ข้ามกาลบันดาลรัก 132.2-135.1
ตอนที่ 132.2
จุดจบของเฉียวหมิ่น
เมิ่งเชี่ยนโยววางเมิ่งเจี๋ยลงบนเตียง หันไปพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ หยิบยาในกระเป๋าข้าออกมา”
เมิ่งเสียนรีบนำยาออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดจุกขวดออก เทออกมาเล็กน้อย บรรจงทาที่ใบหน้าเมิ่งเจี๋ย
อาการแดงบวมบนใบหน้าเมิ่งเจี๋ยคลายลงเล็กน้อยทันใด
เมิ่งชื่อแย่งขวดยาในมือเมิ่งเชี่ยนโยวมา ลนลานพูด “แม่ทำเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลีกทางให้
เมิ่งชื่อนั่งในตำแหน่งที่นางนั่ง ทายาให้เมิ่งเจี๋ยอย่างนุ่มนวล
เมิ่งเอ้ออิ๋นร้องถามอย่างร้อนใจ “โยวเอ๋อร์ เหตุใดเจี๋ยเอ๋อร์ยังไม่ฟื้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ท่านพ่อ เจี๋ยเอ๋อร์ถูกพวกค้ามนุษย์ป้อนยานอนหลับ เมื่อถึงเวลาจะฟื้นขึ้นมาเอง ท่านไม่ต้องใจร้อน”
เมิ่งเอ้ออิ๋นถึงวางใจลง พูดว่า “พบตัวกลับมาก็ดีแล้ว พบตัวกลับมาก็ดีแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ หาเจี๋ยเอ๋อร์เจอแล้ว ท่านและพี่รองไปห้องข้างๆ ไปพักผ่อนพร้อมอี้เซวียนและชิงเอ๋อร์ให้สบายสักงีบเถอะ ข้ายังมีธุระต้องออกไปอีก”
เมิ่งเสียนถามขึ้น “น้องสาว ดึกดื่นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังมีเรื่องอันใด ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปากพูด “คุณชายจูได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้อยู่โรงหมอ ข้าไม่วางใจ จะไปดูเสียหน่อย ท่านไม่ต้องไป อยู่โรงเตี๊ยมคอยดูแลทุกคนให้ดี เมื่อคุณชายจูปลอดภัยดีแล้ว ข้าจะกลับมา”
เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนตกใจ ถามขึ้นพร้อมกัน “จูหลานได้รับบาดเจ็บหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
ทั้งสองรีบร้อนพูด “อยู่ที่โรงหมอไหน พวกเราจะไปดูด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “ข้าจะพาพวกเจ้าไป”
ทั้งสองพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการเมิ่งเสียนอีกสองสามคำ ถึงพาเซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนออกจากโรงเตี๊ยม พูดกับคนทั้งสอง “ตอนนี้จูหลานอยู่ในโรงหมอแห่งหนึ่งกลางเมือง คุณชายเปาก็อยู่ที่นั่น ข้ายังมีธุระ ไม่ไปกับพวกท่านแล้ว”
เซี่ยเจียงเฟิงซักถาม “แม่นางเมิ่งจะไปที่ใด ไม่เช่นนั้นให้พวกเราไปกับเจ้าด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว ขอบใจในน้ำใจของท่านทั้งสอง พวกเจ้าไปดูจูหลานที่โรงหมอเถอะ”
พูดจบ กระโดดขึ้นรถม้า หายวับไปในรัตติกาลมืดมิด
เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนหันหน้ามองกัน รีบขึ้นนั่งรถม้า สั่งคนงานมุ่งหน้าไปโรงหมอ
เมิ่งเชี่ยนโยวควบม้ามาถึงบ้านเฉียวหมิ่น
หลังจากทุกคนควบม้าจากไปเปาชิงเหอก็เอาแต่รออยู่ที่จวนเฉียว ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เฉียวเอ้อก็ควบม้าพาเด็กสองคนกลับมา
พอเห็นเปาชิงเหอ เฉียวเอ้อรีบพูด “ไต้เท้าเปา เด็กทั้งหมดถูกช่วยออกมาได้แล้ว คุณชายจูได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณชายเปาอุ้มเขาไปโรงหมอ”
เปาชิงเหอร้อนรนซักถาม “อาการของคุณชายจูเป็นอย่างไรบ้าง หนักหนาหรือไม่”
เฉียวเอ้อตอบ “ถูกกริชแทง น่าจะหนักหนาไม่เบา”
เปาชิงเหอพยักหน้า สั่งเจ้าหน้าที่รับเด็กสองคนในอ้อมกอดเฉียวเอ้อมา
พ่อเฉียวได้ยินว่าจูหลานได้รับบาดเจ็บ ตกใจไม่น้อย ลุกขึ้นยืนคิดจะไปดูอาการ
เปาชิงเหอกลับพูดกับเขาว่า “ตอนนี้หลักฐานครบถ้วน แน่ชัดแล้วว่าคุณหนูเฉียวสั่งคนให้ลักพาตัวน้องชายแม่นางเมิ่งไป ทั้งบงการให้คนเฝ้ายามของพวกเจ้านำเขาไปขายให้พวกค้ามนุษย์ เจ้ารีบเข้าไปนำตัวนางออกมา พวกเราจักได้นำตัวไปดำเนินคดี”
ครั้งแรกที่พ่อเฉียวได้ยินว่าเฉียวหมิ่นกระทำเรื่องต่ำช้าเลวทรามนี้ ก็โมโหเดือดดาล อยากจะลงทัณฑ์นางอย่างสาสม แต่อย่างไรก็เป็นบุตรสาวที่ฟูมฟักมาแต่อ้อนแต่ออก ตอนนี้อารมณ์เย็นลงแล้ว เกิดความอาวรณ์ ลองหยั่งเชิงพูดวิงวอน “ไต้เท้าเปา น้องชายของแม่นางน้อยคนนั้นก็พาตัวกลับมาได้แล้ว หมิ่นเอ๋อร์ก็ถูกนางทำร้ายจนไม่เหลือชิ้นดี ท่านคิดว่าพอจะหยุดคดีความไว้เพียงเท่านี้ได้หรือไม่”
เปาชิงเหอมองเขาแวบหนึ่ง พูดอย่างวางอำนาจ “เฉียวซื่อ ข้าเห็นแก่ที่เจ้าเป็นเซียงเซิน[1]คหบดีเศรษฐีอันดับหนึ่งของที่นี่ ถึงเกรงใจกับเจ้าเช่นนี้ เจ้าอย่าให้ข้าต้องใช้ไม้แข็ง ใช้วิธีแข็งกร้าวนำตัวบุตรสาวเจ้าไป”
เฉียวซื่อได้ยินเปาชิงเหอพูดเช่นนี้ หัวใจกระตุกวูบ รีบร้อนพูด “ข้าเลอะเลือนไปเอง ขอไต้เท้าเปารอสักครู่ ข้าจะให้คนนำตัวบุตรสาวออกมาเดี๋ยวนี้”
เปาชิงเหอพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี พวกเราคบหากันมานาน ข้าเองก็ไม่ต้องการฉีกหน้าท่าน”
เฉียวซื่อรีบร้อนให้คนไปนำตัวเฉียวหมิ่นออกมาจากเรือนด้านหลัง
บ่าวรับใช้เข้าไปเรือนด้านหลัง ไม่นานก็วิ่งกระวีกระวาดออกมา พูดว่า “นายท่าน คุณหนูใกล้จะไม่ไหวแล้ว ฮูหยินให้ท่านรีบเข้าไปดู”
เฉียวซื่อตกอกตกใจ หันไปพูดกับเปาชิงเหอ “ไต้เท้าเปารอประเดี๋ยว ข้าจะเข้าไปดู”
เปาชิงเหอได้ฟังขมวดคิ้วมุ่น กลับพยักหน้ารับปาก “ไปเถอะ”
เฉียวซื่อหุนหันเดินไปที่เรือนด้านหลังอย่างร้อนรน กลับเห็นเฉียวหมิ่นกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียง มีสาวใช้กำลังป้อนอาหารให้นาง ตอนที่กำลังจะตะคอกถามว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แม่เฉียวก็ลากตัวเขามาพูดกระซิบกระซาบ “ท่านพี่ ท่านจะให้ไต้เท้าเปานำตัวหมิ่นเอ๋อร์ไปจริงๆ หรือ”
เฉียวซื่อเข้าใจแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พูดขึ้น “ฮูหยิน เหตุใดเจ้าถึงเลอะเลือนเช่นนี้ กล้าโป้ปดไต้เท้าเปา ทำเช่นนี้จะเป็นภัยมาถึงครอบครัวพวกเรา”
แม่เฉียวร่ำไห้พูด “ท่านพี่ ต่อให้หมิ่นเอ๋อร์ผิดอย่างไร นางก็เป็นบุตรสาวที่พวกเราฟูมฟักทะนุถนอมมาจนเติบใหญ่ พวกเราจะทนเห็นหมิ่นเอ๋อร์ถูกไต้เท้าเปานำตัวไปตกอยู่ในสภาพน่าเวทนานั้นได้อย่างไร”
เฉียวซื่อพูด “ไม่อย่างนั้นพวกเราจะทำอย่างไร จะให้ฝ่าฝืนคำสั่งอย่างนั้นหรือ”
แม่เฉียวหยุดเสียงร่ำไห้ พูดขึ้น “ข้าคิดไว้แล้ว อีกประเดี๋ยวเราวางยานอนหลับหมิ่นเอ๋อร์ แล้วบอกว่าหมิ่นเอ๋อร์สลบไสลไม่ได้สติ ต่อให้คืนวันนี้ไต้เท้าเปานำตัวกลับไปก็ขึ้นศาลซักถามไม่ได้ ไม่เช่นนั้นรอวันพรุ่งหมิ่นเอ๋อร์ฟื้นแล้ว พวกเรานำไปมอบให้ด้วยตัวเอง แต่พอวันพรุ่งประตูเมืองเปิด พวกเราจะส่งหมิ่นเอ๋อร์กลับบ้านเกิด หากไต้เท้าเปายังคิดจะเอาความ พวกเราก็เสนอทรัพย์สมบัติกึ่งหนึ่งติดสินบนเขา”
เฉียวซื่อลังเล
แม่เฉียวพูดอย่างกระวนกระวาย “ท่านรีบตัดสินใจเถอะ ช้ากว่านี้ไต้เท้าเปาได้ส่งคนเข้ามาแน่ ข้าบอกท่านไว้ก่อน หากเกิดอะไรขึ้นกับหมิ่นเอ๋อร์ ข้าก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่”
เฉียวซื่อตัดสินใจ กัดฟันพูด “ทำตามที่เจ้าว่า เจ้ารีบให้คนป้อนยาให้หมิ่นเอ๋อร์ดื่ม ข้าจะออกไปตอบไต้เท้าเปา บอกว่าหมิ่นเอ๋อร์สลบไม่ได้สติจริงๆ หากเขาไม่เชื่อ ให้ส่งคนมาตรวจสอบได้”
แม่เฉียวพยักหน้า สั่งสาวใช้ให้ป้อนยาที่ต้มเตรียมไว้แล้วให้เฉียวหมิ่นดื่ม
เฉียวซื่อรออีกครู่หนึ่ง ถึงวิ่งกระสับกระส่ายมาเบื้องหน้าเปาชิงเหอ แกล้งพูดอย่างปวดร้าว “ไต้เท้าเปา บุตรสาวผู้น้อยบาดเจ็บจนทนไม่ไหว สลบไม่ได้สติไปแล้วจริงๆ ท่านนำตัวกลับไปก็ดำเนินคดีไม่ได้ ไม่เช่นนั้นให้นางพักรักษาตัวที่บ้านก่อนสักคืน พรุ่งนี้เมื่อนางฟื้น ข้าจะนำไปมอบให้ท่านด้วยตัวเอง”
เปาชิงเหอก็เห็นสภาพน่าสังเวชของเฉียวหมิ่นแล้ว รู้สึกเชื่อในใจลึกๆ และก็กลัวว่าเมื่อนำตัวกลับไป ยังไม่ทันได้ตัดสินคดีเฉียวหมิ่นจะถึงแก่ชีวิตไปเสียก่อน คิดว่าไม่เช่นนั้นก็ไว้หน้าเฉียวซื่อสักครั้ง รอให้คนฟื้นขึ้นมาค่อยส่งตัวมาให้ก็ยังไม่สาย จึงพยักหน้ารับคำ “เมื่อเป็นเช่นนี้ วันพรุ่งเมื่อคุณหนูเฉียวฟื้นแล้ว เจ้าจักต้องรีบนำตัวนางส่งมาจวนผู้ว่า หากผิดคำพูด อย่าโทษว่าข้าแล้งน้ำใจ”
เฉียวซื่อเห็นเปาชิงเหอเชื่อสนิทใจ ไม่แม้แต่จะส่งคนไปตรวจสอบ ลอบยินดีในใจ ตอบกลับอย่างพินอบพิเทา “ไต้เท้าเปาวางใจได้ ขอเพียงบุตรสาวผู้น้อยฟื้น ไม่ว่าเป็นยามใด ข้าจะรีบส่งนางไปที่จวนผู้ว่าทันที”
เปาชิงเหอพยักหน้าพูด “เช่นนั้นก็ดี”
พูดจบลุกขึ้นพูดกับบรรดาเจ้าหน้าที่ “คุมตัวเฉียวต้า เฉียวเอ้อไป พวกเรากลับจวน”
เจ้าหน้าที่รับคำ เดินหน้าไปลากตัวเฉียวต้าและเฉียวเอ้อที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ตะคอกใส่ให้พวกเขารีบตามไป
เฉียวเอ้อได้ยินว่าต้องเข้าคุก ตกใจหนัก รีบร้อนพูด “ไต้เท้าเปาไว้ชีวิตด้วย เมื่อครู่ตอนที่ข้าช่วยเด็กๆ ออกมา คุณชายเปาให้สัญญากับผู้น้อย ขอเพียงนำเด็กทั้งสองคนกลับมาได้อย่างปลอดภัย เขาจะไว้ชีวิตข้า”
เปาชิงเหอย่นหัวคิ้วพูด “แม้เจ้าจะทำคุณ ก็ต้องรอวันพรุ่งเมื่อข้าตัดสินโทษค่อยแจกแจง นำตัวไป!”
เฉียวเอ้อได้ฟังไม่ดึงดันอีก ก้มหน้าเดินตามเจ้าหน้าที่ไปอย่างหมดอาลัย
เปาชิงเหอนำเพิ่งจะนำเจ้าหน้าที่เดินออกมาถึงหน้าประตูจวนเฉียว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ควบม้าห่อตะบึงมาถึง
เปาชิงเหอเห็นนางลงจากหลังม้า ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “แม่นางเมิ่ง ดึกดื่นแล้ว เจ้ายังมีเรื่องใดต้องพบข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองแวบหนึ่ง เห็นเฉียวต้า เฉียวเอ้อถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัว กำลังจะเดินกลับไป ถามขึ้นเสียงเย็น “ไต้เท้าเปา เฉียวหมิ่นเล่า เหตุใดถึงไม่นำตัวไปด้วย”
เฉียวซื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวขี่ม้ามาถึงหน้าประตูบ้านตน แอบร้อนรนกระสับกระส่าย ได้ยินนางถามว่าเหตุใดถึงไม่พาตัวเฉียวหมิ่นไปด้วยก็รีบตอบกลับ “บุตรสาวข้าสลบไสล อาการย่ำแย่ ไต้เท้าเปารับปากยอมให้นางได้พักฟื้นที่บ้านหนึ่งคืน วันพรุ่งเมื่อนางฟื้น ข้าจะนำไปส่งที่จวนผู้ว่าด้วยตนเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ “เฉียวหมิ่นกระทำเรื่องต่ำช้าเลวทรามถึงขั้นนี้ ไต้เท้าเปายอมวางใจปล่อยให้นางอยู่ที่บ้านเช่นนี้หรือ หากพรุ่งนี้ไม่มีคนส่งนางมาจวนผู้ว่าจะทำอย่างไร”
เฉียวซื่อหัวใจกระตุกวูบ หลังจากหน้าเปลี่ยนสีไปหลายครั้งก็แย้มยิ้มพูดขึ้น “แม่นางน้อยคิดมากเกินไปแล้ว เมื่อฟ้าสาง หากบุตรสาวข้าฟื้น พวกเราจะรีบส่งนางไปที่จวนผู้ว่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขา คาดคั้นถาม “หากนางไม่ฟื้นเล่า จะให้อยู่แต่ในบ้านไม่ต้องไปเข้าคุกทางการอย่างนั้นหรือ”
เฉียวซื่อรีบพูด “ไม่มีทาง ขอเพียงบุตรสาวพ้นขีดอันตรายแล้ว จะต้องฟื้นขึ้นมา ถึงตอนนั้นค่อยส่งไปจวนผู้ว่าก็ยังไม่สาย”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเปาชิงเหอ “ไต้เท้าเปา ฮ่องเต้กระทำผิดมีโทษเท่าสามัญ ไม่ว่าเฉียวหมิ่นจะฟื้นหรือไม่ เพื่อป้องกันไว้ก่อน ควรนำตัวไปฝากขังไว้รอการไต่สวน”
ไต้เท้าเปาดำรงตำแหน่งมาหลายปี มีความสัมพันธ์อันดีกับเศรษฐีในอำเภอมาตลอด ไม่เคยล่วงเกินกันและกัน วันนี้เดิมคิดจะไว้หน้าเฉียวซื่อสักครั้ง ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวพูดสั่งสอนต่อหน้าผู้อื่น เริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์ พูดเจือโทสะ “คุณหนูเฉียวสลบไม่ได้สติ ต่อให้นำตัวกลับไปก็สอบสวนไม่ได้ หากนางไปตายกลางคันในคุกจะยิ่งแย่ เมื่อเฉียวซื่อรับปากข้า วันพรุ่งจะนำตัวส่งไปให้ ก็จะต้องส่งไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม “หากวันพรุ่งเฉียวหมิ่นไม่ถูกส่งตัวไปเล่า ไต้เท้าเปาจะจัดการอย่างไร”
เปาชิงเหอโต้กลับ “ไม่มีทาง!”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “ไต้เท้าเปาเชื่อมั่นว่าวันพรุ่งเฉียวหมิ่นจะถูกนำตัวส่งไปที่จวนผู้ว่า”
เปาชิงเหอพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างเย็นเยียบ “เช่นนั้นพวกเรามาพนันกัน หากวันพรุ่งเฉียวหมิ่นไม่ถูกส่งมาจวนผู้ว่า ไต้เท้าเปาจะยอมลาออกจากตำแหน่งเป็นอย่างไร”
เปาชิงเหอมองสายตาเย็นเยียบนั้นของเมิ่งเชี่ยนโยว อดตัวสั่นเทิ้มไม่ได้ ย้อนคิดถึงคำพูดที่คนผู้นั้นกำชับไว้ก่อนจากไป พลันได้สติคืนกลับมา พลิกลิ้นพูด “แม่นางเมิ่งพูดถูกต้อง ฮ่องเต้ทำผิดโทษเท่าสามัญ ข้าจะสั่งเจ้าหน้าให้พาคุณหนูเฉียวไปจวนผู้ว่าเดี๋ยวนี้”
เฉียวซื่อรีบเข้าขัดขวาง พูดขึ้น “ไต้เท้าเปา บุตรสาวผู้น้อยสลบไม่ได้สติจริงๆ ท่านให้นางพักฟื้นที่บ้านสักคืนเถิด”
เปาชิงเหอตวาดกลับ “เฉียวซื่อ เจ้าเลิกขัดขวางการจับกุมคนร้ายของข้าได้แล้ว ไม่เช่นนั้น ข้าจะสั่งให้คนจับเจ้าไปพร้อมกัน” พูดจบ ออกคำสั่งเจ้าหน้าที่ “เข้าไปจับคน”
เจ้าหน้าที่ขานรับเดินเข้าไป
เฉียวซื่อส่งเสียงร้องไล่หลัง “ไม่ได้เด็ดขาด ไม่ได้เด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองทั้งหมดนี้อย่างเลือดเย็น
ไม่นานเจ้าหน้าที่หลายนายก็นำตัวเฉียวหมิ่นที่นอนหลับสนิทออกมา แม่เฉียวเดินตามติดมาตลอดทาง ร้องตะโกนโวยวาย “หมิ่นเอ๋อร์ หมิ่นเอ๋อร์ของแม่”
พอเห็นเปาชิงเหอ แม่เฉียวก็คุกเข่าต่อหน้าเขาพูดอ้อนวอน “ไต้เท้าเปา ปล่อยบุตรสาวข้าไปเถอะ ท่านต้องการเงินเท่าไหร่พวกเรายินดีรับปาก”
เปาชิงเหอพูดอย่างขุ่นเคือง “พูดจาเหลวไหล”
แม่เฉียวพูดขึ้น “แม้บุตรสาวผู้น้อยจะกระทำความผิด แต่โทษไม่ถึงตาย ท่านมองดูสภาพนาง เกรงว่านอนในคุกเพียงคืนเดียวก็จะทนไม่ได้แล้ว”
เปาชิงเหอมองเฉียวหมิ่นในสภาพคอตกหัวห้อย เริ่มรู้สึกลังเล
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “พวกท่านวางใจ ข้าพอรู้วิชาการแพทย์บ้าง ต่อให้บาดเจ็บหนักกว่านี้ ข้าก็รักษาให้หายได้ อีกทั้งสภาพของคุณหนูเฉียวนี้เห็นก็รู้ทันทีว่าถูกป้อนยานอนหลับ ข้าออกแรงเล็กน้อยก็จัดการได้แล้ว”
เปาชิงเหอได้ฟังตกตะลึง ชี้พ่อเฉียวและแม่เฉียวพูดอย่างฉุนเฉียว “พวก พวกเจ้า…” คำพูดต่อจากนั้นไม่ได้พูดออกมา
พ่อเฉียวและแม่เฉียวหลบสายตา
เปาชิงเหอโบกมือ “เอาตัวไป!” พูดจบ เดินฟึดฟัดนำหน้าจากไป
พ่อเฉียวและแม่เฉียวเดินตามไปสองก้าว
เมิ่งเชี่ยนโยวเตือนด้วยความหวังดี “พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะทำให้คุณหนูเฉียว “มีชีวิตอยู่รอด เป็นอย่างดี” พูดจบกระโดดขึ้นหลังม้า ขี่ตามหลังเกี้ยวเปาชิงเหอตามกลับไปจวนผู้ว่า
แม่เฉียวได้ยินน้ำเสียงเ**้ยมเกรียมนั้น ตกใจนั่งทรุดตัวลงกันพื้น
[1] เซียงเซิน (乡绅) ตำแหน่งผู้สอบติดหนึ่งในห้าของการสอบคัดเลือกขุนนางเคอจวี่
ตอนที่ 132.3
จุดจบของเฉียวหมิ่น
