คัมภีร์วิถีเซียน 1797-1802
ตอนที่ 1797 พฤกษาหยาดน้ำตาโลหิต
ชายร่างใหญ่เรือนกายมีลำแสงสีดำ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นจักรพรรดิเสวียนอู่ป้า เผ่าปีศาจอีกคนหนึ่งที่ถูกเรียกว่าหลีหั่ว ย่อมเป็นราชามังกรวารีหลีหั่วหนึ่งในเจ็ดราชาปีศาจ
งานประมูลครั้งนี้คาดไม่ถึงว่าจะให้ทั้งสองคนเป็นผู้ประกาศเริ่มงาน ช่างอยู่นอกเหนือความคาดหมายของคนไม่น้อยเลยจริงๆ
ทว่าเมื่อจักรพรรดิเสวียนอู่ป้าและราชามังกรหลีหั่วเดินลงจากแท่นสูงแล้ว ชายชราผมสีเงินสวมชุดคลุมสีขาวคนหนึ่งก็เดินขึ้นไปบนแท่น
ด้านหลังของเขาคือเด็กยืนเรียงกันสองแถว ต่างใช้มือประคองถาดเดินเข้ามา
ทุกคนล้วนมีสีหน้าหมดจด จานในมือถูกผ้าสีทองปิดเอาไว้อย่างมิดชิด
“ตาเฒ่าเทียนเหยียนจื่อรับหน้าที่ดูแลงานประมูลครั้งนี้ หวังว่าสหายทุกท่านจะเข้าร่วม!” ชายชราประสานมือให้ทุกคนในตำหนัก แล้วเอ่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
“ฮ่าๆ มีสหายเทียนเหยียนจื่อคอยดูแลงานประมูลครั้งนี้ พวกเราก็วางใจขึ้นแล้ว”
“ใช่แล้วๆ! ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น สายตาของพี่เทียนเหยียนจื่อนั้นมีชื่อเสียงมากในทั้งสองเผ่า!”
……
เมื่อชายชราเอ่ยปากก็ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนไม่น้อยที่อยู่ด้านล่างขานรับ เห็นได้ชัดว่าเทียนเหยียนจื่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาขั้นกลางผู้นี้มีชื่อเสียงไม่น้อยเลย
แน่นอนว่าชายชราสวมชุดคลุมสีขาวย่อมทำการคารวะอีกครั้งไปรอบๆ ด้านด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม แล้วเอ่ยว่า
“สหายทุกท่านมาถึงที่นี่ แน่นอนว่าคงไม่อยากได้ยินตาเฒ่าพูดพล่ามไร้สาระ งานประมูลต่อจากนี้เริ่มได้! เด็กๆ เอาสินค้าชิ้นแรกออกมา”
เทียนเหยียนจื่อเอ่ยจบ ก็กวักมือเรียกทางด้านหลังทันที
เด็กที่ยืนอยู่หน้าสุดของแถวเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง สองมือยกขึ้นเหนือศีรษะ ส่งถาดให้ชายชราอย่างนอบน้อม
ชายชราชุดขาวถึงได้ขยับมือ ใช้นิ้วชี้ไปที่ผ้าสีทองจนปลิวออกมาจากถาด
ชั่วขณะนั้นผลึกศิลาเปล่งแสงสีเงินพลันปรากฏสู่สายตาของทุกคน
ผลึกศิลามีขนาดเท่ากำปั้น แต่ผิวของมันกลับมีลวดลายที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติชั้นหนึ่ง ในลวดลายเปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ ราวกับว่าเส้นไหมสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนผสมเข้าไปในผลึกศิลาก็ไม่ปาน เผยความงดงามเป็นอย่างยิ่งออกมา
“วัตถุดิบหลอมอาวุธธาตุทองระดับสุดยอด ผลึกเส้นไหมสีเงิน ผลึกเส้นไหมสีเงินนี้ผลิตขึ้นที่หุบเขาหยกขาวทางทิศตะวันออกที่สุดของเผ่ามนุษย์ โดยปกติแล้วจำนวนที่ผลิตได้ทั้งปีก็ไม่เท่าครึ่งหนึ่งของก้อนๆ นี้ แสดงให้เห็นถึงความล้ำค่าของมัน ขอแค่ผสมเข้าไปในกระบี่บินทั่วๆ ไปเล็กน้อย ก็เปลี่ยนให้แหลมคมอย่างหาที่เปรียบได้ เหนือกว่าสมบัติในระดับเดียวกัน หากใช้วัตถุดิบนี้หลอมสิ่งใด ก็จะกลายเป็นสมบัติวิญญาณมีประโยชน์เป็นอย่างมาก ดังนั้นราคาเปิดประมูลนี้สิ่งนี้จึงเริ่มที่สามล้านศิลาวิญญาณ ทุกครั้งที่ประมูลราคาจะต้องเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าหนึ่งแสน เริ่มได้!” เทียนเหยียนจื่อแนะนำของในถาดเสร็จก็เอ่ยด้วยเสียงอันดัง
ผลึกเส้นไหมสีเงินก้อนนี้ไม่อยู่ในสายตาของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อย่างพวกเรา แต่กลับเย้ายวนใจสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงและระดับหลอมสุญตาเป็นอย่างมาก
ถึงอย่างไรเสียหุบเขาหยกขาวก็เป็นสถานที่ในการควบคุมของเมืองเสวียนอู่ ปกติแล้วจำนวนที่ผลิตได้ก็ไม่เพียงพอกับเมืองเสวียนอู่เอง ครั้งนี้ปรากฏตัวก้อนใหญ่เพียงนี้ได้ ย่อมได้รับความสนใจตั้งไม่รู้เท่าไหร่
“สี่ล้าน”
“สี่ล้านห้า”
“ห้าล้าน”
……
เสียงเสนอราคาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชั่วพริบตาม่านลำแสงก็ปรากฏออกมาจากจานปรากฏขึ้นบนแท่นสูง
สุดท้ายก็ถูกเผ่าปีศาจนิรนามที่เรือนกายมีขนสีดำยาวปกคลุมประมูลไปด้วยราคาเจ็ดล้านสามแสนศิลาวิญญาณ
แน่นอนว่าผลลัพธ์นี้ย่อมทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์รู้สึกกลัดกลุ้มไม่น้อย!
ผู้ใดต่างก็รู้ว่าเผ่าปีศาจไม่เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ คาดไม่ถึงว่าเผ่าปีศาจคนหนึ่งจะยอมเสียเงินประมูลผลึกเส้นไหมสีเงินด้วยราคาที่สูงลิบเช่นนี้ ช่างอยู่นอกเหนือความคาดหมายของคนไม่น้อยจริงๆ
ในเมื่อเริ่มประมูลก็นำวัตถุดิบในการหลอมอาวุธออกมาแล้ว ของที่จะนำออกมาประมูลต่อจากนี้ จะต้องเป็นของหาที่ยากประเภทเดียวกันแน่
หากไม่ใช่วัตถุดิบในการหลอมเกราะสงครามของเผ่าปีศาจที่หายาก ก็ต้องเป็นวัตถุดิบที่ต้องใช้หลอมอาวุธชนิดอื่นๆ เป็นแน่
แต่หลังจากผ่านไปสองสามรอบ คนส่วนใหญ่ในตำหนักก็หน้าเปลี่ยนสี
ของเจ็ดถึงแปดชิ้นถูกเผ่าปีศาจขนสีดำคนแรกใช้ราคาที่สูงลิบประมูลไปทั้งหมด ท่าทางร่ำรวยมหาศาล ราวกับว่าขอแค่ได้วัตถุดิบในการหลอมอาวุธเหล่านี้ ก็ไม่สนใจว่าจะราคาเท่าไหร่
ส่วนชนเผ่าปีศาจขนสีดำผู้นี้ นอกจากแขนที่เปลือยเปล่าทั้งสองข้าง เรือนกายก็ถูกชุดหนังสีเหลืองห่อหุ้มเอาไว้อย่างมิดชิด จึงทำได้เพียงมองเห็นใบหน้าที่ดุร้ายรางๆ แต่กลับไม่อาจมองให้ชัดเจนได้
แน่นอนว่าจึงทำได้เพียงขัดขวางสิ่งมีชีวิตระดับเทพแปลงและระดับหลอมสุญตาเหล่านั้น สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อย่างหานลี่ เสียงพลังจิตสัมผัสเล็กน้อยก็พอจะทะลวงผ่านพลังป้องกันของชุดหนังไปได้
“คาดไม่ถึงว่าจะเป็นปีศาจหมาป่าดำตัวหนึ่ง! และมีพลังยุทธ์แค่ระดับหลอมสุญตาขั้นต้น เหตุใดถึงลงมาอย่างใจกว้างเช่นนี้? หรือว่าเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังในเผ่าหมาป่า!” หลังจากที่แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้ากวาดผ่านไป ก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยพึมพำออกมา
แม้ว่าชี่หลิงจื่อและไห่ต้าเซ่าที่อยู่ด้านหลังจะฟังเข้าใจ แต่ก็ไม่อาจหาเหตุผลอันใดได้ แน่นอนว่าจึงยืนอยู่ตรงนั้นไม่กล้าตอบอันใดสักนิด
ยามนี้ผ้าไหมประหลาดๆ ที่เปล่งแสงสีแดงสดออกมา ราวกับใช้เปลวเพลิงถักทอเป็นผ้าไหมก็ไม่ปานพลันถูกเด็กคนหนึ่งเอาออกมาปรากฏตัวบนแท่น
ชั่วขณะนั้นทุกคนที่อยู่ด้านล่างพลันเกิดความวุ่นวายขึ้น!
“ผลึกไหมร้อน คาดไม่ถึงว่าจะใช้ผลึกไหมร้อนทอขึ้น”
“น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”
คนจำนวนไม่น้อยมองผ้าไหมสีแดงสดด้วยแววตาตกตะลึง ไม่อาจปกปิดสีหน้าละโมบไปได้ ต่างอยากที่จะคว้าสิ่งนั้นมาจากแท่นอย่างอดทนรอไม่ไหว
“ท่านอาจารย์ผลึกไหมร้อนคือสิ่งใด ดูเหมือนคนมากมายจะอยากได้เจ้าสิ่งนั้น” ไห่ต้าเซ่าเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็อดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น
“ไม่แปลกที่เจ้าจะไม่รู้จักสิ่งนี้! ผลึกไหมร้อนไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ในเผ่ามนุษย์ แต่เป็นวัตถุดิบวิญญาณของเผ่าหงส์ดำ ว่ากันว่าเป็นไหมวิญญาณที่พ่นออกมาจากแมลงเพลิงยามที่อยู่ในลาวา ทว่าแมลงเพลิงชนิดนี้พ่นออกมาได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ประกอบกับจะพบได้แค่ในแดนลาวาที่เผ่าหงส์ดำควบคุมอยู่ ดังนั้นจึงหายากเสียยิ่งกว่าผลึกเส้นไหมสีเงิน หากใช้สิ่งนี้หลอกอาวุธธาตุไฟ แล้วพกติดตัวฝึกบำเพ็ญเพียรไปด้วยเป็นเวลานาน ก็สามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนได้ และหากใช้สิ่งนี้หลอมอาวุธ ก็จะเพิ่มประสิทธิภาพธาตุไฟเป็นอย่างมาก เกรงว่าผู้ที่นั่งอยู่ด้านล่างคงมีผู้ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาธาตุไฟเป็นเคล็ดวิชาหลักอยู่ไม่น้อย เช่นนั้นผลึกไหมร้อนจึงทำให้พวกเขาใจเต้นเป็นอย่างมาก” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วอธิบายให้ฟัง
“เช่นนี้นี่เอง! มิน่าล่ะคนเหล่านั้นถึงได้มีปฏิกิริยาเช่นนี้” ชี่หลิงจื่อเองก็เอ่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคักออกมา
เทียนเหยียนจื่อที่อยู่ด้านล่างประกาศราคาเปิดประมูลของผลึกไหมร้อน ชั่วขณะนั้นก็เกิดการเสนอราคาอย่างดุเดือด มากกว่าของชิ้นแรกๆ หลายเท่าตัว
แทบจะในพริบตานั้นราคาของผลึกไหมร้อนก็พุ่งสูงขึ้นไป จนอยู่ในตัวเลขที่น่าตกตะลึงแล้ว
ทว่าด้วยเหตุนี้ในที่สุดราคาที่กำลังร้อนแรงก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น มีแค่ห้าหกคนที่ยังคงเสนอราคาอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
และเผ่าปีศาจขนสีดำผู้นั้นก็เป็นหนึ่งในนั้น
สุดท้ายผู้ที่เสนอราคาได้ก็ไม่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของทุกคน เผ่าปีศาจหมาป่าดำใช้ราคาที่สูงลิบลิ่วประมูลไป
เช่นนี้เผ่าปีศาจหมาป่าสีดำผู้นี้จึงยิ่งเป็นจุดสนใจมากขึ้น คนจำนวนไม่น้อยอดที่จะมองมาทางเขาถี่ๆ ไม่ได้ และแน่นอนว่าส่วนใหญ่ล้วนมีแววตาไม่เป็นมิตร
แต่ในยามนี้ชายชราชุดขาวที่อยู่บนแท่นกลับเอ่ยสิ่งที่ดึงดูดสายตาของทุกคนออกมา
“หึๆ สหายจำนวนไม่น้อยไม่ได้มาเข้าร่วมงานหมื่นสมบัติเป็นครั้งแรกสินะ แน่นอนว่าย่อมรู้ว่าลำดับงานประมูลของข้าไม่เหมือนกับงานประมูลอื่นๆ ที่นำของประมูลล้ำค่าไปไว้ชิ้นสุดท้าย แต่จะนำสิ่งของล้ำค่าออกมาช่วงแรก ช่วงกลาง และช่วงหลัง ยามนี้หนึ่งในสิ่งที่จะนำออกมา เชื่อว่าคงไม่ทำให้สหายส่วนใหญ่และท่านอาวุโสผิดหวัง”
ชายชราเอ่ยไปพลาง ฉับพลันนั้นก็ปรบมือ “แปะๆ” สองครั้ง
ชั่วขณะนั้นด้านล่างแท่นสูงพลันมีสาวใช้อายุน้อยหน้าตางดงามเดินขึ้นมาคนหนึ่ง ในมือถือถาดที่วางกล่องไม้สีเขียวมรกตขนาดครึ่งฉื่อเอาไว้ เดินมาอยู่ข้างเทียนเหยียนจื่อด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ชายชราชุดขาวเผยความหนักแน่นออกมา และรับกล่องไม้มาจากมือของหญิงสาวอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เอ่ยกับผู้ที่อยู่ด้านล่างอย่างแช่มช้าอีกครั้ง
“แม้ว่าจะมีสหายบางคนที่เคยได้ยินมาก่อน แต่ไม่ทราบว่ามีกี่คนที่เคยเห็นพฤกษาหยาดน้ำตาโลหิตด้วยตาตัวเอง! ในกล่องมีอยู่ท่อนหนึ่ง สิ่งนี้มีประสิทธิภาพมากมายนัก ทั้งเป็นวัตถุดิบเสริมอิทธิฤทธิ์ ยังสามารถหลอมหุ่นเชิดร่างแยกและหุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์ได้ และเป็นวัตถุดิบหลักในการหลอมสมบัติที่มีชื่อเสียงอย่าง ‘ไข่มุกหยาดน้ำตาโลหิต’ ชายชราเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อได้ยินคำพูดของเทียนเหยียนจื่อ คนส่วนใหญ่กลับเผยสีหน้างุนงงออกมา มีแค่คนส่วนน้อยที่ได้ยินแล้วเผยสีหน้ายินดีเป็นอย่างมากออกมา
“พฤกษาหยาดน้ำตาโลหิต นี่ไม่ใช่สิ่งที่ระดับศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณให้ความสำคัญหรือ!”
