Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 2078-2079
ตอนที่ 2078 สองเรื่อง
โดย
Ink Stone_Fantasy
จ้าววิญญาณสีชาดมีดวงตาแดงก่ำและร้องคำรามไม่หยุด “โกหก! ไม่มีใครสามารถสร้างวังวนเชื่อมต่อกับแผ่นดินเซียนดาราและเรียกมหาชั้นฟ้ามาได้ ทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก! อย่ามาหลอกข้า!!!”
สีหน้าท่าทางของเขากำลังวุ่นวายและเส้นโลหิตบนศีรษะกำลังบวมเป่ง ตอนนี้เขาลืมความกลัวและความคิดที่วุ่นวายไปหมดสิ้น
“โกหก ทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก ฮ่าฮ่า มันต้องโกหกแน่ๆ หวังหลิน ข้ารู้จักองครักษ์เมิ่งต้าวของจักรพรรดิเทพ เขาเป็นสหายที่ดีกับข้าและครั้งหนึ่งข้าช่วยชีวิตเขาไว้! เขาเป็นคนสนิทของจักรพรรดิเทพ…เขา…” จ้าววิญญาณสีชาดหัวเราะราวกับนี่คือความหวังสุดท้าย
“โอ้? ทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก? แม้ข้าจะไม่สามารถนำสัมผัสวิญญาณของจักรพรรดิเทพมาที่นี่ได้ ข้าจะให้เจ้าเห็นวิญญาณเขาก็แล้วกัน” หวังหลินสะบัดแขนให้วังวนในท้องฟ้าหายไป กลิ่นอายของต้าวยี่หายไปด้วย ทางด้านต้าวยี่เกิดอาการสั่นเทา เขาสัมผัสได้ถึงความอ่อนแอของตัวเองและความแข็งแกร่งของหวังหลินได้ชัดเจน
“ดูซะว่านี่มันหลอกลวงหรือไม่!” หวังหลินพูดขึ้นอย่างสงบนิ่ง แสงสามสีปรากฏขึ้นด้านหลังเขาคือสีดำ ขาวและทอง!
แสงทั้งสามสีพลันรวมกันกลายเป็นดวงอาทิตย์ดวงยักษ์ กลิ่นอายมหาชั้นฟ้าระเบิดออกมาจากตัวหวังหลิน ทั้งหมดตกลงใส่จ้าววิญญาณสีชาด
ขณะเดียวกันใบหน้าของจักรพรรดิเทพเหลียนต้าวเจินปรากฏขึ้นในดวงอาทิตย์ แม้ใบหน้าจะบิดเบือนจากความเจ็บปวด แต่ใครที่เคยเจอเหลียนต้าวเจินก็คงจำเขาได้!
“โกหก…ทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก…ทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก…เจ้าก็เป็นมหาชั้นฟ้า? ฮ่าฮ่า นี่มันโกหกทั้งเพ อย่ามาหลอกข้า” จ้าววิญญาณสีชาดสั่นเทา สายตาเลื่อนลอย
หลังจากหวังหลินปลดปล่อยแรงกดดันมหาชั้นฟ้าของตัวเอง ระดับบ่มเพาะจึงเพิ่มพูนขึ้นกระทั่งบรรลุระดับครึ่งก้าวย่ำสวรรค์ แรงกดดันมากพอจะทำลายล้างทั้งดาราจักรและทำลายได้ทุกชีวิต
แรงกดดันทั้งหมดรวมกันรอบจ้าววิญญาณสีชาดและไม่รั่วไหลออกไปไหน เขาเริ่มหัวเราะเหมือนคนบ้าและจังหวะนั้นร่างกายก็แตกสลาย
พอร่างกายแตกสลาย จ้าววิญญาณสีชาดจึงเป็นบ้าไปกว่าเดิม
เขาไม่อาจยอมรับความเป็นจริงได้ เขาไม่กล้าเชื่อว่าตนเองไปเป็นศัตรูกับคนที่หลอมวิญญาณจักรพรรดิเทพ แม้แต่ต้าวยี่ยังหวาดกลัว และเขาคนนั้นยังเป็นมหาชั้นฟ้าได้เองอีก ตัวเขายังเคยพูดว่าจะลิ้มลองคนรักของมหาชั้นฟ้าและนำลูกหลานของมหาชั้นฟ้ามาเป็นศิษย์
ทั้งยังทำให้ลูกหลานของมหาชั้นฟ้าคิดร้ายต่อมหาชั้นฟ้า
บัดซบ ช่างน่ารังเกียจเสียจริง!
