อื่น ไม่เคยมีวันใดที่พวกเขาจะนึกฝันว่าตนจะกลับเป็นฝ่ายถูกลอบโจมตี


“ใครกัน ออกมาหาข้าบัดเดี๋ยวนี้! ลอบทำร้ายผู้คนด้วยวิธีการเลวทราม เจ้ายังคิดว่าตัวเองเป็นผู้คนอยู่หรือไม่?” หยิงเฟิงร้องบอก


‘ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ!’


ด้วยเสียงร้องนั้นของเขามันจึงทำให้เกิดเงาร่างปรากฏขึ้นมารอบทิศโดยล้อมพวกเขาทั้งหลายไว้ภายใน


เมื่อพวกหยิงเฟิงเห็นกองกำลังเช่นนี้พวกเขาก็หน้าถอดสีขาวซีดลงทันที


ตอนนี้มีเทพถ่องแท้ขั้นปลายกว่ายี่สิบคนลอบรอบพวกเขาไว้ กำลังเช่นนี้มันย่อมเหนือล้ำอย่างไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน


ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในหมู่คนทั้งหลายนี้กลับเป็นถึงเทพถ่องแท้เก้าดาวเสียด้วยซ้ำ!


“จัดการกับเหล่าคนเถื่อนเลวทรามที่ทำเรื่องชั่วช้าอย่างหน้าไม่อาย ไม่ว่าจะเป็นวิธีการสกปรกเพียงใดมันก็นับว่าเป็นวีรบุรุษมิใช่หรือ?”


หยิงเฟิงหน้าเปลี่ยนสีไปก่อนจะยกมือขึ้นมาคารวะต้วนยี่ “พี่ชายท่านนี้ ข้าไม่เข้าใจเลยว่าท่านพูดกล่าวเรื่องใด! เรานั้นเป็นแค่คนที่รีบเดินทางผ่านมา เหตุใดกันที่พี่ท่านถึงได้มาตั้งกองกำลังลอบโจมตีเราเช่นนี้?”


ต้วนยี่มองดูหยิงเฟิงด้วยรอยยิ้ม “หยิงเฟิง ในฐานะหัวหน้าประตูวิญญาณมรณาสาขาเก้ามั่นเจ้าเองก็น่าจะพอรู้จักหน้าข้าบ้างมิใช่หรือ?”


หยิงเฟิงใจหายวาบทันทีที่ได้ยิน เหตุใดตัวเขาจึงถูกเปิดโปงเช่นนี้?


เขานั้นย่อมรู้ดีว่าอีกฝ่ายคือเจ้าหอมหาสมบัติแห่งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิห้าสวรรค์ ยอดฝีมือเทพถ่องแท้เก้าดาว ในฐานะหัวหน้าสาขาของประตูวิญญาณมรณา มีหรือที่เขาจะไม่รู้จัก?


เมื่อเห็นว่าหยิงเฟิงไม่ตอบต้วนยี่ก็พูดขึ้นต่อ “เจ้าสงสัยหรือว่าเหตุใดตัวตนของเจ้าจึงถูกเปิดเผย? หึๆ ให้ข้าแนะนำคนผู้นี้ให้เจ้ารู้จักแล้วเจ้าก็จะได้รู้เอง”


ระหว่างที่เขาพูดไปมันก็ปรากฏเงาร่างอีกเงาหนึ่งเดินออกมาจากห้วงมิติ


หนิงเฟิงมองดูคนผู้นั้นด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง “เย่หยวน!”

 

 

 


ตอนที่ 1953 ล้างบาง!

 

ความตื่นตะลึงที่เขามีนี้มันเหนือล้ำจนไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้!


หรือว่าเทพถ่องแท้กว่ายี่สิบคนนี้จะถูกเย่หยวนเรียกมาทั้งสิ้น?


เรื่องเช่นนั้นมันจะเป็นไปได้อย่างไร?


ต่อให้เย่หยวนจะสามารถหลอมสร้างโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าขึ้นมาได้แต่มันก็ไม่น่าจะถึงขั้นที่สามารถเรียกยอดฝีมือมาได้มากมายเช่นนี้หรอกใช่หรือไม่?


อย่าว่าแต่เย่หยวนที่เป็นแค่นภาสวรรค์ผู้หนึ่ง แม้จะเป็นยอดฝีมือเทพสวรรค์ก็ยังไม่อาจจะเรียกรวมกำลังเทพถ่องแท้จากหลายค่ายสำนักเช่นนี้มาได้แน่


“ท่านหยิงเฟิง แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เราได้พบเจอกันแต่ท่านเองก็คงไม่คิดจะบอกว่าไม่รู้จักข้าหรอกใช่ไหม?” เย่หยวนถามหยิงเฟิงขึ้น


หยิงเฟิงหน้าเปลี่ยนสีกระตุกขึ้นทันทีก่อนจะถามสิ่งที่ติดใจสงสัยที่สุดออกมา “เจ้า…เจ้าทำได้อย่างไร?”


เขานั้นมึนงงสงสัยอย่างมากมายจนตอนนี้ไม่อาจจะคิดอะไรให้เป็นเหตุเป็นผลได้


ก่อนอื่นคือเหล่านักฆ่ามือสังหารของประตูวิญญาณมรณานั้นพกยาพิษติดตัวไว้เสมอ


เมื่อใดที่ภารกิจล้มเหลวชีวิตตกอยู่ในมือศัตรูแล้วพวกเขาย่อมจะฆ่าตัวตายทันที!


แต่ดอกบัวดำในห้องลับของเขานั้นไม่ได้แตกสลายลงมันย่อมหมายความว่าคนทั้งห้านั้นยังมิตาย


และต่อให้อีกฝ่ายจะมีวิธีทำให้คนทั้งห้ายังไม่ตาย แต่มีหรือที่จะสามารถบังคับให้คนทั้งหลายนั้นส่งข่าวปลอมกลับมา?


เพราะคนของประตูวิญญาณมรณานั้นไม่มีทางที่จะถูกคนภายนอกชักจูงได้เด็ดขาด


เพียงแค่เขานั้นไม่ได้รู้เลยว่าเย่หยวนนั้นมีสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ประเภทวิญญาณอยู่กับตัว


เย่หยวนกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เย็นเยือก “ยาพิษใดๆ ของประตูวิญญาณมรณามันก็แค่ขยะ เมื่ออยู่ต่อหน้าข้านั้นต่อให้พวกมันคิดอยากตายมันก็ไม่อาจตายได้! ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดผู้อาวุโสทั้งหลายท่านนี้จึงได้ยอมมาช่วยเหลือข้า มันก็เป็นเพราะว่าข้ายังมีตัวตนอื่นอยู่! เพราะข้านั้นคือผู้อาวุโสใหญ่แห่งศาลาโอสถสวรรค์!”


นั่นทำให้ดวงตาของหยิงเฟิงต้องเบิกกว้างด้วยท่าทางไม่คิดอยากจะเชื่อ


ชื่อเสียงของศาลาโอสถสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่ทั่วฟ้าเขาย่อมรู้จักดี


แล้วตัวตนอย่างผู้อาวุโสใหญ่แห่งศาลาโอสถสวรรค์นั้นมันคือตัวตนเช่นใด?


ตัวตนเช่นนี้มันย่อมหมายความถึงผู้ที่ยืนอยู่เหนือหัวเหล่าผู้อาวุโสแห่งศาลาโอสถสวรรค์ นักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้าทั้งหลายนั้นต้องก้มหัวให้แก่เย่หยวน!


และเหล่าผู้อาวุโสแห่งศาลาโอสถสวรรค์แต่ละคนนั้นมันก็ยิ่งเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่เสียกว่าเจ้าหอมหาสมบัติอย่างต้วนยี่เสียอีก


เช่นนั้นแล้วตัวตนของเย่หยวนนี้จะยิ่งใหญ่เพียงใด?


เพียงแค่ว่าตอนนี้เย่หยวนยังไม่อาจบรรลุขึ้นถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้ แล้วเขาจะไปได้รับตำแหน่งยิ่งใหญ่เช่นนั้นมาได้อย่างไร


จะบอกว่าวิชาการโอสถของเขามันน่ากลัวถึงขั้นนั้น?


แม้ว่าประตูวิญญาณมรณานั้นจะมีแหล่งข้อมูลสายข่าวที่มากมายแต่เรื่องของเย่หยวนและเทพสวรรค์เปียวหยูมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายใน พวกเขาทั้งหลายย่อมจะไม่มีทางรู้เรื่องราวที่แท้ได้


หยิงเฟิงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าครั้งนี้ประตูวิญญาณมรณานั้นได้สั่งการพลาดไปอย่างมหัน


หรือจะบอกว่าประตูวิญญาณมรณาประเมินเย่หยวนต่ำเกินไปก็คงไม่ผิดนัก!


ประตูวิญญาณมรณานั้นคิดสนใจเย่หยวนที่สร้างสูตรหลอมโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าขึ้นมาได้จึงได้คิดลักพานำตัวเขาไป


แต่มีหรือที่เย่หยวนนั้นจะมีค่าแค่โอสถครองวิญญาณผสานเต๋า?


หยิงเฟิงได้แต่เงยหน้ามองฟ้าพร้อมถอนหายใจยาว “พลาด! ผิดพลาดครั้งใหญ่!”


จากนั้นเขาก็หันหน้ามามองดูเย่หยวน “เย่หยวน เจ้ากล้าคิดทำลายประตูวิญญาณมรณาสาขาเก้ามั่นเราหรือ? เจ้าไม่คิดถึงผลที่ตามมาบ้างหรือ?”


เย่หยวนมองดูเขาพร้อมตอบกลับไป “แน่นอนว่าข้าคิด แต่… ต่อให้ข้าปล่อยเจ้าไปแล้วประตูวิญญาณมรณาจะปล่อยข้าไป? ที่สำคัญตราบเท่าที่สาขาเก้ามั่นนี้จางหายไปกับสายลมข้าก็ไม่คิดหรอกว่าประตูวิญญาณมรณาของเจ้าจะกล้าส่งคนมาทำอะไรอีก!”


นั่นทำให้หยิงเฟิงหัวเราะลั่นเมื่อได้ยิน “หายไป? หึๆ เจ้าคิดว่าด้วยกำลังเพียงเท่านี้เจ้าจะสามารถจัดการกับพวกเราได้หมดทุกคนจริงหรือ?”