“สิ่งนี้มาปรากฏในงานประมูลของสองเผ่าเราได้อย่างไร?”
ผู้บำเพ็ญเพียรที่รู้ประวัติความเป็นมาของเจ้าสิ่งนี้ อดที่จะร้องอุทานออกมาจากด้านล่างแท่นไม่ได้
หานลี่เองก็หน้าเปลี่ยนสี สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นจิตสัมผัสจำนวนไม่น้อยที่แผ่ออกมาจากห้องเล็กๆ บนชั้นสาม แน่นอนว่าย่อมมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์จำนวนไม่น้อยที่สนใจพฤกษาหยาดน้ำตาโลหิต
“หึ ที่มาของพฤกษาหยาดน้ำตาโลหิตนี้ ตาเฒ่าย่อมไม่แน่ใจนัก ทำได้เพียงรับประกันกับสหายทุกท่านว่าพฤกษาหยาดน้ำตาโลหิตนี้เป็นของจริง” ชายชราเอ่ยเสร็จ ก็เปิดฝากล่องออก
ชั่วขณะนั้นกลิ่นอายโลหิตคละคลุ้งก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า กลายเป็นหมอกโลหิตหนาแน่นหมุนวนออกมากลางอากาศ ราวกับอสรพิษประหลาดสีโลหิตก็ไม่ปาน
เทียนเหยียนจื่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งแสงสีทอง นิ้วทั้งห้ากางออก แล้วตะปบของที่อยู่ในกล่องเอาไว้
ครู่ต่อมาพฤกษาประหลาดขนาดครึ่งฉื่อก็ปรากฏขึ้นสู่สายตาของทุกคน ขนาดหนาเท่าหัวแม่มือ มีสีดำแดง
พฤกษานี้หม่นหมองไร้แสง แต่กลับแผ่หมอกโลหิตออกมาไม่หยุด ส่วนหมอกโลหิตที่หมุนวนโคจรไปมานั้น ก็พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ ราวกับมีชีวิตก็ไม่ปาน
“หุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์” หานลี่มองสิ่งนี้ แววตาอดที่จะหรี่ลงไม่ได้
พฤกษาหยาดน้ำตาโลหิตนี้ก็เคยได้ยินมาบ้าง ความจริงแล้วเป็นการเปลี่ยนแปลงของซากไม่สมบูรณ์ของเผ่าวิญญาณธาตุไม้ แม้ว่าจะอยู่ในแดนวิญญาณก็พบได้ยากยิ่ง
ร่างแยกที่สองและ ‘ไข่มุกหยาดน้ำตาโลหิต’ ล้วนมีชื่อเสียงเกรียงไกร แต่สิ่งที่ทำให้เขาใจเต้นแน่นอนว่าย่อมเป็นหุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์
แม้ว่าเขาจะหลอมยันต์แปลงวิญญาณที่มีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนเคราะห์เช่นเดียวกันออกมา แต่ยันต์นี้ก็จะพัฒนาขึ้นตามระดับพลังยุทธ์ของเขา ประสิทธิภาพเวลาเผชิญหน้าจึงอ่อนแอลงเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะฝึกฝนเป็นเวลานาน ก็ไม่อาจกระตุ้นอิทธิฤทธิ์เปลี่ยนเคราะห์ของมันได้เท่าไรนัก
หุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์นี้กลับเป็นสมบัติวิเศษที่มีชื่อเสียงในเผ่ามนุษย์มาอย่างเนิ่นนาน มีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนเคราะห์ร้ายของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์เช่นกัน
ทว่าหุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์นี้เป็นของที่ใช้แล้วทิ้ง ยามสำแดงออกมาต้องให้เจ้าของหาเวลากระตุ้นที่เหมาะสม ไม่ว่ากระตุ้นเร็วไปหรือช้าไปก็อาจจะเสียเปล่าได้
ตอนที่ 1798 ร่างแยกของราชาหมาป่า
หานลี่มองไปยังพฤกษาหยาดน้ำตาโลหิตในมือของชายชรา หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
หลังจากที่มีประสบการณ์จากงานประมูลครั้งยิ่งใหญ่ของชนต่างเผ่า ยามนี้สิ่งที่ทำให้เขาสนใจได้ในเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจก็มีอยู่ไม่มากนัก ดังนั้นจึงคิดไม่ถึงว่างานประมูลนี้จะหยิบสินค้าที่ทำให้เขาใจเต้นออกมาได้
หากมีหุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์อยู่ด้วย จากที่ไม่อาจต้านทานการถูกล้อมโจมตีที่ถึงชีวิตได้ ก็มีความหวังว่าจะแก้ไขได้แล้ว
ทว่าวัตถุดิบชนิดนี้มีแค่ในเผ่าวิญญาณ หรือว่ามีคนต่างเผ่าเข้าร่วมงานหมื่นสมบัติครั้งนี้จริงๆ
คนต่างเผ่าเหล่านั้นก็คือเผ่าวิญญาณ!
หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว ยามนี้เทียนเหยียนจื่อที่อยู่บนแท่นสูงพลันโคจรพลังปราณในร่าง กระตุ้นพลังปราณส่วนหนึ่งมาอยู่ที่พฤกษาสีดำแดง
ก็เห็นพฤกษาโลหิตที่เดิมเล็กๆ บางๆ เปล่งแสงสีโลหิตเจิดจ้าออกมา ขยายใหญ่ขึ้น ชั่วครู่ก็กลายเป็นกระบองไม้ที่มีความหนาเท่าแขน ความยางสองสามจั้ง
ผิวของกระบองไม้มีลวดลายสีดำแดงขนาดใหญ่เท่าเหรียญทองแดงปรากฏขึ้น ในเวลาเดียวกันก็บิดไปมาอยู่ในมือของชายชรา ราวกับอสรพิษที่มีชีวิต และส่งเสียงภูตผีคร่ำครวญออกมาเป็นระลอกๆ ทำให้ผู้คนที่ได้ยิน รู้สึกเย็นยะเยือก และรู้สึกไม่มีสมาธิ
มองเห็นฉากนี้กลุ่มคนที่เดิมมีใจสงสัย ย่อมหายสงสัยเป็นปลิดทิ้ง
เมื่อชายชราพ่นราคาเปิดประมูลสูงลิบลิ่วอย่างยี่สิบล้านออกมา ก็กระตุ้นให้ราคาเพิ่มขึ้นไม่หยุดทันที
“ยี่สิบสองล้าน”
“ยี่สิบห้าล้าน”
“สามสิบล้าน”
ราคาที่สูงลิบเช่นนี้ทำให้คนกว่าครึ่งในตำหนักที่เอ่ยปากอย่างฮึกเหิมล้มเลิกความคิดนี้ไปอย่างไร้เงา
แม้ว่าพฤกษาหยาดน้ำตาโลหิตจะดีแค่ไหน แต่ตระกูลของผู้ที่อยู่ในระดับเทพแปลงและหลอมสุญตานั้นมีจำกัด หากต้องควักเงินหมดตระกูลเพื่อซื่อวัตถุดิบชิ้นหนึ่งล่ะก็ เกรงว่าคงจะเป็นคนขาดสติปัญญาไปเสียหมด
ราคาสูงลิบเช่นนี้ แน่นอนว่าควรเลือกสมบัติป้องกันที่พึงพอใจหรือยาลูกกลอนในการพัฒนาพลังยุทธ์ทะลวงจุดคอขวดจะมีประโยชน์มากกว่า
แต่สิ่งมีชีวิตระดับสูงที่รู้ว่าเคราะห์มารใกล้จะปะทุแล้ว ย่อมมีความคิดไม่เหมือนกัน
เผ่าปีศาจที่มีรูปร่างภายนอกจำนวนไม่น้อยและผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ที่ใช้วิธีการต่างๆ ซ่อนใบหน้าที่แท้จริงของตนเอง ต่างล้วนจะไม่มีทางเลิกแย่งชิงง่ายๆ
ทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นไปไม่หยุด กระทั่งราคาสี่สิบล้านถึงจะเริ่มช้าลง แต่เช่นนั้นก็ยังค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็นห้าสิบล้าน
ราคาเช่นนี้แม้ว่าจะเป็นตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์ เกรงว่าก็คงรู้สึกปวดหัวขึ้นมา
ส่วนผู้ที่เสนอราคานี้ไหนเลยจะไม่ใช่ตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์ คาดไม่ถึงว่าจะยังมีเผ่าปีศาจหมาป่าสีดำที่ปกปิดใบหน้าของตัวเองอยู่ด้วย
เช่นนั้นสองเผ่าที่อยู่ใกล้เคียง จึงใช้สายตาไม่อยากจะเชื่อมองมาอย่างอดไม่ได้
จิตสัมผัสของชั้นสามก็กวาดไปที่นั่นไม่หยุดเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าสิ่งมีชีวิตระดับยอดสุดของทั้งสองเผ่าเหล่านี้ล้วนรู้สึกฉงนสงสัยเช่นกัน
แต่เมื่ออยู่ในการถูกจับจ้องด้วยจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เผ่าปีศาจหมาป่าสีดำตัวนั้นกลับยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ดูเหมือนว่าจะไม่กลัวว่าจะล่วงเกินผู้ที่มีพลังยุทธ์เหนือกว่าตนเลยสักนิด
“เอ๋! ข้าก็ว่าผู้ใด ที่แท้ก็หนึ่งในร่างแยกทั้งหกของพี่ราชาหมาป่า ตอนแรกข้ายังสัมผัสไม่ได้ว่าเป็นร่างแยกหมาป่าสีดำของสหายเทียนขุย” เสียงร้องอุทานว่า “เอ๋” ดังออกมาจากห้องหนึ่งของชั้นสาม จากนั้นเสียงของหญิงสาวหัวเราะคิกคักก็ดังก้องในตำหนัก
ครานี้ทั้งห้องโถงไม่ว่าชั้นหนึ่งหรือว่าชั้นสองชั้นสามล้วนเกิดความวุ่นวายขึ้น คนจำนวนไม่น้อยได้ยินชื่อเสียงของราชาหมาป่าเทียนขุยก็หน้าเปลี่ยนสี
แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ก็ยังรู้สึกประหลาดใจ
แววตาของหานลี่เองก็เปล่งประกาย
“สหายเสี่ยว เจ้ามองไม่ผิดสินะ ราชาหมาป่าไม่ได้กักตนบำเพ็ญเพียรอยู่หรือ เหตุใดถึงมีเวลาส่งร่างแยกหมาป่าดำมาที่นี่ จากที่ข้ารู้ร่างแยกทั้งห้าของสหายเทียนขุยไม่เหมือนกับร่างแยกทั่วๆ ไป ทุกตัวล้วนฝึกฝนเคล็ดวิชาเสริมที่มีประสิทธิภาพน่าเหลือเชื่อ จะส่งมาอยู่ห่างกายง่ายๆ ได้อย่างไร” เสียงอันดังของบุรุษดังออกมาจากอีกห้องหนึ่ง
หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ฟังออกว่าคนพูดคือจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวน
“ตัวข้าไม่มา แต่ส่งร่างแยกมา ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รายงานกับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์และสหายเสี่ยวก่อน หากสหายทั้งสองก็อยากได้พฤกษาโลหิต ก็เสนอราคามาเลย ข้าจะไม่ขัดขวางอันใด” ร่างแยกหมาป่าสีดำของราชาหมาป่าเทียนขุยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ไร้ซึ่งความรู้สึก ทำให้ผู้ที่ได้ยินยากที่จะลืมเลือน
“หึๆ นั่นมันก็ใช่! เรื่องสหายเทียนขุย ข้าจะมีคุณสมบัติไปยุ่งได้อย่างไร คำพูดเมื่อครู่ถึงว่าเทียนหยวนบุ่มบ่ามแล้ว ส่วนพฤกษาหยาดน้ำตาโลหิต ในเมื่อราชาหมาป่าอยากได้ ข้าก็จะไม่แย่งชิง” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนกลับเอ่ยอย่างราบเรียบ จากนั้นก็ไม่ถ่ายทอดเสียงอีก
ส่วนราชาหงส์ดำที่จำร่างแยกของราชาหมาป่าเทียนขุยได้ ก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา ไม่ได้เอ่ยอันใดเช่นกัน ดูเหมือนว่าจะหวาดกลัวราชาหมาป่าเทียนขุยอยู่เล็กน้อย
ส่วนสองเผ่าที่อยู่ด้านล่างแท่น ก็ยิ่งมีสีหน้าเคารพนบน้อม ยามนั้นทั้งห้องโถงพลันตกอยู่ในความเงียบสงัด
“หากไม่มีผู้ใดเสนอราคา พฤกษาโลหิตท่อนนี้ควรจะประกาศเจ้าของแล้วหรือไม่” สายตาของราชาหมาป่าเทียนขุยมองไปยังแท่นสูงอย่างเย็นชา แล้วเอ่ยอย่างไร้ความรู้สึก
แม้ว่าเสียงจะไม่ดังนัก แต่ทุกคนในนั้นย่อมได้ยินอย่างชัดเจน
ชายชราชุดขาวได้ยินคำนี้ก็ใจหายวาบ ความคิดเดิมที่จะยืดเวลาออกไปพลันหายวับไป ทันใดนั้นก็ฝืนยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นทันที
“พฤกษาโลหิตท่อนนี้ขายออกในราคาห้าสิบล้าน หากไม่มีผู้ใดเสนอราคาหลังจากประกาศสามครั้ง ก็จะตกเป็นของท่านอาวุโสเทียนขุย”
“ครั้งที่หนึ่ง”
……
“หกสิบล้าน!”