เปาชิงเหอนั่งเกี้ยวด้วยอารมณ์ขุ่นมัว สั่งการเจ้าหน้าที่เดินทางกลับจวนผู้ว่า กระทั่งมาถึงประตูจวนผู้ว่าถึงพบว่าเมิ่งเชี่ยนโยวตามหลังมาด้วย ถามอย่างตกใจ “แม่นางเมิ่ง ยังมีเรื่องอันใด”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “คุณหนูเฉียวถูกนำตัวเข้ากุมขังในสภาพไม่ได้สติเช่นนี้ อาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นได้ ข้าอยากช่วยปลุกนางให้ฟื้น”
เปาชิงเหอพยักหน้าเห็นพ้อง “เช่นนั้นต้องรบกวนแม่นางเมิ่งแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเจ้าหน้าที่นายหนึ่ง “รบกวนเจ้าไปตักน้ำมาหนึ่งกะละมัง”
เจ้าหน้าที่รีบไปออกไป ไม่นานก็ยกน้ำเย็นมาหนึ่งกะละมัง
เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากม้า บอกกับเจ้าหน้าที่สองนายที่ประคองเฉียวหมิ่น “พวกเจ้าวางนางลงกับพื้น”
เจ้าหน้าที่สองนายค่อยๆ วางเฉียวหมิ่นลงกับพื้นให้ใบหน้าหงายขึ้นฟ้า
เมิ่งเชี่ยนโยวรับกะละมังใส่น้ำมาจากเจ้าหน้าที่ สาดใส่เฉียวหมิ่นที่นอนอยู่บนพื้น
เฉียวหมิ่นฟื้นคืนสติฉับพลัน นึกว่ายังอยู่ในบ้าน ลนลานร้องถาม “ท่านพ่อ ท่านแม่เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
“เค้ง” เมิ่งเชี่ยนโยวโยนกะละมังในมือทิ้ง
เฉียวหมิ่นตกใจได้สติ ถึงพบว่าตนเองนอนเปียกปอนไปทั้งร่างอยู่บนพื้น มีเมิ่งเชี่ยนโยวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตนด้วยสีหน้าทมึน ร้องโวยวาย “ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร บิดามารดาข้าส่งข้ากลับไปบ้านเกิดแล้วไม่ใช่หรือ”
ได้ยินเฉียวหมิ่นพูดเช่นนั้น เปาชิงเหอพรึงเพริดเหงื่อซึมไปทั้งร่าง โชคดีที่เมิ่งเชี่ยนโยวมาห้ามตนเองไว้ทัน ไม่เช่นนั้นหากเฉียวหมิ่นถูกส่งตัวไปจริงๆ คดีใหญ่นี้จับตัวคนร้ายไม่ได้ หัวโขนของตัวเองก็คงจะรักษาไว้ไม่อยู่
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเฉียวหมิ่นอย่างสงบนิ่ง พูดเนิบนาบ “คุณหนูเฉียว เจ้าดูให้ดี ที่นี่คือหน้าประตูจวนผู้ว่า ความคิดของบิดามารดาเจ้าเกรงจะไม่สำเร็จแล้ว”
เฉียวหมิ่นถึงเห็นเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่โดยรอบ กรีดร้องลุกขึ้นยืน โอบปิดร่างกายตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเปาชิงเหอ “ไต้เท้าเปา ดึกป่านนี้แล้ว ให้ข้าเข้าไปส่งคุณหนูเฉียวในคุกเถอะ จะได้กำชับคนด้านใน ไม่ให้รังแกคุณหนูเฉียว วันพรุ่งนางยังต้องถูกไต่สวนอีก”
เปาชิงเหอสบตาแวบหนึ่ง ตบปากรับคำ “ไปเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินขึ้นหน้า กระชากเฉียวหมิ่นได้ก็เดินไป เฉียวหมิ่นดิ้นทุรนทุราย ร้องพูดอย่างหวาดกลัว “ข้าไม่เข้าคุก ข้าไม่เข้าคุก”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แยแสแม้แต่น้อย มาถึงคุกหญิงภายใต้การนำทางจากเจ้าหน้าที่
ในคุกมืดมาก มีเพียงตะเกียงส่องแสงสลัวอันเดียว เฉียวหมิ่นยิ่งทวีความหวาดกลัว หวีดร้องเสียงดังกว่าเดิม
นักโทษในคุกถูกปลุกให้ตื่น ต่างคลานออกมาดูที่หน้าประตูห้องขังเห็นเด็กสาวใบหน้าไร้ความรู้สึกคนหนึ่งลากหญิงสาวร้องดิ้นทุรนทุรายคนหนึ่งเข้ามา
เจ้าหน้าที่เดินมาถึงด้านในสุด เปิดห้องขังว่างออก
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “คุณหนูเฉียวมีสภาพเช่นนี้ ให้นางอยู่ในห้องขังคนเดียว หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ไต้เท้าเปาตำหนิโทษลงมา เจ้าและข้าคงหนีไม่พ้น ข้าว่าให้นางอยู่ในห้องขังที่คนมากจะดีกว่า หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับนาง คนในห้องขังจะได้แจ้งข่าวได้ทัน”
เจ้าหน้าที่กะพริบตาปริบๆ เดินมาตรงหน้าห้องขังที่คนมากที่สุด เปิดประตูห้องขังออก
เมิ่งเชี่ยนโยวลากเฉียวหมิ่นโดยเข้าไปข้างใน พูดกับนักโทษด้านในด้วยเสียงเย็นชา “นี่คือคุณหนูเฉียวแห่งจวนเฉียว กระทำความผิดร้ายแรง ถูกไต้เท้าเปาจับกุมตัวเข้าคุก คืนนี้พวกเจ้าต้องดูแลนางให้ดี ห้ามให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับนางเด็ดขาด อีกอย่าง ใบหน้าคุณหนูเฉียวได้รับบาดเจ็บ พวกเจ้าห้ามแตะต้องใบหน้านางเด็ดขาด หากเสียโฉมขึ้นมา ภายหน้าคุณหนูเฉียวจะไม่มีหน้าไปพบผู้คนอีก”
ในคุกไม่มีคนหน้าใหม่เข้ามานานแล้ว กลุ่มคนต่างรู้สึกเบื่อหน่าย พอได้เห็นเด็กสาวพาหญิงสาวส่งเข้ามา ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ไม่มีใครกล้าแตะต้อง แต่พอฟังนางพูดจบก็เข้าใจความหมายแฝงทันใด พวกเจ้ากลั่นแกล้งคุณหนูใหญ่ผู้นี้ได้ตามใจชอบ แต่ห้ามทำให้นางเสียโฉม กลุ่มคนรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ต่างบิดแขนนวดขา อยากลองดูสักตั้ง
เจ้าหน้าที่มองเฉียวหมิ่นอย่างเห็นใจหลายครั้ง ใส่กุญแจห้องขัง เดินนำเมิ่งเชี่ยนโยวออกไป
เฉียวหมิ่นเกาะประตูห้องขังส่งเสียงร้อง ร้องได้ไม่กี่ครั้ง ก็ถูกกระชากเส้นผม ต่อมาเสียงกรีดร้องของนางก็ดังไล่หลังมาเป็นระลอก
เมิ่งเชี่ยนโยวออกมาจากคุก หยิบเงินสองสามตำลึงในอกเสื้อส่งให้คนเฝ้าคุกและเจ้าหน้าที่ข้างๆ พูดขึ้น “ดึกมากแล้ว ลำบากพวกท่านแล้ว เงินเล็กน้อยนี้นำไปซื้อเหล้ามาดื่มเถอะ”
คนทั้งหมดรับมาอย่างยินดี พูดขอบคุณไม่หยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวขี่ม้ากลับโรงเตี๊ยม
นักโทษในคุกกลั่นแกล้งทรมานเฉียวหมิ่นต่างๆ นาๆ กระทั่งฟ้าใกล้สาง ถึงรามืออย่างพอใจ แยกย้ายไปนอน
เฉียวหมิ่นขดตัวอยู่ในมุมหนึ่งอย่างอเนจอนาถ ในใจคิดเคียดแค้นที่ตัวเองใจอ่อนเกินไป ไม่ได้สั่งให้เวรยามสังหารเด็กคนนั้น
พ่อจูและแม่จูให้สาวใช้และบ่าวในบ้านคอยเฝ้าดูจูหลานทั้งคืน ทั้งป้อนยาให้เขาทุกสองชั่วยามตามคำบอกของเมิ่งเชี่ยนโยว รอจนฟ้าสางจูหลานตัวร้อนไข้ขึ้น ใบหน้าเริ่มมีเลือดฝาด คนทั้งหมดถึงโล่งใจ
พ่อจูหันไปพูดกับเปาอีฝาน เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวน “หลานเอ๋อร์น่าจะพ้นขีดอันตรายแล้ว พวกเจ้าสามคนเฝ้ามาทั้งคืนแล้ว รีบกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ”
ทั้งสามเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันทั้งคืนแล้ว เหนื่อยล้าอ่อนแรงมากแล้วจริงๆ พอเห็นว่าจูหลานไม่เป็นอะไร ก็พยักหน้าเห็นพ้อง ต่างออกจากโรงหมอ กลับไปบ้านตัวเอง
ซุนฮุ่ยได้ยินว่าน้องชายเมิ่งเชี่ยนโยวหายตัวไป ก็ไม่ได้กลับบ้าน เอาแต่รอฟังข่าวอยู่ที่จวนผู้ว่า เห็นเปาอีฝานกลับมาด้วยใบหน้าอ่อนล้า ไม่ให้เขาไปพักผ่อน ร้อนใจซักถามขึ้นก่อน “พบน้องชายแม่นางเมิ่งหรือไม่”
เปาอีฝานนั่งบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า ตอบว่า “พบแล้ว”
ซุนฮุ่ยเร่งเร้าถามขึ้นอีก “เป็นใครกันแน่ที่ลักพาตัวน้องชายนางไป”
เปาอีฝานเงยหน้ามองนาง ทอดถอนใจ บอกเรื่องที่เฉียวหมิ่นสั่งเวรยามในบ้านให้ลักพาตัวเมิ่งเจี๋ยไป ทั้งให้พวกเขานำไปขายให้พวกค้ามนุษย์แก่นาง
ซุนฮุ่ยตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น ครู่หนึ่งถึงพูดอย่างไม่เชื่อ “เฉียวหมิ่นจะทำเรื่องไร้มนุษยธรรมเช่นนั้นได้อย่างไร”
เปาอีฝานไม่พูดอะไร
ซุนฮุ่ยลุกขึ้น “ไม่ได้ ข้าต้องไปดูว่าแม่นางเมิ่งมีอะไรให้ช่วยหรือไม่”
เปาอีฝานยับยั้งนาง พูดว่า “แม่นางเมิ่งเพิ่งจะหาเมิ่งเจี๋ยเจอ อารมณ์ยังพลุ่งพล่าน เจ้าไปตอนนี้ พวกเขาคงไม่มีเรี่ยวแรงมาต้อนรับเจ้า รอให้เสร็จสิ้นคดีก่อนค่อยไปเถอะ”
ซุนฮุ่ยครุ่นคิด รู้สึกว่าเปาอีฝานพูดมีเหตุผล จึงสั่งสาวใช้ตักน้ำอุ่นมา ให้เปาอีฝานได้ล้างหน้าล้างตา
เมิ่งเชี่ยนโยวที่หลับมาถึงโรงเตี๊ยม พบว่าห้องสองห้องไฟดับสนิทแล้ว รู้ว่าคนในครอบครัวเข้านอนหมดแล้ว จึงกลับเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าล้มลงนอนอย่างสงบ
พ่อเฉียวและแม่เฉียวไม่ได้นอนทั้งคืน กลัดกลุ้มจนเส้นผมขาวหงอกไม่น้อย รอจนฟ้าสางรีบรุดเดินทางมาจวนผู้ว่า
เวลายังเช้าเกินไป จวนผู้ว่ายังไม่เปิดประตู ทั้งสองทำได้เพียงรออย่างกระสับกระส่ายอยู่หน้าประตูจวนผู้ว่า ทำเอาคนที่เดินผ่านไปมาต้องหันมอง
เมื่อถึงเวลา ประตูใหญ่จวนผู้ว่าเปิดออก เปาชิงเหอขึ้นนั่งบัลลังก์ไต่สวนคดี พ่อเฉียวและแม่เฉียวตรงดิ่งเข้าไปในจวนผู้ว่า เจ้าหน้าที่เวรยามหน้าประตูรีบกั้นคนไม่น้อยที่มามุงดู
เมิ่งเชี่ยนโยวกินข้าวเช้าเสร็จก็มายังจวนผู้ว่า เปาชิงเหอเห็นว่าคนทั้งหมดมาครบแล้ว สั่งให้เจ้าหน้าที่นำตัวนักโทษทั้งสามคนเข้ามา
เจ้าหน้าที่รับคำสั่ง ไม่นานก็นำตัวทั้งสามคนเข้ามา
แม่เฉียวเห็นบุตรสาวทุเรศทุรังถูกลากออกมาเหมือนสุนัขตายข้างถนน ร้องกระโจนเข้าหา “หมิ่นเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”
พ่อเฉียวเห็นสภาพบุตรสาว ปวดใจเหลือจะเอ่ย ร้องถามเปาชิงเหออย่างเคืองขุ่น “ไต้เท้าเปา นี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดบุตรสาวข้าถึงมีสภาพเช่นนี้”
เจ้าหน้าที่ข้างๆ ตอบกลับ “เมื่อคืนวานพอคุณหนูเฉียวเข้าห้องขัง ก็ร้องเอะอะโวยวาย รบกวนนักโทษคนอื่นในคุกไม่ได้หลับนอน ทั้งสองฝ่ายเกิดปากเสียงกัน ตอนเช้าพอพวกเราเข้าไปดู คุณหนูเฉียวก็กลายเป็นเช่นนี้แล้ว”
พ่อเฉียวพูดอย่างฉุนเฉียว “เหลวไหลทั้งเพ บุตรสาวข้าเป็นคนนิ่งเงียบมาแต่เด็ก จะไปมีปากเสียงกับคนอื่นได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงเย็น “คุณหนูเฉียวยังจิตใจดีมีเมตตา แต่ก็ยังทำเรื่องชั่วช้าสามานย์เช่นนี้ได้”
พ่อเฉียวสะอึกกึก
เปาชิงเหอใช้แท่งไม้ตบบัลลังก์ เปล่งเสียงดังกึกก้อง “เรื่องที่เฉียวหมิ่นส่งคนไปลักพาตัวน้องชายแม่นางเมิ่ง ทั้งให้เวรยามของบ้านตนเองนำไปขายให้พวกค้ามนุษย์มีหลักฐานครบถ้วน ตอนนี้ข้าขอตัดสินตามกฎหมายประเทศอู่ ให้ตัดคอเฉียวหมิ่น ดำเนินการหลังฤดูใบไม้ร่วง”
แม่เฉียวตกใจหน้าซีดเผือก คุกเข่าลงหน้าบัลลังก์เปาชิงเหอ ร้องไห้คร่ำครวญ “ท่านไต้เท้าเปา ขอร้องล่ะ จะตัดสินโทษตายหมิ่นไม่ได้ จะโบยจะปรับอย่างไรก็ได้ ขอไว้ชีวิตหมิ่นเอ๋อร์เป็นพอ”
พ่อเฉียวร่างกายโงนเงน พูดว่า “ไต้เท้าเปา ตัดสินหนักเกินไปหรือไม่ น้องชายแม่นางน้อยก็กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว หมิ่นเอ๋อร์ไม่ควรมีโทษถึงชีวิต”
เปาชิงเหอมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างลำบากใจแวบหนึ่ง
แม่เฉียวลนลานคลานไปเบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ทั้งโขกหัวทั้งพูดวิงวอน “ขอร้องเจ้าล่ะ แม่นางน้อย โปรดเมตตาปราณี ไว้ชีวิตหมิ่นเอ๋อร์ของพวกเราด้วยเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก หันไปพูดกับเปาชิงเหอ “ไต้เท้าเปา ข้าก็รู้สึกว่าคุณหนูเฉียวไม่ควรถูกตัดสินโทษตาย เพราะอย่างไรน้องชายข้าก็ได้กลับคืนมาแล้ว”
เปาชิงเหอมองนางอย่างงุนงง ไม่เข้าใจนางที่เมื่อวานยังเต็มไปด้วยรังสีสังหาร เหตุใดวันนี้ถึงมาขอร้องแทนเฉียวหมิ่น
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเปาชิงเหออย่างมีความนัยแฝง “เว้นโทษตายให้คุณหนูเฉียวได้ แต่โทษเป็นอยากจะหลีกเลี่ยง”
เปาชิงเหอถึงเข้าใจพูดว่า “แม่นางเมิ่งเป็นผู้เสียหาย คิดว่าควรลงโทษคุณหนูเฉียวเยี่ยงไรดีเล่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดแล้วพูด “ไม่เช่นนั้นก็สลักอักษร “ชั่ว” ไว้ที่ใบหน้าคุณหนูเฉียว ขายนางไปโรงเตี๊ยมทางการ ให้นางเป็นทาสไปชั่วชีวิต ใครจะทำร้ายฆ่าแกงก็ได้ตามใจ”
คนทั้งหมดสูดลมหายใจเข้าปาก แอบพูดงึมงำ เช่นนี้สู้ตายเสียยังดีกว่า
แม่เฉียวฟังเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ กรีดร้องจากนั้นหมดสติไป
พ่อเฉียวบันดาลโทสะชี้หน้าเมิ่งเชี่ยนโยวพูดอะไรไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างเลือดเย็น
เฉียวหมิ่นฟื้นคืนเรี่ยวแรงบ้างแล้ว ร้องร่ำ “เมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าใจคอโหดเ**้ยมเช่นนี้ ไม่มีวันได้ตายดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างเฉยชา “ข้าจะตายดีหรือไม่เจ้าไม่รู้ แต่เจ้าไม่มีจุดจบที่ดีข้ากลับได้เห็นเองกับตา”
เฉียวหมิ่นตะเกียกตะกายคลานเข้าหา แผดเสียงร้องคำราม “ข้าขอสู้ตายกับเจ้า!”
พ่อเฉียวคุกเข่าพร่ำพูดเว้าวอนอย่างไม่อาจตัดใจ “ท่านไต้เท้าเปา ท่านไม่เห็นแก่หน้าอินทร์ก็เห็นแก่หน้าพรหมบ้างเถิด เห็นแก่ที่บุตรสาวข้าเคยเป็นภรรยาที่ยังไม่ตบแต่งของจูหลาน และคุณชายเปาก็เป็นสหายรักกับจูหลานมานานหลายปี อย่าได้ตัดสินลงโทษหมิ่นเอ๋อร์เช่นนี้เลย”
เปาชิงเหอยังไม่ทันได้ตอบกลับ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากนอกศาล “ครอบครัวของพวกเราไม่มีทางให้หลานเอ๋อร์แต่งลูกสะใภ้ที่จิตใจเ**้ยมโหดเช่นนี้”
ทุกคนหันกลับไปมอง พ่อจู แม่จูและบ่าวรับใช้หามจูหลานที่ไร้แรงกำลังเดินเข้ามา
เฉียวหมิ่นเห็นสภาพจูหลาน กระวีกระวาดลุกขึ้น ถลาไปตรงหน้าแคร่ ร้อนรนถาม “จูหลาน เจ้าเป็นอะไร”
แม่จูผลักนางออกแล้วพูด “คนหายนะ อย่ามาเข้าใกล้หลานเอ๋อร์ของข้า”
เฉียวหมิ่นถูกผลักล้มไปกับพื้น ร้องเรียกอย่างน้อยใจ “ท่านป้า”
แม่จูมองนางอย่างเดียดฉันท์ ล้วงแผ่นหยกหมั้นหมายในอกเสื้อออกมา พูดกับเปาชิงเหออย่างอ่อนน้อม “ไต้เท้าเปา วันนี้ต่อหน้าคนทั้งหมด พวกเราขอยกเลิกการแต่งงานกับสกุลเฉียว นับจากนี้พวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”
“ไม่นะ!” เฉียวหมิ่นถลาไปตรงหน้าแม่จู วิงวอนอย่างระทมทุกข์ “ท่านป้า ข้าขอร้อง อย่าได้ยกเลิกการแต่งงานของข้ากับจูหลาน ต่อไปต่อให้ต้องเป็นวัวเป็นม้า ข้าก็จะตอบแทนท่าน”
จูหลานในแคร่พูดอย่างอ่อนแรง “เฉียวหมิ่น!”
เฉียวหมิ่นหันกลับไปมองเขาอย่างวาดหวัง
จูหลานค่อยๆ พูดช้าๆ “พวกเราหมั้นหมายกันแต่เด็ก เป็นคู่ตุนาหงัน ข้ารู้แต่ว่าภายหน้าตนเองจะต้องแต่งงานกับเจ้า ไม่เคยมีความคิดเป็นอื่น ไม่คิดว่าเจ้าจะกระทำเรื่องผิดมหันต์เช่นนี้ ทำลายชีวิตคู่ของเราด้วยน้ำมือเจ้า”
เฉียวหมิ่นส่ายหน้า คร่ำครวญโหยไห้ “ข้าก็ไม่คิด พวกท่านที่บีบให้ข้าต้องทำ หากไม่เพราะพวกท่านคอยพร่ำพูดต่อหน้าข้าว่านังแพศยาคนนี้ดีเช่นไร ข้าก็คงไม่มีความคิดชั่ววูบ ลักพาตัวคนในครอบครัวนาง”
จูหลานมองนางอย่างร้าวระทม พูดขึ้น “เจ้าดูเถิด นางยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ข้าจะไปมีความคิดเช่นนั้นกับนางได้อย่างไร เจ้าเลิกหาข้ออ้างให้การกระทำผิดของตนเองได้แล้ว”
เฉียวหมิ่นพลันได้สติกลับมา ถลาไปตรงหน้าจูหลาน ร่ำร้องวิงวอน “ข้าผิดไปแล้ว ข้าสำนึกผิดแล้ว ข้าจะไปขอขมาแม่นางเมิ่ง แต่ขอร้องเจ้าอย่ายกเลิกงานแต่งงานได้หรือไม่”
จูหลานส่ายหน้า “สายน้ำไม่หวนคืน เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น พวกเราไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิมได้แล้ว เจ้าเก็บแผ่นหยกถอนหมั้นนี้ไว้ให้ดี ภายหน้าพวกเราไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันอีก”
เฉียวหมิ่นก้าวถอยหลัง โบกมือเป็นพัลวัน “ข้าไม่รับ ข้าไม่รับ!”