ร่างกายและวิญญาณดั้งเดิมได้สูญสิ้น แต่เมื่อเทียบกับความบ้าคลั่งในตัวเขาแล้ว ความเจ็บปวดนี้เสมือนหิ่งห้อยกับดวงจันทร์ มันเทียบกันแทบไม่ได้เลย
การตายรูปแบบนี้นับว่าโหดเหี้ยมอำหิตมากกว่าทำลายวิญญาณและร่างกายตรงๆ เพราะนอกจากร่างกายแล้วหวังหลินยังทำลายความคิดและการหาเหตุผลอย่างสิ้นเชิง
หนึ่งวันให้หลัง หวังหลินพามู่ปิงเหมย ฉือซาน ฉวี่ลี่กั๋วและคนอื่นจากไป แต่ก่อนจากหวังหลินได้สร้างค่ายกลขึ้นมาใหม่ ค่ายกลนี้ทรงพลังยิ่งกว่าเดิมจนไม่มีใครสามารถทำลายได้ เว้นแต่บรรพชนเทพหรือบรรพชนโบราณมาเกิดใหม่
แม้แต่มหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวก็ทำลายไม่ได้
ตอนที่หวังหลินจากไปได้ทิ้งเต๋าและวิชาส่วนหนึ่งของตนเองไว้ในแดนสวรรค์ เขายังรวบรวมพลังงานในโลกมาสร้างภูเขาแห่งเม็ดยาขึ้นมา ทิ้งเมล็ดพันธุ์ที่แข็งแกร่งให้แดนสวรรค์เอาไว้ บางทีเมื่อเวลาได้ผ่านไปแดนสวรรค์อาจจะเต็มไปด้วยคนที่แข็งแกร่ง หรืออาจมีคนที่สืบทอดเต๋าของหวังหลิน
ค่ายกลป้องกันสมบูรณ์แบบ เม็ดยาจำนวนมากกองเท่าภูเขาและคัมภีร์เต๋า รวมถึงความรู้ความเข้าใจแก่นแท้นามธรรมของหวังหลิน จะทำให้แดนสวรรค์แข็งแกร่งและมั่นใจว่าจะไม่มีเหตุร้ายเหมือนจ้าววิญญาณสีชาดปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ก่อนจากไปหวังหลินและปรมาจารย์เต๋าความฝันพูดคุยกันอยู่นาน ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองคุยอะไรกันและหลังจากปรมาจารย์เต๋าความฝันออกมาส่งหวังหลิน เขาก็ปิดด่านบ่มเพาะ
หวังหลินจากมา เดินทางท่องไปในดาราจักรอันกว้างใหญ่และมาถึงดาวซูซาคุ เขานั่งตรงหน้ารูปปั้นของตัวเองอยู่หลายวันก่อนจะจากไป จากนั้นก็ไปที่ดาวเทียนหยุนที่ซึ่งกลายเป็นเศษซากปรักหักพังในช่วงสงครามครั้งใหญ่ไปแล้ว
หวังหลินแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณและพบทางเข้าดินแดนวิญญาณปิศาจ สถานที่อันคุ้นเคยแห่งนี้คือถ้ำของจักรพรรดิเทพฉิงหลิน เขาค้นพบม้วนคัมภีร์ที่ครั้งหนึ่งปิดผนึกอยู่ที่นี่ เขาปลดปล่อยสตรีข้างในและส่งให้นางได้ไปเกิดใหม่
สตรีผู้ลึกลับจากตอนนั้นไม่สำคัญต่อหวังหลินอีกต่อไปแล้ว
หวังหลินออกมาจากดินแดนวิญญาณปิศาจและไปยังสถานที่อีกหลายแห่งในดาราจักรดวงดาวทั้งสี่แห่ง เพื่อขจัดเรื่องราวที่ยังไม่ได้แก้ไขในอดีต เขาไม่ได้เจาะจงแต่ก็จัดการไปทีละอย่าง
ท้ายที่สุดหวังหลินก็ออกมาจากดินแดนชั้นในและเข้าสู่ดินแดนชั้นนอก
ในดินแดนชั้นนอกนั้น สถานที่แรกที่เขาไปคือดินแดนตกสวรรค์ เขาได้เห็นวิหคศักดิ์สิทธิ์รุ่นสองและคนที่ช่วยเขาไว้ก่อนหน้านี้
หวังหลินยังได้พบเจอสหายเก่าแก่จำนวนมาก
หลายวันต่อมาหวังหลินปลดปล่อยผนึกบนดินแดนตกสวรรค์เพื่อให้ผู้คนที่นี่ออกมาได้ตามที่ต้องการ หวังหลินยังเก็บของที่สำคัญที่สุดของดินแดนตกสวรรค์มาได้ นั่นคือตัวชี้ของเข็มทิศ