เทียนเหยียนจื่อเพิ่งตะโกนออกไป ก็มีเสียงแก่ชราดังขึ้นจากชั้นสาม
เสียงนี้ย่อมทำให้ทั้งตำหนักเกิดความวุ่นวายขึ้น
“หกสิบสองล้าน” ราชาหมาป่าเทียนขุยเอ่ยอย่างไร้ความรู้สึก
“หกสิบห้าล้าน” เสียงแก่ชราเสนอราคาต่ออย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ครานี้ร่างแยกหมาป่าสีดำของราชาหมาป่าเทียนขุยไม่ได้เสนอราคาในทันที กลับแววตาเปล่งประกายเย็นชา แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา
“ต้งเทียน เจ้าจะแย่งพฤกษาโลหิตกับข้าหรือ? ดูแล้วกรงเล็บหมาป่าสวรรค์ที่ถูกข้าข่วนไป คงไม่มีอุปสรรคแล้ว”
“หึ แค่กรงเล็บหมาป่าสวรรค์จะทำอันใดข้าน้อยได้ กลับเป็นรสชาติของกรวยต้งเทียนของข้าน้อยที่ไม่ค่อยน่าภิรมย์สินะ” เสียงแก่ชราแค่นเสียงหึ แล้วตอบกลับอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
เจ้าของเสียงนี้คาดไม่ถึงว่าจะเป็นราชาหนูต้งเทียนที่ลึกลับที่สุดในเจ็ดราชาปีศาจ! ฟังดูแล้วเหมือนกับไม่ลงรอยกับเทียนขุย และเคยประมือกันอย่างไรอย่างนั้น
พอได้ยินความลับนี้อย่างไม่มีสาเหตุ ก็ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดรู้สึกประหลาดใจ และซุบซิบกันเป็นระลอกๆ ดูเหมือนจะรู้สึกว่าไม่ได้มางานประมูลครั้งนี้อย่างเปล่าประโยชน์
ร่างแยกหมาป่าสีดำของราชาหมาป่าเทียนขุยแววตาเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ แล้วกลับเอ่ยปากตอบเช่นนี้
“หกสิบห้าล้าน นี่คือราคาที่เหมาะสมของพฤกษาโลหิต ข้าน้อยจะยอมให้สหายต้งเทียน ไม่ทราบว่าสหายเสียศิลาวิญญาณไปมากเพียงนี้ จะแย่งสิ่งอื่นกับผู้อื่นอีกหรือไม่”
เอ่ยจบร่างแยกของหมาป่าสีดำก็หลับตาทั้งสองข้าง คาดไม่ถึงว่าจะไม่เรียกราคาอีก
ส่วนราชาหนูต้งเทียนได้ยินคำพูดนี้พลันรู้สึกอยู่นอกเหนือความคาดหมาย แต่หลังจากแค่นเสียงหึ ก็ไม่ได้เอ่ยปากอันใด
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่เหลือ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นพฤกษาโลหิตแล้วเชื่อมโยงกับบุญคุณของราชาปีศาจทั้งสองหรือว่ารอคอยสินค้าชิ้นสุดท้ายอื่นๆ จึงไม่มีผู้ใดเรียกราคาออกมา
ครั้งนี้เทียนเหยียนจื่อผู้นั้นก็ไม่ได้ลังเลอันใดอีก ร้องตะโกนเรียกราคาอย่างต่อเนื่องสองครั้ง แล้วตัดสินว่าพฤกษาโลหิตท่อนนี้เป็นของผู้ใด
แต่ในยามนี้หานลี่ที่นั่งนิ่งอยู่บนชั้นสาม ก็ชี้นิ้วไปที่จานอาคมบนโต๊ะตรงหน้าเบาๆ
ชั่วขณะนั้นราคาบนม่านลำแสงเหนือแท่นสูงก็เปลี่ยนจากหกสิบล้านเป็นเจ็ดสิบล้าน!”
“หกสิบ…เจ็ดสิบล้านครั้ง…ที่หนึ่ง!” ราคาเปลี่ยนอย่างฉับพลัน ทำให้เทียนเหยียนจื่อที่นึกว่าตัดสินแล้วว่าพฤกษาโลหิตเป็นของผู้ใดก็ทำอันใดไม่ถูก รีบเปลี่ยนคำพูดทันที
ทั้งสองเผ่าที่อยู่ในตำหนักเห็นฉากนี้ คนจำนวนไม่น้อยล้วนตกตะลึง
ไม่ทราบว่าผู้ใดที่ไม่รู้จักวางตัว คาดไม่ถึงว่าจะเรียกราคาที่สูงลิบเช่นนี้แย่งชิงพฤกษาหยาดน้ำตาโลหิตกับราชาหนูต้งเทียน
แม้ว่าจนถึงยามนี้คนผู้นี้จะยังไม่เอ่ยปาก ใครต่างก็ไม่รู้ว่าผู้ใดซื้อสิ่งนี้ไป แต่แค่คิดก็รู้แล้วว่ากฎในการรักษาความลับของงานประมูลที่เปิดเผยนี้ ย่อมไม่อาจเข้มงวดมากได้
ขอแค่มีคนอยากซักถาม ก็ค่อยหาฐานะของผู้ที่ประมูลได้หลังจากจบเรื่อง
แต่สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของทุกคนย่อมปรากฏขึ้น!
ราชาหนูต้งเทียนผู้นั้นไม่เรียกราคาต่อ คาดไม่ถึงว่าจะปล่อยให้พฤกษาหยาดน้ำตาโลหิตเป็นของหานลี่
บางทีศิลาวิญญาณเจ็ดสิบล้าน ก็เป็นมูลค่าที่แท้จริงของพฤกษาหยาดน้ำตาโลหิตกระมัง
หลังจากประกาศราคาสามครั้ง ไม่มีผู้ใดแย่งชิงของสิ่งนี้ ก็ทำให้พฤกษาหยาดน้ำตาโลหิตตกอยู่ในมือของหานลี่
หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกตกตะลึงอันใด
ฟังจากคำพูดของร่างแยกราชาหมาป่าเทียนขุยเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าสามจักรพรรดิและราชาปีศาจแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ ที่มาเข้าร่วมงานประมูลในครั้งนี้ก็ได้รับข่าวสารนี้และมาเพื่อสินค้าชิ้นสุดท้ายในงานประมูลครั้งนี้ ดังนั้นแม้ว่าพฤกษาโลหิตท่อนนี้จะล้ำค่า แต่แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย
สำหรับพวกเขาแล้วหากไม่อาจประมูลพฤกษาโลหิตด้วยราคาต่ำได้ ก็เหลือศิลาวิญญาณไปประมูลสินค้าชิ้นสุดท้ายชิ้นอื่นๆ ถึงจะเป็นการกระทำที่ชาญฉลาด
ยามที่เขากำลังขบคิดนั้น พฤกษาหยาดน้ำตาโลหิตท่อนนี้ก็ถูกผู้คุ้มกันกลุ่มเล็กๆ ร่วมมือกันคุ้มกันมาส่งที่ห้อง
หานลี่จ่ายศิลาวิญญาณ แล้วไล่ผู้คุ้มกันเหล่านั้นไป
เขาพิจารณาพฤกษาโลหิตอย่างละเอียดรอบหนึ่ง แล้วเก็บเข้าไปอย่างระมัดระวัง แล้วลูบไปที่กำไลเก็บของที่ว่างเปล่า มุมปากอดที่จะเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมาไม่ได้
แม้ว่าจะประมูลพฤกษาโลหิตได้ แต่ก็เหลือศิลาวิญญาณไม่ถึงครึ่ง แม้ว่าสินค้าชิ้นอื่นๆ จะดีขนาดไหน เดาว่าก็ไม่มีกำลังจะแย่งชิงกับผู้อื่นได้
ทว่าหานลี่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจ
วัตถุดิบต่างๆ และสมบัติในร่างของเขานั้นมีมากมายจนนับไม่ถ้วน แต่อัตราการพบสิ่งที่เหมาะสมเช่นพฤกษาหยาดน้ำตาโลหิตนั้นไม่สูงนักจริงๆ ต่อให้จากนี้มีสิ่งอื่นที่เหมาะกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ เดาว่าก็คงถูกผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ จ้องตาเป็นมัน
สามจักรพรรดิและราชาปีศาจมีศิลาวิญญาณมากมาย แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อาจเทียบเทียมได้
และยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ยังให้ความสำคัญกับวัตถุดิบของอสูรปีศาจ และรอคอยงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า
ดังนั้นงานประมูลต่อจากนี้ หานลี่จึงทำแค่เพียงพิงกายมาด้านหลัง หลับตานั่งพิงหลังอยู่กับเก้าอี้ ฟังชายชราชุดขาวแนะนำสินค้าประมูลอย่างเงียบๆ ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนมีสีหน้าราบเรียบ
ตอนที่ 1799 จานอาคมหมื่นพฤกษาและสำเภา...
