Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1864-1873

 ตอนที่ 1864 สังหารในทันที

 

ไม่ต้องให้เขาบอกทุกผู้คนก็ต่างเห็นมัน


ไม่ไกลออกไปมันกลับมีโอเอซิสปรากฏขึ้นมา


และส่วนกลางของโอเอซิสนั้นมันก็มีโต๊ะหินและกล่องใบหนึ่งวางไว้บนนั้น


“เลือดแท้วิหคชาด! มันต้องเป็นเลือดแท้วิหคชาดแน่!”


ทุกคนแทบจะบ้าคลั่งไป ตอนนี้มีหรือที่ยังคิดจะสนใจใดๆ พวกเขาทั้งหลายนั้นมุ่งหน้าเข้าสู่โอเอซิสอย่างบ้าคลั่ง


“เลือดแท้วิหคชาดเป็นของข้า! ใครก็ไม่มีสิทธิเอาไปทั้งนั้น!”


“ตาย!”


“พวกเจ้าหลบไป หลีกทางให้พ่อเจ้า!”



ภาพที่ยังดูสงบนิ่งเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนได้หายไปจนสิ้น


เหล่านักยุทธทั้งหลายต่างพุ่งตัวออกไปอย่างบ้าคลั่งพร้อมลงมือแย่งชิงกล่องใบนั้น


ไม่นานนักพวกนักยุทธนภาสวรรค์ทั้งหลายก็ได้รู้ว่าการต่อสู้แย่งชิงกล่องของเหล่ายอดยุทธทั้งหลายนี้พวกเขาไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยได้เลย


เพราะเหล่ายอดคนทั้งหลายนี้คือเทพถ่องแท้


แม้ว่าพวกเขาจะกดพลังบ่มเพาะของคนลงมาที่อาณาจักรนภาสวรรค์แต่พลังฝีมือของพวกเขานั้นมันก็เหนือล้ำกว่าที่นภาสวรรค์คนไหนๆ จะเทียบเคียงได้


พวกเขานั้นเข้าใจแนวคิดต่างๆ อย่างเหนือล้ำ อย่างที่เหล่านักยุทธนภาสวรรค์ไม่สามารถที่จะเทียบเคียงได้เลย


รอบๆ โต๊ะหินนั้นมีศพกองกันอยู่จนไม่เห็นพื้น


เย่หยวนและเล้งชิวหลิงนั้นยังไม่คิดขยับ เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้านั้นเล้งชิวหลิงก็ได้แต่ทำหน้าเหยเกก่อนจะบอก “แน่ล่ะนะ โอกาสเช่นนี้มันคงมีแต่เหล่าเทพถ่องแท้เท่านั้นที่จะรับมันไปได้”


เย่หยวนยิ้ม “อาจจะไม่แน่เสมอไป”


เล้งชิวหลิงเบิอกตากว้างขึ้นเมื่อได้ยิน “เจ้าหมายความว่า?”


เย่หยวนยิ้มตอบ “อีกไม่นานเจ้าก็จะรู้เอง แต่ก่อนอื่นเรายังต้องมีอะไรให้จัดการ”


ในหมู่นักยุทธนภาสวรรค์นั้นซัวหานหรี่ตาลงแคบทันที


เขาพบว่าตอนนี้เย่หยวนกลับกำลังเดินมาหาตัวเขา!


‘หรือว่ามันจะพบข้าแล้ว? บ้าน่า! เราเดินทางมาอย่างระมัดระวังตลอดมันไม่มีทางรู้ตัวได้แน่!’ ซัวหานได้แต่คิดในใจ


เพราะตอนนี้จี้ฉุนกำลังเข้าไปต่อสู้กับเทพถ่องแท้คนอื่นๆ เพื่อแย่งชิงเลือดแท้วิหคชาดอย่างที่ไม่มีเวลาใดมาสนใจซัวหานเลย


ตอนนี้เรื่องราวมันไม่เป็นไปตามที่ซัวหานต้องการแล้ว เย่หยวนกำลังค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ


“หึๆ คิดอยากลอบสังหารเจ้าก็ควรปกปิดจิตสังหารของตนเสียหน่อยนะ เมื่อมีจี้ฉุนอยู่ด้วยแล้วเจ้ามันกลับบ้าบิ่นไม่กลัวตาย!”


คำพูดสบายๆ ของเย่หยวนนั้นดังเข้าหูซัวหานทำให้ความหวังใดๆ ที่เขาเคยมีแตกสลายลงไป


ซัวหานหน้าถอดสีลงทันที มีหรือที่เขาจะยังยืนนิ่งรอความตายได้ร่างกายของเขาพุ่งออกไปยังทิศทางของโอเอซิสในทันที


“อาจารย์ช่วยข้าด้วย!” ซัวหานร้องบอก


ตอนนี้เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายกำลังปะทะกันอย่างดุเดือดโดยทางจี้ฉุนเริ่มที่จะได้เปรียบขึ้นเรื่อยๆ และเกือบที่จะแย่งชิงกล่องนั้นมาได้แล้ว


ใครจะไปคิดว่าวินาทีนี้ซัวหานกลับพุ่งตัวออกมาเสียอย่างนั้น


ส่วนที่ด้านหลังมีร่างของเย่หยวนกำลังพุ่งลอยตามออกมา


ดาบฝ่าน้ำค้างแข็งยกขึ้นสูงในมือ ท่าสังหารของเย่หยวนนั้นกำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว


“เย่หยวนเจ้ากล้า?!” จี้ฉุนร้องขึ้นด้วยท่าทางแสนโกรธแค้น


เย่หยวนยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้ากล้าไหมล่ะ?”


เย่หยวนนั้นใช้จังหวะเวลาที่เหมาะเจาะเป็นเวลาที่จี้ฉุนไม่อาจวางมือได้เพราะที่ด้านหน้าเองเขาก็ต้องต่อสู้อยู่อย่างไม่สามารถหยุดพัก


สองตาของจี้ฉุนนั้นแดงก่ำ ระหว่างที่เขากำลังคิดลังเลเขาก็ถูกเทพถ่องแท้อีกคนหนึ่งซัดฝ่ามือใส่เข้า


“ดาบตัดผ่ามิติ!”


ซัวหานนั้นมีวรยุทธเคลื่อนที่ที่รวดเร็วไม่น้อย แต่ความเร็วของเย่หยวนนั้นมันเหมือนกับเขาหายตัวได้!


ไม่ว่าจะเร็วแค่ไหน มีหรือที่เขาจะหลบรอดดาบของเย่หยวนไปได้?


เมื่อดาบถูกปล่อยออกซัวหานก็ไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้อง ร่างกายของเขาแตกสลายหายไปในทันที


ยอดอัจฉริยะของเมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์นทีกลับต้องตายลงเช่นนี้!


ตอนนี้ทางฝั่งจี้ฉุนที่ต่อสู้ในศึกอันดุเดือดอยู่ก็ต้องบาดเจ็บอย่างสาหัสด้วยเพลงดาบของคู่ต่อสู้


แต่เขาไม่ได้คิดสนใจบาดแผลบนร่างเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เขาหันไปร้องตะโกนใส่เย่หยวน “เย่หยวน หากข้าไม่สังหารเจ้าอย่ามาเรียกข้าว่าคนอีก!”


เย่หยวนมองดูจี้ฉุนอย่างเย็นเยือก “ข้าเกรงว่าเจ้าคงไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว! ข้านั้นไม่ได้เป็นผู้หาเรื่องพวกเจ้าศิษย์อาจารย์เลยแท้ๆ แต่พวกเจ้ากลับคิดสังหารข้าครั้งแล้วครั้งเล่า หึ เจ้าคิดว่าข้ามันอ่อนหัดขนาดนั้นเลย?”


เหล่านภาสวรรค์คนอื่นๆ ที่ได้ยินเช่นนั้นต่างหันมามองเย่หยวนอย่างตกตะลึง


เด็กคนนี้เป็นแค่นภาสวรรค์สองดาวแต่กลับกล้าไปท้าทายเทพถ่องแท้เช่นนี้มันเหมือนกับว่าเขาเบื่อชีวิตเสียเหลือเกินแล้ว


แต่ดาบเมื่อสักครู่นี้มันทำให้ไม่มีใครกล้าคิดเช่นนั้น


นภาสวรรค์สองดาวขั้นสุดกลับสามารถสังหารนภาสวรรค์ห้าดาวลงด้วยดาบเดียว!


ที่สำคัญคนที่เย่หยวนสังหารลงยังไม่ใช่ลูกหมูลูกหมาที่ไหน แต่เป็นถึงซัวหานยอดอัจฉริยะแห่งเมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์นที


เด็กหนุ่มคนนี้มีที่มาอย่างไรกันแน่?


“ฮ่าๆ เลือดแท้วิหคชาดเป็นของข้า!” ตอนนั้นเองที่เกิดเสียงหัวเราะขึ้นมา ต้นเสียงมันคือเทพถ่องแท้ที่เพิ่งประดาบกับจี้ฉุนไปและตอนนี้เขาก็เข้าไปคว้าหยิบกล่องบนโต๊ะมาได้แล้ว


เขาพุ่งตัวผ่านเหล่ายอดฝีมือเทพถ่องแท้ทั้งหลายและเข้ามาถึงเลือดแท้วิหคชาดได้ในที่สุด


จี้ฉุนเบิกตากว้างราวกับคนเสียสติก่อนจะพยายามกดดันอาการบาดเจ็บของตนไว้และพุ่งตัวส่งร่างออกไป!


ชัวะ!


เทพถ่องแท้ผู้นั้นที่กำลังหัวเราะร่ากลับได้เห็นว่าหัวใจของตนปลิวลอยหายไป ตอนนี้อกของเขาถูกใครบางคนแทงจากด้านหลังด้วยดาบเดียว


แน่นอนว่าคนผู้นั้นย่อมสามารถที่จะแย่งชิงกล่องในมือของเขาไปได้


และแน่นอนว่าคนที่ฆ่าสังหารเขามันย่อมเป็นจี้ฉุน


ในวินาทีสักครู่นี้เขาได้ใช้วิชาลับปล่อยพลังทั้งหมดของร่างกายออกมาพร้อมฆ่าสังหารเทพถ่องแท้คนนั้นในขณะที่เขาไม่ทันระวัง


หลังจากแย่งสมบัติไปได้แล้วเขาสก็ไม่คิดที่จะหยุดตัวลง ร่างของจี้ฉุนกลายเป็นแค่เงาติดตามุ่งหน้าหนีหายไปในทะเลทรายทันที


“เย่หยวน เมื่อข้าหลอมเลือดแท้วิหคชาดนี้ได้แล้วมันจะเป็นวันที่เจ้าต้องจบชีวิตลง!” เสียงของจี้ฉุนที่หนีไปลอยกลับมาตามอากาศ


การพูดอธิบายออกมามันอาจจะฟังเหมือนช้า แต่แท้จริงแล้วเรื่องเมื่อสักครู่นี้ทั้งหมดมันเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว


เมื่อได้ยินเสียงนั้นเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายก็รู้สึกราวกับว่าได้ตื่นขึ้นจากความฝันและทุกผู้คนต่างก็มุ่งหน้าไล่ตามจี้ฉุนไปทันที


นี่คือเลือดแท้วิหคชาดที่พวกอุตส่าห์ลำบากตามหา มีหรือที่จะปล่อยให้จี้ฉุนนำมันไปใช้ง่ายๆ?


“หากคิดอยากหลอมเลือดแท้วิหคชาดเจ้าก็ต้องข้ามศพข้าไปก่อน!”


“ทิ้งเลือดแท้วิหคชาดลงเดี๋ยวนี้!”



หลังจากกลุ่มเทพถ่องแท้ได้จากไปการเข่นฆ่าสังหารจึงได้จบลงตาม


เหล่านักยุทธอาณาจักรนภาสวรรค์ทั้งหลายนั้นต่างหันมามองดูเย่หยวนด้วยสายตาเวทนา


จี้ฉุนได้เลือดแท้วิหคชาดไป หลังจากเขาหลอมกลั่นมันได้แล้วพลังของเขาคงพุ่งทะยานขึ้นอย่างมาก


เดิมทีเขาที่เป็นถึงเทพถ่องแท้อยู่แล้วมันย่อมยิ่งจะทำให้การสังหารเย่หยวนง่ายดายขึ้นมิใช่หรือ?


เมื่อไม่มีเลือดแท้วิหคชาดแล้วเหล่าผู้คนก็ย่อมไม่คิดที่จะอยู่ภายในนี้อีกต่อไป


หลังได้ยินเสียงถอนหายใจยาวติดๆ กันเหล่านักยุทธอาณาจักรนภาสวรรค์ทั้งหลายก็ได้เดินทางจากไป


เล้งชิวหลิงเองก็ได้แต่เดินมาหาเย่หยวนพร้อมถอนใจยาว “เจ้าเองก็ใจร้อนไป! สังหารซัวหานลงเช่นนั้นมันง่ายดายแต่เจ้ากลับไปทำให้จี้ฉุนโกรธแค้นขึ้นมาเช่นนี้ แถมตอนนี้เขายังได้เลือดแท้วิหคชาดไปแล้วด้วย หลังจากหลอมมันได้แล้วพลังของเขาคงพัฒนาขึ้นไปอีกมากมาย ถึงตอนนั้นเขาจะยิ่งเป็นตัวยุ่งยากเสียกว่าที่ผ่านๆ มา”


ต่อให้จี้ฉุนจะไม่สามารถใช้พลังของเทพถ่องแท้ได้ในที่แห่งนี้แต่พลังของเขาก็ยังเกือบเข้าขั้นเทพถ่องแท้


ที่สำคัญความเข้าใจในแนวคิดของจี้ฉุนนั้นสูงส่งมาก มันเป็นไปไม่ได้เลยที่นภาสวรรค์สักคนหนึ่งจะไปเทียบเคียงเขาได้


การไปท้าทายศัตรูที่แข็งแกร่งปานนั้นมันมิใช่เรื่องที่ฉลาดนัก


แต่ใครจะไปคาดว่าเย่หยวนกลับตอบมาด้วยรอยยิ้ม “จี้ฉุนได้เลือดแท้วิหคชาดไป? หึๆ ดูท่า… เขาคงต้องผิดหวังแล้ว”


เล้งชิวหลิงเลิกคิ้วขึ้นทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “หืม? เจ้าหมายความว่า?”


เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “เลือดแท้วิหคชาดนั้นยังอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้น… สิ่งที่จี้ฉุนนำไปมันย่อมมิใช่เลือดแท้วิหคชาดแน่”


“ยังอยู่? เรื่องนี้… มันจะเป็นไปได้อย่างไร?”


ต่อให้เล้งชิวหลิงจะมีอารมณ์เย็นราวน้ำแข็งแต่คำพูดนี้ของเย่หยวนมันก็ทำเอานางตอบไม่ถูก


เพราะจี้ฉุนได้นำเลือดแท้วิหคชาดไปแล้วจริงๆ ภายใต้สายตาของทุกผู้คน แต่เย่หยวนกลับพูดบอกมาว่าเขานั้นไม่ได้มันไป!

 

 

 


ตอนที่ 1865 หยิบตะวันด้วยมือเปล่า

 

ภายในพื้นที่แสนกว้างใหญ่ไร้สิ้นสุดนี้มีเงาร่างนับสิบกำลังวิ่งไล่กันอย่างไม่หยุดพัก


“จี้ฉุน เจ้าทิ้งเลือดแท้วิหคชาดไว้เสีย!”


“วิชาลับของเจ้าคงใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มทีแล้วใช่ไหม?”


ตอนนี้เทพถ่องแท้นับสิบคนวิ่งไล่ตามกันมาอย่างยาวนานเป็นระยะกว่าหลายหมื่นกิโลเมตรเข้าไปแล้ว


จี้ฉุนนั้นตื่นตระหนกอย่างมากเพราะเขานั้นไม่มีทางที่จะหนีได้อีกต่อไป


ในที่สุดเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายก็ตามจี้ฉุนมาจนทันและพุ่งตัวขึ้นมาปิดทางหนีของเขาไว้สิ้น


“หึ จี้ฉุน เจ้าบาดเจ็บหนักขนาดนี้คงหนีไปไหนไม่รอดแล้ว!”


“รีบๆ ส่งเลือดแท้วิหคชาดมาแล้วเราจะไม่เอาเจ้าให้ถึงตาย!”


แม้ว่าจี้ฉุนนั้นจะมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่แต่เวลานี้มีหรือที่ผู้คนจะคิดสนใจตำแหน่งอย่างเจ้าเมือง?


จี้ฉุนหน้าแดงก่ำขึ้นมาและกล่าว “เลือดแท้วิหคชาดนี้หากพวกเจ้ามีปัญญาก็เข้ามาเอามันไป!”


“หึ! ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา!”


กว่าสิบร่างที่พุ่งเข้ามาพร้อมๆ กันทำให้เกิดการต่อสู้อย่างดุเดือดถึงที่สุด


แม้ว่าจี้ฉุนจะเป็นเทพถ่องแท้เจ็ดดาว แต่มีหรือที่ตอนนี้เขาจะปลดปล่อยพลังนั้นออกมาได้? ร่วมกับบาดแผลต่างๆ บนร่างกายนี้มันยิ่งทำให้เขาไม่อาจเป็นคู่มือของคนทั้งหลายนี้ได้เลย


ฉัวะ!


ดาบหนึ่งแทงทะลุเข้าร่างของเขาไปทำให้สภาพของเขาในตอนนี้เป็นตายเท่ากัน


เทพถ่องแท้ผู้แทงดาบนั้นยิ้มเย้ยขึ้นมา “เจ้ารนหาที่ตายเองอย่าได้มาโทษว่าข้าเลย!”


แต่ตอนนั้นเองที่ริมฝีปากของจี้ฉุนกลับยิ้มขึ้นด้วยรอยยิ้มแปลกๆ ทำให้เทพถ่องแท้คนนั้นรู้สึกได้ว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากล


“ระวัง!”


เหล่าคนทั้งหลายนี้กำลังจะมุ่งหน้าออกมาค้นร่างของจี้ฉุนแต่จู่ๆ ร่างกายของจี้ฉุนกลับแตกระเบิดออกมาพร้อมพลังงานอันมหาศาลกระจายไปทั่วทิศ


เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายนั้นถูกแรงกระแทกนั้นซัดจนปลิวต่างคนต่างได้รับบาดเจ็บกันไปไม่น้อย


เทพถ่องแท้คนที่แทงดาบเข้าร่างของจี้ฉุนนั้นถึงขั้นร่างสลายหายไปเพราะแรงจากระเบิด


“ยันต์ระเบิดสายฟ้าเก้าตะวัน! บ-บ้าเอ้ย! เราถูกหลอก!”


“ตามมาเสียตั้งนานที่แท้มันเป็นแค่ร่างเงา!”