รอยเท้าหวังหลินย่ำไปทั่วดินแดนชั้นนอก เขาได้เจอจิตวิญญาณแตกสลาย สหายคนนี้เป็นคนที่เขาชื่นชมมากในอดีต
เช่นเดียวกันนั้นหวังหลินได้เจอเด็กทารกคนหนึ่งบนดาวเคราะห์เซียนในดินแดนชั้นนอก
เด็กทารกนี้อยู่ในแกนกลางของดาวเคราะห์และดูเหมือนหลับไหล หน้าตาคล้ายกับต้าเสิน แม้หวังหลินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต้าเสินดูเหมือนจะเป็นตู่ซือและบ่มเพาะวิชาบางอย่าง
วิชานี้จำเป็นต้องย้อนคืนร่างกายกลับเป็นทารกและเติบโตอีกครั้ง
หวังหลินเฝ้าดูเด็กทารกจนกระทั่งเขาจากไปในอีกหลายวันให้หลัง หวังหลินทิ้งสัมผัสวิญญาณไว้ให้ต้าเสิน เมื่อทารกตื่นขึ้นมา หวังหลินก็จะจับสัมผัสได้
สำหรับหวังหลินนั้นโลกถ้ำไม่มีความลึกลับอะไรอีกแล้ว หากมีก็คงเป็นเทียนหยุนและเซียนเต๋าสีรุ้งที่ลึกลับ กระนั้นเบาะแสทั้งสองคนก็ได้หายไปจากโลกถ้ำหมดแล้ว
หวังหลินเดินทางออกไปยังสถานที่หลายแห่ง จากนั้นหนึ่งปีต่อมาก็กลับมาที่ดาวซูซาคุ มาที่บ้านเกิด
มีความลับสุดท้ายที่รอให้เปิดเผย ตอนนั้นเขาไม่มีพลังอำนาจในการตามหามันและก่อนจะจากโลกถ้ำไปหวังหลินยังกังวลเรื่องราวในอดีต เขาจึงไม่มีเวลาให้ความสนใจ
แต่ตอนนี้เขามาอยู่บนดาวซูซาคุแล้ว หวังหลินไปที่ทะเลปิศาจ เข้าไปยังดินแดนเทพโบราณ
แม้ดินแดนเทพโบราณได้พังทลายไปเพราะต้าเสินแล้ว แต่มันยังมีมิติโบราณอยู่ข้างใน หวังหลินก้าวเข้าไปและพบกับจี่เซี่ยง
อสูรตัวนี้กลืนกินสัมผัสวิญญาณของหวังหลินเข้าไปและมีศีรษะที่ดูเหมือนหวังหลินไม่มีผิด
แต่ตอนที่หวังหลินพบมัน เจ้าอสูรตัวนี้ตายไปไม่รู้นานแค่ไหนแล้วและเหลือเพียงโครงกระดูก หวังหลินยืนอยู่ข้างโครงกระดูกมันไปสักพัก สายตาจับจ้องไปที่กะโหลกหนึ่งในนั้น
มันคือกะโหลกมนุษย์แต่ไม่ได้มีขนาดปกติ ทว่าเป็นขนาดเท่ากำปั้นแทน หวังหลินมองด้วยความสงสัย เขาเองก็มีกะโหลกขนาดเดียวกันนี้ในมิติเก็บของ
หวังหลินนำกะโหลกออกมาและเมื่อทั้งสองชิ้นวางใกล้กัน หนึ่งนั้นเปลี่ยนกลายเป็นละอองแสงก่อนจะหายไป
หวังหลินจำได้ว่าชิ้นที่หายไปคือชิ้นที่เขาได้มาจากต้าวยี่
หวังหลินเกิดความเข้าใจบางอย่างแต่มันเป็นชั่วพริบตาและเขาก็ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจน
หวังหลินเขย่ากะโหลกและพึมพำกับตัวเอง “หากมีการเกิดใหม่อยู่จริง เช่นนั้นเมื่ออดีตและปัจจุบันมาอยู่พร้อมกัน อดีตจะหายไปและไม่มีอีก…เหลือเพียงปัจจุบันอยู่เท่านั้น…”
หลังจากเก็บกะโหลกไป หวังหลินจึงผ่อนคลายอย่างยิ่ง ตอนที่เขาเริ่มเกิดความสงสัยในตัวเอง หวังหลินก็เริ่มรู้สึกกลัว
หวังหลินไม่ได้กลัวจริงๆ แต่ต้นกำเนิดความกลัวมาจากสิ่งของเช่นกะโหลก ดังนั้นจึงลังเล หากจะมีการเกิดใหม่จริงๆ นั่นน่าจะเป็น…หวังผิง
ตอนนี้เขาได้ค้นพบคำตอบแล้ว
หวังหลินเก็บกะโหลกและเดินออกจากดินแดนเทพโบราณ
‘ราชครูที่ดูเหมือนเทียนหยุนได้พูดว่าข้าค้นพบกะโหลกและผมสีขาว…ตอนนี้กะโหลกเปลี่ยนไปแล้ว หมายความว่าเส้นผมสีขาวจะเจอกับโชคชะตาคล้ายกันนี้…’ หวังหลินจากไปพร้อมกับขบคิดไปด้วย
