Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 2066-2075
ตอนที่ 2066 ข้อตกลง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท้องฟ้า ผืนดิน สายลม สายฟ้า สายฝน ก้อนเมฆ อวัยวะภายใน ร่างกายและโลหิต ต่างส่งเสียงเพลงดังสนั่นกึกก้อง
สามสัญญาณ ท้องฟ้าสีทองปฐพีสีดำ เนตรสีเงินและเสียงทารกร้องไห้!
เก้าบทเพลงสามสัญญาณมีตำนานบอกกล่าวไว้หลายอย่างบนแผ่นดินเซียนดารา ทว่าต้นสายปลายเหตุของตำนานทั้งหมดนั้นคือบรรพชนเทพหรือบรรพชนโบราณจะมีผู้สืบทอด
ยามนี้ในเมืองหลวงของเผ่าเทพและเมืองหลวงทั้งสามของเผ่าโบราณ รูปปั้นบรรพชนเทพและบรรพชนโบราณเกิดรอยแตกร้าว
ทางด้านใจกลางทะเลอันกว้างใหญ่ มหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวเป็นพยานต่อตำนานที่กำลังปรากฏขึ้นตรงหน้าด้วยตัวเอง
วินาทีนี้มีร่างปรากฏขึ้นเหนือเผ่าโบราณและส่งเสียงคำรามใส่ร่างยักษ์อีกร่างที่ปรากฏขึ้นเหนือเผ่าเทพ
ทั้งสองร่างดูเหมือนค้ำจุนสรวงสวรรค์ แต่ท่ามกลางทั้งสองมีร่างที่สามปรากฏขึ้นมา ทันใดนั้นแสงส่องสว่างเต็มไปรอบโลกแห่งนี้
ร่างนั้นคือหวังหลิน!
ตัวตนที่สามนอกเหนือจากบรรพเทพและบรรพโบราณ!
หวังหลินยังคงหลับตา ตอนที่ร่างอวตารในมิติว่างเข้าผสานกับเขา พลังที่ผสานด้วยพลังของเผ่าเทพและเผ่าโบราณซึ่งร้อยปีจะหมุนเวียนได้ครบหนึ่งรอบ ทันใดนั้นมันก็เร่งความเร็วขึ้นจนครบรอบ สร้างเป็นพลังงานผสานขึ้นมา
หวังหลินเข้าใจเล็กน้อยว่าเมื่อแก่นแท้นามธรรมของเขาสมบูรณ์ พลังเทพและพลังโบราณจะผสานกันได้อย่างสมบูรณ์ จากนั้นในร่างเขาก็จะไม่ใช่พลังเทพหรือพลังโบราณอีกต่อไป แต่จะเป็นความแข็งแกร่งของตัวเอง
ถึงตอนนั้นหวังหลินคงแข็งแกร่งพอที่จะโยนตาข่ายเวรกรรมเข้าไปในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่และค้นหาตัวตนที่แท้จริงของตัวเองได้
เขาไม่รู้ว่าต้องผ่านเวลาไปอีกนานแค่ไหน อาจจะชั่วนิรันดร์หรืออาจจะเพียงแค่พริบตา
หวังหลินลืมตาขึ้นมามองขึ้นไปเห็นเท้ายักษ์ที่เกิดจากวิชาของกุ้ยต้าว ดูเหมือนเท้ายักษ์กำลังสูญเสียพลังอำนาจไปด้วยและหล่นลงมา
เพียงอยู่ห่างจากหวังหลินไม่กี่ร้อยฟุต เขาถอนหายใจออกมา หลังจากผสานกับร่างอวตารในมิติว่างจนทำให้เกิดเป็นเก้าบทเพลงสามสัญญาณ ระดับบ่มเพาะของหวังหลินจึงได้เหนือกว่าทุกคนบนแผ่นดินเซียนดารา
แม้บรรพชนเทพและบรรพชนโบราณอยู่ที่นี่ เขาก็มีคุณสมบัติพอที่จะต่อสู้ด้วย
ตั้งแต่นี้ต่อไปบนแผ่นดินเซียนดารา นอกจากบรรพชนเทพและบรรพชนโบราณในตำนาน จะมีรอยประทับของหวังหลินเช่นกัน
ในมุมมองของหวังหลิน วิชาของกุ้ยต้าวตอนนี้เป็นแค่ชายขอบของขั้นย่ำสวรรค์เท่านั้น หวังหลินขบคิดเงียบๆ และเมื่อเท้ายักษ์อยู่ห่างเพียงร้อยฟุต หวังหลินจึงชี้ออกไป
เท้ายักษ์สั่นเทาและพังทลายไปกลายเป็นเศษเสี้ยวนับไม่ถ้วนเบื้องหน้าหวังหลิน พายุรุนแรงทำให้เหล่าเศษพวกนั้นหายไปจากโลกนี้ หายไปต่อหน้าต่อตามหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าว
กุ้ยต้าวครุ่นคิดอย่างเงียบงัน ใบหน้าแก่ชรายิ่งขึ้น เผยใบหน้าเหนื่อยล้าและโล่งอก
“ข้าหยุดเจ้าไม่ได้…แต่ข้าหวังว่าในอีกสามร้อยปี เมื่อแดนเทพบรรพกาลเปิดออก เจ้าจะเข้าประตูไปจากฝั่งเผ่าโบราณ…” กุ้ยต้าวมองหวังหลินพลางคำนับฝ่ามือและโค้งตัว
หวังหลินขบคิด สายตามองมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวและพยักหน้าให้
“ขอบคุณ…” กุ้ยต้าวลืมตาขึ้นมา จากนั้นสายหมอกห่อหุ้มร่างกายอีกครั้งจนปกคลุมร่างเขาอย่างสมบูรณ์ สายหมอกปั่นป่วนและพาเขากลับไปยังเผ่าโบราณ
หวังหลินมองไปยังจุดที่กุ้ยต้าวจากไปจนกระทั่งสายหมอกและเสียงดังสนั่นเบาบางลง เขาหันหน้ากลับมายังพายุและก้าวเข้าหา
หลังจากผ่านพายุไปได้ หวังหลินคงจะอยู่ที่ชายขอบเผ่าเทพและคงจะถึงเผ่าเทพในอีกไม่นาน!
การต่อสู้ครั้งนี้จบลงเมื่อทั้งสองแยกจากกัน ในการต่อสู้ครั้งนี้กุ้ยต้าวเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ดังนั้นตำแหน่งผู้แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเซียนดาราจึงไม่ใช่กุ้ยต้าวอีกต่อไป แต่เป็น…หวังหลิน!
อย่างไรก็ตามนอกจากเหล่ามหาชั้นฟ้าที่รีบมาแล้ว ไม่มีใครรู้เรื่องที่เกิดขึ้น
หลังจากหวังหลินจากไปในวันที่สิบสอง มีลำแสงทั้งหมดเจ็ดสายมาถึงทั้งสองฝั่งทะเลและเผยเป็นคนถึงเจ็ดคน
ทั้งเจ็ดคนนี้คือมหาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดบนแผ่นดินเซียนดารา!
ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่ถึงแม้จะอยู่คนละฝั่งก็ไม่ได้ต้องการต่อสู้กัน พวกเขาแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณของตัวเองออกไปเพื่อสังเกตพื้นที่รอบๆ และครุ่นคิด
จิ่วตี้และคนอื่นไม่ได้ข้ามผ่านทะเลออกไป แต่ถึงจะข้ามไปเผ่าเทพก็ไม่ส่งผลกระทบต่อสัมผัสวิญญาณ
ซวนลั่วหลับตา พอแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมาร่างกายจึงสั่นไหว การต่อสู้ครั้งนี้ต้องสั่นสะเทือนสวรรค์เป็นแน่ แม้มันจะจบลงแล้วแต่การเปลี่ยนแปลงในกฎยังคงเหลืออยู่
“สิ่งที่เหลืออยู่จากการต่อสู้ครั้งนี้จะไม่เลือนหายไปอีกหลายร้อยปี…” ซ่งเทียนพึมพำกับตัวเอง เขายังสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าตกตะลึงและกฎที่ผันผวนจากการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่นี่ได้
ทางด้านมหาชั้นฟ้าอาณาเขตจวี่ผู้ลี้ลับ เขาสวมหน้ากากปิดบังตัวตน ดังนั้นจึงบอกได้แค่ว่าเขาเป็นบุรุษเท่านั้นและดูมีแววตาตกตะลึง
“ใครกันที่ต่อสู้กับมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าว…? แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร มหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวต้องชนะแน่นอน!”
‘หรือจะเป็น…หวังหลิน…’ ซวนลั่วลืมตาด้วยความไม่มั่นใจเล็กน้อย
ทางฝั่งเผ่าเทพ มหาชั้นฟ้าทั้งสี่คนต่างก็ขบคิดอย่างเงียบๆ พวกเขาถอนสัมผัสวิญญาณออกมา จินตนาการไม่ออกว่าเกิดการต่อสู้แบบใดขึ้นที่นี่เมื่อหลายวันก่อน
‘ไม่น่าจะเป็นเขาได้…’ ต้าวยี่ขบคิด
‘เขาต่อสู้กับกุ้ยต้าวและทิ้งสนามต่อสู้ที่น่าตกตะลึงขนาดนี้ไว้เบื้องหลัง หากข้าเห็นการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยตาตัวเอง มันคงช่วยเพิ่มระดับบ่มเพาะได้อย่างมหาศาล…’ จิ่วตี้ถอนหายใจ เขาสงสัยว่าใครกันที่ต่อสู้กับกุ้ยต้าว คนผู้นั้นหรือจะเป็น…หวังหลิน?
หวู่เฟิงมองสนามต่อสู้ด้วยสีหน้าอันซับซ้อน กฎแห่งโลกที่นี่พังทลายและตกอยู่ในความปั่นป่วนอย่างสิ้นเชิงซึ่งเขาไม่ได้ประโยชน์อะไร
ความจริงแล้วเหตุผลที่พวกเขามาที่นี่ นอกจากความรู้สึกถึงตกตะลึงต่อการเปลี่ยนแปลงแห่งกฎแล้ว อีกอย่างคือการมาเป็นพยานรู้เห็นการต่อสู้ด้วยตัวเอง แต่เห็นได้ชัดว่าเรื่องหลังคงเป็นไปไม่ได้แล้ว
ส่วนมหาชั้นฟ้าชวงจื่อ สองสาวน้อยได้ผสานกลายเป็นหญิงสาวงดงามไปนานแล้ว นางเงียบสนิทและสงสัยว่าใครกันที่ต่อสู้กับกุ้ยต้าว
ทั้งเจ็ดคนหยุดอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งก้านธูปไหม้ จากนั้นมองหน้ากันเอง เกิดบรรยากาศหดหู่และมีจิตสังหาร
ขณะที่ทั้งเจ็ดคนครุ่นคิด จิ่วตี้พูดขึ้นออกมา “สหายเซียนเผ่าโบราณทั้งสาม ข้ามีข้อแนะนำ”
หลังจากพูดขึ้นมา ซ่งเทียนและคนอื่นจึงมองข้ามไปอย่างเย็นเยียบ
“หากเราสู้กันคงไม่ได้ข้อสรุปในเร็ววัน เราสี่คนจะไม่ข้ามผ่านทะเลนี้ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องสู้”
“ทั้งหมดมาที่นี่เพื่อต้องการชมการต่อสู้ แต่การต่อสู้จบลงไปแล้วและกฎที่นี่ก็ปั่นป่วนไปหมด ตามการคำนวณของข้า พื้นที่บริเวณนี้จะพังทลายในอีกไม่กี่วัน”
“ถึงตอนนั้นเราที่เหลือจะหมดโอกาสในการสำรวจรายละเอียดและรับชมการต่อสู้”
“ข้ามีวิชาหนึ่งและมั่นใจว่าหากเราทั้งเจ็ดคนร่วมมือกันจะสามารถย้อนเวลาได้ชั่วคราว จากนั้นสัมผัสวิญญาณของเราจะสามารถเข้าไปและรับชมการต่อสู้ด้วยตัวเองได้!”
“พวกท่านสามคนคิดอย่างไร?” จิ่วตี้เอ่ยถาม
หลังจิ่วตี้พูดจบ หวู่เฟิงขบคิดและพูดขึ้นเช่นกัน “ข้าแค่ต้องการเห็นการต่อสู้กัน ข้าไม่มีเจตนาอื่นและข้าขอสาบาน!”
“ข้าขอสาบานเช่นกัน!”
ต้าวยี่ลังเลเล็กน้อยพลางมองจิ่วตี้และหวู่เฟิงก่อนจะพยักหน้า ส่วนชวงจื่อนางขบคิดและตกลง
กลุ่มของซ่งเทียนมองหน้ากันเอง หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยจึงยอมรับเช่นกัน ด้วยระดับบ่มเพาะแต่ละคน คำพูดจึงน่าเชื่อถือ
ทั้งสามคนก็มีวิธีของตัวเองเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่กลัวว่าจิ่วตี้จะโกหก
หลังจากผ่านไปครึ่งก้านธูปไหม้ ทั้งเจ็ดคนเตรียมตัวเรียบร้อย จิ่วตี้นำหินหยกออกมาและให้อีกหกคนมองเข้าไป ทุกคนสร้างผนึกและเริ่มร่ายวิชา
แสงเจ็ดสายเปล่งประกายและล้อมรอบพื้นที่ต่อสู้ ครู่ต่อมาจึงเกิดเสียงดังสนั่น
พวกเขาค่อยๆ เห็นร่างสองคนปรากฏขึ้นในแสงที่ห่อหุ้มพื้นที่ต่อสู้ หนึ่งในนั้นคือกุ้ยต้าวซึ่งคลุมร่างอยู่ในหมอก อีกคนเป็นร่างพร่าเลือนแต่ทั้งเจ็ดจดจำกลิ่นอายได้
“หวังหลิน!!”
“เป็นเขาจริงๆ!!!”
ทั้งเจ็ดคนตกตะลึงแต่สิ่งที่เห็นต่อมากลับทำให้อึ้งยิ่งกว่าและแทบไม่เชื่อกับตาตัวเอง
พวกเขาเห็นวิชาของกุ้ยต้าวและก้าวย่ำสวรรค์ของหวังหลิน ในที่สุดได้เห็นหวังหลินชี้ออกไปจนเท้ายักษ์พังทลาย กุ้ยต้าวจากไปอย่างเงียบงัน…
รูปร่างของกุ้ยต้าวและเรื่องที่เขาพูดกับหวังหลินไม่ใช่สิ่งที่ทั้งเจ็ดคนจะเห็นหรือได้ยินได้ แต่แค่นี้ก็ทำให้ทั้งเจ็ดคนหยุดหายใจได้แล้ว…
หลังจากเหตุการณ์จบลง ทั้งเจ็ดคนจึงขบคิดอยู่นานเนื่องจากรู้ว่าแผ่นดินเซียนดาราในตอนนี้ต่างกันออกไป!
ผู้แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเซียนดาราไม่ใช่กุ้ยต้าวอีกต่อไป แต่เป็นหวังหลิน!
ต้าวยี่จิตใจสั่นเทา เขาคือมหาชั้นฟ้าแต่ก็รู้สึกกลัว ความแข็งแกร่งของหวังหลินทำให้เขาแทบไม่อยากเชื่อ
‘เป็นเขาหรือไม่…’ ในความคิดของจิ่วตี้มีสายตาที่เคยมองจากท้องฟ้าเบื้องบนเมื่อร้อยปีก่อนตอนที่เหล่าวิญญาณ 72 ดวงอ้อนวอน สายตาคู่นั้นกลับมาวนเวียนอีกครั้ง
………………………………………………….