พ่อเฉียวถามตำหนิพ่อจู “พวกท่านไม่คิดจะไว้หน้า คิดจะถอนหมั้นให้ได้เรอะ”
พ่อจูตอบกลับอย่างเฉยชา “พี่เฉียวก็มีบุตรชาย ท่านยินดีให้บุตรชายของตัวเองแต่งเอาคนเช่นนี้เข้าบ้านหรือ”
พ่อเฉียวเผยอปาก พูดไม่ออก
เปาชิงเหอตบแท่งไม้พูดขึ้น “ตอนนี้ข้าจะทำการตัดสิน ให้ละเว้นโทษตายนักโทษเฉียวหมิ่น สลักอักษรบนหน้าผาก ขายตัวไปยังโรงเตี๊ยมทางการ ให้เป็นทาสใช้แรงงาน ชั่วชีวิตนี้ห้ามไม่ให้ไถ่ถอนคืนความเป็นทาส นักโทษเฉียวต้า ตัดสินโทษใช้แรงงานสิบปี และส่งตัวไปชายแดน นักโทษเฉียวเอ้อ ทำคุณไถ่โทษ เว้นโทษใช้แรงงาน ปล่อยตัวเป็นอิสระ”
ตอนที่ 133.1
กลับบ้าน
แม่เฉียวเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา ได้ยินคำตัดสินของเปาชิงเหอ เป็นลมสลบไปอีกครั้ง สาวใช้ข้างกายตกใจทำอะไรไม่ถูก
พ่อเฉียวคุกเข่าร่ำไห้น้ำตานอง
เฉียวหมิ่นใบหน้าตายด้าน นั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น
เจ้าหน้าที่ขานรับคำสั่ง ลากตัวเฉียวหมิ่นและเฉียวต้าออกไป
เฉียวเอ้อที่เหมือนได้เกิดใหม่มองสภาพน่าสังเวชของพวกเขา นั่งเซ่อแน่นิ่งอยู่ที่พื้น
พ่อจูและแม่จูหันไปทำความเคารพเปาชิงเหออย่างนอบน้อม ส่งสัญญาณให้บ่าวรับใช้หามจูหลานกลับโรงหมอ
จูหลานร้องเรียกเสียงแผ่ว “แม่นางเมิ่ง!”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาด้วยสีหน้าไม่แน่ชัด
จูหลานถามขึ้นอย่างยากลำบาก “เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะข้า ทำให้น้องชายเจ้าได้รับเคราะห์กรรมหนัก ข้าไม่ขอให้เจ้าให้อภัย ข้าเพียงอยากถามเจ้า ภายหน้า…พวกเราจะยังเป็นเพื่อนกันหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาไม่พูดอะไร
จูหลานถอนหายใจรวยริน พูดขึ้น “ข้ารู้แล้ว” พูดจบ หันไปบอกบ่าวรับใช้ “พวกเราไปเถอะ”
บ่าวรับใช้แบกแคร่ขึ้น เดินออกไปด้านนอก
เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวดังไล่หลังมา “หากเจ้าทนบาดแผลจนหายได้ ข้าจะถือว่าไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้น”
จูหลานได้ยินดีใจสุดโต่ง ตะเกียกตะกายลุกขึ้นพูดอย่างยินดี “ข้าจะต้องหายดี เจ้าก็อย่าลืมคำพูดของเจ้า” กลับไม่ระวังยืดตัวกระทบบาดแผลบนร่างกาย เจ็บจนร้องโอดโอย ล้มตัวลงนอนบนแคร่ตามเดิม
แม่จูรีบเดินขึ้นหน้า พูดตำหนิ “หลานเอ๋อร์ เจ้าเพิ่งจะฟื้น ระวังหน่อยไม่ได้หรือไร”
จูหลานตอบกลับ “ท่านแม่ ไม่เป็นไร ข้าเพียงแค่ดีใจเกินไป ลืมบาดแผลที่ตัว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยอมุมปากเผยรอยยิ้มที่ไม่อาจสังเกตเห็นได้
พ่อจูพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างหนักแน่น “แม่นางเมิ่ง บุญคุณของเจ้าพวกเราสกุลจูไม่มีวันลืม ภายหน้าหากมีสิ่งใดต้องการให้ช่วยขอให้พูดมา พวกเราไม่มีทางปฏิเสธ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างพินอบพิเทา “ขอบคุณท่านลุง”
พ่อจูจากไปอย่างซาบซึ้งใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวทำความเคารพเปาชิงเหออย่างอ่อนน้อม หันหลังเดินออกมา
มีเพียงพ่อเฉียวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น แม่เฉียวที่ยังนอนสลบไม่ได้สติ สาวใช้และบ่าวรับใช้ที่ตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูกอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ในศาล
กลุ่มคนที่มาดูเรื่องสนุกนอกประตูเห็นว่าคดีสิ้นสุดแล้ว ต่างแยกย้ายไปคนละทิศละทาง หาคนเล่าเรื่องให้ฟังต่ออย่างครึ้มอกครึ้มใจ
เปาชิงเหอลุกขึ้นเดินมาเบื้องหน้าพ่อเฉียว
พ่อเฉียวมองเขาอย่างเคียดแค้น
เปาชิงเหอย่อตัวลง กระซิบข้างหูเขาสองสามคำ
พ่อเฉียวตะลึงตาค้าง มองเขาอย่างไม่เชื่อ
เปาชิงเหอพยักหน้า
พ่อเฉียวลุกขึ้น หันไปพูดกับสาวใช้และบ่าวรับใช้ “ประคองฮูหยินให้ดี พวกเรากลับบ้าน ต่อไปพวกเราสกุลเฉียวจะไม่มีคุณหนูเฉียวหมิ่นคนนี้อีก”
สาวใช้และบ่าวรับใช้เข้าประคองแม่เฉียวเดินออกไปจากศาล พ่อเฉียวเดินตามหลังไป
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาถึงโรงเตี๊ยม เมิ่งเจี๋ยยังไม่ฟื้น เมิ่งชื่อร้อนใจกระสับกระส่าย เห็นนางกลับมา รีบร้อนถาม “โยวเอ๋อร์ เหตุใดเจี๋ยเอ๋อร์ยังไม่ฟื้นอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปลอบใจ “ท่านแม่ ท่านใจเย็นก่อน อีกประเดี๋ยวเจี๋ยเอ๋อร์ก็ฟื้นแล้ว”
เมิ่งชื่อถึงวางใจสงบนิ่งลง กลับไปนั่งข้างเตียง จ้องมองเมิ่งเจี๋ยอย่างไม่กะพริบตา
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเด็กที่เหลือเฝ้าอยู่อีกด้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งชิง “ชิงเอ๋อร์ ไปหยิบหน้ากากในห้องกลางมา อีกประเดี๋ยวพอเจี๋ยเอ๋อร์ฟื้น พวกเราให้เขาดีหรือไม่”
เมิ่งชิงพยักหน้าอย่างรู้ความ วิ่งไปหยิบหน้ากากจากห้องกลาง เมิ่งอวี้เซวียนเดินตามติดไป
เมิ่งชิงหยิบหน้ากากกลับมา ยืนข้างเตียงเมิ่งเจี๋ยอย่างเชื่อฟัง เฝ้ารอเขาตื่นมาเงียบๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เมิ่งเจี๋ยขยับเปลือกตา เมิ่งชื่อร้องพูดยินดี “เจี๋ยเอ๋อร์ฟื้นแล้ว”
ทั้งครอบครัวล้อมมายืนข้างเตียง
เมิ่งเจี๋ยลืมตาขึ้น เห็นใบหน้าเมิ่งชื่ออยู่ตรงหน้า กะพริบตาปริบๆ อย่างไม่เชื่อ เห็นเมิ่งชื่อยังคงอยู่ตรงหน้า ยื่นสองมือออกไป ร้องเรียกอย่างดีใจ “ท่านแม่!”
เมิ่งชื่อโน้มตัวอุ้มเมิ่งเจี๋ยไว้แนบอก ร้องไห้ฟูมฟาย “เจี๋ยเอ๋อร์ ในที่สุดลูกก็ฟื้น ทำแม่ตกใจหมดแล้ว”
เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีก็พูดอย่างดีใจ “น้องเล็ก เจ้าฟื้นแล้ว”
เมิ่งเจี๋ยถูกเมิ่งชื่อกอดจนหายใจไม่ออก ดิ้นรนร้องพูด “ท่านแม่ ข้าอึดอัด”
เมิ่งชื่อรีบคลายมือ ถามอย่างว้าวุ่นใจ “อึดอัดตรงไหน แม่จะพาไปหาหมอ”
เมิ่งเจี๋ยตอบกลับ “ถูกท่านแม่กอดจนอึดอัด”
เมิ่งชื่อถึงได้สติกลับมา หัวเราะร่า
เมิ่งเจี๋ยหันไปเรียกเมิ่งเอ้ออิ๋น “ท่านพ่อ!”
เมิ่งเอ้ออิ๋นตาแดงชื้น ลูบหัวเมิ่งเจี๋ยแล้วพูด “ไม่เป็นไรก็ดี ไม่เป็นไรก็ดี”
เมิ่งเจี๋ยหันไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว ร้องเรียก “ท่านพี่!”
เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวเขา
เมิ่งเจี๋ยพูดกับนางอย่างฮึกเฮิม “ท่านพี่ ข้ากล้าหาญมาก ไม่กลัวเกรงพวกเขา ข้ากัดมือของเขา เขาเจ็บจนร้องแผดเสียงร้องดังสนั่น”
เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งอึ้ง พูดชื่นชม “เจี๋ยเอ๋อร์เก่งที่สุด”
เมิ่งเจี๋ยหัวเราะขวยเขิน พูดขึ้น “ข้ารู้ว่าท่านพี่จะต้องหาข้าพบ ข้าไม่กลัว”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตาแดงชื้น ลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน
เมิ่งเจี๋ยร้องเรียกอีก “พี่ใหญ่ พี่รอง พี่อี้เซวียน”
คนทั้งสามส่งยิ้มให้เขา
เมิ่งชิงวางหน้ากากไปเบื้องหน้าเขาพูดอย่างไร้เดียงสา “หน้ากากนี้ให้เจ้าทั้งหมด ต่อไปเจ้าจะได้ไม่หายไปอีก”
เมิ่งเจี๋ยพูดอย่างดีใจ “ขอบใจชิงเอ๋อร์”
เมิ่งชื่อเห็นเมิ่งเจี๋ยไม่เป็นไรแล้วก็โล่งใจ พูดอย่างกระวนกระวาย “โยวเอ๋อร์ พวกเรากลับบ้านเถอะ เมืองนี้แม่ไม่อยากอยู่ต่อแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปลอบใจ “ท่านแม่ เจี๋ยเอ๋อร์เพิ่งจะฟื้น ให้เขาพักผ่อนอีกหน่อยค่อยกลับเถอะ”
เมิ่งชื่อมองบุตรชายคนเล็กที่ยังอ่อนแอ พยักหน้ารับคำ
ทั้งครอบครัวห้อมล้อมชวนเมิ่งเจี๋ยพูดคุยอย่างสนุกสนานอีกครู่หนึ่ง เมิ่งเจี๋ยถึงค่อยๆ ฟื้นตัวกระปรี้กระเปร่าขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งยองข้างเตียงเมิ่งเจี๋ย ถามเสียงเบา “เจี๋ยเอ๋อร์ พี่ถามเจ้า เจ้าถูกพวกเขาอุ้มไปได้อย่างไร”
เมิ่งเจี๋ยพูดอย่างหวาดกลัว “พอข้าออกมาจากห้องท่านแม่ เห็นชายสองคนถือหน้ากากแลดูน่าสนุกอยู่ข้างบันได ข้าจึงเดินเข้าไปหา จากนั้นพวกเขาก็ปิดปากข้า ข้าดิ้นรนสุดชีวิต พวกเขาใช้ฝ่ามือฟาดมาที่ลำคอข้า ข้าก็ไม่รู้เรื่องอะไรอีก ตอนที่ข้าฟื้นขึ้นมา ก็อยู่ในบ้านซอมซ่อนั้นแล้ว พอข้าเห็นว่าไม่รู้จักพวกเขา ก็บอกพวกเขาให้ส่งข้ากลับไป พวกเขาไม่ยอม ข้าก็เลยกัดมือเขาไปคนหนึ่ง คนคนนั้นเจ็บจนแผดเสียงร้อง ใช้ฝ่ามือตบหน้าข้า ตบจนข้าเจ็บมากแต่อย่างไรข้าก็ไม่ยอมปล่อยปาก ท่านพี่ ข้ากล้าหาญมากใช่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดวงตาเขาแล้วพูด “อือ เจี๋ยเอ๋อร์กล้าหาญมาก พี่ภูมิใจในตัวเจ้า”
เมิ่งเจี๋ยพูดอย่างยินดี “ข้าว่าแล้วท่านพี่จะต้องชมข้า”
“ตอนนี้เจี๋ยเอ๋อร์ยังกลัวหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวถามเสียงแผ่ว
เมิ่งเจี๋ยส่ายหน้า “ไม่กลัว ข้าไม่เคยกลัว”
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนใจโล่งอก ลอบดีใจที่การฝึกฝนอย่างเป็นกิจวัตรของตนเองบังเกิดผล เรื่องในครั้งนี้ไม่สร้างรอยด่างไว้ในใจเมิ่งเจี๋ย
เมิ่งเจี๋ยลูบท้องน้อยตัวเองพูดว่า “ท่านแม่ ข้าหิว ข้าอยากกินของอร่อย”
เมิ่งชื่อลนลานลุกขึ้นพูดขึ้น “เจี๋ยเอ๋อร์ รอเดี๋ยวนะ แม่จะไปทำให้เดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวรั้งนางไว้ “ท่านแม่ ที่นี่เป็นโรงเตี๊ยม ไม่มีที่ให้ทำอาหาร ข้าจะไปบอกหลงจู๊ให้เขาทำโจ๊กมาให้ เจี๋ยเอ๋อร์ไม่ได้กินอะไรมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ไม่ควรกินของมันเลี่ยน”
เมิ่งชื่อได้สติกลับมา รีบร้อนพูด “ได้ เจ้ารีบไป เจี๋ยเอ๋อร์คงจะหิวแย่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวลงมาชั้นล่าง ให้หลงจู๊สั่งการเสี่ยวเอ้อต้มโจ๊กขึ้นมา
เรื่องที่เฉียวหมิ่นลักพาตัวเมิ่งเจี๋ยหลงจู๊รู้เรื่องหมดแล้ว จุดจบที่น่าเวทนาของนาง หลงจู๊ก็ได้ยินแล้ว ตอนนี้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ตรงหน้า หลงจู๊ตกใจท้องขาสั่นพั่บๆ ได้ยินคำพูดนาง ก็รีบสั่งเสี่ยวเอ้อไปต้มโจ๊กทันที
เปาอีฝานกลับถึงจวนพักผ่อนเล็กน้อย ก็ลุกขึ้นสั่งเด็กรับใช้ยกน้ำมาให้ตนเองล้างหน้าล้างตา คิดจะออกไปพร้อมเซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนดูว่าเมิ่งเจี๋ยฟื้นแล้วหรือไม่
ซุนฮุ่ยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งครึม ไม่แม้แต่จะทักทาย ก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ
เปาอีฝานมองนางอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง ถามขึ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ซุนฮุ่ยพูดไม่ออก
เปาอีฝานเร่งเร้าถาม “มีเรื่องอันใดก็พูดมา ระหว่างเรายังต้องมีสิ่งใดปิดบังกันอีก”
ซุนฮุ่ยเล่าถึงจุดจบของเฉียวหมิ่นออกมา
เปาอีฝานไม่คิดว่าเฉียวหมิ่นจะถูกตัดสินลงโทษเช่นนี้ พลันตะลึงงัน
ซุนฮุ่ยถามขึ้น “อย่างไรก็ตามหาน้องชายแม่นางเมิ่งกลับมาได้แล้ว และมิได้เป็นสิ่งใดมาก ท่านลุงพิจารณาโทษเช่นนี้หนักหนาเกินไปหรือไม่”
เปาอีฝานได้สติคืนมา พูดว่า “ตามกฎหมายประเทศอู่ การลักพาตัวจะต้องถูกตัดศีรษะ เฉียวหมิ่นยังรักษาชีวิตไว้ได้ นับว่าท่านพ่อข้าเมตตาปราณีแล้ว”
“แต่ข้าได้ยินเจ้าหน้าที่พูดว่า เดิมท่านลุงตัดสินโทษตัดศีรษะเฉียวหมิ่น แต่แม่นางเมิ่งขอร้องให้เขาไว้ชีวิตนาง ทั้งยังเรียกร้องให้ท่านลุงตัดสินโทษเช่นนั้น ท่านว่า เหตุใดท่านลุงต้องฟังคำแนะนำของนาง การอยู่ก็เหมือนตายนี้ของเฉียวหมิ่น สู้ให้นางถูกบั่นศีรษะเสียยังดีกว่า” ซุนฮุ่ยถามอย่างแคลงใจ
เปาอีฝานสะท้อนแววตา พูดว่า “เรื่องถึงที่สุดแล้ว เจ้าเลิกคาดเดาตามอำเภอใจได้แล้ว ข้าจะล้างหน้าล้างตา กินอาหารเช้า พวกเราและเซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนจะไปดูกันว่าน้องชายแม่นางเมิ่งฟื้นหรือยัง”
ซุนฮุ่ยลุกขึ้นยืน ด้านหนึ่งสั่งการสาวใช้ไปยกอาหารเช้าเข้ามา อีกด้านพูดว่า “ข้ามิได้คาดเดา ข้าเพียงทอดถอนใจว่าเฉียวหมิ่นเดินมาถึงจุดนี้ ต้องมามีจุดจบที่น่าสังเวชเช่นนี้ได้อย่างไร อย่างไรพวกเราก็รู้จักกันมาหลายปี ยังรู้สึกเจ็บปวดใจแทน”
เปาอีฝานพูดขึ้น “เฉียวหมิ่นจิตใจเ**้ยมโหด สักวันจะต้องพบจุดจบเช่นนี้ ตอนนี้ข้ากลับยินดีแทนจูหลาน โชคดีที่เขายังไม่ได้แต่งเอาคนเช่นนี้เข้าบ้าน ไม่เช่นนั้น ภายหน้าพวกเราคงต้องตัดขาดกับเขา”
ได้ยินเขาเอ่ยถึงจูหลาน ซุนฮุ่ยจึงพูดเรื่องที่พ่อจู แม่จูไปที่ศาลาว่าการ ยกเลิกการหมั้นหมายออกมาด้วย กล่าวอย่างทอดถอนใจ “เฉียวหมิ่นเพียงแค่คลั่งรักมากเกินไป ถึงได้คิดสั้น ตอนนี้สำนึกได้ก็สายไปเสียแล้ว”
เปาอีฝานพูดว่า “คนเช่นนางสำนึกได้ก็เพียงชั่วคราว หากภายหน้าพบเรื่องเช่นนี้จักต้องกระทำการเช่นนี้อีก สกุลจูกระทำการเด็ดขาด ถือว่าได้ขจัดปัญหาที่ซ่อนเร้นในภายหน้าให้สิ้นซาก”
ซุนฮุ่ยถอนหายใจ “แม้สกุลจูไม่ยกเลิกการหมั้นหมาย ด้วยจุดจบของเฉียวหมิ่นการแต่งงานนี้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว เช่นนี้ก็ดี เฉียวหมิ่นจะได้ตัดใจหมดสิ้น ไม่ให้นางใช้มาเป็นข้ออ้างทำร้ายผู้อื่นได้อีก”
เปาอีฝานพูดเตือนนาง “ทุกคนมีชะตาชีวิตของตนเอง เมื่อนางกระทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ ก็ควรจะได้รับโทษทัณฑ์อย่างสาสม เจ้าไม่ต้องกลัดกลุ้มใจเพื่อนางแล้ว คิดว่าอีกประเดี๋ยวพวกเราไปจะนำของสิ่งใดไปเยี่ยมน้องชายแม่นางเมิ่งดีกว่า”
ซุนฮุ่ยถูกเปลี่ยนประเด็นสนทนา พูดขึ้นทันควัน “จริงด้วย อีกประเดี๋ยวพวกเราไปเยี่ยมน้องชายแม่นางเมิ่งจักไปมือเปล่าไม่ได้ แต่นำของเยี่ยมอะไรติดมือไปดีเล่า”
เปาอีฝานหัวเราะพูด “ข้าให้เจ้าไปเตรียมการ เจ้ากลับมาย้อนถามข้า เรื่องการเยี่ยมเยียนข้าไม่เคยจัดการมาก่อน ไม่เช่นนั้นเจ้าไปถามแม่ข้า ให้ท่านช่วยพวกเราเตรียมการ”
ซุนฮุ่ยลุกขึ้นพูด “ข้าจะไปถามท่านป้าเดี๋ยวนี้ ท่านกินเสร็จแล้วให้คนไปเรียกข้าก็พอ”
เปาอีฝานพยักหน้า ซุนฮุ่ยเดินออกไปด้านนอก
ตอนที่ 133.2
กลับบ้าน
เปาอีฝานกินข้าวเช้าเสร็จ ซุนฮุ่ยก็เตรียมของเยี่ยมเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองนั่งรถม้ามาถึงบ้านเซี่ยเจียงเฟิง
เซี่ยเจียงเฟิงเพิ่งจะเตรียมของเยี่ยมเสร็จกำลังจะออกจากบ้าน เห็นทั้งสองคนนั่งรถม้าตรงมา จึงออกเดินทางมาบ้านอันอี่หยวนพร้อมพวกเขาสองคน
อันอี่หยวนรออยู่ในบ้านนานแล้ว เห็นคนทั้งหมดมาถึง ก็ยกของเยี่ยมมายังโรงเตี๊ยมพร้อมกับทุกคน
ลงจากรถม้า เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ข้างโต๊ะคิดเงินชั้นล่าง ต่างเข้าไปทักทายอย่างเป็นมิตร
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูด “น้องชายข้าเพิ่งตื่น รู้สึกหิว ข้าลงมาให้หลงจู๊ช่วยทำโจ๊กให้เขากิน”
เซี่ยเจียงเฟิงพูดอย่างยินดี “น้องชายเจ้าฟื้นแล้ว เช่นนั้นก็ดีมากจริงๆ”
เปาอีฝานถาม “เป็นอะไรหนักหนาหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ไม่เป็นอะไรร้ายแรง มีชีวิตชีวาดี”
คนทั้งหมดเชิญครอบครัวเมิ่งเชี่ยนโยวมาชมโคมไฟ กลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทั้งยังเป็นเฉียวหมิ่นที่ก่อขึ้น เปาอีฝานเกรงว่าหากเมิ่งเจี๋ยเป็นอะไรขึ้นมาอีก ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวเกิดความกินแหนงแคลงใจ ต่อไปยากจะไปมาหาสู่กันอีก ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่าเมิ่งเจี๋ยไม่เป็นอะไร ใจที่หวาดหวั่นมาตลอดในที่สุดก็ปล่อยวางลงได้แล้ว พูดอย่างปิติ “เช่นนั้นก็ดี”
ซุนฮุ่ยเข้ามาดึงมือเมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “น้องโยวเอ๋อร์ ตอนที่ได้ยินว่าเกิดเรื่องกับน้องชายเจ้า ข้าก็คิดจะมาหาแล้ว แต่เปาอีฝานบอกว่าข้ามาก็ช่วยอะไรไม่ได้ อาจจะเป็นการเพิ่มภาระให้เจ้า ข้าจึงไม่ได้มา เจ้าไม่ถือโทษข้าหรอกนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พี่ฮุ่ยเอ๋อร์ ข้าจะถือโทษท่านได้อย่างไร คุณชายเปาพูดถูกต้องแล้ว หากท่านมาก่อนหน้านี้ ข้าคงไม่มีแรงกำลังต้อนรับท่านจริงๆ”
ซุนฮุ่ยพูด “น้องโยวเอ๋อร์ไม่ตำหนิโทษข้าก็ดีแล้ว วันนี้พวกเรานำของเยี่ยมมาให้น้องชายเจ้า เจ้าดูว่ายังต้องการสิ่งใด อย่าได้เกรงใจเด็ดขาด ขอให้รีบเอ่ยปาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ขอบคุณพี่ฮุ่ยเอ๋อร์”
หลงจู๊ยกโจ๊กที่ต้มเสร็จแล้วออกมาอย่างระวัง เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะยื่นมือรับ เซี่ยเจียงเฟิงกลับพูดว่า “ให้ข้าเองดีกว่า เมิ่งเชี่ยนโยวอายุยังน้อย เดี๋ยวจะลวกมือเอาได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะกล่าวขอบคุณ
เซี่ยเจียงเฟิงนำของเยี่ยมในมือส่งให้เปาอีฝาน ยกโจ๊กที่ต้มเสร็จแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวพาคนทั้งหมดมายังชั้นสอง เดินไปพลางพูดกับคนทั้งหมดว่า “ข้าไม่ได้บอกคนในบ้านว่าใครลักพาตัวเจี๋ยเอ๋อร์ไป พวกเขาต่างคิดว่าเจี๋ยเอ๋อร์ถูกพวกค้ามนุษย์บังเอิญมาจับตัวไป พวกท่านขึ้นไปแล้วห้ามหลุดปากพูดเด็ดขาด”