เวลาผ่านไปในพริบตาถึงสิบปี
ฉวี่ลี่กั๋วได้ถูกปลดผนึกมานานแล้ว หลังจากได้อิสระคืนมาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภูมิใจที่ได้กลับไปบ้าน เขาและหลิวจินเปียวได้จากไปเมื่อสิบปีก่อน ทั้งสองออกไปที่ไหนกันสักแห่ง
มังกรสมุทรอยู่กับพวกนั้นและคงไม่มีใครในโลกถ้ำทำร้ายพวกเขาได้ มีแต่พวกเขาที่ไปกลั่นแกล้งคนอื่นและคนอื่นไม่มีโอกาสแกล้งกลับมา
ก่อนหลิวจินเปียวจากไป เขาบอกฉวี่ลี่กั๋วด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่าอยากแสวงหาเต๋าแห่งการหลอกลวงขั้นสุดยอด เขารู้สึกว่าการร่วมมือกับฉวี่ลี่กั๋วเป็นไปค่อนข้างดี แต่บางทีถ้าใช้กับคนอื่นคงทำให้มันสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
ฉวี่ลี่กั๋วตกลง หลังจากสนทนากันจึงมุ่งเป้าไปที่จงเฟยเจินและรู้สึกคิดถึง
ทั้งสองตัดสินใจว่าเป้าหมายแรกคือตามหาจงเฟยเจิน
ฉือซานยังคงวิถีเดิมและอยู่บนดาวซูซาคุ เขาตัดสินใจพักอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องอาจารย์จนกระทั่งอาจารย์ตื่น
ระดับบ่มเพาะของเขาเพิ่มขึ้นในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา ส่วนสำคัญที่สุดคือเขาสืบทอดเต๋าของหวังหลินและวิชาเกือบทั้งหมด
นอกจากแก่นแท้นามธรรมที่ยังไม่ได้ทำความเข้าใจดีนัก ฉือซานสร้างแก่นแท้ได้ห้าธาตุแล้ว
ยิ่งฉือซานดูเหมือนมีพรสวรรค์ต่อเต๋าสุดขั้วทั้งแปด ความเข้าใจของเขาจึงยิ่งลึกซึ้ง
ฉือซานไม่ใช่คนเดียวที่ปกป้องหวังหลิน ยังมีเจ้าราชายุงอีกด้วย มันทรงพลังและเคยเป็นราชาอยู่ที่นี่ ทุกครั้งที่มันเคลื่อนไหวจะทำให้เซียนทั้งหมดบนดาวเคราะห์เกิดความสนใจ
มีเหล่าเซียนที่ต้องการจับมัน แต่เมื่อเจออุปสรรคและรู้ถึงช่องว่างที่ห่างชั้นกับเจ้ายุง ทั้งหมดจึงหลีกเลี่ยงและไม่กล้าล่วงเกินมันอีกเลย
เจ้ายุงไม่ทำร้ายใครอยู่แล้วและบางครั้งก็ออกจากดาวไปบินเล่น ผู้คนบนดาวเคราะห์จึงเกิดความเคยชินกับมันไปเสียสนิท
ส่วนหวังหลินและมู่ปิงเหมย ทั้งคู่เข้าไปยังถ้ำในภูเขาแห่งหนึ่งเมื่อสิบปีก่อน หวังหลินใช้เต๋าแห่งความฝันเพื่อพาตัวเองและมู่ปิงเหมยไปขจัดปัญหาและมารร้ายในใจตอนที่เป็นหลิวเหมย
บางทีเมื่อปัญหากับหลิวเหมยถูกแก้ไขได้แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างหวังหลินและมู่ปิงเหมยคงจะแตกต่างกันออกไป
วันเวลาผ่านไปในพริบตา สิบปีได้ผ่านไปอีกครั้ง
เหล่าเซียนบนดาวซูซาคุไม่รู้ว่าหวังหลินผู้เป็นตำนานได้กลับมาบ้านเกิด พวกเขารู้แต่เพียงว่าเมื่อยี่สิบปีก่อน เซียนผู้เฉยชาคนหนึ่งได้เปลี่ยนภูเขาแห่งหนึ่งกลายเป็นดินแดนต้องห้าม
ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ก้าวเข้าไปข้างในแม้แต่ครึ่งก้าว ครั้งแรกที่มีคนลองดี พวกเขาได้รับคำเตือนแต่ครั้งที่สองกลับได้รับโทษถึงตาย!!