เย่หยวนมองดูหยิงเฟิงด้วยรอยยิ้ม


จากนั้นเขาก็ได้หยิบแผ่นน้อยๆ ออกมาเปลี่ยนให้พื้นที่โดยรอบแข็งกระด้างขึ้น!


การเปลี่ยนแปลงนี้มันทำให้คนของประตูวิญญาณมรณาต้องร่ำร้อง “ขวางมิติไร้รอย!”


“หึๆ เจ้าสิ่งนี้มันช่างมีประโยชน์ เท่านี้พวกเจ้าทั้งหลายก็คงไม่อาจหนีไปได้ได้แล้วกระมัง?” เย่หยวนมองดูหยิงเฟิงด้วยรอยยิ้มที่แสนเย็นเยือก


หยิงเฟิงที่เห็นสภาพเช่นนี้เองก็มีใบหน้าที่ซีดเผือด รู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกกับดักของตนเองเล่นงาน


สมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำที่เขาคิดใช้จัดการเย่หยวนนี้มันกลับย้อนมาทำร้ายตัวเขาเอง


ในฐานะเทพถ่องแท้แปดดาวแล้วแม้เขาจะไม่อาจชนะต้วนยี่ได้แต่การหนีไปในช่วงชุลมุนก็มิใช่เรื่องยากเย็น


แต่ตอนนี้เมื่อมิติถูกปิดกั้นเช่นนั้นแล้วมีหรือที่เขาจะยังหนีไปที่ใดได้?


“ท่านเจ้าหอต้วน ผู้อาวุโสทั้งหลาย ที่เหลือคงต้องฝากให้พวกท่านจัดการแล้ว!” เย่หยวนกล่าวขึ้นก่อนจะถอยออกไปนอกวงการต่อสู้ปิดล้อม


ต้วนยี่พยักหน้ารับ “วางใจเถิด ครั้งนี้จะไม่มีใครหลบหนีไปได้ ให้ข้าจัดการเจ้าหยิงเฟิงผู้นี้เอง พวกเจ้าที่เหลือฝากจัดการพวกมันทั้งหมดด้วย”


นั้นทำให้เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายร้องตอบกลับมาพร้อมๆ กัน “ท่านเจ้าหอต้วนโปรดวางใจ!”


พูดจบต้วนยี่ก็เริ่มปล่อยพลังโลกออกมาปกคลุมและกดดันศัตรูในพริบตา


ทางหยิงเฟิงนั้นทำสีหน้าราวกับได้เจอศัตรูคู่แค้น ตัวเขานั้นเป็นเพียงแค่เทพถ่องแท้แปดดาวย่อมไม่เพียงพอที่จะต่อต้านเทพถ่องแท้เก้าดาวอย่างต้วนยี่ได้


คนทั้งสองฝ่ายนั้นเริ่มลงมือต่อสู้ไปด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างแสดงวิชาออกมาอย่างเต็มที่จนเริ่มเข้ากดดันฝ่ายประตูวิญญาณมรณาได้


คนของประตูวิญญาณมรณานั้นถูกลอบโจมตีมาก่อนหน้านี้และได้รับบาดเจ็บกันไปไม่น้อย ตอนนี้เมื่อต้องมารับมือการโจมตีของเทพถ่องแท้ทั้งหลายมีหรือที่พวกเขาจะยังต้านทานได้?


แม้ว่าทางประตูวิญญาณมรณาจะมียอดฝีมือมากมายแต่ว่าเหล่ายอดฝีมือที่เย่หยวนพามานั้นมันมีมากยิ่งกว่า!


เย่หยวนนั้นได้เรียนรู้ถึงกองกำลังของประตูวิญญาณมรณาสาขานี้มาจากลู่ซิน ทำให้ยอดฝีมือทั้งหลายที่เขาเรียกมาวันนี้ย่อมมิใช่คนธรรมดาสามัญ


การต่อสู้ในตอนนี้ส่วนมากจะเป็นการต่อสู้สองต่อหนึ่ง บ้างอาจถึงขั้นสามต่อหนึ่ง


ไม่นานนักฝ่ายประตูวิญญาณมรณาก็เริ่มล้มหายตายจากไปทีละคน


กำลังฝีมือของหยิงเฟิงนั้นไม่ธรรมดาตามที่คาด ด้วยวิชาที่ไม่อาจคาดเดาได้ของเขานี้มันจึงทำให้เขายังพอต่อต้านการรุกไล่ของต้วนยี่ไว้ได้


แต่สุดท้ายมันก็ทำได้แค่ต้าน


เทพถ่องแท้เก้าดาวนั้นคือสุดยอดตัวตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอาณาจักรเทพถ่องแท้ มันแตกต่างจากเทพถ่องแท้แปดดาวอยู่มาก


ความพ่ายแพ้ของหยิงเฟิงนั้นมันเพียงขึ้นอยู่กับเวลา


เย่หยวนมองดูภาพตรงหน้านั้นด้วยความโล่งอก


เขานั้นได้เรียนรู้จากลู่ซินมาว่าประตูวิญญาณมรณาสาขาเก้ามั่นนี้ได้ทำเรื่องชั่วช้าไว้มากมายอย่างไม่อาจนับ


สาขานี้มันได้ถูกตั้งมานับหมื่นๆ ปี


ในช่วงเวลานี้เหล่ายอดฝีมือมากมายนับร้อยนับพันต้องมาตายลงด้วยน้ำมือของโจรทั้งหลายนี้!


หลายต่อหลายครั้งที่พวกมันได้ทำลายยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ขึ้นไปในเมืองหลวงจักรพรรดิภายในค่ำคืนเดียว


ยิ่งจำนวนผู้คนบริสุทธิ์ที่ถูกสังหารด้วยน้ำมือของโจรร้ายทั้งหลายนี้ยิ่งมีมากอย่างไม่ต้องกล่าวถึง


กองกำลังเช่นนี้มันเป็นอะไรไม่ได้นอกจากสวะของสังคมอย่างแท้จริง


ก่อนๆ มานั้นเย่หยวนยังไม่ได้รู้จักประตูวิญญาณมรณามากมาย แต่ตอนนี้เมื่อพวกมันทั้งหลายมาท้าทายตัวเขาเย่หยวนก็ย่อมต้องสนองกลับไปด้วยความพิโรธ


เพราะฉะนั้นเขาจึงได้วางแผนเช่นนี้ขึ้น หาเหล่ายอดฝีมือเทพถ่องแท้กว่ายี่สิบคนมาจับและจัดการล้างบางพวกมันให้สิ้น!


ไม่นานนักผลสรุปมันก็ออกมา


แม้จะเป็นยอดฝีมือระดับหยิงเฟิงเองก็ยังไม่อาจต้านทานพลังกดดันที่มากมายมหาศาลของต้วนยี่ผู้นี้ได้


นั่นทำให้ประตูวิญญาณมรณาสาขาเก้ามั่นนี้ถูกทำลายล้างจนสิ้นซาก


ส่วนเหล่านักฆ่าระดับนภาสวรรค์ทั้งหลายเย่หยวนเองก็ได้เริ่มวางแผนออกตามล่าพวกมันแล้ว ย่อมจะไม่มีใครรอดออกไปได้


ต้วนยี่ขยับร่างมาหยุดลงตรงหน้าเย่หยวนก่อนจะยิ้มบอก “ผู้อาวุโสเย่ เราโชคดีจริงๆ ที่ภารกิจสำเร็จไปได้! เจ้าหยิงเฟิงผู้นี้มันไม่ธรรมดาหากเป็นเทพถ่องแท้แปดดาวด้วยกันแล้วคงไม่อาจเทียบเคียงฝีมือของมันได้แน่!”


เย่หยวนยกมือขึ้นคารวะอีกฝ่ายทันที “ขอบพระคุณมากท่านเจ้าหอ! แล้วก็เหล่าผู้อาวุโสท่านทั้งหลายที่มาช่วยข้าในวันนี้เย่ผู้นี้ย่อมจะจดจำมันไว้ ในวันหน้าหากข้าบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้เมื่อใด ข้าย่อมจะตอบแทนคืนพวกท่านอย่างงามแน่!”


วินาทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าว ผู้คนทั้งหลายก็หันมาฟังด้วยรอยยิ้ม


เพราะไม่ว่าเย่หยวนจะเก่งกาจเพียงใดสุดท้ายเขาก็เป็นได้แค่จอมเทพโอสถห้าดาว ไม่อาจจะทำสิ่งใดให้เป็นประโยชน์แก่ตัวพวกเขาทั้งหลายได้มาก


แต่เมื่อใดก็ตามที่เย่หยวนบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้ เรื่องราวมันย่อมแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง!


โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหกที่เย่หยวนจะหลอมได้ในวันหน้านั้นมันย่อมจะกลายเป็นสมบัติล้ำค่าแก่พวกเขาแน่

 

 

 


ตอนที่ 1954 ความกังวล

 

คนทั้งหลายนี้ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับเย่หยวนทั้งสิ้น


ในเวลาหลายปีมานี้ชื่อของเย่หยวนแห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์มันได้แพร่กระจายไปทั่วหล้า


หลายค่ายสำนักต่างเดินทางกันมาเพื่อขอให้เย่หยวนช่วยหลอมโอสถให้


และก็เพราะเช่นนั้นเองที่ทำให้เย่หยวนได้รู้จักมักคุ้นกับเทพถ่องแท้มากมายหลายคน


เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียในเวลานี้นักยุทธนภาสวรรค์ทั้งหลายก็ไม่อาจกล้าจะมาขอให้เย่หยวนหลอมโอสถให้อีกต่อไปแล้ว


ในช่วงเวลานั้นเองที่เย่หยวนได้เจอเทพถ่องแท้ที่พอไว้วางใจได้และขอแรงช่วยเหลือจากทางหอมหาสมบัติไป จึงได้วางแผนการกำจัดระเบิดเวลาลูกนี้ทิ้งไป


นี่แหละคือกำลังที่แท้จริงของนักหลอมโอสถ!