ในเมื่อเป็นงานประมูลของทั้งสองเผ่ายามนี้ สมบัติที่อยู่รั้งท้ายรายการหลังจากนี้จึงเป็นของหายาก ทุกชิ้นล้วนเป็นวัตถุดิบที่ผู้บำเพ็ญเพียรทั่วๆ ไปใฝ่ฝันถึง
ทว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่สิ่งที่หานลี่ต้องการ
หลังจากประมูลสินค้าที่อยู่รั้งท้ายรายการเสร็จ เทียนเหยียนจื่อก็เรียกสาวใช้อีกกลุ่มขึ้นมา เริ่มประมูลวัตถุดิบสมุนไพรรวมทั้งยาลูกกลอนชนิดต่างๆ ที่หายากในงานประมูลธรรมดาๆ
ของเหล่านี้ย่อมเข้าตาหานลี่ได้ยาก
จนถึงยามที่สมุนไพรที่ปลุกได้แค่ในเผ่าวิญญาณปรากฏตัว หานลี่ก็ใจเต้นทันที
แต่ว่ากันว่าสมุนไพรเหล่านี้ต้องใช้พลังปราณแท้ที่บริสุทธิ์ของเผ่าวิญญาณบ่มเพาะถึงจะเติบโตเต็มวัยได้ จึงล้มเลิกความคิดนี้
สมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ย่อมมีประสิทธิภาพที่น่าตกตะลึง ใกล้เคียงกับยาลูกกลอนศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน แต่แปดเก้าส่วนล้วนไม่ใช่สิ่งที่ของเหลวสีเขียวในขวดลึกลับจะกระตุ้นการเจริญเติบโตได้
สำหรับเขาแล้วยาลูกกลอนพวกนี้ย่อมไม่อาจกระตุ้นการเจริญเติบโตได้ ต่อให้ล้ำค่าแค่ไหนก็ไม่ค่อยมีประโยชน์นัก
หลังจากที่การประมูลสมุนไพรเหล่านี้จบลง ก็มีเคล็ดวิชาคาถา อาวุธสมบัติอาคมจำนวนมากถูกส่งออกมาอย่างต่อเนื่อง
ของเหล่านี้เหมาะกับสิ่งมีชีวิตระดับเทพแปลงและระดับหลอมสุญตา ดังนั้นเมื่อเอาออกมาก็ทำให้ทั้งงานประมูลเกิดความครึกครื้นไม่ธรรมดา
แทบจะทุกชิ้นล้วนถูกสิ่งมีชีวิตทั้งสองเผ่าแย่งชิงกัน
ระหว่างนั้นก็มีสมบัติที่อยู่รั้งท้ายรายการอีกสองสามชิ้นเข้ามาแทรกในงานประมูล
หนึ่งในนั้นมี ‘ยาลูกกลอนอาทิตย์’ ที่สามารถพัฒนาพลังปราณของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อยู่ด้วยสิบกว่าขวด รวมทั้งคัมภีร์เคล็ดวิชาของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์นิรนามที่เพลี่ยงพล้ำไปเมื่อสองสามหมื่นปีก่อน ยังมีสิ่งที่เรียกว่าสมบัติอาคมระดับสมบัติวิญญาณอีกสองชิ้น
ของเหล่านี้ย่อมทำให้ทั้งงานประมูลตกอยู่ในช่วงที่คึกคักที่สุด
แต่จนถึงยามนี้สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ที่อยู่บนชั้นสามเหล่านั้นก็ยังคงไม่มีผู้ใดลงมือแย่งชิงอันใด บางครั้งก็เมื่อมีคนหนึ่งลงมือ คนอื่นๆ ก็ไม่ค่อยเข้าไปแย่งชิง ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่ล้วนเก็บสะสมเงินเอาไว้เพื่อรออันใดบางอย่าง
เมื่อหุ่นเชิดสงครามขนาดยักษ์ความสูงสิบจั้งสิบกว่าตัวถูกคนลึกลับนิรนามคนหนึ่งประมูลไปรวดเดียวด้วยราคาสิบล้านศิลาวิญญาณ ในที่สุดทั้งงานประมูลก็มาถึงช่วงสุดท้าย
ยามนี้เทียนเหยียนจื่อกลับคารวะทุกคนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“สินค้าต่อจากนี้เป็นสองชิ้นสุดท้ายของงานประมูลแล้ว และเป็นสมบัติสองชิ้นที่ล้ำค่าที่สุด ตาเฒ่ามีพลังจำกัด จึงไม่อาจควบคุมงานประมูลสมบัติชิ้นนี้ได้ ดังนั้นสินค้าสองชิ้นสุดท้ายจะให้ท่านอาวุโสราชามังกรวารีหลีหั่วและเจ้าของเดิมของพวกมันแขกลึกลับจากชนนอกเผ่ามาอธิบายและทำการประมูลมันด้วยตัวเอง”
เอ่ยจบชายชราชุดขาวก็คารวะรอบด้าน แล้วเดินลงมาอย่างไม่สนใจปฏิกิริยาของทุกคน
แม้ว่าผู้ที่อยู่ในตำหนักจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ได้ยินว่าในงานประมูลครั้งนี้จะมีชนต่างเผ่าปรากฏตัว ทว่ายามนี้ได้ยินดังนั้นแล้วก็อดที่จะเกิดเสียงอื้ออึงไม่ได้
ถึงอย่างไรเสียความสัมพันธ์ของทั้งสองเผ่ากับเผ่าข้างเคียงก็ไม่นับว่าสามัคคีได้ แม้กระทั่งสองสามร้อยปี ยังเพิ่งจะทำสงครามสุดท้ายกับเผ่าสามง่ามราตรีและเผ่าอื่นๆ อยู่เลย
ทว่าเมื่อราชามังกรวารีหลีหั่วที่สวมชุดคลุมยาวสีแดงพาหญิงสาวสวมชุดคลุมสีเหลืองเดินขึ้นมาบนแท่น ทุกคนก็หยุดซุบซิบนินทา
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น สายตาของทุกคนตกอยู่บนเงาร่างอรชรอ้อนแอ้นที่ยืนเคียงไหล่อยู่กับราชามังกรวารีหลีหั่วผู้นั้น
เห็นเพียงหญิงสาวสวมชุดสีเหลือง มีใบหน้ากลมมน ผิวเนียนละเอียด ดูเหมือนมีอายุแค่สิบเจ็ดสิบแปดปี ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มหวานหยดย้อย ทำให้ผู้คนที่พบเห็นอดที่จะรู้สึกดีไม่ได้
สิ่งที่เรียกว่า ‘ชนต่างเผ่า’ คาดไม่ถึงว่าจะมีรูปร่างเช่นนี้ คนจำนวนไม่น้อยเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
มีเพียงผู้ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาลับ ถึงจะกวาดจิตสัมผัสผ่านร่างของหญิงสาวผู้นั้น แล้วสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แตกต่างจากเผ่ามนุษย์ของอีกฝ่ายพบจางๆ
หานลี่กลับไม่ได้แผ่จิตสัมผัสออกไป แค่ลืมตาที่เดิมหลับตาทำสมาธิอยู่ รูม่านตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ พบจุดที่ผิดปกติบนเรือนร่างของหญิงสาวสวมชุดสีเหลือง หลังจากที่ใบหน้าฉายแววประหลาดใจก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติทันที
ยามนี้หญิงสาวชุดเหลืองที่ยืนอยู่ข้างกายราชามังกรวารีหลีหั่วพลันเอ่ยปาก
“ข้าคงไม่ต้องแนะนำตัวเองแล้ว ส่วนสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวเผ่าอาวุธวิญญาณที่อยู่ข้างกาย น่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยเคยได้ยินชื่อเสียงของนาง สมบัติสองชิ้นสุดท้ายในงานประมูลครั้งนี้เป็นสิ่งที่สหายเชียนชิวพกมาด้วยจากเผ่าอาวุธวิญญาณ”
เสียงของราชามังกรวารีหลีหั่วแหบพร่าเล็กน้อย แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยอำนาจ
หญิงสาวสวมชุดสีเหลืองพลางคารวะแล้วเอ่ยด้วยเสียงรื่นหู
“ข้าเชียนชิว ยามนี้รับตำแหน่งสตรีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าอาวุธวิญญาณ คารวะสหายทุกท่าน”
แม้ว่านางจะมีใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่ท่าทางกลับไม่เหมือนกับอยู่ในเขตของชนต่างเผ่าเลยสักนิด
“สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิว! เผ่าอาวุธวิญญาณ! นั่นไม่ใช่เผ่าอาวุธวิญญาณหนึ่งในสี่เผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หรือ เป็นสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกับระดับผสานอินทรีย์งั้นหรือ!”
“มีชนต่างเผ่าปรากฏตัวในงานประมูลจริงด้วย คาดไม่ถึงว่าข่าวลือจะเป็นความจริง!”
……
ชั่วพริบตาที่ราชามังกรวารีหลีหั่วและหญิงสาวสวมชุดสีเหลืองเอ่ยจบ ทั้งตำหนักก็เกิดความวุ่นวายขึ้น
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวของเผ่าอาวุธวิญญาณก็มีสีหน้าครุ่นคิด ไม่ได้เผยสีหน้าแปลกประหลาดใจอันใดออกมา เป็นราชามังกรวารีหลีหั่วที่ขมวดคิ้วร้องตะโกนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เงียบหน่อย สหายเชียนชิวมาปรากฏตัวที่นี่ เป็นเพราะได้รับอนุญาตจากสามจักรพรรดิและเจ็ดราชาปีศาจอย่างพวกเรา ส่วนเหตุผลจะอธิบายกับทุกท่านเมื่องานประมูลจบลง และสมบัติล้ำค่าที่สหายเชียนชิวผู้นี้นำออกมาประมูลในงานก็เป็นเครื่องหมายแสดงว่ามีเจตนาดีและจริงใจต่อพวกเราทั้งสอง ศิลาวิญญาณที่ประมูลไปจะถูกส่งมอบให้กับทั้งสองเผ่าของพวกเรา”
เมื่อได้ฟังคำพูดของราชามังกรวารีหลีหั่ว ทั้งสองเผ่าที่อยู่ใต้แท่นก็เงียบลง คนจำนวนไม่น้อยใช้สายตาขบคิดความหมายจากคำพูดของราชามังกรวารีผู้นี้!
ยามนี้หญิงสาวสวมชุดสีเหลืองกลับหัวเราะน้อยๆ ออกมา ฝ่ามือหยกพลิกฝ่ามือจานทรงกลมสีทองสลับเงินและคัมภีร์สีขาวปรากฏขึ้นในมือ
จากนั้นหญิงสาวพลันเอ่ยขึ้น
“สมบัติชิ้นแรกเรียกว่าจานหมื่นพฤกษาเป็นสมบัติสะท้านฟ้าที่มีชื่อเสียงในรายการสมบัติวิญญาณหุ้นตุ้น เดิมเป็นหนึ่งในสมบัติประจำเผ่าของเผ่าอาวุธวิญญาณของพวกเรา ครั้งนี้เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจของเผ่าอาวุธวิญญาณจึงได้นำออกมาประมูล และจานนี้ก็เลื่องชื่อว่าสามารถสร้างภาพลวงตาทุกสรรพสิ่ง หากมีจานอยู่ในมือก็สามารถสำแดงเคล็ดวิชาลวงตาที่ไม่เหมือนกันถึงแปดสิบเอ็ดชนิดได้ และหากมีพลังปราณเพียงพอ ก็สามารถแสดงเคล็ดวิชาลวงตาทั้งแปดสิบเอ็ดชนิดซ้อนพร้อมกันได้ แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ติดอยู่ในนี้ก็ยังหนีออกไปได้ยาก แต่แค่จานนี้เป็นการโจมตีที่โง่เขลา กว่าครึ่งล้วนทำให้พลังปราณในร่างของสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ธรรมดาๆ หมดเกลี้ยง อีกเดี๋ยวสหายที่ประมูลสมบัติชิ้นนี้ไป ต้องระวังหน่อย”
“ส่วนสมบัติชิ้นที่สองเป็นแผนผังโครงสร้างสำเภารบค้ำฟ้าโบราณที่เผ่าอาวุธวิญญาณของพวกเราซื้อมาจากเผ่าอื่นด้วยราคาที่สูงลิบ สำเภานี้บรรทุกคนได้มากกว่าพันคน และวางเขตอาคมที่ร้ายกาจเอาไว้ ไม่ว่าการโจมตีหรือการป้องกันตัวก็ไร้ที่ติ ระดับความเร็วหาที่เปรียบ เป็นสมบัติระดับสุดยอดที่ใช้รักษาชีวิตในยามพิเศษ” ยามที่สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวผู้นี้เอ่ยประโยคสุดท้ายก็ฉีกยิ้มเบิกบาน คาดไม่ถึงว่าจะเจตนาชี้ช่องอันใดอยู่รางๆ
จากนั้นนิ้วของหญิงสาวที่กุมจานทรงกลมอยู่ก็เปล่งแสงสว่างวาบ บรรจุพลังปราณส่วนหนึ่งเข้าไป แล้วโบกสะบัดแขนเล็กน้อย
ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีชมพูก็หมุนวนออกมาจากจานทรงกลมสีทองเงิน พลางกระโจนไปหาทั้งสองเผ่าที่อยู่ด้านล่างแท่น
ทั้งสองเผ่าพลันตกตะลึง คนจำนวนไม่น้อยมีลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นที่ผิวกาย เครื่องป้องกันปรากฏขึ้นเป็นชั้นๆ
แต่ครู่ต่อมาพวกเขาก็รู้สึกว่ากลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก จากนั้นก็พบว่าตำหนักที่เดิมเปล่งแสงเรืองรองก็ถูกหมอกลำแสงสีชมพูม้วนวนเอาไว้ คาดไม่ถึงว่ารอบด้านจะทยอยกันมีบุปผาหลากสีสันปรากฏขึ้น
ทุกดอกล้วนมีขนาดเท่ากำปั้น แต่กลิ่นหอมหาที่เปรียบแผ่กระจายไปทั่วทั้งตำหนัก
แต่ผู้ที่มีพลังปราณยอดเยี่ยมก็พบว่าทุกอย่างเป็นแค่ภาพลวงตาทันที ปากก็ร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
“เพราะข้าไม่ได้สำแดงจานหมื่นพฤกษาออกมา ดังนั้นยามนี้จึงกระตุ้นอานุภาพของเคล็ดวิชาลวงตาได้แค่หนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นเคล็ดวิชาลวงตาเมื่อครู่ก็เป็นแค่หนึ่งในแปดสิบเอ็ดชนิดที่ไม่สะดุดตาที่สุด” หญิงสาวสวมชุดสีเหลืองเอ่ยสิ่งที่ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์บนชั้นสามใจเต้นออกมา
“ส่วนแผนภาพโครงสร้างสำเภาสงครามค้ำฟ้า ภาพวาดสำเภายักษ์ที่อยู่ด้านใน น่าจะเคยเป็นสำเภาสงครามระดับสุดยอดของเผ่าเถี่ยเลยที่เคยครอบครองยุทธภพเมื่อหลายร้อยพันปีก่อน แม้ว่าการหลอมสำเภายักษ์ระดับนี้จะต้องเสียเงินมูลค่ามหาศาล แต่หากหลอมสำเร็จ นอกจากข้อดีที่กล่าวไปก่อนหน้า สำเภาลำนี้ก็เพิ่มพลังการรบของคนพันกว่าคนเป็นสองสามเท่าได้ พาลูกศิษย์ในสำนักเข้าสู้หรือล่าถอยในภัยพิบัติบางอย่างได้อย่างอิสระ น่าเสียดายสิ่งนี้ต้องเสียทรัพยากรล้ำค่าเยอะมาก ผลิตจำนวนมากไม่ได้ มิเช่นนั้นหากมีแผนภาพนี้ก็เพิ่มพลังของเผ่าก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้แล้ว” ครั้งนี้สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวของเผ่าอาวุธวิญญาณหัวเราะคิกคักพลางเอ่ยคำพูดอย่างตรงไปตรงมาออกมา
“สหายเชียนชิวแนะนำประวัติความเป็นมาของทั้งสองสิ่งนี้เสร็จแล้ว อานุภาพของจานหมื่นพฤกษาก็สำแดงออกมาให้เห็นแล้ว ส่วนแผนภาพสำเภาสงครามค้ำฟ้าข้าได้หาคนมายืนยันแล้วว่าเป็นของจริง ข้าน้อยรู้ว่าสหายจำนวนมากที่อยู่ที่นี่กว่าครึ่งล้วนมาเพื่อแผนภาพสำเภาสงครามค้ำฟ้า ทว่าข้ายังต้องแนะนำสักหน่อย สำเภาสงครามนี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่ แต่ทรัพยากรที่ต้องเสียในยามสร้างก็มากมายเกินจินตนาการจริงๆ สหายที่กระเป๋าไม่หนัก อย่าสนใจแผนภาพนี้จะดีที่สุด เพื่อจะได้ไม่ทำให้มันเป็นเพียงแค่กระดาษ แต่กลับไม่อาจสร้างสำเภารบได้ เอาละ จากนี้เริ่มประมูลจานหมื่นพฤกษา ราคาเปิดประมูลแปดสิบล้าน!” ราชามังกรวารีหลีหั่วเอ่ยอย่างราบเรียบอยู่ด้านข้าง แล้วประกาศราตาต่ำสุดของจานหมื่นพฤกษาออกมา เริ่มทำการประมูลสมบัติชิ้นนี้!