………………………………………………………..
ตอนที่ 2079 เมื่อเจ้าลืมตาอีกครั้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ยามนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้แห้งพัดปลิวสู่ท้องนภาและลอยล่องไปราวกับต้องการตามหาบ้าน
ท้องฟ้าสีครามสดใสทอดยาวถึงหมื่นลี้ช่างดูงดงามยิ่ง ยามเช้ามีควันลอยขโมงออกมาจากสิ่งที่เหมือนบ้านสวน
สถานที่แห่งนี้คือแคว้นจ้าว หลายคนที่อาศัยอยู่ที่นี่มักจะไม่เคยออกไปไกลจากการทำไร่ทำสวนของตัวเอง คงไม่ต้องพูดถึงสถานที่ห่างไกลเช่นหมู่บ้านเล็กๆ ตรงตีนเขา
ยามสายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดปลิวมาในยามเช้า เสียงกรอบแกรบดังขึ้นในหมู่บ้าน เหล่าเด็กน่ารักกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นและหัวเราะไปด้วยกัน
รถม้าสีแดงคันหนึ่งได้ถูกชาวบ้านรุมล้อมและหยุดเบื้องหน้าลานสนามหญ้าแห่งหนึ่ง เสียงดังเอะอะบ่งบอกว่าครอบครัวแห่งนี้กำลังต้อนรับเจ้าสาว
ลือกันว่าบรรพบุรุษของตระกูลแห่งนี้คือช่างไม้ แต่มีลูกหลานช่วงหนึ่งกลายเป็นบัณฑิตที่ผ่านการสอบของทางการ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเขาไม่ได้ไปที่เมืองหลวงและกลับมาที่นี่
สิบปีผ่านไปบัณฑิตกลายเป็นชายวัยกลางคน เขามีลูกชายที่เติบใหญ่ขึ้น ในวันนี้คือวันแห่งความสุขของเด็กที่มีนามหวังหลิน
หวังหลินเติบโตขึ้นที่นี่ ดังนั้นชาวบ้านข้างเคียงจึงรู้จักเขาเป็นอย่างดี เด็กคนนี้มีโชคชะตาอาภัพเพราะเป็นใบ้ เขามักจะทอดสายตามองออกไปไกลอย่างเงียบงันและไม่มีใครรู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
เมื่อเสียงแห่งความมีชีวิตชีวาดังขึ้นถึงที่สุด ม่านรถม้าจึงเปิดออกเป็นหญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้าสีแดงก้าวเดินออกมา หวังหลินกุมมือนางและทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในสนามหญ้า
ทางด้านสตรีนั้นเหล่าผู้เยาว์ในหมู่บ้านทุกคนต่างก็ชื่นชอบนาง นางเป็นลูกสาวคนที่สองของตระกูลหลิว ตระกูลที่ร่ำรวยในแถบนี้ ตั้งแต่ที่นางเป็นเด็กมักจะชอบอยู่กับหวังหลินมาเสมอ ทั้งสองคนกลายเป็นหวานใจกันตั้งแต่วัยเด็ก
ตอนนี้พอทั้งคู่ได้เติบโตขึ้น ไม่มีใครประหลาดใจที่ได้แต่งงานกันแต่หลายคนก็ยังมีความอิจฉา
งานพิธีแห่งความสุขในหมู่บ้านมักจะไม่ใหญ่โตเท่าในเมือง พวกเขาเรียบง่ายมาก เจ้าบ้านจัดงานเลี้ยงเชิญทั้งหมู่บ้านมาร่วมแสดงความยินดี พอตะวันตกดินก็จบงาน
ช่วงเวลาที่เหลือต่อมาเป็นของคู่บ่าวสาว
ภายในบ้านหลังใหม่ หวังหลินเปิดผ้าคลุมหน้าของภรรยาขึ้นมาอย่างเรียบง่ายและจริงใจ เขาเห็นใบหน้างดงามจนแทบลืมหายใจตรงหน้า