ตัวพวกเขาทั้งหลายนั้นอาจจะไม่เก่งกาจมากมาย แต่พวกเขานั้นมีเส้นสายที่มากมาย สหายที่แข็งแกร่ง


หากมีใครคิดต่อแยหาเรื่องพวกเขาแล้วผลที่ตามมามันย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย


ที่สำคัญเย่หยวนนั้นยังเป็นถึงผู้อาวุโสใหญ่แห่งศาลาโอสถสวรรค์


ตำแหน่งนี้มันไม่ได้แค่ยิ่งใหญ่ในหมู่หอมหาสมบัติแต่มันยังแสดงถึงพลังฝีมือที่เหนือล้ำของเขา


การที่สามารถก้าวข้ามเหล่าอสูรโอสถเฒ่าทั้งหลายนั้นขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสใหญ่ได้มันย่อมทำให้ไม่มีใครกล้าสงสัยในความแข็งแกร่งของเย่หยวน


ต้วนยี่นั้นบอกกล่าวขึ้น “ผู้อาวุโสเย่เองก็ถ่อมตัวเกินไป! เรื่องเหล่านี้ข้าได้ตรวจสอบดูแล้วทางหยิงเฟิงมันนั้นก็มีของดีติดตัวอยู่มาก เมื่อเรากำจัดมันลงได้เราก็ย่อมจะได้ประโยชน์กันถ้วนหน้า!”


ประตูวิญญาณมรณาสาขาเก้ามั่นนี้ได้ทำการปล้นชิงผู้คนมามากมายในเวลาหลายต่อหลายปีที่ผ่านๆ มา


และคนทั้งหลายที่ถูกปล้นชิงมานั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือเทพถ่องแท้ทั้งสิ้น


การจัดการล้างบางเหล่าโจรในครั้งนี้มันย่อมหมายความว่าแม้แต่เหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายก็จะยังได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไป


เย่หยวนนั้นเข้าใจในเรื่องนั้นตั้งแต่ต้นจึงได้สัญญาว่าจะไม่เอาสิ่งของใดๆ และมอบสิ่งของทั้งหลายนั้นให้แก่เหล่าเทพถ่องแท้


“หึๆ นี่คือสิ่งที่ทุกท่านสมควรได้รับ! เย่ผู้นี้รู้ดีว่าการเข้าโจมตีประตูวิญญาณมรณาเช่นนี้มันคงทำให้ทุกท่านเป็นกังวลไม่น้อย เพราะฉะนั้นเรื่องราวในครั้งนี้เย่ผู้นี้จึงจะรับผิดชอบมันเอง หลังจากวันนี้ไปขอให้ทุกท่านเก็บเรื่องราวให้มิดชิด คิดเสียว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น เรื่องราวที่ตามมาภายหลังนั้นเย่ผู้นี้จะรับมันไว้ทั้งหมดสิ้น!” เย่หยวนยกมือขึ้นคารวะและกล่าวบอกเหล่ายอดฝีมือ


ทุกผู้คนที่ได้ยินเช่นนั้นต่างแสดงสีหน้าชื่นชมออกมาในความกล้าหาญของเย่หยวน


เพราะกองกำลังของประตูวิญญาณมรณาเป็นกองกำลังเช่นใดนั้นพวกเขาย่อมรับรู้ดี


เหตุผลที่พวกเขาทั้งหลายกล้าเข้าโจมตีประตูวิญญาณมรณาครั้งนี้มันก็เป็นเพราะแผนการอันแยบยลของเย่หยวน ทำให้ทางประตูวิญญาณมรณาไม่รับรู้ว่าพวกเขาทั้งหลายนั้นเป็นคนทำลายสาขานี้ลง


เพราะหากอีกฝ่ายรู้ถึงเรื่องราวในวันนี้ต่อให้มีกี่ชีวิตมันก็คงไม่พอที่จะหลบหนีการแก้แค้นของประตูวิญญาณมรณาได้


การทำลายสาขาที่ใหญ่ระดับนี้ของประตูวิญญาณมรณาลงมันย่อมทำให้เกิดเรื่องราวยิ่งใหญ่ตามมา


เหล่าคนของประตูวิญญาณมรณานั้นมันเป็นผู้คนที่ยากจะคาดเดา


ยอดฝีมือคนอื่นๆ อาจจะไม่สามารถตรวจสอบได้ แต่สุดท้ายประตูวิญญาณมรณาก็รู้ดีว่าเย่หยวนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องอย่างแน่นอน


และหากทางประตูวิญญาณมรณาคิดทำอะไรเย่หยวนแล้ว มันก็คงเป็นเรื่องยากเย็นที่จะป้องกันมัน


เพียงแค่ว่าเย่หยวนนั้นทำการจับมัดรวมและล้างบางสาขาเก้ามั่นนี้ลงในคราเดียว มันต้องทำให้ทางประตูวิญญาณมรณาสะท้านและไม่กล้าลงมือกับเย่หยวนอย่างผลีผลามแน่นอน


การทำลายสาขาหนึ่งลงอย่างสิ้นซากเช่นนี้มันเป็นเรื่องราวที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับประตูวิญญาณมรณามาก่อน


ต้วนยี่ยกมือขึ้นมาคารวะตอบเย่หยวน “ผู้อาวุโสเย่มีน้ำใจเปรียบดั่งท้องนภาเราล้วนได้ยินมันมานาน เรื่องราวของประตูวิญญาณมรณาในครานี้เราเองก็จะไม่ปิดบังใดๆ แต่พวกเราล้วนเกรงกลัวว่ามันจะมาแก้แค้น เพียงแค่ว่าหากทำอย่างที่ท่านว่าแล้วเรื่องราวของผู้อาวุโสเย่และประตูวิญญาณมรณาก็จะยิ่งแตกหักกันไปใหญ่ วันหน้าทำการใดขอท่านโปรดระมัดระวัง”


เย่หยวนพยักหน้าออกมารับ “วางใจเถิด เย่ผู้นี้พอมีแผนรับมืออยู่บ้าง”


ต้วนยี่พยักหน้ารับและกล่าว “ในเมื่อเรื่องราวทั้งหลายเสร็จสิ้นแล้วเราก็ควรแยกกันกลับไปดีกว่า ในวันหน้าหากผู้อาวุโสเย่มีเรื่องใดให้รับใช้โปรดเรียกหาเราได้”


พูดจบคนทั้งหลายก็แยกย้ายกันไปตามทางของตน


เมื่อกลับมาถึงเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เย่หยวนก็ได้สั่งโซชูเจียให้จัดการประหารห้านักฆ่าจากประตูวิญญาณมรณาต่อหน้าสาธารณะเพื่อเป็นการเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของผู้คนที่ล้มตายไป


เรื่องราวนี้เหล่าชาวเมืองทั้งหลายต่างโห่ร้องปรบมือด้วยความปลาบปลื้ม


ภายในเมืองมีเสียงโห่ร้องดังสนั่น สนับสนุนชื่นชมเย่หยวนจนลั่นฟ้า


และเรื่องราวที่ประตูวิญญาณมรณาสาขาเก้ามั่นถูกทำลายลงมันก็ไปถึงหูของประตูวิญญาณมรณาอย่างรวดเร็ว


ภายในจวนเจ้าเมืองของยอดเมืองหลวงจักรพรรดิหนึ่งมีชายชุดดำกำลังนั่งลงคุกเข่าต่อหน้าชายวัยกลางคนในชุดสวยหรู


ชายวัยกลางคนผู้นี้มีคลื่นพลังที่ลึกล้ำและสูงส่ง มันเป็นพลังที่ดูเหนือล้ำเสียยิ่งกว่าเทพถ่องแท้ใดๆ


เพราะคนผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นถึงเทพสวรรค์!


ไม่มีใครคาดฝันว่าแท้จริงแล้วเจ้าเมืองผู้นี้จะเป็นหนึ่งในสมาชิกของประตูวิญญาณมรณา!


ชายชุดดำนั้นกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางโผงผาง “ท่านฉัวยู่ สาขาเก้ามั่นนั้นเป็นหนึ่งในสาขาระดับต้นๆ ในหมู่สาขาใหญ่ของเรา การที่ทั้งสาขาถูกทำลายสิ้นเช่นนี้มันเหมือนเป็นคำดูถูกแก่ประตูวิญญาณมรณาอย่างมาก! เราต้องทำลายกำจัดเย่หยวนผู้นี้ลงให้ได้!”


สาขาเก้ามั่นนั้นเป็นหนึ่งในสาขาใต้การดูแลของเขา การที่สาขาเก้ามั่นนั้นถูกทำลายลงอย่างเงียบงันเหมือนได้หายไปกับสายลมนี้มันทำให้เขาทั้งอับอายและโกรธแค้น


พวกเขานั้นกังวลกันอย่างมาก สงสัยว่าต้องเป็นกำลังเช่นใดจึงจะสามารถทำลายสาขาเก้ามั่นทั้งสาขาลงได้ในคราเดียวอย่างไร้ร่องรอย


และเขาก็โกรธแค้นอย่างมากเพราะเรื่องราวเช่นนี้มันเหมือนประตูวิญญาณมรณาของเขาถูกลูบคม


ชายวัยกลางคนนั้นลุกขึ้นยืนด้วยมือไขว้หลัง มีท่าทางสงบนิ่งอย่างมากก่อนจะบอก “เรื่องราวจบลงเท่านี้”


นั่นทำให้ชายชุดดำสะดุ้งขึ้นทันที ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่คิดอยากเชื่อหูของตน “ท่านฉัวยู่ จะ… จะปล่อยเรื่องจบลงเท่านี้หรือ? สาขาเก้ามั่นนั้นมันมียอดฝีมือเทพถ่องแท้กว่าสิบคนเชียวนะที่เราต้องเสียไป!”


เทพถ่องแท้นั้นเป็นกำลังสำคัญของทุกกองกำลังค่ายสำนัก


และทรัพยากรและเวลาที่ต้องใช้กว่าจะชุบเลี้ยงเทพถ่องแท้ขึ้นมาได้แต่ละคนนั้นมันก็มากมายมหาศาล


เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นยอดอัจฉริยะจากวังพำนักจักรพรรดิเทพสวรรค์แล้ว คนทั้งหลายย่อมต้องใช้เวลานับหมื่นๆ ปีหรืออาจจะถึงแสนปีในการก้าวขึ้นสู่อาณาจักรเทพถ่องแท้


และเมื่อรวมเวลาและทรัพยากรของเทพถ่องแท้กว่าสิบคนเข้าด้วยกัน มันจะคิดเป็นความสูญเสียที่มากมายเพียงใด?


เรื่องนั้นมันไม่อาจวัดได้เลย!


ชายชุดดำผู้นี้คิดอยากจะกัดกินเลือดเนื้อเย่หยวนให้ได้


แต่ทางฉัวยู่กลับบอกให้ปล่อยเรื่องนี้ไป!