ตอนที่ 2067 หานางไม่เจอ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะที่จิ่วตี้และคนอื่นกำลังใช้วิชาลับเพื่อชมการต่อสู้ หวังหลินก็มาถึงเผ่าเทพทางทิศเหนือ เขามองแผ่นดินอันคุ้นเคยและสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึก
‘หลายร้อยปีก่อน ข้าจากที่นี่ไปและมุ่งหน้าไปยังเผ่าโบราณ…ตอนนี้ข้ากลับมาแล้ว’ หวังหลินถอนหายใจและกวาดสายตา แผ่กระจายสัมผัสวิญญาณเข้าหา 72 แคว้น ชั่วจังหวะนั้นสัมผัสวิญญาณจึงได้ปกคลุมทุกแคว้นได้ทั้งหมด
หวังหลินค่อยๆ ผุดรอยยิ้มบนใบหน้า ด้วยระดับบ่มเพาะก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถใช้วิธีที่ใช้อยู่เพื่อตามหาสหายเก่าได้เลย
แต่ตอนนี้ในฐานะผู้แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเซียนดารา เขาจึงทำได้
‘ระดับบ่มเพาะของโจวยี่และฉิงชวงเพิ่มขึ้น…น่าสงสัยว่าทั้งคู่เก็บยานั้นไว้หรือไม่…’ หวังหลินกวาดสัมผัสวิญญาณไปแต่ไม่หยุดชะงัก
รอยยิ้มหวังหลินกว้างขึ้นราวกับเห็นบางอย่าง ‘นี่มัน…ซือถู…’
‘อีกคนน่าจะเป็นปรมาจารย์หงซาน…หลังจากมาเกิดใหม่ เขาก็ยังเหมือนเดิม’
‘โจวลี่…เด็กคนนี้ไม่ได้ก้าวสู่เส้นทางแห่งการฝึกเซียน ข้าไม่รู้ว่าที่ผ่านมาหลายร้อยปีนางได้เกิดใหม่ไปแล้วกี่ครั้ง…’ หวังหลินมองออกไปไกลด้วยสายตาอ่อนโยน
‘ฉือซาน…เขายอดเยี่ยมอยู่เสมอและมีระดับบ่มเพาะเก่งกล้า จากที่ดูตอนนี้เขาก็รวดเร็วมากแล้ว…’
‘จงเฟยเจิน ผู้น่าสงสารจากโลกถ้ำที่ใช้ความโหดเหี้ยมของตัวเองปิดบังจิตใจอันเปราะบาง ที่นี่เขาก็ยังเหมือนเดิม…’
‘นี่มัน…เฉินกงฮู่? เขากลายเป็นจ้าวสำนัก!’ หวังหลินตกตะลึงเล็กน้อย
‘นางคนนั้นคือผีเสื้อสีชาดใช่หรือไม่…รอยนั่นไม่ผิดแน่…’
‘ฉิงหลิน…เขาเลือกที่จะไม่บ่มเพาะและวนเวียนเกิดใหม่เหมือนคนธรรมดา…’
‘ศิษย์พี่ฉิงชุ่ย…เอ๋?’ สายตาหวังหลินแหลมคมยิ่งขึ้นและเพ่งสายตาไปทางทิศตะวันตก เขารู้สึกเหมือนฉิงชุ่ยอยู่ที่นั่นแต่อักขระบนร่างกายเบาบางมาก ถ้าไม่ใช่เพราะระดับของหวังหลินสูงส่งกว่าเมื่อก่อน ตอนนี้หวังหลินคงไม่สามารถตรวจจับได้
“หากอักขระบนศิษย์พี่ฉิงชุ่ยเลือนหายไปหมด เช่นนั้นถึงข้าจะกวาดสัมผัสวิญญาณใส่ทุกคนก็คงไม่สามารถตามหาเจอได้…โชคดีที่อักขระของเขายังอยู่”
หวังหลินพึมพำพลางค้นหาทั่วแคว้น 72 แห่งในเผ่าเทพต่อไป เขาทำแบบเดียวกันในเผ่าโบราณแต่ก็ไม่เจอเบาะแสของสหายคนใด
ในใจหวังหลินมีร่างหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกซับซ้อนเกินอธิบาย เงานี้เป็นศิษย์ผู้มีนามว่าลี่เฉียนเหมย
‘ไม่มี…’ หวังหลินกวาดสัมผัสวิญญาณผ่าน 72 แคว้นทีละแห่ง เขาเจอเกือบทุกคนยกเว้น…นาง
‘ยังไม่มี…’ หวังหลินจำไม่ได้ว่าค้นหาไปแล้วกี่ครั้ง เขาค้นต่อไปครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไม่เจอเบาะแสของลี่เฉียนเหมย
เหมือนกับตอนที่เขาค้นในเผ่าโบราณ เขาไม่เจอนางที่นั่นเช่นกัน…
‘ไม่มีเบาะแสเลย เป็นไปได้อย่างไร?’ หวังหลินไม่อาจสงบจิตใจลงได้และระเบิดสัมผัสวิญญาณออกมา ไม่เพียงแต่จะปกคลุมทั่วเผ่าเทพ ด้วยระดับบ่มเพาะของเขาตอนนี้สามารถปกคลุมได้ทั้งทะเลและเผ่าโบราณด้วยเช่นกัน
เขาค้นอีกครั้ง กวาดสัมผัสวิญญาณออกไปอีกครั้งแต่ก็ไม่เจอเบาะแสของลี่เฉียนเหมย
หวังหลินหน้าซีด เขาไม่เจอนางไปได้อย่างไร
‘เป็นไปได้ว่าระหว่างการเกิดใหม่…นางอาจเจออุบัติเหตุ…’ หวังหลินรู้สึกตะหงิดอยู่ในใจ เขาไม่มีทางลืมสตรีผู้มีนามว่าลี่เฉียนเหมย รวมถึงใบหน้าและแววตาอ่อนโยนของนาง
นางมาที่แผ่นดินเซียนดาราก็เพื่อเขา นางทิ้งพ่อตัวเองและมาที่นี่ตัวคนเดียว รอคอยชายผู้ที่นางรักออกมาตามหาและปลดปล่อยความทรงจำ
‘เป็นไปไม่ได้!’ หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาตลอดทั้งวัน สัมผัสวิญญาณกวาดไปทุกตารางนิ้วของแผ่นดินเซียนดาราแต่ก็ไม่พบ…เขายังไม่ค้นพบอะไร
หวังหลินเอามือกดทับหน้าอกและให้เกิดความเจ็บปวด เขามองท้องฟ้าและหัวเราะออกมา ทว่าเสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว โกรธเกรี้ยวต่อสรวงสวรรค์!
“เจ้าให้ข้าได้เจอวิญญาณของลี่มู่หวานแต่ทำให้ข้าสูญเสียลี่เฉียนเหมย นี่คือสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตา!!? หรือสวรรค์กำลังกลั่นแกล้งข้า!?!”
“ข้าไม่เชื่อ ข้าจะตามหานางให้เจอ!” หวังหลินคำรามใส่ท้องฟ้าดังสนั่นไปทั่วบริเวณ
‘ด้วยการช่วยเหลือจากอาจารย์ โอกาสเจอเรื่องผิดปกติถือว่าต่ำมาก ในเมื่อข้าหานางไม่เจอ โอกาสเป็นไปได้มากที่สุดคือนางฟื้นคืนความทรงจำเร็วกว่าศิษย์พี่ฉิงชุ่ยและอักขระเลือนหายไป…’ หวังหลินหลับตา หลังจากวิเคราะห์สถานการณ์ เขาแทบจะมั่นใจขึ้นมาบ้างแล้ว
พอหลับตาลง หวังหลินมองเห็นสตรีชุดขาวอย่างเลือนลาง นางมองมายังท้องฟ้าพร้อมกับน้ำตาไหลลงมาเป็นสาย
นางจำเรื่องในชีวิตก่อนหน้าได้นานแล้วแต่ก็หลีกเลี่ยงเขา…หรือบางทีนางไม่ต้องการเจอหวังหลิน
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดมนลงพร้อมกับหวังหลินยืนอยู่ในอากาศและลืมตาขึ้นมา สายตาเผยความเศร้าและสับสน เขาขบคิดเงียบๆ พลางก้าวเดินต่อและหายไปในความมืด
………..
เผ่าเทพ แคว้นหยุนต้าวแห่งทิศตะวันตก
ทางทิศเหนือของแคว้นแห่งนี้มีสำนักอยู่แห่งหนึ่ง สำนักนี้ไม่ใหญ่มากและถือว่าเป็นสำนักขนาดเล็กในแคว้นหยุนต้าว ยามเช้านี้มีศิษย์หลายคนกำลังบ่มเพาะอยู่ในสำนัก ภายในห้องลับหลังภูเขามีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่
ชายผู้นี้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและมีกลิ่นอายเย็นเยียบ เขาสวมชุดสีดำพลางหลับตาบ่มเพาะ รอบกายเต็มไปด้วยระลอกคลื่นแผ่กระจายออกมาจากร่าง ห่อหุ้มรอบบริเวณ เผยระดับบ่มเพาะของเขาออกมาอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นสองและห่างจากขั้นที่สามเพียงก้าวเดียว
ในฐานะคนที่มีระดับบ่มเพาะรวดเร็วที่สุดในช่วงพันปีของสำนักเตาหลอมทองคำ เขามีชื่อเสียงโด่งดังมาก เขามีตำแหน่งสูงในสำนักและได้รับการสั่งสอนจากหัวหน้าผู้อาวุโสเป็นการส่วนตัว
ไม่เพียงแต่ระดับบ่มเพาะสูงส่งเขายังเป็นคนเด็ดเดี่ยวและโหดเหี้ยม ถึงกับมีชื่อเสียงในแคว้นหยุนต้าวว่าสังหารคนที่เพิ่งบรรลุขั้นที่สามได้จนทำให้เขาเป็นที่รู้จักกันอีกหลายสำนัก
โดยเฉพาะการต่อสู้ที่มีความรุนแรงมากของเซียนขั้นที่สาม ใครที่สู้กับเขามักจะตายด้วยน้ำมือเขาในสัดส่วนเก้าถึงสิบครั้ง
การฆ่าสังหารเช่นนี้ทำให้เขากลายเป็นอันดับหนึ่งในหมู่รุ่นเยาว์ แม้แต่ผู้อาวุโสทั่วไปยังตกตะลึงกับจิตสังหาร
ชื่อเขาคือหวังฉี “ฉี” ที่แปลว่า “หิน”
เขาเป็นเด็กกำพร้าและไม่รู้ว่าครอบครัวอยู่ไหน เขาถูกผู้อาวุโสเต๋ารับมาเลี้ยงและเติบโตในสำนัก สิ่งที่รู้คือเมื่อเขาฝึกฝน มักจะเห็นแผ่นหลังของร่างหนึ่ง แผ่นหลังนี้ใหญ่มากและทำให้เขารู้สึกอบอุ่น ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาก็ไม่สามารถมองเห็นหน้าตาของร่างนี้ได้
แรกเริ่มแม้แต่แผ่นหลังยังพร่ามัว และขณะที่ระดับบ่มเพาะของเขาเพิ่มขึ้นแผ่นหลังก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เขารู้สึกว่าหากสามารถบรรลุขั้นที่สามได้ เขาก็จะเห็นร่างนี้ชัดเจน
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาจึงบ่มเพาะอย่างบ้าคลั่ง!
“หวังฉี!” เสียงหนึ่งดังออกมาจากห้องลับ จากนั้นลำแสงสายหนึ่งทะยานมาเบื้องหน้า เปลี่ยนกลายเป็นภาพมายารูปร่างชายชรา
หวังฉีลืมตามองดูชายชราอย่างเคารพ จากนั้นยืนขึ้นและโค้งคำนับ
“ขอทักทาย หัวหน้าผู้อาวุโส”
“เจ้ายังไม่ยอมเรียกข้าว่า ‘อาจารย์’…” ร่างในภาพมายาถึงกับขมวดคิ้ว ศิษย์ผู้นี้แปลกประหลาดยิ่ง เขาต้องการรับเป็นศิษย์แต่หวังฉีมักจะเงียบและไม่ยอมรับ เรื่องนี้ทำให้เขาไม่ค่อยมีความสุขนัก แต่พอเวลาผ่านไป ระดับความเร็วการเพิ่มเพาะของหวังฉีทำให้เขายิ่งสนใจมากขึ้น เขาไม่สนเรื่องที่หวังฉีไม่ยอมรับเขาเป็นอาจารย์และสั่งสอนวิชาของตัวเองให้
ตอนนี้ผ่านมาได้แล้วหลายปีและทั้งคู่ก็มีความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ กระนั้นหวังฉีก็ไม่เคยเรียกเขาว่า “อาจารย์” เลยสักครั้ง
หวังฉีเองก็ไม่รู้เหตุผล แต่เขามักจะรู้สึกมาเสมอว่าคนตรงหน้าไม่ใช่อาจารย์ แต่ใครควรจะเป็นอาจารย์นั้นเขาก็สับสน
“ช่างมันเถอะ เตรียมตัวให้พร้อมและมุ่งหน้าลงเขาในอีกสามวัน ไปที่สำนักต้าวหยุนเพื่อส่งของขวัญแสดงความยินดีแทนข้า” ร่างมายาส่ายศีรษะและเลือนหายไป
หวังฉีพยักหน้าอย่างเคารพ หลังจากร่างหายไป แววตาเขาเต็มไปด้วยความสับสน ผ่านไปสักพักจึงถอนหายใจ หลังจากกลับไปบ่มเพาะอีกครั้งพลันมีเสียงถอนหายใจหนึ่งดังออกมาจากด้านหลัง
เสียงถอนหายใจเกิดขึ้นฉับพลันเกินไปและทำให้หวังฉีสั่นเทา แต่เขาไม่ได้หันกลับมาอย่างวู่วาม เขารู้ว่าคนผู้นี้มาที่นี่โดยไม่ให้เขาหรืออาจารย์รู้ได้แบบนี้ต้องมีระดับบ่มเพาะสูงส่งยิ่ง
หวังฉีพูดขึ้นอย่างตั้งใจ “ท่านเป็นใคร?”
“บอกข้ามาว่าทำไมเจ้าถึงชื่อ ‘หวังฉี’ ใครเป็นคนมอบชื่อนี้ให้เจ้า?” น้ำเสียงอ่อนโยนดังออกมาจากด้านหลัง จากนั้นหวังฉีรู้สึกจิตใจสั่นไหวและรู้สึกคุ้นเคยยิ่ง เหมือนมความทรงจำบางอย่างกำลังตื่นขึ้น เขาอดไม่ได้ที่จะสับสนแต่ก็ตอบคำถามโดยไม่รู้ตัว
“ข้า…ข้ากำพร้าและข้าตั้งชื่อตัวเอง…ข้ารู้สึกว่าข้าควรชื่อ ‘หวัง…’ ”
เกิดเป็นความเงียบลำดับต่อมา หวังฉีมีแววตาเปล่งประกายและใช้โอกาสนี้หันกลับไป เขาเห็นชายหนุ่มชุดขาวเรือนผมสีขาวผู้หนึ่งกำลังมองมาด้วยสายตาอ่อนโยน นี่คือสายตาของผู้อาวุโสที่กำลังมองศิษย์ตัวเอง
เพียงเขาเห็นรูปร่างหน้าตาของคนผู้นี้ ร่างหวังฉีถึงกับสั่นเทา จิตใจตกอยู่ในความปั่นป่วน ร่างในความฝันปรากฏขึ้นมาและค่อยๆ ทับซ้อนกับคนผู้นี้
“ท่าน…ท่าน…” แววตาสับสนรุนแรงยิ่งขึ้น
หวังหลินถอนหายใจและชี้ไปที่หน้าผากหวังฉี เพียงเท่านี้จิตใจหวังฉีถึงกับสั่นสะท้านอย่างรุนแรงและเกิดเสียงดังปัง ความทรงจำพลันฟื้นคืนกลับมาทันที!
“อา…อาจารย์!! ฉือซานขอคารวะอาจารย์!!” หยาดน้ำตาไหลลงจากดวงตาสองข้างพลางคุกเข่าให้หวังหลินโดยไม่ลังเล ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
………………………………………………………………..