จัดอยู่ในอันดับสมบัติวิญญาณหุ้นตุ้นได้ ทั้งแดนวิญญาณก็มีอยู่แค่เล็กน้อย ไม่รู้ว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรที่ต้องฝึกฝนอย่างหนักเท่าไหร่ ถึงจะพัฒนาระดับขึ้นไปสู่ระดับเทพแปลงและหลอมสุญตา แต่ก็ยังไม่เคยพบกับสมบัติสะท้านฟ้าของจริง ตกลงมันมีหน้าตาอย่างไรกันแน่
แต่ราคาเปิดประมูลแปดสิบล้านก็ทำให้คนส่วนใหญ่ที่ชั้นหนึ่งและสองยกเลิกความคิดที่จะเสนอราคา ในใจรู้ว่าสมบัติระดับนี้ย่อมตกเป็นของตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์ที่ชั้นสาม ดังนั้นจึงไม่เสียแรงอันใดอีก
ส่วนภายในห้องต่างๆ ของชั้นสามก็เงียบสงัดไป ไม่มีผู้ใดเสนอราคาออกมา
ตอนที่ 1800 คำเชิญของว่านกู่
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ลำแสงหลีกหนีจำนวนนับไม่ถ้วนและรถอสูรสำเภาเหาะต่างๆ พลันพวยพุ่งขึ้นไปในทะเลหมอก แล้วพุ่งไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน
สายรุ้งสีเขียวหนึ่งในนั้นดูไม่สะดุดตาเลยสักนิด หลังจากกะพริบวาบๆ กลับหายวับไปจากยอดเขาเซียนเหินอย่างไรร่องรอย
ท่ามกลางลำแสงสีเขียวหานลี่ยืนอยู่ในลำแสงหลีกหนีด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ด้านหลังของเขาไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
การประมูลสมบัติสองชิ้นสุดท้ายช่างแปลกประหลาดยิ่ง!
หลังจากผ่านการแย่งชิงโดยผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ยี่สิบสามสิบคน จานหมื่นพฤกษาก็ตกเป็นของราชาหงส์ดำเสียวก่วน
ส่วนแผนภาพสำเภาสงครามค้ำฟ้าของเผ่าเถี่ยเลยกลับตกเป็นของตระกูลหล่ง ที่เลื่องชื่อว่าเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้
เมื่อนึกถึงตระกูลหล่ง หานลี่ก็อดที่จะหรี่ตาทั้งสองข้างลงไม่ได้ ชั่วขณะนั้นในหัวพลันมีภาพผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนใบหน้าสีทองอ่อนคนหนึ่งปรากฏขึ้น
บรรพชนตระกูลหล่งที่ขึ้นไปทำการแลกเปลี่ยนแผนภาพสำเภาสงครามด้านบนเป็นคนสุดท้าย คาดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายคนหนึ่ง ไม่เพียงจะมีพลังปราณลึกล้ำยากจะคาดเดา ยังมีไอเย็นเยียบที่ไม่ธรรมดาพันรัดรอบร่างกายอยู่
มองจากไกลๆ ปราดหนึ่งก็ทำให้คนรู้สึกตกตะลึงหวาดผวาอย่างหาสาเหตุไม่ได้
บรรพชนตระกูลหล่งผู้นี้ดูเหมือนว่าจะมีพลังยุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าสามจักรพรรดิและเจ็ดราชาปีศาจ มิน่าล่ะถึงได้ทำให้ตระกูลหล่งครองตำแหน่งตระกูลอันดับหนึ่งในตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ได้
ยามนี้พลังของตระกูลหล่งคาดไม่ถึงว่าจะกดสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดของเผ่ามนุษย์และปีศาจอย่างจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนได้ เห็นได้ชัดว่าแม้ว่าพลังของตระกูลหล่งจะไม่ถึงกับปกคลุมขุมอำนาจเหล่านี้ได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะไม่ต่างกันมาก
เมื่อคิดว่าตนไปล่วงเกินขุมอำนาจนี้ หานลี่ก็อดที่จะรู้สึกปวดหัวไม่ได้
ทว่าโชคดีที่ก่อนหน้านี้คบค้าสมาคมกับตระกูลกู่และตระกูลเยี่ยจึงรู้ว่าตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ตระกูลอื่นๆ ไม่ค่อยถูกกับตระกูลหล่ง ยามนี้เขามีความสัมพันธ์กับสองตระกูลนี้ ตนก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อยู่แล้ว จึงไม่ต้องหวาดกลัวอีกฝ่าย
หรือว่าบรรพชนตระกูลหล่งผู้นี้กล้าพาอาวุโสแขกผู้มีเกียรติตระกูลหล่งมาล้อมโจมตีเขาคนเดียวหรือ?
หานลี่ขบคิดในใจ แล้วก็ลดลงความกังวลใจลงไปมาก
และในยามนั้นด้านหลังของเขาก็มีเสียงร้องทักที่คุ้นหูดังแว่วมา
“สหายหาน ช้าก่อน”
หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี ลำแสงหลีกหนีสีเขียวก็หม่นแสงลง คาดไม่ถึงว่าจะหยุดลงจริงๆ และหันหน้ามาประสานมือคารวะ
“ข้าก็ว่าผู้ใด! ที่แท้ก็พี่ว่านกู่ ไม่ทราบว่าพี่ได้ประโยชน์อันใดจากงานประมูลเมื่อครู่หรือไม่?”
ห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง เมฆสีเทากลุ่มหนึ่งก็บินออกมา นักพรตคนหนึ่งยืนอยู่บนก้อนเมฆ นั่นก็คืออรหันต์ว่านกู่ของสำนักกระดูกขาว
“ในงานประมูลเช่นนี้จะมีของดีจริงๆ อันใด แม้แต่สมบัติสองชิ้นสุดท้ายก็ยังไม่เข้าตา!” นักพรตควบคุมเมฆสีเทามาอยู่ตรงหน้าของหานลี่ได้ยินก็อดที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาไม่ได้
“หึๆ ใต้เท้าพูดถูกใจข้า ไม่ว่าจานหมื่นพฤกษาหรือว่าแผนภาพสำเภาสงครามค้ำฟ้าก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษอย่างพวกเราจะประมูลได้ โดยเฉพาะอย่างหลัง ยิ่งเป็นของร้อนใหญ่” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา
“ฮ่าๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่หานเป็นคนชาญ ไม่เหมือนกับผู้ที่กักตนฝึกตนเป็นเวลานานจนสมองเลอะเลือน คาดไม่ถึงว่าจะไปแย่งชิงของร้อนนั่นตาปริบๆ” นักพรตได้ยินพลันหัวเราะร่าออกมา
“ทว่าอรหันต์เรียกข้าไว้ มีเรื่องอันใดหรือ” หานลี่กะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบางๆ
“เรื่องนี้ สหายหานรู้หรือยังว่างานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬจะจัดขึ้นในอีกสามวันให้หลัง หลังจากที่อาตมาได้รับข่าวมาก็ได้ขอแผ่นป้ายนำทางมาให้สหายแผ่นหนึ่ง ถึงยามนั้นสหายถือสิ่งนี้เอาไว้ก็เข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนนี้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องหาทางอื่นอีก” อรหันต์ว่านกู่หุบยิ้มบนใบหน้า แล้วควักสิ่งที่เหมือนกันออกมาขณะเอ่ย
หานลี่รับไว้ด้วยสีหน้าราบเรียบ แล้วก้มหน้าลงกวาดตามองแวบหนึ่ง
เห็นเพียงแผ่นป้ายสามเหลี่ยมสีดำสนิทแผ่นหนึ่ง ด้านบนมีลวดลายง่ายๆ แม้แต่สัญลักษณ์สักแห่งก็ยังไม่มี ไม่สะดุดตาเลยสักนิด หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายบอกก่อนว่าคือแผ่นป้าย เขาก็แทบจะคิดว่าเป็นแค่แผ่นเหล็กสีดำเท่านั้น
“นี่คือแผ่นป้ายนำทาง!?” หานลี่แววตาฉายแววฉงนสนเท่ห์
“สหายไม่ต้องสงสัยสิ่งนี้ แผ่นป้ายนำทางในงานแลกเปลี่ยนสีดำครั้งที่แล้วก็เป็นแค่ไม้กระบองธรรมดาๆ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าผู้จัดงานทำได้อย่างไร แต่ของเหล่านี้เป็นของแทนตัวในการเข้าร่วมงานแดนทมิฬจริงๆ สหายหานอย่าทำหายล่ะ” อรหันต์ว่านกู่กำชับ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ดูแล้วสหายที่อยู่เบื้องหลังงานแลกเปลี่ยนครั้งนี้เป็นผู้ที่น่าสนใจจริงๆ ผู้แซ่หานต้องขอบคุณอรหันต์ที่นำแผ่นป้ายมาให้” หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยขอบคุณนักพรตชรา
“หึๆ นี่แค่เรื่องเล็กเท่านั้น จะพอให้พูดถึงได้อย่างไร! ความจริงแล้วนักพรตไม่มีฝีมืออันใดหรอก แต่รู้ข่าวสารมากมายนัก ไม่ทราบว่าสหายหานเคยได้ยินหรือไม่ ภายในร้อยปีนี้เผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจของพวกเราจะเกิดภัยพิบัติ เจ้ากับข้าไม่อาจปลีกตัวได้” อรหันต์ว่านกู่เอ่ยไปพลางก็เปลี่ยนเป็นมีสีหน้าเคร่งขรึม
“ภัยพิบัติ! อรหันต์หมายถึงเคราะห์มารหรือ!” หานลี่หน้าเปลี่ยนสี พลางตอบอย่างแช่มช้า
“สหายรู้เรื่องนี้แล้วดังคาด ไม่ทราบว่าสหายหานรู้ข่าวนี้มาเท่าใด?” อรหันต์ว่านกู่ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจมากนัก
หลังจากผ่านไปการพูดคุยกับผู้บำเพ็ญเพียรในระดับเดียวกันก่อนจะถึงงานหมื่นสมบัติ ยามนี้สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ที่ไม่รู้เรื่องเคราะห์มาร เกรงว่าคงจะมีอยู่แค่ไม่กี่คน
มิเช่นนั้นงานประมูลครั้งนี้คงไม่มีผู้คนมากมายไม่สนใจว่าตระกูลจะรับไหวหรือไม่ พยายามแย่งชิงแผนภาพสำเภาสงครามค้ำฟ้า ล้วนทำเพื่อเป้าหมายเดียวกัน ก็คืออยากเตรียมการป้องกันก่อนที่เคราะห์มารจะมาถึง
“แม้จะไม่มาก แต่ก็รู้ว่าเคราะห์มารครั้งนี้รุนแรงมาก ไม่ได้ผ่านไปได้ง่ายๆ แน่” หานลี่มุมปากกระตุก แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“ดูแล้วสหายคงรู้ความลับมาบ้าง ก็ดี อาตมาจะไม่อ้อมค้อมอีก หลังจากงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬ สหายหานสนใจจะไปงานรวมตัวผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษในระดับเดียวกันกับอาตมาเพื่อปรึกษากันว่าผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษอย่างพวกเราจะข้ามเคราะห์มารครั้งนี้ไปได้อย่างไรหรือไม่” อรหันต์ว่านกู่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แล้วเอ่ยเป้าหมายที่แท้จริงออกมาเสียเลย
“ผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษ? แค่เผ่ามนุษย์ของพวกเราหรือ?” หานลี่ได้ยินก็ไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนสี แต่หลังจากขบคิดเล็กน้อย ก็เอ่ยถามขึ้น
“ผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษระดับผสานอินทรีย์ในเผ่ามนุษย์ของพวกเรามีอยู่แค่ไม่กี่คน จะไปปรึกษาอันใดกันได้ ไม่ปิดสหาย สหายร่วมวิถีที่จะไปพบครั้งนี้กลับมีฝั่งเผ่าปีศาจมากกว่า” อรหันต์ว่านกู่พลันตกตะลึง แต่ก็เอ่ยอธิบายออกมา
“อรหันต์ไม่ต้องอธิบายอันใด ข้าไม่ได้มีความเห็นอันใดกับเผ่าปีศาจ แต่อยากเข้าใจสถานการณ์ของการรวมตัวครั้งนี้เท่านั้น ในเมื่อเผ่าปีศาจจะเข้าร่วม ดูแล้วคงต้องไปสักครั้งแล้ว รอจนงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬเสร็จสิ้น ข้าจะตามสหายไปเข้าร่วม” และไม่รู้ว่าหานลี่คิดอย่างไร คาดไม่ถึงว่าจะตอบรับอย่างไม่คิดอันใดมาก
“สหายช่างตัดสินใจได้ชาญฉลาดนัก!” นักพรตเชื้อเชิญได้อย่างราบรื่น ก็อดที่จะเอ่ยด้วยความดีใจไม่ได้
จากนั้นทั้งสองย่อมไม่อาจพูดคุยกันต่อได้อีก หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อย อรหันต์ว่านกู่ก็ขอตัวลา
เห็นเมฆสีเทาใต้ฝ่าเท้าของเขาหมุนวน กลายเป็นลำแสงสีเทาพุ่งออกไป
ยามนั้นนักพรตชราก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่มองลำแสงหลีกหนีของนักพรตชราสลายหายไป แววตาก็เปล่งประกายไม่หยุด
“ท่านอาจารย์ พวกเราควรกลับกันได้แล้วหรือไม่ขอรับ” ชี่หลิงจื่อเห็นหานลี่นิ่งงันอยู่นาน ก็อดไม่ไหวเอ่ยเตือนขึ้น
“ชี่หลิงจื่อ เย่ว์เทียน พวกเจ้าอย่าเพิ่งกลับไปที่พัก พวกเจ้าช่วยกันตามหาคนคนหนึ่งก่อน อีกฝ่ายเป็นสตรีเผ่าปีศาจคนหนึ่ง” หานลี่เอ่ยโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา
“ขอรับ! ท่านอาจารย์!” ชี่หลิงจื่อและไห่ต้าเซ่าประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ตอบรับพร้อมกันอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“นี่คือของแทนตน วิธีการติดต่อ พวกเจ้าตั้งใจฟังให้ละเอียด…” หานลี่พลิกฝ่ามือโยนแผ่นป้ายหยกครึ่งท่อนออกไป ริมฝีปากขยับเล็กน้อยถ่ายทอดเสียงไป
ศิษย์ทั้งสองย่อมตั้งใจฟังอย่างละเอียด แล้วก็ตอบรับไม่หยุด
“เยี่ยม เท่านี้แหละ หลังจากที่พวกเจ้าหาคนพบแล้ว ก็ให้กลับมารายงานข้า” หานลี่เอ่ยประโยคสุดท้ายเสร็จ ก็สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวลอยอยู่ใกล้ๆ กับทั้งสามคนแล้วแบ่งออกเป็นส่วนเล็กๆ ห่อหุ้มไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อเอาไว้ พลางร่อนลงมาที่พื้นอย่างแช่มช้า
หานลี่เองก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่ง พุ่งไปยังที่พัก
หานลี่ที่กลับมาถึงวังต้อนรับเซียนก็ไม่ได้เข้าไปฝึกฝนต่อในห้องลับทันที แต่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งหลักในตำหนักใหญ่พลางหยิบพฤกษาหยาดน้ำตาโลหิตที่เพิ่งประมูลมาได้ออกมาควงเล่นในมือ ใบหน้าเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
หุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์มีชื่อเสียงไม่น้อยในเผ่ามนุษย์ และด้วยเหตุนี้วิธีการหลอมหุ่นเชิดชนิดนี้ก็ไม่ใช่ความลับอันใด จึงมีขายอยู่ทั่วไปในย่านร้านค้า
ปีนั้นยามที่เขารวบรวมตำราต่างๆ ก็ได้ตำราที่มีวิธีการหลอมสมบัติชิ้นนี้มาเช่นกัน ยามนี้จึงได้นำออกมาใช้แล้ว!