ตอนนี้ใต้พื้นทรายที่ไหนสักแห่งในทะเลทราย จี้ฉุนกำลังมุดตัวซ่อนอยู่ใต้ผืนทรายลึก


เขานั้นได้เปิดพื้นดินและขุดลงไปซ่อนตัวในที่แห่งนี้


แม้ว่าคลื่นพลังของเขาในตอนนี้มันจะอ่อนแอและเฉื่อยกว่าปกติมากแต่เมื่อได้เห็นกล่องหยกในมือแล้วสองตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตื่นเต้นดีใจ


“หึ เพื่อการได้เจ้ามาข้าถึงขั้นต้องสละร่างเงาที่ข้าเฝ้าบ่มเพาะมาหลายหมื่นปี! เลือดแท้วิหคชาดนี้มันต้องช่วยให้ข้าสามารถบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์ได้แน่! เจ้าเด็กเย่หยวน เจ้ากล้าสังหารหานเอ๋อต่อหน้าข้า ข้าจะทำให้เจ้าได้รับรู้ถึงผลของมัน!”


เมื่อคิดถึงเย่หยวนขึ้นมาได้จี้ฉุนก็รู้สึกโกรธแค้นร้อนรุ่มขึ้นมาในดวงใจอีกครั้ง


หากมิใช่เพราะเย่หยวนมาฆ่าสังหารซัวหานในวินาทีสำคัญเช่นนั้นจนทำให้สมาธิของเขาต้องเสีย ตัวเขาเองก็คงไม่ถูกคนอื่นลอบทำร้ายและสามารถจะเอากล่องหยกนี้มาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก


ร่างเงานั้นเขาได้พบกับมันเมื่อหลายหมื่นปีก่อนและมันก็ติดตามเขาไปทุกที่ จนตอนนี้เจ้าร่างเงาเองก็ได้บ่มเพาะขึ้นมาถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้ห้าดาวแล้ว


ร่างเงานี้มันเป็นของสำคัญต่อเขามากๆ อย่างหนึ่ง


แต่ตอนนี้ทุกสิ่งอย่างมันกลับหายลับไปจนสิ้น


แน่นอนว่าความโกรธแค้นที่จี้ฉุนมีต่อเย่หยวนมันยิ่งจะเพิ่มพูน


เขาย่อมไม่ได้นึกถึงเลยว่าเมื่อตอนนั้นตัวเขาเองก็คิดจะฆ่าสังหารเย่หยวนลง


เมื่อรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังที่แสนรุนแรงที่ไหลรั่วออกมาจากกล่องหยกจี้ฉุนก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นดีใจ


แม้หัวใจจะยังม่สงบลงแต่ตอนนี้จี้ฉุนก็ได้เดินปราณเทวะเข้าไปและค่อยๆ เปิดกล่องนั้นออกมา


ฟุบ!


จู่ๆ เมฆหมอกสีดำก็พุ่งพวยออกมาครอบใบหน้าของจี้ฉุนไว้


“ฮ่าๆๆ ในที่สุดเทพสวรรค์ผู้นี้ก็จะได้เห็นแสงตะวันอีกครั้งแล้ว! เด็กน้อย ข้าขอยืมร่างของเจ้าไปใช้ล่ะนะ!”


เสียงอันชั่วร้ายหนึ่งดังขึ้นก่อนที่เมฆหมอกสีดำนี้จะพุ่งเข้าสู่ภายในร่างของจี้ฉุนทันที


“อ่ะ! เจ้าเป็นตัวอะไรกัน ออกไป! ออกไปจากร่างของข้าเดี๋ยวนี้!” จี้ฉุนร้องบอกอย่างโกรธเคือง


“หึๆ ข้าผู้นี้คือเทพสวรรค์โหมวหยู่ การที่จะถูกเทพสวรรค์ผู้นี้สิงร่างมันเป็นเรื่องที่เจ้าควรยินดีเสียด้วยซ้ำ!”


“ออกไป! เทพสวรรค์ผายลมอันใด ด้วยพลังน้อยนิดของเจ้าก็คิดจะยึดร่างข้าได้หรือ? ฝันไปเถอะ!”


“หึๆ เทพสวรรค์ผู้นี้ได้เข้าไปถึงทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแล้ว จะสิงได้หรือไม่มันมิใช่สิ่งที่เจ้าจะเป็นผู้ตัดสินอีกต่อไป!”


“ทำไมกัน?! ในกล่องนี้มันมิใช่เลือดแท้วิหคชาดหรอกหรือ?” จี้ฉุนร้องตะโกน


“เลือดแท้วิหคชาด? ที่แท้เจ้าก็คืออยากหาเลือดแท้วิหคชาด! ฮ่าๆๆ ในที่แห่งนี้เลือดแท้วิหคชาดมันก็คือดวงตะวันอันเจิดจ้านั้น เจ้าคิดว่ามันจะมาอยู่ในกล่องเช่นนี้หรือ? ช่างโง่เง่าเสียจริงๆ! แต่ก็เพราะว่าความโง่เง่าของเจ้านี่แหละที่ทำให้เทพสวรรค์ผู้นี้ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง!” เทพสวรรค์โหมวหยู่หัวเราะออกมาด้วยเสียงที่แปลกประหลาด


“ต-ตะวันอันเจิดจ้า! บ้าน่า!”


คำพูดนี้ของเทพสวรรค์โหมวหยู่ทำให้จี้ฉุนสั่นสะท้านไปทั้งทรวง


หนึ่งคนหนึ่งปีศาจต่างต่อสู้กันอย่างสุดตัวในทะเลจิตของจี้ฉุน



“นั่นหรือคือเลือดแท้วิหคชาด? นี่มัน… จะเป็นไปได้อย่างไร?”


เล้งชิวหลิงได้แต่เงยหน้ามองดูท้องฟ้ากว้างพร้อมด้วยเจ้าดวงตะวันอันเจิดจ้าที่ดั่งตระหง่านอยู่ตรงกลางนั้น


แต่นางนั้นไม่คิดอยากจะเชื่อแม้แต่นิดว่าเจ้าดวงตะวันเจิดจ้านี้มันคือเลือดแท้วิหคชาดที่ทุกคนต่างดิ้นรนหากันแทบเป็นแทบตาย


เย่หยวนยิ้มตอบ “ที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยมีเลือดแท้วิหคชาดเป็นฐาน โอเอซิสนี้มันก็คือส่วนกลางของพื้นที่และแน่นอนว่าจะเป็นสถานที่ที่ผู้คนสามารถเข้าถึงเลือดแท้วิหคชาดได้ด้วย”


เล้งชิวหลิงเปิดปากพูดขึ้นด้วยท่าทางไม่อยากเชื่อ “เช่นนั้นแล้ว… เช่นนั้นแล้วเจ้าสิ่งที่จี้ฉุนแย่งชิงไปเล่า?”


เย่หยวนยิ้ม “เรื่องนั้นข้ามิทราบ แต่… ดูท่ามันคงมิใช่ของที่ดีงามนัก หึๆ”


เล้งชิวหลิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทำได้เพียงยืนนิ่งอย่างที่ไม่รู้ต้องพูดจากล่าวสิ่งใดต่อไป นางรู้สึกราวกับว่าตอนนี้ตัวเองกำลังนอนหลับฝันไป


ภาพศพมากมายที่กองอยู่ตรงหน้าในพื้นที่โอเอซิสนี้มันทำให้เล้งชิวหลิงได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น


คนทั้งหลายนั้นต่างต้องผ่านความยากลำบากมากมายกว่าจะมาถึงที่แห่งนี้ได้ แต่พวกเขาไม่ได้รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่พวกเขาแลกชีวิตกันแย่งชิงไปนั้นมันจะเป็นเพียงแค่เลือดแท้วิหคชาดปลอมๆ


แต่ทว่าเล้งชิวหลิงเองก็รู้สึกปลงขึ้นมาเช่นกัน


เพราะแต่เดิมนี่มันก็คือกฎของโลกของนักยุทธ


คนที่มีดวงชะตาแก่กล้าจะได้รับสมบัติจากมิติวิเศษและเข้าสู่การจุติใหม่ราวกับเป็นคนละคน


แต่นักยุทธส่วนมากนั้นทำได้แค่เข้าไปตายในมิติวิเศษเช่นนี้


การถือกำเนิดของยอดฝีมือนั้นต้องแลกมาด้วยชีวิตนับไม่ถ้วน


คำพูดที่บอกว่าแม่ทัพก่อเกิดขึ้นมาได้จากศพของทหารนับไม่ถ้วนมันไม่ได้เป็นคำพูดที่เกินเลยความจริงไปเลย


“แต่… เราจะเอาเลือดแท้วิหคชาดมาได้อย่างไร?” เล้งชิวหลิงถามขึ้นด้วยความไม่มั่นใจ


เพราะในที่แห่งนี้มันไม่มีใครกล้าจะบินขึ้นเหนือพื้นดิน เพราะค่ายกลกั้นความสูงที่ถูกติดตั้งไว้มันรุนแรงเกินกว่าที่ใครจะทานทนไหว


เรื่องนี้มีคนมากมายที่ได้ลองพิสูจน์ดูแล้ว


เย่หยวนยิ้มออกมาเบาๆ ก่อนจะกระโดดขึ้นไปเหยียบบนโต๊ะหิน


ตูม!


บนท้องฟ้านั้นกระแสลมและเมฆจู่ๆ ก็เกิดเปลี่ยนทิศ แสดงให้เห็นเพลิงอันรุนแรงที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกสิ่งอย่างให้เป็นจุณ


และเย่หยวนก็กำลังยืนอยู่กลางพายุเพลิงนี้!


เห็นเช่นนั้นเล้งชิวหลิงก็หน้าถอดสีไปทันทีก่อนจะร้องขึ้น “เย่หยวน ระวัง!”


แต่เย่หยวนกลับไม่คิดสนใจพุ่งตัวส่งร่างขึ้นไปยังเมฆเพลิงนั้น!


ขณะเดียวกันพลังยอดเต๋าอันแรงกล้าก็ถูกปล่อยออกมาจากร่างของเย่หยวนเพื่อรับเพลิงอันแสนรุนแรงที่ว่านั้น


เล้งชิวหลิงได้แต่เบิกตากว้างเพราะว่าเจ้าเพลิงที่ดูเหมือนจะแผดเผาโลกทั้งใบได้นี้มันกลับกำลังหกเล็กลง!


ราวกับว่ามัน…กำลังกลัวเย่หยวน


จนในที่สุดเพลิงเหล่านั้นมันก็หดกลับเข้าไปในดวงตะวัน


เย่หยวนบินขึ้นไปสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับเดียวกับเจ้าดวงตะวันเจิดจ้านี้


ภายใต้สายตาอันตื่นตะลึงของเล้งชิวหลิงเย่หยวนก็ได้ยื่นมือออกไปหยิบดวงตะวันนั้นออกมา


ตอนนี้เพลิงและความร้อนจากตะวันเจิดจ้านี้มันกลับค่อยๆ เบาบางลง แสงของมันอ่อนลงเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็กลับกลายเป็นสภาพของหยดเลือด


เย่หยวนจับมันไว้มั่นด้วยฝ่ามือก่อนจะค่อยๆ ลอยตัวกลับลงมายังพื้นดิน


เล้งชิวหลิงมองดูเย่หยวนด้วยความตกตะลึง


“เจ้า…เจ้าทำได้อย่างไรกัน?”

 

 

 


ตอนที่ 1866 ชะตาอันยิ่งใหญ่

 

เรื่องราวต่างๆ มันดำเนินไปได้อย่างราบรื่นราวกับว่าทั้งหมดนี้มันถูกเตรียมมาไว้ให้แก่เย่หยวนแล้ว


ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนการจะเดินเหินขึ้นฟ้าไปหยิบเลือดมาเช่นนี้มันก็เป็นเรื่องที่สุดแสนอันตราย


แต่เย่หยวนกลับทำมันได้อย่างง่ายดาย


ท่าทางของเขานั้นมันราวกับว่าออกมาเดินเล่นในสวนหลังบ้าน


“เจ้าหลอมมันซะที่นี่เถอะ ข้าจะเฝ้ายามให้ ที่นี่มันคงไม่มีใครคิดที่จะเข้ามารบกวนเจ้าอีกแล้ว”


เย่หยวนยื่นเลือดแท้วิหคชาดให้แก่เล้งชิวหลิงแต่ฝ่ายเล้งชิวหลิงกลับเอาแต่ยืนนิ่งไม่ยอมรับไป


“นี่มัน… เจ้าคิดมอบมันให้ข้าจริง?” เล้งชิวหลิงถามขึ้นด้วยสายตาที่เปี่ยมความสงสัย


มันมิใช่ว่านางไม่เชื่อคำเย่หยวน แต่เป็นเพราะว่าสมบัติล้ำค่าเช่นนี้มันเป็นสิ่งที่แม้แต่เทพถ่องแท้ยังต้องการ แต่เย่หยวนคนนี้กลับมอบมันให้นางอย่างไม่มีท่าทางลังเลใดๆ เลย


เรื่องเช่นนี้มันย่อมทำให้ผู้คนหลงลืมคิดว่าตัวเองได้ฝันไป


เย่หยวนยิ้มตอบ “มีหรือที่สายสัมพันธ์ของสหายจะมาแทนที่ด้วยเลือดหยดเดียวได้? วันนั้นหากเจ้าไม่ได้พูดขึ้นมาในบ้านตระกูลเล้ง เย่คนนี้เองก็คงต้องลำบากสาหัสกับเรื่องที่ว่าเป็นคนไม่มีที่มาที่ไป เลือดหยดนี้ข้าจึงจะมอบมันให้เจ้า”


“แต่มันล้ำค่าเกินไป”


เมื่อมีสมบัติล้ำค่าอยู่ตรงหน้าเช่นนี้แน่นอนว่าเล้งชิวหลิงย่อมหวั่นไหวไม่น้อยแต่เจ้าเลือดแท้วิหคชาดนี้มันเป็นสิ่งที่แสนสุดล้ำค่าจนเกินกว่าที่นางจะรับไว้ไหว


เย่หยวนยิ้ม “มีหรือที่ถ้ำเทพสวรรค์มันจะมีแค่เลือดแท้วิหคชาดเท่านี้? สมบัติล้ำค่าที่แท้จริงมันยังคงหลับใหลอยู่ภายใน แท้จริงแล้วเลือดแท้วิหคชาดนี้มันอาจจะไม่ได้มีค่าใดๆ เลยก็ได้”



การหลอมครั้งนี้กินเวลาไปถึงสามเดือนด้วยกัน


ในวันนี้ที่โอเอซิสแห่งนี้เกิดแสงเจิดจ้าสว่างส่องขึ้นท้องฟ้า


พร้อมด้วยลวดลายสัญลักษณ์ของวิหคชาดที่ก่อตัวขึ้นที่ด้านหลังของเล้งชิวหลิง


ตอนนี้คลื่นพลังของนางนั้นแข็งแกร่งกว่าก่อนมาและได้บรรลุขึ้นมาถึงอาณาจักรนภาสวรรค์หกดาวเป็นที่เรียบร้อย


“หึๆ ยินดีด้วย! จากวันนี้ไปแม่นางเล้งที่ผสานแนวคิดแห่งไฟและน้ำแข็งเข้าด้วยกันจะต้องแข็งแกร่งขึ้นมากแน่! อีกไม่นานยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งภายในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์กว้างนั้นคงต้องได้เปลี่ยนชื่อกันแล้ว”


เล้งชิวหลิงค่อยๆ เปิดตาขึ้นมาพร้อมเสียงของเย่หยวนที่ส่งเข้าหู


แต่ก่อนที่เล้งชิวหลิงจะทันได้ตอบอะไรกลับไปนางกลับต้องหรี่ตาเล็กด้วยความตื่นตกใจอย่างมหาศาล


เพราะตอนนี้เย่หยวนกลับสามารถบรรลุขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์สามดาวมาได้แล้ว


“เจ้าเองก็บรรลุขึ้นมาเช่นกันมิใช่หรือ?” รอยยิ้มอันขมขื่นแย้มออกมาจากมุมปากของเล้งชิวหลิง


เพราะนางคิดว่าการที่ได้หลอมเลือดแท้วิหคชาดในครั้งนี้มันคงทำให้ตัวนางทิ้งห่างเย่หยวนไปได้อีกพักใหญ่ๆ ไม่นึกไม่ฝันว่าเวลาแค่สามเดือนนี้เย่หยวนกลับจะสามารถบรรลุขึ้นมาได้อีกหนึ่งดาวเช่นกัน


หรือว่าแท้จริงแล้วชายคนนี้ไม่มีคอขวดเลย?


เย่หยวนยิ้มออกมา “พลังงานของเลือดแท้วิหคชาดนั้นมันเหนือล้นทำให้ข้าที่อยู่ด้านข้างก็ได้รับผลประโยชน์ไปด้วยไม่น้อยจนสามารถบรรลุขึ้นมาได้เช่นนี้ เอาล่ะ ตอนนี้มันก็ชักช้ามามากแล้ว เรารีบออกไปกันก่อนเถอะ เพราะการจะเปิดถ้ำเทพสวรรค์นั้นมันยังต้องใช้เลือดแท้วิหคชาดที่เจ้ามีอีก”


เล้งชิวหลิงพยักหน้ารับและเดินตามเย่หยวนกลับไปยังประตูทางเข้า


เมื่อพวกเขาทั้งสองกลับมาถึงเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ได้พบว่าพื้นที่ด้านหน้ามันเปี่ยมไปด้วยนักยุทธ์จำนวนมากมาย


“ฉูชิงคนนั้นช่างเก่งกาจจริงๆ ถึงขั้นสามารถได้รับเลือดแท้ของพยัคฆ์ขาวมาได้! พลังฝีมือของเขาคงพัฒนาขึ้นไปได้อีกมาก ตอนนี้ในหมู่คนหนุ่มสาวด้วยกันมันไม่มีใครที่จะเทียบเคียงเขาได้เลย”


“ใช่ไหมล่ะ? แต่ข้าได้ยินมาว่าเด็กที่ชื่อเย่หยวนมันกล้าจะแย่งผู้หญิงของเขาคนนั้น ดูท่าคงเบื่อชีวิตแล้ว!”