คนทั้งหมดยิ่งรู้สึกซาบซึ้งใจ เมิ่งเชี่ยนโยวอายุเพียงเท่านี้มีความสามารถจัดการเรื่องราวได้ถึงเพียงนี้ รู้สึกนับถือนางมากยิ่งขึ้น
คนทั้งหมดเดินมาถึงชั้นสอง เมิ่งเชี่ยนโยวผลักประตูห้องออก เดินเข้ามาด้านใน
เซี่ยเจียงเฟิงยกโจ๊กเดินตามหลังมา คนที่เหลือก็เดินตามเข้ามา
เมิ่งเสียนเห็นโจ๊กในมือเซี่ยเจียงเฟิง รีบเข้าไปรับมา เอ่ยปากพูด “คุณชายเซี่ย มอบโจ๊กให้ข้าเถอะ”
เซี่ยเจียงเฟิงยื่นโจ๊กให้เขาอย่างระวัง
คนทั้งหมดกล่าวทักทายสองสามีภรรยาเมิ่งอย่างมีมารยาท “ท่านลุง ท่านป้า”
สองสามีภรรยาเมิ่งรับคำอย่างประดักประเดิด
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดกับพวกเขา “ท่านพ่อ ท่านแม่ คุณชายทั้งหลายมาเยี่ยมน้องเล็ก ทั้งยังนำของเยี่ยมมาให้ไม่น้อย”
สองสามีภรรยาเมิ่งกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งเจี๋ย “น้องเล็ก คุณชายทั้งหลายมาเยี่ยมเจ้า เจ้าสมควรทักทายพวกเขาหรือไม่”
เมิ่งเจี๋ยร้องเรียกอย่างมีมารยาท “ท่านพี่ชาย พี่สาวสวัสดี”
ซุนฮุ่ยหัวเราะพูด “น้องโยวเอ๋อร์ น้องชายเจ้าน่าเอ็นดูนัก ข้าอยากมีน้องชายเช่นนี้บ้าง”
เมิ่งเจี๋ยพูดอย่างไร้เดียงสา “เช่นนั้นก็มีสักคนสิ”
คนทั้งหมดหัวเราะครืน
บรรยากาศอึมครึมในห้องผ่อนคลายลงไม่น้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านป้อนโจ๊กน้องเล็กเถิด พวกเราจะไปคุยธุระห้องข้างๆ”
เมิ่งชื่อโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด พูดว่า “ไปเถอะ”
คนทั้งหมดเข้ามายังห้องข้างๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “เรื่องน้องชายข้าครั้งนี้ต้องขอบคุณทุกท่านที่ให้การช่วยเหลือ ภายหน้าหากมีสิ่งใดที่ข้าช่วยได้ ขอให้รีบบอก ขอเพียงข้าทำได้ ข้าจะไม่บอกปฏิเสธ”
เซี่ยเจียงเฟิงรีบร้อนพูด “แม่นางเมิ่งเกรงใจไปแล้ว พวกเราหาได้ช่วยอะไรเจ้าไม่”
อันอี่หยวนรีบพูดคล้อยตาม
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “หลังจากน้องชายข้าเกิดเรื่อง พวกท่านทั้งสองก็คอยเป็นธุระตามหาให้ ทั้งยังช่วยข้าดูแลคนในครอบครัว จะพูดว่าไม่ได้ช่วยได้อย่างไร”
ทั้งสองยิ้มแย้มพูดว่าเป็นสิ่งที่เพื่อนสมควรทำให้กันแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเปาอีฝานต่อ “พวกที่ลักพาตัวเด็กไปจักต้องไม่ได้มีเพียงห้าคนนั้น ที่ข้าไม่ได้ลงมือกับคนที่เหลือ เพราะอยากให้เจ้าใช้เบาะแสนี้สืบหาผู้อยู่เบื้องหลังพวกเขา หวังว่าเจ้าจะตามหาพวกเขาได้โดยไว หากพบปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ให้ส่งคนไปหาข้า ข้าจะรีบมาช่วยเหลือทันที”
เปาอีฝานพูด “ข้าก็มีความคิดเช่นนี้เช่นกัน แม่นางเมิ่งรอฟังข่าวดีเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เดิมข้าคิดจะไปสืบความพร้อมกับเจ้า น้องชายข้าถูกพวกเขาทำร้ายจนมีสภาพเช่นนี้ หากไม่ได้ทำลายรังพวกมันกับมือ ข้าไม่มีทางเลิกรา แต่หลังจากท่านแม่ประสบกับเรื่องนี้ สติสตังเริ่มไม่สู้ดี ข้ากลัวนางจะเป็นห่วงข้าอีก ดังนั้นจึงต้องรบกวนคุณชายเปาไปสืบด้วยตัวเอง”
เปาอีฝานโบกมือพูด “เรื่องนี้เดิมก็อยู่ในความรับผิดชอบของข้า แม่นางเมิ่งอย่าได้เกรงใจ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “หลังจากเจ้าจับพวกเขาได้ยกรัง ให้พาพี่ซุนไปบ้านข้า ข้าจะทำพระกระโดดกำแพงให้พวกเจ้ากิน”
เซี่ยเจียงเฟิงพูดอย่างสนใจ “เช่นนั้นข้ากับอันอี่หยวนขอไปร่วมวงด้วยได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ย่อมได้ ถึงตอนนั้นเรียนจูหลานมาด้วย เขาชอบร่วมวงสนุกที่สุด”
บรรยากาศภายในห้องเงียบขรึมลง
เปาอีฝานลองหยั่งเชิงถาม “เจ้าไม่ตำหนิโทษจูหลาน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เขาไม่ได้เป็นคนทำเรื่องนี้ เหตุใดต้องตำหนิโทษเขาด้วย”
เซี่ยเจียงเฟิงยิ้มพูด “ถ้าจูหลานรู้ จะต้องดีใจมาก”
เปาอีฝานและเมิ่งอวี้เซวียนพยักหน้าเห็นพ้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับคนทั้งหมด “ข้าได้น้องชายคืนมาแล้ว และไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง พวกเราจะกลับบ้านตอนบ่าย ข้าขอบอกลาพวกท่านตรงนี้เลย ตอนบ่ายพวกท่านก็ไม่ต้องมาส่งแล้ว”
ซุนฮุ่ยกล่าว “ได้อย่างไรกัน ข้ากับเจ้าชะตาต้องกัน อยากจะอยู่คลอเคลียกับเจ้าไม่ห่าง จะไม่มาส่งเจ้าได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขบขัน “พี่ซุน หากท่านมาคลอเคลียอยู่กับข้าไม่ห่าง คาดว่าถึงตอนนั้นคุณชายเปาได้มาหาเรื่องทะเลาะกับข้าเป็นแน่ ข้าสู่เขาไม่ได้ ท่านปล่อยข้าไปเถอะนะ”
คนทั้งหมดหัวเราะครื้นเครง
ซุนฮุ่ยอายหน้าแดง แกล้งพูดโกรธเกรี้ยว “เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม กล้ามาพูดแซวข้า ต่อไปข้าไม่สนใจเจ้าแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพูดขอขมา “ท่านพี่ ข้าผิดไปแล้ว ท่านให้อภัยข้าสักครั้งเถอะ ต่อไปข้าไม่กล้าแซวท่านแล้ว”
คนทั้งหมดหัวเราะครืนอีกครั้ง
สองสามีภรรยาเมิ่งได้ยินเสียงสรวลเสเฮฮาของพวกเขาก็ดีใจไปด้วย
คนทั้งหมดหัวเราะเสร็จ ก็ลุกขึ้นกล่าวอำลา
เมิ่งเชี่ยนโยวลงมาส่งพวกเขาชั้นล่าง เห็นพวกเขานั่งรถม้าจากไปไกลแล้วถึงขึ้นไปชั้นสอง
ทั้งครอบครัวกินอาหารเที่ยงเสร็จ เก็บข้าวของของตนเอง เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ไปบังคับรถม้าจากด้านหลังมารอหน้าประตูโรงเตี๊ยม
เมิ่งชื่อพาลูกๆ ทั้งหมดออกมา หลงจู๊ออกมาส่งทุกคนที่หน้าประตูอย่างมีมิตรไมตรี
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงักฝีเท้า หันไปพูดกับหลงจู๊ “เสือยังมีเวลางีบหลับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคน เสี่ยวเอ้อเพียงแค่เหนื่อยล้าพักผ่อนชั่วครู่ หลงจู๊อย่าได้ลงโทษเขาเกินกว่าเหตุ”
หลงจู๊มองนางไม่เพียงไม่ตำหนิโทษตนเอง แม้แต่เสี่ยวเอ้อก็ไม่ว่ากล่าว กล่าวขอบคุณอย่างปิติยินดีไม่หยุด พูดรับประกัน “แม่นางวางใจ ข้าจะให้เขาทำงานต่อไป ครั้งหน้าที่แม่นางมาโรงเตี๊ยมพวกเราอีกครั้ง จะให้เขาต้อนรับท่านเป็นอย่างดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หันหลังขึ้นรถม้า
ทั้งครอบครัวต่างมาเพื่อชมโคมไฟอย่างเบิกบานใจ แต่เกือบต้องสูญเสียเมิ่งเจี๋ยไป ขากลับย่อมไม่มีอารมณ์ตื่นเต้นดีใจเหมือนตอนขามา ต่างนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่ในรถ มีเพียงเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเด็กน้อยทั้งสองที่พูดคุยเฮฮาไม่หยุดตลอดทาง
เมิ่งเชี่ยนโยวเอนตัวเข้าหาเด็กน้อยทั้งสอง พูดกับเด็กน้อยทั้งสองเสียงเบา “เจี๋ยเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ พี่มีเรื่องจะปรึกษากับพวกเจ้าหน่อย”
เด็กน้อยทั้งสองก็ตอบกลับเสียงเบา “ท่านพี่ มีเรื่องอันใด”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดยั่วเย้า “เรื่องที่เจี๋ยเอ๋อร์ถูกคนไม่ดีจับตัวไป เมื่อพวกเจ้ากลับไปแล้วห้ามไปพูดให้ใครฟัง แม้แต่ท่านปู่ท่านย่าก็ไม่ได้ หากพวกเจ้าทำได้ พี่จะทำของเล่นน่าสนุกให้พวกเจ้า สามารถบินได้ด้วยนะ”
เด็กน้อยทั้งสองถูกดึงดูดทันควัน พยักหน้าพูดให้คำมั่นไม่หยุด “พวกเราไม่พูด ใครก็ไม่พูดทั้งนั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นนิ้วก้อยออกมา พูดว่า “พวกเรามาเกี่ยวก้อยกัน ใครพูดคนนั้นเป็นหมาน้อย และจะไม่ได้ของเล่นนั้น”
เด็กน้อยทั้งสองเลียนแบบนางยื่นนิ้วก้อยออกมาเกี่ยวเข้ากับนิ้วก้อยนาง พูดพร้อมกัน “เกี่ยวก้อยสัญญา ร้อยปีไม่เปลี่ยน ใครพูดออกไปคนนั้นเป็นหมาน้อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มือสองข้างลูกศีรษะเด็กทั้งสอง พูดว่า “น่ารักจริงๆ กลับไปพี่จะทำของเล่นสนุกๆ ให้พวกเจ้า”
เมิ่งเจี๋ย เมิ่งชิงร้องตะโกนดีใจ
เมิ่งชื่อมองพวกเขาด้วยใบหน้ามีความสุข
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกำชับคนในครอบครัว “ท่านแม่ พี่ใหญ่ พี่รอง อี้เซวียน เรื่องที่เมิ่งเจี๋ยถูกลักพาตัวไป เมื่อกลับไปแล้วพวกท่านไม่ต้องพูดกับใคร เลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องที่ไม่จำเป็นตามมา”
คนทั้งหมดพยักหน้า
รถม้าไม่ได้วิ่งเร็วมาก ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะกลับถึงบ้าน
เมิ่งชื่อเปิดประตูบ้าน มองดูบ้านที่คุ้นตา พูดถอนใจ “บ้านเราดีที่สุด สบายใจที่สุด ต่อไปแม่จะไม่ไปไหนอีกแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “ท่านแม่ ต่อไปข้าหาเงินได้เยอะ ยังคิดจะพาพวกเราทั้งครอบครัวไปเที่ยวในเมืองหลวง ถ้าท่านไม่ไปไหนแล้ว พวกเราจะไปอย่างไรเล่า”
เมิ่งชื่อลูบหน้าอกแล้วพูด “แม่เข้าอำเภอไปครั้งเดียว ก็ตกใจเกือบตายแล้ว ให้ตายแม่ก็ไม่ไปเมืองหลวง พวกเจ้าใครอยากไปก็ไปเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ
ป้าหวังกลับมาบ้าน เห็นประตูใหญ่เปิดอ้า จึงเดินเข้ามา เห็นคนทั้งหมดในลานบ้าน ก็ยิ้มแย้มพูด “ข้านึกว่าพวกเจ้าจะกลับกันมาแต่เมื่อวาน ไม่คิดว่าวันนี้ถึงจะกลับมา โคมไฟในอำเภองดงามมาก พวกเจ้าหลงใหลจนไม่อยากกลับมาใช่หรือไม่”
เมิ่งชื่อสีหน้าแข็งค้าง
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบตอบกลับ “ใช่ ป้าหวัง เทศกาลโคมไฟในอำเภอสวยงามมาก พวกเรายังซื้อกลับมาหลายอัน ไม่เชื่อท่านดูสิ” พูดจบ นำโคมไฟที่เมิ่งอวี้เซวียนชนะมาได้ให้ป้าหวังดู
ป้าหวังพูดอย่างใจหาย “อ๊ายหย่า โคมไฟในอำเภอสวยล้ำนัก ป้ายังไม่เคยเห็นโคมไฟที่งดงามเช่นนี้มาก่อน ปีหน้าป้าจะให้ลุงหวังเจ้าพาพวกเราทั้งครอบครัวไปบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับ “ดีเลย ถึงตอนนั้นพวกเราไปด้วยกัน”
ป้าหวังพยักหน้ายินดี
เมิ่งชื่อเอาแต่ไม่พูดไม่จา ป้าหวังรู้สึกประหลาดใจ ถามขึ้น “สะใภ้เอ้ออิ๋น เจ้าเป็นอะไร ข้าเห็นสีหน้าเจ้าไม่สู้ดี”
เมิ่งชื่อลูบใบหน้าตัวเองอย่างลืมตัว
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “เทศการโคมไฟคนพลุกพล่าน ท่านแม่ข้าคอยดูแลเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์ คงจะเหนื่อยล้า พักสักสองวันก็หายเอง”
ป้าหวังไม่สงสัยอีก รีบร้อนพูด “เช่นนั้นเจ้ารีบไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ข้าค่อยมาหาใหม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดตามมารยาท “ป้าหวังค่อยๆ เดิน”
ป้าหวังโบกมือ เดินออกไปจากประตูใหญ่บ้านเมิ่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ ท่านเข้าบ้านไปพักเสียหน่อยเถิด ข้าจะเก็บกวาดบ้านเอง”
เมิ่งชื่อไม่พูดอะไร หันหลังเดินกลับเข้าบ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจ
เมิ่งเสียนและน้องอีกสองคนยกของเยี่ยมเข้ามา ถามขึ้น “น้องสาว ของเยี่ยมพวกนี้ให้วางไว้ที่ใด”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูของเยี่ยมในมือพวกเขา พูดอย่างขอไปที “วางไว้ที่ห้องฝั่งตะวันตกเถอะ วางกองไว้กับข้าวของที่พวกคุณชายเซี่ยส่งมาให้ตอนปีใหม่”
คนทั้งหมดพยักหน้า นำของเยี่ยมย้ายไปเก็บห้องฝั่งตะวันตก
ตอนที่ 133.3
กลับบ้าน
พักผ่อนได้สามวัน อาการของเมิ่งชื่อค่อยผ่อนคลายลง วันเริ่มต้นทำงานก็มาถึง เหล่าคนงานต่างมาทำงานอย่างหน้าชื่นตาบานแต่เช้าตรู่
จางจู้จางเกินและภรรยาก็พาคนในหมู่บ้านมาถึงแต่เช้า เข้าเก็บกวาดโรงงานกุนเชียงทั้งภายในภายนอกจนสะอาดเอี่ยม เตรียมลงมือทำงาน
หลังจากเก็บกวาดเสร็จ เนื้อหมูของจูต้าจ้วงยังไม่ถูกส่งมา เมิ่งชื่อจึงให้พี่ชายพี่สะใภ้เข้ามานั่งในบ้านใหญ่
คนทั้งหมดหาที่นั่ง เมิ่งเสียนยกน้ำชาเข้ามา ภรรยาจางจู้ดึงมือเมิ่งชื่อมาพูดเสียงแผ่ว “น้องสาว ข้าขอพูดอะไรหน่อย เมื่อเจ้าได้ฟังแล้วจะต้องหายเคืองขุ่น”
เมิ่งชื่อรีบถาม “เรื่องอันใด”
ภรรยาจางจู้ส่งยิ้มเอื้อนเอ่ย “ช่วงเวลานี้บ้านอารองเกิดเรื่องโกลาหลใหญ่โต ชิงเอ๋อร์เอาแต่อยู่ในบ้านไปยอมไป จางเถี่ยและภรรยาเอาแต่ร้องโวยวายอาละวาดใส่อารองและอาสะใภ้รอง”
เมิ่งชื่อถามอย่างตกใจ “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ เกิดเรื่องอันใดขึ้นที่บ้านอารอง”
ภรรยาจางจู้ตอบ “จะเกิดเรื่องอันใดได้ ก็เพราะเงินสามสิบตำลึงนั่นอย่างไรเล่า”
เมิ่งชื่อถามอย่างไม่เข้าใจ “เงินสามสิบตำลึง คนละสิบตำลึงมีอะไรต้องโกลาหลเช่นนี้”
“ถ้ามันง่ายอย่างนั้นก็ดีสิ บ้านอารองคงไม่ยุ่งเหยิงจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่จบสิ้น” ภรรยาจางจู้กล่าว พูดจบหันไปมองจางจู้พูดเสียงแผ่วต่อ “หลังจากอาสะใภ้รองได้เงินสามสิบตำลึงไปแล้ว ก็ให้ชิงเอ๋อร์เพียงหนึ่งตำลึง ให้จางเถี่ยสามตำลึง บอกว่าที่เหลือเป็นเงินใช้จ่ายยามชราของตนเองและอารอง ชิงเอ๋อร์ไม่ยินยอม บอกว่าอารองและอาสะใภ้ลำเอียง ให้ตัวเองหนึ่งตำลึงน้อยเกินไป อย่างน้อยก็ต้องให้เท่ากับจางเถี่ย สามตำลึง จางเถี่ยและภรรยาก็ไม่ยินยอม บอกว่าบุตรสาวที่แต่งออกก็เหมือนน้ำที่ราดออกไป มีใครมาขอเงินบ้านแม่อีก ยังให้อารอง อาสะใภ้รองนำเงินที่เหลือมอบให้ตนเองและภรรยาเก็บรักษา บอกว่ากลัชิงเอ๋อร์จะฉวยโอกาสตอนที่พวกเขาไม่ระวังขโมยไป อาสะใภ้รองย่อมไม่ยินยอม ปกป้องเงินไม่มอบให้ด้วยชีวิต บอกว่าหากใครหมายเงินของนางอีกจะสู้ยิบตากับคนนั้น ชิงเอ๋อร์ใช้วิธี ไม่ร้องไม่โวยวาย พาคนทั้งครอบครัวมาอาศัยบ้านแม่ไม่ยอมไปไหน อาสะใภ้รองทำอาหารเสร็จทั้งครอบครัวนั่งล้อมวงกิน กินเสร็จก็กลับไปนอนในห้อง งานอะไรก็ไม่ทำ จางเถี่ยและภรรยาไม่ยอม พาลูกๆ มาอยู่บ้านบ้านอารองและอาสะใภ้รองด้วย ไล่อย่างไรก็ไล่ไม่ไป ข้าได้ยินว่าช่วงเวลานี้อาสะใภ้รองจะนอนยังต้องกอดเงินไว้แนบอก กลัวว่าไม่ระวังจะถูกพวกเขาขโมยไป”
เมิ่งชื่ออ้าปากค้างตกใจผวา ครู่หนึ่งถึงพูดขึ้น “มีเรื่องเช่นนี้ด้วย”
ภรรยาจางจู้หัวเราะพูด “ใช่สิ ตอนที่ข้าได้ยินคนพูดกันก็ตกใจแทบแย่ คิดไม่ออกว่าอาสะใภ้รองทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ให้คนละสิบตำลึงเรื่องก็จบแล้ว ตอนนี้เป็นอย่างไร โกลาหลกันไปทั้งครอบครัว วันนี้ระหว่างทางที่มาข้ายังได้ยินว่า อาสะใภ้รองเริ่มทนไม่ไหวแล้ว รับปากจะให้พวกเขาอีกคนละสองตำลึง”
เมิ่งชื่อพูด “เช่นนั้นชิงเอ๋อร์น่าจะพอใจแล้ว บุตรสาวที่แต่งออกไปยังได้รับเงินสามตำลึง นับว่าไม่เลวแล้ว”
ภรรยาจางจู้ส่ายหัว “ไม่รู้สิ ชิงเอ๋อร์นิสัยเหมือนอาสะใภ้รองมาก ใครจะไปรู้ว่านางจะพอใจหรือไม่”
ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุย เนื้อหมูของจูต้าจ้วงก็มาถึง
คนทั้งหมดออกไปช่วยกันขนย้ายเนื้อหมู
จูต้าจ้วงหยุดรถเทียมเกียม ส่งยิ้มจริงใจพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง ต้องขออภัย ระหว่างทางที่มา รถเทียมเกวียนเกิดปัญหา พวกเราออกแรงกันพักใหญ่ถึงซ่อมเสร็จ ส่งเนื้อหมูมาล่าช้า ขอเจ้าอย่าได้ตำหนิโทษ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดยอกเย้า “ส่งมาให้ก็ดีแล้ว ข้ายังนึกว่าปีใหม่ข้าไม่ได้ให้อั่งเปาเถ้าแก่จู ท่านขุ่นข้องหมองใจ เลยไม่ส่งเนื้อหมูให้เราแล้ว”
จูต้าจ้วงโบกมือพูด “แม่นางเมิ่งพูดกระเซ้าข้าแล้ว เจ้าอุดหนุนการค้าข้าจำนวนมาก ปีใหม่ควรจะเป็นข้าให้อั่งเปาแก่เจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือพูด “เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว ขออั่งเปาให้ข้าด้วย”
จูต้าจ้วงล้วงอั่งเปาซองหนึ่งออกมาจากอก ยิ้มตาหยีวางใส่มือเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วพูด “เป็นน้ำใจเล็กน้อย ขอแม่นางเมิ่งอย่าได้รังเกียจว่าน้อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับนิ่งค้าง ถามอย่างไม่อยากเชื่อ “ท่านเตรียมอั่งเปามาให้ข้าจริงๆ”
จูต้าจ้วงพูดต่อ “ข้าเตรียมไว้ให้แม่นางนานแล้ว กำลังกลัดกลุ้มว่าจะให้เจ้าอย่างไรดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว” พูดจบหันไปพูดโอ้อวดกับจูต้าจ้วงต่อ “ปีใหม่นี้ข้าร่ำรวยใหญ่แล้ว ข้าได้รับอั่งเปามาสามสิบกว่าตำลึงแล้ว”
จูต้าจ้วงตะลึงค้าง จากนั้นหัวเราะเสียงดังแล้วพูด “แม่นางเมิ่ง เจ้าน่าขบขันเสียจริง การค้าเจ้าใหญ่โตเช่นนี้ยังจะใส่ใจกับเงินสามสิบตำลึง”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ต้องใส่ใจสิ ข้าโตมาจนป่านนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เงินมากเช่นนี้”
ช่วงที่ผ่านมาจูต้าจ้วงก็รู้ว่าเมื่อก่อนบ้านเมิ่งเชี่ยนโยวยากจนแทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ กระทั่งคิดค้นการทำเนื้อรมควันและกุนเชียงได้ ความเป็นอยู่ของครอบครัวถึงดีขึ้น นึกว่านางพูดถึงเงินถุงขวัญที่สองสามีภรรยาเมิ่งให้นางเมื่อก่อน จึงไม่ได้สนใจอะไร จึงพูดเล่นด้วยอีกสองสามคำ จนเมิ่งเสียนจ่ายเงินให้เขา จึงบังคับรถเทียมเกวียนจากไปอย่างมีความสุข
เมิ่งเชี่ยนโยวถืออั่งเปาพูดโอ้อ้วดกับเมิ่งเสียนอย่างได้ใจ “พี่ใหญ่ ดูสิ ข้าได้อั่งเปาอีกใบแล้ว”