ฉัวยู่บอกขึ้น “เรื่องครั้งนี้ข้าได้รายงานให้เบื้องบนรับทราบแล้ว พวกเขาเองก็บอกมาด้วยว่าเรื่องราวในครั้งนี้เป็นความผิดพลาดทางข้อมูลของเราเอง ค่ายสำนักที่หนุนหลังเย่หยวนผู้นี้อยู่มันอาจจะเหนือล้ำกว่าที่เราคาดคิดไปมาก เราจะไปยุ่งกับเขาอีกไม่ได้! ไม่เช่นนั้นผลที่ตามมามันอาจจะใหญ่เกินกว่าที่รับไหว!”


ชายชุดดำนั้นยังคงแสดงสีหน้าไม่ยอมรับออกมา “แม้จะไม่นับเหล่าเทพถ่องแท้ขั้นต้นทั้งหลายแต่สาขาเก้ามั่นนั้นมีทั้งเทพถ่องแท้แปดดาว เทพถ่องแท้เจ็ดดาวสองคน เทพถ่องแท้หกดาวอีกห้าคน หรือท่านจะบอกว่า… คนทั้งหลายนี้ต้องตายเปล่า?”


“ประตูวิญญาณมรณาของเรานั้นเป็นต้นไม้ใหญ่ที่มีศัตรูรอบด้าน ค่ายสำนักมากมายต่างหมายตาคิดทำลายเราลง หากผู้คนสูญเสียไป เราก็ยังเลี้ยงดูใหม่ได้ แต่หากเรื่องราวมันใหญ่โตมากขึ้นแล้ว มันอาจจะทำลายรากฐานของประตูวิญญาณมรณาจนสิ้น เจ้าจะรับผิดชอบผลของมันไว้ได้หรือไม่?” ฉัวยู่ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง


ชายชุดทำได้แต่เงียบปากลงด้วยกายสั่นเทา


ฉัวยู่กล่าวต่อ “การที่สามารถทำลายสาขาระดับสูงเช่นนี้ได้โดยไม่มีใครรับรู้เรื่องราว เจ้าลองคิดดูเถิดว่าจะต้องใช้กองกำลังที่แข็งแกร่งเพียงใด?! ก่อนจะสืบสาวเรื่องราวของเย่หยวนให้แน่ชัด เราจะยังไม่แตะต้องตัวเขา เข้าใจไหม?”


การทำลายฐานและการล้างบางนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ความยากง่ายของมันนั้นไม่อาจเอามาวัดเทียบกันได้


ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของประตูวิญญาณมรณา มันมีมากมายหลายครั้งที่ฐานของพวกเขาถูกเปิดเผยและสุดท้ายก็ถูกกำจัดลง


เพียงแค่ว่าเหล่ายอดคนในประตูวิญญาณมรณานั้นเก่งกาจ ต่อให้ฐานจะถูกโจมตีพวกเขาก็แค่เสียยอดฝีมือไปส่วนหนึ่ง


ต่อให้มันจะถูกโจมตีรุนแรงเพียงใดมันก็อาจจะแค่หนึ่งหรือสอง อย่างมากๆ ก็คงไม่เกินสี่ยอดฝีมือที่จะตายลง


แต่ในครั้งนี้ยอดฝีมือเทพถ่องแท้กว่าสิบคนนั้นได้ถูกล้างบางจนสิ้น ไม่มีแม้แต่นักฆ่านภาสวรรค์คนใดที่หลบรอดออกไปได้


ค่ายสำนักที่ทำได้ถึงขั้นนี้ในมหาพิภพถงเทียนมันมีอยู่ไม่มาก!


ที่สำคัญการต่อสู้นี้ยังไร้ซึ่งร่องรอยข่าวคราว เรื่องที่ว่าพวกหยิงเฟิงตายลงอย่างไรนั้นไม่มีใครรับรู้ได้


วิธีการที่แสนแยบยลเช่นนี้ต่อให้เป็นตัวฉัวยู่เองก็ยังไม่อาจคาดคิดได้


หาเรื่องเย่หยวนต่อไป?


มันจะต่างอะไรจากการรนหาที่ตายเล่า?

 

 

 


ตอนที่ 1955 โอสถหกชีพจรดวงดาว

 

ภายในสวนแห่งหนึ่งตอนนี้ชายชรากับชายหนุ่มกำลังนั่งคุยกันอยู่อย่างผ่อนคลาย


“ฮ่าๆ! สมชื่อว่าเป็นเด็กที่มีรัศมีผ่าจักรพรรดิเสียจริงๆ ไม่ได้เจอแค่ไม่กี่ร้อยปีเจ้ากลับสามารถขึ้นมาเป็นคนรุ่นเดียวกับข้าได้เสียแล้ว! ความเร็วในการบ่มเพาะนี้มันเหนือล้ำเสียจริง!”


“หึๆ หลายปีมานี้ข้าเพียงแค่โชคดีได้มีโอกาสบ่มเพาะอย่างจริงจัง ทางท่านผู้อาวุโสต่างหากที่ดูไม่แก่ลงเลย!”


ชายชรายกมือขึ้นมาโบกปัด “เจ้าคิดจะมาล้อเฒ่าคนนี้แล้วหรือ? เมื่อครั้งก่อนที่เราได้พบเจอกันเฒ่าคนนี้ต้องเสียพลังชีวิตไปมากมายเวลาหลายปีที่พักผ่อนมานี้มันก็ทำให้แค่ฟื้นฟูสภาพร่างกายผสานกับสมุนไพรวิญญาณอีกมากมายเฒ่าคนนี้จึงยังอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้”


ชายหนุ่มตอบกลับไป “เช่นนั้นข้าถึงมามิใช่หรือ?”


ชายชราพยักหน้าตอบกลับมา “แค่พลังชีวิตเท่านี้ใช้เวลาอีกสักพันปีมันก็เพียงพอจะฟื้นคืน เจ้าไม่เห็นต้องลำบากเดินทางมาเลย”


ชายหนุ่มคนนั้นจึงตอบกลับไป “ผู้เยาว์นั้นได้รับการดูแลจากท่านผู้อาวุโสไว้มาก การมาครั้งนี้ของข้าย่อมมาเพื่อจะรักษาอาการบาดเจ็บใดๆ ของท่านให้สิ้นไป”


เมื่อชายชราได้ยินเช่นนั้นเขาก็เบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึง “หรือว่า… เจ้าจะขึ้นไปถึงฐานของมันแล้ว?”


ชายหนุ่มยิ้มตอบกลับมาพร้อมพยักหน้ารับ เมื่อชายชราเห็นเช่นนั้นเขาก็แสดงใบหน้าตื่นเต้นดีใจอย่างมากออกมา


ชายชราและชายหนุ่มทั้งสองคนนี้มันย่อมเป็นเจ้าศาลามายาล้ำแห่งเมืองจักรพรรดิเลิศประกาย เจียนหงเซียวและเย่หยวน


หลังเรื่องราวของประตูวิญญาณมรณาผ่านพ้นไปเย่หยวนก็ได้วางแผนการรับมือภายในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์อย่างมากมายแต่ฝั่งประตูวิญญาณมรณากลับไม่คิดจะเคลื่อนไหวใดๆ


และช่วงหลังมานี้เย่หยวนก็เริ่มก้าวขึ้นมาถึงฐานของระดับหกและคงจะสามารถบรรลุขึ้นไปได้ในอีกไม่ช้าทำให้เขาตัดสินใจเดินทางออกมาหาเจียนหงเซียวเช่นนี้


บัญญัติเทพแห่งถงเทียนระดับที่หกนั้นเย่หยวนใกล้ที่จะสร้างมันได้สมบูรณ์แล้ว


เมื่อทำการสร้างมันได้จนสมบูรณ์ เย่หยวนย่อมจะสามารถก้าวขึ้นสู่อาณาจักรต่อไปได้


เพราะฉะนั้นเย่หยวนจึงได้รีบจัดการเรื่องภายในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์และเดินทางมุ่งหน้ามายังเมืองจักรพรรดิเลิศประกาย


เมื่อเห็นเจียนหงเซียวอีกครั้งเย่หยวนก็ไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นลึกลับเหมือนก่อนหน้าที่เจอกันแล้ว


เพราะร่างกายของเย่หยวนในตอนนี้เองก็ขึ้นมาถึงระดับหก มีพลังฝีมือที่เหนือล้ำพอจะจัดการเทพถ่องแท้สองดาวลงได้ไม่ยาก


และเมื่อได้มาเจอกันครั้งนี้เย่หยวนก็เห็นได้ทันทีว่าเจียนหงเซียวนั้นเดิมทีแล้วเป็นเทพถ่องแท้มาก่อนจะได้รับแรงสะท้อนจากเต๋าสวรรค์!


“หึ คำพูดทั้งหลายนั้นมันจะไม่อวดดีเกินไปหน่อยหรือ? ยอดฝีมือนภาสวรรค์นั้นมีมากมายเพียงใดที่ต้องติดอยู่ที่คอขวดนับหมื่นๆ ก่อนขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้ไป? ต่อให้เจ้าจะเป็นยอดคนมากพรสวรรค์แต่หากไม่มีเวลาอีกสักสิบหรือร้อยปีมันก็คงไม่อาจจะบรรลุขึ้นไปได้ง่ายดายปานนั้นใช่หรือไม่เล่า?” เจียนเฉินกล่าวขึ้นแทรก


ตั้งแต่ที่เขาได้พบเจอเย่หยวนอีกครั้งใบหน้าของเจียนเฉินก็แสดงท่าทางสับสนมาตลอด


เพราะในตอนนั้นที่เย่หยวนมายังเมืองจักรพรรดิเลิศประกายนี้เขายังเป็นแค่ราชันพระเจ้าขั้นต้น


และตัวอาจารย์ของเขานั้นก็ต้องใช้พลังปราณไปมากมายเพื่อเย่หยวนคนนี้ มันจึงทำให้เขาเกิดความไม่ชอบพอขึ้นในใจ รู้สึกว่าการลงแรงของอาจารย์เขานั้นมันไม่คุ้มค่าเสียเลย


เจียนหงเซียวต้องเสียอายุขัยไปมากมายและคงอยู่ได้อีกไม่นานมากแล้ว


ปราณที่เสียไปนั้นมันพอทดแทนได้ แต่อายุขัยที่เสียไปมันเป็นเรื่องยากที่จะหาสิ่งใดมาเสริมเพิ่ม


เพียงแค่ว่าเขาเองก็ไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนจะใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ร้อยปีในการก้าวขึ้นมาสู่อาณาจักรนภาสวรรค์เก้าดาว หากนับกันแค่พลังอาณาจักรบ่มเพาะ เด็กหนุ่มตรงหน้านี้มันก็เทียบเคียงกับเขาได้แล้ว


เจียนเฉินจึงรู้สึกเสียหน้าไปอีกขั้น


ได้ยินเช่นนั้นเย่หยวนกลับทำแค่ยิ้มและไม่ตอบใดๆ ส่วนทางเจียนหงเซียวกลับมองมาที่เจียนเฉินด้วยสายตาเอ็นดู “เฉินเอ๋อ สายตาของเจ้านั้นยังไม่ถึงขั้นจริงๆ! สหายหนุ่มเย่หยวนผู้นี้มีรูปกายภายนอกที่หลอกตาเนื้อหนังดูผอมบางแห้งแต่เขานั้นได้มีรูปร่างที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ตอนนี้เขาได้บ่มเพาะกายทองคำขึ้นมาถึงระดับหกได้แล้ว เพราะฉะนั้นอาจารย์ของเจ้าผู้นี้จึงได้บอกว่าเขาเป็นคนรุ่นเดียวกัน”


เมื่อเจียนเฉินได้ยินดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง!