นางมีชื่อว่าหลิวเหมย
นางมองหวังหลินด้วยแก้มแดงๆ และหัวเราะ
สายตาของทั้งคู่คล้ายกับได้ทะลุผ่านห้วงเวลา ราวกับผ่านการเกิดใหม่มาหลายครั้งจนสายตาที่สบกันกลายเป็นนิรันดร์
วันต่อมาหลังจากแต่งงาน หลิวเหมยนั่งอยู่ในสนามหญ้า ตรงข้ามนางคือหวังหลินที่กำลังแกะสลักไม้ด้วยมือตัวเอง เขากำลังแกะสลักช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดของภรรยา
ชีวิตเรียบง่ายเช่นนี้เปล่งสัมผัสแห่งความอบอุ่น หลังจากผ่านไปสองปีทั้งคู่ก็มีลูกชาย ชื่อว่าหวังผิง
เด็กชายเป็นคนมีไหวพริบดีเยี่ยมและช่างพูด จากนั้นครอบครัวก็มีชีวิตอย่างอบอุ่นและดูสมบูรณ์แบบ
หวังหลินเลือกที่จะไม่ศึกษาต่อแต่กลับกลายเป็นช่างไม้ วิชาชีพนี้ถูกส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น เขาตัดสินใจที่จะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล้ภูเขาเล็กๆ แห่งนี้
ภรรยาเขา หลิวเหมย นางรู้สึกรักลูกเป็นอย่างยิ่ง นางใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับหวังผิง ปรุงอาหารในยามเช้า เล่นกับเขาระหว่างวัน อ่านนิทานกล่อมนอนให้ยามดึก
จากนั้นสิบปีเมื่อหวังผิงอายุย่างสิบห้า เขาตัดสินใจที่จะออกศึกษา เขาออกไปจากหมู่บ้านและมุ่งหน้าไปสอบในเมือง
พอเขาจากไป เขาเห็นแม่ตนเองนั่งอยู่ในสนามหญ้ามองดูพ่อที่กำลังแกะสลักไม้ที่เป็นรูปแม่ ไม้แกะสลักนี้ยังคงงดงามเป็นอย่างยิ่ง
หวังผิงผ่านการสอบได้สำเร็จและทั้งครอบครัวก็ได้ย้ายเข้าสู่เมืองในอีกหลายปีต่อมา หวังหลินและหลิวเหมยอยู่เคียงคู่กันและใช้ชีวิตในเมือง
วันเวลาผ่านไปไม่รู้นานแค่ไหน เส้นผมหวังหลินและหลิวเหมยเปลี่ยนกลายเป็นสีขาว หวังผิงสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในเมืองและค้นพบเส้นทางของตัวเอง
ถึงตอนนี้หวังผิงก็ได้แต่งงาน ภรรยาของเขามีชื่อว่าฉิงยี่ นางเป็นหญิงงามที่มาจากตระกูลร่ำร่วยในเมือง
นางกตัญญูต่อหวังหลินและหลิวเหมยเป็นอย่างยิ่งและทำให้ทั้งคู่พึงพอใจแต่ก็อ่อนไหวเช่นกัน เพราะนั่นแปลว่าหวังผิงกำลังจะออกไปมีครอบครัวของตัวเองเหมือนนกที่บินออกจากรัง เขาคงจะบินขึ้นสูงในท้องฟ้า บางทีคงไม่กลับบ้านอีกนาน
หวังหลินและหลิวเหมยเลือกที่จะจากไป ทั้งคู่ออกมาจากเมืองและกลับมายังหมู่บ้านใกล้ภูเขาเพื่อใช้เวลาที่เหลืออยู่ร่วมกัน
หลังจากกลับมาบ้านหลังเก่า หวังหลินแกะสลักหลิวเหมยเป็นครั้งที่สาม การแกะสลักครั้งนี้มีร่องรอยแห่งกาลเวลาหลงเหลืออยู่แต่ก็ยังคงความงดงามเอาไว้