ปัญหาเดียวกันก็คือหุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์ไม่เพียงจะต้องใช้โลหิตบริสุทธิ์ในยามที่หลอมจำนวนมาก แม้แต่ยามที่หลอมสำเร็จแล้วก็ต้องใช้โลหิตบริสุทธิ์หลอมอีกระยะหนึ่ง มิเช่นนั้นก็จะสูญเสียประสิทธิภาพในการเปลี่ยนเคราะห์
แน่นอนว่าปัญหานี้และการสูญเสียโลหิตบริสุทธิ์ย่อมเทียบกับประสิทธิภาพของหุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์ไม่ได้ แน่นอนว่าจึงไม่มีค่าอันใด
หานลี่เริ่มขบคิดวิธีหลอมหุ่นเชิดในใจ และวัตถุดิบที่ต้องใช้
ผลคือหลังจากขบคิดอย่างรวดเร็ว ใบหน้าก็เผยสีหน้ายินดีออกมา
คาดไม่ถึงว่าจะมีวัตถุดิบทั้งหมดของหุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์แล้ว
นี่เพราะก่อนหน้านี้เขาได้รวบรวมวัตถุดิบมาจำนวนมากถึงได้รวบรวมครบได้พอดี
หานลี่ตัดสินใจว่าช่วงนี้จะหาเวลาว่างหลอมหุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์ ในมือพลันเปล่งแสงสว่างวาบ พฤกษาโลหิตพลันสลายหายไป
เวลาต่อมาเขาก็นั่งหลับตาทำสมาธิ เริ่มขบคิดขั้นตอนการหลอมหุ่นเชิดเปลี่ยนเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดยามหลอม
ผลคือการรอครั้งนี้กินเวลาไปหนึ่งวันหนึ่งคืน
เช้าตรู่วันที่สองในที่สุดไห่ต้าเซ่าก็กลับมาจากด้านนอก แต่เมื่อเห็นหานลี่กลับร้องตะโกนด้วยท่าทีร้อนรน
“ท่านอาจารย์ แย่แล้ว ศิษย์น้องชี่หลิงจื่อเกิดเรื่องแล้ว!”
ตอนที่ 1801 ไหมแนบจิต
“ไม่ต้องร้อนรน! เกิดเรื่องอันใดขึ้น อธิบายให้อาจารย์ฟังซิ” หานลี่ลืมตาขึ้น แววตาเปล่งประกายตกตะลึงขณะเอ่ย
แม้ว่างานหมื่นสมบัติจะมีมนุษย์และปีศาจปะปนกัน แต่หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นต่อหน้าทุกคน ก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อยมาก
“ท่านอาจารย์ ข้าและศิษย์น้องหาท่านอาวุโสเผ่าปีศาจที่ท่านอาจารย์ตามหาพบแล้ว แต่ระหว่างทางกลับยามที่เดินผ่านมุมที่ค่อนข้างเปลี่ยว ก็เจอฮูหยินคนหนึ่ง ฮูหยินผู้นั้นแค่พิจารณาศิษย์น้องชี่หลิงจื่อสองแวบ ก็เรียกพายุประหลาดๆ ออกมา ชิงตัวศิษย์น้องไป” ไห่ต้าเซ่าเห็นท่าทางเยือกเย็นของหานลี่ก็เยือกเย็นลง แล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม
“ฮูหยินผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร มีลักษณะพิเศษหรือไม่?” ครานี้หานลี่ประหลาดใจแล้วจริงๆ พลางเอ่ยถามด้วยแววตาเย็นชา
“ฮูหยินผู้นั้นสูงทั้งผอม เป็นหญิงชราผมยาว ใช่แล้ว หน้าผากของหน้ามีไฝสีเขียว เรือนร่างแผ่กลิ่นอายมืดมนออกมา ท่าทางน่ากลัวมาก ใช่แล้ว ก่อนจากไปฮูหยินผู้นี้ยังตบข้าที่หนึ่ง ทำให้ข้าหมดสติ ต่อมาถูกผู้บำเพ็ญเพียรอีกกลุ่มที่ผ่านทางมาปลุก ถึงได้รีบมาขอความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์” ไห่ต้าเซ่าเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“ตบเจ้าทีหนึ่ง? เข้ามาให้อาจารย์ดูซิ” หานลี่ได้ยินกลับใจเต้น กวักมือเรียกไห่ต้าเซ่าขณะเอ่ย
“ขอรับ!” ไห่ต้าเซ่าได้ยินพลันตกตะลึง แต่ก็ก้าวเข้ามาโดยไม่ได้เอ่ยอันใด
“เป็นเช่นนี้นี่เอง! ช่างเป็นอุบายที่ชั่วร้ายนัก!” หานลี่แผ่จิตสัมผัสไปในร่างของไห่ต้าเซ่า ใบหน้าเผยสีหน้าโกรธเกรี้ยวออกมา
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น คว้าข้อมือของไห่ต้าเซ่าเอาไว้ จากนั้นหว่างนิ้วก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ทะลักเข้าไปในร่างของไห่ต้าเซ่า
หลังจากผ่านไปชั่วครู่เส้นไหมสีดำเส้นหนึ่งที่ถูกลำแสงสีเขียวห่อหุ้มเอาไว้ก็ถูกบีบออกมาจากร่างของไห่ต้าเซ่า
เมื่อเส้นไหมสีดำเช่นนี้ออกจากร่างของไห่ต้าเซ่า ก็พยายามดิ้นรนอยู่ในลำแสงสีเขียวสุดชีวิต คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแมลงประหลาดนิรนามชนิดหนึ่ง
ไห่ต้าเซ่าเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ย่อมหน้าเขียวคล้ำ อดที่จะตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวไม่ได้
“นี่คืออันใด ฮูหยินผู้นั้นลงมือกับข้างั้นหรือ?”
“หึ นอกจากนางจะมีผู้ใดได้ แมลงนี้เรียกว่าไหมแนบจิต คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแมลงปีศาจที่หายาก ยามที่เพิ่งฟักไข่จะมีขนาดบางเท่าตะเกียบ แต่หลังจากที่ถูกผู้บำเพ็ญเพียรสายควบคุมแมลงสำแดงออกมา ร่างกายกลับจะค่อยๆ บางขึ้น สุดท้ายเมื่ออยู่ในระดับที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่าถึงจะเป็นความสามารถที่แท้จริง หากใช้ต่อกรกับศัตรู ก็เป็นสิ่งที่ไร้สีไร้รูปร่าง ป้องกันได้ไม่มีหมดสิ้น และหากถูกแมลงตัวนี้ทะลวงเข้ามาในร่างก็ต้องตายในยามเที่ยง ผู้ที่ถูกเจาะทะลวงจิตจะจบชีวิตในทันที และกลับหาสาเหตุได้ยาก แม้ว่าไหมแนบจิตตัวนี้จะยังหลอมไม่เสร็จสิ้น แต่ก็เสียเวลาหลอมไปอย่างน้อยสองสามร้อยปี นำมาใช้กับผู้ฝึกตนระดับกลางอย่างเจ้ามันน่าเสียดายจริงๆ!” หานลี่แค่นเสียงหึ แล้วอธิบายให้ไห่ต้าเซ่าฟัง
“ฮูหยินผู้นี้มีเจตนาใดกันแน่ ในเมื่ออยากฆ่าปิดปาก เหตุใดถึงไม่สังหารข้าเลย จะทำเรื่องหลอกลวงเช่นนี้เพื่ออันใด” ไห่ต้าเซ่ามองแมลงไหมดำในลำแสงสีเขียว พลางกลืนน้ำลายด้วยหน้าที่เปลี่ยนสี แต่ก็อดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น
“ก่อนที่นางจะลงมือกับเจ้า เจ้าได้เอ่ยอันใดหรือไม่?” หลังจากที่หานลี่เงียบขรึมไปเล็กน้อย ถึงได้เอ่ยถามอย่างไม่มีหัวไม่มีหางออกมา
“เอ่ยอัน…อ๋อ ยามนั้นข้าเหมือนจะตะโกนว่าพวกเราพักอยู่ที่วังต้อนรับเซียน! หรือว่าเป็นเพราะประโยคนี้ เลยทำให้นางไม่กล้าลงมือจริงๆ” ไห่ต้าเซ่ากะพริบตาปริบๆ ท่าทางประหลาดใจเล็กๆ
“น่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง! ทว่านางก็ไม่กล้ายืนยันว่าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือไม่จึงใช้ไหมแนบจิตตัวนี้มาตรวจสอบ หากพ้นยามเที่ยงแมลงปีศาจตัวนี้ยังคงไม่ถูกกำจัด เจ้าย่อมต้องตายทันที หากเจ้ามีความสัมพันธ์กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์จริง แน่นอนว่าย่อมปิดบังหูตาไม่ได้ และหากถูกขับไล่ นางก็จะสัมผัสได้และเตรียมการป้องกันได้เช่นกัน ส่วนเหตุใดไม่ลงมือ แน่นอนว่าย่อมเป็นเพราะหวาดกลัวผู้คุ้มกัน พวกเขาไม่ใช่แค่ของจัดแสดง หากเป็นข้อพิพาทส่วนตัวย่อมไม่ถูกซักถาม แต่หากลงมือกับผู้อื่นโจ่งแจ้ง ผู้ดูแลย่อมไม่มีทางมองอยู่เฉยๆ แน่” หานลี่มองแมลงไหมสีดำในลำแสงสีเขียว แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
ไห่ต้าเซ่าได้ยินถึงได้เข้าใจขึ้นมา
และในยามนี้เส้นไหมสีดำในลำแสงสีเขียวก็สั่นเทาอย่างรุนแรง หลังจากที่ลำแสงสีดำที่ผิวกายไหลวนโคจรไปมา คาดไม่ถึงว่าจะฝืนดีดตัวพุ่งออกมา
หานลี่ขยับมุมปาก ตะปบฝ่ามือไปกลางอากาศ พลังไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มลงมา
หลังจากเสียง “สวบ” ดังขึ้น ไหมสีดำพุ่งออกไปราวกับลูกธนู ชั่วครู่ก็ถูกดูดกลับมา
หานลี่ถูมือทั้งสองข้างด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เปลวเพลิงสีเงินในมือปรากฏขึ้น
ไหมแนบจิตตัวนี้หายวับไปท่ามกลางเปลวเพลิงสีเงิน
แม้ว่าแมลงปีศาจจะทนไฟ แต่จะต้านทานการเผาไหม้ของไฟชนิดนี้ได้อย่างไร
แทบจะในเวลาเดียวกันที่แมลงไหมสีดำสลายหายไป ในสันเขาบนภูเขาเล็กๆ ที่อยู่ด้านนอกภูเขาเก้าเซียน
หญิงชราเรือนผมสีดอกเลา เล็บยาวสีดำสนิทพลันตื่นจากภวังค์สมาธิ และหน้าซีดขาว กระอักโลหิตสดๆ ออกมา ดูเหมือนว่าปราณแท้จะได้รับความเสียหายไม่น้อย
“ฮูหยิน เจ้าไม่เป็นไรสินะ!”