แต่คำพูดต่อไปของเจียนหงเซียวมันยิ่งทำให้เขาต้องตกตะลึง


เจียนหงเซียวหันไปมองเย่หยวน “ที่สำคัญ… ที่สหายหนุ่มเย่มีนี้ดูท่าจะเป็นกายทองคำสัมบูรณ์ หากเฒ่าคนนี้เดาไม่ผิด?”


เย่หยวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาเช่นกันพร้อมด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “ผู้อาวุโสท่านช่างมีดวงตาที่เฉียบคม ท่านเดาถูกแล้ว!”


เจียนหงเซียวยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิพร้อมยกมือขึ้นลูบเครา “หึๆ เฒ่าคนนี้เองก็ฝึกฝนดวงตาคู่นี้มานานแสนนาน ต่อให้จะอ่านดวงชะตาไม่ได้ แต่มันก็มีอีกหลายสิ่งที่พอมองเห็นได้”


เย่หยวนได้แต่ยิ้มออกมาพร้อมยกมือขึ้นคารวะอีกฝ่าย “ท่านผู้อาวุโสช่างมีดวงตาที่เลิศล้ำ ข้าเย่หยวนขอนับถือ”


เจียนเฉินที่ด้านข้างนั้นกำลังตื่นตกใจจนไม่อาจหุบปากที่อ้าค้างลงได้


กายทองคำสัมบูรณ์นั้นเป็นเรื่องเล่าขานในตำนานในหมู่ผู้ฝึกฝนบ่มเพาะร่างกาย ว่ากันว่ามีพลังความแข็งแกร่งที่ไม่อาจอธิบายได้


เขาไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนคนนี้จะสามารถฝึกฝนมันได้


และเขาก็ยังไม่ได้คาดคิดด้วยว่าเย่หยวนนั้นจะขึ้นถึงระดับหกได้อย่างรวดเร็วเช่นนั้น


การที่มีกายทองคำสัมบูรณ์ระดับหกเช่นนี้มันย่อมหมายความว่าเขาคือยอดฝีมือระดับหกอย่างแท้จริงแล้ว!


ส่วนตัวเจียนเฉินนั้นคิดอยู่ที่อาณาจักรนภาสวรรค์เก้าดาวมาไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี ทั้งๆ อย่างนั้นกลับไม่สามารถแตะฐานของระดับต่อไปได้เสียด้วยซ้ำ


ความแตกต่างระหว่างตัวเขาและเย่หยวนมันช่างมากล้ำ!


“หึ่ม! กายทองคำสัมบูรณ์ระดับหกแล้วจะทำไม? สุดท้ายตอนนี้ก็ยังไม่สามารถขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้หรือต่อให้จะขึ้นได้ในเร็ววันมีหรือที่เขาจะเรียนรู้การหลอมโอสถหกชีพจรดวงดาวได้ในเวลาสั้นๆ แค่นี้? แล้วจะรักษาอาการสะท้อนของอาจารย์ได้อย่างไร?” เจียนเฉินร้องบอกด้วยความดูถูกอีกครั้ง


เจียนหงเซียวขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยินก่อนจะร้องตะโกน “เจ้าคนปากเสียนี่! เฉินเอ๋อ ในโลกของนักยุทธนั้นผู้แข็งแกร่งคือผู้เหนือล้ำ ตอนนี้เมื่อเย่หยวนขึ้นมาเป็นผู้คนในรุ่นเดียวกับข้าได้แล้วมีหรือที่เจ้าจะยังสามารถพูดจาเช่นนี้ออกมาได้?”


แต่เย่หยวนกลับพูดแทรกขึ้นมาก่อนพร้อมยกมือขึ้นห้าม “ข้าไม่คิดมากหรอก เดิมทีพี่เจียนเฉินนั้นก็แก่กว่าข้าอยู่แล้ว ที่สำคัญเขายังแค่เป็นห่วงเรื่องร่างกายของท่านผู้อาวุโส หึๆ นอกจากนี้… อีกไม่นานเขาก็คงจะขึ้นมายืนในจุดนี้ได้แล้ว”


พูดไปเย่หยวนก็ได้ยื่นขวดโอสถหนึ่งไปให้แก่เจียนเฉินด้วยรอยยิ้ม “พี่เจียนเฉิน นี่คือโอสถฟ้าตะวันจันทราที่เย่ผู้นี้หลอมขึ้นมา ท่านโปรดรับมันไว้เถิด เย่ผู้นี้ได้รับการดูแลจากท่านผู้อาวุโสมามากและไม่มีอะไรจะตอบแทนให้มากมายนอกเสียจากเจ้าสิ่งนี้ โอสถนี้ คิดเสียว่ามันเป็นค่าดอกบุญคุณที่ติดค้างกัน”


ด้วยหอมหาสมบัติที่หนุนหลังอยู่เย่หยวนย่อมจะสามารถหาโอสถได้อย่างง่ายดายการหลอมโอสถฟ้าตะวันจันทราขึ้นมาสักสองสามเม็ดนั้นย่อมมิใช่เรื่องยาก


เพียงแค่ว่าโอสถฟ้าตะวันจันทราที่เย่หยวนมีนั้นมันก็ไม่ได้มากมาย เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียสมุนไพรวิญญาณในระดับนี้ทางหอมหาสมบัติเองก็คงไม่อาจจะหามามอบให้เย่หยวนได้ตลอดเวลา


ส่วนทางเจียนหงเซียวนั้นเย่หยวนรู้สึกขอบคุณเขามาตลอด เพราะหากไม่ใช่เพราะเขาลงแรงหาที่อยู่ของอิ้งหมัวหู่ให้ เย่หยวนคงต้องเจ็บปวดแค้นหัวใจไปจนตาย


เย่หยวนย่อมรู้ดีว่าเจียนเฉินผู้นี้คือศิษย์ที่เจียนหงเซียวรักและดูแลใกล้ชิดที่สุด


เจียนเฉินผู้นี้ดูท่าแล้วคงติดอยู่ที่ยอดของอาณาจักรนภาสวรรค์มานานแต่ก็ยังไม่อาจหาวิธีบรรลุได้ ทำให้เกิดความเจ็บแค้นขึ้นมาในใจ


เพราะฉะนั้นเย่หยวนจึงได้ตัดสินใจมอบโอสถล้ำค่านี้ให้แก่เขา


เมื่อเจียนหงเซียวและเจียนเฉินได้ยินพวกเขาก็เบิกตามองนิ่งไปทันที


เจียนเฉินที่รับโอสถไปนั้นดูท่าทางแข็งทื่อเหมือนตุ๊กตาไม้ก่อนจะส่งจิตของตนลงไปตรวจสอบดูภายใน และนั่นมันยิ่งทำให้ทั้งร่างของเขาแข็งกลายเป็นหินไป


“ข-ขั้นเทวะวิญญาณไพศาล! นี่… ข้าดูผิดไปหรือ?”


คำที่เจียนเฉินพูดออกมามันแทบจะไม่เป็นภาษา


เขานั้นส่งจิตลงไปตรวจสอบดูอีกครั้งและผลลัพธ์ก็คือโอสถนี้มันเป็นขั้นเทวะวิญญาณไพศาลจริงๆ!


โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณไพศาลมันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิต ไม่ต้องพูดถึงโอสถฟ้าตะวันจันทราขั้นเทวะวิญญาณไพศาลเลย!


ในวินาทีนี้สมองของเขามันโล่งไปหมดอย่างที่ไม่อาจจะคิดเรื่องใดๆ ได้


เขารู้แค่ว่าวันนี้เขาโชคดี!


ได้ยินคำของเจียนเฉินแม้ทางเจียนหงเซียวจะเป็นยอดคนพบเจอเรื่องราวในโลกมามากมายเขาก็อดไม่ได้ที่จะเปิดปากค้างไม่แพ้กัน


“ส-สหายหนุ่มเย่ นี่… โอสถนี้มันล้ำค่าเกินไป ให้เจียนเฉินรับไว้ไม่ได้หรอก!”


เมื่อเจียนเฉินได้ยินคำของอาจารย์เขาก็ตัวสั่นขึ้นทันที สีหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วยและมือที่ถือขวดโอสถนั้นอยู่มันก็ถูกกำแน่นขึ้น


เย่หยวนแค่เพียงยกมือขึ้นมาโบกปัดด้วยท่าทางสบายๆ “ผู้อาวุโสอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย ในสายตาของเย่ผู้นี้แล้วแม้จะเป็นโอสถฟ้าตะวันจันทราขั้นเทวะวิญญาณไพศาลนับพันหรือนับหมื่นเม็ดมันก็ไม่อาจเทียบเท่าชีวิตน้องชายได้! นี่คือสิ่งที่พี่เจียนเฉินต้องการในตอนนี้ ให้เขารับไปนั่นแหละดีแล้ว นอกจากนั้นเรื่องโอสถหกชีพจรดวงดาวที่พี่เจียนเฉินว่ามานี้มันคือโอสถประเภทใดกัน?”

 

 

 


ตอนที่ 1956 อาณาจักรเม็ดต้นกำเนิด!