“หึ พูดถึงเจ้าเย่หยวนคนนี้มันก็มิใช่คนธรรมดาๆ เช่นกัน! ภายในประตูวิหคชาดนั้นเย่หยวนได้สังหารศิษย์ของเจ้าเมืองจี้ฉุนแห่งเมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์นทีต่อหน้าต่อตาเขา พลังฝีมือของเย่หยวนคนนี้ย่อมไม่ธรรมดา แต่ที่มันมีมากกว่าใครเลยก็คือความกล้าบ้าบิ่น! แต่ทว่าตอนนี้จี้ฉุนได้รับเลือดแท้วิหคชาดไปแล้ว เจ้าเด็กคนนี้มันคงไม่มีโอกาสได้มีชีวิตแน่”


“มีเรื่องเช่นนั้นด้วย? เช่นนั้นเด็กคนนี้มันก็รนหาเรื่องใส่ตัวเสียแล้ว! ไม่ว่ามันจะมากพรสวรรค์เพียงใดแต่มันก็ยังเป็นแค่นภาสวรรค์สองดาว ต่อหน้าฉูชิงหรือจี้ฉุนมันย่อมไม่มีค่ามีราคาใดๆ”



ตอนนี้เรื่องราวใหญ่ๆ ทั้งหลายมันได้สงบลงไปแล้วทำให้เรื่องที่ผู้คนหยิบขึ้นมาพูดกันคือเรื่องที่ว่าใครได้เลือดแท้ของสัตว์เทวะใดบ้าง


เสียงพูดคุยทั้งหลายนี้มันย่อมลอยมาเข้าหูของเล้งชิวหลิงและเย่หยวน


เล้งชิวหลิงได้แต่ขมวดคิ้วแน่นไม่คิดไม่ฝันว่าฉูชิงคนนั้นจะได้เลือดแท้พยัคฆ์ขาวมา


นางรู้ดีว่าการแย่งชิงเลือดแท้มาจากมือของเทพถ่องแท้นั้นมันเป็นเรื่องที่แสนยากเย็นเพียงใด


ฉูชิงคนนี้มันช่างเป็นยอดคนสวรรค์ส่ง ดวงชะตาของเขาคงยิ่งใหญ่มากแน่!


แต่จู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งพุ่งตัวออกมาพร้อมเสียงร้อง คลื่นพลังของเขาคนนั้นมันครอบงำพวกเย่หยวนทั้งสองคนไว้ในทันที


“ตาย!”


ในหมู่พันธมิตรพันทะยาน กู่เทียนเฉที่ได้เห็นภาพนั้นต้องหน้าถอดสีลงทันทีก่อนจะพุ่งตัวออกไปโจมตีในเวลาเดียวกัน


‘ปัง!’


การปะทะที่สุดแสนรุนแรง แต่เป็นฝ่ายกู่เทียนเฉที่ต้องเซหลังกลับมาหลายก้าว


“จี้ฉุน ทำเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร?” กู่เทียนเฉกล่าวถามขึ้น


เงาร่างนี้มันมิใช่ใครที่ไหนนอกไปเสียจากจี้ฉุนผู้ที่เพิ่งออกมาจากประตูวิหคชาด


แต่ตอนนี้คลื่นพลังของจี้ฉุนมันกลับมืดมนและดูเย็นเยือกขึ้นกว่าก่อนมาก มากพอที่จะแช่แข็งผู้คนได้


“กู่เทียนเฉ ข้าแค่อยากได้ชีวิตของเด็กคนนี้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า! หากเจ้าคิดขัดขวางข้าก็จะสังหารเจ้าลงด้วย!” จี้ฉุนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา


กู่เทียนเฉนั้นโกรธเคืองขึ้นอย่างมากเมื่อได้ยิน “คิดสังหารข้า? ด้วยคนอย่างเจ้า?”


จี้ฉุนปล่อยคลื่นพลังออกมาอย่างสุดแสนรุนแรงจนทำให้กู่เทียนเฉต้องเบิกตากว้าง


ดูท่าจี้ฉุนคนนี้จะแตกต่างไปจากก่อนหน้า


“เจ้าลองสิ!” จี้ฉุนบอก


แต่เวลานี้เองที่จีคังกลับเดินขึ้นมาห้ามทั้งสองไว้ “เอาล่ะ ตอนนี้ทุกคนกำลังจะเปิดถ้ำเทพสวรรค์ออก สมบัติภายในนั้นมันย่อมจะมีอีกมากมาย ให้เทพถ่องแท้สองคนมาสู้กันเสียตอนนี้มันคงไม่ได้ประโยชน์อันใด ถือว่าเห็นแก่หน้าข้า พวกเจ้าทั้งสองเก็บความแค้นใดๆ ที่มีไว้ก่อน ออกมาจากถ้ำเทพสวรรค์แล้วจะฆ่าสังหารกันมันก็ยังไม่สายไป”


จี้ฉุนเปลี่ยนสีหน้าไปมาอยู่หลายครั้งก่อนจะร้องบอก “ได้ ข้าจะถือว่าเห็นแก่หน้าเจ้า! กู่เทียนเฉ หลังจากออกไปแล้วหากเจ้ายังคิดปกป้องเจ้าสัตว์น้อยตัวนี้ข้าจะสังหารเจ้าลงด้วยแน่! หากเจ้าไม่เชื่อว่าข้าทำได้เจ้าก็ลองดู!”


กู่เทียนเฉหัวเราะเย้ย “ไม่มีเหตุผล!”


แท้จริงแล้วตัวเขาเองก็ตื่นตะลึงกับการปะทะเมื่อสักครู่นี้มาก จี้ฉุนนั้นมีพลังที่ดูเหมือนจะเก่งกาจกว่าแต่ก่อนมากมาย


แต่ในสถานที่นี้ทุกคนต่างต้องกดดันพลังบ่มเพาะของตนไว้ คนผู้นั้นจะมีพลังที่แท้จริงแค่ไหนต้องออกไปก่อนถึงจะรู้กัน


จีคังยิ้มออกมา “หึๆ จีคังได้ยินว่าท่านได้เลือดแท้วิหคชาดมา มาเถอะ ตอนนี้อีกสามคนกำลังรออยู่ก่อนแล้ว พวกท่านไปเปิดถ้ำเทพสวรรค์ด้วยกัน!”


ได้ยินเช่นนั้นจี้ฉุนก็ได้แต่ทำหน้าเหยเกออกมา “ข้าไม่ได้รับเลือดแท้วิหคชาดมา!”


รอยยิ้มของจีคังจึงแข็งค้างอยู่บนใบหน้านั้น “เจ้าไม่ได้? เช่นนั้นใครได้กัน?”


จี้ฉุนหันไปมองเล้งชิวหลิงอย่างขุ่นแค้น


“หึ เวลานกปากซ่อมและหอยตีกัน คนที่จะได้ประโยชน์ก็คือชาวประมง! ข้าไม่นึกเลยว่าในสุดท้ายแล้วมันจะเป็นนังเด็กคนนี้ที่ได้กลายเป็นชาวประมง!”


นั่นทำให้สายตาทุกคู่ต่างหันไปมองเล้งชิวหลิงเป็นตาเดียว


เป็นตอนนั้นเองที่กู่เทียนเฉได้หันกลับมาสำรวจศิษย์ของตนคนนี้และพบว่าตอนนี้นางได้บรรลุสู่อาณาจักรนภาสวรรค์หกดาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!


นอกจากจะตกตะลึงแล้วตัวเขายังดีใจมากด้วย


“ฮ่าๆ หลิงเอ๋อ เจ้าได้เลือดแท้วิหคชาดมาจริง?” กู่เทียนเฉถามขึ้นด้วยเสียงหัวเราะ


เล้งชิวหลิงพยักหน้ารับเป็นการยืนยัน


เมื่อฉูชิงได้ยินข่าวนี้เขาก็หัวเราะลั่น “หึๆ เยี่ยมจริงๆ! ศิษย์น้องชิวหลิง เจ้าและข้านั้นต่างมีดวงชะตาอันยิ่งใหญ่! เจ้ากับเจ้ามดนั่นมันไม่คู่ควรแก่กันหรอก! ความต่างชั้นของพวกเจ้าทั้งสองมันจะมีแต่ขยายตัวขึ้นและขยายตัวขึ้น! มาเถอะ ไปเปิดถ้ำเทพสวรรค์กัน!”


เขารู้สึกว่าการที่ตัวเขาเองนั้นได้เลือดแท้พยัคฆ์ขาวและการที่เล้งชิวหลิงได้เลือดแท้วิหคชาดมามันย่อมจะทำให้รุ่นคนหนุ่มสาวทั้งหลายต้องสั่นสะเทือน


ในภายภาคหน้า การจะก้าวขึ้นสู่อาณาจักรเทพสวรรค์มันก็คงมิใช่เรื่องยากเย็น


แน่นอนว่าเย่หยวนย่อมไม่มีค่าพอจะเทียบเคียงกับเล้งชิวหลิง


“ชะตาอันยิ่งใหญ่? ศิษย์พี่ฉู ท่านเข้าใจผิดแล้วล่ะ คนที่มีชะตาอันยิ่งใหญ่นั้นหาใช่ข้า แต่เป็นเย่หยวน เลือดแท้วิหคชาดนี้เองข้าก็ได้รับมันมาจากเขาอีกที” เล้งชิวหลิงส่ายหัวพร้อมอธิบายเรื่องราว

 

 

 


ตอนที่ 1867 ธาตุแท้ของถ้ำเทพสวรรค์

 

“ให้เจ้า?” ฉูชิงเบิกตากว้างทันทีด้วยความตื่นตะลึง


เลือดแท้ของสัตว์เทวะทั้งสี่นั้นมันเป็นสมบัติที่แสนล้ำค่า มีหรือที่ใครจะยังคิดมอบมันให้แก่คนอื่นหน้าตาเฉยเช่นนั้น?


มิใช่เพียงแค่ฉูชิง ตอนนี้ทุกผู้คนต่างหันมามองเย่หยวนด้วยใบหน้าสุดตื่นตะลึง


เจ้าหมอนี่มันยอมลงทุนขนาดนั้นเลยเพื่อที่จะชนะใจหญิงสาว?


ตอนนี้ทำให้มีสายตาไม่น้อยต้องหันไปมองเล้งชิวหลิงด้วยความอิจฉาริษยา


คนเหล่านั้นรู้สึกอิจฉาที่ตนไม่ได้มีหน้าตางดงามเหมือนเล้งชิวหลิง เพราะหากพวกนางมีใบหน้าที่สวยงามเช่นนั้นแล้วได้รับของขวัญที่เย่หยวนให้มันจะเป็นเรื่องที่ดีงามขนาดไหน!


การได้รับเลือดแท้วิหคชาดมานั้นมันมิใช่เพียงแค่จะเพิ่มพลังบ่มเพาะของผู้คนขึ้นแต่มันยังเป็นการเปลี่ยนพื้นฐานร่างกายของนักยุทธ์ไปตั้งแต่ต้นเลยด้วย ทำให้พวกเขาทั้งหลายมีโอกาสที่จะพัฒนาตัวเองได้มากขึ้นในวันข้างหน้า


โดยเฉพาะกับยอดอัจฉริยะอย่างฉูชิงและเล้งชิวหลิง พวกเขานี้อาจจะได้มีโอกาสก้าวขึ้นอาณาจักรเทพสวรรค์เลยก็เป็นไปได้


อาณาจักรนั้นมันคือตัวตนระดับตำนาน มีหรือที่ใครจะไม่อิจฉา?


เล้งชิวหลิงพยักหน้ารับ “หากไม่มีเย่หยวนแล้วต่อให้ข้าจะรู้ว่าเลือดแท้วิหคชาดมันซ่อนอยู่ที่ใดข้าก็คงไม่มีปัญญาจะไปเอามันมา”


จี้ฉุนหันไปมองเย่หยวนอย่างแค้นเคืองพร้อมกัดฟันไว้แน่น


ทุกคนไม่มีผู้ใดทราบว่าตะวันเจิดจ้าบนท้องฟ้านั้นคือเลือดแท้วิหคชาด แต่ทำไมเด็กคนนี้มันถึงสามารถรับรู้ได้?


จี้ฉุนนั้นได้รู้จากเทพสวรรค์โหมวหยู่ว่าตะวันดวงนั้นคือเลือดแท้วิหคชาดของจริง เดิมทีเขายังคงตั้งความหวังไว้ไม่น้อย คิดว่าเรื่องเช่นนั้นมันคงไม่มีใครจะคิดถึงได้


แต่น่าเสียดายตอนที่เขามุดตัวกลับออกมาจากผืนทรายเขากลับพบว่าตะวันบนท้องฟ้ามันได้หายไปแล้ว


ท้องฟ้าก็ยังคงอยู่เป็นท้องฟ้า แต่มันกลับไม่มีเลือดแท้วิหคชาดอยู่อีกต่อไปแล้ว เรื่องนี้มันทำให้เขาแทบคลั่ง


“หึๆ ไอ้เด็กคนนี้มันน่าสนใจ! การซ่อนตัวของเลือดแท้วิหคชาดนั้นคงเรียกได้ว่าแสนแนบเนียน ทุกคนต่างเห็นมัน อาบแสงมัน แต่… มันย่อมไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะมีใครคิดว่าตะวันร้อนบนหัวนั้นมันคือสมบัติที่พวกเขาเฝ้าตามหา แต่เจ้าเด็กคนนี้มันกลับทำได้!” เทพสวรรค์โหมวหยู่หัวเราะขึ้นมาด้วยเสียงแปลกๆ


เทพสวรรค์โหมวหยู่นั้นสุดท้ายแล้วก็ยังถูกจี้ฉุนสะกดไว้ได้ แต่จี้ฉุนเองก็ไม่อาจจะกำจัดเขาออกไปได้ เขาทำได้เพียงแค่ขังวิญญาณนี้ไว้และไม่ปล่อยโอกาสให้อีกฝ่ายได้ฟื้นกำลัง


แต่เมื่อเทพสวรรค์โหมวหยู่เขากลับแสดงท่าทีสนใจออกมาอย่างถึงที่สุด


“หึ! ไม่ว่ามันจะเก่งกาจเพียงใดมันก็ไม่มีทางหลบรอดจากความตายไปได้หรอก!” จี้ฉุนร้องบอก


เทพสวรรค์โหมวหยู่หัวเราะ “หืม เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าเจ้าเด็กคนนี้มันอาจจะมีความลับแสนยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลัง?”


นั่นทำให้จี้ฉุนฉุกคิดขึ้นมาทันทีแต่ก็ยังพูดเย้ยหยันออกมา “ไม่ว่ามันจะมีความลับใดๆ มันก็ย่อมไม่อาจเทียบกับสมบัติของจอมเทพสวรรค์นิรันดร์ได้”


เทพสวรรค์โหมวหยู่ตอบกลับ “เรื่องนั้นก็จริง ก่อนหน้านั้นจอมเทพสวรรค์นิรันดร์คนนี้คือผู้ที่เกือบบรรลุขึ้นอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้  ท่านเจี่ยวชางยังเทียบเรื่องพรสวรรค์กับคนผู้นี้ไม่ได้เลย”


อีกด้านหนึ่ง ตอนนี้ฉูชิงแทบไม่อาจจะรักษาสีหน้าของตัวเองไว้ได้อีกต่อไป


เขานั้นเดินเข้ามาพูดจาว่ากล่าวอย่างยิ่งใหญ่ ด่าว่าเย่หยวนเป็นแค่มดปลวกไม่มีโชคชะตาใดๆ แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาเขากลับรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองถูกตบเข้าอย่างจัง


เย่หยวนเป็นคนได้เลือดแท้วิหคชาดมาและมอบมันให้แก่เล้งชิวหลิง


เขา ฉูชิง ได้เลือดแท้พยัคฆ์ขาวมาแต่กลับใช้มันเพื่อตัวเอง


ตอนนี้ยังมีหน้าพูดกล่าวว่าทั้งเจ้าและข้ามีชะตาที่ยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้มันคือการยื่นหน้าไปให้ผู้คนตบสั่งสอนแท้ๆ


เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตารอบข้างฉูชิงก็แทบจะอยากมุดแผ่นดินหนีไปให้สิ้นเรื่อง


จีคังเองก็มองดูเย่หยวนอย่างตื่นตะลึงไม่น้อยก่อนจะพยักหน้าออกมาให้แก่เล้งชิวหลิง “ในเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนั้น เราก็มาเริ่มกันเลยไหม?”


เล้งชิวหลิงพยักหน้ารับก่อนจะพุ่งร่างขึ้นไปยังประตูวิหคชาด


ฉูชิงและคนอื่นๆ เองก็ขึ้นไปอยู่หน้าประตูของเลือดแท้ที่ตนได้มา และผู้ครองเลือดแท้อีกสองคนนั้นแท้จริงแล้วเป็นยอดฝีมือเทพถ่องแท้อิสระ


มันหมายความว่าตอนนี้เทพถ่องแท้ของฝ่ายพันธมิตรพันทะยานนั้นยังไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปเลย


คนทั้งสี่ใช้พลังสายเลือดออกมาจากร่างก่อนที่จะเกิดสี่เงาตรายักษ์ปรากฏขึ้นบนอากาศ


ร่างทั้งสี่คำรามร้องก่อนจะพุ่งเข้าไปยังประตูสี่ตราในทันที


ด้านในประตูสี่ตรานั้นเกิดแสงสีส่องออกมาก่อนจะหันเข้าปะทะกัน


‘ตูม!’


ทำให้เกิดประตูหินขนาดยักษ์ขึ้นมาที่กลางหุบเขา


ประตูนี้มันปล่อยพลังอันแสนโบราณที่แฝงชีวิตมากมายไว้ออกมาทำให้จิตวิญญาณของผู้คนต้องสั่นสะท้าน


ตอนนี้แม้จะเป็นเหล่าเทพถ่องแท้ก็ยังต้องสั่นสะท้าน


เพราะคลื่นพลังที่ออกมาจากประตูนี้มันมิใช่พลังที่พวกเขาทั้งหลายจะต้านทานได้เลย


ได้เห็นประตูนี้เย่หยวนก็ได้แต่หรี่ตามอง


“คลื่นพลังเช่นนี้ หรือว่า…”


หวู่เฉินเองก็มองดูมันอย่างตื่นตกใจไม่น้อยเช่นกัน “ดูท่าเจ้าคงเดาถูกแล้ว! ไอ้เฒ่านั่นมันคิดจะทำอะไรกันแน่?”


คนอื่นๆ ย่อมไม่มีใครคิดสนใจดูสภาพของเย่หยวนในตอนนี้ สายตาของพวกเขาทั้งหลายต่างจับต้องไปที่ประตูหิน


“ฮ่าๆ หลังจากเปิดประตูหินนี้ได้แล้วมันต้องมีสมบัติล้ำค่ามากมายแน่! ไปกัน!”


ในที่สุดก็มีผู้ไม่อาจทนความตื่นเต้นไว้ไหวและพุ่งตัวเข้าไปหาประตูหินที่ว่านี้


เมื่อมีคนนำมันก็ย่อมมีคนตาม มีหรือที่ตอนนี้จะยังมีใครทนทานได้? พวกเขาทั้งหลายรีบมุ่งหน้าเข้าไปยังประตูหินทันที


เล้งชิวหลิงกำลังที่จะพุ่งตัวออกไปแต่กลับพบว่าเย่หยวนยืนทำหน้าเหยเกอยู่ข้างๆ


“เย่หยวน เจ้าเป็นอะไรไปหรือ?” เล้งชิวหลิงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัย


เย่หยวนขมวดคิ้วตอบกลับไป “ไม่หรอก ไปกันเถอะ”


จากนั้นภาพตรงหน้ามันก็ได้เปลี่ยนไปในทันที ตอนนี้เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายได้เดินทางมาถึงเทือกเขาอีกแห่งแทน


“ที่นี่มันที่ไหนกัน?”