เมิ่งเสียนขบขันในกิริยาเด็กน้อยของนาง พูดเล่นใหญ่เล่นโต “ว้าว! พี่ใหญ่อิจฉาเจ้านัก แบ่งให้พี่บ้างได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าแง่งอน พูด “ไม่ได้”
เมิ่งเสียนหัวเราะครืน
คนงานในโรงงานทำงานอย่างแคล่วคล่องคุ้นเคย หลังจากขนถ่ายเนื้อหมูมาที่โรงงาน ต่างเริ่มลงมือทำกุนเชียงอย่างขะมักขะเม้น
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินวนรอบโรงงานหนึ่งรอบ เห็นทุกคนเข้าประจำหน้าที่ของตัวเอง ทำงานอย่างขยันขันแข็ง ไม่มีใครพูดคุย ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ออกจากโรงงานกุนเชียง บอกแจ้งเมิ่งชื่อคำหนึ่ง จากนั้นก็ไปโรงงานเนื้อรมควัน
อู๋ต้าและพวกอีกสี่คนกำลังจะไปเทน้ำเสีย เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินมา รีบเข้าไปทักทายอย่างนอบน้อม
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นพวกเขาแต่งตัวสะอาดสะอ้าน หน้าตาผ่องแผ่ว ไม่มีท่าทีเสเพลลอยชาย รู้สึกประหลาดใจมาก จึงถามพวกเขา “พ้นปีใหม่มา พวกเจ้าดูหน้าตาสดใสไม่น้อย ที่บ้านมีเรื่องมงคลอันใดหรือ”
อู๋ต้าขยี้หัวพูด “หาได้มีเรื่องมงคลใดไม่ ก็เงินค่าแรงและอาหารที่นายหญิงแจกจ่ายให้พวกเราตอนปีใหม่อย่างไรเล่า พอพวกเรากลับถึงบ้าน คนในบ้านต่างดีใจมาก เอาแต่ชมเชยพวกเราไม่ขาดปาก ทำของอร่อยให้พวกเรากิน ทั้งยังดูแลพวกเราอย่างดี หลายปีแล้ว พวกเราไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากคนในครอบครัว พลันสำนึกได้ ตัดสินใจว่าต่อไปจะเป็นคนดี ให้นายหญิงและคนในครอบครัวไม่ต้องกลัดกลุ้มใจเพราะพวกเราอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พวกเจ้าคิดได้ก็ดี นับจากวันนี้ไป พวกเจ้าจงตั้งใจทำงาน ข้าจะไม่เอาเปรียบพวกเจ้า”
คนทั้งหมดรับประกันอย่างยินดี “ขอบคุณนายหญิง ต่อไปพวกเราจะเพิ่มความขยันเป็นสองเท่า”
หลิวต้าเป่ายืนอยู่อีกด้านสะท้อนแววตา ก้มหน้าไม่พูดอะไร
จางหลินและพวกเตรียมจะขึ้นเขาไปตัดฟืน ได้ยินคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยว ต่างหันหน้ามองกัน แล้วก้มหน้าก้มตา
เมิ่งเชี่ยนโยวมองทุกคนแวบหนึ่ง พูดว่า “พวกเจ้าทุกคนก็เหมือนกัน ขอเพียงตั้งใจทำงาน ข้าจะปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างดี”
คนทั้งหมดปิติ เงยหน้ากล่าวขอบคุณ
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินวนรอบโรงงานหนึ่งรอบ เห็นคนงานทำงานเป็นระเบียบเรียบร้อย พยักหน้าพอใจ เดินมาตรงหน้าเมิ่งต้าจิน ถามขึ้น “ท่านลุงใหญ่ พี่ใหญ่จะกลับไปเรียนหนังสือในอำเภอเมื่อไหร่”
เมิ่งต้าจินกำลังทำความสะอาดปลอกไส้ ได้ฟังก็ตอบโดยไม่เงยหน้า “โรงเรียนจะเปิดวันที่ยี่สิบหก เหรินเอ๋อร์เตรียมตัวไปวันที่ยี่สิบห้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเขาอีก “ท่านกลับไปพูดกับพี่ใหญ่ กลับไปโรงเรียนครั้งนี้ไม่ต้องเดินไปแล้ว ข้าจะให้พี่ใหญ่ข้าบังคับรถม้าไปส่งเขา”
เมิ่งต้าจินพูด “ได้ ข้าจะกลับไปบอกเขา เขาได้ยินแล้วจะต้องดีใจมาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หันหลังเดินกลับบ้าน เดินไปได้สองก้าวพลันถอยหลังกลับ ถามขึ้น “ลุงใหญ่ ป้าใหญ่บอกว่าจะให้สะใภ้ซุนไปถามแม่นาง ให้พี่ใหญ่กับอิงจื่อแต่งงานกันในสองเดือนข้างหน้า ไปหรือยัง”
เมิ่งต้าจินทำความสะอาดปลอกไส้ในมือเสร็จแล้ว เงยหน้าพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “ยัง เหรินเอ๋อร์ไม่ยอมให้ไป บอกว่าสร้างบ้านใหม่เสร็จค่อยไปก็ยังไม่สาย”
เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้วพูด “แค่ให้กำหนดวันเอาไว้ก่อน ไม่ได้ให้เขาแต่งงานทันทีเสียเมื่อไหร่ เหตุใดต้องคัดค้านเช่นนี้ด้วย”
เมิ่งต้าจินตอบ “พวกเราก็คับข้องใจ ป้าใหญ่เจ้าร้อนใจกว่าใคร แต่เหรินเอ๋อร์บอกว่าพวกเราใจร้อนเกินไป จะทำให้พ่อแม่อิงจื่อตกใจได้ ให้ผ่านไปสักระยะหนึ่งพวกเราค่อยไป ป้าใหญ่เจ้าคิดใคร่ครวญเห็นว่าพวกเราใจร้อนเกินไปจริงๆ จึงว่าตามเขา รอสักระยะหนึ่งค่อยไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูด “ข้าทราบแล้ว”
หลี่ต้าฉุยและภรรยาวันนี้หน้าตาสดใสเป็นพิเศษ เมิ่งเชี่ยนโยวทักทายพวกเขาแล้วก็กลับบ้าน
เพราะเป็นการเริ่มงานวันแรก คนงานของจูหลานไม่ได้เข้ามาลากเนื้อรมควันและเครื่องในรมควันไป และจึงไม่ได้นำพริกมาส่ง เมิ่งเสียนและน้องๆ ว่างงาน จะไปฝึกวรยุทธ์ในลานบ้านก็ไม่ได้ จึงทบทวนการบ้านที่เมิ่งเชี่ยนโยวเคยสอน แต่ห้องฝั่งตะวันตกไม่เหลือที่ว่างแล้ว พวกเขาไม่มีทางเลือก จำต้องย้ายโต๊ะเก้าอี้ออกมา วางไว้ในห้องนอนของตัวเอง
เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมา เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเด็กน้อยทั้งสองคนวิ่งออกมา พูดเว้าวอน “ท่านพี่ พวกเราอยากได้ของเล่นที่บินได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวพวกเขารับคำ “ได้ พี่จะทำให้พวกเจ้า”
เด็กน้อยทั้งสองคนร้องไชโยดีใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียก “พี่ใหญ่ พวกท่านออกมาช่วยข้าหน่อย”
เมิ่งเสียน เมิ่งฉีและเมิ่งอวี้เซวียนเดินออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “พี่ใหญ่ ท่านไปหาแผ่นไม้ไผ่หน้ากว้างครึ่งข้อนิ้วมาให้ข้า”
ไม่นานเมิ่งเสียนก็ได้ไม้ไผ่แบบที่นางต้องการ
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มีดทำเครื่องหมายไว้ตรงกลาง หันไปพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ท่านช่วยเจาะเป็นรูในตำแหน่งที่ข้าทำเครื่องหมายไว้”
เมิ่งเสียนพยักหน้า มุ่นหัวคิ้วว่าจะใช้สิ่งใดมาเจาะเป็นรู
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งฉี “พี่รอง ท่านไปหาแผ่นไม้ไผ่เรียวบางมาสองอัน”
เมิ่งฉีได้แผ่นไม้ไผ่เรียวมาสองอัน
เมิ่งเชี่ยนโยวให้เขาและเมิ่งอวี้เซวียนคนละอัน พูดว่า “พวกท่านขัดไม้ไผ่เรียวนี้หน่อย” พูดจบใช้มือทำท่าขัดถูแล้วพูด “เมื่อขัดเสร็จแล้ว พวกท่านลองเอามือลูบดู ถ้าไม่บาดมือเป็นอันใช้ได้”
ทั้งสองคนพยักหน้า นั่งลงอีกด้าน เริ่มลงมือขัดแท่งไม้เรียวบาง
เมิ่งเสียนวนหาโดยรอบก็ยังหาวิธีเจาะไม้เป็นรูไม่ได้ เดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างเก้อกัง “น้องสาว ต้องทำอย่างไรถึงจะเจาะเป็นรูเล็กได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงนึกได้ว่าในบ้านไม่มีมีดหัวเรียวแหลม พูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ท่านไปโรงงานรมควันเนื้อ ให้พวกเขาใช้แท่งเหล็กเผาไฟแล้วเอามาจี้ให้ไม้เป็นรูขนาดเท่ากับแท่งเหล็กก็พอ”
เมิ่งเสียนถือแผ่นไม้วิ่งไปโรงงานเนื้อรมควันอย่างดีใจ ใช้แท่งเหล็กเผาไฟเจาะเป็นรูเสร็จ ก็รีบวิ่งกลับมา
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา ใช้มีดเหลาแผ่นไม้ไผ่อีกด้านให้บางลง ส่วนอีกด้านเหลาทั้งสองมุมจนหายไปส่วนหนึ่ง แล้วเหลาปลายทั้งสองด้านของแผ่นไม้ไผ่จนมนกลม เลี่ยงไม่ให้เกิดอันตรายเวลาเด็กน้อยทั้งสองเล่น หลังจากเหลาเสร็จ ก็ให้เมิ่งเสียนเอาไปขัดให้ลื่น
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงวิ่งไปวิ่งมา เดี๋ยวก็ดูว่าเมิ่งฉีและเมิ่งอวี้เซวียนขัดเสร็จหรือยัง เดี๋ยวก็ไปเร่งเมิ่งเสียนให้ทำเร็วๆ ทั้งยังถามเมิ่งเชี่ยนโยวไม่หยุด “ท่านพี่ เมื่อไหร่ถึงจะทำเสร็จ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “อีกประเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว เจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์อดทนรออีกนิดเถอะ”
เมิ่งฉีและเมิ่งอวี้เซวียนขัดแท่งไม้เสร็จแล้ว เดินถือเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวลองลูบดู รู้สึกลื่นมือ ก็นำมาถือไว้ รอเมิ่งเสียนขัดแผ่นไม้เสร็จอย่างเงียบๆ
เมิ่งฉีและเมิ่งอวี้เซวียนก็ยืนอยู่อีกด้านอย่างอยากรู้อยากเห็น รอดูว่าเมิ่งเชี่ยนโยวใช้สิ่งของง่ายๆ พวกนี้จะทำของเล่นที่บินอยู่บนฟ้าออกมาได้อย่างไร
เมิ่งเสียนใช้เวลาขัดค่อนข้างนาน เด็กน้อยทั้งสองร้อนใจจนกระทืบเท้าปึงปังถึงขัดเสร็จ
เมิ่งเชี่ยนโยวรับแผ่นไม้ไผ่มา เห็นเมิ่งเสียนขัดได้ละเอียดมาก ไม่มีจุดไหนบกพร่อง ก็นำแท่งไม้ที่เมิ่งฉีและเมิ่งอวี้เซวียนขัดเสร็จทำลองเสียบเข้าไปในรู เมื่อแท่งไม้เสียบได้ดีแล้ว ก็หันไปพูดกับเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง “พวกเจ้าดูให้ดี พี่จะทำให้มันบินแล้ว”
พูดจบออกแรงปั่นแท่งไม้ในมือ แล้วปล่อยมือ แมลงปอไม้ไผ่ก็บินออกไป ลอยวนอยู่บนท้องฟ้า
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงตบมือร้องอย่างดีใจ “ว้าว! มันบินได้จริงๆ ด้วย!”
เมิ่งเสียน เมิ่งฉีและเมิ่งอวี้เซวียนต่างมองแมลงปอไม้ไผ่บินวนอยู่บนอากาศอย่างตื่นตาตื่นใจ
บินได้ครู่หนึ่ง แมลงปอไม้ไผ่ก็ร่วงสู่พื้น เมิ่งเจี๋ยวิ่งไปเก็บมา ทำมือปั่นๆ แบบที่เมิ่งเชี่ยนโยวทำ แล้วปล่อยมือ แมลงปอไม้ไผ่ก็บินลอยขึ้นทันที
เมิ่งเจี๋ยดีใจกระโดดโลดเต้น เมิ่งชิงอิจฉาร้อนใจ พอแมลงปอไม้ไผ่ตกพื้นอีกครั้ง เขารีบวิ่งไปเก็บขึ้น ใช้มือปั่นๆ ทำตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวทำแล้วคลายมือ แมลงปอไม้ไผ่ก็บินลอยขึ้น เมิ่งชิงดีอกดีใจใหญ่
เมิ่งเสียนและน้องมองอย่างอิจฉา
รอจนเด็กทั้งสองเล่นไปได้สักพักหนึ่ง ในที่สุดเมิ่งฉีก็พูดอย่างทนไม่ไหว “น้องเล็ก ให้พี่เล่นบ้าง”
เมิ่งเจี๋ยวางแมลงปอไม้ไผ่ใส่มือเขา เมิ่งฉีทำการปั่นก้านไม้ไผ่อย่างอดใจรอไม่ไหว แล้วคลายมือ แมลงปอไม้ไผ่ก็บินลอยขึ้นแต่โดยดี
เมิ่งเจี๋ยตบมือร้องพูด “สูงมากๆ เลย!”
เมิ่งเสียนและเมิ่งอวี้เซวียนก็อดใจไม่ไหวขอเข้ามาลองบ้าง
ทั้งลานบ้านเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องและโห่ร้อง
ตอนที่ 134.1
เมิ่งอี้เซวียนเดือดดาล
เมิ่งชื่อได้ยินเสียงสรวลเสเฮฮาของเด็กๆ รีบเดินออกมาดู เห็นเด็กๆ กำลังเล่นของเล่นแปลกใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็ให้รู้สึกประหลาดใจ เอาแต่ยืนอมยิ้มอยู่ข้างๆ มองดูเด็กเล่นแมลงปอไม้ไผ่อย่างสนุกสนาน
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเมิ่งชื่อหลังจากได้เจอพี่ชายและพี่สะใภ้สีหน้าท่าทางดีขึ้นมาก กลิ้งกลอกนัยน์ตา เดินไปตรงหน้าเมิ่งชื่อพูดขึ้น “ท่านแม่ ข้าเพิ่งได้ยินลุงใหญ่บอกว่า พี่ใหญ่ไม่ยินดีให้สะใภ้ซุนกลับบ้านแม่ไปถามพี่ชายและพี่สะใภ้นางเรื่องที่จะให้อิงจื่อแต่งงานในอีกสองเดือนให้หลัง”
เมิ่งชื่อถูกเบี่ยงเบนความสนใจ ถามขึ้น “เพราะอะไร หลายวันก่อนพวกเราตกลงกันแล้ว หลังจากที่สร้างบ้านให้ท่านปู่ท่านย่าเจ้าเสร็จ จะให้พวกเขาแต่งงาน”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าพูด “ลุงใหญ่ไม่ได้พูดชัดเจน ข้าเองก็ไม่รู้ ไม่เช่นนั้นเราไปถามป้าใหญ่กันเถอะ”
เมิ่งชื่อพยักหน้า “ดี พวกเราไปเดี๋ยวนี้”
พูดจบก็พากันเดินออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามออกมาพลางพูดว่า “พี่ใหญ่ ข้ากับท่านแม่จะไปบ้านท่านปู่ ท่านดูแลน้องๆ ด้วย”
เมิ่งเสียนรับคำ เมิ่งชื่อและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินพ้นประตูออกไป
ทั้งสองมาถึงบ้านใหญ่ ภรรยาเมิ่งต้าจินเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา รีบเข้าไปต้อนรับ พูดอย่างเป็นกันเอง “น้องสะใภ้ โยวเอ๋อร์ พวกเจ้ามาแล้ว รีบเข้ามานั่งในบ้านก่อน”
เมิ่งชื่อเดินเข้ามา ไม่สนเรื่องพิธีรีตรอง ดึงภรรยาเมิ่งต้าจินมาถามตามตรง “พี่สะใภ้ ข้าได้ยินว่าเหรินเอ๋อร์ไม่ยินดีให้สะใภ้ซุนกลับบ้านแม่ไปถามพี่ชายและพี่สะใภ้ว่ายินดีจะให้อิงจื่อแต่งงานในอีกสองเดือนให้หลังหรือไม่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
ภรรยาเมิ่งต้าจินก็คิดไม่ถึงว่าเมิ่งชื่อมาถึงก็จะซักถามเรื่องนี้อย่างอดใจรอไม่ไหว รีบร้อนอธิบาย “ไม่ใช่เหรินเอ๋อร์ไม่ยินดีให้สะใภ้ซุนกลับไปถาม แต่แค่อยากรอให้สร้างบ้านเสร็จก่อนค่อยให้สะใภ้ซุนไป”
เมิ่งชื่อมุ่นหัวคิ้วพูด “พวกเราเพียงให้สะใภ้ซุนกลับไปไถ่ถาม มิได้จะให้พวกเขาแต่งงานทันที อีกอย่าง เรื่องที่พวกเราวางแผนนี้ ยังไม่รู้ว่าพ่อแม่ของอิงจื่อจะเห็นชอบด้วยหรือไม่ ถามความไว้ก่อนพวกเราเองก็จะได้มั่นใจ”
ภรรยาเมิ่งต้าจินตอบกลับ “ข้าก็พูดเช่นนี้กับเหรินเอ๋อร์แล้ว แต่ให้ตายเหรินเอ๋อร์ก็ไม่เห็นด้วยให้สะใภ้ซุนไปตอนนี้ พวกเรามาคิดดูที่เขาพูดก็มีเหตุผล จึงได้พักเอาไว้ก่อน”
เมิ่งชื่อคลางแคลงใจพูดขึ้น “หรือเหรินเอ๋อร์ไม่อยากแต่งงาน”
ภรรยาเมิ่งต้าจินยิ้มพูด “ที่ไหนกัน เหรินเอ๋อร์เห็นชอบมาตลอด ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่จัดการหมั้นหมายให้เขาเร็วเช่นนี้”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ เมิ่งชื่อถึงวางใจลง รีบเข้าบ้านไปทักทายเมิ่งจงจวี่และภรรยา
สุขภาพของเมิ่งจงจวี่หายดีแล้ว สดชื่นกระปรี้กระเปร่า กำลังใช้เครื่องเขียนที่เมิ่งเชี่ยนโยวซื้อให้เขียนอักษรพู่กัน
หญิงชราเมิ่งยิ้มแย้มพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “ปู่เจ้านะ เห็นเครื่องเขียนที่เจ้าซื้อให้เป็นดั่งสมบัติล้ำค่า วันๆ นอกจากเขียนอักษรก็เขียนอักษร ใกล้จะล้นห้องแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “ท่านปู่ชอบก็ดีแล้ว”
เมิ่งจงจวี่วางพู่กันในมือลงอย่างระวัง หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “โยวเอ๋อร์ ปู่ถามให้แล้ว โรงเรียนในเมืองเปิดเรียนวันที่ยี่สิบสอง เรื่องที่จะให้อี้เซวียนไปโรงเรียนเตรียมการไปถึงไหนแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งไปชั่วขณะ แล้วพูดว่า “ท่านปู่ไม่พูด ข้าเกือบลืมเรื่องที่จะส่งอี้เซวียนไปเข้าเรียนในเมืองไปแล้ว เดี๋ยวพอข้ากับท่านแม่กลับไป จะไปช่วยเตรียมการให้เขา”
เมิ่งชื่อถามขึ้น “ท่านพ่อ ไปโรงเรียนต้องเตรียมการสิ่งใดบ้าง”
เมิ่งจงจวี่ตอบกลับ “เพียงตระเตรียมเครื่องเขียนพู่กันน้ำหมึกที่ฝนหมึกกระดาษก็พอแล้ว สิ่งอื่นในโรงเรียนคงมีเตรียมไว้แล้ว”
เมิ่งชื่อพยักหน้า
พูดคุยกับสองผู้เฒ่าเมิ่งอีกครู่หนึ่ง เมิ่งชื่อและเมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับบ้านไปพร้อมกัน
เมิ่งเสียนยังเล่นแมลงปอไม้ไผ่กับน้องๆ อย่างมีความสุข
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งเสียนและเมิ่งฉี “พี่ใหญ่ พี่รอง ข้ามีเรื่องจะพูดกับพวกท่าน”
ทั้งสองมาตรงหน้านาง ถามขึ้น “เรื่องอันใด”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “วันมะรืนโรงเรียนในเมืองจะเปิดการศึกษาแล้ว ข้าคิดจะส่งอี้เซวียนไปเข้าเรียนในเมือง พี่ใหญ่พี่รองอยากไปด้วยหรือไม่ หากว่าอยากไป พวกท่านก็ไปพร้อมกัน จะได้ดูแลกันและกันด้วย”
เมิ่งเสียนถามอย่างตื่นตระหนก “เหตุใดอยู่ๆ น้องสาวถึงถามพวกเราว่ายินดีไปโรงเรียนหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “พี่ใหญ่พี่รองศึกษาความรู้กับท่านปู่มาหลายปี หากไม่เพราะเมื่อก่อนครอบครัวเรามีความเป็นอยู่แร้นแค้น ไม่มีเงินส่งพวกท่านเรียน ตอนนี้พวกท่านคงเป็นเหมือนพี่ใหญ่บ้านลุงใหญ่ เตรียมตัวไปสอบซิ่วไฉแล้ว ตอนนี้บ้านเรามีเงินแล้ว พวกท่านสามารถไปร่ำเรียนได้อย่างไม่ต้องเป็นกังวลอีก หากพวกท่านอยากไป ข้ากับท่านแม่จะได้เตรียมสิ่งของสำหรับเล่าเรียนให้พวกท่าน”
เมิ่งเสียนส่ายหน้า “ข้าไม่ไป!”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามขึ้นอย่างข้องใจ “พี่ใหญ่ ไม่คิดอยากเป็นขุนนางหรือ”
เมิ่งเสียนพูด “เมื่อก่อนคิด แม้ในฝันก็คิด ทุกครั้งที่เห็นพี่ใหญ่เข้าไปร่ำเรียนในอำเภอ ข้าก็อิจฉาแทบทนไม่ได้…”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ไปเรียนในอำเภอก็ได้ ถึงเวลาท่านก็ไปพร้อมกับพี่ใหญ่ เพียงแค่ไกลจากบ้านเสียหน่อย ไม่สะดวกกลับบ้านได้บ่อยๆ”
เมิ่งเสียนโบกมือพูด “ตอนนี้ข้าไม่คิดอยากไปแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “เพราะอะไร”
เมิ่งเสียนตอบ “เมื่อก่อนที่อยากเรียนหนังสือ เพราะอยากสอบเป็นขุนนาง สร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูล ให้ครอบครัวเราได้มีชีวิตที่ดี แต่ตอนนี้ครอบครัวเรามีชีวิตที่ดีแล้ว ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องปากท้องอีก ความคิดที่อยากสอบเป็นขุนนางจึงเลือนรางไป ที่สำคัญคือข้าเป็นพี่ใหญ่ ควรจะเป็นเสาหลักของบ้าน ไม่ควรทิ้งทุกอย่างไว้ที่เจ้าคนเดียว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดโน้มน้าว “พี่ใหญ่ เรื่องในบ้านข้าพอรับมือไหว ท่านไม่ต้องรู้สึกเป็นภาระ หากท่านอยากไปก็ไปเถิด”
เมิ่งเสียนยืนหยัดพูด “ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะไม่เรียนหนังสือแล้ว ต่อไปจะคอยควบคุมดูแลโรงงานของครอบครัวกับเจ้า ให้น้องรองและอี้เซวียนไปเรียนด้วยกันเถอะ”
เมิ่งฉีผลุนผลันโบกมือ “ข้าไม่ไป!”