 

เจียนหงเซียวนั้นย่อมรู้และเข้าใจมานานว่าเย่หยวนนั้นเป็นคนนับถือในบุญคุณเพียงใด แต่เขาก็ไม่นึกไม่ฝันเช่นกันว่าการตอบแทนแรกของเย่หยวนนี้มันจะเริ่มด้วยของขวัญสุดล้ำค่า


และเย่หยวนยังบอกอีกว่านี่นับเป็นเพียงแค่ดอกเบี้ยที่ติดค้างกัน!


โอสถฟ้าตะวันจันทราขั้นเทวะวิญญาณไพศาลนั้นมันสุดแสนล้ำค่า มีค่ามากพอๆ กับเมืองจักรพรรดิทั้งเมือง!


เพราะว่าเจ้าโอสถฟ้าตะวันจันทราขั้นเทวะวิญญาณไพศาลที่สามารถสร้างเทพถ่องแท้ขึ้นมาได้อย่างแน่นอน


แล้วเมืองจักรพรรดินั้นมีเทพถ่องแท้หรือ?


ยอดฝีมือเทพถ่องแท้นั้นเก่งกาจเพียงใดผู้คนในมหาพิภพถงเทียนย่อมเข้าใจดี มีหรือที่คนอย่างเจียนหงเซียวจะไม่รู้ได้?


เพราะฉะนั้นของขวัญชิ้นนี้ของเย่หยวนมันจึงยิ่งใหญ่จนเกินไป!


เจียนหงเซียวหายใจเข้าลึกพร้อมกล่าวออกมา “สิ่งที่ข้าให้เจ้าไปนั้นมันนับเป็นแค่ผลไม้ลูกหนึ่ง แต่เจ้ากลับตอบแทนมาด้วยหยกงาม! สหายหนุ่มเย่ ของขวัญอันนี้ของเจ้ามันสุดจะล้ำค่า! แต่ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าให้ด้วยความคิดหวังดี เฉินเอ๋อเจ้าก็รับไว้เถอะ”


เจียนเฉินสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ใบหน้าของเขานั้นแสดงความตื่นเต้นดีใจอย่างถึงที่สุด


ด้วยโอสถศักดิ์สิทธิ์เม็ดนี้แล้วเขาคงสามารถบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้ในอีกไม่ช้า!


เจียนหงเซียวขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นเช่นนั้น “จะยังยืนเหม่ออะไรอีกเล่า? ทำไมยังไม่รีบกล่าวขอบคุณสหายหนุ่มเย่อีก?”


เจียนเฉินสะดุ้งตัวขึ้นทันทีก่อนจะรีบเดินมาคุกเข่าต่อหน้าเย่หยวน “เจียนเฉินขอบคุณน้องเย่ บุญคุณนี้ข้าจะไม่มีวันลืมมันแน่!”


เย่หยวนรับประคองร่างของเจียนเฉินลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พี่เจียนเฉินเองก็ทำเหมือนเราเป็นคนห่างคนไกลกันไปได้ แค่โอสถเท่านี้มันย่อมไม่นับเป็นบุญเป็นคุณใด ข้าว่าตอนนี้พี่เจียนเฉินคงอยากเริ่มเข้าเก็บตัวเต็มทีแล้วกระมัง? รีบไปเสียเถอะ”


เจียนเฉินแสดงสีหน้าอับอายออกมาเพราะเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนเขายังว่ากล่าวดูถูกเย่หยวนแต่สุดท้ายเย่หยวนกลับหยิบยื่นสุดยอดของขวัญมาให้เขาง่ายๆ


เขานั้นได้แต่หันหน้าไปมองดูเจียนหงเซียว เจียนหงเซียวเองก็ได้แต่ถอนหายใจยาวก่อนจะตอบออกมา “ไปเถอะ!”


เจียนเฉินนั้นราวกับได้รับการอภัยโทษรีบพุ่งตัวจากไปทันที


จากนั้นทั้งเย่หยวนและเจียนหงเซียวก็ได้นั่งลงในที่ของตนอีกครั้งก่อนที่จะเป็นฝ่ายเจียนหงเซียวที่พูดขึ้นมาก่อน “ตระกูลเจียนของข้านั้นนับได้ว่าเป็นผู้เดินทางควบคู่กับคมดาบของเต๋าสวรรค์ การสะท้อนกลับใดๆ นั้นมันย่อมไม่อาจหลบเลี่ยงได้เป็นธรรมดา พลังของท่านบรรพบุรุษนั้นเหนือฟ้าทะลุสวรรค์มันมิใช่สิ่งที่พวกเราคนธรรมดาทั้งหลายจะเทียบเคียง ท่านนั้นครั้งหนึ่งได้เดินทางไปหาโอสถบรรพกาลเพื่อขอให้โอสถบรรพกาลสร้างโอสถขึ้นมาใช้กับวิชาของตระกูลเจียนเพื่อป้องกันรักษาการสะท้อนจากเต๋า โอสถหกชีพจรดวงดาวนี้เองก็เป็นหนึ่งในโอสถที่ถูกสร้างขึ้นในเวลานั้น”


เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นเขาก็เข้าใจเรื่องราวได้ในทันที


สำหรับคนตระกูลเจียนแล้วการสะท้อนจากเต๋าสวรรค์นั้นมันเป็นดั่งไข้หวัดธรรมดาที่ทุกคนมีโอกาสเป็น สิ่งที่จะแตกต่างกันไปก็คงมีเพียงความรุนแรงของการสะท้อนนั้น


และการใช้โอสถเฉพาะทางเพื่อรักษาอาการสะท้อนนี้มันย่อมเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย


แต่เมื่อได้ยินคำของเจียนหงเซียวเย่หยวนก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัยขึ้นในหัวใจ


โอสถบรรพกาลนั้นเป็นตัวตนระดับใดกัน?


เขานั้นเป็นผู้ที่เกือบก้าวขึ้นถึงอาณาจักรเต๋าบรรพกาลได้และเป็นหนึ่งในยอดผู้คนที่ได้ขึ้นไปถึงอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ขั้นสูง


แต่จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้กลับสามารถไปขอให้เขาช่วยลงมือสร้างสูตรโอสถให้แก่ตระกูลเจียนได้


แน่นอนว่าตัวเขาเองก็ย่อมจะไม่ธรรมดาเช่นกันอย่างแน่นอน!


แต่คนทั้งหลายในระดับนั้นมันยังห่างไกลเกินกว่าที่ตัวเย่หยวนในตอนนี้จะเข้าใจ


“ในเมื่อมันมีตัวโอสถอย่างโอสถหกชีพจรดวงดาวเหตุใดผู้อาวุโสจึงยังต้องมาอยู่ที่เมืองจักรพรรรดิเลิศประกายนี้อีกเล่า?” เย่หยวนอดถามขึ้นไม่ได้


เจียนหงเซียวถอนหายใจยาว “สหายหนุ่มเย่นั้นไม่รู้เรื่องนี้ เพราะเจ้าโอสถหกชีพจรดวงดาวนี้มันเป็นโอสถที่สุดแสนยากเย็นการหลอม เทียบได้กับโอสถศักดิ์สิทธิ์ความยากเก้าในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศที่เฒ่าคนนี้อยู่มันไม่มีผู้ใดที่จะหลอมโอสถชนิดนี้ขึ้นได้ ในตอนนั้นการทะส้อนที่เฒ่าคนนี้ได้รับไปเองมันก็หนักหนาอย่างมากมายหากท่านเจ้าเมืองไม่ได้มอบโอสถจันทร์สว่างเมฆาม่วงมาช่วยลดบรรเทาอาการให้ตัวเฒ่าคนนี้คงได้ตายลงไปนานแสนนานแล้ว แต่เพียงแค่ว่าโอสถจันทร์สว่างเมฆาม่วงเองมันก็ไม่อาจเทียบเคียงกับโอสถหกชีพจรดวงดาวได้ ที่สำคัญไปกว่านั้นคุณภาพของเจ้าโอสถนั้นมันก็ไม่ได้สูงส่งมาก ทำให้เฒ่าคนนี้ยังคงต้องนอนรอความตายอยู่อย่างทุกวันนี้”


เย่หยวนที่ได้ยินเช่นนั้นเขาก็ได้แต่ถอนหายใจยาว เทพถ่องแท้ผู้ยิ่งใหญ่นั้นกลับต้องมาประจำที่เมืองจักรพรรดิน้อยๆ แห่งหนึ่ง ดูท่าเจียนหงเซียวเองก็คงไม่มีทางจะยอมรับมันได้แน่นอน


“ผู้อาวุโส หากเป็นเช่นนั้นแล้วท่านจะให้ข้าได้ลองดูสูตรของโอสถหกชีพจรดวงดาวหน่อยได้หรือไม่?” เย่หยวนถาม


เจียนหงเซียวยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ตระกูลเจียนของข้านั้นมุ่งพัฒนาในวิชาการทำนาย ผู้ที่มีความรู้ในด้านโอสถนั้นมีไม่มากมาย ผู้ที่ประสบความสำเร็จมันยิ่งมีน้อยกว่า ที่สำคัญโอสถหกชีพจรดวงดาวนี้เองมันก็นับเป็นสูตรลับของตระกูลเจียนเราด้วย ทำให้สูตรของมันนั้นถูกเก็บไว้ในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิ เฒ่าคนนี้เองก็ไม่ได้มีมันเก็บไว้กับตัว”


เย่หยวนยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “หากเป็นเช่นนั้นแล้วเย่หยวนผู้คนนี้คงต้องติดตามผู้อาวุโสท่านไปยังยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศเสียแล้ว”


เจียนหงเซียวที่ได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้นดีใจ “จริงหรือ?”


เย่หยวนยิ้มตอบ “หากท่านผู้อาวุโสไม่ได้ทำนายชะตาให้ข้าในครานั้นชีวิตของน้องข้าคงไม่อาจช่วยเหลือได้อีกต่อไป แค่เดินทางไปยังยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศนั้นมันไม่นับว่าเป็นความลำบากเสียด้วยซ้ำ”


เจียนหงเซียวพยักหน้ารับ “เช่นนั้น… ข้าคงต้องลำบากให้สหายหนุ่มเย่เดินทางไปด้วยแล้ว! ตอนนี้เจ้าไปเข้าเก็บตัวในเมืองจักรพรรดิเลิศประกายเราก่อนเถิด หลังจากเจ้าบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้เมื่อใด เราค่อยเดินทางไปยังยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศกัน”



ภายในห้องลับนั้นเย่หยวนหลับตาแน่นด้วยใบหน้าไม่มั่นใจจนคิ้วขมวดติดกันแน่น


“แบบนี้ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของข้ามันจะไม่หายกลายไปเป็นเพียงแค่เม็ดโอสถน้อยๆ เม็ดเดียวหรือ?”