ชายชราคิ้วดำหนาที่นั่งอยู่ด้านข้างรีบร้อนเอ่ยถามอย่างลนลาน
“ลนลานอันใด! แค่ไหมแนบจิตของข้าถูกสังหารเท่านั้น แค่นั่งสมาธิสักสองสามวันก็ไม่เป็นไรแล้ว” หญิงชรากัดฟันเอ่ยอย่างเย็นชา
“ไม่เป็นไรก็ดี!” แม้ว่าชายชราจะรู้ทั้งรู้ ไหมแนบจิตเป็นสิ่งที่ฮูหยินเลี้ยงดูมาพันปี มาถูกสังหารทิ้งเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อถูกฮูหยินชราถลึงตาใส่ กลับไม่กล้าเอ่ยอันใดราวกับหนูเห็นแมว
“ดูแล้วคำพูดของเจ้าเด็กนั้นคงจะเป็นความจริง พวกเขาเกี่ยวข้องกับตัวประหลาดเฒ่าที่วังต้อนรับเซียนจริงๆ” เมื่อเห็นชายชราไม่ปริปาก ฮูหยินกลับเอ่ยพึมพำกับตัวเอง ในเวลาเดียวกันก็มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส
“เช่นนั้นก็ปล่อยเจ้าเด็กนี้ไปเถิด ถึงอย่างไรเสียผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ หากเราไปล่วงเกินจะยุ่งยากใหญ่” ชายชราคิ้วดำเอ่ยพึมพำออกมา
“ปล่อยอันใด! เราสองคนอายุขนาดนี้ เพิ่งจะมีบุตรชาย ‘หมิงเอ๋อร์’ แค่คนเดียว ขอแค่ย้ายเคล็ดวิชาลับที่ถ่ายทอดมาจากคนผู้นั้นมาอยู่ในร่างของหมิงเอ๋อร์ ไม่เพียงจะทำให้เขาอาศัยพลังวิญญาณที่ถ่ายทอดมารักษาโรค ในเวลาเดียวกันยังได้เคล็ดวิชาลับที่ถ่ายทอดกันมา ข้าดูไข่มุกสมบัติที่ถ่ายทอดมาในร่างของเจ้าเด็กนั่นแล้ว ผิวของมันมีผนึกที่ลึกลับมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นเคล็ดวิชาถ่ายทอดที่ไม่ธรรมดา หลังจากที่หมิงเอ๋อร์ได้ไป หนทางในการฝึกบำเพ็ญเพียรก็เหนือกว่าพวกเราแล้ว และหากพลาดโอกาสนี้ ไหนเลยจะหาผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันที่มีสิ่งที่ถ่ายทอดมาได้” ” ฮูหยินชรามีสีหน้าบิดเบี้ยว แล้วเอ่ยอย่างโกรธแค้น
“แต่เบื้องหลังของเขาเป็นตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์ พวกเราผู้ซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาสองคน ไม่ว่าอย่างไรก็ต่อกรไม่ไหว” ชายชราคิ้วดำยังคงมีท่าทีรู้สึกผิด
“หึ เจ้าเด็กนั้นเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณ ประกอบร่างวิญญาณธรรมดาๆ คิดดูแล้วต่อให้มีความสัมพันธ์กับตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์ แต่ก็ไม่มากแน่ พวกเราแค่ไปหาที่พึ่งสักคน ตัวประหลาดเฒ่าก็คงไม่มาทำอันใดพวกเราแค่เพราะศิษย์ระดับสร้างปราณคนหนึ่ง อย่างมากก็แค่มอบของมีค่าที่คุ้มค่าให้อีกฝ่ายก็พอแล้ว” หญิงชราดูเหมือนจะขบคิดตั้งนานแล้ว จึงเอ่ยอย่างเย็นชาออกมา
“ความหมายของฮูหยินขึ้นให้ไปหา…” ชายชราคิ้วดำสัมผัสอันใดได้ ก็เอ่ยถามด้วยความตกตะลึงเล็กๆ
“ใช่แล้ว! อย่าลืมล่ะ ข้าก็แซ่หล่ง บรรพชนแซ่หล่งเป็นบิดาของข้า พวกเราไปที่วังต้องรับเซียนของตระกูลหล่งกันเถิด” ฮูหยินเอ่ย
“แต่ตามกฎของตระกูลหล่ง หญิงที่แต่งออกมาแล้ว ไม่นับว่าเป็นคนตระกูลหล่ง มิเช่นนั้นใต้เท้าท่านพ่อเย่ว์คงไม่สนใจและไม่ไถ่ถามเราเลยในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ฮูหยิน ข้าว่าเรื่องนี้ช่างมันเถิด” ชายชรากลับมีสติปัญญามาก พลางเอ่ยชักจูงด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“ใช่ หญิงจากตระกูลหล่งไม่อาจกระตุ้นโลหิตมังกรเที่ยงแท้ได้ ย่อมไม่ถูกให้ความสำคัญ แต่เจ้าอย่าลืมล่ะ หมิงเอ๋อร์มีโลหิตของตระกูลหล่ง และยิ่งไปกว่านั้นครั้งที่แล้วที่ข้าตรวจสอบโลหิตมังกรเที่ยงแท้ในร่างของเขา แม้ว่าจะเบาบางมาก แต่ขอแค่บอกเรื่องนี้กับพี่ใหญ่ เขาย่อมสนใจแน่” ฮูหยินกัดฟันเอ่ย
“ฮูหยิน เจ้ากับข้าไม่ได้คุยกันแล้วหรือว่าจะไม่บอกเรื่องโลหิตมังกรเที่ยงแท้ในร่างของหมิงเอ๋อร์กับตระกูลหล่งของพวกเจ้า? เจ้าเปลี่ยนใจแล้วหรือ!” ชายชราคิ้วดำได้ยินหญิงชรากล่าวเช่นนี้ ก็อดที่จะมีสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมาไม่ได้
“ข้ารู้ว่าสามีอยากให้หมิงเอ๋อร์สืบทอดเพลิงหอมของตระกูลหลี่ และไม่อยากให้เขากลับตระกูลหล่ง แต่ยามนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้วมิใช่หรือ! หากไม่ใช่วิธีนี้ อายุขัยของหมิงเอ๋อร์ก็อยู่ได้แค่ไม่กี่ร้อยปี เจ้าทนได้จริงๆ หรือ?” ฮูหยินเงียบขรึมไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา
“ข้า…” ชายชราทำปากพะงาบๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา
“เอาละ เรื่องนี้ ไม่อาจเยียวยาได้ เรื่องของเจ้าเด็กนั้น อย่าเพิ่งเอ่ยกับท่านพี่ก็แล้วกัน หากตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์ไม่มาหาเรื่อง ก็หมายความว่าเจ้าเด็กนั้นไม่ได้รับความสำคัญ หลังจากงานหมื่นสมบัติจบลง ก็ไปจากตระกูลหล่งอย่างเงียบๆ เถิด เช่นนั้นไม่แน่ว่าหมิงเอ๋อร์ก็ไม่จำเป็นต้องไปจากพวกเราแล้ว” ฮูหยินชราเห็นชายชรามีท่าทีโศกเศร้า ก็ทนไม่ไหวเอ่ยปลุกปลอบ
“ฮูหยินอย่าหลอกข้า หลังจากที่โลหิตมังกรเที่ยงแท้ของหมิงเอ๋อร์ถูกกระตุ้น จะปิดบังสายตาพี่ใหญ่ของเจ้าได้อย่างไร” ชายชราสั่นศีรษะขณะเอ่ย
เมื่อได้ยินชายชรากล่าวเช่นนี้ ใบหน้าของฮูหยินก็กระตุก แล้วรู้สึกหมดคำพูด
“เอาละ ทุกอย่างทำตามที่ฮูหยินกล่าวก็แล้วกัน เพื่ออนาคตของหมิงเอ๋อร์ กลับไปตระกูลหล่งก็ไป หมิงเอ๋อร์มีโลหิตมังกรเที่ยงแท้ หากอยู่ในตระกูลหล่งจะต้องแข็งแกร่งกว่าเจ้ากับข้าเป็นร้อยเท่าแน่” หลังจากที่ชายชราหน้าเปลี่ยนสีไปชั่วครู่ก็กัดฟันเอ่ยขึ้น
“การกระทำของสามีเป็นสิ่งที่ถูกแล้ว จากที่ข้ารู้มา ยามนี้โลหิตมังกรเที่ยงแท้ที่ถูกกระตุ้นในตระกูลมีไม่มากนัก หลังจากที่หมิงเอ๋อร์ไป จะต้องได้รับการให้ความสำคัญแน่” แน่นอนว่าฮูหยินชราย่อมดีอกดีใจเป็นอย่างมาก
ตอนที่ 1802 ไล่ตามศัตรู
ในเมื่อตัดสินใจแล้วทั้งสองคนก็ไม่มีเจตนาจะรอช้าอีก แยกย้ายกันไปจัดการทันที
ฮูหยินชราสาวเท้าอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็ผ่านทางเดินสายหนึ่งเข้ามาในห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย
ภายในห้องนี้ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีขาวแต่หน้าแกมเหลืองร่างกายผ่ายผอมกำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะหินตัวหนึ่ง กำลังรวบรวมสมาธิอ่านคัมภีร์สีเงินระยิบระยับ
“ท่านแม่ เหตุใดถึงมาที่นี่” เมื่อเห็นฮูหยินชราเดินเข้ามา ชายหนุ่มก็วางคัมภีร์ในมือลงแล้วเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“หมิงเอ๋อร์เก็บสัมภาระ พวกเราจะไปพักที่วังต้อนรับเซียนของตระกูลหล่ง” ฮูหยินเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม ก็เปลี่ยนจากสีหน้ามืดมนเป็นสีหน้ารักใคร่เอ็นดูขณะเอ่ย
“ตระกูลหล่ง! ดูแล้วคนที่พวกท่านจับมา คงจะจัดการยากสินะ” ชายหนุ่มได้ยินพลันขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยอย่างจนปัญญา
“อันใด เจ้าก็รู้เรื่องนี้หรือ” ฮูหยินชรามีท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย
“ท่านแม่ท่านลืมไปแล้วหรือ แม้ว่าจะพลังยุทธ์ไม่สูง แต่ก็กระตุ้นโลหิตมังกรเที่ยงแท้จนได้รับอิทธิฤทธิ์หูทิพย์ แม้ว่าจะไม่ออกจากห้อง แต่กลับได้ยินบทสนทนาของพวกท่านอยู่บ้าง” ชายหนุ่มฉีกยิ้มขณะเอ่ย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ทว่าหมิงเอ๋อร์วางใจ ไม่ว่าอย่างไร ข้าและบิดาของเจ้าก็จะย้ายอาวุธที่สืบทอดมาในร่างของคนผู้นั้นมาอยู่ในร่างของเจ้าให้ได้ เช่นนั้นไม่เพียงจะรักษาโรคเก่าได้ ยังสามารถอาศัยพลังที่ถ่ายทอดมาทะลวงจุดคอขวดได้ มีโอกาสในการผนึกระดับจิตวิญญาณสีทอง ส่วนผู้ที่อยู่เบื้องหลังเจ้าเด็กนั้น ขอแค่เข้าไปในตระกูลหล่ง เขาก็ไม่กล้ามาหาเรื่องแน่” ฮูหยินชราเอ่ยอย่างปลอบโยน
“หลังจากที่ท่านเทียนจิ้งหาวิธีรักษาโรคร้ายด้วยการใช้ของที่ถ่ายทอดมาให้ในปีนั้น ท่านสองคนก็เอาแต่ตามหาผู้บำเพ็ญเพียรที่มีอาวุธที่ถ่ายทอดมาและยังไม่เปิดผนึก ข้ามีลางสังหรณ์เกรงว่าจะก่อปัญหาไม่น้อย ในที่สุดยามนี้ก็หาพบคนหนึ่ง คิดดูแล้วต่อให้ข้าชักจูง ท่านแม่ก็คงไม่ล้มเลิกง่ายๆ สินะ” หลังจากที่ชายหนุ่มเงียบขรึมก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เจ้าพูดจาซี้ซั้วอันใด ข้าและท่านพ่อของเจ้าเห็นว่าไม่อาจผ่านเคราะห์สวรรค์ครั้งหน้าได้ ถึงได้ตัดสินใจให้กำเนิดเจ้ามาอย่างยากลำบาก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้คนผมขาวส่งคนผมดำ[1]ได้ ขอแค่คนผู้นั้นไม่ใช่สามจักรพรรดิเจ็ดราชาปีศาจ มีท่านลุงและท่านปู่อยู่ ก็ต้องปกป้องเจ้าได้อย่างปลอดภัยแน่ และยิ่งไปกว่านั้นยามนี้เจ้ากระตุ้นโลหิตมังกรเที่ยงแท้แล้ว ก็จะกลายเป็นศิษย์ตระกูลหล่งโดยเฉพาะ หากตระกูลหล่งไม่คุ้มครองเจ้า จะได้ชื่อว่าเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ได้อย่างไร” ฮูหยินชรามีสีหน้าเคร่งขรึม ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ
“เอาละ ในเมื่อท่านแม่ตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ออกเดินทางกันดีกว่า ไม่แน่ว่าตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์ผู้นั้นอาจจะใกล้มาถึงแล้วก็ได้” ชายหนุ่มสั่นศีรษะ แต่ฉับพลันนั้นก็เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงเร่งรัด