“ประตูหินนั้นมันเหมือนจะเป็นทางเข้าโลกใบเล็ก!”


“หรือว่านี่… จะเป็นโลกของจอมเทพสวรรค์นิรันดร์?”


“หึ ดูท่าเราคงสามารถพบเจอความรู้ในเต๋าของจอมเทพสวรรค์นิรันดร์ได้ที่นี่แน่ ช่างเป็นการทะยานฟ้าด้วยเท้าก้าวเดียว!”



เหล่านักยุทธทั้งหลายนี้ก็มิใช่คนโง่เง่า พวกเขารู้ถึงเรื่องราวตรงหน้าได้ในทันที


เย่หยวนมองดูที่ภาพตรงหน้าของเขาก่อนที่จะถอนหายใจยาวออกมาอย่างหนักหน่วง


เพราะเรื่องที่เขากลัวได้เกิดขึ้นแล้ว


ที่แห่งนี้มันคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่ต้องสงสัย!


ที่แห่งนี้มันเป็นสถานที่ที่เย่หยวนคุ้นเคยอย่างมาก


เพราะที่ที่พวกเขายืนอยู่ในตอนนี้มันคือเทือกเขาสุสานเทพ!


จอมเทพนิรันดร์ได้เชื่อมต่อโลกใบเล็กของตนเข้ากับประตูหินนั้น


เพราะเดิมทีประตูบานนั้นมันก็มีคลื่นพลังเหมือนคล้ายกับประตูปิดโลก เย่หยวนจึงมองมันออกได้ในชั่วพริบตา


เย่หยวนไม่อาจเข้าใจได้ว่าจอมเทพนิรันดร์นั้นคิดวางแผนทำอะไรไว้ แต่นภาสวรรค์ เทพถ่องแท้มากมายขนาดนี้เข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หากมันเกิดการต่อสู้ขึ้นมาแล้วคนทั้งหลายคนต้องรับเคราะห์กรรมอย่างมหาศาล


สำหรับนักยุทธทั้งหลายแล้วโลกใบเล็กนั้นมันไม่ได้มีค่าใดๆ เลย


แต่สำหรับเย่หยวนแล้วที่แห่งนี้มันคือบ้านเกิดเป็นที่ที่เขาได้เติบโตขึ้นมา


“เย่หยวน เจ้าเป็นอะไรไป? สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเลยนะ!” เล้งชิวหลิงถามขึ้นด้วยความกังวล


นางได้รับรู้ว่าสภาพของเย่หยวนในตอนนี้มันดูผิดแปลกไปอย่างมาก


เย่หยวนยกมือขึ้นมาโบกปัด “ไม่เป็นไร เจ้าตามท่านเจ้าเมืองกู่ไปเถอะ ตอนนี้ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการเสียหน่อย แล้วข้าจะกลับมาหาพวกเจ้าทีหลัง”


พูดจบเย่หยวนก็ไม่ได้รอคำตอบจากเล้งชิวหลิงแต่อย่างใด ร่างกายของเขาหายไปจากจุดที่ยืนอยู่ในทันที


จี้ฉุนที่มองดูเย่หยวนอยู่ตลอดนั้นเมื่อเห็นเย่หยวนคิดจะจากไปเขาก็คิดที่จะติดตาม


แต่พริบตานั้นเย่หยวนกลับหายวับไปไม่เหลือร่องรอยใดๆ ให้ติดตามได้ทำให้เขาตื่นตกใจอย่างมาก


“หึๆ หาตั้งนานไม่พบเจอ เมื่อหยุดคิดหาแต่กลับพบเจอ! ไม่นึกเลยว่าข้าจะได้มาถึงโลกใบเล็กของเจ้าเฒ่านิรันดร์! ของสิ่งนั้นมันก็น่าจะอยู่ที่นี่ด้วยใช่ไหม?” เทพสวรรค์โหมวหยู่พูดขึ้นพร้อมหัวเราะอย่างแปลกประหลาด


จี้ฉุนนั้นถึงกับต้องหันมาสนใจ “สิ่งนั้น? สิ่งใด?”


ของที่เทพสวรรค์คิดอยากได้มันต้องมิใช่ของธรรมดาทั่วไปแน่ๆ


เทพสวรรค์โหมวหยู่หัวเราะขึ้น “เจ้าอย่าได้คิดเอามันมาครองเลย สิ่งนั้นมันคือของที่ท่านเจี่ยวชางอยากได้ หากเจ้ากล้าแตะต้องมันเจ้าคงรู้ถึงผลที่จะตามมา”


จี้ฉุนหน้าถอดสีและเงียบปากลงทันที

 

 

 


ตอนที่ 1868 ค่ายกลดาบสังหารสวรรค์

 

‘ครืน!’


เสียงพื้นดินสั่นสะเทือนจนทำให้โลกทั้งใบต้องตกอยู่ในความตื่นตะลึง


ด้านในโถงบังคับกฎนั้นมันเต็มไปด้วยความโกลาหลอย่างไม่เคยมีมาก่อน


“เกิดอะไรขึ้นอีก? เหตุใดมันถึง… รู้สึกเหมือนจะเกิดหายนะขึ้น?” ฟางเทียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีรู้สึกได้ถึงลางร้ายในหัวใจ


ตอนนี้ฟางเทียนนั้นควบคุมและดูแลทุกสิ่งอย่างบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ราวกับว่ามันเป็นฝ่ามือของตน


แต่ไม่นานก่อนหน้านี้มันกลับมีแรงสั่นสะท้านอย่างไม่อาจคาดวัดเกิดขึ้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์


แรงสั่นนี้มันทำให้แม้แต่เขาผู้ควบคุมก็ยังรู้สึกได้ถึงลางร้าย


กวนควางเทียน หลู่หลินเฟย เถิงหยุนและพวกยอดฝีมือทั้งหลายต่างสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอันแสนรุนแรงนี้จนต้องรีบมุ่งหน้ามารวมตัวอย่างพร้อมเพรียง


“ผู้อาวุโสฟาง มันเกิดอะไรขึ้นกัน?”


“ทำไมดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเรามันถึงต้องพบเจอแต่หายนะเรื่องราวไม่คาดฝันกันนะ? เฮ้อ!”


ทุกคนที่มาถึงต่างมีคำพูดบ่นกล่าวของตัวเอง บ้างเหนื่อยหน่าย บ้างหมดหวัง และบ้างก็ตื่นกลัวจนถึงขีดสุด


ฟางเทียนส่ายหัวออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เรื่องนี้… ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน คลื่นพลังนี้มันดูจะเหมือนกับคลื่นของประตูปิดโลก แต่มันกลับส่งตรงมาจากเทือกเขาสุสานเทพ ทำให้ข้า… ไม่อาจรับรู้ถึงเรื่องราวภายในได้”


ทุกคนหน้าถอดสีทันทีที่ได้ยินฟางเทียนพูดเช่นนั้น เพราะแม้แต่ผู้ควบคุมยังไม่อาจสัมผัสถึงมันได้ย่อมหมายความว่าเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นนั้นมันแสนยิ่งใหญ่


ตอนนั้นเองจู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางผู้คนด้วยสีหน้าไม่สู้ดี


“ทุกคน!”


เมื่อได้เห็นผู้มาถึงทุกผู้คนต่างก็แสดงท่าทางดูใจดำออกมาจนนอกหน้า!


แน่นอนว่าเมื่อใดก็ตามที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้เจอเรื่องร้าย เย่หยวนต้องปรากฏตัวขึ้นมาเสมอ


“เย่หยวน ดีจริงๆ ที่เจ้ากลับมา! มันเหมือนว่าจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นที่เทือกเขาสุสานเทพ…”


ฟางเทียนยังอธิบายไม่ทันจบก็ถูกเย่หยวนขัดขึ้นทันที “ผู้อาวุโสฟางเทียน ข้าเข้ามายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็จากที่นั่น! เรื่องราวนี้มันไม่ธรรมดา ตอนนี้มียอดฝีมือจากมหาพิภพถงเทียนจำนวนมากได้เข้ามายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้และเรื่องนี้มันอาจจะทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้องแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ!”


เมื่อทุกผู้คนได้ยินเช่นนั้นพวกเขาต่างก็แสดงสีหน้าขาวซีดออกมาตามๆ กัน


พวกเขาไม่ได้คิดได้ฝันเลยว่าเรื่องราวมันจะใหญ่โตได้ถึงขั้นนั้น


“เย่หยวน นี่มัน… เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ฟางเทียนถามขึ้นด้วยใบหน้าที่ซีดๆ


เย่หยวนส่ายหัวออกมา “เรื่องนั้นข้าก็ไม่ทราบ! แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือเรื่องราวทั้งหมดนี้จอมเทพนิรันดร์เป็นผู้จัดฉากขึ้นมา แต่เรื่องเป้าหมายของเขานั้นข้าเองก็ไม่อาจคาดเดาได้ ตอนนี้เรื่องราวทั้งหลายมันได้เกิดกว่าที่ข้าจะควบคุมไหวแล้ว ผู้อาวุโสฟางเทียน สิ่งที่พวกท่านต้องทำคือการรักษาความเสถียรของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไว้! จากนี้ไปสั่งอย่าให้ใครก็ตามเข้าไปยังเทือกเขาสุสานเทพ พวกเจ้าทั้งหลายวางใจเถอะ ตราบเท่าที่ข้ายังมีลมหายใจข้าจะไม่ยอมปล่อยให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้องพังพินาศลงแน่! เอาล่ะ เรื่องที่ข้าจะบอกก็มีเท่านี้ ข้าต้องขอตัวก่อน จำไว้ อย่าให้ใครเข้าไปในเทือกเขาสุสานเทพเด็ดขาด!”


พูดจบร่างของเย่หยวนก็จางหายไปจากสายตาของทุกคนอีกครั้ง


พวกเขาทั้งหลายต่างมีใบหน้าที่แสนทุกข์เพราะพวกเขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันความเครียดจากตัวเย่หยวน


เย่หยวนนั้นเดิมทีเป็นคนที่สงบนิ่งไม่แสดงท่าทางใดๆ ออกมาให้มาก แต่ตอนนี้เขากลับดูแตกต่างจากปกติไปมากทีเดียว


หลังจากพ้นวิกฤตเรื่องของเผ่าปีศาจแล้วพวกเขาก็ไม่เคยได้เห็นเย่หยวนกังวลอะไรขนาดนี้อีกเลย


คนที่แข็งแกร่งอย่างเทพนอกรีตบาปสวรรค์ก็ยังถูกเย่หยวนปั่นหัวจนอยู่หมัด


เมื่อร่างกายของเขาหายไป เย่หยวนก็ได้กลับมายังเทือกเขาสุสานเทพอีกครั้งเป็นที่เรียบร้อย


แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้าใบหน้าของเย่หยวนกลับยิ่งบิดเบี้ยวหนักกว่าเก่า


ไม้ศักดิ์สิทธิ์คุนหวู่ที่ปกติแล้วจะตั้งตระหง่านสูงถึงชั้นเมฆกลับได้หายไปอย่างไม่เหลือร่องรอยใดๆ


“ผู้อาวุโส ผู้อาวุโสคุนหวู่เขา…”


หวู่เฉินเองก็ได้แต่ส่ายหัวออกมา “ข้าเองก็ไม่ทราบ! ตอนนั้นข้าได้ตกสู่ห้วงนิทราไปแล้ว เรื่องราวระหว่างเขาและจอมเทพนิรันดร์นั้นข้าก็ไม่อาจทราบได้”


เย่หยวนขมวดคิ้วแน่นด้วยความกังวล ตอนนี้เขาไม่อาจจะคาดเดาได้เลยว่าแท้จริงแล้วจอมเทพนิรันดร์กำลังคิดวางแผนใดอยู่กันแน่ถึงได้ลากเหล่ายอดฝีมือมากมายเข้ามาถึงบ้านของตนเช่นนี้


โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหายตัวไปของไม้ศักดิ์สิทธิ์คุนหวู่ที่ตั้งตระหง่านมานับหมื่นๆ ปีนี้ด้วยเช่นกัน


เย่หยวนกล่าวขึ้น “ข้ารู้สึกมาตลอดว่าเรื่องราวครั้งนี้มันต้องไม่ธรรมดา ช่างเถอะ ตอนนี้คงได้แต่ต้องค่อยๆ เดินไปทีละก้าว แค่หวังว่าจอมเทพนิรันดร์จะไม่คิดใช้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นเบี้ยตัวหนึ่งด้วย!”


พูดจบร่างของเย่หยวนก็ได้จางหายไปอีกครั้ง



“ค่ายกลดาบสังหารสวรรค์! ค่ายกลจะมีทั้งหมดเก้าระดับผู้ที่สามารถผ่านสามระดับแรกจะได้เข้าสู่ยอดเขาต่อไป ผู้ที่สามารถผ่านได้หกระดับจะได้สมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำ และสำหรับผู้ที่ผ่านได้ทั้งเก้าระดับจะได้รับสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์!”


บนยอดเขานั้นเกิดเสียงของจอมเทพนิรันดร์ดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง


ที่ด้านหน้าของเหล่ายอดฝีมือตอนนี้มีค่ายกลดาบแสนยิ่งใหญ่วางตระหง่านอยู่


ตอนนี้พวกเขาทั้งหลายได้เห็นยอดเขาสูงที่อยู่ห่างออกไป บนยอดนั้นมันมีวังใหญ่โตที่ปล่อยคลื่นพลังอันแสนรุนแรงจนทำให้จิตใจของผู้คนต้องสั่นสะท้าน


แค่เห็นก็รู้ได้แล้วว่าเหล่าสมบัติที่แท้จริงทั้งหลายนั้นมันต้องอยู่ในวังแห่งนั้นแน่นอน


แต่ว่าคำพูดของจอมเทพนิรันดร์มันกลับทำให้เหล่ายอดฝีมือต้องแทบคลั่ง


สมบัติวิญญาณเทพสวรรค์!


นี่คือสิ่งที่เหล่าเทพสวรรค์ยังต้องคลั่งเมื่อได้ยิน แต่สิ่งของนั้นมันกลับมาอยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งหลาย!


แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าการจะผ่านความยากทั้งเก้านั้นมันคงเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้


แต่หากพวกเขาผ่านหกระดับแรกไปได้ การได้รับสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำเองก็เป็นเรื่องดีไม่น้อย


เพราะเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายในที่นี้ มิใช่ทุกคนที่จะมีสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำใช้


เรื่องเช่นนี้แม้มันจะเกิดขึ้นตรงหน้าก็ไม่แน่ว่าจะเฝ้าหวังถึงมันได้


“ข้าเอง!” นักยุทธ์อาณาจักรนภาสวรรค์เก้าดาวคนหนึ่งไม่อาจทนได้จนต้องรีบมุ่งหน้าเข้าไปในค่ายกลก่อนเป็นผู้แรก


ไม่มีใครคิดห้ามเขา แน่นอนว่ามันย่อมมีใครสักคนที่ชอบทำตัวคิดเป็นหัวหอกลองเรื่องราว และการปล่อยให้มีคนอื่นเข้าไปก่อนเช่นนี้มันก็ย่อมจะเป็นประโยชน์แก่พวกเขา ทำให้พวกเขาได้มีเวลาวิเคราะห์ถึงค่ายกลดาบนี้


‘ฟุบ!’


ยอดฝีมือผู้นั้นกระโดดเข้าไปในค่ายกลดาบสังหารสวรรค์


ในวินาทีต่อมาก็มีแสงดาบนับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นมาพยายามที่จะเสียบแทงร่างของเขา


แต่พลังฝีมือของนักยุทธ์นภาสวรรค์เก้าดาวคนนี้ไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะถูกดาบแสงแทงเข้าไปมากเท่าไหร่ มันก็ไม่อาจจะสร้างบาดแผลให้เขาได้เลย


“เฟนหมิงนั้นมีพลังฝีมือที่ไม่น้อยเลย ได้ยินว่าครั้งหนึ่งเขาเคยท้าสู้กับนักยุทธ์ระดับเดียวกับพร้อมกันถึงสามคนแต่ก็ไม่ได้เป็นฝ่ายแพ้พ่าย พลังฝีมือของเขาสำหรับนักยุทธจรแล้วถือว่าเด็ดขาดทีเดียว!”


“ดูท่าเขาคงได้สมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำไปครองแน่!”


“อาณาจักรนภาสวรรค์แต่กลับมีสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำในครอบครอง ข้าน่าอิจฉาเสียจริง!”



เฟนหมิงนั้นดูท่าจะมีชื่อในหมู่นักยุทธจรไม่น้อย


เมื่อเขาเริ่มลงมือคนอื่นๆ จึงได้แต่ร้องชื่นชมออกมา


แต่ขณะเดียวกันพวกเขาทั้งหลายก็ได้เข้าใจถึงพลังของค่ายกลดาบนี้


ที่สำคัญนภาสวรรค์เก้าดาวในหมู่คนที่มาครั้งนี้มันก็นับว่าเป็นผู้มีพลังสูงมากแล้ว


แน่นอนว่าไม่นานเฟนหมิงก็สามารถผ่านสามระดับแรกไปได้ด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ


จากนั้นมันก็มีค่ายกลเคลื่อนย้ายปรากฏออกมาที่มุมหนึ่งของมหาค่ายกล


“ตอนนี้เจ้าจงเลือกว่าจะพอหรือท้าทายต่อ!” ในมหาค่ายกลเกิดเสียงดังขึ้น


“ข้าขอเลือกที่จะท้าทายต่อ!” เฟนหมิงพูดตอบอย่างไม่คิดลังเล


จากนั้นค่ายกลเคลื่อนย้ายมันก็จางหายไปพร้อมๆ กับเสียงของเขา ก่อนที่มหาค่ายกลจะเริ่มทำงานอีกครั้ง


แต่จู่ๆ สถานการณ์มันก็พลิกกลับทันที!


ภายในค่ายกลดาบสังหารสวรรค์ตอนนี้มีคลื่นพลังดาบอันแสนดุดันมากมายปะทุขึ้นพุ่งผ่านค่ายกลดาบมา


ในหมู่ยอดฝีมือที่มองดูอยู่ด้านนอก ตอนนี้หลายๆ คนรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังดาบที่เหมือนจะพุ่งผ่านตัวเองไป!


น่ากลัว!


ระดับสี่นั้นมันยากขึ้นมาอย่างมากมายมหาศาล!


เฟนหมิงหน้าถอดสีไปในทันทีแต่จะมาเสียใจตอนนี้มันก็คงไม่ทันเสียแล้ว


‘ฟุบ ฟุบ ฟุบ…’


ดาบแล้วดาบเล่าที่พุ่งเข้ามาพร้อมเสียงตัดลม ตอนนี้มีหรือที่เฟนหมิงจะยังมีเวลาเก็บออมแรงอีก? เขาต้องใช้พลังฝีมือทั้งหมดที่มีออกมาในคราเดียว


‘ฉัวะ!’