ตอนที่ 2068 ความสุขและความรับผิดชอบ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้นขุนเขาสูงส่ง มีเทือกเขาอยู่แห่ง หนึ่งห่างจากถนนสายหลักไม่ไกลมีหมู่บ้านแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ราวกับสรวงสวรรค์
ในหมู่บ้านมีคนไม่มากนักเพียงหลักร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นนายพรานและพึ่งพาแต่ป่าทึบที่มีพวกสัตว์เพื่อการดำรงชีวิต ซึ่งเดิมทีที่แห่งนี้ไม่ใช่หมู่บ้าน มันเป็นพื้นที่รกร้างที่มีเหล่าพรานอาศัยอยู่
ในอดีตไม่รู้ว่านานแค่ไหนมีครอบครัวหนึ่งจากในเมืองมาตั้งถิ่นฐานที่นี่ เมื่อเวลาผ่านไปจึงก่อเกิดเป็นหมู่บ้านขึ้นมา
ด้านปลายสุดเขตทิศตะวันตกของหมู่บ้านมีบ้านหลังหนึ่งล้อมรอบด้วยรั้วกั้น เด็กสาวคนหนึ่งสวมผ้าไหมกำลังให้อาหารไก่
ควันลอยโขมงออกมาจากปล่องไฟ ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่และเห็นได้ชัดว่ากำลังเตรียมอาหารเช้าให้กับคนในบ้าน
ขณะที่เด็กสาวให้อาหาร นางก็หัวเราะและหันหน้าไปทางบ้าน “ท่านแม่ เมื่อคืนข้าฝันว่าข้ากลายเป็นเซียนอีกแล้ว”
“เจ้าก็โตแล้วยังฝันอะไรเรื่องการเป็นเซียนอยู่อีก ตอนแม่อายุเท่าลูก แม่แต่งงานกับพ่อไปแล้ว” น้ำเสียงอ่อนโยนดังออกมาจากในตัวบ้าน
“นั่นเป็นเพราะพ่อเป็นพรานที่เก่งกาจที่สุดในหมู่บ้านไม่ใช่หรือ? ข้าได้ยินว่ามีคนตั้งเยอะที่ต้องการควงแขนพ่อในตอนนั้น” เด็กสาวยิ้มแย้ม นางน่ารักยิ่ง รูปร่างหน้าตาไม่เพียงแต่งดงามแต่ยังมีบรรยากาศบริสุทธิ์และน่าเอ็นดู
“เจ้าได้ยินมาจากไหน?” หญิงสาวคนหนึ่งก้าวเดินออกมา นางสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายแต่ไม่อาจซ่อนความงามของนางไปได้ นางถือหม้อใส่ผัก ดวงตาเบิกกว้างและแกล้งทำเป็นโกรธ
เด็กสาวกำลังจะพูดขึ้นมาแต่ได้ยินเสียงหัวเราะร่าดังออกมาจากประตูบ้าน
“ข้าเองที่เป็นคนพูด” ประตูถูกผลักเปิดออกและมีชายวัยกลางคนก้าวเดินเข้ามา เขาถือคันธนูและลูกศร มาพร้อมกับร่างของสัตว์ตัวน้อย อย่างไรก็ตามชายวัยกลางคนมีคราบโลหิตแห้งอยู่บนขา ไม่รู้ว่าเป็นของสัตว์ตัวน้อยหรือของเขา
“พ่อ!” นางประหลาดใจและรีบวิ่งเข้าหาทันที
“ว้าว นั่นมันเสือดาว หนังของมันสวยมาก” แววตาเด็กสาวเป็นประกายและกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข
“ทำไมครั้งนี้เจ้าไปนาน? ปกติแล้วจะกลับมาไม่สองก็สามวัน” หญิงสาวรีบก้าวเดินเข้ามาช่วยชายวัยกลางคนเพื่อวางสัตว์และอาวุธประจำกาย
“ก็ลูกบอกว่าต้องการแผ่นหนังดีดีบ้าง ระหว่างทางไปเจอเสือดาวตัวนี้จึงทำให้ล่าช้านิดหน่อย” เขาพูดพลางลูบศีรษะเด็กสาวไป
“เกิดอะไรขึ้นกับขาของเจ้า?” นางเห็นโลหิตอยู่บนขาจึงรีบคุกเข่าลงไปมองและเห็นเป็นแผลข่วนตื้นๆ
“ไม่เป็นไร มีเจ้าขาวน้อยอยู่ด้วย สัตว์ในภูเขาทำอันตรายข้าไม่ได้หรอก” ชายวัยกลางคนหัวเราะพลางมีเงาหนึ่งกระโจนผ่านประตูเข้ามาหาเด็กสาว มันแลบลิ้นเลียนางไม่หยุด เจ้านี่คือสุนัขสีดำตัวใหญ่
อย่างไรก็ตามมันดูเหมือนเสือมากกว่า จึงดูเป็นภาพที่น่าตกตะลึง
“เจ้าขาวน้อยไปศึกษาวิธีคำรามเหมือนเสือในภูเขาอีกครั้ง ข้าล่ะสับสนจริงๆ ว่ามันเป็นหมาหรือเสือ…” ชายวัยกลางคนมองดูเจ้าสุนัขและยิ้มอย่างขมขื่น
“เจ้าขาวน้อยทำตัวดีมาก เก่งมาก” สาวน้อยผลักสุนัขสีดำตัวใหญ่ออกไปและลูบผมมันเล่น
เจ้าสุนัขดูเหมือนมีความสุขยิ่ง มันนอนแผ่หลาหงายท้อง สาวน้อยหัวเราะและลูบท้องสุนัขอย่างเมามัน เจ้าสุนัขดูสบายยิ่งและส่งเสียงร้องเหมือนเสือจริงๆ
ทั้งครอบครัวกำลังหัวเราะและไม่รู้ว่ามีร่างชุดขาวผู้หนึ่งกำลังลอยอยู่ในท้องฟ้า หวังหลินมองลงมายังครอบครัวที่มีความสุข พอได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าหญิงสาว หวังหลินก็ยิ้มออกมาเช่นกัน
“เจ้าขาวน้อย…ข้าเกือบลืมไปแล้วว่ามันถูกพามาที่นี่ด้วยและเกิดใหม่ไปด้วย ข้าก็ไม่คิดว่า…มันจะเกิดมาเป็นหมา…จากที่ดูแล้วมันมีสติปัญญาและบ่มเพาะได้ดี” หวังหลินยิ้มไปที่เจ้าสุนัขตัวใหญ่ที่นอนอยู่บนพื้นอย่างมีความสุข ทว่าเมื่อมันมองมาบนท้องฟ้าและเห็นร่างหวังหลินจึงเกิดความตกตะลึง
ท่าทีของมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวทันที เจ้าสุนัขกะพริบตาและถึงกับหยุดส่งเสียงร้อง
หวังหลินมองมัน พอเขาเห็นแววตาหวาดกลัวจึงยิ้มกว้าง “โอ้? เจ้าจำข้าได้?”
อย่างไรก็ตามเหล่าคนในครอบครัวด้านล่างไม่สังเกตเห็นถึงท่าทีแปลกประหลาดของเจ้าสุนัข สาวน้อยยังคงมองพ่อตัวเองและพูดออกมา
“ท่านพ่อ เมื่อคืนข้าฝันว่าเป็นเซียนอีกแล้ว”
“ดี การเป็นเซียนถือเป็นเรื่องดี ลูกสาวข้าจะกลายเป็นเซียนได้อย่างแน่นอน” ชายวัยกลางคนหัวเราะ
“ข้าไม่อยากกลายเป็นเซียน ข้ารู้สึกเหมือนกลายเป็นเซียนไปทั้งชีวิตแต่ก็ไม่มีความสุขเลย ตอนนี้ดีมากแล้ว มันเป็นแค่ฝัน ข้าไม่อยากกลายเป็นเซียนเสียหน่อย”
“ข้าจะอยู่กับท่านพ่อและท่านแม่ไปตลอดชีวิต” คำพูดของนางเคร่งขรึมยิ่ง
คำพูดของนางทำให้หวังหลินตกตะลึงและเผยท่าทีอันซับซ้อน หวังหลินมองรอยยิ้มที่มีความสุขของเด็กสาวและจากนั้นมองหมู่บ้านใกล้ภูเขาอันเงียบสงบ ผ่านไปสักพักหวังหลินมองอีกด้วยสายตาอับลึกซึ้งก่อนจะเลือนหายไปในท้องฟ้า
‘บางทีนี่คือชีวิตที่นางต้องการ…’
คืนนั้นนางฝันอีกครั้ง ในความฝันนางมีอีกชื่อว่า โจวลี่ นางยังมีพยัคฆ์สีดำที่นางตั้งเองว่าขาวน้อย นางมักจะกลั่นแกล้งมันเสมอและทำให้กลายเป็นพาหนะ…
นางมีลุงคนหนึ่งเช่นกันและลุงคนนั้นก็เป็นญาติที่นางใกล้ชิดที่สุด
ในความฝันนั้นลุงของนางถามนางว่าอยากไปด้วยกันไหม นางขบคิดอยู่นางและบอกลุงว่านางต้องการอยู่ที่นี่…
คืนนั้นเจ้าสุนัขเองก็ฝันว่าตัวมันเองกลายเป็นพยัคฆ์ที่ดุร้ายยิ่ง สามารถทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ มันล้อมรอบไปด้วยพยัคฆ์สาวหลายตัวและสัตว์ตัวเมียอีกหลายชนิด…มันมีความสุขยิ่ง
มันยังฝันว่ามีชายชุดขาวคนหนึ่งปรากฏตัวตรงหน้า มันรู้จักชายคนนี้เป็นอย่างดีเพราะเป็นคนที่จับมันมาเมื่อตอนนั้น ชายคนนี้ให้เม็ดยาชั้นเลิศและจากนั้นลูบศีรษะมันก่อนจะจากไป
“วันหนึ่งเมื่อโจวลี่ต้องการไล่ตามความฝันของตัวเอง เจ้าสามารถปลดปล่อยความทรงจำของนางได้…” ชายผู้นั้นจากไปและทิ้งคำพูดดังกึกก้องในใจเจ้าสุนัขอยู่พักใหญ่
ณ แคว้นกลางแห่งเผ่าเทพ เมืองหลวงกว้างใหญ่ไพศาลจนมองเห็นทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ปรากฏในท้องฟ้า ตอนนี้ในวังหลวงเป็นเวลากลางคืนแต่ไม่ได้มืดเพราะมีแสงส่องสว่างหลายดวง
ทั่วทั้งวังเงียบสนิท
ร่างโดดเดี่ยวผู้หนึ่งก้าวเดินออกมาจากความมืดและมองดูวังที่อยู่ด้านล่าง เขายืนอยู่ตรงนั้นอีกนานก่อนจะลอยลงไป แสงจากในวังเกิดความสลัวราวกับมีมิติอีกแห่งกำลังทับซ้อนกัน
จนกระทั่งคนผู้นั้นก้าวเข้าไปข้างใน แสงที่ส่องกระทบจึงกลับคืนสู่ปกติ
หวังหลินมองไปรอบๆ ตอนนั้นเขาเกือบตายอยู่ที่นี่และไม่สามารถจากไปพร้อมกับเหลียนต้าวเฟยได้ เขาทำได้แค่มองเหลียนต้าวเฟยเข้าไปนอนหลับและกลายเป็นภูเขาเพื่อสะกด 72 แคว้น
“ตอนที่ข้าจากไป ข้าสาบานว่าเมื่อข้ากลับมาอีกครั้ง ข้าจะมาปลุกเจ้า! ไม่มีใครจะหยุดข้าได้อีกแล้ว!” หวังหลินพึมพำพลางกระทืบไปบนพื้น
เพียงเท่านี้ทั่วพื้นวังเกิดการสั่นเทาโดยไม่มีใครสังเกต สิ่งที่สั่นไหวไม่ใช่วังของจริงแต่เป็นมิติที่ทับซ้อน
รอบด้านหวังหลินเกิดการพร่าเลือน ร่างเขากะพริบวูบวาบก่อนจะหายไป หวังหลินปรากฏตัวอีกครั้งอยู่ในวังใต้ดิน!
ทั่ววังใต้ดินเต็มไปด้วยหมอกควันและเหมือนกับคราวก่อน ความแตกต่างเดียวคือมีภูเขาเหลืออยู่หนึ่งลูก
ภูเขาสูงเสียดแทงทะลุฟ้าและมีขนาดใหญ่มาก หวังหลินรู้สึกว่าเหลียนต้าวเฟยกำลังหลับใหลอยู่ข้างใน
ข้างในและข้างนอกภูเขามีผนึกและเขตอาคมอยู่นับไม่ถ้วน แม้แต่มหาชั้นฟ้ายังต้องใช้เวลาอยู่สักพักใหญ่ในการทำลาย
หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมาสะบัดใส่ภูเขา ภูเขาเกิดการสั่นเทาและพังทลายภายใต้ความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก้อนหินจำนวนมากร่วงหล่นลงมาและเพียงพริบตา เขตอาคมและผนึกทั้งหมดก็หายไปเพียงแค่หวังหลินสะบัดแขน
เมื่อภูเขาพังทลาย ร่างของเหลียนต้าวเฟยจึงปรากฏขึ้น เขาหลับใหลและลอยอย่างเงียบๆ ตรงนั้น ระดับบ่มเพาะขั้นมหาชั้นฟ้าผันผวนออกมาจากร่างกาย
หวังหลินก้าวเดินเข้าไปและมาถึงข้างเหลียนต้าวเฟย เขามองและชี้ไปที่หน้าผากเหลียนต้าวเฟย เพียงเท่านั้นร่างกายอีกฝ่ายก็สั่นเทาทันที
หวังหลินหลับตาและแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณผ่านดัชนี ส่งเข้าไปในร่างของเหลียนต้าวเฟยเพื่อปลุกให้ตื่นขึ้น
พริบตาเดียวผ่านไปครึ่งชั่วโมง หวังหลินลืมตาขึ้นมาด้วยท่าทีอับซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูกและเอ่ยขึ้น
“หากเจ้าเลือกแบบนี้จริงๆ ข้าก็เคารพสิ่งที่เจ้าเลือก…เจ้า…ดูแลตัวเองด้วย” หวังหลินยืนขึ้นพร้อมกับถอนหายใจและก้าวเดินสู่ท้องฟ้า เลือนหายไปจากวังใต้ดิน
หลังจากหวังหลินจากไป เหลียนต้าวเฟยลืมตาขึ้นมามองจุดที่หวังหลินเคยยืน
“ข้าสับสนมาทั้งชีวิต…ข้าบ้าคลั่งมาทั้งชีวิต…แต่ข้ายังเป็นลูกหลานของบรรพชนเทพ…ตอนนี้เหลียนต้าวเจินก็ตายไปแล้ว หากข้าจากไป เผ่าเทพจะ…ไม่มีจักรพรรดิ”
“ข้าไม่ต้องการออกไปจากที่นี่และทิ้งแผ่นดินเซียนดารา ในเมื่อข้าได้สืบทอดพลังบรรพชนเทพ ข้าก็ต้องแบกรับมัน…นี่คือความรับผิดชอบของข้า”
“ข้าเกิดความเข้าใจระหว่างที่ข้าหลับใหล” เหลียนต้าวเฟยยืนขึ้น เผยความมุ่งมั่นอันหาได้ยากพร้อมกับพึมพำกับตัวเอง
“คุ้มครองเผ่าเทพเพื่อให้ชนรุ่นหลังสืบทอดต่อไป เมื่อข้ารู้สึกว่าไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแล้ว ข้าจะออกไปตามหาท่าน …หวังหลิน” เหลียนต้าวเฟยยืนขึ้น เขาสวมชุดคลุมสูงศักดิ์และสวมมงกุฎ ในตอนนี้ไม่มีความบ้าเหมือนในอดีตอีกแล้ว แต่เปล่งกลิ่นอายอำนาจที่เหมาะสมต่อการเป็นจักรพรรดิเทพ
…………………………………………………..
ตอนที่ 2069 ซือหนาน!
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังหลินเคารพต่อการตัดสินใจของเหลียนต้าวเฟย ทุกคนต่างก็มีหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง หวังหลินเข้าใจเรื่องนี้ดี
เขาไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินเรื่องความรับผิดชอบของเหลียนต้าวเฟย ในฐานะสหาย สิ่งที่เขาทำได้คือการปลุกเหลียนต้าวเฟยเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ต้องทำต่อไป หวังหลินไม่จำเป็นต้องแทรกแซง
หวังหลินเองก็มีเส้นทางที่ต้องเดินไปเช่นกัน เขาต้องการกลับโลกถ้ำ กลับไปดาวซูซาคุ กลับไปยังที่ที่เขาเติบโตขึ้นมา
‘บางทีครั้งหน้าข้าคงได้เจอเหลียนต้าวเฟยในอีกสามร้อยปีต่อจากนี้…’ หวังหลินก้าวเดินออกไปไกล แม้เขาจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเซียนดาราแต่ก็ยังมีหลายอย่างที่เขาสงสัยเช่นเรื่องแดนเทพบรรพกาล เทียนหยุนและการชุบชีวิตหวานเอ๋อร์
หวังหลินก้าวเดินอยู่ใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่และรู้สึกสงสัย เขาไม่รู้ว่าสหายเก่าที่เขาตามหานั้นต้องการให้ฟื้นคืนความทรงจำหรือกลับไปโลกถ้ำด้วยหรือไม่
“บางทีการลืมอดีตและเริ่มต้นใหม่บนแผ่นดินเซียนดาราอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุด…” หวังหลินพึมพำพลางคิดถึงโจวลี่ นั่นคือสิ่งที่นางเลือก
“ข้าไม่สามารถใช้ความคิดของข้าไปตัดสินตัวเลือกของแต่ละคนได้” หวังหลินถอนหายใจพลางก้าวเดินต่อไป ที่แห่งนั้นคือทิศที่ซือถูหนานอยู่
เมืองหวู่ซวนเป็นเมืองธรรมดาที่อยู่ในแคว้นขี้ผึ้งสวรรค์ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของแคว้นกลาง ในแคว้นแห่งนี้มีอยู่สี่เมืองและมีความบาดหมางกันตลอดทั้งปี แม้จะไม่มีสงครามครั้งใหญ่แต่บริเวณชายแดนมีการต่อสู้ขนาดเล็กขึ้นหลายแห่ง
อย่างไรก็ตามทั้งสี่เมืองยังอยู่ภายใต้การควบคุม ดังนั้นการรบจึงไม่เคยขยายกว้างมากเกินกว่าที่จะควบคุมได้
ณ ชายแดนของเมืองหวู่ซวนและโจวหลิง มีเหล่าทหารจำนวนมากประจำการอยู่ที่นี่ ในค่ายมีทหารมากมายมหาศาลและมีผู้คนแน่นหนา จิตสังหารรุนแรงคละคลุ้งไปทั่วอากาศ
ตรงประตูค่าย เหล่าทหารนับพันกำลังตั้งขบวนแนวราบ แม่ทัพและกองประจำการต่างก็มองออกไปราวกับรอคอยอะไรบางอย่าง
จากนั้นไม่นานมีเสียงม้าวิ่งไปตามถนนสายหลัก ม้าสีดำตัวหนึ่งทะยานตรงมาดุจสายลม ข้ามผ่านทหารหลายพันคนก่อนจะหยุดลงตรงหน้าเหล่าแม่ทัพ ม้าศึกส่งเสียงคึกคะนองและยกกีบเท้าลอยอยู่ในอากาศ จากนั้นคนผู้หนึ่งก้าวลงมาจากอาชา
เขาสวมชุดเกราะ คุกเข่าลงหนึ่งข้างและคำนับฝ่ามือ
“รายงาน!”