เพราะผลลัพธ์ของการวิเคราะห์ที่เย่หยวนได้มันเป็นเรื่องที่ทำให้เขามึนงงจนไม่อาจพูดใดๆ


เพราะเขานั้นได้พบว่านับวันเขายิ่งไม่อาจเข้าใจบัญญัติเทพแห่งถงเทียนมากเท่านั้น ทั้งๆ ที่ทุกขั้นตอนการบ่มเพาะนั้นมันถูกสร้างขึ้นด้วยตัวเขาเอง


เมื่อคนผู้อื่นขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้พวกเขาทั้งหลายจะพัฒนาโลกใบน้อยของตนจนเริ่มเกิดชีวิตนับไม่ถ้วนขึ้น


แต่เขาเล่า?


ตอนนี้ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขามีแต่จะหดเล็กลงพร้อมด้วยปราณเทวะที่มีแต่จะรวมเข้มหนาแน่นขึ้น


ผลลัพธ์ของการวิเคราะห์และอนุมานในตอนนี้เย่หยวนเข้าใจว่าทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขานั้นมันจะหดเล็กจนกลายเป็นเม็ดเล็กๆ หากขึ้นไปถึงระดับหก


เพียงแค่ว่าในเรื่องนี้ เย่หยวนไม่อาจจะหาทางอื่นได้อีกแล้ว


ที่สำคัญในเวลาที่ผ่านๆ มานั้นแม้เขาจะมีฐานอาณาจักรที่แตกต่างจากผู้คนแต่ในเรื่องของพลังแล้วเขานั้นมันจะเหนือล้ำกว่าผู้คนในระดับเดียวกันไปอย่างมากมาย ไม่เคยจะมีความผิดพลาดใดๆ


“ช่างมันเถิด ไหนๆ ก็ล่องเรือลำนี้มาแล้ว ไปให้มันถึงสุดทางเลยก็แล้วกัน! ข้าอยากรู้เสียจริงๆ ว่าสายน้ำนี้มันจะพาข้าไปจบที่ใดกันแน่! ในเมื่อครั้งนี้ข้าต้องทำการบีบอัดทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ให้เล็กลงจนกลายเป็นเม็ดก้อนน้อยๆ ข้าจะขอเรียกมันว่าอาณาจักรเม็ดต้นกำเนิดแล้วกัน!”


เมื่อตั้งร่างวิธีการบ่มเพาะได้แล้วเย่หยวนก็ไม่ลังเลอีกต่อไปรีบกลืนโอสถมากมายลงคอไปและเริ่มทำการทะลวงทันที


ตูม!


ปราณเทวะโกลาหลของเย่หยวนนั้นหมุนวนขึ้นอีกครั้งอย่างหนักแน่น


ปราณเทวะมากมายค่อยๆ ถูกกวนเข้าไปสู่ภายในจนเจ้าพายุหมุนนั้นมันค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ


ตอนนี้เหล่าลายพระเจ้าทั้งหลายต่างพุ่งลงไปหลอมรวมกับคลื่นหมุนนี้อย่างไม่มีทีท่าจะหยุด


จุดตันเถียนภายในของเย่หยวนนั้นค่อยๆ ถูกกดบีบเข้าไปเรื่อยๆ


“อือ…”


เย่หยวนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดที่ลั่นขึ้นมาในช่องท้อง


แต่ทว่าเย่หยวนนั้นรู้ดีว่ามันยังไม่จบลงง่ายๆ!


หากคิดอยากบีบอัดปราณเทวะโกลาหลแน่นอนว่ามันย่อมต้องใช้พลังที่มากมายมหาศาล โชคยังดีที่เย่หยวนนั้นได้เตรียมการมาอย่างดีโอสถที่เขาหลอมจนถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาลนั้นมีมากมาย


เย่หยวนรู้สึกราวกับว่าตอนนี้จุดตันเถียนของเขาแทบจะระเบิดออก


โชคยังดีที่ร่างกายของเย่หยวนนั้นขึ้นไปถึงระดับหกก่อนการบ่มเพาะแล้วทำให้ความเจ็บปวดใดๆ ในระดับนี้มันไม่ได้เป็นปัญหากับตัวเขาเลย


ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแต่สุดท้ายแล้วก็เกิดสายฟ้าไหลภายในร่างของเย่หยวนจนทำให้ปราณเทวะโกลาหลของเขาหายไปจนสิ้น


และภายในร่างของเย่หยวนตอนนี้มันมีเพียงแค่เม็ดต้นกำเนิดขนาดเท่ากำปั้นเท่านั้น


“ฮู้ววว…”


เย่หยวนถอนหายใจยาวออกมาด้วยความโล่งอก ตอนนี้เขาได้ขึ้นมาถึงอาณาจักรเม็ดต้นกำเนิดแล้ว!


เย่หยวนพยายามเร่งใช้ปราณเทวะออกมาจากร่างและต่อยหมัดออกมา!


ปัง!


ห้องลับนี้ระเบิดหายจนกลายเป็นฝุ่นผงไปทันที


โชคยังดีที่นี่เป็นห้องที่เจียนหงเซียวเตรียมไว้ให้แก่ตัวเขาโดยเฉพาะ


ไม่ฉะนั้นแล้วความเสียหายรอบข้างมันคงมากเกินกว่าจะคาดเดา!

 

 

 


ตอนที่ 1957 ผู้ทำนายหมอกดาว

 

“อาจารย์ ข้าบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้แล้ว! ข้าจะพาท่านกลับไปยังยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศได้แล้ว!”


เจียนเฉินนั้นเดินเข้ามาภายในห้องลับของศาลามายาล้ำด้วยท่าทางตื่นเต้นราวกับเด็กตัวน้อยๆ


แต่เมื่อเขาเข้ามาเขากลับต้องพบว่าตอนนี้อาจารย์ของเขากำลังนั่งคุยอยู่กับแขกผู้หนึ่ง


และแขกผู้นี้มันก็มิใช่ใครนอกไปเสียจากเย่หยวน


เย่หยวนมองดูเจียนเฉินด้วยรอยยิ้ม “ยินดีด้วยพี่เจียนเฉิน!”


เจียนหงเซียวยิ้มขึ้นมา “ในเมื่อเจ้าบรรลุแล้วก็จงไปเก็บของเตรียมตัวเถิด พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกัน”


แต่เจียนเฉินนั้นได้แต่ยืนนิ่งมองดูเย่หยวนอย่างมึนงง


“เจ้า…เจ้าเองก็บรรลุแล้ว?” เจียนเฉินถามขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ


เจียนหงเซียวตอบขึ้นมาแทน “เย่หยวนนั้นบรรลุมาก่อนได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว หากไม่ใช่เพราะรอเจ้าอยู่พวกเราคงเดินทางไปนานแล้ว”


เจียนเฉินเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง ความเข้าใจที่เย่หยวนมีมันน่าจะห่างชั้นจากเขามากแต่เหตุใดเขาผู้นี้ถึงได้บรรลุขึ้นมาได้ก่อนกัน?


แม้ว่าจะใช้โอสถฟ้าตะวันจันทรามันก็ไม่น่าจะสามารถทำได้ถึงขั้นนี้หรอกใช่ไหม?



เมื่อเจียนเฉินออกมาจากการเก็บตัวคนทั้งสามก็มุ่งหน้าออกเดินทางตรงไปยังยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศทันที


ลูกหลานของจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้นั้นจะไม่ได้อยู่ติดกับที่ใดที่หนึ่งมากนัก พวกเขามักจะไปตั้งรกรากในเมืองอื่นๆ หรืออาจจะไปอยู่ใต้การปกครองดูแลของจักรพรรดิเทพสวรรค์คนอื่นๆ


แต่เมืองทั้งหลายนั้นมันจะเปรียบดังเป็นเมืองเล็กๆ ในเมืองอีกชั้น เป็นพื้นที่ที่ไม่มีใครอาจมาแตะต้อง


เหมือนกับที่เมืองจักรพรรดิเลิศประกายทำได้ แม้ว่าพวกเขาเองจะเป็นแค่เมืองจักรพรรดิน้อยๆ แต่เหล่าเมืองหลวงจักรพรรดิหรือยอดเมืองหลวงจักรพรรดิหรือแม้แต่วังพำนักจักรพรรดิเทพสวรรค์ก็ยังไม่เคยคิดเข้ามายุ่มย่ามการปกครองดูแลของพวกเขา


ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศนี้เองก็เช่นกัน!


ตระกูลเจียนนั้นได้ยึดครองดูแลเมืองและแผ่ขยายอำนาจในยังเมืองข้างเคียงอย่างมาก


ตัวตนนี้ของพวกเขามันอาจจะดูเหมือนกับหอมหาสมบัติ แต่มันก็ไม่ได้เหมือนไปเสียทีเดียว


เพราะไม่ว่ายังไงเสียตระกูลเจียนนั้นก็แข็งแกร่ง แข็งแกร่งจนเกินกว่าจะมีใครมายุ่มย่าม!