ดาบแสงหนึ่งพุ่งผ่านเกราะปราณเทวะของเขาเข้ามาได้


หลังจากดาบแรงแทงเข้า ดาบแสงอีกมากมายอย่างนับไม่ถ้วนก็ตามเข้ามาแทงร่างของเฟนหมิงจนพรุนเป็นรังผึ้ง


ที่ด้านนอกค่ายกลดาบ เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายต่างได้แต่ยืนมองภาพนี้อย่างเงียบงัน

 

 

 


ตอนที่ 1869 การบีบบังคับจากฉูชิง

 

ยอดฝีมือนภาสวรรค์เก้าดาวยังกลับตายลงง่ายดายเพียงนี้ แน่นอนว่าเรื่องนี้มันต้องสร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้คนอย่างมากมาย


พวกเขาได้รู้แล้วว่าสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำนี้มันไม่อาจได้มาครองง่ายๆ


ไม่ต้องไปนึกถึงเรื่องการผ่านเก้าระดับเพื่อรับสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ใดๆ เลย


“ขอข้าลองบ้าง!”


ตอนนั้นเองที่จู่ๆ จีคังก็พุ่งตัวออกไปเพื่อเข้าท้าทายค่ายกลดาบด้วยอีกคน


ในหมู่คนทั้งหลาย จีคังนั้นนับว่าแข็งแกร่งที่สุด ทุกคนต่างเฝ้ามองดูว่าชายคนนี้จะสามารถเดินไปได้ถึงระดับไหน


เมื่อเข้าค่ายกลดาบมาจีคังก็เริ่มใช้พลังออกมาทันที


ในสามระดับแรกที่แม้แต่เฟนหมิงยังต้องลำบากไม่น้อยแต่จีคังกลับผ่านมันมาได้อย่างง่ายดาย


แต่หัวใจของทุกผู้คนก็ต้องสั่นระรัวเมื่อมาถึงระดับที่สี่


เพราะจีคังนั้นเลือกที่จะท้าทายต่อไปอย่างไม่ผิดคาดทุกคนนัก


รอบที่สี่ จีคังยิ่งปล่อยพลังกดดันออกมาหนักกว่าเดิม!


ตอนนี้ทุกคนที่มองดูอยู่ด้านนอกต่างรู้ว่าเขากำลังลำบากมากกว่าระดับก่อนๆ


แต่เขานั้นมีพลังบ่มเพาะมากกว่าเฟนหมิงถึงหนึ่งอาณาจักร แน่นอนว่าพลังฝีมือใดๆ ของเขาย่อมเหนือล้ำกว่าอีกฝ่ายอย่างไม่อาจเทียบเคียงได้


นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกผู้คนได้เห็นระดับห้า มันถึงกับทำให้เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายต้องหน้าถอดสี


น่ากลัวจนเกินไป!


แต่ว่าจีคังก็ยังสามารถผ่านมันมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก


ในระดับที่หก หลังจากจีคังรับคลื่นดาบนับไม่ถ้วนเข้าไปในที่สุดเขาก็ผ่านออกมาได้


เมื่อค่ายกลเคลื่อนย้ายปรากฏออกมาอีกครั้ง คราวนี้จีคังกลับลังเล


“เจ้ามีเวลาคิดอีกสามอึดใจ! สาม สอง…” เสียงภายในค่ายกลดาบนั้นดังขึ้นอีกครั้งทำให้หัวใจของทุกผู้คนเต้นรัวจนแทบหลุดออกปาก


แต่ตอนนั้นเองที่จีคังก็ขยับ!


เขาขยับเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายอย่างไม่ลังเลอีก ก่อนที่เงาร่างนั้นจะหายไป


“แม้แต่ท่านจีคังก็ไม่กล้าหาญพอจะท้าทายระดับเจ็ดหรือ? แน่ล่ะว่าสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์มันคงไม่ใช่อะไรที่จะได้มาง่ายๆ เช่นนั้น!”


เหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายต่างแสดงใบหน้าผิดหวังออกมา เพราะแม้แต่จีคังก็ยังมิกล้าท้าทายระดับเจ็ด การที่พวกเขาจะเข้าไปท้าทายมันก็คงเท่ากับรนหาที่ตาย


แม้ว่าสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์จะมีค่ามากเพียงใด มันก็ไม่มากพอจะแลกกับชีวิต!


ไม่นานร่างของจีคังก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งที่อีกด้านของมหาค่ายกล


ดูท่าแล้วเขาคงไปได้สมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำจากที่ไหนสักแห่งมา


แต่ทว่าใบหน้าของเขานั้นไม่มีความยินดีอยู่เลย


สมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำนั้นมันอาจจะเป็นของดี แต่กับเขาแล้วมันก็เป็นได้แค่ของประกอบฉากชิ้นหนึ่ง


เมื่อสองคนนี้นำทางเข้าท้าทายไปแล้ว มันก็ทำให้เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายหมดความลังเลและเข้าไปท้าทายกันเรื่อยๆ


แต่เหล่ายอดฝีมือนภาสวรรค์ทั้งหลายนั้นไม่มีใครกล้ามากพอที่จะท้าทายระดับสี่เลย


แถมในความเป็นจริงเหล่านักยุทธ์นภาสวรรค์ทั้งหลายนั้น คนที่จะสามารถผ่านสามระดับแรกไปได้มันก็นับว่าน้อยนัก


สิ่งที่พวกเขาได้เห็นอย่างมากมายก็คือการที่ชีวิตของยอดฝีมือต้องดับลงไปในค่ายกลดาบสังหารสวรรค์นี้


ส่วนยอดฝีมือเทพถ่องแท้นั้นมันก็มีหลายคนที่คิดท้าทายระดับสี่ แต่หลังจากเทพถ่องแท้ห้าถึงหกคนได้ตายลงติดๆ กันมันก็ทำให้ไม่มีใครกล้าหาญพอจะท้าทายอีกต่อไป


เย่หยวนกลับมายืนข้างเล้งชิวหลิงตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบได้และพูดขึ้น “ดูท่ารอบนี้มันจะหนักหนาไม่เบา!”


เย่หยวนมองดูจำนวนนักยุทธ์ที่ลดลงอย่างชัดเจนนี้และได้แต่ถอนหายใจยาวออกมา


เล้งชิวหลิงเองก็พยักหน้ารับ “พลังของค่ายกลดาบนี้มันสุดแสนน่ากลัว แม้แต่ท่านจีคังก็ผ่านไปได้แค่หกระดับ”


เย่หยวนพยักหน้ารับ ตอนนี้เขาเองก็เข้าใจถึงพลังของค่ายกลดาบสังหารสวรรค์แล้วไม่น้อย


“ยอดอัจฉริยะที่แย่งชิงเลือดแท้วิหคชาดมาได้ ค่ายกลดาบเช่นนี้มันคงไม่มีทางหยุดเจ้าได้หรอก เหตุใดไม่ลองไปทดสอบดูเล่า? เจ้าคงไม่ได้… กลัวหรอกใช่ไหม? ฮ่าๆ”


ฉูชิงนั้นเฝ้ามองดูสถานการณ์อยู่ตลอดมา เหตุผลที่จนตอนนี้เขาก็ยังไม่คิดจะไปท้าทายก็เพื่อรอให้เย่หยวนเข้าไปก่อน


เย่หยวนนั้นได้ทำให้เขาต้องเสียหน้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้เขาจึงคิดจะใช้ค่ายกลดาบสังหารสวรรค์นี้เพื่อกู้หน้าคืนมาเสียบ้าง


“คุณชายฉู อย่าได้ไปทำให้ผู้คนต้องลำบากใจเลย แค่นภาสวรรค์สามดาวขึ้นไปมันย่อมเท่ากับรนหาที่ตาย”


“ต่อให้มันจะไปกินใจหมีดีเสือที่ไหนมามันก็คงไม่กล้าหรอก?”


“นี่เด็กน้อย เจ้ามีหน้าที่มอบเลือดแท้วิหคชาดให้แม่นางเล้ง ตอนนี้ก็อย่าได้ยอมเสียหน้าไปทำตัวเท่อวดสาวหน่อยเร็ว”



เมื่อฉูชิงเปิดปากพูดมันก็ทำให้เหล่าคนหนุ่มหลายคนมาร่วมวงบีบล้อมเย่หยวนด้วย


ในสายตาของพวกเขาทั้งหลายแล้วฉูชิงและเล้งชิวหลิงนั้นเป็นคนที่มีดวงชะตายิ่งใหญ่อย่างแท้จริง การเดินทางมาในครั้งนี้พวกเขาทั้งสองเองก็เป็นคนรุ่นหนุ่มสาวที่ได้รับประโยชน์กลับไปมากที่สุดด้วย


ส่วนเย่หยวนนั้นเป็นได้แค่ตัวตนไร้ค่า


ที่ว่ามอบเลือดแท้วิหคชาดให้นั้นมันมีใครบ้างที่ได้เห็น?


ที่ว่าสังหารซัวหานด้วยดาบเดียวเองก็ดี เรื่องนั้นพวกเขาทั้งหลายเองก็ไม่ได้เชื่ออย่างเต็มอก


นภาสวรรค์สามดาวนั้นสุดท้ายก็ยังเป็นแค่นภาสวรรค์สามดาว หากพวกเขาทั้งหลายไม่ได้เห็นพลังด้วยตาตนเองมันย่อมไม่มีใครเชื่อลงว่าเย่หยวนจะสังหารซัวหานได้


ต่อให้สังหารได้จริงมันก็คงใช้วิธีการเล่ห์กลใดๆ สักอย่าง!


แน่นอนว่าแม้จะได้ยินคำยุยงเช่นนั้นเย่หยวนก็ย่อมไม่คิดหวั่นไหว เขาแค่ตอบกลับไป “ข้าว่าเจ้ามากกว่าล่ะมั้งที่ปอดแหก?”


ฉูชิงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกทันที “เจ้าจะบอกว่าข้าเป็นพวกไม่เอาไหนอย่างนั้นหรือ?”


“เจ้าคิดอยากสังหารข้าด้วยค่ายกลดาบสังหารสวรรค์แต่กลับมาใช้วิธีบีบบังคับโง่ๆ เช่นนี้ ไม่เรียกว่าขยะแล้วจะให้เรียกว่าอะไร? หากเจ้ากล้าท้าทายข้าว่าใครกันที่จะผ่านระดับไปได้สูงกว่ากัน ข้าคงมองเจ้าดีกว่านี้ได้หน่อย” เย่หยวนบอก


ฉูชิงหน้าเปลี่ยนสีสลับไปมาระหว่างขาวและเขียว ตอนนี้แผนการทั้งหลายทั้งสิ้นของเขาถูกเย่หยวนมองออกมาในพริบตา


“ว่ามาขนาดนี้แล้วเจ้ามันก็ยังคงปอดแหกไม่กล้าที่จะเข้าค่ายกลดาบ!” ฉูชิงร้องบอกในที่สุด


ค่ายกลดาบนี้มันมีพลังที่สุดแสนรุนแรงจนทำให้นักยุทธ์อย่างคนกลัวหัวหด


เหล่านภาสวรรค์ที่อ่อนแอหน่อยตอนนี้พวกเขาย่อมล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปด้านในแล้ว พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะสามารถผ่านสามระดับแรกไปได้เสียด้วยซ้ำ


เพราะฉะนั้นฉูชิงจึงคิดว่าพลังฝีมืออย่างเย่หยวนเองก็คงไม่กล้าเข้าไปในค่ายกลดาบเช่นกัน


เย่หยวนหัวเราะออกมา “หากเจ้าอยากเล่นขนาดนั้นข้าก็ย่อมจะสนองให้ เจ้าไปท้าทายก่อนเลย หากระดับที่ข้าผ่านได้มันน้อยกว่าเจ้าแล้วเรื่องราวภายหลังนี้ข้าจะไม่ขอเข้าร่วมด้วย”


“เย่หยวน เจ้าอย่าพูดเช่นนั้น!” เล้งชิวหลิงหน้าถอดสีร้องบอกทันที


นางรู้ดีว่าเย่หยวนนั้นมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำ แต่พลังของค่ายกลดาบนี้แม้แต่จีคังก็ไม่อาจกล้าจะท้าทายต่อไปถึงระดับเจ็ด แค่นี้ก็แสดงอย่างชัดเจนแล้วว่ามันน่ากลัวเพียงใด


คำท้าของเย่หยวนนี้มันอาจทำให้เขาต้องตายลง


ฉูชิงหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ย่อมได้ ข้าจะขอตัวไปท้าทายมันก่อนล่ะ! ถึงเวลานั้นเจ้าอย่าได้กลัวจนฉี่ราดไปก่อนล่ะ! ฮ่าๆ”


ตามมาด้วยเสียงโห่จากรอบทิศเพราะพวกเขาทั้งหลายนั้นไม่ได้ชอบการ ‘ท้าทาย’ นี้ของเย่หยวนเลย


ได้ยินคำท้าอันน่าขันของเย่หยวนฉูชิงก็ย่อมตื่นเต้นดีใจขึ้นอย่างมาก


ตอนนี้เขาจะสามารถทำให้เย่หยวนเสียหน้าของเล้งชิวหลิงได้แล้ว


ฉูชิงเองก็มิใช่คนที่อ่อนแอนัก เขารีบกระโดดก้าวเข้าไปในค่ายกลดาบสังหารสวรรค์อย่างฉับพลัน


เมื่อเข้ามาในค่ายกลดาบแล้วเขาก็พบกับดาบแสงมากมายที่เข้าปะทะ


ฉูชิงนั้นมีพลังฝีมือที่ไม่อ่อนแอ แน่นอนว่าของเช่นนี้มันย่อมไม่สามารถที่จะสร้างบาดแผลใดๆ ให้แก่เขาได้


“พี่ฉูช่างมีพลังฝีมือสูงล้ำฟ้า!”


“เขานั้นผสานแนวคิดแห่งดาบเข้ากับแนวคิดแห่งสายฟ้าและไฟ สองยอดแนวคิด แถมตอนนี้เขายังหลอมเลือดแท้พยัคฆ์ขาวมาได้ แน่นอนว่าพลังฝีมือของเขามันย่อมพัฒนาขึ้นอย่างเหนือล้ำ”


“สามระดับแรกไม่น่าจะเป็นปัญหาแน่ ตราบเท่าที่เขาสามารถผ่านสามระดับแรกไปได้ มันย่อมหมายความว่าเย่หยวนต้องผ่านไปถึงระดับหก! หึ ไอ้เด็กคนนั้นมันคงกลัวจนขี้หดตดหายหมดแล้วล่ะมั้ง”



พลังของค่ายกลดาบสังหารสวรรค์นั้นถูกจัดขึ้นตามกำลังโดยรวมของนักยุทธ์ เมื่อคนแกร่งเข้ามามันก็จะรุนแรง เมื่อคนอ่อนแอเข้ามามันก็จะเบาบาง


ฉูชิงนั้นมีความเข้าใจในแนวคิดอย่างลึกล้ำ แน่นอนว่าเขาย่อมสามารถผ่านสามระดับแรกไปได้อย่างรวดเร็ว


เมื่อค่ายกลเคลื่อนย้ายปรากฏขึ้น เสียงที่ถามนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้งตามๆ กัน


“ข้าขอท้าทายต่อ!” ฉูชิงกล่าวขึ้นมาอย่างไม่คิดจะหยุดลังเล


ฉูชิงนั้นเลือกที่จะท้าทายค่ายกลต่ออย่างที่ไม่มีใครคาดถึง


มหาค่ายกลที่เงียบสงบลงจึงกลับมาบ้าคลั่งอีกครั้ง


ดาบแสงที่พุ่งเข้ามาหาฉูชิงเองก็รุนแรงขึ้นกว่าก่อนอย่างมากมาย

 

 

 


ตอนที่ 1870 ยืนมั่น

 

“ชิ! ฉูชิงนี่กะคิดสังหารเย่หยวนลงเลยเหรอ!”


“แต่เขาจะสามารถผ่านระดับหกไปได้หรือไม่?”


“เมื่อเขากล้า เขาก็ย่อมมีความมั่นใจ! การผสานสามแนวคิดเข้าด้วยกันพร้อมๆ กับสายเลือดพยัคฆ์ขาวมันย่อมทำให้พลังของเขานั้นเหนือล้ำกว่าที่เราจะคิดคาดได้”



การกระทำอันบ้าบิ่นของฉูชิงนี้มันทำให้ผู้คนทั้งหลายแตกตื่นขึ้นทันที


ตั้งแต่เรื่องของเฟนหมิงผ่านไปนักยุทธ์อาณาจักรนภาสวรรค์ก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะท้าทายระดับที่สี่อีกเลย


เพราะค่ายกลเคลื่อนย้ายนั้นมันจะปรากฏขึ้นมาเฉพาะเมื่อผ่านระดับที่สามและหกเท่านั้น


หากคนผู้นั้นไม่อาจผ่านสามระดับพร้อมๆ กันได้ พวกเขาจะก็ต้องพบเจอกับความตายเท่านั้น


ตอนนี้หลายต่อหลายคนต่างหันมามองที่เย่หยวน เท่านี้หากฉูชิงผ่านไปถึงระดับหกได้จริงๆ เย่หยวนก็คงได้ทำเรื่องสนุกๆ ให้พวกเขาดูแล้ว


เว้นเสียแต่ว่าเขาจะกลัวจนฉี่ราดไปก่อน


ฉูชิงนั้นไม่ได้ทำให้ทุกผู้คนผิดหวัง แม้ตอนนี้มันจะลำบากมากแต่เขาก็ยังผ่านระดับสี่ไปได้ในที่สุด


ในระดับที่ห้า พลังสายเลือดพยัคฆ์ขาวในร่างของฉูชิงก็ปะทุขึ้นมาทำให้เขาสามารถทนทานผ่านมาได้


ทุกคนนั้นต่างได้แต่ยืนตกตะลึง รวมไปถึงเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายด้วย เพราะพวกเขาทุกผู้คนต่างรู้สึกอับอายถึงการที่ไร้ความสามารถของตนเอง


ตอนนี้มีนักยุทธ์อาณาจักรนภาสวรรค์กำลังจะผ่านเข้าไปได้ถึงระดับหก!