เห็นทั้งสองคนมองมา เมิ่งฉีรีบพูดเป็นพรวน “เดิมข้าก็ไม่ชอบเรียนหนังสือ หากไม่เพราะท่านปู่เป็นคนสอน ข้าคงจะไม่ไปเรียนนานแล้ว ตอนนี้อุตส่าห์มีข้ออ้างไม่ต้องเรียนหนังสือ ให้ตายข้าก็ไม่เข้าไปเรียนในเมืองเด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ พูดว่า “พี่รอง เด็กบ้านอื่นอยากไปเรียนหนังสือใจจะขาด เหตุใดมาถึงบ้าน กลับทำเหมือนจะมาเอาชีวิตท่านเช่นนั้นเล่า”
เมิ่งฉีพูดใหญ่โต “พอข้าเห็นหนังสือสี่ตำราห้าคัมภีร์ก็ปวดหัวตึ๊บ ไม่ต่างกับจะมาเอาชีวิตข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนหัวเราะร่วน
เมิ่งฉีลูบหัว หัวเราะตามไปด้วย
ตอนกินข้าวเย็น เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเรื่องที่จะส่งเมิ่งอี้เซวียนไปเข้าเรียนในเมืองวันมะรืนออกมา
เมิ่งเอ้ออิ๋นดีใจมาก กำชับเมิ่งอี้เซวียนไปอยู่ที่โรงเรียนจะต้องเชื่อฟังอาจารย์ ตั้งใจเล่าเรียน ภายหน้าจักได้สอบขุนนาง นำพาชื่อเสียงมาให้วงศ์ตระกูล
เมิ่งอี้เซวียนไม่คิดว่าจะต้องเข้าไปเรียนหนังสือในเมืองเร็วเช่นนี้ เริ่มไม่อยากไป แต่นี่เป็นเรื่องที่ตกลงกันไว้แล้ว จึงไม่กล้าพูดว่าไม่ไป
เมิ่งชื่อเห็นเขานั่งหงอย ลองหยั่งเชิงถาม “ทำไมอี้เซวียนดูไม่ยินดี เจ้าไม่อยากไปหรือ”
เมิ่งอี้เซวียนมองเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง เห็นนางกำลังจ้องมาที่ตนเอง ตกใจพูดขึ้น “หาไม่ ข้าเพียงคิดว่าจะไม่ได้กลับบ้านทุกวัน ก็รู้สึกเศร้าใจไปบ้างเท่านั้น”
เมิ่งชื่อพูด “อยากกลับบ้านไม่ยากเลย บ้านเรามีรถม้า ให้เสียนเอ๋อร์ไปรับเจ้าทุกวันก็ได้”
เมิ่งอี้เซวียนถามอย่างดีใจ “ได้หรือ ข้ากลับบ้านทุกวันได้อย่างนั้นหรือ”
เมิ่งชื่อตอบเขา “แน่นอน เพียงแต่ต้องตื่นเช้าทุกวัน คงลำบากแย่”
เมิ่งอี้เซวียนรีบพูด “ข้าไม่กลัวลำบาก”
เมิ่งชื่อพยักหน้า “เช่นนั้นก็ว่าตามนี้ ต่อไปให้เสียนเอ๋อร์คอยไปรับไปส่งเจ้าทุกวัน”
เมิ่งอี้เซวียนมองเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ ไม่ได้พูดอะไร ถือว่าเห็นชอบด้วย
เมิ่งอี้เซวียนดีใจโพล่งหัวเราะ
เช้าตรู่วันถัดมา คนงานของจูหลานและคนงานของเซี่ยเจียงเฟิงเข้ามารับเนื้อรมควันและเครื่องในรมควันแต่เช้า
เมิ่งชื่อไม่มีอะไรทำ คิดจะไปเตรียมสิ่งของให้เมิ่งอี้เซวียนไปเล่าเรียน
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “ท่านแม่ อี้เซวียนไม่ต้องไปกินนอนที่โรงเรียน มีอะไรต้องเตรียมอีก ตอนบ่ายไปลงทะเบียนเรียนให้เขาเสร็จ ซื้อเครื่องเขียนชุดใหม่ให้เขาก็พอแล้ว”
เมิ่งชื่อคิดแล้วก็เห็นพ้อง จึงไม่เก็บของอีก
ตอนบ่าย เมิ่งเชี่ยนโยวให้เมิ่งต้าจินบังคับรถม้า มาถึงโรงเรียนในเมือง
มาถึงหน้าประตูโรงเรียน เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้าให้เงินเมิ่งอี้เซวียนสิบตำลึง ให้เขาไปลงทะเบียนเรียนที่หน้าประตูโรงเรียนเอง ตนเองรออยู่ข้างรถม้า
เมิ่งอี้เซวียนมาถึงสถานที่รับลงทะเบียน
อาจารย์ที่รับผิดชอบการลงเบียนเห็นเด็กน้อยมาลำพัง รู้สึกฉงนสงสัย
เมิ่งอี้เซวียนเดินมาตรงหน้าอาจารย์ พูดด้วยน้ำเสียงน่าฟัง “ท่านอาจารย์ ข้าต้องการมาเล่าเรียนที่นี่ ไม่ทราบว่าต้องทำเช่นไร”
อาจารย์ไม่เคยเห็นเด็กผู้ชายใบหน้างดงามหมดจดเช่นนี้มาก่อน พลันมองตะลึงค้าง ครั้นได้ยินคำถามของเมิ่งอี้เซวียน ถึงได้สติกลับมา รีบร้อนตอบ “พวกเราต้องสอบวัดระดับความรู้เจ้า ดูว่าเจ้าเหมาะกับโรงเรียนของพวกเราหรือไม่”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า
อาจารย์ที่รับผิดชอบการลงทะเบียนเรียกอาจารย์อีกคนเข้ามาสอบวัดระดับความรู้เมิ่งอี้เซวียน
อาจารย์ท่านนี้ถามเมิ่งอี้เซวียนว่าเคยเรียนตำราอะไรมาบ้าง
เมิ่งอี้เซวียนตอบ “ข้าเคยอ่านหนังสือสี่ตำราห้าคัมภีร์ คัมภีร์หลุนอวี่และคัมภีร์ซือจิง”
อาจารย์ที่สอบวัดระดับความรู้ได้ยินว่าเขาอายุเพียงเท่านี้ก็เคยอ่านหนังสือเหล่านี้แล้ว รู้สึกฉงนสนเท่ห์ ถามเขาสองสามคำถามอย่างไม่เชื่อ
เมิ่งอี้เซวียนตอบได้อย่างคล่องแคล่ว
อาจารย์ดีใจเป็นล้นพ้น พูดขึ้น “เจ้าถูกรับเลือก เมื่อลงทะเบียนเสร็จให้ตามข้าเข้าไป ข้าจะเตรียมที่พักให้เจ้า พรุ่งนี้ให้มาเข้าเรียนได้ทันที”
เมิ่งอี้เซวียนถามขึ้น “ท่านอาจารย์ ข้าไม่กินนอนที่โรงเรียน กลับบ้านทุกวันได้หรือไม่”
บุตรหลานเศรษฐีในโรงเรียนมีไม่น้อย ที่คิดถึงลูกไม่ให้กินนอนที่โรงเรียนก็มีมาก อาจารย์ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ถามมากความ เพียงแค่พูดด้วยเจตนาดี “บ้านเจ้าอยู่ใกล้หรือไม่ หากไม่ใกล้จะลำบากมาก และโรงเรียนของเราก็มีกฎที่เคร่งครัด หากมาสายบ่อยๆ จะถูกไล่ออกจากโรงเรียน”
เมิ่งอี้เซวียนพูดรับประกัน “ท่านอาจารย์วางใจ ข้าจักไม่มาสาย”
อาจารย์พยักหน้าพูด “เช่นนั้นก็ดี เจ้าเป็นคนมีสติปัญญา หากถูกไล่ออก คงเป็นเรื่องน่าเสียดาย”
เมิ่งอี้เซวียนพูด “ข้าทราบแล้ว ขอบคุณท่านอาจารย์”
ตอนที่ 134.2
เมิ่งอี้เซวียนเดือดดาล
อาจารย์ที่สอบวัดระดับความรู้หันไปพูดกับอาจารย์ที่รับลงทะเบียน “เด็กคนนี้ถูกรับเลือกแล้ว เจ้าบอกเขาถึงเรื่องข้อปฏิบัติและค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระ ให้พรุ่งนี้เช้าเขามาเข้าเรียนตรงเวลาก็พอ” พูดจบก็หันหลังเดินกลับเข้าโรงเรียน
อาจารย์ที่รับลงทะเบียนได้ยินว่าเมิ่งอี้เซวียนไม่กินนอนที่โรงเรียน จึงไม่พูดเรื่องการกินนอน พูดเพียงว่า “ทุกเดือนต้องจ่ายค่าครูสองตำลึง เจ้าเพิ่งมาลงทะเบียน จักต้องซื้อตำราคัมภีร์จำนวนหนึ่ง เครื่องเขียนหากว่าเตรียมมาเอง ทั้งหมดก็สี่ตำลึง หากใช้ของที่โรงเรียนเตรียมให้ ทั้งหมดหกตำลึง”
เมิ่งอี้เซวียนตอบกลับ “พวกเราจักเตรียมเครื่องเขียนเอง”
อาจารย์พยักหน้า “ทั้งหมดสี่ตำลึง เจ้าให้ผู้ใหญ่เข้ามาจ่ายเถอะ”
เมิ่งอี้เซวียนตอบ “ไม่ต้อง ข้าจ่ายเอง” พูดจบก็ล้วงเงินสี่ตำลึงจากอกเสื้อออกมามอบให้อาจารย์
อาจารย์เห็นการแต่งกายของเขาไม่ถือว่าดีมาก ไม่เหมือนบุตรหลานบ้านเศรษฐีมีเงิน ไม่คิดว่าจะพกเงินติดตัวมากเช่นนี้ อดมองพินิจเขาไม่ได้ พร้อมกับมองประเมินรถม้าที่จอดด้านนอกไปด้วย
เมิ่งอี้เซวียนไม่หลบหลีก ให้เขามองประเมินตามสะดวก
อาจารย์เห็นเขาอายุเท่านี้กลับสงบนิ่งแน่วแน่ ยิ่งทวีความประหลาดใจ ออกใบเสร็จให้เขาอย่างเริงร่า พูดอย่างยินดี “นี่คือใบเสร็จค่าเล่าเรียนเจ้า เก็บไว้ให้ดี กลับไปให้ผู้ใหญ่เก็บรักษาไว้ พรุ่งนี้ยามเหม่าจักต้องมาเข้าเรียนตรงเวลา หากล่าช้าพวกเราจะถือว่ามาสาย”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า “ขอบคุณท่านอาจารย์ พรุ่งนี้ข้าจะมาตรงตามเวลา”
อาจารย์เห็นเขามีมารยาทดี ยิ่งรู้สึกชอบพอเขา
เมิ่งอี้เซวียนถือใบเสร็จเดินกลับมาข้างรถม้า
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้แววตาถาม เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังขึ้นรถม้า เมิ่งอี้เซวียนขึ้นรถม้าตามหลังมา มอบใบเสร็จที่อาจารย์ให้ไว้กับนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แม้แต่จะมอง ก็เก็บใส่แขนเสื้อ หันไปพูดกับเมิ่งต้าจิน “ลุงใหญ่ พวกเราไปซื้อเครื่องเขียน”
เมิ่งต้าจินบังคับรถม้ามาถึงร้านหนังสือ
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ค่อยรู้เรื่องของพวกนี้ หันไปพูดกับเมิ่งต้าจิน “ลุงใหญ่ ข้าเฝ้ารถม้า ท่านไปช่วยอี้เซวียนเลือกเครื่องเขียนที่เหมาะสมเถอะ ไม่ต้องดีเกินไป ให้เหมาะกับเขาใช้ก็พอ อีกอย่าง ช่วยซื้อกระดาษเซวียนเนื้อดีให้ท่านปู่อีกหน่อย เมื่อวานข้าเห็นท่านปู่ใช้เกือบจะหมดแล้ว”
เมิ่งต้าจินพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบเงินจำนวนหนึ่งให้เขา
เมิ่งต้าจินพาเมิ่งอี้เซวียนเข้าร้านหนังสือ เลือกเครื่องเขียนชุดหนึ่งและกระดาษเซวียนเนื้อดีจำนวนหนึ่งออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนกลับเข้ามานั่งในรถม้า ใคร่ครวญดูไม่มีสิ่งใดต้องซื้อหาแล้ว ก็ให้เมิ่งต้าจินบังคับรถม้าตรงกลับบ้าน
พอกลับมาถึงบ้าน เมิ่งอี้เซวียนหยิบกระเป๋านักเรียนที่เมิ่งเชี่ยนโยวทำให้เขาออกมา ใส่เครื่องเขียนไว้ข้างใน แล้ววางไว้อีกด้าน
เมิ่งชิงรู้ว่าพรุ่งนี้เมิ่งอี้เซวียนจะเข้าไปเรียนหนังสือในเมือง รู้สึกอาลัยอาวรณ์ เข้ามาคิดจะอยู่กับเขาให้นานขึ้น กลับเห็นกระเป๋านักเรียนของเมิ่งอี้เซวียนจนต้องร้องอุทาน “สิ่งนี้งดงามนัก พี่อี้เซวียน สิ่งนี้คืออะไร”
เมิ่งอี้เซวียนตอบ “นี่คือกระเป๋านักเรียน เอาไว้ใส่เครื่องเขียน”
เมิ่งชิงร้องโหวกเหวก “ข้าก็ต้องการกระเป๋านักเรียนงดงามเช่นนี้”
เมิ่งเจี๋ยได้ยินเสียงร้องของเขา จึงเดินเข้ามา เห็นกระเป๋านักเรียนก็แปลกประหลาดใจ ต่างเข้ามาขอร้องให้พวกเขาลองสะพายบ้าง
เมิ่งอี้เซวียนลูบหัวพวกเขา นำเครื่องเขียนออกมาอย่างระวัง นำกระเป๋านักเรียนขึ้นสะพายบนหลังเมิ่งชิง
เมิ่งชิงสะพายกระเป๋านักเรียนเดินวนสองรอบอย่างดีอกดีใจ ถามขึ้น “ดูดีหรือไม่”
เมิ่งเจี๋ยพยักหน้า พูดอย่างอดใจรอไม่ไหว “ให้ข้าสะพายบ้าง”
เมิ่งชิงถอดกระเป๋านักเรียนออกอย่างรู้ความ มอบให้เมิ่งเจี๋ย
เมิ่งเจี๋ยทำตามเขาสะพายกระเป๋านักเรียนขึ้นหลัง ถามเมิ่งชิงอย่างดีใจเช่นกัน “ดูดีหรือไม่”
เมิ่งชิงตบมือน้อยๆ พูดว่า “ดูดี ดูดีมาก”
เมิ่งเจี๋ยแหงนหน้า พูดวิงวอนเมิ่งอี้เซวียน “พี่อี้เซวียน ข้าอยากได้กระเป๋านักเรียนนี้”
เมิ่งชิงรีบพูดตาม “ข้าก็อยากได้!”
เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปาก พูดว่า “พี่มีกระเป๋านักเรียนแค่ใบนี้ใบเดียว พรุ่งนี้ต้องสะพายไปโรงเรียน ไม่มีเหลือให้พวกเจ้า”
“ท่านก็ช่วยซื้อมาให้พวกเราไม่ได้หรือ” เมิ่งเจี๋ยถามอีก
เมิ่งอี้เซวียนตอบ “สิ่งนี้ซื้อหาข้างนอกไม่ได้”
เมิ่งชิงถาม “เช่นนั้นสิ่งนี้ท่านได้มาจากที่ใด”
เมิ่งอี้เซวียนลังเลครู่หนึ่ง ถึงพูด “สิ่งนี้โยวเอ๋อร์เป็นคนมอบให้ข้า”
“ท่านพี่มอบให้ท่าน” เด็กน้อยทั้งสองถามพร้อมกัน
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงสบตากัน จากนั้นก้าวเท้าป้อมๆ วิ่งออกไป วิ่งไปพลางตะโกนร้อง “ท่านพี่ ท่านพี่”
เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องเมิ่งชื่อ ริมน้ำร้อนใส่ถ้วย ยังดื่มไม่ทันหมด ก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนของเด็กน้อยทั้งสอง นึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่ทันได้วางถ้วยชาลง ก็ลนลานวิ่งออกมาถามไถ่ “เจี๋ยเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงวิ่งมาตรงหน้านางพร้อมกัน ส่งเสียงพูดดังลั่น “ท่านพี่ พวกเราอยากได้กระเป๋านักเรียนสวยๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตะลึงค้าง พอเห็นกระเป๋านักเรียนที่เมิ่งเจี๋ยสะพายก็ได้สติคืนมา ถอนใจโล่งอก แย้มยิ้มพูด “พวกเจ้าไม่ได้จะไปโรงเรียน จะเอากระเป๋านักเรียนไปทำสิ่งใด”
เด็กทั้งสองดึงแขนของนาง พูดรบเร้า “ท่านพี่ พวกเราก็อยากไปเรียนหนังสือในเมือง พวกเราอยากได้กระเป๋านักเรียนใหม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวจะลวกโดนพวกเขา ยกถ้วยชาขึ้นสูง พูดว่า “พวกเจ้ายังอายุน้อยเกินไป โรงเรียนในเมืองยังไม่รับพวกเจ้า”
เด็กน้อยทั้งสองรู้สึกผิดหวัง ร้อนใจจนเกือบร้องไห้ออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเช่นนั้นรีบร้อนพูด “แต่ว่า อีกไม่นานจะจัดตั้งโรงเรียนในหมู่บ้าน หากพวกเจ้ารับปากจะไปเข้าเรียน และตั้งใจเล่าเรียนตามที่อาจารย์สอน พี่รับปากจะทำกระเป๋านักเรียนให้พวกเจ้าคนละใบ”
เด็กน้อยทั้งสองรีบรับคำ “พวกเรารับปาก พวกเรารับปาก ท่านพี่รีบทำกระเป๋านักเรียนสวยๆ ให้พวกเราเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวขัดพวกเขาไม่ได้ พยักหน้ารับคำ “ได้ๆๆ พี่จะทำกระเป๋านักเรียนให้พวกเจ้า”
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงดีใจกระโดดโลดเต้น
เมิ่งเชี่ยนโยวดื่มน้ำร้อนในมือจิบหนึ่ง ถึงพูดกับเด็กทั้งสอง “แต่ว่า พี่เพียงวาดรูปกระเป๋านักเรียนได้ พวกเจ้ายังต้องให้ท่านแม่ช่วยเย็บให้พวกเจ้าด้วย”
เด็กน้อยทั้งสองพรวดพราดวิ่งเข้าไปในบ้าน รบเร้าให้เมิ่งชื่อช่วยเย็บกระเป๋านักเรียนให้พวกเขา
เมิ่งชื่อกำลังว่างไม่มีอะไรทำ พยักหน้ารับปากโดยพลัน
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในบ้าน วางถ้วยชาลง หันไปพูดกับเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง “พวกเจ้าไปเอากระดาษพู่กันมา พี่จะวาดลวดลายไม่เหมือนกันให้สองสามแบบ พวกเจ้าเลือกดูว่าชอบแบบไหน จากนั้นให้ท่านแม่ช่วยปักลวดลายนั้นให้”
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงวิ่งเร็วจี๋ไปในบ้านที่เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ อยู่อาศัย หยิบกระดาษพู่กันออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบพู่กันขึ้น วาดลวดลายที่แตกต่างกันบนกระดาษ ให้ทั้งสองคนเลือก
เมิ่งเจี๋ยเลือกภาพวินนี่เดอะพูห์ เมิ่งชิงเลือกภาพสพันจ์บ๊อบ
เมิ่งเชี่ยนโยววางรูปภาพทั้งสองไว้ตรงหน้าเมิ่งชื่อ
เมิ่งชื่อถามอย่างประหลาดใจ “โยวเอ๋อร์ เจ้าวาดสิ่งใดกัน แปลกประหลาดนัก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะตอบ “ท่านแม่ นี่เป็นภาพที่ข้าเห็นในที่แห่งนั้น เด็กๆ ชอบกันมาก ท่านปักตามลวดลายนี้ก็พอ” พูดจบยังบอกเมิ่งชื่ออีกว่าต้องปักเป็นสีอะไรบ้าง
เมิ่งชื่อตั้งใจฟัง แล้วจดจำไว้ จากนั้นไปหาเนื้อผ้าที่เหมาะสมมาทำกระเป๋านักเรียน
เด็กน้อยทั้งสองต่างแลกกันสะพายกระเป๋าของเมิ่งอี้เซวียนอีกครู่หนึ่ง ถึงยอมคืนให้เขาอย่างอาวรณ์
เมิ่งชื่อได้เนื้อผ้าก็เริ่มลงมือเย็บกระเป๋านักเรียนให้พวกเขา
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงห้อมล้อมเมิ่งชื่อ เอาแต่ถามนางว่าเมื่อไหร่ถึงจะทำเสร็จ
เมิ่งชื่อด้านหนึ่งทำกระเป๋านักเรียน ด้านหนึ่งตอบคำถามพวกเขาอย่างไม่แหนงหน่าย
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งยิ้มพูดกับเด็กน้อยทั้งสอง “พวกเจ้าอย่ารบกวนท่านแม่ทำกระเป๋านักเรียน พี่พาพวกเจ้าไปเล่นแมลงปอไม้ไผ่ดีหรือไม่”
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงรู้ว่าเมิ่งชื่อคงทำไม่เสร็จในทันที จึงออกไปเล่นแมลงปอไม้ไผ่กับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างสนุกสนาน
เวลาผ่านไปไว พริบตาเดียวก็ถึงวันที่เมิ่งอี้เซวียนต้องไปโรงเรียนแล้ว
ฟ้ายังไม่สาง เมิ่งชื่อก็ทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว เห็นเมิ่งอี้เซวียนและเมิ่งเสียนกินอาหารเช้าเสร็จ ก็พูดกำชับกับเมิ่งอี้เซวียนอีกรอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มให้นาง “ท่านแม่ คืนนี้อี้เซวียนก็กลับมาแล้ว ท่านเอาแต่พูดกำชับไม่หยุดเช่นนี้ คนอื่นเห็นเข้าได้คิดว่าเขาจะไม่กลับมาแล้ว”