“กลุ่มของราชาหนานตอนนี้อยู่ห่างออกไปห้าสิบลี้!” ทหารรายงานเสียงดัง จากนั้นก้มศีรษะลงรอฟังคำสั่ง
ในกลุ่มมีชายชราเปล่งแรงกดดันที่ไม่มีความโกรธเกรี้ยว เขาอยู่ใจกลางกลุ่มและรีบพูดขึ้นมา “สอดแนมต่อไป! แนวหน้ารอต้อนรับกลุ่มของราชาหนาน!”
หลังจากเขาพูดจบ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งรีบก้าวออกมาคำนับฝ่ามือให้ชายชรา เขาจากไปพร้อมกับเหล่าทหารนับหมื่นในค่าย ทำให้เกิดฝุ่นตลบอบอวล
ทางด้านข้างแม่ทัพชรา พลทหารนายหนึ่งก้าวออกมาและพูดขึ้น “ท่านแม่ทัพ ราชาหนานเหมือนจะมา…ด้วยเจตนาร้าย”
“ลือกันว่าราชาหนานชอบเล่นสนุกและทำอะไรสิ้นเปลืองมาก เพียงแค่เขาผ่านก็ทำให้เกือบทุกคนหวาดกลัวแล้ว”
“ข้าได้ยินมาว่าราชาหนานมีภรรยามากมายและสร้างวังให้พวกนางจำนวนมาก ลือกันอีกว่าเขามีมากกว่าของจักร…” คนที่พูดขึ้นเกิดความลังเลและไม่พูดให้จบ
แม่ทัพชรายังคงขบคิดราวกับไม่ได้ยินคำพูดของคนใกล้ตัว เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นแต่มีแววตาเป็นประกายเย็นเยียบ ความเย็นเยียบนี้ทำให้เกิดเป็นกลิ่นอายทรงพลังอยู่รอบตัว
ในฐานะยอดแม่ทัพ การควบคุมทหารเกือบครึ่งล้านโดยที่แต่ละคนไม่ได้จงรักภักดีมาก่อนได้ทำให้เกิดความไม่พอใจระหว่างกัน หากไม่ใช่เพราะเมืองหวู่ซวนจำเป็นต้องมีแม่ทัพไร้เทียมทานแบบเขา เขาคงเกษียณไปนานแล้ว
“ลือกันว่าราชาหนานเป็นคนโอหังยิ่งและห่วงเรื่องหน้าตาเป็นอย่างมาก ถ้าเหล่าคนต้อนรับไม่มีขนาดใหญ่พอ เขาอาจจะไม่ปลื้ม…ท่านแม่ทัพ เราควรส่งคนไปเพิ่มอีกดีหรือไม่…”
“ท่านแม่ทัพ ผู้น้อยเองก็รู้สึกว่าเราควรส่งคนไปต้อนรับเขาให้มากขึ้น ในเมื่อราชาหนานชอบความอลังการ เช่นนั้นเราควรส่งคนไปต้อนรับเขาอีกสักแสนนาย ให้เขาได้เห็นอำนาจกองทัพของเรา!”
“ท่านแม่ทัพไม่จำเป็นต้องลังเล ราชาหนานเป็นคนน่ารังเกียจอยู่แล้วและมุ่งเป้ามาที่ท่านแม่ทัพ คนเช่นนี้ เราควรจะ…”
แม่ทัพชราขมวดคิ้วและยกแขนขึ้น ทุกคนเงียบลงและมองมาที่เขา ดูเหมือนว่าเกียรติศักดิ์ศรีของเขาในกองทัพไม่สามารถยอมให้คนอื่นเข้ามาแทนที่ได้
“ทหารข้าล้วนเป็นผู้กล้าที่รอดชีวิตภายใต้คมดาบคมมีดมาหลายสิบปี ข้าไม่ยอมใช้พวกเขาไปต้อนรับราชาหนานหรอก รวมได้พันคนและมีข้าอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว!” คำพูดของแม่ทัพชราเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและไม่มีอะไรมาเป็นอุปสรรคได้
ขณะที่เขาพูดขึ้น ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดพลางคำนับฝ่ามือรับทราบ
ห่างออกไปพันลี้ รถม้าหรูหรายาวถึงร้อยฟุตกำลังเคลื่อนอยู่บนถนนพร้อมขบวนรถม้าที่มีความยาวเกือบหนึ่งลี้ บริเวณรอบรถม้ามีจอมยุทธ์สวมเสื้อผ้าธรรมดาอยู่มากมาย
เสียงเพลงดังออกมาจากรถม้ายาวร้อยฟุต ระหว่างนั้นมีเสียงหญิงสาวหัวเราะและดูรื่นเริง
“ดีมาก ดีดี เต้นเข้าไป ราชาผู้นี้จะตบรางวัลให้เจ้า!” น้ำเสียงบุรุษผู้หนึ่งลอดผ่านเสียงหัวเราะ ดูเหมือนมีเสียงครางเบาๆ ดังออกมาจากรถม้าด้วยเช่นกัน
องครักษ์รอบด้านคุ้นชินกับเรื่องแบบนี้มานานและไม่สนใจอะไรเลย
หลังจากรถม้าเคลื่อนผ่านไปได้ไม่กี่ลี้ ผู้เยาว์ชุดสีฟ้านั่งข้างรถม้าพลันส่งเสียงร้องแหลม
“ราชาหนานมีคำสั่งให้เราหยุดขบวน!”
เพียงเขาพูดดังกึกก้อง ขบวนรถม้ายาวเหยียดค่อยๆ หยุดลง สาวงามทั้งหมดก้าวเดินออกมาข้างหน้ารถม้า เสื้อผ้าแต่ละคนยุ่งเหยิงและเห็นชัดว่าเพิ่งสวมใส่เมื่อครู่ ทั้งหมดก้าวเดินไปหลังรถม้าด้วยความอ่อนเพลีย
นับดูแล้วเป็นหญิงสาวหลายสิบคน แทบจินตนาการไม่ออกว่าทั้งหมดอยู่รวมในรถม้ายาวร้อยฟุต
ขณะที่พวกนางจากไป หญิงสาวมีเสน่ห์ชวนหลงใหลอีกหลายสิบคนก้าวเดินออกมาจากข้างหลังรถม้าหลายคน พวกนางดูเหมือนเข้ามารับช่วงต่อและเข้าไปในรถม้าจากข้างหน้า ไม่นานนักเสียงเพลงและเสียงครวญครางพร้อมกับเสียงหัวเราะจึงดังกึกก้องอีกครั้ง
ขณะที่รถม้าเคลื่อนขบวนต่อไป กองทหารพันนายที่ถูกส่งมาต้อนรับก็ได้มาถึง พอเห็นว่าคนจำนวนเท่านี้ออกมาต้อนรับ เสียงพ่นลมหายใจเย็นดังออกมาจากในรถม้าขนาดร้อยฟุต
ทว่ารถม้าไม่ได้หยุดลง มันเคลื่อนขบวนต่อไปภายใต้การป้องกันของทหารพันนายที่มาถึง
หนึ่งชั่วโมงต่อมาขบวนจึงมาถึงค่ายทหาร เสียงครางดังลอดออกมาจากรถม้าขนาดร้อยฟุตเป็นครั้งคราว
ขณะที่พวกเขาเข้าไปใกล้ค่ายทหารมากขึ้น เสียงครางยิ่งชัดจนเหล่าทหารทั้งหมดได้ยินเต็มสองหู แม่ทัพชราถึงกับขมวดคิ้วและมีสายตาไม่พอใจ
เขาพ่นลมหายใจและก้าวเดินมาข้างหน้า ทหารรับใช้กลุ่มหนึ่งตามเขามาพร้อมด้วยจิตสังหารเต็มเปี่ยม พอเขาเข้าใกล้ องครักษ์ทั้งหมดล้อมรอบรถม้าต่างก็เคร่งเครียด พวกเขาสัมผัสจิตสังหารจากแม่ทัพชราได้และนี่เป็นสาเหตุให้ร่างกายสั่นสะท้าน
เหล่าองครักษ์หวาดกลัวแต่ก็รีบก้าวเดินมาข้างหน้า ผู้เยาว์บนรถม้ารีบลุกขึ้นยืนและส่งเสียงกรีดร้องแหลม “หยุด! ราชาหนาน…”
ก่อนที่ผู้เยาว์จะกล่าวจบ ขุนพลอายุวัยกลางคนข้างแม่ทัพชราจึงเผยสายตาดุดันออกมาและตะโกน “เจ้าเป็นใคร!?”
พอเขาพูดขึ้น สายตาทหารทั้งหมดที่นี่จึงรวมมาที่ผู้เยาว์จนเกิดเป็นแรงกดดันที่มองไม่เห็น ผู้เยาว์ถึงกับหน้าซีดทันทีและไม่กล้าพูดอะไรออกมา
“ซือหนาน! เจ้ากำลังทำอะไร?!” พอแม่ทัพชราเข้ามา เสียงคำรามหนึ่งจึงดังออกมาจากในรถม้า จากนั้นเสียงครางก็หยุดลง
ชายชรามายืนข้างรถม้าพลางเปล่งแรงกดดันและพูดขึ้น “ข้าแม่ทัพซือหนานขอทักทายราชาหนาน!”
เสียงเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นม่านก็เปิดออกมาจากข้างใน ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวออกมา ดวงตาคล้ำเล็กน้อย เขายืนบนรถม้าพลางมองมาที่แม่ทัพชรา แววตาเป็นประกายมืดมนหนึ่งคราจากนั้นยิ้มขึ้น
“สมควรแล้วที่เป็นยอดแม่ทัพซือหนานแห่งหวู่ซวน มีเจ้าปกป้องชายแดน ไม่มีอะไรที่หวู่ซวนต้องหวาดกลัว ราชาผู้นี้มาเพื่อตบรางวัลแก่แม่ทัพ!”
“โอ้? เช่นนั้นก็เข้ามาในค่ายทหารเถิด!” แม่ทัพชรามองดูราชาหนานด้วยสายตาไม่แยแส ทว่าสายตานี้เปล่งแรงกดดันมหาศาลใส่ราชาหนาน โดยเฉพาะสายตาทุกคนที่เปล่งจิตสังหารเย็นเยียบจนหน้าผากเขามีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มไปหมด
ราชาหนานฝืนยิ้มและรีบพูด “ไม่จำเป็นหรอก…ข้าพักอยู่ข้างนอกได้ ไม่ต้องเข้าไปข้างในหรอก”
ไม่มีใครรู้หวังหลินเฝ้าดูทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ หวังหลินยืนอยู่ในท้องฟ้าและส่งสายตามาจับจ้องคนผู้หนึ่ง คนผู้นั้นคือแม่ทัพชรา ซือหนาน!
‘เขาไม่ได้กลายเป็นราชา แต่เป็นยอดแม่ทัพ…ไม่รู้แล้วว่าเมื่อเขาฟื้นความทรงจำมาจะคิดเช่นไร…’ หวังหลินเผยรอยยิ้มและมีความสุขยิ่ง
………………………………………………
ตอนที่ 2070 เจ้าคือซือถูหนาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
กลางดึกต่อมา คบเพลิงวูบวาบและทหารหลายกองทำการลาดตระเวน ทั้งค่ายดูเหมือนเมืองหุ้มเกราะและสั่งการได้ตลอดเวลา
ด้านนอกค่ายไม่มีเสียงเพลงแล้วและสงบนิ่งอย่างสิ้นเชิง
กระโจมส่วนใหญ่ดับไฟ เหลือไว้เพียงไม่กี่ดวงและมองเห็นคนข้างในได้ โดยเฉพาะไฟที่อยู่ในกระโจมของแม่ทัพที่ยังส่องสว่างและมีองครักษ์คุ้มกันหลายคน
แม่ทัพชราซือหนานกำลังยืนอยู่ข้างแผนที่และขมวดคิ้ว ที่นี่มีเขาคนเดียวและเงียบสงบยิ่ง มีเพียงเสียงเทียนที่กำลังเผาไหม้
‘ราชาหนาน…ฮึ่ม คนแบบนี้ไม่คู่ควรที่จะถูกเรียกว่า ‘ราชาหนาน!’ ’ ขุนพลชรามองมาที่แผนที่และพ่นลมหายใจเย็น เขาเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดต่อชื่อ ‘ราชาหนาน’ โดยไม่รู้เหตุผล
ราวกับไม่มีใครในโลกนี้คู่ควรที่จะถูกเรียกว่า “ราชาหนาน!”
“โอ้? เช่นนั้นใครกันที่ควรเรียกว่า ‘ราชาหนาน’ กันล่ะ?” เสียงล้อเลียนดังออกมาจากด้านหลังแม่ทัพชรา
แม่ทัพชราร่างสั่นเทาแต่ไม่นานก็ฟื้นคืนเป็นปกติได้ เขาหันกลับมาเห็นชายหนุ่มชุดขาวเรือนผมสีขาวยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล กำลังจ้องมองเขาด้วยรอยยิ้ม
“ก่อนข้าจะได้กลายเป็นราชา ไม่มีใครคู่ควรให้ถูกเรียกว่า ’ราชาหนาน’ ” แม่ทัพชรานั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ตื่นตระหนกเลย
“นั่งสิ” แม่ทัพชราชี้ไปข้างหน้า
หวังหลินมองเขาและถอนหายใจออกอย่างชื่นชม หาได้ยากนักที่จะมีคนสงบนิ่งได้ขนาดนี้เมื่อมีคนแปลกหน้าปรากฏขึ้นในทันที
โดยเฉพาะความสงบนิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก มันเป็นความสงบนิ่งอย่างแท้จริง
หวังหลินยิ้มบางและนั่งตรงข้ามแม่ทัพชรา
“เจ้ามีสุราหรือไม่?” หวังหลินหัวเราะ
“จะไม่มีสุราในค่ายทหารได้อย่างไร?” แม่ทัพชราหัวเราะและร้องตะโกนออกคำสั่งให้แก่คนด้านนอก
“ใครสักคนเอาสุรามาหน่อย!”
คนด้านนอกขานตอบอย่างเคารพ จากนั้นทหารไม่กี่นายก็เข้ามา พอเห็นหวังหลินอยู่จึงตกตะลึงกันทั้งหมดโดยเฉพาะเหล่าองครักษ์ด้านนอก สีหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
พวกเขาไม่เห็นว่ามีใครเข้าไปเลย!
แม่ทัพชรามีสีหน้าดังเดิมพลางสะบัดแขนและพูดขึ้น “วางสุราไว้และออกไปได้แล้ว!”