ด้วยพลังฝีมือที่พัฒนาขึ้นมาเย่หยวนก็ยิ่งได้เข้าใจถึงพลังอำนาจที่ตระกูลเจียนมี


“นี่หรือคือยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศ? ช่างยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือ! ข้ารู้สึกได้เลยว่าอากาศภายในนั้นมันเต็มไปด้วยความลึกลับซับซ้อน ราวกับว่านี่เป็นทะเลแห่งดวงดาวก็ไม่ปาน หืม? ทำไมข้าจึงรู้สึกเหมือนราวกับว่าเมืองทั้งเมืองนี้มันกำลังหมุนอยู่กัน?” เย่หยวนขมวดคิ้วแน่นพร้อมรองออกมาอย่างตกตะลึง


นี่เองก็เป็นครั้งแรกที่เจียนเฉินได้มายังเมืองนี้และเขานั้นทำได้เพียงยืนนิ่งอย่างตกตะลึง


เจียนหงเซียวพยักหน้ารับ “สหายหนุ่มเย่นั้นช่างยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง! ว่ากันว่ายอดเมืองหลวงนี้มันมีค่ายกลที่ถูกตั้งขึ้นโดยท่านจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้เพื่อช่วยเพิ่มพลังในการทำนาย บ้านแต่ละหลังในเมือง ถนนทุกๆ เส้น ต่างล้วนแต่ผสานซึ่งความลับของดวงดาวเอาไว้ มันเป็นมหาค่ายกลขนาดใหญ่ ในเวลานับหมื่นๆ ปีมานี้ผู้คนเข้ามาออกไปแต่ค่ายกลนี้ไม่เคยจะเปลี่ยนแปลงและคอยหมุนวนอยู่ตลอดเวลา แต่เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น ที่สำคัญคือไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่เคยสัมผัสถึงมันได้ ไม่นึกเลยว่าสหายหนุ่มเย่จะสามารถสัมผัสถึงมันได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวเข้าเมืองมา”


เย่หยวนยิ่งได้ฟังก็ยิ่งตกตะลึงถึงความเก่งกาจของจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ที่สามารถทำเรื่องราวสุดแสนมหัศจรรย์เช่นนี้ขึ้นมาได้


การจับยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทั้งเมืองหมุนวนตามกระแสดวงดาวเพื่อทำนายเต๋าสวรรค์


เรื่องราวเช่นนี้มันย่อมเหนือล้ำกว่าที่จะคาดคิดถึง


“สมแล้ว! ช่างยิ่งใหญ่จริง! สักวันหนึ่งเย่ผู้นี้เองก็อยากจะเจอจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ให้ได้เสียจริง!” เย่หยวนบอกขึ้นด้วยใบหน้าแสนชื่นชม


เจียนหงเซียวยิ้มออกมา “หากเป็นผู้อื่นข้าคงหัวเราะเยาะที่ไม่รู้จักประเมินตนไปแล้ว แต่กับเจ้านั้น…หึๆ ไม่แน่สักวันเจ้าอาจจะได้มีโอกาสนั้น”


รัศมีผ่าจักรพรรดินั้นเป็นรัศมีดวงชะตาที่มีโอกาสสูงมากว่าจะขึ้นไปถึงอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์


เมื่อใดก็ตามที่เขาได้กลายเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์แล้วเขาก็คงก้าวขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ มันจึงอาจจะมีความเป็นไปได้อยู่จริงๆ


แน่นอนว่าทั้งหมดทั้งสิ้นนี้มันก็แค่คำว่าอาจ


จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้นั้นแตกต่างจากจักรพรรดิเทพสวรรค์ทั่วๆ ไปความสามารถของเขานั้นมันมากพอที่จะทำลายจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้คนอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย!


“โอ้ นี่มันผู้อาวุโสหงเซียวมิใช่หรือ? ข้าก็นึกว่าเหตุใดนกในเมืองมันจึงร้องกันร่าเริงนัก ที่แท้กลายเป็นว่าผู้อาวุโสหงเซียวกลับมาแล้ว! ฮ่าๆ…”


ระหว่างที่คนทั้งสามพูดคุยพร้อมเดินทางกันไปก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งนำโดยชายหนุ่มเข้ามาทักพวกเขา


เจียนหงเซียวขมวดคิ้วแน่น “เจ้า… เจียนหยุน?”


“ชิๆ สมเป็นท่านจริงๆ เป็นเกียรติที่ผู้อาวุโสหงเซียวจดจำเจ้าเด็กไร้ความสามารถอย่างข้าได้ แต่ว่า… ข้าต้องขอชมเชยท่านจริงๆ ที่ยังมีหน้ากล้ากลับมาอีก!” เจียนหยุนนั้นพูดขึ้นด้วยใบหน้าดูถูกเหยียดหยาม


เจียนหงเซียวขมวดคิ้วแน่นดูท่าเหมือนจะไม่อยากคุยต่อและหันไปบอกพวกเย่หยวน “ไปกันเถอะ!”


แต่เจียนหยุนนั้นกลับเดินเข้ามาขวางทางไว้ “อย่าเพิ่งไปสิ! มาๆ พี่น้องทั้งหลายท่านจำคนผู้นี้ได้หรือไม่? ขอให้ข้าได้แนะนำเขาให้แก่พวกท่านได้รู้จักอีกครั้ง เฒ่าคนนี้คืออดีตผู้อาวุโสแห่งวังดารา เจียนหงเซียว!”


เมื่อเขาพูดขึ้นมาเช่นนั้นผู้คนที่เดินผ่านไปมาทั้งหลายก็ต้องหันมามองตามต้นเสียงทันที


แค่ได้ยินคำพูดว่า ‘วังดารา’ คนทั้งหลายก็หันมาให้ความสนใจกันในทันที


ตอนนี้แม้แต่ตัวเจียนเฉินเองก็ร่างสั่นเทิ้มหันมองดูเจียนหงเซียวด้วยสายตาอันแปลกประหลาดราวกับว่าไม่เคยรู้จักผู้คนตรงหน้านี้มาก่อน


“อ-อาจารย์ ท่าน… ท่านเป็นอดีตผู้อาวุโสแห่งวังดาราจริงหรือ? ทำไมท่านไม่เคยบอกข้ามาก่อนเลยเล่า?” เจียนเฉินถามขึ้นด้วยท่าทางตื่นเต้น


เจียนหงเซียวนั้นยังคงรักษาสีหน้าไว้และไม่ได้ตอบใดๆ กลับไป


เย่หยวนเองก็มีใบหน้าเรียบเฉย ตัวเขานั้นย่อมไม่มีทางทราบได้ว่าวังดาราที่ว่านี้ยิ่งใหญ่อย่างไรถึงได้สร้างสภาพเช่นนี้ขึ้นมาแก่ผู้คนได้


“ผู้อาวุโสแห่งวังดารา? นี่มัน…ล้อกันเล่นใช่หรือไม่? มีหรือที่นภาสวรรค์เฒ่าคนนี้จะเป็นผู้อาวุโสแห่งวังดาราไปได้?”


“เจียนหงเซียว ชื่อนี้มันช่างฟังดูคุ้นนัก!”


“มันฟังดูคุ้นหู แต่ข้ากลับไม่อาจนึกออกได้เลย”



เจียนหยุนมองดูสภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มกว้าง


“หึ พูดถึงนามผู้อาวุโสหงเซียวนั้นเขาคือสุดยอดตัวตนชื่อเสียงลั่นฟ้าแห่งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศในระยะเวลาหนึ่ง! ยอดเยี่ยมทั้งโหราและดารา มองดูรัศมีทำนายชะตา ไม่มีสิ่งใดที่เขาจะทำไม่ได้ ผู้คนทั้งหลายถึงขั้นขนานนามเขาว่า ‘ผู้ทำนายหมอกดาว’ ว่ากันว่าครั้งหนึ่งเขานั้นเคยจะได้ขึ้นเป็นผู้ดูแลวังดาราทั้งสิ้นในอนาคต!”


คำพูดของเจียนหยุนนั้นมันถูกพูดขึ้นอย่างชัดเจนและเปี่ยมความเคารพ แต่สีหน้าของเขานั้นกลับมีแต่ความดูถูกเหยียดหยาม


ที่เขาพูดเช่นนี้ออกมามันย่อมมิใช่เพื่อเอาใจเจียนหงเซียว


ไม่นานนักสีหน้ามึนงงของผู้คนทั้งหลายรอบๆ ก็จางหายไป ในที่สุดพวกเขาก็จำได้เสียทีว่าชายแก่ผู้นี้คือใคร


“ผู้ทำนายหมอกดาว! แท้จริงแล้วเขาคือผู้ทำนายหมอกดาว!”


“ที่แท้เป็นผู้ทำนายหมอกดาวที่ใช้วิชาลับสังหารพี่น้องและศิษย์แห่งวังดาราไปหลายต่อหลายผู้คนนี่เอง!”


“คนเช่นนี้ยังมีหน้าใช้ชีวิตอยู่ในโลกได้อย่างไร? ทำไมมันไม่ตายๆ ไปเสีย?”



คำพูดของเจียนหยุนนี้มันดูเหมือนจะรื้อฟื้นช่วยคนทั้งหลายให้จดจำเรื่องราวขึ้นมาได้


นามของเจียนหงเซียวนั้นคนทั้งหลายอาจจะยังไม่อาจรับรู้ได้ แต่เมื่อได้ยินฉายาผู้ทำนายหมอกดาวแล้วมันย่อมเป็นชื่อที่ดังสนั่นในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศ


เว้นเสียแต่ว่าสภาพของเจียนหงเซียวในตอนนี้มันเป็นเหมือนคนร้ายที่กำลังถูกตามล่าไปทั่ว


ในตอนนี้เสียงด่าว่ามากมายกำลังลอยเข้าหูเจียนหงเซียว


ความตื่นเต้นดีใจของเจียนเฉินในตอนนี้มันกลับกลายเป็นความอึดอัด เขามองดูเจียนหงเซียวอย่างไม่คิดอยากเชื่อพร้อมถามขึ้น “ท-ท่านอาจารย์ ที่พวกเขาทั้งหลายพูดนั้นคือเรื่องจริง?”


เจียนหยุนมองดูภาพนั้นด้วยรอยยิ้ม “ฮ่าๆ เจ้าดูสภาพของผู้คนทั้งหลายแล้วตัดสินใจเอาเถอะว่ามันจริงหรือไม่ ตอนนั้นอาจารย์ของเจ้านี้ได้ขัดแย้งกับพี่น้องและใช้วิชาลับออกมา คิดจะใช้มันเปลี่ยนชะตาสวรรค์สุดท้ายศิษย์แห่งวังดาราทั้งสามสิบหกที่ดูแลวงแหวนจำลองดวงดาวครบวงจึงได้ถูกสูบชีวิตจนเหือดแห้ง! เรื่องราวนี้ตัวเขาคงไม่เคยเล่าบอกเจ้าใช่ไหมเล่า?”


เจียนเฉินนั้นมองดูเจียนหงเซียวอย่างไม่คิดอยากเชื่อ เวลาหลายปีที่เขาพยายามอยากบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้นี้มันก็เพราะว่าตัวเขาอยากเข้าร่วมวังดารา


แต่เมื่อมาถึงยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศเขากลับพบว่าตัวอาจารย์ของเขานั้นเป็นคนบาปแห่งวังดาราเสียอย่างนั้น!

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)