ส่วนพวกเขาเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายกลับไม่กล้าแม้แต่จะท้าทายระดับนั้น


เหล่ายอดอัจฉริยะนี่มันแตกต่างจากผู้คนทั่วไปเสียจริงๆ


ในค่ายกลดาบระดับที่หกนั้นพลังของมันแสนที่จะรุนแรงทำให้สภาพของฉูชิงที่ต้องปะทะกับเหล่าดาบแสงนั้นแตกต่างจากระดับก่อนๆ มาก บาดแผลบนร่างกายของเขานั้นเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว


ฉูชิงสะบัดดาบ ใช้พลังของสามแนวคิดจนถึงที่สุด ทั้งยังใช้พลังสายเลือดพยัคฆ์ขาวออกมาจนถึงขีดจำกัด


ถึงจะเป็นเช่นนั้นตอนนี้ฉูชิงก็ยังมีสภาพปางตาย หลบรอดเฉียดจุดตายมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง


นั่นทำให้ทุกผู้คนต่างตื่นตะลึง ไม่อาจทราบได้เลยว่าเขาจะสามารถผ่านระดับนี้ไปได้หรือไม่


แต่จู่ๆ ค่ายกลดาบก็เงียบสงบลงก่อนจะเผยให้เห็นค่ายกลเคลื่อนย้าย


ฉูชิงสามารถผ่านระดับที่หกได้!


เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายต่างถอนหายใจยาวออกมา ตอนนี้ฉูชิง นภาสวรรค์หกดาวขั้นสุดคนนี้กลับสามารถผ่านระดับที่หกมาได้จริง!


เรื่องนี้มันจะกลายเป็นความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่ของเขา!


สภาพของฉูชิงในตอนนี้ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ภาพนั้นมันกลับสุดแสนที่จะยิ่งใหญ่ในสายตาของผู้มองดู


นี่คือชายหนุ่มที่ไม่รู้จักคำว่าขีดจำกัด!


จากนั้นฉูชิงก็ค่อยๆ ลากร่างปางตายของตนเข้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้าย


แต่ก่อนจะเข้าค่ายกลเคลื่อนย้ายไปฉูชิงกลับหันมามองดูทางเย่หยวนด้วยสายตาเย้ยหยัน


‘พรึบ!’


สายตาทุกคู่จึงหันมาจับจ้องที่เย่หยวนในทันที


เพราะการอวดอ้างนั้นมันถูกร้องบอกไปทั่ว!


ตามที่เย่หยวนได้อวดอ้างไว้ เขาจะต้องผ่านค่ายกลดาบไปถึงระดับเก้า ถึงจะมีสิทธิในการอยู่ในมิติวิเศษนี้ต่อไป


แต่ค่ายกลดาบระดับเก้านั้นมันเป็นไปได้หรือ?


จีคังเองเป็นถึงเทพถ่องแท้เก้าดาวกลับไม่อาจจะผ่านไปถึงระดับเจ็ดได้


แน่นอนว่าพลังของระดับเก้านั้นมันย่อมไม่มีใครกล้าพอที่จะคาดเดา


เพราะนั่นคือสิ่งต้องห้ามอย่างแท้จริง!


“คุณชายเย่ ถึงตาเจ้าแล้ว! เมื่อสักครู่นี้เจ้าอวดอ้างตัวเองอย่างล้นเหลือตอนนี้เจ้าพร้อมที่จะมุดแผ่นดินหนีรึยัง?” คนที่พูดขึ้นนี้คือยอดอัจฉริยะคนหนึ่งของเมืองหลวงจักรพรรดิเก้าอัคคีนามฉีเหิง


เย่หยวนนั้นแค่มองทีเดียวก็เข้าใจท่าทางของคนผู้นี้ได้ทันที เขานั้นต้องการที่จะประจบฉูชิง


แต่คำพูดนี้ของเขาเหล่าผู้คนต่างไม่คิดว่ามันไม่เหมาะสมเลย


เพราะอย่างไรเสียเย่หยวนก็เป็นคนที่อวดอ้างตัวเองขึ้นมาก่อน


ไม่มีใครคิดว่าเย่หยวนจะเข้าค่ายกลดาบไปอย่างแน่นอนเพราะเย่หยวนคงไม่เอาชีวิตไปทิ้งง่ายๆ


“เจ้าหมาตัวนี้มันมาจากไหนกัน? มาเห่ามาหอนอยู่แถวนี้?” เย่หยวนไม่คิดแม้แต่จะหันไปมองฉีเหิงและกล่าวขึ้นมา


นั่นทำให้ฉีเหิงหน้าแดงก่ำขึ้นทันที “หากถามหาหมา ก็เจ้าน่ะสิหมา?! ตอนนี้เจ้ากลัวจนตัวสั่นเหมือนหมาข้างถนนเลยมิใช่?”


เย่หยวนหัวเราะออกมาเมื่อได้ยิน “เจ้านายเจ้าแค่ผ่านระดับหกของค่ายกลดาบได้แต่ดูเจ้าวางท่าเข้าสิ หากเจ้าอยากเลียเท้าของเขาปานนั้นทำไมเจ้าไปลองเจ้าไปท้าทายค่ายกลดาบด้วยตัวเองเล่า?”


ทุกคนต่างมองดูเย่หยวนด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน จนถึงตอนนี้ปากของเขาก็ยังดีไม่เปลี่ยน


แค่ระดับหก?


ตอนนี้คนที่สามารถผ่านระดับหกไปได้นั้นมันมีเพียงแค่เทพถ่องแท้เก้าดาวอย่างจีคังและฉูชิง นภาสวรรค์หกดาวคนนี้


หากลองคิดดูแล้วมันย่อมมิใช่สิ่งที่เจ้าจะดูถูกได้เลย!


ฉีเหิงหัวเราะขึ้น “ปากดี! ในเมื่อเจ้าไม่กล้าท้าทายค่ายกลดาบทำไมเจ้ายังไม่รีบไสหัวไปให้พ้นอีก? มายืนเสนอหน้าอยู่ตรงนี้เจ้ามันช่างหน้าด้านจริงๆ!”


“ใช่ หน้าด้านจริงๆ! ไม่ว่าจะอย่างไรตอนนี้ฉูชิงก็ผ่านค่ายกลดาบระดับหกไปได้แล้ว ส่วนเจ้าเล่า?”


“รีบๆ ไปให้พ้นเลย อย่ามาขวางหูขวางตา! ทำเช่นนี้มีแต่จะหาเรื่องให้คนดูถูกเปล่าๆ”


เมื่อฉีเหิงพูดขึ้นเสียงของผู้คนรอบๆ ก็ร้องขึ้นตาม


ไม่มีใครคิดว่าเย่หยวนจะกล้าเข้าไปท้าทายค่ายกลดาบ เพราะมันเท่ากับการรนหาที่ตาย


“ข้าไปบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าข้าจะไม่เข้าค่ายกลดาบ?” เย่หยวนถามขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย


นั่นทำให้ทุกผู้คนต่างผงะไปทันที และในเวลานั้นพวกเขาก็ได้เห็นเย่หยวนเดินเข้าไปตบบ่าของฉีเหิง “เบิกตาถั่วๆ ของเจ้าดูให้ดีว่านายของเจ้ามันขยะเพียงใด!”


พูดจบเย่หยวนก็กระโดดส่งตัวเข้าไปในค่ายกลดาบทันที


เรื่องราวทั้งหลายนี้มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครทันทำอะไร รู้ตัวอีกทีก็เห็นเย่หยวนเข้าไปภายในแล้ว


หลังจากฉูชิงผ่านระดับหกไปได้ ทุกคนต่างคาดคิดว่าเย่หยวนนั้นต้องไม่กล้าเข้าท้าทายค่ายกลดาบแล้วแน่นอน


แต่เย่หยวนกลับเข้าไปจนทำให้ผู้คนทั้งหลายตอบรับไม่ถูก


เล้งชิวหลิงเองก็ไม่ทันทำอะไร ก่อนที่นางจะรู้ตัวมันก็สายเกินกว่าที่จะบอกห้ามเย่หยวนไปเสียแล้ว นางจึงได้แต่มองดูเย่หยวนด้วยความเป็นห่วง


เมื่อฉีเหิงเห็นเช่นนั้นเขาก็ยิ้มเย้ยขึ้นมา “หึ เจ้าหมอนี่มันช่างไม่มีความอดทนเสียจริงๆ เดินเข้าไปรนหาที่ตายเช่นนี้”


เมื่อเข้าไปภายในได้แล้วเหล่าดาบแสงทั้งหลายก็พุ่งเข้ามาหาร่างเย่หยวนจากรอบทิศ


แต่เย่หยวนกลับยืนเอามือไขว้หลังอย่างไม่คิดที่จะปัดป้องใดๆ แม้แต่น้อย


ทุกผู้คนได้แต่มองดูอย่างมึนงง เข้าค่ายกลดาบไปแล้วแท้ๆ แต่เจ้าหมอนี่กลับยังคิดจะทำอวดดี


แต่ทว่าพวกเขายังไม่ทันพูดจาเยาะเย้ยใบหน้าของพวกเขาทั้งหลายก็ต้องแข็งค้าง


เพราะในดงดาบแสงนั้น มันกลับไม่มีดาบไหนเลยที่แทงโดนร่างเย่หยวน


สบายจนเกินไป!


ง่ายดายจนเกินไป!


เท่านี้เย่หยวนก็ผ่านระดับหนึ่งมาได้อย่างไม่ต้องขยับแม้สักนิ้ว


“นี่มัน… ไม่จริงใช่ไหม?” ฉีเหิงร้องขึ้นมาด้วยความตกตะลึง


“แนวคิดแห่งห้วงมิตินั้นคือสุดยอดแนวคิด ทำแค่นี้ไม่ได้สิแปลก แต่พลังของค่ายกลดาบนั้นมันจะมีแต่เพิ่มมากขึ้นในระดับสูงๆ การคิดจะใช้วิธีนี้ผ่านทุกระดับมันย่อมเป็นไปไม่ได้! ข้าว่าระดับหน้ามันคงต้องลงมือบ้างแล้ว” จี้ฉุนยืนบอกด้วยสีหน้าไม่พอใจ


เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็ได้เข้าใจทันที


แต่ว่าตอนนั้นเองที่ค่ายกลดาบระดับสองเริ่มทำงานขึ้นมาอีกครั้ง!


เย่หยวนยังคงยืนมั่น!


เหล่าดาบแสงนี้ไม่อาจจะแตะต้องได้แม้แต่ชายเสื้อของเย่หยวน!


นั่นทำให้จี้ฉุนหน้าแข็งค้างไปทันที


ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง!


“ระดับที่สาม มันต้องลงมือในระดับที่สามแน่!” จี้ฉุนกัดฟันบอกขึ้น


และระดับสองก็ผ่านไปได้อย่างไม่ยากเย็น เย่หยวนสามารถผ่านมาได้อย่างง่ายดาย


ระดับที่สาม เย่หยวนก็ยังไม่ขยับ!


“ฮ่าๆ!”


นั่นทำให้ทุกผู้คนหันมามองจี้ฉุนด้วยใบหน้าอมยิ้มก่อนจะหัวเราะลั่นอย่างต่อเนื่อง


จี้ฉุนนั้นมีใบหน้าที่ดำมืดเหมือนก้นหม้อ


เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเย่หยวนจึงได้ยืนนิ่งเหมือนเป็นผาสูงชันท่ามกลางดาบแสงที่บ้าคลั่งนี้ได้!


ส่วนคนอื่นๆ แม้ปากจะหัวเราะแต่จิตใจของพวกเขาก็แตกตื่นไม่น้อยเช่นกัน


สามระดับแรกมันรุนแรงไหม?


มันมีคนตายไปตั้งมากมาย!


แถมหลายๆ คนในจำนวนนั้นยังเป็นถึงยอดฝีมือนภาสวรรค์ขั้นสูงด้วย


แต่เย่หยวนคนนี้เป็นแค่นภาสวรรค์สามดาว


ต่อให้เขาจะใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติมันก็ไม่มีทางใดเลยที่เขาจะยืนนิ่งได้ตลอดเช่นนี้


สามระดับแรกนี้มันจะผ่านไปอย่างง่ายดายจนเกินไปไหม?

 

 

 


ตอนที่ 1871 ความน่ากลัวของค่ายกลดาบสา...

 

“ท้าทายต่อ!”


เย่หยวนไม่คิดที่จะลังเลแม้แต่วินาทีเดียว เลือกที่จะท้าทายต่อในทันที


สำหรับคนอื่นๆ แล้วค่ายกลดาบสังหารสวรรค์นี้มันเป็นสิ่งที่ใหญ่ยิ่งสามารถพรากชีวิตพวกเขาทั้งหลายไปได้ง่ายๆ


แต่กับเย่หยวนแล้วมันไม่สามารถจะทำอะไรได้มากมาย


ที่เขาผ่านรอบแรกมาได้อย่างง่ายดายนั้นก็มิใช่เพราะแนวคิดแห่งห้วงมิติเสียด้วยซ้ำ


การกลับมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นมันก็เหมือนได้กลับบ้านเกิด ตราบเท่าที่เย่หยวนปล่อยคลื่นเต๋าสวรรค์ของจอมเทพนิรันดร์ออกมา ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลดาบที่แข็งแกร่งปานใดมันก็ไม่มีทางทำอันตรายเขาได้เลย


ค่ายกลดาบสังหารสวรรค์มันก็ไม่มีข้อยกเว้น กับเลือดแท้วิหคชาดเองก็เช่นกัน ทุกสิ่งอย่างมันล้วนดำเนินไปเช่นนี้


เย่หยวนนั้นมีไข่มุกสยบวิญญาณและศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ สองสมบัติวิญญาณอยู่กับตัวมีหรือที่กับดักของจอมเทพนิรันดร์จะทำอันตรายใดๆ ต่อเขาได้?


ในค่ายกลดาบระดับที่สี่ จู่ๆ คนทั้งหลายก็เห็นพลังของมันที่เพิ่มพูนขึ้น


ตอนนี้เย่หยวนจึงเริ่มลงมือ


แต่การลงมือของเขานั้นเรียบง่าย เพียงแค่เขาขยับมือเหล่าดาบแสงทั้งหลายมันก็ถูกปัดออกไปอย่างง่ายดาย


เหล่าดาบแสงที่ว่ารุนแรงนั้นไม่สามารถจะเข้าถึงตัวเขาได้แม้แต่น้อย


“แข็งแกร่ง! เย่หยวนสามารถผ่านระดับที่สี่ไปได้สบายเสียยิ่งกว่าฉูชิงเสียอีก!”


“ฉูชิงผสานสามแนวคิดเข้าด้วยกัน แถมยังมีเลือดแท้พยัคฆ์ขาวในกายถึงสามารถทำได้ขนาดนั้น แต่เย่หยวนคนนี้… เขาพึ่งพาอะไรกัน?”


ทุกคนต่างมองดูท่าทางสบายๆ ของเย่หยวนด้วยความตื่นตกใจและหวาดกลัว


ตอนนี้เย่หยวนนั้นไม่ได้ใช้พลังของเต๋าสวรรค์อีกแล้ว


ฉูชิงที่ผสานสามแนวคิดเข้าด้วยกันนั้นมันอาจจะฟังดูแข็งแกร่งแต่การผสานสามแนวคิดเข้าด้วยกันมันย่อมจะทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะเข้าใจแนวคิดแต่ละแนวคิดของเขาช้าลงไปด้วยอย่างมาก


แม้ว่าฉูชิงจะมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำกว่าคนรุ่นเดียวกันไปอย่างมากหลังผสานแนวคิดทั้งสามได้แต่มันก็ยังไม่พอหากเขาคิดอยากกระโดดข้ามสองถึงสามดาวไปสู้อย่างที่เย่หยวนทำ


แถมตอนนี้เย่หยวนยังบรรลุแนวคิดแห่งดาบมาถึงห้าดาวขั้นกลาง แนวคิดแห่งห้วงมิติถึงสี่ดาวขั้นสุด


แน่นอนว่าเมื่อนำทั้งสองแนวคิดนี้มาผสานกันมันจะสร้างพลังที่เหนือล้ำกว่าใครๆ


ค่ายกลดาบสังหารสวรรค์นี้มันจะทำการประเมินโดยรวมถึงพลังของผู้ท้าทายและพลังคล้ายๆ นภาสวรรค์สามดาวอย่างเย่หยวนมันย่อมไม่ถูกประเมินไว้สูง ทำให้เขาสามารถผ่านระดับที่สี่มาได้อย่างไม่ยากนัก


หลังจากนั้นไปก็เป็นระดับที่ห้า ระดับที่หก สุดท้ายเย่หยวนก็สามารถผ่านบรรลุมาได้จริงๆ


เมื่อค่ายกลเคลื่อนย้ายปรากฏขึ้นมาอีกครั้งทุกคนต่างแทบลืมหายใจ


เขาจะเลือกท้าทายต่อหรือไม่?


“เจ้าสามารถเลือกที่จะออกไปหรือท้าทายต่อได้!” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง


ที่ส่วนลึกที่สุดของมหาค่ายกลตอนนี้ฉูชิงนั้นเดิมทีกำลังดีใจเพราะสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำที่ได้มาไว้ในมือ


แต่ทว่าตอนนี้ใบหน้าของเขากลับเหยเกอย่างถึงที่สุด


เขาจ้องมองดูเย่หยวนหวังเพียงแค่ว่าอีกฝ่ายจะเลือกการท้าทายต่อไป


เพราะเขามั่นใจมากว่าเย่หยวนจะไม่สามารถผ่านสามระดับหลังสุดไปได้แน่


สามระดับหลังนี้ มันไม่เคยมีใครกล้าที่จะเข้าไปท้าทายมาก่อน


“ท้าทายต่อ!” เย่หยวนกล่าว


นั่นทำให้สติของหลายๆ คนต้องสั่นสะท้าน ไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนจะกล้าทำการท้าทายต่อเช่นนี้


เพื่อที่จะข่มฉูชิง เขากลับไม่คิดรักชีวิตตัวเองอีกแล้วหรือ?


หลายๆ คนที่เห็นเรื่องราวต่างก็มองออกว่าระดับที่หกนั้นมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ง่ายกับเย่หยวนนัก แม้มันจะไม่ได้ลำบากถึงขั้นฉูชิงแต่มันก็คงเป็นภาระที่หนักไม่น้อยแก่เขา


สามระดับสุดท้ายนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะสามารถผ่านไปได้!


ระดับที่เจ็ดนั้นไม่ได้เปิดใช้งานขึ้นในทันที


ก่อนที่มันจะเปิดใช้มันกลับมีพลังทำลายล้างได้พวยพุ่งออกมายังพื้นที่รอบๆ


‘ฟุ ฟุ ฟุ…’


เหล่านักยุทธ์หลายคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ค่ายกลถึงกับถูกคลื่นพลังนี้ทำลายจนแหลกสลายลง!


นั่นทำให้สีหน้าของเหล่านักยุทธ์ทั้งหลายถอดสีและรีบพุ่งตัวถอยหลังกลับออกมาทันที


ค่ายกลดาบระดับเจ็ดนั้นช่างมีพลังที่แสนน่ากลัว แค่พลังที่ถูกปล่อยออกมารอบๆ มันก็มากพอที่จะระเบิดร่างของนักยุทธ์อาณาจักรนภาสวรรค์ทิ้งไปได้


เย่หยวนที่อยู่กลางดงพลังนี้จะต้องพบเจอแรงกดดันแค่ไหนมันก็คงไม่อยากที่จะเดา


นั่นทำให้สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปที่เย่หยวน


“นี่มัน… ต้องมีคนได้ตายแน่! เย่หยวนประเมินพลังของตนสูงเกินไป!”