นายทหารวางขวดสุราลงข้างหวังหลินและแม่ทัพชรา ก่อนจะถอยกลับไปทั้งหมด
“แม่ทัพซือหนานช่างมีความสงบนิ่งดีเยี่ยม” หวังหลินยกขวดสุราขึ้นมาดื่มไปอึกใหญ่
“การที่ท่านมาที่นี่อย่างเงียบๆ นั่นหมายความว่าถึงเหล่าทหารจะเข้ามาก็ไม่สามารถหยุดท่านได้ เช่นนั้นจะมีประโยชน์อะไร?” แม่ทัพชราพูดขึ้นพลางยกขวดสุรา เปิดฝาและดื่มไปอึกใหญ่
หวังหลินยิ้มกว้างกว่าเดิม เขามีความสุขจริงๆ กล่าวได้ว่าตั้งแต่มาที่แผ่นดินเซียนดารา บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าความสุขแบบนี้หาได้ยาก มันแตกต่างจากการค้นหาวิญญาณของลี่มู่หวานหรืออยู่กับซวนลั่ว มันเป็นความรู้สึกของการพบพานสหายเก่าที่อธิบายออกมาไม่ได้
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขาผ่อนคลายและมีความสุขมาก
หลายร่างแล่นวาบอยู่นอกกระโจมและมีเสียงฝีเท้าดังสนั่น เพียงไม่กี่คำก็ทำให้เหล่าทหารล้อมรอบกระโจมนับไม่ถ้วนรวมถึงขุนพลทั้งหมดที่นี่ด้วย ทุกคนดูเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งแต่ไม่มีใครกล้าเข้าไป พวกเขาทำได้แค่ล้อมรอบกระโจมเท่านั้น
ทุกคนเคร่งเครียดแต่จิตสังหารไม่ลดลงแม้แต่น้อยและรวมกันหนาแน่น จนคบเพลิงมากมายในค่ายทหารถึงกับหมองหม่น
เวลาผ่านไปชั่วพริบตาจนใกล้รุ่งสาง เหล่าทหารอยู่ด้านนอกเกือบตลอดคืน ถ้าไม่ใช่เพราะมีเสียงหัวเราะดังออกมาจากข้างใน พวกเขาคงพุ่งเข้าไปแล้ว
อย่างไรก็ตามเสียงหัวเราะกลับทำให้พวกเขางุนงงยิ่งกว่า
“น่าสนใจ ท่านหวังไปมาแล้วหลายแห่ง ข้าเองเคยได้ยินเรื่องภูเขาซื่อแต่มันอยู่ไกลเกินไป ในฐานะคนธรรมดา ข้าไปที่นั่นไม่ได้หรอก” แม่ทัพชราวางขวดสุราที่ว่างเปล่าลงและหยิบขวดใหม่ขึ้นมาแทน
“หากเจ้าต้องการ เจ้าก็ไปได้” หวังหลินดื่มสุราเผ็ดร้อนพลางมองสหายเก่าและเผยรอยยิ้ม
“โอ้? เช่นนั้นท่านหวังน่าจะเป็นเซียน” แม่ทัพชรามีแววตาเปล่งประกาย
หวังหลินพยักหน้าแต่ไม่พูดอะไร เขาดื่มต่อไป
กาลเวลาไหลไปอีกครั้งจนรุ่งอรุณ ความมืดมิดจางหายและดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลอยขึ้นบนท้องฟ้า หวังหลินและแม่ทัพชราดื่มสุราตลอดคืน หวังหลินพูดเรื่องประสบการณ์ของตัวเองบนแผ่นดินเซียนดาราไปมาก เขาพูดเรื่องแคว้นกระทิงสวรรค์ แคว้นปิศาจมารเขียวและเมืองหลวง ทั้งยังพูดทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเผ่าโบราณ
พอเขาพูดว่าไปพบเศษวิญญาณของลี่มู่หวานได้อย่างไร น้ำตาก็ไหลรินลงมา และเมื่อพูดว่าตัวเองสังหารจักรพรรดิเต๋าและแลกชีวิตตัวเองแด่ความเมตตาของอาจารย์ สีหน้าหวังหลินก็หมองหม่นลง
เขาพูดทุกอย่างจนถึงตอนที่ออกมาจากเผ่าโบราณ กลับสู่เผ่าเทพ
แม่ทัพชราฟังทุกอย่าง จินตนาการไม่ออกว่าคนแบบนี้เป็นใครไปได้ หากสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นคนผู้นี้ต้องมีตำแหน่งที่น่าตกตะลึงในเผ่าเทพ!
แต่ทำไมเขาถึงปรากฏตัวในกระโจมของตนกลางดึกเพื่อดื่มสุราและเล่าให้ฟัง…ในความคิดของชายชรา คนเบื้องหน้าค่อยๆ กลายเป็นคนที่คุ้นเคย ราวกับมีสัมผัสแห่งความคุ้นเคยที่ซ่อนไว้ในส่วนลึกความทรงจำและกำลังเผยออกมา
พอเขาเห็นหยาดน้ำตาและความเศร้าของหวังหลิน เขาเองก็รู้สึกถึงมันเช่นกัน ราวกับเขาเป็นพยานรู้เห็นเรื่องราวระหว่างหวังหลินและลี่มู่หวาน
“ข้าตามหาลี่เฉียนเหมยไม่เจอ…ซือถู ข้าตามหาอยู่นานแต่ข้าก็ไม่พบนาง…” หวังหลินพึมพำพลางดื่มสุราอย่างขมขื่น มีบางอย่างที่เขาไม่สามารถพูดกับคนอื่นได้แต่เขาสามารถพูดกับซือถูได้
“ ‘ซือถู…’ นั่นเป็นใคร…” แม่ทัพชราเผยสีหน้าท่าทางซับซ้อนเมื่อได้ยินชื่อนี้ เขาได้ยินหวังหลินพูดชื่อนี้หลายครั้ง
หวังหลินวางขวดสุราที่ว่างเปล่าลงและหยิบขวดใหม่ขึ้นมา ตลอดทั้งคืนพวกเขาขอให้นำสุราเข้ามาแล้วหลายครั้ง
“ข้ามีสหายที่ดีคนหนึ่งชื่อว่าซือถู…” หวังหลินพึมพำพลางมองแม่ทัพชรา
แม่ทัพชรามองหวังหลินด้วยความสงสัยและพูดขึ้น “ถึงกับเป็นสหายที่ดีกับท่านได้ คนชื่อซือถูผู้นี้ต้องเป็นเซียนด้วยเช่นกัน”
หวังหลินเผยรอยยิ้มและพูดขึ้นเบาๆ “เขาเป็น…เซียนที่ต้องการกลายเป็นราชา หากเจ้าอยากได้ยินเรื่องราวของเขา เช่นนั้นก็เริ่มตั้งแต่ที่ที่เรียกว่าดาวซูซาคุและแคว้นเซียนระดับสามที่ชื่อแคว้นจ้าว…”
หวังหลินเอ่ยเสียงดังอยู่ในกระโจม แม่ทัพชราฟังไปและเกิดความสับสนเพิ่มขึ้น
เมื่อเวลาผ่านไปยามเช้าก็มาถึง ดวงอาทิตย์ส่องประกายเจิดจ้าข้างนอก หวังหลินยังคงส่งเสียงต่อไป
“ลี่เฉียนเหมย ซือถูหนาน ฉิงชุ่ย…ทั้งหมดมาเกิดใหม่ในแผ่นดินเซียนดารา ข้าทิ้งอักขระของข้าไว้กับพวกเขา นั่นเป็นหนทางเดียวที่ข้าจะหาพวกเขาเจอ” หวังหลินดื่มสุราไปหนึ่งจิบพลางมองแม่ทัพชราด้วยรอยยิ้ม
แม่ทัพชราขบคิดเงียบๆ ร่างกายสั่นเทา จากนั้นพลันลืมตาขึ้นมา
“ข้าคือซือถูหนาน?” เขาจ้องมองหวังหลิน น้ำเสียงเกิดความลังเล
หวังหลินมองแม่ทัพชราและพยักหน้าอย่างช้าๆ
“เจ้าคือซือถูหนาน ข้าคือหวังหลิน…”
“หวังหลิน…” แม่ทัพชราพึมพำ ผ่านไปสักพักก็เริ่มหัวเราะ ทว่าเขาหัวเราะไปด้วยน้ำตา ปกติเขาคงไม่เชื่อแต่มีความรู้สึกอันคุ้นเคยออกมาจากวิญญาณ ทุกอย่างที่เขาได้ยินเกี่ยวกับโลกถ้ำนั้นสำหรับเขาจะไม่เชื่อทั้งหมดเลยก็คงเป็นไปไม่ได้
เขาไม่เชื่อว่าเทพเซียนจะมาลอกลวงคนธรรมดาแบบเขา!
“เช่นนั้นข้าก็เกิดใหม่มาแล้วหลายครั้งบนแผ่นดินเซียนดารา และคราวนี้ข้าคือซือหนาน ยอดแม่ทัพแห่งเมืองหวู่ซวน…” แม่ทัพชราหัวเราะเสียงดังพร้อมกับหลั่งน้ำตาไหลเป็นสาย เขาเชื่อทั้งหมดแต่จะให้ยอมรับเลยคงทำได้ยาก
“เหล่าทหารห้าแสนนายด้านนอกนั้น มีหลายคนติดตามข้ามาตั้งแต่รุ่นปู่ของพวกเขา ปู่ของพวกนั้นตายไปและส่งรุ่นพ่อมา จากก็เป็นรุ่นลูกติดตามข้ามาอีก”
“ตอนนี้ท่านบอกว่าข้าคือซือถูหนาน ผู้ต้องการกลายเป็นราชา หากข้าไม่ใช่ซือหนานแห่งหวู่ซวน เช่นนั้นพวกทหารทั้งหมดนั้นจะทำอย่างไร?!” เนื่องเพราะน้ำเสียงของแม่ทัพชรา ม่านกระโจมจึงเปิดออกและมีทหารพุ่งเข้ามาข้างใน แต่มีเสียงตะโกนจากแม่ทัพชราบอกให้ทั้งหมดออกไปอีกครั้ง
“เกิดใหม่…เกิดใหม่…เกิดใหม่หนึ่งครั้งมีข้อจำกัดมากมาย ข้าเกิดใหม่ไปแล้วหลายครั้ง…” แม่ทัพชรานั่งลงบนเก้าอี้พลางมองหวังหลินด้วยสีหน้าซับซ้อน เสียงหัวเราะเปลี่ยนเป็นขมขื่น
“ข้าขอโทษ…ตอนนั้นข้าเลือกด้วยตัวเอง ข้าเลือกที่จะมาเกิดใหม่บนแผ่นดินเซียนดาราและไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับท่าน”
หวังหลินขบคิดเงียบๆ พลางดื่มสุราต่อไป
“ช่วยข้าปลดปล่อยความทรงจำในชาติก่อนด้วยเถอะ!” แม่ทัพชราดื่มต่อไปจนกระทั่งหมดไปสามขวด ดวงตาแดงก่ำและจ้องมองหวังหลินอย่างเมามาย
เมื่อค่ำคืนกลับมาอีกครั้ง หวังหลินจากไปด้วยสีหน้าซับซ้อน เขาลอยอยู่ในท้องฟ้า เมื่อหันกลับมามองค่ายลทหารอีกครั้ง แม่ทัพชราเปิดม่านและมองมาที่เขา
“หวังหลิน เมื่อข้าหมดสิ้นวัฏจักรนี้โดยไม่มีอะไรเสียใจอีกและกลายเป็นราชาหนาน ข้าจะออกไปตามหาเจ้า!” แม่ทัพชราพูดด้วยน้ำเสียงโอหังและแข็งกร้าว
หวังหลินเผยรอยยิ้มและเริ่มหัวเราะดังออกมาเรื่อยๆ
“ซือถู เมื่อเจ้าได้เป็นราชาสมใจอยากแล้ว เราจะมาดื่มด้วยกันอีก!” หวังหลินเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงและเลือนหายไป
“เด็กๆ จัดระเบียบกองทัพ อันดับแรกนำราชาหนานบัดซบนั่นเข้ามา ข้าไม่มีความสุขที่มีมันมานานแล้ว มันกล้าเรียกตัวเองว่า ‘ราชาหนาน’!!”
“ข้าคิดมาตลอด ข้าจะเป็นราชาหนาน!” แม่ทัพชราดูเหมือนเยาว์วัยลงไปมากและส่งเสียงหัวเราะ
…………………………………………………….
ตอนที่ 2071 รุ้งในสายฝน
โดย
Ink Stone_Fantasy
‘การเกิดใหม่…การเกิดใหม่คืออะไรกันแน่…ข้าคิดว่ามันคือสวรรค์แต่ความจริงการเกิดใหม่ยิ่งกว่าเป็นสวรรค์เสียอีก’ หวังหลินเดินทางผ่านท้องฟ้าและการได้เจอโจวลี่ ซือถูหนานและเหลียนต้าวเฟยทำให้เขาเกิดความคิดขึ้นในใจ
‘ตัวเลือกของเหลียนต้าวเฟยอาจไม่ใช่การเกิดใหม่ แต่โจวลี่และซือถูหนานเลือกการเกิดใหม่…พวกเขาไม่ได้เลือกจากมาแต่เลือกที่จะผสานกับชีวิตที่นี่ ทั้งสองมีความผูกพันธ์มากมายที่ไม่อาจละทิ้งไปได้’
‘โจวลี่ไม่สามารถละทิ้งครอบครัวและคนรักในชีวิตนี้ ซือถูไม่สามารถละทิ้งชีวิตเหล่าทหารที่ติดตามเขาได้ การเกิดใหม่คือหนึ่งช่วงชีวิตและหนึ่งชีวิตนี้มีอีกหลายชีวิตผูกพันธ์ จะไปตัดทั้งหมดได้ง่ายๆ ได้อย่างไร?’
‘นี่สินะคือพลังของการเกิดใหม่…มันสามารถทำให้คนไม่สามารถเป็นอิสระได้ หรือไม่อยากเป็นอิสระเอาเสียเอง’ ภายในแววตาหวังหลินเกิดความสงสัย คล้ายกับกำลังเกิดความเข้าใจมากขึ้น
‘การเกิดใหม่คือสวรรค์และเป็นกระจกเช่นกัน ตัวเองในกระจกคือการเกิดใหม่’
แววตาสงสัยของหวังหลินค่อยๆ หายไปและถูกแทนที่ด้วยความชัดเจน ความเข้าใจต่อการเกิดใหม่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงหลังจากได้เจอโจวลี่และซือถูหนาน ถนนด้านล่างค่อยๆ แคบลงจนเหมือนเส้นยาวที่แทงทะลุถึงสวรรค์
‘ข้าสงสัยเสียแล้วว่าตัวเลือกของคนอื่นจะเป็นอย่างไร…’ หวังหลินทอดสายตามองออกไป ถอนหายใจและก้าวเดินต่อ
ณ เทือกเขาแห่งหนึ่งทางแคว้นทิศเหนือของเผ่าเทพ ที่นี่อุดมไปด้วยป่าทึบและอันตรายยิ่ง
พื้นที่มีเพียงเหล่าสัตว์และนกหลายพันธุ์ ทว่าเมื่อหลายปีก่อนมีถ้ำแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นที่นี่และไม่มีสัตว์ตัวใดกล้าเข้ามาในป่าอีกเลย
ถ้ำแห่งนี้หรูหรามากและมีไข่มุกราตรีมากมายก่อเกิดแสงส่องสว่าง อย่างไรก็ตามเพราะความเงียบของมันจึงทำให้พื้นที่บริเวณเกิดความรู้สึกหนาวเย็น
ตอนนี้มีเซียนผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ในห้องใหญ่ของถ้ำ
เซียนคนนี้ไม่ได้ดูแก่ชราและมีร่างกายเหมือนคนแคระ ศีรษะเขาใหญ่โตจนร่างเล็กลงถนัดตา
เซียนศีรษะโตผู้นี้มีท่าทีมืดมนและยิ่งบ่มเพาะยิ่งทำให้ทั้งถ้ำหนาวเย็นขึ้นไปอีก
“จงเฟยเจิน…” ขณะที่เซียนผู้นี้บ่มเพาะ เสียงหนึ่งพลันปรากฏขึ้นมาดังกึกก้องอยู่ในถ้ำ
จิตใจของเขาสั่นเทาและพลันลืมตาขึ้นมา เขาแบ่งลำแสงสีเขียวออกมาทะยานเข้าหาร่างสีขาวที่ปรากฏขึ้นในถ้ำโดยทันที
หวังหลินเผยสีหน้าประหลาดใจ แสงสีเขียวนี้คือตะขาบและอ้าปากพุ่งหาเขา หวังหลินเพียงชี้ใส่ก็ทำให้มันแข็งค้างอยู่ในอากาศ
เซียนศีรษะโตตกตะลึง ตะขาบตัวนี้ถูกหลอมในวิญญาณดั้งเดิม ซึ่งแม้แต่คนที่แข็งแกร่งกว่าก็ต้องใช้เวลาอยู่บ้าง ทำให้เขามีเวลาพอหลบหนีหรือโจมตีได้
แต่กลับถูกคนเบื้องหน้าแช่แข็งได้ง่ายๆ แม้แต่เขาเองก็ยังไม่เห็นว่าอีกฝ่ายใช้วิชาอะไรเลยด้วยซ้ำ
“หม่าต้าว เจ้าจะสังหารข้า!?” จงเฟยเจินร้องคำราม ร่างกายส่งเสียงดังสนั่นและมีสายหมอกจำนวนมากกระจายออกมา เขากำลังจะหนี
“หม่าต้าว?” หวังหลินตกตะลึงและชี้ไปที่สายหมอก ลำแสงแทงทะลุหมอกและร่อนลงกลางหน้าผากเซียนศีรษะโตตอนที่เขาพยายามหนี
ร่างของจงเฟยเจินสั่นสะท้าน แววตาเกิดความสับสน ความทรงจำหลายอย่างผุดขึ้นในใจ ขณะเดียวกันหวังหลินยื่นแขนออกมาส่งผลให้พื้นที่รอบภูเขาควบแน่นในมือกลายเป็นกระบี่เล่มเล็กหนึ่งเล่ม
กระบี่เล่มนี้ถูกสร้างขึ้นจากพลังอำนาจแห่งโลกและสร้างจากวิชาแห่งศรัทธาของหวังหลิน ดังนั้นมันจึงเป็นสมบัติที่ไม่ธรรมดา!