“เป็นไปไม่ได้กระมัง ข้าตรวจสอบร่างกายของเจ้าเด็กนั้นแล้ว ไม่ได้มีสัญลักษณ์อันใด” ฮูหยินชราได้ยินพลันตกตะลึง ท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ถึงอย่างไรเสียท่านแม่ก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ จากที่ข้ารู้มาผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์มีวิธีลงสัญลักษณ์อาคมอยู่อย่างน้อยสามสี่วิธี สามารถบดบังจิตสัมผัสของผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาได้อย่างง่ายดาย สองสามปีที่ผ่านมาแม้ว่าข้าจะไม่ได้ฝึกฝนพลังปราณ แต่ได้อ่านคัมภีร์เคล็ดวิชาต่างๆ มามากมาย” ชายหนุ่มหัวเราะขมขื่นขณะเอ่ย
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าพูดมีเหตุผล เช่นนั้นพวกเราก็อย่าเก็บของเลย รีบไปกันเถิด บิดาของเจ้าไปหาเจ้าเด็กผู้นั้นแล้ว” ฮูหยินหน้าเปลี่ยนสีเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด
ในเวลาเดียวกันภายในห้องลับอีกห้องหนึ่ง ชายชราคิ้วดำเห็นผู้ที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน ก็มีสีหน้าสลับซับซ้อน
“นักพรตน้อยอย่าโทษว่าเราสองสามีภรรยาโหดร้ายเลย หากอยากรักษาอาการป่วยของหมิงเอ๋อร์ ก็มีเพียงต้องเอาอาวุธที่ถ่ายทอดมาจากร่างของเจ้า และเจ้าที่ไม่มีอาวุธที่ถ่ายทอดมา ก็จะกลายเป็นคนพิการ ตายทั้งเป็น ถึงยามนั้นตาเฒ่าจะส่งเจ้าไปสู่ความสงบโดยไร้ซึ่งความเจ็บปวด” ชายชราเอ่ยพึมพำ ใบหน้ามีสีหน้าโหดเหี้ยม
ส่วนผู้ที่นอนอยู่บนพื้นนั่นก็คือนักพรตน้อยนามว่าชี่หลิงจื่อผู้นั้น
แต่ไม่รู้ว่าถูกฮูหยินชราและพวกทั้งสองทำอันใดไว้ ทำให้เขาสลบไสลไม่ได้สติ
ชายชราคิ้วดำพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง หว่างนิ้วเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ยันต์สีดำสนิทราวกับน้ำหมึกปรากฏออกมา
สะบัดข้อมือ ยันต์วิเศษกลายเป็นลำแสงสีเทาสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วจมหายเข้าไปในร่างของชี่หลิงจื่ออย่างไร้ร่องรอย
จากนั้นชายชราพลันอ้าปากอีกครั้ง พ่นไอสีดำที่ด้านในมีระฆังทองแดงสีเขียวหมุนเคว้งออกมา
ชายชราคิ้วดำยกมือขึ้น แล้วงอนิ้วเล็กน้อย
เสียง “เคร๊ง” ดังออกมาจากไอสีดำ
ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น
ชี่หลิงจื่อที่แต่เดิมนอนนิ่งอยู่บนพื้น พลันร่างกายสั่นเทิ้ม คาดไม่ถึงว่าจะกลิ้งหลุนๆ แล้วลุกขึ้นมาจากพื้น ยืนเผชิญหน้ากับชายชราด้วยดวงตาที่ปิดสนิท
นักพรตน้อยในยามนี้มีสีหน้าไร้ความรู้สึก ราวกับหุ่นเชิดก็ไม่ปาน
ชายชราบริกรรมคาถา อาคมดีดออกมาจากมืออย่างต่อเนื่อง ชั่วขณะนั้นระฆังสีเขียวพลันเปล่งเสียงสั่นยาวแตกต่างกันออกมา
แต่ฟังดูเหมือนเสียงระฆังธรรมดา เมื่อเข้ามาในโสตของชี่หลิงจื่อกลับทำให้เขาลืมตาทั้งสองข้างขึ้น
เห็นเพียงแววตาของเขางงงวย แต่ก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น แค่ใบหน้ายังคงไร้ซึ่งความรู้สึก
ชายชราคิ้วดำเห็นเหตุการณ์เช่นนี้กลับผ่อนคลายลง ยกมือข้างหนึ่งตะปบออกไป แล้วดูดระฆังทองแดงเข้ามาในแขนเสื้อ พลิกตัวเดินจากไปโดยไม่พูดจาอันใด!
ท่ามกลางเสียงระฆังที่ดังแว่วมาจากแขนเสื้อ คาดไม่ถึงว่าชี่หลิงจื่อจะออกเดินอย่างแข็งๆ ตามติดเขาไม่ยอมห่างแม้แต่ก้าวเดียว
หลังจากผ่านไปชั่วครู่สายรุ้งสีดำและเทาก็พวยพุ่งขึ้นจากภูเขาลูกเล็กๆ หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็พุ่งตรงไปยังภูเขาเก้าเซียน
ในลำแสงหลีกหนีสองสายชายหนุ่มร่างกายผ่ายผอมและชี่หลิงจื่ออยู่ในนั้น
หลังจากกะพริบวาบๆ สายรุ้งสองสายก็หายวับไปจากขอบฟ้า
แทบจะในเวลาหนึ่งมื้ออาหาร สายรุ้งสีเขียวเจิดจ้าสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากอีกด้าน หลังจากลำแสงหม่นแสงลง ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าบุรุษทั้งสองคน
คนหนึ่งมีใบหน้างดงาม คนหนึ่งมีหน้าตาธรรมดาๆ ไม่สะดุดตาเลยสักนิด
นั่นคือก็คือไห่ต้าเซ่าและหานลี่
“คาดไม่ถึงว่าจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว!” หานลี่แผ่จิตสัมผัสไปที่เมฆหมอกในภูเขา แล้วเอ่ยพึมพำกับตนเองอย่างประหลาดใจ
“อันใด พวกเขาพาศิษย์น้องไปที่อื่นแล้วหรือ! ท่านอาจารย์มีวิธีตามหาพวกเขาหรือไม่ขอรับ?” ไห่ต้าเซ่าได้ยินคำพูดของหานลี่ก็เอ่ยถามอย่างตึงเครียด
“วางใจ ข้าร่ายอาคมไว้ในร่างของชี่หลิงจื่อ แม้ว่าจะเบาบางมาก แต่ทุกๆ ช่วงเวลาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงครั้งหนึ่ง ยามนั้นข้าจะรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ใด” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“เยี่ยมจริงๆ ขอรับ! ทว่าคนผู้นี้ช่างอาจหาญนัก คาดไม่ถึงว่าจะกล้าทำเรื่องชิงตัวคนอื่นในงานหมื่นสมบัติเช่นนี้ ผู้ดูแลเหล่านั้นไม่สนใจเลยสักนิดเลยหรือ?” ไห่ต้าเซ่าพลันมีสีหน้าผ่อนคลายลง แต่จากนั้นก็เอ่ยด้วยความโกรธขึ้ง
“หึๆ! หากผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ ทำเรื่องเช่นนี้ ย่อมไม่มีผู้ดูแลมาขวางกั้น แต่หากเป็นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขึ้นไป ผู้ดูแลเหล่านั้นก็จะตรวจสอบอย่างละเอียด หากเป็นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาผู้ดูแลเหล่านั้นเห็นเข้า ก็จะทำเป็นมองไม่เห็นแล้วจากไป” หานลี่หัวเราะหึๆ อย่างเย็นชา
“หรือว่าฮูหยินชราผู้นั้นคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์!” ไห่ต้าเซ่าได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสี
“น่าจะไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ มิเช่นนั้นคงไม่หลบหลีกไม่ยอมพบหน้าเช่นนี้” หานลี่สั่นศีรษะ
“นั่นมันก็จริง” ไห่ต้าเซ่าครุ่นคิด แล้วพยักหน้าอย่างอดที่จะเห็นด้วยไม่ได้
ทั้งสองคนรั้งรออยู่กลางอากาศอีกครึ่งชั่วยาม ฉับพลันนั้นหานลี่ก็เลิกคิ้ว
“หาพบแล้ว พวกเขาไปที่ภูเขาเก้าเซียน พวกเราไปกันเถิด!”
สิ้นเสียงหานลี่ไม่รอแม้กระทั่งให้ไห่ต้าเซ่าเผยสีหน้ายินดี ก็ร่างกายหมุนคว้าง พัดหมอกลำแสงสีเขียวออกมาห่อหุ้มร่างทั้งสองเอาไว้
สายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งปรากฏขึ้นอีกครั้งและบินไปทางภูเขาเก้าเซียน
……
สามชั่วยามต่อมา เงาร่างของหานลี่และไห่ต้าเซ่าก็ปรากฏอยู่เหนือวังขนาดใหญ่สีทองมรกต
วังนี้แบ่งออกเป็นสิบชั้น นั่นคือหนึ่งในวังต้อนรับเซียน
หานลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยจ้องเขม็งไปยังชั้นใดชั้นหนึ่งของวังด้วยแววตาเคร่งขรึม
“ท่านอาจารย์ไม่ได้เข้าใจผิดใช่หรือไม่ ชี่หลิงจื่อถูกพามาที่นี่จริงหรือ” ไห่ต้าเซ่าหน้าซีดขาวเอ่ยถามอย่างกินแรง
เห็นได้ชัดว่าเขาเข้าใจแล้วว่าหากชี่หลิงจื่อมาปรากฏตัวที่นี่นั้นหมายความว่าอย่างไร
“ไม่ผิด ระยะใกล้แค่นี้เขตอาคมจิ๊บจ๊อยแค่นี้ย่อมปิดบังความรู้สึกข้าไม่ได้” หานลี่เอ่ยด้วยแววตาเปล่งประกาย
“หรือว่าคนผู้นั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์จริงๆ หากเป็นเช่นนั้นเหตุใดศิษย์น้องไปปรากฏตัวนอกภูเขาเก้าเซียนในยามแรก” ไห่ต้าเซ่าเอ่ยพึมพำ
“ง่ายมาก! หากฮูหยินชราผู้นั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์จริงๆ ถ้ำพำนักของภูเขาเก้าเซียนเป็นแค่ถ้ำพำนักชั่วคราวของนาง เพื่อใช้ทำเรื่องที่ไม่อาจเปิดเผยได้ ไม่ก็คนผู้นั้นไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ แต่ก็มีที่มาเดียวกันกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่อยู่ที่นี่ จึงมาหาที่พึ่งโดยเฉพาะ อยากใช้สิ่งนี้ขู่พวกเรา!” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ
“เช่นนั้นท่านอาจารย์คิดว่าจะทำอย่างไร?” ไห่ต้าเซ่าลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วถึงได้เอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา
“เจ้าลงไปก่อน ไปลองถามมาสิว่าผู้ที่พักอยู่ที่ชั้นเก้าของที่นี่คือผู้ใด” หานลี่ไม่ได้ตอบคำถามตรงๆ กลับออกคำสั่งแทน
“ขอรับท่านอาจารย์!” ไห่ต้าเซ่าได้ยินคำพูดของหานลี่ก็รีบตอบรับอย่างนอบน้อม
“ข้าส่งเจ้าลงไป รอให้เจ้าสอบถามให้ละเอียดแล้วให้มาหาข้าที่ภูเขาลูกนั้นข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นั่น” หานลี่ออกคำสั่งแล้วสะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวพลันแยกออกห่อหุ้มไห่ต้าเซ่าเอาไว้ แล้วส่งลงไปบนพื้นดิน
ส่วนเขาก็เปลี่ยนทิศทางบินไปทางภูเขาลูกเตี้ยๆ ที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบสามสิบลี้
แม้ว่าภูเขาเก้าเซียนจะประกอบไปด้วยยอดเขาทั้งหมดเก้าลูก แต่นอกจากนี้ย่อมมียอดเขานิรนามที่ไม่สะดุดตาอยู่ระหว่างเทือกเขาด้วย
เมื่อสองเท้าของไห่ต้าเซ่าแตะถึงพื้น ก็กวาดตามองวังเก้าเซียนแวบหนึ่ง แต่กลับไม่ได้เดินเข้าไปในทันทีหลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ก็วิ่งไปยังจุดที่คึกคักที่สุด
[1] คนผมขาวส่งคนผมดำ เป็นสำนวนหมายถึงคนเป็นพ่อแม่ต้องมาจัดงานศพลูกที่ตายก่อนตัวเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น