“นี่หรือคือพลังของเทพสวรรค์? เด็กคนนี้มันต้องตายลงแน่!”


“ระดับเจ็ดยังน่ากลัวขนาดนี้ ถ้าเป็นระดับแปดหรือเก้ามันจะน่ากลัวขนาดไหนกัน?”



ใบหน้าของทุกผู้คนในตอนนี้มันแสดงอารมณ์ที่หลากหลายออกมาอย่างถึงที่สุด นี่คือพลังของค่ายกลดาบระดับเจ็ด พลังที่พวกเขาทำได้แค่ชื่นชม!


พลังทำลายล้างที่มันปล่อยออกมานี้ทำให้พวกเขาทั้งหลายได้รับรู้ถึงพลังของจอมเทพนิรันดร์


และในตอนนี้เองที่ค่ายกลดาบระดับเจ็ดก็ได้เปิดใช้งานขึ้น!


ดาบแสงจำนวนนับไม่ถ้วนต่างพุ่งเข้ามายังร่างของเย่หยวน


เหล่ายอดฝีมือด้านนอกทั้งหลายนั้นต่างไม่อาจมองเห็นร่างกายของเย่หยวนได้อีกต่อไป


“ฮ่าๆ…ไอ้โง่! ขอดูหน่อยเถอะว่าเจ้าจะรอดมาได้อีกไหม!” เมื่อฉูชิงเห็นเช่นนั้นเขาก็หัวเราะลั่นขึ้นมา


ส่วนจีคังนั้นกำลังถอนหายใจครั้งใหญ่ด้วยความโล่งอก


เพราะเขานั้นรู้สึกโล่งอกที่ตัวเองไม่ได้เข้าไปท้าทายระดับเจ็ดเช่นนี้!


จีคังลองประเมินดูแล้วและคิดว่าหากเขาเข้าไปท้าทายค่ายกลดาบระดับเจ็ดจริงๆ เขาคงได้ตายลงแน่!


เวลาค่อยๆ เลื่อนผ่านไปจนในที่สุดดาบแสงมันก็เบาบางลง


แต่นั้นทำให้ทุกผู้คนต้องหรี่ตามองดูร่างที่อยู่กลางค่ายกลอย่างไม่อยากเชื่อสายตา


“นี่มัน… เป็นไปไม่ได้! พลังที่รุนแรงปานนั้นทำไมมันถึงยังรอดออกมาได้?” ฉูชิงมองดูภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา


เขาไม่นึกไม่ฝันว่าเขาจะได้เห็นร่างของเย่หยวนอีกครั้ง เพราะภายใต้พลังทำลายล้างที่มหาศาลเช่นนั้นแม้แต่ศพของเย่หยวนมันก็ไม่น่าจะเหลือซากอยู่อีกต่อไปแล้ว


แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับยืนอยู่ตรงนั้น


แม้ว่าบนร่างนั้นของเขาจะมีบาดแผลอยู่ไม่น้อย


แต่เย่หยวนก็ยังยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมหลับตานิ่ง


บนดาบฝ่าน้ำค้างแข็งนั้นมีเลือดไหลท่วมลงมาตั้งแต่ด้ามจรดปลาย


แค่นั้นมันก็มากพอจะบอกแล้วว่าสภาพของเย่หยวนในตอนนี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่ลมหายใจสบายๆ ของเขากลับทำให้ทุกคนไม่อาจคิดว่าเขากำลังลำบากได้เลย


“เป็นไปได้อย่างไร? เขาสามารถผ่านระดับที่เจ็ดมาได้ บ้าไปแล้ว!”


“หรือว่าแท้จริงแล้วเขาจะมีพรสวรรค์เหนือล้ำยิ่งกว่าฉูชิง?”


“แต่… แม้แต่ท่านจีคังก็ยังไม่มีความอาจหาญพอจะไปท้าทายค่ายกลดาบระดับเจ็ดเลยนะ!”



เสียงโห่ร้องแสดงความคิดเห็นดังขึ้นทั่วเพราะผลงานนี้ของเย่หยวนมันเหนือล้ำกว่าที่ทุกผู้คนคาดคิดไปมาก


เดิมทีพวกเขาทั้งหลายต่างคิดว่าเย่หยวนที่เป็นแค่นภาสวรรค์สามดาวย่อมจะไม่มีทางผ่านสามระดับความยากแรกของค่ายกลดาบไปได้เสียด้วยซ้ำ


แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับสามารถผ่านไปได้ถึงระดับเจ็ด


พลังที่น่ากลัวเช่นนี้มันย่อมทำให้ผู้คนหวั่นไหว


ในพริบตา ค่ายกลดาบระดับแปดก็เริ่มทำงานขึ้น


ตอนนี้พลังที่มันส่งออกมานั้นเหนือล้ำกว่าระดับที่เจ็ดอย่างหลายเท่าตัว!


ฉูชิงด่าแช่งให้เย่หยวนรีบๆ ตายลงในใจเพราะเขาไม่เชื่อว่าเย่หยวนจะสามารถผ่านไปได้ถึงระดับแปด


แต่เมื่อค่ายกลดาบจบลงเย่หยวนกลับยังยืนนิ่งอยู่ในท่าเดิม โดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ


และที่ที่เขายืนอยู่นั้นมันก็คือที่เดิม อย่างที่ไม่มีการขยับเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย


ทุกคนต่างมองดูภาพตรงหน้าอย่างมึนงงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?


หรือว่าเย่หยวนจะสามารถผ่านระดับแปดมาได้โดยไม่ต้องขยับเคลื่อนไหวร่างกายเลย?


ค่ายกลดาบระดับเก้าทำงานขึ้นมาส่งพลังอันมหาศาลมายังร่างของจีคัง ทำให้แม้แต่เทพถ่องแท้เก้าดาวคนนี้ก็ยังแทบหน้ามืด


น่ากลัวนัก!


“น่าสนใจจริงๆ!” ภายในทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของจี้ฉุน เทพสวรรค์โหมวหยู่ได้พูดขึ้นมา


จี้ฉุนได้แต่ขมวดคิ้วแน่นพร้อมบอกขึ้น “ใช่! เจ้าเด็กคนนี้มันแปลกมากจริงๆ!”


เทพสวรรค์โหมวหยู่ยิ้มตอบ “เจ้าสัมผัสไม่ได้หรือ?”


“สัมผัสอะไร?”


“เด็กคนนี้มันกำลังทำความเข้าใจดาบ!”


“ทำความเข้าใจดาบ? มันกำลังทำความเข้าใจในค่ายกลดาบสังหารสวรรค์นี้? เจ้าพูดจาบ้าบออะไรของเจ้าออกมากัน!” จี้ฉุนร้องขึ้นอย่างไม่คิดเชื่อ


“หึ หากข้าเดาไม่ผิด หลังจากระดับที่เก้าจบลงมันก็จะยังยืนนิ่งในท่าเดิม ระดับที่แปดและเก้านี้มันจะไม่ขยับตัวแม้สักก้าว” เทพสวรรค์โหมวหยู่พูดคำพูดแสนน่าเหลือเชื่อออกมา


จี้ฉุนได้แต่พูดขึ้นอย่างไม่อยากคิดเชื่อ “เรื่องเช่นนั้นมันย่อมไม่มีทางเป็นไปได้!”


เทพสวรรค์โหมวหยู่ยิ้ม “หากข้ามองไม่ผิด ขีดจำกัดพลังของเด็กคนนี้มันจะอยู่ที่ระดับเจ็ด! สองระดับสุดท้ายนี้เด็กคนนี้มันไม่ได้ใช้พลังของตัวเองเลยแม้แต่นิด!”

 

 

 


ตอนที่ 1872 ธงศึกดาวฤกษ์

 

“ไม่ใช่พลังของตน? แล้วมันจะเป็นพลังอะไรกันที่สามารถป้องกันพลังที่แข็งแกร่งปานนั้นได้?” จี้ฉุนถามขึ้น


เทพสวรรค์โหมวหยู่ยิ้มตอบ “ดูท่าแล้ว… เด็กคนนี้มันคงมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับจอมเทพนิรันดร์แน่!”


จี้ฉุนเบิกตากว้างด้วยความรู้สึกที่เหมือนทุกสิ่งอย่างมันกระจ่างชัดขึ้นมา


ตอนนั้นเองก็เป็นเวลาที่ดาบแสงจางลงเผยให้เห็นเงาร่างของเย่หยวนอีกครั้งที่ยังคงยืนอยู่ในท่าเดิม


ทุกผู้คนต่างแทบลืมหายใจด้วยความรู้สึกที่ว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นมาตรงหน้า!


“สมบัติวิญญาณเทพสวรรค์! เขากำลังจะได้สมบัติวิญญาณเทพสวรรค์มาครองแล้ว!”


ก่อนหน้านี้ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่หยวนนั้นจะสามารถผ่านค่ายกลดาบระดับเก้ามาได้จริง


แต่เมื่อเขาผ่านมาได้จริงแล้ว มันก็ย่อมจะหมายความว่าเย่หยวนนั้นกำลังจะได้ครองสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์


เรื่องนี้มันทำให้ผู้คนแทบคลั่งตาย!


เย่หยวนค่อยๆ เปิดตาลืมขึ้นพร้อมพลังคลื่นดาบที่พวยพุ่งออกมาจากร่างของเขาอย่างรุนแรง


ตอนนี้แนวคิดแห่งดาบของเย่หยวนนั้นได้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นจนถึงห้าดาวขั้นปลายแล้ว!


อย่างที่เทพสวรรค์โหมวหยู่ได้ว่าไว้ ที่ผ่านมาสองระดับนี้เย่หยวนได้กำลังทำความเข้าใจในดาบอยู่จริงๆ


“ยินดีด้วยที่ผ่านค่ายกลดาบสังหารสวรรค์มาได้ ตอนนี้เจ้าจะได้รับสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์… ธงศึกดาวฤกษ์ไป!”


จากนั้นแสงดาวบนท้องฟ้ามันก็ร่วงลงมาอยู่ในมือของเย่หยวนเปลี่ยนกลายเป็นผืนธงใบเล็กสีดำ


เจ้าธงผืนน้อยนี้มันให้ความรู้สึกอันแสนล้ำค่าอย่างที่ไม่อาจหยั่งถึงทำให้นักยุทธ์ทั้งหลายต้องหันมามองด้วยความริษยา


เย่หยวนขยับข้อมือและส่งธงผืนน้อยนี้หายไปในอากาศ


จากนั้นไปเขาก็ค่อยๆ เดินไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายตรงหน้า


เมื่อแสงสว่างขึ้นร่างของเย่หยวนก็ได้ปรากฏที่อีกฝั่งหนึ่งของค่ายกลดาบสังหารสวรรค์


‘ฟุบ!’


จากนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งพุ่งตัวเข้าไปในค่ายกลดาบสังหารต่อทันที


เมื่อทุกคนหันไปมองมันก็สายไปเสียแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าจะใครก็ตามที่ยังอยู่ด้านนี้ต่างแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาอย่างชัดเจน


“ให้ตาย โดนเจ้านั่นตัดหน้าไปจนได้!” เทพถ่องแท้หลายคนต้องกระทืบเท้าลงทันที


เย่หยวนนั้นสามารถผ่านค่ายกลดาบสังหารสวรรค์นี้ไปได้และข้ามไปอยู่ยังอีกฝั่งของค่ายกลแล้วเรียบร้อย


ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ผ่านค่ายกลไปก่อน ก็ย่อมจะมีโอกาสเข้าไปแย่งชิงสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ชิ้นนั้น


ในเวลาเช่นนี้มันย่อมเป็นการแข่งขันของความเร็ว


และคนที่ตอบสนองได้รวดเร็วที่สุดก็คือจี้ฉุน


มหาค่ายกลนั้นทำงานขึ้นอีกครั้งแน่นอนว่าสามระดับแรกมันย่อมไม่มีทางทำอะไรเขาได้


เมื่อเย่หยวนปรากฏร่างขึ้นมาที่อีกฝั่งบรรยากาศที่อีกด้านของค่ายกลมันก็เปลี่ยนไปทันที


“ฉูชิง ข้าได้ลองเจ้ามหาค่ายกลนี้ดูแล้วนะ แต่มันก็เท่านี้ เจ้าที่ไม่กล้าแม้แต่จะท้าทายระดับเจ็ดมันย่อมอ่อนแออย่างหามิได้!” เย่หยวนนั้นเหมือนจะไม่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศตอนนี้และมองดูฉูชิงด้วยรอยยิ้มที่เย็นเยือก


ฉูชิงได้แต่ยืนทื่อพร้อมนึกย้อนกลับไปถึงคำพูดของตัวเองก่อนหน้านี้ ตอนนี้เขาจึงแทบจะอยากมุดแผ่นดินหนีไปให้มันรู้แล้วรู้รอด


เย่หยวนนั้นท้าทายค่ายกลดาบสังหารสวรรค์นี้และบดขยี้เขาลงได้อย่างไม่มีชิ้นดี


ฉูชิงนั้นไม่อาจรู้ได้เลยว่าเย่หยวนรอดออกมาได้อย่างไรกันแน่


แต่ตอนนั้นเองที่จู่ๆ ฉูชิงก็รู้สึกได้ถึงมือที่มาตบลงยังบ่าก่อนจะหันไปเจอใบหน้าของจีคังเข้า


เวลานี้เขาจึงกลับมาตั้งสติได้


เย่หยวนจะผ่านค่ายกลดาบสังหารสวรรค์มาได้แล้วทำไม?


ผู้ร่ำรวยนั้นย่อมเสียท่าให้แก่ความโลภของโจรร้าย!


ตอนนี้การที่เย่หยวนมีสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ในครอบครองมันทำให้เขานั้นได้กลายเป็นศัตรูกับทุกผู้คน


เขาหันไปมองดูรอบๆ และก็พบสายตามากมายที่มองดูเย่หยวนราวสัตว์ป่าที่หิวโหย


“หึ แล้ว? เมื่อต้องเจอกับความตายเจ้าจะยังมีปัญญามาสนใจข้าอีกหรือ?” ฉูชิงหัวเราะเย้ย


จีคังหันมาบอกเย่หยวน “ส่งสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์มาแล้วข้าจะทำให้เจ้าไม่ต้องเจ็บตัวมาก”


“จีคัง เจ้าคิดอยากยึดครองสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ไปไว้คนเดียว?”


ตอนนั้นเองที่เหล่าเทพถ่องแท้ขั้นปลายอีกหลายคนต่างพูดขึ้นมาตามๆ กันด้วยสีหน้าไม่ค่อยเป็นมิตร


จีคังนั้นตอบกลับไปด้วยใบหน้าเฉยชา “พวกเจ้าทั้งหลายกล้าต่อต้านยอดเมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์กว้างข้า?”


เหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายจึงกล่าวบอกขึ้น “ฮ่าๆ จีคัง เจ้าจะเล่นตลกหรือ? ในมิติวิเศษนั้นเจ้ากลับคิดใช้ชื่อยอดเมืองหลวงมาข่มขู่ผู้คน? ตราบเท่าที่เราได้รับสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ใครจะกล้ารับรองว่าพวกเราทั้งหลายจะไม่สามารถกลายเป็นเทพสวรรค์ได้บ้าง? ถึงเวลานั้นข้ายังต้องมากลัวยอดเมืองหลวงอันแสนยิ่งใหญ่ของเจ้าอีกหรือ?”


เมื่ออยู่ต่อหน้าสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์เช่นนี้มันย่อมไม่มีใครจะใจเย็นได้


จีคังขมวดคิ้วแน่น “แค่ขยะอย่างพวกเจ้าก็คิดกล้าแย่งสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ไปจากข้า? เจ้าไม่รู้สึกหรือตอนที่ผ่านค่ายกลดาบสังหารสวรรค์มา? ว่าตอนนี้เราไม่จำเป็นต้องกดทับพลังบ่มเพาะอีกต่อไปแล้ว?”


‘ปัง!’


บนร่างของจีคังปรากฏคลื่นพลังอันน่ากลัวแผ่ออกมาทำให้เหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายต้องหน้าถอดสีไปทันที


เทพถ่องแท้เก้าดาว!


นี่คือพลังของเทพถ่องแท้เก้าดาวอย่างแท้จริง!


เจ้าค่ายกลดาบสังหารสวรรค์นี้มันเป็นเหมือนน้ำล้างตัวที่พอพวกเขาทั้งหลายผ่านค่ายกลมาได้แล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม


เมื่อได้พลังดั้งเดิมของตนกลับมาจีคังย่อมเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย


เหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายนั้นแม่จะเป็นเทพถ่องแท้แปดดาวก็ไม่อาจต้านทานเขาได้


แต่เทพถ่องแท้คนที่พูดขึ้นมาทีแรกกลับไม่ยอมแพ้ “เรามีกันตั้งมากมายจะไปกลัวมันทำไม? มันนั้นคือเทพถ่องแท้เก้าดาว หาใช่เทพสวรรค์ไม่ หากเราร่วมมือกันมันก็ไม่แน่หรอกว่ามันคนนี้จะต้านทานเราได้!”


จีคังหรี่ตามองอย่างรุนแรงไปยังเหล่าเทพถ่องแท้ภายใต้ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์กว้าง “พวกเจ้าทั้งหลายเล่า? คิดจะร่วมมือกับคนเถื่อนเหล่านี้จัดการข้าหรือไม่?”


คนทั้งหลายนั้นหันไปมองหน้ากันด้วยความลังเล


เพราะตำแหน่งของพวกเขาในตอนนี้มันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก


จะบอกว่าพวกเขาไม่ได้สนใจในสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์มันก็คงมิใช่


แต่หากพวกเขาทั้งหลายนี้ลงมือแล้วมันจะไม่มีทางถอนตัวได้อีกเลย


‘ปัง!’


เวลานั้นเองที่เกิดพลังอันรุนแรงอีกสายหนึ่งปะทุขึ้นมาแถมยังสามารถยืนหยัดเทียบเคียงกับจีคังได้!


เทพถ่องแท้เก้าดาวอีกคน!


เทพถ่องแท้เก้าดาวคนนั้นหัวเราะบอก “หึๆ จีคัง มันก็จริงที่ว่าเจ้านั้นมาจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์กว้าง แต่เจ้าเองก็เป็นแค่เทพถ่องแท้เก้าดาว เจ้ามีสิทธิ์ใดไปสั่งให้พวกเขาทั้งหลายถอนตัว? สมบัติวิญญาณเทพสวรรค์นั้นได้รับมาตามโชคชะตาของแต่ละคน เจ้าจะไม่ใช้ชื่อยอดเมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์กว้างมากเกินไปหน่อยหรือ?”