เพียงโยนออกไป กระบี่เล่มนั้นจึงลอยทะยานเข้าไปในสายหมอกและปักลงไปในกำแพง ลึกเข้าไปในสายหมอกมีจงเฟยเจินที่กำลังฟื้นคืนความทรงจำ หวังหลินเผยรอยยิ้มอ่อนโยนพลางสะบัดแขนเสื้อให้พลังแห่งโลกรวมกันเปลี่ยนกลายเป็นเม็ดยาจำนวนมากเข้าไปในน้ำเต้า เขาวางน้ำเต้าไว้บนพื้นและจากไป
ผ่านไปสักพัก สายหมอกจึงเลือนหาย จงเฟยเจินก้าวเดินออกมาด้วยสีหน้าซับซ้อนและตกอยู่ในภวังค์ เขานั่งอยู่ตรงนั้นมองถ้ำอันว่างเปล่าอยู่นานก่อนจะเงยหน้าและพึมพำ
“นายท่าน…” พอเห็นกระบี่และน้ำเต้า หยาดน้ำตาไหลลงสองแก้มในทันที
ณ แคว้นทิศเหนือเช่นเดียวกันแต่อีกหนึ่งแคว้น ลำแสงหลายสิบสายทะยานผ่านท้องฟ้าและมีลำแสงผลึกหนึ่งสายพุ่งผ่านไป เหล่าเซียนหลายคนต่างก็คาดไม่ถึง
ไม่มีใครสังเกตว่าตอนที่แสงผลึกหายไป มันเข้าไปยังจุดกลางหน้าผากของเด็กชุดดำท่ามกลางพวกเขา
เด็กคนนั้นสั่นเทาพร้อมกับความทรงจำที่ปิดผนึกได้รับการปลดปล่อยอย่างช้าๆ
เหล่าเซียนสงสัยอยู่ชั่วขณะและหลังจากถกเถียงกันพวกเขาก็มุ่งหน้าต่อไปอีก สายตาของเด็กชุดแดงเต็มไปด้วยความสับสน หลังจากเวลาผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงในกลุ่มก็พักอยู่บนภูเขา แววตาสงสัยของเด็กหนุ่มหายไปและถูกแทนที่ด้วยอารมณ์อันซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก
‘ข้าคือ…ปรมาจารย์หงซาน…’ เด็กหนุ่มชุดแดงมองไปยังท้องฟ้าและเผยรอยยิ้ม เขาสูดหายใจลึกพลันมองแผ่นดินเบื้องหน้าด้วยความตื่นเต้น
ณ แผ่นดินทิศตะวันออก แคว้นหนานนี่ หวังหลินผ่านสำนักเล็กแห่งหนึ่งไป ในสำนักแห่งนี้ไม่ได้มีเซียนมากนักและมีประมาณพันคน ตำแหน่งที่ตั้งก็ไม่ได้ดีมากและมีพลังปราณไม่หนาแน่น
ขณะที่มีคำสั่งจากมหาชั้นฟ้าให้เตรียมตัวเรื่องการเปิดแดนเทพบรรพกาล คลื่นใต้ถ้ำได้เริ่มไหลไปทั่วแคว้น จนทำให้สำนักเล็กๆ ไม่สามารถอยู่อย่างสงบได้และต้องพึ่งพาสำนักที่ใหญ่กว่าเพื่อการอยู่รอด
สงครามกำลังจะเริ่มขึ้นและสำนักเล็กแบบนี้คงอยู่รอดต่อไปได้ยากในสงครามระหว่างเผ่าเทพและเผ่าโบราณ
เฉินเปียวเป็นจ้าวสำนักแห่งนี้และมีระดับบ่มเพาะยอดเยี่ยม เขาวิตกกังวลมากเนื่องจากไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไรหรือสำนักของเขาจะยังอยู่หรือไม่หลังสงครามในอีกหลายร้อยปี
เขาใช้ความพยายามอย่างมหาศาลในการไต่เต้าจากตำแหน่งในอดีตจนกลายเป็นจ้าวสำนัก เขาไม่อยากยอมแพ้แต่ทว่าตอนนี้หนทางเดียวสำหรับเขาคือการยอมต่อพลังอำนาจที่แข็งแกร่ง
ทว่าพลังอำนาจที่เขาสามารถเลือกได้ก็ยังนำพาผลลัพธ์ออกมาแตกต่างกัน ทั้งหมดจึงเกิดความเคร่งเครียด เหล่าผู้อาวุโสของสำนักยังมีความคิดเห็นแตกต่างกับเขาอีกจนมีสัญญาณการแบ่งแยก
ขณะที่เฉินเปียวเคร่งเครียด ชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งได้มายังด้านนอกสำนักและก้าวเดินเข้ามา
หวังหลินพบเฉินเปียวและไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเขาก็จากไป
เฉินเปียวยืนอยู่นอกห้องโถง สายตามองท้องฟ้าด้วยความสับสน จากนั้นสักพักความสับสนจึงหายไปและเปลี่ยนกลายเป็นความมุ่งมั่น
ช่วงเวลาเหล่านี้หวังหลินได้พบเจอสหายเก่าเกือบทั้งหมดจากโลกถ้ำ บางคนหวังหลินปลดปล่อยความทรงจำ บางคนก็มอบอำนาจให้ตัดสินใจ
แต่ไม่ว่าผลลัพธ์ลงเอยเช่นไร หวังหลินก็จะทิ้งบางอย่างให้ปกป้องพวกเขาเพราะพวกเขามาจากโลกถ้ำเดียวกัน พูดให้ชัดคือทุกคนคือคนของสำนักเจ็ดเต๋า
สำนักตะวันจันทรา สำนักที่แข็งแกร่งที่สุดของแคว้นเทียนฟ่าง สำนักสาขาแต่ละแห่งมีสมาชิกมากกว่าแสนคนและอยู่ในกลุ่มเก้าสำนักสิบสามกองกำลังของแผ่นดินทิศตะวันออก
ภายในสำนักตะวันจันทรามีอัจฉริยะหลายคนแต่ไม่มีใครเทียบกับสตรีนามฉิงฮวงไปได้ พรสวรรค์ของนางถือได้ว่าหมื่นปีจะมีสักคน!
หลายร้อยปีก่อนนางกลายเป็นศิษย์ของสำนักตะวันจันทรา เพียงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงพันปีนางก็บรรลุขั้นที่สามและอยู่ในระดับสวรรค์ดับสูญขั้นสูงสุด นางห่างจากขั้นวิญญาณดับสูญเพียงแค่ก้าวเดียว
เรื่องนี้เกี่ยวพันกับสำนักตะวันจันทราที่ช่วยเหลือนางอย่างเต็มที่แต่ก็แสดงให้เห็นด้วยว่านางสำคัญต่อสำนักแค่ไหน
หัวหน้าผู้อาวุโสของสำนักเป็นระดับผู้สูงส่งชั้นทองและปิดด่านบ่มเพาะตลอดทั้งปี ลือกันว่านางบรรลุระดับพลังผู้สูงส่งชั้นฟ้าแล้วแต่ไม่เคยเข้าบททดสอบชั้นฟ้า
หัวหน้าผู้อาวุโสเป็นคนรับฉิงฮวงเป็นศิษย์ด้วยตัวเองและทุกสองสามปีนางจะออกมาชี้แนะให้ศิษย์ บางครั้งก็จะพานางเข้าปิดด่านบ่มเพาะไปด้วยกัน
นางถูกเรียกว่าเทพธิดาของสำนักตะวันจันทรา หลายคนต่างก็มองนางเป็นตัวอย่างและเพราะความงดงามจึงกลายเป็นที่รักของศิษย์หลายต่อหลายคน
แต่นางโดดเด่นเกินไปและมีนิสัยเย็นชาอย่างยิ่ง ตลอดหลายร้อยปีนางไม่เคยเลือกคู่ฝึกฝนเต๋าเลย แต่ยิ่งนางเป็นแบบนี้ยิ่งกลายเป็นที่ใฝ่ฝันของศิษย์ร่วมสำนัก
โดยเฉพาะเหล่าศิษย์ของผู้อาวุโสและพวกศิษย์ที่มีคุณสมบัติดีพอ ต่างก็ไม่เคยหยุดยั้งไขว่คว้าให้กลายเป็นคนรักของนาง
ในวันนี้ฉิงฮวงได้ออกจากการปิดด่านบ่มเพาะ ก้อนเมฆด้านนอกมืดครึ้ม ท้องฟ้าส่งเสียงดังราวกับฝนกำลังจะตก เสียงนั้นทำให้นางจิตใจไม่สงบราวกับมีบางอย่างกำลังเกิดขึ้น
นางยืนอยู่นอกถ้ำของตัวเองพลางมองก้อนเมฆสีดำและเห็นแสงสีแดงแกมม่วงบนดวงอาทิตย์ ทันใดนั้นสายตาเกิดความสงสัยชั่วขณะ
ผีเสื้ออันงดงามบินออกมาจากสถานที่อันไกลแสนไกลพร้อมกับเผชิญสายลมรุนแรง มันลอยเบื้องหน้านางและทำให้นางเกิดความสนใจ
นางชอบสีแดงและผีเสื้อ ผู้คนในสำนักรู้แต่นางชอบสีแดงแต่ไม่มีใครรู้ว่านางชอบผีเสื้อ
พอเห็นผีเสื้อกำลังบิน แววตาสงสัยและสับสนยิ่งรุนแรงมากขึ้น
นางรู้สึกมาตลอดว่าตนเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางเป็นคนเฉยชาต่อทุกสิ่ง
เสียงฟ้าร้องดังสนั่นและสายฝนตกลงมากระทบพื้นดิน กลายเป็นม่านสายฝนขึ้นทันตา
นางสวมชุดราตรีสีแดง มองไกลๆ ราวกับผีเสื้อสีแดงตัวนั้น นางยืนอยู่พร้อมกับผีเสื้อตรงหน้าและดูเหมือนกำลังจะตามสายลมและสายฝนออกไปยังที่ไหนสักแห่ง
“ผีเสื้อสีชาด…” น้ำเสียงเบาๆ ดังออกมาจากด้านหลังของนาง
…………………………………………………….
ตอนที่ 2072 หากหัวใจหยุดเต้น เป็นเพียงลืมความรู้สึก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายในม่านสายฝน เสียงสายฝนเบาๆ ราวกับเสียงพึมพำ ขณะที่สายน้ำแตกกระจาย เสียงสายลมสอดแทรกเข้ามาและก่อเกิดเป็นความฝันตื่นหนึ่งจากชาติที่แล้ว
ผีเสื้อร่อนลงในมือฉิงฮวงและนางให้ที่พักพิงผีเสื้อตัวน้อยจากสายลมและสายฝน ราวกับนางคือผีเสื้อสีชาดแต่ไม่รู้ว่าใครในโลกนี้จะสามารถให้นางได้พักพิงจากสายลมและสายฝนแบบเดียวกันได้บ้าง
นางหันกลับมาเป็นคนแปลกหน้าในชุดขาวอยู่ใต้ร่มผ้าเคลือบน้ำมัน
“ผีเสื้อสีชาด…ชื่อนั้นช่างงดงาม” ฉิงฮวงมองดูชายหนุ่มผมขาวและยิ้มออกมา รอยยิ้มราวกับดอกกุหลาบบานสะพรั่งอย่างโดดเดี่ยว
“หากเจ้าชอบ เจ้าก็สามารถกลายเป็นผีเสื้อสีชาดได้” หวังหลินมองสตรีตรงหน้า เรื่องราวที่เกิดบนดาวซูวาคุปรากฏขึ้นในสายตา
นางยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่พูดอะไร สายตามองหวังหลินและสบสายตากันอยู่นาน
ฉิงฮวงมองหวังหลินและเอ่ยขึ้นเบาๆ “ตอนที่ข้ากลายเป็นเซียนขั้นที่สาม ข้าเจอท่านในความฝัน”
“เจ้าเชื่อเรื่องการเกิดใหม่หรือไม่?” หวังหลินเลื่อนสายตาออกจากนางไปที่สายฝนด้านนอก
“ท่านเชื่อมันหรือไม่?” นางถามกลับ
“ข้า…” หวังหลินหยุดเสียง จากนั้นสักพักจึงพยักหน้า
“ข้าเชื่อ”
นางหันกลับมามองสายฝนและพูดขึ้นเบาๆ “แม้กระทั่งผู้สูงส่งชั้นเทวะผมขาวยังเชื่อ ข้าก็เชื่อเช่นกัน”
“ข้ารู้สึกมาเสมอว่าข้ากำลังรอคนที่ให้คำตอบกับข้า…ตอนที่ข้าบรรลุขั้นที่สาม ข้าจึงรู้ว่าคนที่ข้ารอคอยคือท่าน”
“การเกิดใหม่ ข้าสงสัยมาตลอดว่าข้ามีชีวิตที่แล้วหรือไม่ ไม่เช่นนั้นทำไมข้าถึงชอบสีแดงและผีเสื้อ? ข้าคิดว่าทำไมข้าถึงชอบบางอย่าง มันไม่ได้มาจากอากาศที่ว่างเปล่าและมันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้ มันมาจากชีวิตที่แล้ว”
“ในชาติก่อนข้าถูกเรียกว่า ‘ผีเสื้อสีชาด’ ถูกหรือไม่?” นางไม่ได้หันกลับมาและพูดเสียงสงบนิ่ง
“แต่ในความฝันของข้าในชีวิตที่แล้ว มีอีกชีวิตก่อนหน้านี้…ในชีวิตนั้น ข้าก็เห็นท่านด้วย”
หวังหลินตกตะลึง
ฉิงฮวงมองไปยังเส้นขอบฟ้าพลางเอ่ยขึ้น “ในชั่วชีวิตนั้น ข้าจำได้ว่าท่านกำลังถามคำถามกับข้า เป็นคำถามที่ข้าได้รับคำตอบจนถึงตอนนี้ ท่านอยากฟังหรือไม่?”
หวังหลินขบคิดชั่วขณะและเอ่ยตอบ “ข้าถามเจ้าว่าอะไร?”
“เจ้าต้องการเก็บความทรงจำในชีวิตนี้หรือฟื้นคืนความทรงจำของชีวิตที่แล้ว?” ฉิงฮวงหันกลับมาและมองหวังหลิน ในแววตาอันงดงามของนางมีประกายแสงที่หวังหลินก็มิอาจมองเห็น
ฉิงฮวงพูดขึ้นเบาๆ ด้วยความรู้สึก “ชีวิตที่ผ่านมาและชีวิตปัจจุบันสามารถอยู่ร่วมกันได้ แต่เมื่อความทรงจำในอดีตฟื้นคืนกลับมา ชีวิตปัจจุบันจะแบกภาระมากมาย หากไม่ฟื้นคืนมา ข้าก็ไม่รู้และหากข้ารู้ ข้าก็ไม่ลืม นั่นคือความเข้าใจของข้า”
หวังหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาเต็มไปด้วยความสับสนและเอ่ยถาม “ตอนนั้นเจ้าตอบคำถามข้าว่าอย่างไร?”