เมิ่งชื่อก็รู้สึกว่าตนเองเป็นห่วงเกินเหตุไปแล้ว จึงหัวเราะตอบ “แม่ก็แค่เป็นห่วงว่าอี้เซวียนไปโรงเรียนวันแรกจะปรับตัวไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “มีอะไรปรับตัวไม่ได้กัน ก็แค่เรียนหนังสือ อาจารย์สอนสิ่งใดก็เรียนสิ่งนั้นเท่านั้น ยังจะทำสิ่งใดได้อีกเล่า” เดิมนางเพียงต้องการพูดล้อเล่น กลับไม่คิดว่าการเรียนวันแรกของเมิ่งอี้เซวียนจะเกิดเรื่องที่พวกเขาไม่คาดฝันขึ้นจริงๆ
หลังจากกินอาหารเช้า เมิ่งอี้เซวียนหยิบกระเป๋านักเรียนที่เตรียมไว้แล้วขึ้นสะพายหลัง
เมิ่งเชี่ยนโยวให้เงินเขาสองตำลึง พูดว่า “นี่เป็นเงินค่าอาหารเที่ยงเดือนนี้ของเจ้า เจ้าเก็บไว้ให้ดี เมื่อไปถึงโรงเรียน นำไปมอบให้อาจารย์”
เมิ่งอี้เซวียนรับมาอย่างยินดี ขึ้นรถม้าที่เมิ่งเสียนบังคับออกมา ควบไปยังโรงเรียนในเมือง
ตอนที่ทั้งสองคนมาถึงหน้าประตูโรงเรียน อาจารย์ที่รับลงทะเบียนเห็นเขาตั้งแต่แวบแรก เดินเข้ามาทักทายเขา
เมิ่งอี้เซวียนเดินเข้าหา กล่าวทักทายอาจารย์อย่างมีมารยาท ทั้งหยิบเงินสองตำลึงออกมาจากอกเสื้อ มอบให้เขา บอกว่าเป็นเงินค่าอาหารเที่ยงของตนเองเดือนนี้
อาจารย์รับมาเพียงหนึ่งตำลึง พูดว่า “เจ้าเพียงกินอาหารที่โรงเรียนมื้อเดียว หนึ่งตำลึงก็พอแล้ว” พูดจบ ก็เรียกอาจารย์ที่สอบวัดระดับให้เมิ่งอี้เซวียนเมื่อวานเข้ามา ให้เขาพาเมิ่งอี้เซวียนเข้าไปจัดเตรียมห้องเรียนที่เหมาะสมให้
เมิ่งอี้เซวียนหันไปโบกมือให้เมิ่งเสียน จึงเดินตามอาจารย์เข้าไป
เมิ่งเสียนเห็นเมิ่งอี้เซวียนเดินตามอาจารย์เข้าไปแล้ว ถึงบังคับรถม้ากลับบ้านอย่างสบายใจ
หลังจากเมิ่งอี้เซวียนตามอาจารย์มาถึงห้องเรียน นักเรียนทั้งหมดต่างก็มองเด็กชายหน้าตางดงามที่เพิ่งเข้ามาอย่างฉงน
อาจารย์กำหนดที่นั่งให้เขา เมิ่งอี้เซวียนนั่งลงอย่างสงบนิ่ง วางกระเป๋านักเรียนลง หยิบเครื่องเขียนออกมาวางไว้บนโต๊ะ
ห้องเรียนนี้มีแต่บุตรหลานเศรษฐีที่ค่อนข้างโต เดิมก็ประหลาดใจที่มีเด็กอายุน้อยมาเรียนห้องนี้ พอเห็นกระเป๋านักเรียนแปลกใหม่ที่เมิ่งอี้เซวียนสะพายมา พลันถลึงตาเบิกโพลง เข้ามาล้อมดูอย่างอดใจไม่ได้
เมิ่งอี้เซวียนรีบวางกระเป๋านักเรียนไว้ใต้โต๊ะ
เด็กชายอายุราวสิบสามสิบสี่ปี แต่งกายด้วยชุดผ้าไหมเห็นเขาเก็บกระเป๋านักเรียนขึ้น แค่นเสียงหึ พูดอย่างดูแคลน “จากการแต่งกายของเจ้า ดูก็รู้ว่าเป็นเด็กที่มาจากบ้านนอก ก็แค่กระเป๋าเชยๆ ใบหนึ่ง ไยต้องนำมาโอ้อวด”
เมิ่งอี้เซวียนไม่ได้ปริปาก ก้มหน้าเปิดกล่องเครื่องเขียนของตัวเองเงียบๆ
เด็กชายเห็นเครื่องเขียนธรรมดาตรงหน้าเขา หันไปพูดกับนักเรียนคนอื่น “ข้าหาได้พูดผิดไม่ พวกเจ้าดูสิ่งของที่เขาใช้ ก็รู้ได้ว่าบ้านเขายากจนเพียงใด บางทีแม้แต่ข้าวก็กินไม่อิ่มท้อง กระเป๋านักเรียนของเขายังไม่รู้ว่าได้มาจากที่ใด”
เด็กคนอื่นพยักหน้า
เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปาก ยังคงไม่พูดอะไร
อาจารย์นำหนังสือเรียนที่เตรียมไว้แล้วมาให้เมิ่งอี้เซวียน เด็กๆ เห็นอาจารย์ รีบกลับไปนั่งประจำที่
หลังจากอาจารย์ส่งหนังสือให้เมิ่งอี้เซวียนแล้ว ก็เริ่มทำการสอน คงเพราะเปิดเรียนวันแรก อาจารย์สอนสั่งแต่เรื่องง่ายๆ เมิ่งอี้เซวียนรวบรวมสมาธิตั้งใจฟังครู่หนึ่ง พบว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองเคยเรียนแล้ว จึงหมดความสนใจ ฟุบตัวไปกับโต๊ะเอาแต่เล่นกับกระเป๋านักเรียน
อาจารย์ที่โรงเรียนกับครูสอนหนังสือในชนบทไม่เหมือนกัน ครูสอนหนังสือในชนบทเพียงแค่สอนเด็กในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงให้อ่านออกเขียนได้ก็พอ แต่อาจารย์ในโรงเรียนสอนเพื่อให้ผู้เรียนเข้าสอบเป็นขุนนาง ดังนั้นจะมีความเข้มงวดมากกว่าครูสอนหนังสือตามชนบท อาจารย์ผู้สอนเห็นเมิ่งอี้เซวียนไม่ตั้งใจฟังการสอน ทั้งยังฟุบไปบนโต๊ะเรียน เกิดความขุ่นมัว ร้องตวาดเสียงดัง “เมิ่งอี้เซวียน ลุกขึ้น”
เมิ่งอี้เซวียนได้ยินเสียงเรียก พรวดพราดลุกขึ้นยืน
เด็กคนอื่นๆ มองเขาอย่างดีใจบนความทุกข์ของผู้อื่น
อาจารย์ถือไม้บรรทัดเดินมาตรงหน้าเขา พูดเสียงเข้ม “ตอนที่ข้าสอนหนังสือ เหตุใดเจ้าถึงไม่ตั้งใจฟังคำสอน ยื่นมือของเจ้าออกมา ข้าจะตีฝ่ามือเจ้าเป็นการลงโทษ”
เมิ่งอี้เซวียนไม่ยื่นมือออกมา แต่กลับพูดเสียงแผ่ว “ท่านอาจารย์ ที่ท่านสอนข้าเรียนรู้หมดแล้ว จึงไม่ตั้งใจฟังคำสอน”
อาจารย์พูดอย่างฉุนเฉียว “อายุเพียงเท่านี้ กล้าพูดจาโป้ปด ที่ข้าสอนไปเป็นเนื้อหาใหม่ เจ้าจะเรียนรู้ได้ทั้งหมดภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร”
เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปาก พูดเสียงเบา “อาจารย์ทดสอบข้าก็ได้ หากข้าตอบไม่ได้ ท่านค่อยลงโทษข้าก็ไม่สาย”
อาจารย์พูดอย่างมีน้ำโห “ได้ ข้าจะทดสอบเจ้า หากเจ้าตอบไม่ได้ ดูว่าข้าจะลงโทษเจ้าเช่นไร”
นักเรียนทั้งหมดต่างมองเขาอย่างคึกคัก คิดว่าอีกประเดี๋ยวเขาจะถูกลงโทษเช่นไร
ตอนที่ 134.3
เมิ่งอี้เซวียนเดือดดาล
อาจารย์เดินไปหน้าห้อง หยิบหนังสือขึ้น บอกให้เมิ่งอี้เซวียนท่องเนื้อหาที่เขาเพิ่งสอนไปก่อนหน้านี้ออกมาห้ามตกหล่นแม้เพียงคำเดียว
เมิ่งอี้เซวียนท่องเสียงดังอย่างไม่รีบไม่ร้อน
พอเขาทนจบ อาจารย์ก็อ้าปากค้าง มองเขาอย่างไม่เชื่อ
นักเรียนคนอื่นๆ ต่างตกตะลึงพรึงเพริด
เด็กชายที่พูดกับเขาเมื่อครู่กลิ้งกลอกนัยน์ตา เดินมาข้างโต๊ะเรียนเมิ่งอี้เซวียนหยิบหนังสือเรียนที่วางตรงหน้าเมิ่งอี้เซวียนออก หันไปพูดกับอาจารย์ “ท่านอาจารย์ เมื่อครู่ไม่นับ ใครจะไปรู้ว่าเขาแอบดูหนังสือหรือไม่”
อาจารย์ก็ไม่เชื่อว่าเขาจะจดจำสิ่งที่ตนเองเพิ่งสอนไปในเวลาอันสั้นแค่นี้ได้ ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า เดินไปตรงหน้าเมิ่งอี้เซวียน พูดว่า “ตอนนี้ให้เจ้าท่องเนื้อหาต่อจากนี้ที่ข้าสอนอีกรอบ”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า ท่องเนื้อหาครึ่งหลังออกมา
ครั้งนี้นักเรียนทุกคนจ้องมองเขาอย่างไม่กะพริบตา เห็นเขาท่องได้จริงๆ ต่างก็มองเขาเหมือนมองสัตว์ประหลาด
อาจารย์ตบหนังสือในมือไปที่โต๊ะดัง “ป๊าบ” พูดอย่างตื่นเต้นยินดี “อัจฉริยะ อัจฉริยะ” พูดจบก็พรวดพราดเดินออกไปจากห้องเรียน ไปบอกข่าวดีนี้กับอาจารย์ฝ่ายปกครอง
ในห้องเรียนเกิดเป็นความอึกทึกครึมโครม เด็กๆ ต่างจับกลุ่มกัน ซุบซิบนินทาเมิ่งอี้เซวียน
เมิ่งอี้เซวียนกลับไปนั่งที่เก้าอี้ด้วยสีหน้าปกติ ฟุบไปกับโต๊ะเล่นกระเป๋านักเรียนต่อ
อาจารย์ฝ่ายปกครองและอาจารย์ผู้สอนเดินเข้ามาในห้องเรียนพร้อมกันอย่างตื่นเต้นยินดี อาจารย์ชี้เมิ่งอี้เซวียนแล้วพูด “ก็คือเขา เมิ่งอี้เซวียนที่เพิ่งมาใหม่วันนี้”
เมิ่งอี้เซวียนรีบลุกขึ้นยืน
อาจารย์ฝ่ายปกครองมองประเมินเขาขึ้นลงรอบหนึ่ง พูดว่า “ข้าได้ยินอาจารย์พูดแล้ว เนื้อหาที่เขาเพิ่งสอนไปเจ้าจดจำได้อย่างรวดเร็ว ใช่หรือไม่”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าตามความสัตย์จริง พูดว่า “สิ่งที่อาจารย์สอนวันนี้ท่านปู่เคยสอนข้าแล้ว”
อาจารย์ฝ่ายปกครองและอาจารย์ต่างตะลึงค้าง อาจารย์ฝ่ายปกครองถามอีก “ปู่เจ้ามีความรู้มากเช่นนี้ เหตุใดถึงต้องให้เจ้ามาเล่าเรียนที่นี่”
เมิ่งอี้เซวียนตอบ “ท่านปู่เตรียมจะให้ข้าสอบถงเซิงปีนี้ ให้ข้ามาเรียนรู้การเขียนบทความที่โรงเรียน”
อาจารย์ฝ่ายปกครองตกใจถาม “ปู่เจ้าเป็นใคร”
เมิ่งอี้เซวียนตอบ “ปู่ข้าคือเมิ่งจงจวี่”
อาจารย์ฝ่ายปกครองถามอย่างเร่งเร้า “ปู่เจ้าคือเมิ่งจงจวี่ เมิ่งจงจวี่ที่มีบุตรชายคนโตอายุเพียงสิบสามปีก็สอบถงเซิงได้”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า
“ถึงว่าเจ้าอายุเพียงเท่านี้แม้แต่ความรู้ที่ล้ำลึกเช่นนี้ก็ศึกษามาแล้ว ที่แท้ปู่เจ้าก็คือเมิ่งจงจวี่” อาจารย์ฝ่ายปกครองพูดงึมงำ
คนชนบทที่สอบซิ่วไฉได้มีไม่มาก ทั้งยังเป็นซิ่วไฉรุ่นเก่าที่สอบได้มานาน เหล่าอาจารย์ย่อมต้องเคยได้ยินบ้าง พอได้ยินคำพูดของอาจารย์ฝ่ายปกครอง ก็พยักหน้าเห็นพ้อง
อาจารย์ฝ่ายปกครองถามอีก “นอกจากหนังสือสี่ตำราห้าคัมภีร์ที่อาจารย์สอน เจ้ายังรู้เนื้อหาหนังสือใดอีก”
เมิ่งอี้เซวียนตอบ “คัมภีร์หลุนอวี่ ชุนชิว พิชัยสงครามจ้านกั๋ว คัมภีร์ซือจิง ข้าเคยเรียนมาหมดแล้ว”
อาจารย์ฝ่ายปกครองและอาจารย์ถลึงตาโตพร้อมกัน พูดว่า “เจ้าเรียนรู้ทั้งหมดแล้ว”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า
ทั้งสองหันหน้าสบตากัน อาจารย์หยิบคัมภีร์ซือจิงตรงหน้าเมิ่งอี้เซวียนขึ้นมา ถามขึ้น “ข้าจะอ่านสิ่งที่อยู่ในหนังสือหนึ่งประโยค เจ้าสามารถท่องต่อจากนั้นออกมาได้หรือไม่”
เมิ่งอี้เซวียนตอบ “ได้”
อาจารย์พลิกหน้าหนังสือผ่านๆ หาส่วนที่อยู่กลางหน้า อ่านขึ้นประโยคหนึ่ง เมิ่งอี้เซวียนท่องตอนที่ต่อจากนั้นออกมาได้ทันที
เมื่อเขาหยุดพูด อาจารย์ก็พลิกไปอีกหน้า หาส่วนที่อยู่ด้านหลังสุดอ่านขึ้นประโยคหนึ่ง
เมิ่งอี้เซวียนยังคงท่องเนื้อหาหลังจากนั้นออกมาได้เช่นเดิม
ทำเช่นนี้ซ้ำไปมาหลายครั้ง อาจารย์ถึงยอมเชื่อแล้วว่าเมิ่งอี้เซวียนจำเนื้อหาในคัมภีร์ซือจิงได้ทั้งหมดจริงๆ หันไปพยักหน้ากับอาจารย์ฝ่ายปกครองอย่างยินดี อาจารย์ฝ่ายปกครองปลาบปลื้มใจ พูดกับอาจารย์ว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไปเจ้าจงสอนเขาว่าต้องเขียนบทความอย่างไรตัวต่อตัวเถอะ ส่วนเวลาที่เจ้าสอนหนังสือ หากเขาไม่ได้ก่อกวนอะไร ก็ไม่ต้องสนใจเขา”
อาจารย์พยักหน้า
อาจารย์ฝ่ายปกครองจากไปอย่างชื่นบาน
เด็กคนอื่นมองเมิ่งอี้เซวียนอย่างอิจฉา
เมิ่งอี้เซวียนไม่สนใจ นั่งประจำที่ของตนเองเงียบๆ
อาจารย์สอนหนังสือต่อ
เมิ่งอี้เซวียนก็ก้มหน้าเล่นกระเป๋านักเรียนของตัวเองต่อ
อาจารย์สอนเสร็จสองคาบ ก็ถึงเวลาพักเที่ยง
เมิ่งอี้เซวียนสะพายกระเป๋านักเรียน ไปกินอาหารที่โรงอาหาร
ที่โรงอาหารมีอุปกรณ์รับประทานอาหารที่โรงเรียนเตรียมไว้ให้แล้ว พอเมิ่งอี้เซวียนได้รับ ก็นำไปรับอาหารหาที่นั่งสงบๆ กินจนหมด
คนที่กินข้าวในโรงอาหารล้วนเป็นเด็กกินนอน เห็นเด็กใบหน้างดงามนั่งกินข้าวเพียงลำพัง รู้สึกข้องใจ พอมานั่งกินข้าวด้วยกัน ต่างก็ชี้ไม้ชี้มือซุบซิบนินทาเมิ่งอี้เซวียน
เมิ่งอี้เซวียนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน กินข้าวอย่างสงบนิ่ง เมื่อล้างถ้วยตะเกียบเสร็จ นำไปวางเข้าที่ แล้วเดินกลับไปที่ห้องเรียน
บุตรหลานเศรษฐีในห้องเรียนต่างมีเด็กรับใช้ส่งอาหารกลางวันมาให้ กำลังล้อมวงกินข้าว ถกเถียงกันว่าวันนี้บ้านใครทำอาหารได้อร่อยกว่ากัน พอเห็นเมิ่งอี้เซวียนเดินเข้ามา เด็กที่พูดถากถางเขาตอนเช้ารีบพูดเสียงดัง “ท่องคัมภีร์ซือจิงได้ทั้งหมดก็แล้วอย่างไร ก็ยังเป็นเป็นเด็กยากจน ต้องไปกินข้าวโรงอาหาร ของพรรค์นั้น เทให้สุนัขบ้านข้ายังไม่กิน”
เด็กคนอื่นๆ หัวเราะร่วน
เมิ่งอี้เซวียนไม่ปริปาก กลับไปนั่งประจำที่ตัวเองเงียบๆ
เด็กคนนั้นเห็นเมิ่งอี้เซวียนไม่พูดอะไร นึกว่าเขากลัว จึงพูดอย่างลำพองใจอีก “ดูอาหารของพวกเราเถิด ล้วนเป็นอาหารที่แม่ครัวเตรียมให้อย่างพิถีพิถัน คนบางคนชาตินี้ก็ไม่มีทางได้กิน” พูดจบยังจงใจกินคำใหญ่
บุตรหลานเศรษฐีโดยรอบต่างพยักหน้าเห็นพ้อง
เมิ่งอี้เซวียนยังคงไม่ปริปาก หลับตาลง ทำการฝึกฝนจิตคณิตที่เมิ่งเชี่ยนโยวสอน
เด็กที่ยุแยงเห็นเขาไม่ยอมพูดอะไร ก็ยิ่งได้ใจ เอาแต่พูดถากถางเสียดสีคำแล้วคำเล่าไม่หยุด
เมิ่งอี้เซวียนหาได้สนใจไม่
สิ้นสุดเวลาพักเที่ยง เด็กรับใช้ของแต่ละบ้านทยอยกันเก็บอุปกรณ์กินอาหารของบ้านตัวเองออกไปจากโรงเรียน
อาจารย์มาทำการสอน เมิ่งอี้เซวียนยังคงนั่งเล่นกระเป๋านักเรียนบนโต๊ะเงียบๆ
การเรียนการสอนในโรงเรียนหนึ่งวันมีสี่คาบ ครึ่งเช้าสองคาบ ครึ่งบ่ายสองคาบ ระหว่างคาบจะมีเวลาให้พักสองเค่อ
วิชาแรกในครึ่งบ่ายสอนเสร็จ เมิ่งอี้เซวียนรู้สึกปวดท้อง จึงรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำ
เด็กชายที่คอยหาเรื่องยั่วยุเห็นเขาวางกระเป๋านักเรียนไว้ใต้โต๊ะ กลิ้งกลอกนัยน์ตา หันไปกวักมือเรียกเด็กอีกสองสามคน
เด็กสองสามคนนั้นรีบวิ่งเข้ามาประจบสอพลอ
เด็กชายที่ยั่วยุพูดกระซิบกระซาบกับเด็กพวกนั้น
เด็กพวกนั้นมองกระเป๋านักเรียนของเมิ่งอี้เซวียนแวบหนึ่ง รู้สึกลังเล
เด็กชายที่ยั่วยุพูดข่มขู่ “หากใครไม่ทำ ต่อไปมีเรื่องอะไรไม่ต้องมาขอให้ข้าช่วย”
เด็กพวกนั้นได้ฟัง หันหน้ามองกัน เด็กชายคนหนึ่งเดินไปที่โต๊ะเมิ่งอี้เซวียน หยิบกระเป๋านักเรียนเขาออกมา เขวี้ยงลงกับพื้นเต็มแรง ทั้งใช้เท้าเตะอีกสองสามครั้ง เด็กคนอื่นที่เหลือก็เดินเข้ามา เหยียบไปบนกระเป๋านักเรียนหลายครั้ง กระเป๋านักเรียนใบใหม่สกปรกกระดำกระด่างพลัน
เมิ่งอี้เซวียนออกมาจากห้องน้ำรีบวิ่งกลับมา เห็นเด็กคนสุดท้ายใช้รองเท้าสกปรกเหยียบกระเป๋านักเรียนของตัวเองพอดี บันดาลโทสะ วิ่งเข้าไปผลักเด็กคนนั้น ร้องตะโกนเสียงดัง “เจ้าทำอะไร”
เด็กคนนั้นถูกผลักถอยไปหลายก้าว กระแทกเข้ากับโต๊ะหนังสือ เจ็บจนร้องเสียงหลง
เมิ่งอี้เซวียนไม่ได้สนใจเขา เก็บกระเป๋านักเรียนบนพื้นขึ้น เห็นกระเป๋าถูกเหยียบจนสกปรกดูไม่ได้ นัยน์ตาพลันเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา พยายามปัดคราบสกปรกบนกระเป๋านักเรียนออก
เด็กที่ยั่วยุเห็นเมิ่งอี้เซวียนกล้าลงมือผลักคน ก็เกิดอารมณ์ เดินมาตรงหน้าเขาอย่างโกรธเกรี้ยวพูดว่า “เจ้ากล้าลงมือ รีบขอโทษพวกเราเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นพวกเราจะอัดเจ้าจนเจ้าจำหน้าพ่อแม่ไม่ได้”
เมิ่งอี้เซวียนราวกับว่าไม่ได้ยิน ยังคงปัดกระเป๋านักเรียนตัวเองสุดชีวิต
เด็กชายเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว แย่งกระเป๋านักเรียนในมือเขามา ขว้างไปที่พื้นสุดแรง ใช้เท้าเหยียบขยี้
เมิ่งอี้เซวียนโมโหเลือดขึ้นตา ใช้หัวกระแทกใส่
เด็กชายไม่คิดว่าเมิ่งอี้เซวียนจะกล้ากระแทกใส่เขา ไม่ทันได้ป้องกัน ถูกกระแทกจนถอยหลังไปสองก้าว ชนกับโต๊ะเรียน เจ็บจนหน้าเหยเก
เด็กชายโกรธเกรี้ยว หันไปตวาดคนที่เหลือ “สั่งสอนมันให้สาสม” พูดจบก็พุ่งตัวใส่ ซัดกันนัวเนียกับเมิ่งอี้เซวียน
เด็กที่เหลือเห็นเด็กชายลงมือ ต่างก็ทยอยกันเข้ารุมทำร้ายเมิ่งอี้เซวียน
คนทั้งหมดซัดกันนัวเนีย โต๊ะและเก้าอี้ในห้องล้มระเนระนาด
เด็กที่เป็นกลางเห็นเด็กหลายคนเข้ารุมทำร้ายเมิ่งอี้เซวียน อยากจะเข้าไปห้ามก็ไม่กล้า ใคร่ครวญครู่หนึ่ง แล้วรีบวิ่งออกไปหาอาจารย์
ตอนที่อาจารย์ตาลีตาลานเข้ามา ภายในห้องเรียนก็ไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว
อาจารย์โมโหจนสั่นไปทั้งตัว ร้องตวาดเสียงดังสนั่น “ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้!”
นักเรียนที่ดูเรื่องสนุกได้ยินเสียงคำรามดังลั่นของเขา พากันหดหัวถอยไปอยู่อีกด้าน
กลุ่มคนที่วิวาทกันราวกับไม่ได้ยินเสียงร้องของอาจารย์ ยังคงตะลุมบอนกันไม่เลิก
อาจารย์เดือดดาล หยิบไม้บรรทัดบนโต๊ะเคาะสุดแรงเกิดหลายครั้ง แล้วพูดกับคนทั้งหมด “หากยังไม่หยุด จะไล่พวกเจ้าทั้งหมดออก!”