ชีวิตสงบนิ่งและไม่มีสิ่งใดพิเศษ หวังหลินมีความสุขในแต่ละวันอย่างมาก แม้จะไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดชีวิตนี้ พวกเขายังได้ดูตะวันขึ้นและตกดินอย่างสม่ำเสมอ มีทั้งความอบอุ่นและจำนวนเส้นผมสีขาวที่เพิ่มขึ้นอยู่ตลอด
วันเวลาผ่านไปอย่างอบอุ่น ในปีนี้เมื่อใบไม้แห้งปลิวลอยขึ้นไปในท้องฟ้า หวังหลินและหลิวเหมยได้แก่ชรา หวังผิงมักจะกลับมาเยี่ยมนานๆครั้ง แต่ไม่เคยอยู่ยาวและรีบจากไป
สองคนแก่นั่งอยู่ข้างกันในสนามหญ้า หลิวเหมยยิ้มและมองหวังหลิน ด้านหนึ่งหวังหลินก็ถือไม้แกะสลักในมือ เขามองหลิวเหมยและกำลังแกะสลักไม้ชิ้นสุดท้ายในชีวิตนี้
ไม้แกะสลักค่อยๆ กลายเป็นรูปร่างในมือหวังหลิน รูปร่างของหลิวเหมยปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ ทว่านี่ไม่ใช่หลิวเหมยผมขาวในปัจจุบันแต่เป็นหลิวเหมยวันหลังจากแต่งงาน ซึ่งงดงามเป็นอย่างยิ่ง
“ข้ารู้ว่าถึงแม้ท่านไม่เคยพูดเลยทั้งชีวิต แต่ท่านก็ไม่ได้เป็นใบ้…” หลิวเหมยมองหวังหลินที่กำลังแกะสลักอย่างช้าๆ สายตาของนางช่างอ่อนโยน
หวังหลินมองหลิวเหมยและเผยรอยยิ้ม เขาส่ายศีรษะและยังไม่พูดอยู่อย่างนั้น
พอวันที่สามการแกะสลักก็เสร็จสิ้น หลิวเหมยรู้สึกป่วย นางนอนบนเตียงด้วยใบหน้าที่ยังคงความงดงามเหมือนเคย นางกุมมือหวังหลินและไม่ยอมปล่อย
“ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้เป็นใบ้…”
“ข้ายังจำตอนที่เราเจอลูกได้ ท่านมองไปบนท้องฟ้า ข้าเกิดความอยากรู้อยากเห็นว่าทำไมท่านถึงมองท้องฟ้า ดังนั้นข้าจึงเข้าไปใกล้เพื่อมองกับท่านด้วย”
“แต่ข้าไม่เห็นสิ่งใด ตอนที่ข้าออกมา ท่านกลับพูดขึ้น สิ่งแรกที่พูดกับข้าคือ…ท่านจำได้ ข้าก็จำได้เช่นกัน…” หลิวเหมยมองหวังหลิน สายตาอ่อนละมุนดุจสายน้ำ
“ท่านพูดกับข้าว่าข้าคือภรรยาของท่าน…ท่านคือสามีข้า…นี่คือโชคชะตาของเรา” หลิวเหมยพึมพำ รอยยิ้มกลายเป็นความอ่อนโยนยิ่งขึ้น นางมองหวังหลินราวกับจมไปในความทรงจำของตัวเอง
หวังหลินหัวเราะเช่นกัน เขากุมมือของนางและไม่ปล่อยไปไหน
ทั้งสองมองหน้ากันเช่นนี้ หลิวเหมยพูดต่อไปเรื่อยๆ นางพูดถึงหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต พูดถึงชีวิตวัยเยาว์ พูดถึงตัวเองหลังจากแต่งงาน พูดเรื่องราวหลังจากมีหวังผิง
“ผิงเอ๋อร์เป็นเด็กดี แต่เขาเติบโตและมีเส้นทางของตัวเอง…เราไม่สามารถให้เขาอยู่ที่นี่ไปตลอดได้…เมื่อข้าจากไป ท่านก็จะอยู่ตัวคนเดียว ดังนั้นท่านต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ” หลิวเหมยพึมพำ
หวังหลินส่ายศีรษะ เขามองหลิวเหมยด้วยสายตาอ่อนโยน