ฉิงฮวงมีสีหน้าซับซ้อนพลางกระซิบ “ลืมเรื่องอดีตและจดจำปัจจุบันเท่านั้น หากข้าระลึกอดีตไปเรื่อยๆ มันจะนำพาความเจ็บปวดและความสับสนเข้ามา”
“ข้าเข้าใจ” หวังหลินถอนหายใจ เขารู้ว่าผีเสื้อสีชาดจำบางอย่างได้ แต่สิ่งที่นางพูดเรื่องชีวิตก่อนหน้านี้ได้ทำให้จิตใจหวังหลินสั่นเทา เขาคิดเรื่องเต๋าแห่งความฝันบนดาวซูซาคุ ถึงตอนที่สตรีคนหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางสายฝนและอุ้มทารกเพศหญิงมาเบื้องหน้าเขา
ท่ามกลางสายฝนนั้นมีผีเสื้อสีแดงอยู่ตัวหนึ่ง มันกำลังหาที่หลบฝนก่อนจะจากไป ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดถึงชื่อของทารก หวังหลินก็พึมพำออกมาว่า “ผีเสื้อสีชาด”
หวังหลินขบคิดอยู่อย่างเงียบงันพลางหันกลับมาและเดินออกไป
“ข้าลืมเรื่องชีวิตนั้นไปเยอะแล้ว ข้าจำได้แต่ท่านและคำถามนี้…และอีกอย่าง…เขาบอกบางอย่างกับท่าน”
“ข้ายังจำประโยคนั้นได้” ฉิงฮวงหลับตาและพูดน้ำเสียงแผ่วเบา
“ประโยคอะไร?” หวังหลินก้าวเดินออกไปโดยไม่หยุดชะงัก
“หากหัวใจหยุดเต้น เป็นเพียงลืมความรู้สึก…”
ร่างหวังหลินสั่นเทาอยู่ในสายฝนและหันกลับมา เขาเกิดความตกตะลึงออกมาจากดวงวิญญาณ ร่มในมือร่วงลงบนพื้นและชุ่มไปในสายฝน
“โม่จื่อ” ดาวซูซาคุปรากฏขึ้นในสายตาหวังหลิน ตอนที่เขาเป็นเซียนระดับต่ำต้อย มีคืนหนึ่งเขาพบเจอกับชายหัวล้านท่ามกลางสายฝนซึ่งมีสายตาสับสน เขามองหวังหลินและพูดออกมาหนึ่งประโยค
“สายฝนนี้เกิดอยู่ในท้องฟ้าและตายอยู่บนพื้นดิน กระบวนการอยู่ระหว่างชีวิต…”
“หัวใจหยุดเต้น เป็นเพียงลืมความรู้สึก…”
ประโยคเหล่านี้ดังกึกก้องในใจหวังหลิน สายตาของชายหัวล้านปรากฏขึ้นในใจเขาอย่างเด่นชัด หวังหลินไม่เข้าใจมันก่อนหน้านี้แต่พอมองย้อนกลับไป เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดและความเศร้าอย่างชัดเจน
หวังหลินจากไปพร้อมกับความสับสนและคำถามที่เขาไม่อยากคิดหาคำตอบ
ฉิงฮวงมองจุดที่หวังหลินจากไปและยืนอยู่ตรงนั้นอีกนาน จนกระทั่งสายฝนหายไปนางจึงแผ่ฝ่ามือออก ผีเสื้อบินวนรอบตัวนางสองสามครั้งก่อนจะเหินออกไปไกล
“เมื่อใดที่เจ้าลืม…บางทีคงไม่มีวันเลือกหนทางนี้” ฉิงฮวงก้มหน้าและเดินเข้าไปในถ้ำอย่างโดดเดี่ยว
หวังหลินขบคิดอย่างเงียบๆ
‘การเกิดใหม่ ตอนที่ข้าปลดปล่อยความทรงจำของคนที่มาเกิดใหม่ ข้าไม่สงสัยเลยว่าข้าเองก็อยู่ในการเกิดใหม่ไปด้วย…หากข้าอยู่ในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่จริงๆ เช่นนั้นใครเป็นคนปลดปล่อยความทรงจำของข้า?’ พอหวังหลินคิดเช่นนี้ เขาก็หัวเราะจนมีน้ำตาไหลออกมา
‘การเกิดใหม่ นี่คือการเกิดใหม่!! แม้แต่ข้าเองก็อยู่ในวัฏจักรนี้ ข้าจะไม่มีวันเลือกที่จะลืม ไม่มีวัน!!’ หวังหลินหัวเราะ เขาพลันคิดถึงร่างที่กำลังร้องคำรามใส่ท้องฟ้าตอนที่เขาเห็นระหว่างหายนะแยกสามวิญญาณเต๋าโบราณ
คำพูดจากร่างนั้นดังกึกก้องอีกครั้ง
“ฟ้าดิน!!”
“อยู่บนจุดสูงสุดแห่งฟ้าดินจะมีค่าอะไร!?”
“ถูกทุกคนนับถือจะมีค่าอะไร!?!”
“หากโลกเป็นแบบนี้ ทำไมไม่ทำลายมันเสีย!?!”
“หากชีวิตเป็นแบบนี้ ทำไมไม่หายไปซะ!?!”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้าจะใช้วิธีของตัวเองทำให้ฟ้าหลับตา ทำให้ปฐพีนิทรา ทำให้แม่น้ำในนรกไหลย้อนกลับ ทำให้วัฏจักรเกิดใหม่หยุดชะงัก ทำให้โลก…ไม่มีอยู่อีกต่อไป!!!”
หวังหลินพึมพำคำพูดที่ดังกึกก้องในหู น้ำเสียงดังขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งท้องฟ้าสั่นไหว พื้นดินสั่นสะเทือน เกิดเป็นพายุขึ้นบนแผ่นดินเซียนดารา
ณ แผ่นดินทิศตะวันออกของเผ่าเทพ ด้านทิศใต้ของแคว้นหลินฮัวมีเมืองใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง เมืองแห่งนี้ดูเหมือนสัตว์ขนาดยักษ์กำลังนอนอยู่และเปล่งกลิ่นอายอันทรงเกียรติ
ห่างจากเมืองไปไกลมีร้านตีเหล็กอยู่หนึ่งร้าน การทำธุรกิจที่นี่ดำเนินไปได้ด้วยดีพอให้ครอบครัวได้มีชีวิตสุขสบาย และด้วยเจ้าของร้านดูแลงานตัวเองอย่างละเอียดจึงมีชื่อเสียงที่ดีหลายปี
เจ้าของร้านเป็นชายร่างกำยำดูเหมือนอายุราวสามสิบปี เขาแข็งแกร่งมากและเปลือยท่อนบนพลางถือค้อนตีเหล็กส่งเสียงดังออกมาจากร้าน
สนามหลังร้านเป็นที่ที่เขาให้ครอบครัวใช้ชีวิตอยู่ ชายร่างกำยำมีภรรยางดงามและมีลูกสาวอายุแปดขวบ สาวน้อยอยู่ในร่างและไม่สนใจเรื่องความร้อน นางมักจะนำผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อให้พ่ออยู่บ่อยครั้ง
ซึ่งเมื่อเป็นแบบนั้น ชายร่างกำยำมักจะเผยรอยยิ้มอย่างเป็นสุข
เขาพอใจกับชีวิตตอนนี้เป็นอย่างยิ่ง แม้จะเรียบง่ายแต่ก็หวงแหนลูกสาวและชีวิตนี้เป็นอย่างดี เขาต้องการทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อครอบครัว เพื่อให้ชีวิตดีขึ้นและให้อนาคตของลูกสาวดียิ่งกว่านี้
เพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น เขาจึงทำงานเป็นช่างตีเหล็กอย่างหนักและทำทุกอย่างด้วยความปราณีต
ชีวิตของเขาเรียบง่ายแต่ก็มีความอบอุ่นที่เขาหวงแหน เขาเกิดในเมืองนี้และมีเพื่อนเล่นที่เติบโตมาด้วยกัน แม้ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัว กระนั้นก็มักดื่มด้วยกันบ่อยครั้ง หัวเราะและพูดถึงอดีตด้วยกัน
ในคืนนั้นยามที่กำลังหลับใหล เขาเกิดความฝันหนึ่ง ในความฝันนั้นเขาตระเวณไปทั่วโลก ราวกับได้เป็นจักรพรรดิเทพที่นำพาผู้คนเข้าต่อสู้กับศัตรู
ในความฝันมีการแตกแยก โลหิตและความโศกเศร้า เขายังมีลูกสาวชื่อชวง…ชื่อเดียวกับลูกสาวของเขาตอนนี้
แต่ความฝันนี้ไม่ใช่เรื่องจริง เมื่อใดที่เขาตื่นขึ้นมาจากความฝัน เขาดูเหมือนหลงทางและมองออกไปนอกหน้าต่าง จิตใจยังคงเหมือนในความฝันแต่เมื่อเขามองภรรยาและลูกสาวที่ไม่กล้านอนคนเดียว เขาก็จะยิ้มและลืมทุกอย่างเกี่ยวกับความฝันนั้น
หากเลือกได้ เขาคงเลือกครอบครัวของตัวเองและไม่ใช้ชีวิตในความฝัน
เขาไม่รู้ว่ามีใครอีกคนกำลังมองเขาและครอบครัวมาจากท้องฟ้า
หวังหลินมองครอบครัวของช่างตีเหล็กคนนี้ เขาสัมผัสได้ถึงความสุขและความพอใจของฉิงหลิน ฉิงหลินคือจักรพรรดิเทพในโลกถ้ำและตอนนี้มาเกิดใหม่เป็นคนธรรมดาแต่ก็ได้รับความสุขและความอบอุ่น
หวังหลินมองฉิงหลินอย่างอิจฉา จากนั้นสักพักเขาก็จากไป
“เหมือนผีเสื้อสีชาด เขาเลือกที่จะลืม…ลืมอดีต ลืมชีวิตที่ผ่านมาและจมอยู่กับชีวิตในปัจจุบัน ผ่านวัฏจักรซ้ำแล้วซ้ำเล่าและหวงแหนปัจจุบัน”
“ทางเลือกของแต่ละคนคือสิ่งที่ถูกต้อง…ทางเลือกของข้าก็ถูกต้องด้วยเช่นกัน!” หวังหลินพึมพำกับตัวเอง
……………………………………………………..
ตอนที่ 2073 โลกถ้ำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังหลินเจอสหายเก่าทั้งหมดยกเว้นลี่เฉียนเหมยและฉิงชุ่ย เมื่อเขาได้ให้อีกฝ่ายเลือกว่าจะปลดปล่อยความทรงจำหรือมีสิทธิ์ลืม หวังหลินก็ไม่มีอะไรผูกมัดกับแผ่นดินเซียนดาราอีกแล้ว
ก่อนที่จะไปแคว้นกระทิงสวรรค์ หวังหลินไปหาโจวยี่และฉิงชวงอีกครั้ง เขาเห็นรอยยิ้มมีความสุขของโจวยี่จากที่ห่างไกล หวังหลินจึงยิ้มออกมาเช่นกัน
ความรักอันขมขื่นหลายพันปีในที่สุดตอนนี้ก็สมบูรณ์ เมื่อหวังหลินเห็นแบบนี้จึงนำสุราออกมาขวดหนึ่งและดื่มไปอึกใหญ่ นี่คือสุราที่เขาได้มาจากซือถูหนาน เพื่อเฉลิมฉลองให้แก่การแต่งงานของโจวยี่และฉิงชวง
หวังหลินยังไปที่เมืองหลวงและเห็นไฮ่จื่อ อย่างไรก็ตามเขาทำได้แค่มองดูไกลๆ และจากไปเท่านั้น
แคว้นกระทิงสวรรค์เป็นที่แรกที่เขาปรากฏตัวและออกมาจากโลกถ้ำ หลังจากผ่านมาหลายปีตอนนี้เขาได้กลับมาอีกครั้ง หวังหลินเดินไปบนแคว้นอันคุ้นเคย ผ่านไปยังสำนักมหาวิญญาณและสำนักกุ้ยยี่
ภาพอันคุ้นเคยทำให้หวังหลินนึกถึงอดีต ณ ใจกลางแคว้นกระทิงสวรรค์ที่ที่มีเทือกเขาเรียงรายมากมาย หวังหลินมองลงมาที่พื้นดินเบื้องล่างอย่างเงียบงันและเอ่ยขึ้น
“กระทิงสวรรค์ ตอนนั้นเกราะวิญญาณของเจ้าช่วยข้าผ่านวิกฤติไปได้หลายครั้ง…ข้าหวังหลินตอบแทนผู้ที่มีส่วนช่วยเหลือข้ามาเสมอ วันนี้ข้าจะปลดปล่อยวิญญาณของบรรพชนเทพเพื่อปล่อยเจ้าให้เป็นอิสระ!”
“แต่ร่างกายเจ้ากลายเป็นผืนแผ่นดินไปแล้วและไม่สามารถฟื้นคืนได้ ข้าจะปลดปล่อยวิญญาณของเจ้าและให้สร้างวิญญาณดั้งเดิมเพื่อที่เจ้าจะได้ออกไปจากแผ่นดินเซียนดารา เจ้าตกลงหรือไม่?”
เสียงของเขาไม่ได้ดังมากนักและไม่ได้แผ่กระจายออกไปทั่ว กระนั้นพื้นดินก็เริ่มสั่นไหว เสียงดังสนั่นออกมาพร้อมกับกลิ่นอายแห่งพื้นดินรั่วไหลกลายเป็นร่างเงาขนาดใหญ่อยู่เหนือเทือกเขา
ร่างเงานี้คือกระทิงสวรรค์และมีขนาดใหญ่มาก ราวกับสามารถค้ำจุนโลกได้ในร่างเดียว หวังหลินดูเล็กลงไปถนัดตาแต่เจ้ากระทิงสวรรค์ตัวยักษ์กลับเผยท่าทีเคารพพร้อมกับคุกเข่าเบื้องหน้าหวังหลิน
“ขอบคุณ…ข้าตกลง…” เสียงดังสนั่นและเต็มไปด้วยความตื่นเต้น มันถูกปิดผนึกมานานเกินไปและทำให้เจ้ากระทิงสวรรค์รู้สึกขอบคุณหวังหลินอย่างสุดซึ้ง
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก เจ้าช่วยเข้าเอาไว้ก่อนหน้านี้และข้าก็แค่มาตอบแทนเจ้า” หวังหลินมองกระทิงสวรรค์และชี้ออกไป ร่างกระทิงสวรรค์สั่นเทาและเผยท่าทีอันเจ็บปวด อักขระจำนวนมากปรากฏขึ้นมารอบร่างกายคล้ายกับจะฝังรากลงไปในร่างกระทิงสวรรค์ เหล่าอักขระผสานกันกลายเป็นสิ่งของที่เหมือนหัวใจ
และหัวใจกำลังเต้น
หวังหลินชี้ใส่สิ่งของรูปหัวใจ เหล่าอักขระทั้งหมดรอบกระทิงสวรรค์จึงพังทลาย สิ่งของรูปหัวใจได้หดอยู่ในร่างกระทิงสวรรค์ทันที
ชั่วขณะต่อมาเมื่อมันเหลือขนาดเพียงเท่าเล็บก้อย จึงกลายเป็นลำแสงและลอยออกมาด้านนอก มันร่อนลงในฝ่ามือหวังหลินและเขาบีบมันให้แตกละเอียด
วิญญาณกระทิงสวรรค์ส่งเสียงคำรามใส่ท้องฟ้า จากนั้นเปลี่ยนกลายเป็นระลอกคลื่นสะท้อนออกไป ดวงวิญญาณพุ่งทะยานเข้าไปในท้องฟ้าและเมื่อมันอยู่ตรงปลายสุดขอบฟ้า มันได้หันกลับมา คุกเข่าให้หวังหลินอีกครั้งและเลือนหายไปราวกับอุกกาบาต
หลังจากวิญญาณกระทิงสวรรค์จากไป แคว้นกระทิงสวรรค์ดูเหมือนต่างออกไปจากเดิมแต่ก็ตรวจจับได้ยาก หวังหลินมองไปยังจุดที่กระทิงสวรรค์หายไปและเขาเดินเข้าสู่สำนักเจ็ดเต๋า
สำนักเจ็ดเต๋า ที่ตั้งของโลกถ้ำ
ภูเขาล้อมรอบด้วยสายหมอกจนมองเห็นได้ไม่ไกล ที่แห่งนี้รกร้างและไม่มีใครเข้ามานานแล้ว อย่างไรก็ตามมีร่างหนึ่งด้านล่างภูเขากำลังมองขึ้นมา
ร่างนี้เป็นชายวัยกลางคนชุดสีฟ้า เขากำลังมองสายหมอกและเห็นซากปรักหักพังอยู่เบื้องหลังอย่างเลือนลาง
เขาเผยสีหน้าซับซ้อนและพึมพำกับตัวเอง “สำนักเจ็ดเต๋า…”
“ในที่สุดข้าก็มาถึงที่นี่…” ชายวัยกลางคนส่ายศีรษะอย่างขมขื่นและก้าวเดินไปบนถนนที่ผุพัง เขาเดินอย่างเชื่องช้าราวกับต้องการจดจำต้นไม้ทุกต้นและใบหญ้าทุกใบ
หลังจากทะลุสายหมอกเข้ามาถึงยอดเขา เขาจึงเห็นเหล่าตำหนักของสำนักเจ็ดเต๋า สายตาของชายวัยกลางคนจึงเต็มไปด้วยความสับสน
เขามองทุกอย่างเบื้องหน้าก่อนจะถอนหายใจ ก้าวเดินเข้าไปจนมาถึงประตูหินขนาดใหญ่ที่อยู่หลังภูเขา ประตูบานนี้เชื่อมต่อกับภูเขาและถูกปิดผนึกอย่างสิ้นเชิง มีต้นมอสกำลังเติบโตและส่งกลิ่นเหม็น
ชายวัยกลางคนหลับตาเบื้องหน้าประตูหิน
พอเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขามองมาที่ประตูและพึมพำกับตัวเองอย่างขมขื่น “ประตูของโลกถ้ำ…”
“เบื้องหลังประตูคือโลกถ้ำ…ข้าเกิดใหม่จากที่นั่น” ชายวัยกลางคนถอนหายใจ หลังจากได้รับความทรงจำจากชีวิตที่แล้วมา เขาก็ออกมาจากสำนัก เดินตามความรู้สึกมาจนถึงที่นี่
เขามาถึงสำนักเจ็กเต๋า เบื้องหน้าประตูสู่โลกถ้ำ
ร่างสั่นเทาเล็กน้อยพลางเข้าไปใกล้ประตูและสัมผัสอย่างแผ่วเบา ผ่านไปสักพักจึงเผยสายตามุ่งมั่นและหันตัวกลับพร้อมที่จะจากไป
ขณะที่หันกลับมาเขาพลันหยุดชะงัก ด้านหลังนั้นเขาเห็นหวังหลินที่กำลังยิ้มให้
หวังหลินกระซิบ “ศิษย์พี่…”
“หวังหลิน…” ชายวัยกลางคนผู้นี้คือฉิงชุ่ย! หลังจากฟื้นคืนความทรงจำมาได้ อักขระที่อยู่บนตัวเขาจึงเบาบางลง พอเวลาผ่านไปมันจึงเลือนหายอย่างสมบูรณ์
ฉิงชุ่ยมองหวังหลินและเริ่มหัวเราะ เสียงหัวเราะดังลั่นอย่างมีความสุขเต็มเปี่ยม เขาเดินเข้ามากอดหวังหลินและหัวเราะไปด้วยกัน
ทั้งสองนั่งด้วยกันตรงหน้าประตู หวังหลินนำสุราออกมาดื่มกับฉิงชุ่ย
ทั้งสองลืมเลือนเรื่องเวลา ดื่มไปพลางพูดคุยประสบการณ์ของแต่ละฝ่าย ยิ้มให้กันแต่ก็เช็ดคราบน้ำตา ศิษย์พี่ศิษย์น้องจากโลกถ้ำได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง
เมื่อหวังหลินนำเรื่องผีเสื้อสีชาดขึ้นมาพูดคุย ฉิงชุ่ยเกิดความตกตะลึง เขาดื่มสุราอึกใหญ่ไปอย่างขมขื่น
“เรื่องราวในอดีต หากลืมไปแล้วก็ปล่อยให้ลืมไปเถอะ ตั้งแต่มาที่แผ่นดินเซียนดารา ทุกคนสามารถเลือกเส้นทางของตัวเองได้ แต่ตัวข้าจะไม่มีวันลืม!”