ตอนนี้เป็นครั้งแรกที่จีคังเกิดเปลี่ยนสีหน้าขึ้นมา


“หยางอี้เต่า! ที่แท้เจ้าก็ปกปิดพลังมาตลอด!” จีคังหรี่ตามองไปที่อีกฝ่าย


พวกเขาทั้งหลายนั้นตื่นตกใจอย่างมาก เพราะหยางอี้เต่าคนนี้คือนักยุทธจรคนหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมด้วยคลื่นพลังของเทพสวรรค์เจ็ดดาว


แต่ตอนนี้เขากลับสามารถปล่อยพลังของเทพสวรรค์เก้าดาวออกมาได้!


แน่นอนว่าเขานั้นคิดปกปิดพลังฝีมือตลอดมาเพื่อหลอกลวงผู้คน


หยางอี้เต่ายิ้มเย้ย “จีคัง ตอนนี้หยางคนนี้จะมีสิทธิ์พอท้าทายเอาสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์นี้ไปจากเจ้าไหม?”


พูดจบเขาก็หันไปพูดกับเย่หยวนต่อ “เด็กน้อย เจ้านั้นมีพรสวรรค์ที่ไม่เลว จะมาตายตรงนี้มันคงน่าเสียดายเกินไป ส่งสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์มาให้ข้าแล้วข้าจะรับประกันชีวิตเจ้าให้!”


จีคังหรี่ตามองทันที “เย่หยวน ตราบเท่าที่เจ้าส่งสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์มาให้ข้า ข้าจะพาเจ้าเข้าไปฝึกฝนที่ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์กว้างอย่างจริงจัง! ด้วยพรสวรรค์ของเจ้ามันคงทำให้ทั้งโลกต้องตื่นตะลึงอย่างแน่นอน!”


พรสวรรค์ของเย่หยวนนั้นทุกผู้คนต่างเห็นมากับตาแล้ว มันย่อมไม่มีทางเป็นของปลอมไปได้


ในหัวใจของพวกเขาทั้งหลาย ไม่มีใครที่ไม่คิดยอมรับในตัวเย่หยวน


แต่ว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จิตใจของผู้คนมันก็หยาบช้า ต่อให้จะมีพรสวรรค์ไปแล้วมันจะทำอะไรได้?


เทพถ่องแท้แปดดาวคนก่อนหน้านั้นก็พูดขึ้นมาบ้าง “หึ! เทพถ่องแท้เก้าดาวมันเก่งกาจมากนักหรือ? เรื่องที่พวกเจ้าทั้งสองพูดมามันก็เหมือนการผายลม คิดว่าเย่หยวนจะโง่ปานนั้น? เย่หยวนเจ้าส่งสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์มาให้ข้า ด้วยพวกเราทั้งหลายร่วมมือมันย่อมรักษาชีวิตเจ้าไว้ได้! ข้าซัวพานขอสาบานต่อเต๋าสวรรค์ว่าข้าจะรักษาคำพูดนี้!”


ในเวลานี้เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายต่างไม่คิดยอมแพ้ให้แก่กันพยายามพูดกล่อมให้เย่หยวนส่งมอบสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ให้


จนในที่สุดเย่หยวนที่เงียบมาตลอดก็อดไม่ได้ต้องหัวเราะขึ้นมา


“นี่ พวกเจ้าจะเข้าข้างตัวเองกันไปหน่อยไหม? ข้าไปบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าจะมอบสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์นี้ให้?” คำพูดของเย่หยวนนั้นมันเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยันอย่างถึงที่สุด

 

 

 


ตอนที่ 1873 ก็แค่เท่านี้

 

หยางอี้เต่าหัวเราะลั่นออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “ไม่มอบให้? เจ้าไปกินโอสถผิดขนาดมาหรือ? แค่นภาสวรรค์สามดาวอย่างเจ้านี่หรือที่จะปกป้องสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ได้?”


ต่อหน้ายอดฝีมืออาณาจักรเทพถ่องแท้มากมายขนาดนี้เย่หยวนกลับกล่าวว่าจะไม่มอบสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ให้ มันนับว่าเป็นการกระทำที่ต้องใช้ความกล้าเป็นอย่างมาก


อย่าว่าแต่หยางอี้เต่า จีคังที่เป็นถึงเทพถ่องแท้เก้าดาวนี้ เพราะแม้แต่เทพถ่องแท้หนึ่งดาวนั้นก็ยังสามารถสังหารเด็กหนุ่มอย่างเย่หยวนได้ไม่ยาก


การแข่งขันใดๆ ของฉูชิงกับเย่หยวนนั้นมันเป็นได้แค่การละเล่นของเด็กๆ ในสายตาของยอดฝีมือทั้งหลายนี้


พวกเขาทั้งหลายนี้มีโอกาสที่จะเติบโตเป็นยอดฝีมือได้ แต่มันไม่ได้หมายความว่าพวกเขานั้นคือยอดฝีมือในตอนนี้


ความดื้อรั้นไม่ยอมใครเช่นนี้ของเย่หยวนสุดท้ายแล้วมันจะทำให้ตัวเขาต้องสูญเสียชีวิตไป


เย่หยวนกล่าวขึ้น “หากมีปัญญาก็เข้ามาเอาเองสิ มาข่มเหงรังแกผู้น้อยเช่นนี้แท้ๆ แต่พวกเจ้ากลับยังยืดอกกันอย่างภาคภูมิ พวกเจ้าทั้งหลายนี่มันช่างหน้าไม่อายเสียจริงๆ”


จีคังยิ้มตอบรับ “เด็กน้อย ในโลกใบนี้ผู้แข็งแกร่งนั้นถูกเสมอ! เมื่อไม่มีพลังแล้วเจ้าเองก็ไม่มีคุณสมบัติพอจะครอบครองสมบัติ!”


หยางอี้เต่าหัวเราะขึ้น “หน้าไม่อายอันใด? มันกินแล้วอิ่มท้องหรือไม่? มันเพิ่มพลังฝีมือของเจ้าหรือ? เด็กน้อยเจ้านั้นยังอ่อนต่อโลกนัก”


ซัวหานเองก็ไม่คิดจะใจเย็น เขารีบพูดเสริมขึ้นมา “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว! เด็กน้อย ไม่ส่งสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์มาข้าจะสังหารเจ้าลงก่อนแล้ว!”


เดิมทีแล้วเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายทั้งแทบจะกัดคอกันอยู่รอมร่อ แต่ตอนนี้สายตาทุกคู่ต่างหันกลับมาจ้องมองที่เย่หยวนอีกครั้ง


การที่เย่หยวนไม่คิดยอมมอบสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ให้มันก็หมายความว่าต่อให้พวกเขาทั้งหลายจะพูดจาต่อรองใดไปมันก็ไม่เกิดประโยชน์


“เด็กคนนี้มันคงไม่ได้เสียสติไปแล้วใช่หรือไม่? สมบัติวิญญาณเทพสวรรค์นั้นมันมีโชคที่จะได้รับ แต่ไม่มีโชคที่จะใช้มัน!”


“ไม่เข้าใจเลยว่าเด็กคนนี้มันคิดอะไรอยู่ หากเป็นข้า ข้าคงรีบโยนสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ทิ้งไปนานแล้ว”


“สิ่งของชิ้นนี้มันเป็นของร้อน แต่เขาคนนี้กลับไม่ยอมคิดที่จะทำความเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า ข้าว่าเขาคงได้ตายลงแน่แล้ว”



ตอนนี้เหล่านักยุทธ์อาณาจักรนภาสวรรค์และเทพถ่องแท้ระดับล่างๆ ทั้งหลายต่างคิดอยู่ในใจว่าเย่หยวนนั้นทำตัวโง่งมจนเกินไป


เย่หยวนยื่นมือออกมาพร้อมด้วยธงศึกดาวฤกษ์ในมือที่ปล่อยพลังอันลึกลับออกมาอย่างมหาศาล


เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังแสนลึกลับนี้ดวงตาของเหล่าจีคังทั้งหลายก็เบิกกว้างขึ้นทันที


“นั่นแหละ ทำแค่นี้ก็จบ! ดื้อด้านไปมันก็ไม่เกิดประโยชน์ รีบๆ ส่งมันมาเสีย!” จีคังยิ้มบอก


ทุกผู้คนต่างคิดว่าสุดท้ายเย่หยวนก็ยอมที่จะมอบมันออกมา


เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าเทพถ่องแท้มากมายเช่นนี้มันย่อมไม่มีใครที่จะกล้าท้าทาย


แต่เย่หยวนกลับยิ้มขึ้นมาด้วยท่าทางเย้ยหยัน “นี่คือธงศึกดาวฤกษ์ หากเจ้ามีปัญญาก็เข้ามาเอามันไปสิ!”


นั่นทำให้ทุกผู้คนต้องผงะไปเพราะท่าทางของเย่หยวนในตอนนี้มันกลับกลายเป็นการหาเรื่องผู้คนแทน


‘ฟุบ!’


เวลานั้นเองที่มีเงาร่างหนึ่งได้พุ่งตัวเข้าไปหาเย่หยวน


เรื่องนี้ทำให้สีหน้าของเหล่าจีคังทั้งหลายต้องถอดสีไปทันที พวกเขาไม่นึกไม่ฝันว่าในวินาทีที่ไม่มีใครทันตั้งตัวนี้มันจะกลับมีใครเข้ามาชิงลงมือไปก่อน!


นั่นทำให้พวกจีคัง หยางอี้เต่าและซัวพานต่างปลดปล่อยพลังของตนออกมาและพุ่งเข้าหาเย่หยวนในทันที


แต่ในเวลานั้นธงผืนน้อยในมือเย่หยวนมันกลับขยายใหญ่ขึ้นมา!


นั่นทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำมืดเหลือเพียงแค่แสงจากดาวบนท้องฟ้าเท่านั้น


เย่หยวนกำธงศึกดาวฤกษ์ด้วยมือข้างหนึ่งและโบกสะบัดมันออกมาทำให้เหล่าดาวนับร้อยพันบนท้องฟ้าร่วงลงมารวมกับตัวธงศึกดาวฤกษ์


นั่นก่อให้เกิดคลื่นพลังอันมหาศาลพุ่งทะยานขึ้น ผู้ที่ลอบโจมตีเข้ามานั้นไม่ทันได้ตั้งรับใดๆ


‘ปัง!’


ร่างของผู้ที่พุ่งเข้ามาลอบโจมตีนี้ปลิวลอยไปไกลพร้อมเลือดที่สาดกระเซ็น ก่อนจะร่วงลงกับพื้นด้วยเสียงหนักๆ ในสภาพที่ปางตาย


ภาพตรงหน้านี้ทำให้พวกจีคังทั้งหลายต้องหยุดเท้าลงทันที พวกเขาได้แต่มองดูภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึงอย่างถึงที่สุด


“นี่มัน… คือพลังของสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์? แข็งแกร่ง!” จีคังร้องบอกขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี


หยางอี้เต่าเอาก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าเหยเก “หลี่จู้นั้นเป็นถึงเทพถ่องแท้หกดาวแต่กลับไม่สามารถรับการโจมตีจากธงศึกดาวฤกษ์ได้แม้แต่ครั้งเดียว!”


“มันเพิ่งได้ธงศึกดาวฤกษ์มาและไม่น่าจะมีเวลาไปหลอมมันได้! ที่สำคัญเด็กคนนี้มันยังเป็นแค่นภาสวรรค์สามดาวทำไมมันจึงสามารถปลดปล่อยพลังระดับนี้ออกมาได้กัน?” ซัวพานร้องขึ้นด้วยความมึนงง


คนที่เพิ่งลอบโจมตีเย่หยวนไปก่อนหน้านี้มีนามว่าหลี่จู้ เขาเป็นหนึ่งในเทพถ่องแท้ของฝั่งนักยุทธจรและนับว่าเป็นผู้มีพลังแข็งแกร่งคนหนึ่ง


ระหว่างที่ตัวเย่หยวนกำลังพูดกล่าวกับสามขั้วอำนาจ เขานั้นก็ได้เตรียมตัวลอบโจมตีมาแสนนาน


เขาพยายามมองหามุมที่เหมาะในการลอบโจมตีและคิดว่าการจะได้ธงศึกดาวฤกษ์มาอย่างง่ายที่สุดมันก็คือการสังหารเย่หยวนทิ้งและรีบหลบหนีไป


เพียงแค่ว่าเขาไม่เคยคิดฝันว่าแท้จริงแล้วเย่หยวนกลับสามารถโจมตีเขาจนปางตายได้ด้วยการโจมตีเดียวเช่นนี้


เย่หยวนมองดูใบหน้าของคนทั้งหลายตรงหน้าก่อนจะยิ้มขึ้นอย่างเย็นเยือก “ทำไมพวกเจ้ายังไม่เข้ามาอีก? พวกเจ้าไม่อยากได้ธงศึกดาวฤกษ์หรือ? มันอยู่ตรงนี้ไง เข้ามาเอาไปสิ!”


นั่นทำให้ใบหน้าของพวกจีคังต้องแข็งค้าง เพราะเย่หยวนคนนี้กำลังท้าทายพวกเขาทั้งหลายอย่างถึงที่สุด!


“เด็กน้อย หากเจ้าคิดอยากตายข้าก็จะสนองให้! หยางอี้เต่า ซัวพาน เราลงมือพร้อมกัน! เฒ่าคนนี้อยากรู้เหลือเกินว่าไอ้เด็กคนนี้มันจะมีสามเศียรหกแขนหรือไม่!” จีคังร้องบอก


หยางอี้เต่าและพวกพยักหน้ารับทันที “ได้! ฆ่ามันทิ้งลงก่อนแล้วเราค่อยมาจัดการเรื่องราวของพวกเราทีหลัง!”


ตอนนี้พวกเขาทั้งหลายได้ตกลงร่วมมือกันฆ่าสังหารเย่หยวนให้สิ้นเสียก่อน


‘ตูม! ตูม! ตูม!’


คลื่นพลังอันแสนรุนแรงปะทุขึ้นมาตามๆ กันก่อนที่มันจะพุ่งเข้าใส่ร่างเย่หยวนจนทำให้ท้องฟ้าและผืนดินต้องเปลี่ยนสี


ภายในโถงบังคับกฎ ฟางเทียนและพวกต่างตื่นตกใจจนใบหน้าซีดขาว


พลังลึกล้ำอันมหาศาลที่ส่งตรงออกมาจากเทือกเขาสุสานเทพนี้มันทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดต้องสั่นสะเทือน


นี่คือพลังที่สามารถกดโลกใบเล็กลงได้!


พวกเขาทั้งหลายนั้นต่างเป็นผู้คนที่อาศัยอยู่ในโลกใบเล็กและแน่นอนว่าพวกเขานั้นไม่เคยสัมผัสถึงพลังในระดับนี้มาก่อนเลย


ในสายตาของพวกเขาแล้วพลังนี้มันมากพอที่จะทำลายดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้สิ้นซากลงได้!


“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเย่หยวนจึงได้บอกว่าไม่มั่นใจ คราวนี้มันเป็นสัตว์ประหลาดประเภทไหนกันแน่ที่เข้ามา?!” ฟางเทียนกล่าวขึ้นอย่างตื่นตกใจ


“หรือว่า… ตอนนี้เย่หยวนจะกำลังต่อสู้กับสัตว์ประหลาดเหล่านี้อยู่? นี่มัน… เขาเติบโตไปจนถึงขั้นไหนกันแล้ว?” กวนควางเทียนพูดเสริม


ในตอนนี้พลังของเต๋าสวรรค์อันมหาศาลกำลังพุ่งเข้าใส่ธงศึกดาวฤกษ์อย่างบ้าคลั่ง


มันทำให้ธงศึกดาวฤกษ์ขยายตัวขึ้นไปอีกครั้งหนึ่ง


ท้องฟ้าที่มีแสงหม่นๆ นี้ปรากฏดวงดาวมากมายเข้ามาผสานกับธงศึกดาวฤกษ์อีกครั้งหนึ่ง


เย่หยวนโบกสะบัดธงนี้ออกมาทำให้เกิดคลื่นพลังที่รุนแรงมากกว่าเก่าพุ่งทะยานปะทะกับเหล่ายอดฝีมือเทพถ่องแท้ทั้งหลายนี้


‘ปัง! ปัง! ปัง!’


ฟ้าถล่มดินทลาย!


จีคัง หยางอี้เต่าและพวกถูกพลังอันแสนรุนแรงนี้ซัดจนกระเด็นลอยกลับไปไกล


แน่นอนว่าด้วยพลังที่รุนแรงปานนี้เย่หยวนเองก็ย่อมต้องได้รับผลกระทบด้วยไม่น้อย


แต่มันไม่ได้เป็นปัญหามากมาย เพราะตอนนี้ในสายตาของทุกผู้คนพวกเขาต่างมองดูเขาราวกับกำลังเจอตัวประหลาดอะไรสักอย่าง


นภาสวรรค์สามดาวที่มีสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์อยู่กับตัว กลับสามารถเอาชนะยอดฝีมือเทพถ่องแท้เก้าดาวพร้อมกันถึงสองคนได้


นี่คือผลลัพธ์ที่ทำให้ผู้ได้พบเห็นต้องแทบหัวใจวายตาย!


“เป็นไปได้อย่างไรกัน? มันทำได้อย่างไร?”


“ต่อให้จะเป็นเทพถ่องแท้ขั้นต้นมันก็ไม่มีทางที่จะใช้สมบัติวิญญาณเทพสวรรค์เอาชนะท่านจีคังหรือท่านหยางอี้เต่าทั้งหลายได้หรอกจริงหรือไม่?”


“ทุกคนต่างคิดว่าเย่หยวนนั้นเป็นหญ้าอ่อนเคี้ยวง่าย ใครจะไปคาดคิดว่าแท้จริงแล้วเขาจะเป็นหินที่แข็งราวกับเพชรเช่นนี้!”



พวกจีคังทั้งหลายต่างใช้พลังกดเก็บอาการบาดเจ็บภายในไว้ก่อนจะหันไปมองดูเย่หยวนอย่างตื่นตะลึง


พลังที่เย่หยวนแสดงออกมานี้มันเทียบระดับได้กับพวกเขาทั้งหลาย!


ไม่ มันน่าจะเหนือกว่าพวกเขาทั้งหลายไปขั้นหนึ่งเสียด้วยซ้ำ!


เพราะว่าเย่หยวนสามารถรับการโจมตีที่พวกเขาทั้งหลายร่วมมือกันโจมตีได้ด้วยตัวเอง!


นี่มัน… จะเป็นไปได้อย่างไร?


“ไหนพวกเจ้าทั้งหลายอวดอ้างตัวว่าเป็นยอดฝีมือ? บอกว่าผู้แข็งแกร่งนั้นถูกเสมอ? แล้วนี่หรือคือพลังของพวกเจ้า? มันก็แค่เท่านี้!” เย่หยวนกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าเย้ยเหยียด

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)