คนทั้งหมดถึงได้ยิน รีบรามือ ลุกขึ้นยืน
อาจารย์สอนหนังสือมาหลายปี วันนี้เป็นครั้งแรกที่เจอเหตุการณ์นักเรียนทะเลาะวิวาท โมโหจนตัวสั่น พูดกับคนทั้งหมด “พวกเจ้าทั้งหมด…” แต่พอเห็นสภาพของทุกคนก็พูดไม่ออก
นักเรียนที่ทะเลาะวิวาทต่างเต็มไปด้วยสีสัน แต่ละคนจมูกเขียวหน้าบวมแดง โดยเฉพาะเมิ่งอี้เซวียน ใบหน้ารูปไข่งดงามนั้นมีบาดแผลหลายแห่ง ทั้งมีเลือดไหลซึมออกมาไม่ขาด
อาจารย์สูดลมเย็นเข้าปาก เดินไปตรงหน้าเขา ตรวจดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง พบว่าบาดแผลไม่ลึก น่าจะเป็นรอยมือข่วนตอนทะเลาะวิวาท พลันโล่งอกไปเปราะหนึ่ง ไม่เป็นอะไรมากก็ดี ดูแล้วบ้านของเมิ่งอี้เซวียนก็ไม่น่าจะใช่ครอบครัวธรรมดา หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ บ้านพวกเขาเกิดสืบสาวเอาความขึ้นมา เขาที่เป็นอาจารย์มีส่วนต้องรับผิดชอบ
อาจารย์หยิบไม้บรรทัด ถามคนทั้งหมดอย่างขึงขัง “พวกเจ้าพูดมา เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
นักเรียนคนหนึ่งเสนอหน้าพูดบิดเบือนก่อน เขาชี้เมิ่งอี้เซวียนแล้วพูด “เขาทำร้ายพวกเราก่อน”
คนที่เข้าร่วมวิวาทต่างทยอยเห็นพ้อง
อาจารย์มุ่นหัวคิ้วถาม “เมิ่งอี้เซวียน เหตุใดเจ้าต้องลงมือทำร้ายพวกเขา”
เมิ่งอี้เซวียนมองพวกเขาเหมือนมองศัตรู ไม่ได้พูดอะไร
อาจารย์พูดเสียงดัง “เมิ่งอี้เซวียน ข้าถามเจ้า หากเจ้ายังไม่ตอบ พรุ่งนี้ไม่ต้องมาโรงเรียน โรงเรียนของเราไม่รับนักเรียนที่ชอบก่อเรื่องวิวาทเช่นเจ้า”
เมิ่งอี้เซวียนหันหลังมาที่โต๊ะหนังสือของตัวเอง ควานหากระเป๋านักเรียนสกปรกกระดำกระด่างบนพื้นที่เละเทะยุ่งเหยิง แล้วหันไปพูดกับอาจารย์ “พวกเขาฉวยโอกาสตอนที่ข้าไปเข้าห้องน้ำ นำกระเป๋านักเรียนของข้ามาตั้งใจเหยียบย่ำจนมีสภาพเช่นนี้ ข้าถึงได้ลงมือกับพวกเขา”
ตอนเช้าที่เมิ่งอี้เซวียนเพิ่งมาถึง อาจารย์ก็สังเกตเห็นกระเป๋านักเรียนของเขาแล้ว ตอนนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อยที่บ้านของเขามีความคิดที่เลิศล้ำนัก ทำกระเป๋านักเรียนที่ละเอียดลออเช่นนี้ออกมาได้ ตอนนี้เห็นกระเป๋านักเรียนที่ถูกเหยียบจนไม่เหลือเค้าเดิม พลันขมวดคิ้วแน่น หันไปถามนักเรียนเหล่านั้น “พวกเจ้าเหตุใดต้องเหยียบกระเป๋านักเรียนของเขา”
นักเรียนทั้งหมดต่างหันมามองนักเรียนที่เอาแต่ยั่วยุเมิ่งอี้เซวียนเป็นตาเดียว
อาจารย์เห็นเป็นเขาอีกแล้ว พูดอย่างปวดหัว “ซุนเหลียงไฉ เป็นเจ้าที่บงการอีกแล้ว”
ซุนเหลียงไฉตอบอย่างมีเหตุผลหนักแน่น “ข้าเป็นคนบงการแล้วอย่างไร เขาอยากไม่สนใจไยดีข้าทำไม ข้าเพียงเห็นเขาแล้วขวางหูขวางตาไม่ได้หรือ”
ครอบครัวซุนเหลียงไฉทำการค้ามาหลายชั่วอายุคน มีเงินทองไม่น้อย พอมีชื่อเสียงอยู่ในตำบลชิงซีแห่งนี้ ถือได้ว่าเป็นครอบครัวใหญ่ พอมาถึงรุ่นของซุนเหลียงไฉ กลับมีเขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียว ครอบครัวตามใจจนเสียคนตั้งแต่เด็ก ทำให้เขากลายเป็นคนชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ เกะกะระรานคนไปทั่ว เดิมซุนเหลียงไฉไม่จำเป็นต้องมาเรียนหนังสือ เพียงเติบโตอย่างอยู่รอดปลอดภัย รับสืบทอดกิจการของที่บ้านก็พอ แต่ไม่รู้ว่าปู่ของเขาคิดอะไร หมายจะเลี้ยงให้ซุนเหลียงไฉเป็นบัณฑิตให้ได้ ถึงขอร้องคนให้เขาเข้ามาเรียนหนังสือที่นี่
นักเรียนแบบนี้ปกติแล้วโรงเรียนจะไม่รับไว้ ไม่เพียงเรียนไม่ดี ยังชอบทะเลาะวิวาท ส่งผลกระทบกับนักเรียนคนอื่น ทั้งยังจะพานักเรียนที่จิตใจไม่เข้มแข็งพอให้เสียคนไปด้วย แต่ปู่ของซุนเหลียงไฉบริจาคเกินก้อนใหญ่ บอกว่าเพื่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ ครูใหญ่หวั่นไหว จึงรับปากรับซุนเหลียงไฉเข้ามา
หลังจากที่ซุนเหลียงไฉมาแล้ว มักก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน แต่ยังไม่เคยลงมือทำร้ายใคร แม้ทุกครั้งที่อาจารย์เห็นเขาจะปวดเศียรเวียนเกล้า แต่ก็ไม่เคยโมโหจริงจัง พอได้ยินคำตอบอย่างไม่กลัวเกรงของเขาก็เดือดดาล พูดกับเขาเสียงดัง “พรุ่งนี้ให้ผู้ปกครองของเจ้ามาที่นี่ ข้าจะถามว่า เจ้าจะมาเรียนหนังสือ หรือจะมาทะเลาะวิวาท”
ซุนเหลียงไฉพูดอย่างไม่ยอม “ข้ามิได้ทะเลาะเพียงผู้เดียว มีสิทธิ์อะไรเรียกผู้ปกครองข้าแค่คนเดียว”
อาจารย์มองคนทั้งหมดแวบหนึ่ง รวมถึงเมิ่งอี้เซวียนด้วย พูดกับคนทั้งหมดอย่างขึงขัง “พรุ่งนี้พวกเจ้าทั้งหมดจงเรียกผู้ปกครองมาด้วย ไม่เช่นนั้นต่อไปไม่ต้องมาเรียนหนังสืออีก”
ตอนที่ 135.1
ข้าก็คือผู้ปกครอง
ได้ยินเสียงตวาดของอาจารย์ ซุนเหลียงไฉเบ้ปากเยาะหยัน พูดงึมงำเสียงเบา “เรียกก็เรียก พรุ่งนี้จะเรียกท่านปู่มา ดูสิว่าพวกเจ้าจะกล้าทำอะไรข้า”
เมิ่งอี้เซวียนก้มหน้า มองกระเป๋านักเรียนที่ไม่เหลือเค้าเดิมแล้วในมือ
นักเรียนคนอื่นมองซุนเหลียงไฉอย่างขอความช่วยเหลือ
ซุนเหลียงไฉมองอาจารย์แวบหนึ่ง แล้วพูดกับทุกคน “ไม่ต้องกลัว พรุ่งท่านปู่ข้ามา ข้าจะให้เขาพูดแทนพวกเจ้าเอง”
นักเรียนทั้งหมดต่างรู้ว่าปู่ของซุนเหลียงไฉรักใคร่เขามาก ไม่ว่าเรื่องอันใดก็ตามใจเขา ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็ถอนใจโล่งอก
อาจารย์เห็นซุนเหลียงไฉกล้าพูดจาเช่นนี้ต่อหน้าตนเอง พูดอย่างมีน้ำโห “พวกเจ้าทั้งหมดไปยืนข้างหน้าต่าง ข้าไม่อนุญาตใครก็ห้ามกลับมานั่งที่ตัวเอง”
ซุนเหลียงไฉเดินไปข้างหน้าต่างอย่างไม่แยแส นักเรียนคนอื่นเดินตามหลังไป
เมิ่งอี้เซวียนยืนอยู่ที่เดิมไม่ไหวติง
อาจารย์ค่อนข้างเอ็นดูเด็กที่หมั่นเพียรใฝ่ศึกษาอย่างเมิ่งอี้เซวียน เห็นเขาก้มหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรมมองกระเป๋านักเรียนของตัวเอง ยื่นมือออกไปหมายจะลูบหัวเขา กลับคิดถึงสถานะของตนเอง ถอนใจพูดกับเขาแผ่วเบา “เจ้าไปยืนข้างหน้าต่างเถอะ แม้พวกเขาจะทำกระเป๋านักเรียนเจ้าสกปรกก่อน แต่เจ้าก็ไม่ควรลงมือทำร้ายพวกเขา พวกเจ้าต่างก็มีความผิด อาจารย์ต้องจัดการอย่างยุติธรรม”
เมิ่งอี้เซวียนไม่พูดอะไร เดินไปยืนข้างหน้าต่างเงียบๆ
ซุนเหลียงไฉเห็นเมิ่งอี้เซวียนเดินมา ส่งสายตาให้คนที่เหลือ คนพวกนั้นรู้ความหมาย แกล้งเขยิบไปทางที่เมิ่งอี้เซวียนยืน หมายจะเบียดเขาให้ไปอยู่ขอบหน้าต่าง
เมิ่งอี้เซวียนเงยหน้า ใช้สายตาเย็นเยียบมองพวกเขา
คนทั้งหมดสะพรึงกลัว หดขาที่เพิ่งจะก้าวออกไปกลับทันควัน
ซุนเหลียงไฉก็พลันตัวสั่นอย่างไม่รู้ตัว
อาจารย์สั่งนักเรียนที่เหลือจัดห้องเรียนให้เรียบร้อย
นักเรียนที่เหลือกลัวจะถูกหางเลขไปด้วย รีบวิ่งเข้ามา ช่วยกันจัดห้องเรียนคนละไม้ละมือ ใช้เวลาไปทั้งหมดหนึ่งเค่อถึงจัดห้องเสร็จ
เสียงกระดิ่งเข้าเรียนดังขึ้นพอดี อาจารย์เปิดหนังสือกลอนเริ่มทำการสอน
ตลอดทั้งคาบ อาจารย์ไม่ได้ให้เด็กเหล่านั้นกลับมานั่งประจำที่
ซุนเหลียงไฉและพวกเหนื่อยล้าแทบทนไม่ไหว อยู่ด้านหลังเดี๋ยวนั่งเดี๋ยวยืน เดี๋ยวยืนเดี๋ยวนั่งอยู่อย่างนั้น มีเพียงเมิ่งอี้เซวียนที่ยืนตัวตรงก้มหน้ามองกระเป๋านักเรียนสกปรกมอมแมมในมือ
อาจารย์แสร้งทำเป็นไม่เห็นท่าทีเหนื่อยล้าของพวกเขา เอาแต่สอนหนังสือไม่หยุด
รอจนกระดิ่งบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น ซุนเหลียงไฉและพวกถึงทิ้งตัวนั่งไปบนพื้น
เมิ่งอี้เซวียนกลับไปนั่งที่ตัวเองเงียบๆ หยิบเครื่องเขียนของตัวเอง ไม่แม้แต่จะบอกลาอาจารย์ก็เดินออกไปจากโรงเรียน
หน้าประตูโรงเรียนมีรถม้าหลายคันมาจอดรอรับลูกหลายของตัวเอง เมิ่งเสียนก็เป็นหนึ่งในนั้น เห็นเมิ่งอี้เซวียนเดินออกมา เมิ่งเสียนร้องเรียกเขาอย่างดีใจ “อี้เซวียน ทางนี้”
เมิ่งอี้เซวียนก้มหน้าเดินไปข้างรถม้า
เมิ่งเสียนถามเขาอย่างเริงร่าเป็นพรวน “อี้เซวียน ไปเรียนวันแรก รู้สึกเป็นอย่างไร คุ้นเคยหรือไม่”
เมิ่งอี้เซวียนไม่พูดอะไร
เมิ่งเสียนมองเขาอย่างสงสัย ถามขึ้น “อี้เซวียน เจ้าเป็นอะไร เหตุใดถึงไม่พูด”
เมิ่งอี้เซวียนเงยหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผล
เมิ่งเสียนตกใจตัวลอย ร้องถามเสียงดังลั่น “อี้เซวียน เหตุใดใบหน้าเจ้าถึงกลายเป็นเช่นนี้ ไปมีเรื่องวิวาทกับใครมาหรือ”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า
“เพราะอะไร” เมิ่งเสียนถาม
เมิ่งอี้เซวียนหยิบกระเป๋านักเรียนออกมา
เมิ่งเสียนเห็นกระเป๋านักเรียนสกปรกขมุกขมัวของเขาก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น พูดปลอบใจเสียงเบา “ไม่เป็นไร กลับไปให้ท่านแม่ซักให้ก็ได้ เจ้าไม่ต้องเสียใจไป”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า
เมิ่งเสียนเข้าไปประคองใบหน้าเมิ่งอี้เซวียนขึ้น พูดอย่างปวดใจ “ข้าดูหน่อย แผลที่ใบหน้าเจ้าไม่เป็นอะไรนะ พวกเราไปโรงหมอดีหรือไม่”
เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้าพูด “ไม่ต้อง หน้าข้าไม่เป็นอะไร พวกเรากลับบ้านเถอะ ข้าคิดถึงบ้าน”
เมิ่งเสียนเพ่งมองอย่างละเอียด พบว่าใบหน้าเขาไม่เป็นอะไรมากจริงๆ จึงพยักหน้าเห็นด้วย “เจ้าขึ้นไปนั่งบนรถม้า พวกเราจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้”
เมิ่งอี้เซวียนขึ้นไปนั่งบนรถม้าอย่างเชื่อฟัง เมิ่งเสียนบังคับรถม้าเดินทางกลับอย่างเร็วรี่
หลังจากที่เมิ่งเสียนไปรับเมิ่งอี้เซวียน เมิ่งชื่อด้านหนึ่งเย็บกระเป๋า อีกด้านก็คอยชะเง้อคอมอง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มให้นาง “ท่านแม่ ประเดี๋ยวพวกเขาก็กลับมา ท่านไม่ต้องกระวนกระวายไป ทำกระเป๋าอย่างสบายใจเถอะ”
เมิ่งชื่อตอบ “วันนี้เป็นวันแรกที่อี้เซวียนไปโรงเรียน แม่รู้สึกไม่วางใจอย่างไรไม่รู้ รู้สึกเหมือนจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “เขาไปโรงเรียน จะเกิดเรื่องอันใดได้ ท่านแม่อย่าได้เป็นห่วงเลย”
เมิ่งชื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ คิดแล้วก็เห็นด้วย จึงก้มหน้าตั้งใจเย็บกระเป๋านักเรียน
เมิ่งเสียนบังคับรถม้าอย่างเร็วรี่ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็กลับถึงบ้าน
เมิ่งชื่อเห็นพวกเขากลับมา รีบเดินออกมาจากในบ้านถามไถ่ “พวกเจ้ากลับมาแล้ว ไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นนะ”
เมิ่งเสียนรีบตอบ “ท่านแม่ วันนี้อี้เซวียนมีเรื่องวิวาทกับคนที่โรงเรียน”
เมิ่งชื่อประหลาดใจ “อี้เซวียนจะไปวิวาทกับคนอื่นได้อย่างไร”
เมิ่งอี้เซวียนลงจากรถม้า ร้องเรียนเมิ่งชื่อ “ท่านแม่”
เมิ่งชื่อตกใจ “อี้เซวียน เหตุใดใบหน้าเจ้าถึงเป็นเช่นนี้ เจ็บหรือไม่”
เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “ไม่เจ็บ ท่านแม่”
เมิ่งชื่อเดินเข้าหาอย่างปวดใจ พินิจใบหน้าของเขา หันไปตำหนิเมิ่งเสียน “เจ้ารีบกลับมาทำไม ไม่รู้จักพาอี้เซวียนไปโรงหมอในเมืองก่อน ใบหน้าเขามีบาดแผลเยอะเช่นนี้ คงเจ็บไม่น้อย”
เมิ่งอี้เซวียนรีบร้อนพูด “ท่านแม่ บาดแผลบนใบหน้าข้าไม่เป็นไร ข้าไม่เจ็บ ไม่ต้องไปหาหมอ ไม่กี่วันก็หายดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงร้องตกใจของเมิ่งชื่อก็เดินออกมา สาวเท้ามายืนตรงหน้าเมิ่งอี้เซวียน มองเขาเงียบๆ
เมิ่งอี้เซวียนมองเขากลับ
เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากถาม “กี่คน”
“หกคน” เมิ่งอี้เซวียนตอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีก “จากนั้นเล่า”
เมิ่งอี้เซวียนกะพริบตาปริบ หลุบศีรษะลง
เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ พูด “สิ่งที่ข้าเคยสอนเจ้าล้วนแต่เรียนเสียเปล่าใช่หรือไม่”
เมิ่งอี้เซวียนก้มหน้าไม่พูดไม่จา
เมิ่งชื่อตำหนินาง “เจ้าแสดงกิริยาอะไร อี้เซวียนถูกทำร้าย เจ้าไม่เพียงไม่ปลอบประโลม ยังจะตำหนิโทษเขาทำไม”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ยามที่ควรลงมือกลับไม่ลงมือ สมแล้วที่ถูกทำร้าย”
เมิ่งอี้เซวียนหลุบศีรษะลงต่ำกว่าเดิม
เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ หันหลังเดินเข้าบ้าน
เมิ่งชื่อดึงมือเขามาอย่างปวดใจ พูดว่า “รีบเข้าบ้าน แม่จะทำความสะอาดบาดแผลให้”
เมิ่งอี้เซวียนตามเมิ่งชื่อเข้าไปในบ้านอย่างเชื่อฟัง
เมิ่งชื่อยกน้ำสะอาดมา จุ่มปลายผ้าขนหนูมุมหนึ่งจนเปียก เช็ดบาดแผลที่ใบหน้าเขาอย่างเบามือ
เมิ่งอี้เซวียนเจ็บจนร้อง “ซี้ด”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกระแทกกระทั้น “สมน้ำหน้า!”
เมิ่งอี้เซวียนไม่กล้าเปล่งเสียงอีก ทำได้เพียงขมวดคิ้วแน่น
เมิ่งชื่อช่วยเช็ดเสร็จ เห็นชัดเจนว่าแผลบนใบหน้าเขาไม่เป็นอะไร ก็ถอนใจโล่งอก พูดว่า “เจ้าเข้าไปนอนพักในห้องก่อน แม่ทำอาหารเสร็จ จะเรียกเจ้าออกมา”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า กำลังจะเดินเข้าห้องนอน
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามขึ้น “เหตุผล”
เมิ่งอี้เซวียนตอบเสียงแผ่ว “พวกเขาจงใจเหยียบกระเป๋านักเรียนใบใหม่ของข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งอึ้ง ลุกขึ้นยืน
เมิ่งอี้เซวียนนึกว่าจะถูกตี ตกใจกระแซะตัวเข้าหาเมิ่งชื่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้าไปในห้อง หยิบขวดยาออกมา พูดกับเขา “เข้ามา ข้าจะทายาให้”
เมิ่งอี้เซวียนเดินไปตรงหน้านางอย่างปิติ เงยหน้าน้อยๆ ขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นบาดแผลชัดเจนหลายรอยบนใบหน้าเขา สะท้อนแววตา เม้มริมฝีปากใส่ยาให้เขาอย่างระวัง
ตอนกินข้าวเย็น เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นบาดแผลบนใบหน้าเมิ่งอี้เซวียน ร้อนรนถามเกิดเรื่องอันใดขึ้น
เมิ่งอี้เซวียนจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา
เมิ่งชื่อพูดว่า “พวกเขารังแกกันเกินไปแล้ว เด็กหกคนมารุมคนคนเดียวได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ไปเรียนวันแรกก็สร้างศัตรู ต่อไปเจ้าจะไปเรียนหนังสืออย่างไร”
เมิ่งชื่อใช้มือตีนาง พูดติเตียน “เจ้าลูกคนนี้นี่นะ เรื่องนี้จะโทษอี้เซวียนได้อย่างไร เป็นความผิดของเด็กพวกนั้นต่างหาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวถูกตีอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พูดทักท้วงอย่างไม่พอใจ “ท่านแม่ ข้าที่เป็นลูกแท้ๆ ของท่าน มีใครเห็นคนนอกดีกว่าลูกในไส้อย่างท่านบ้าง”
เมิ่งชื่อถลึงตาใส่นาง “แม่เห็นคนนอกดีกว่าตรงไหน เรื่องนี้เด็กพวกนั้นต่างหากที่เป็นคนผิด”
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็พยักหน้าเห็นพ้อง “ใช่ เด็กพวกนั้นที่ผิดจริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างจนใจ “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านทำเช่นนี้จะทำให้เขาเสียคน พวกท่านคิดบ้างสิ นักเรียนเยอะแบบนั้น ทำไมพวกเขาถึงพุ่งเป้ามาที่เขาคนเดียว เขาจะต้องทำเรื่องที่เข้ากับคนอื่นไม่ได้ ทำให้คนเห็นแล้วขัดหูขัดตา ถึงได้ฉวยโอกาสหาเรื่องเขา”
ฟังคำพูดนางจบ เมิ่งชื่อก็ถามขึ้น “อี้เซวียน นอกจากเรื่องวิวาท เจ้ายังมีเรื่องอะไรที่ยังไม่ได้พูดหรือไม่”
เมิ่งอี้เซวียนครุ่นคิด ก็เล่าเรื่องที่อาจารย์และอาจารย์ฝ่ายปกครองมาสอบวัดระดับความรู้ตัวเองออกมา
เมิ่งชื่อเข้าใจพลัน “พวกเขาจักต้องริษยาเจ้า ถึงได้ลงมือกับเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ พูดว่า “ท่านแม่ นักเรียนดีเด่นในโรงเรียนมีมากมาย ทำไมพวกเขาต้องลงมือกับเขา พูดให้ถูกก็คือ เขายังไม่รู้เลยว่าตัวเองไปหาเรื่องพวกเขาตอนไหน”
เมิ่งชื่อพูดให้ท้าย “อี้เซวียนของเรารู้ความเชื่อฟังที่สุด จะไปหาเรื่องพวกเขาได้อย่างไร พวกเขาจะต้องตั้งใจมาหาเรื่อง เอาอย่างนี้ พรุ่งนี้เจ้าไปถามที่โรงเรียน ให้อี้เซวียนเปลี่ยนห้องเรียนได้หรือไม่”
เมิ่งอี้เซวียนรีบฉวยโอกาสพูด “พรุ่งนี้อาจารย์เรียนให้คนในครอบครัวไปโรงเรียน หากไม่ไป จะไล่พวกเราออก”
“เช่นนั้นก็ตรงตามความปรารถนาของเจ้า ไม่ต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนอีก” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
เมิ่งอี้เซวียนก้มหน้าไม่พูดอะไร
เมิ่งชื่อร้องอุทาน “เหตุใดต้องให้คนในครอบครัวไปโรงเรียนอีก”
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็สะดุ้งตกใจถามขึ้น “ไป ไปทำอะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เรื่องนี้พวกท่านไม่ต้องยุ่ง พรุ่งนี้ข้าไปเอง”
สองสามีภรรยาเมิ่งต่างถอนใจโล่งอกพร้อมกัน
ดี
ตอบลบ