หลิวเหมยพูดต่อไปจนกลางคืนผันผ่านและอาทิตย์ยามเช้ามาเยือน สายลมใบไม้ร่วงพัดผ่านมานำเอาใบไม้สีเหลืองปลิวอย่างสวยงามในท้องฟ้า สายตาหลิวเหมยพลันเต็มไปด้วยความสับสนและจับมือหวังหลินให้แน่นขึ้น
ใบหน้าที่มีริ้วรอยของนางกลายเป็นสีแดง ราวกับกาลเวลาได้หวนคืน ร่างกายอ่อนแอของนางถูกเติมด้วยพลังชีวิต
“ข้าเห็นมัน…หวังหลิน ข้าเห็นมัน…” นางพยายามลุกขึ้น ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข นางชี้ออกไปนอกหน้าต่างและรีบพูดกับหวังหลิน
“ข้าเห็นกับตาจริงๆว่าตอนที่เรายังเด็กมันมีท้องฟ้าสีดำ ข้าเห็นมันจริงๆ! ในท้องฟ้ามีท่านและข้า…”
“ข้าเห็น…เราเป็นเซียน…ข้า…ข้า…” หลิวเหมยพลันหยุดกึกและมีน้ำตาไหลออกมา นางเห็นเหตุการณ์ที่ทำให้นางเจ็บปวดหัวใจ
“ข้า…เป็นแบบนี้ได้อย่างไร…” หยาดน้ำตาไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง
หวังหลินดึงหลิวเหมยไปข้างกายและพูดประโยคแรกตั้งแต่ทั้งคู่แต่งงานกันมา “ทั้งหมดเป็นอดีต…” น้ำเสียงแหบพร่าแต่อ่อนโยน
คืนนั้นหวังผิงกลับมาพร้อมกับภรรยาเนื่องจากลาออกจากงานเพื่อจะได้กลับมาบ้านและอยู่กับครอบครัว ภายในห้องเขาเห็นพ่อและแม่ดูเหมือนกำลังหลับใหลอย่างมีความสุข ทั้งคู่ได้จากไปแล้ว
เขายืนอยู่เบื้องหน้าพ่อและแม่อยู่นานก่อนจะมีน้ำตาไหลทั่วใบหน้า…ใบหน้าของครอบครัวและความทรงจำวัยเด็กผุดขึ้นในใจ
เขาฝังศพพ่อและแม่เอาไว้ หวังผิงและฉิงยี่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเก่าจนกระทั่งหลายปีผ่านไป กระทั่งทั้งสองแก่ชราและลาจากโลกนี้ไปเช่นกัน
ภายในถ้ำนั้น ฉือซานคุ้มครองหวังหลินและหลิวเหมยที่กำลังนั่งหลับตาอยู่กันทั้งคู่ ระหว่างทั้งสองมีลูกปัดหนึ่งเม็ด มันเปล่งแสงคล้ายกับเชื่อมต่อสองคนเข้าด้วยกัน
ในวันนี้หวังหลินลืมตาขึ้นมา มองสตรีข้างๆ อยู่พักใหญ่
ดวงตาของนางสั่นเทาและมีหยาดน้ำตาไหลริน นางลืมตามองหวังหลิน สายตาทั้งคู่ผสานกันเหมือนในเต๋าแห่งความฝันและคงอยู่ไปชั่วชีวิต
“มันจบแล้ว…” มู่ปิงเหมยพึมพำ
“มันจบแล้ว หลับตาลง เมื่อเจ้าลืมขึ้นอีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเริ่มใหม่…” หวังหลินกระซิบ เขารู้ว่าสตรีตรงหน้ามีความรู้สึกที่ซับซ้อนและพิเศษต่อเขา ทว่าความรู้สึกนี้นางไม่สามารถปล่อยมันไปได้
มู่ปิงเหมยจ้องมองหวังหลิน นางไม่รู้ว่าหวังหลินหมายความว่าอะไรแต่นางก็หลับตาอย่างเชื่อฟัง ซึ่งทำให้หยาดน้ำตาของนางหยุดไหล
“ลืมตาเถิด…” น้ำเสียงอันคุ้นเคยดังออกมาตรงหน้า
เมื่อนางลืมตาอีกครั้งจึงได้เห็น
…………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น