“บางทีคงมีหนทางที่ข้าจะฟื้นคืนชีพฮานหยานที่นี่ ต้องมีแน่นอน!” ฉิงชุ่ยพึมพำกับตัวเอง
แม้แต่หวังหลินก็ไม่สามารถฟื้นคืนชีพคนที่ตายไปนานได้และวิญญาณที่ไม่มีอยู่อีกแล้วจะทำอย่างไร ถึงอย่างนั้นหวังหลินก็ไม่ได้บอกฉิงชุ่ยเรื่องนี้ หากไม่มีแม้แต่ความหวัง ก็คงเหลือแต่ความสิ้นหวังเท่านั้น
เมื่อตะวันยามรุ่งสางทะลุผ่านสายหมอกเข้ามา ฉิงชุ่ยก็จากไป ในเมื่อเขาเลือกที่จะไม่ลืม เช่นนั้นเขาจึงไม่ต้องการกลับโลกถ้ำ เขาเพียงต้องการมาเห็นสำนักเจ็ดเต๋า และเห็นว่าโลกถ้ำอยู่ที่ไหน
ตอนนี้เขาได้ทำตามที่ตัวเองต้องการแล้ว การมาเจอหวังหลินถือว่าทำให้เขาเปี่ยมสุขอย่างยิ่ง ต่อไปเขาจึงจะไล่ตามความฝันของตัวเอง แม้จะใช้เวลาทั้งชีวิต แม้จะผ่านการเกิดใหม่อีกหลายครั้ง เขาก็ยังอยู่และไม่มีวันลืม
หวังหลินมองดูฉิงชุ่ยก้าวเดินออกไปไกลลับสายตา จากนั้นจึงยืนอยู่เบื้องหน้าประตูและเผยสีหน้าซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก
จากเหล่าสหายทั้งหมดแล้วมีเพียงฉือซานที่เลือกติดตามหวังหลินกลับโลกถ้ำ ด้านฉือซานนั้นการติดตามอาจารย์คือสิ่งเดียวที่เขาต้องการอยู่แล้ว
คนอื่นมีหน้าที่รับผิดชอบของตัวเอง หลายคนเลือกที่จะลืมชีวิตก่อนหน้านี้และเริ่มชีวิตใหม่
หวังหลินเปิดประตูสู่โลกถ้ำ เมื่อประตูเปิดออกมาแสงอันทรงพลังเปล่งประกายและเขาจึงหายเข้าไปในแสงนั้น
ประตูปิดลงอีกครั้ง
สำนักเจ็ดเต๋ายังคงถูกห่อหุ้มด้วยสายหมอก ตกอยู่ในซากปรักหักพังที่ไม่มีใครสนใจ
…
โลกถ้ำ
ม่านพลังระหว่างดินแดนชั้นในและดินแดนชั้นนอกแข็งแกร่งมาก ในช่วงเวลาหลายร้อยปีนี้ดินแดนชั้นนอกได้ทำการโจมตีเข้ามาแต่ก็ไม่มีพลังอำนาจพอจะพังทลายม่านพลังได้
ชื่อเสียงของหวังหลินกลายเป็นตำนานในโลกถ้ำไปแล้ว หลายคนจดจำเขาแต่ก็มีอีกหลายคนที่ลืมเลือนไป
แม้แต่เซียนของดินแดนชั้นในก็เช่นกัน มีเพียงรูปปั้นอยู่บนดาวซูซาคุ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่พร้อมทั้งตำนานของเขาที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นพักๆ
นอกจากสถานที่แห่งนี้ยังมีอีกที่หนึ่งที่มีเรื่องเล่าของหวังหลินดำเนินต่อไป นั่นคือแดนสวรรค์แห่งใหม่!
เซียนจำนวนมากจากดาราจักรทั้งสี่แห่งได้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาแดนสวรรค์ที่หวังหลินสร้างเอาไว้ เซียนส่วนใหญ่เป็นคนที่รอดชีวิตจากสงครามระหว่างดินแดนชั้นนอก หลายคนเคยเจอหวังหลิน บางส่วนยังได้เห็นหวังหลินต่อสู้ในสงคราม
มู่ปิงเหมยไม่ได้จากไปไหน นางเลือกที่จะอยู่ในโลกถ้ำ อยู่ในแดนสวรรค์ รอคอยว่าสักวันจะมีคนกลับมา
ปรมาจารย์เต๋าความฝันก็ไม่ได้ออกไปภายนอก ในฐานะคนที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนสวรรค์ เขาจำต้องอยู่เพื่อปกป้องที่แห่งนี้ รวมถึงหลายคนเช่นจ้าวเมฆาใต้ที่เลือกจะไม่ออกไปเช่นกัน
อย่างไรก็ตามตอนนี้แดนสวรรค์กำลังมืดมน คล้ายกับเมฆครึ้มกำลังโหมกระหน่ำจนเหล่าเซียนในแดนสวรรค์ยังต้องเงียบเสียง
ปรมาจารย์เต๋าความฝันบาดเจ็บสาหัส
ร่างกายของจ้าวเมฆาใต้แตกสลาย เหลือเพียงดวงวิญญาณดั้งเดิม
ท้องฟ้าในแดนสวรรค์เป็นสีแดงโลหิตและมีร่างเงาวูบวาบเผยสีหน้าดุร้าย ดุจมีภูติผีจำนวนมากข้างในสีโลหิต
“อาจารย์ให้เวลาห้าวันเพื่อให้พวกเจ้าเลือก ตอนนี้ผ่านมาแล้วสามวันและเหลือเพียงสองวัน ข้าหวังว่าพวกเจ้าทั้งหมดจะไม่โง่และเข้าร่วมสำนักวิญญาณสีชาดของข้า ไม่เช่นนั้นก็…ตาย!” ท้องฟ้าสีแดงโลหิตมีชายหนุ่มสวมชุดสีแดงสด เขาพูดกับเหล่าเซียนจำนวนมากด้านล่าง
“ส่วนเจ้า มู่ปิงเหมย เจ้ามีเวลาเหลือแค่สองวันเท่านั้น ภายในสองวันเมื่อค่ายกลห่อหุ้มแดนสวรรค์ถูกทำลาย ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคู่ฝึกฝนเต๋าของข้าหรือไม่ ข้าก็จะกวาดล้างดาวซูซาคุและทำลายรูปปั้นหวังหลินให้หมด!”
……………………………………………
ตอนที่ 2074 จ้าววิญญาณสีชาด!
โดย
Ink Stone_Fantasy
จ้าวเมฆาใต้ซึ่งเหลือเพียงวิญญาณดั้งเดิมกำลังจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ในแสงโลหิต ขณะที่เขาฟังชายหนุ่มพูดจึงส่งเสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
“สองวัน นับตั้งแต่ที่แดนสวรรค์ถูกหวังหลินสร้างขึ้นมา ทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนเป็นผู้รอดชีวิตจากสงครามระหว่างดินแดนชั้นนอก มีคำกล่าวหนึ่งในดินแดนชั้นใน เจ้าเคยได้ยินหรือไม่?” จ้าวเมฆาใต้ร้องคำราม เหล่าเซียนทุกคนมองขึ้นไปข้างบน
“เซียนเช่นเราไม่เคยหวาดกลัวการต่อสู้!!”
เสียงจากเหล่าเซียนก่อเกิดเป็นคลื่นเสียงพัดขึ้นไปในอากาศ พัดแสงโลหิตออกไปบางส่วนและเผยร่างชุดสีแดงหลายหมื่นคน
เบื้องหลังร่างเหล่านี้คือหมอกโลหิตหนาแน่น หมอกโลหิตกำลังปั่นป่วนและมีคนนั่งอยู่ข้างในหนึ่งคน
“สหายเฒ่า เจ้ารนหาที่ตาย! อีกสองวันเมื่อค่ายกลแตกสลาย ข้าจะขอให้อาจารย์มอบวิญญาณดั้งเดิมของเจ้ามา ข้าต้องการลิ้มรสวิญญาณเซียนขั้นที่สามว่าจะมีรสชาติเช่นใด” ชายหนุ่มีสีหน้าเปลี่ยนไปและมีจิตสังหารแรงกล้า
จ้าวเมฆาใต้ร้องคำราม “มีอะไรให้ต้องกลัวตาย!?”
“หวังหลิน ผู้สร้างแดนสวรรค์จะกลับมาสักวันหนึ่ง เมื่อเขากลับมา ข้าอยากเห็นเหลือเกินว่าแค่สำนักวิญญาณสีชาดและจ้าววิญญาณสีชาดจะต่อต้านอย่างไร!”
ด้านข้างจ้าวเมฆาใต้คือปรมาจารย์เต๋าความฝันที่กำลังหน้าซีดและบ่มเพาะเพื่อฟื้นฟูกำลัง
“หวังหลิน? โชคดีที่มันจากไปแล้ว ไม่เช่นนั้นมันคงเป็นแค่มดแมลงเบื้องหน้าอาจารย์! ค่ายกลรอบแดนสวรรค์ถูกหวังหลินวางเอาไว้ แต่มันกำลังจะโดนอาจารย์ทำลาย ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์ต้องการทั้งแดนสรรค์ในสภาพสมบูรณ์ อาจารย์คงบดขยี้พื้นดินที่พวกเจ้าเหยียบไปแล้ว”
ชายหนุ่มเยาะเย้ย นี่เป็นเพียงแค่ร่างเงาไม่ใช่ร่างจริง เพียงส่งเสียงหัวเราะ ร่างก็เลือนหายเข้าไปในแสงโลหิต
ค่ายกลที่หวังหลินวางเอาไว้รอบแดนสวรรค์ถูกปกคลุมไปด้วยแสงโลหิตซึ่งกำลังกัดกร่อนค่ายกล ส่วนใหญ่พังเสียหายไปแล้วและคงใช้เวลาอีกสองวันกว่ามันจะพังทลายอย่างสมบูรณ์
ร่างหลายหมื่นคนกำลังลอยอยู่ด้านนอกแดนสวรรค์ราวกับหุ่นเชิด พวกเขาปลดปล่อยหมอกสีแดงจำนวนมากเข้าสู่แสงสีโลหิต
เบื้องหลังร่างทั้งหมดมีเมฆหมอกสีแดงโลหิตขนาดใหญ่ ข้างในเป็นชายชราชุดแดงนั่งอยู่ แม้แต่เรือนผมก็ยังสีแดง
สองมือของเขากำลังสร้างผนึกส่งอักขระรูนออกไปเพื่อให้ค่ายกลรอบแดนสวรรค์พังทลายเร็วยิ่งขึ้น
‘หวังหลินช่างมีทักษะยอดเยี่ยมจริงๆ ค่ายกลที่เขาวางเอาไว้กว่าข้าจะทำลายได้ต้องใช้เวลาอยู่หลายวัน ทั้งค่ายกลยังแปลกประหลาดและมีกลิ่นอายน่าหวาดกลัว ข้ารู้สึกเหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หากข้าใช้พลังเต็มที่เข้าทำลายมัน’
‘แต่ว่า ตราบใดที่ข้าไม่ฝืนทำลายมันและแทรกแซงด้วยหมอกโลหิตแทน ก็จะปลอดภัย โชคดีที่กลิ่นอายของมันไม่ได้มีมากแล้ว ไม่เช่นนั้นการทำลายค่ายกลคงยากกว่านี้!’ ชายชราผมแดงคนนี้คือจ้าววิญญาณสีชาด!
ตอนนั้นที่หวังหลินเผชิญหน้ากับราชันย์หรือก็คือกับดักแห่งความตาย หวังหลินได้ปลดปล่อยผนึกของเย่โม่ไปด้วย วิญญาณเขาจึงได้รับอิสระและหนีมาได้
ตอนนี้เขาฟื้นคืนระดับบ่มเพาะได้รับร่างกาย หลังจากหวังหลินหายตัวไปหลายปีเขาก็สร้างสำนักวิญญาณสีชาดขึ้นมา เขาใช้ระดับบ่มเพาะอันแข็งแกร่งเพื่อทำร้ายปรมาจารย์เต๋าความฝันจนบาดเจ็บสาหัส จากนั้นก็ทำลายร่างจ้าวเมฆาใต้
เขาจ้องมองพื้นดินของแดนสวรรค์และเผยสีหน้าอำมหิต
‘พวกคนที่แข็งแกร่งส่วนใหญ่ของดินแดนชั้นในต่างก็รวมกันที่แดนสวรรค์ ก่อนที่ข้าจะฟื้นคืนระดับบ่มเพาะมาได้ข้าไม่มีความมั่นใจในการทำลายค่ายกล แต่ตอนนี้ค่ายกลจะถูกทำลายในอีกสองวัน คนทั้งหมดนี้จะกลายเป็นอาหารของข้า หลังจากข้ากลืนกินแก่นโลหิตของพวกมันเข้าไป ระดับบ่มเพาะของข้าจะเพิ่มไปถึงผู้สูงส่งชั้นทอง!!’
‘ฮ่าฮ่า เมื่อข้าได้กลายเป็นผู้สูงส่งชั้นทอง แม้แต่ตอนที่ข้ากลับไปยังแผ่นดินเซียนดารา ข้าก็สามารถกลายเป็นหัวหน้าผู้อาวุโสในสำนักและยังมีโอกาสได้เป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้า!’ จ้าววิญญาณสีชาดมีแววตาตื่นเต้น เขารู้ว่าบนแผ่นดินเซียนดารามีผู้สูงส่งชั้นฟ้าเพียงแค่หลักร้อย เมื่อเขากลายเป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้าก็จะสามารถติดตามมหาชั้นฟ้าได้
และถึงตอนนั้น ในฐานะเซียนที่ติดตามมหาชั้นฟ้า เขาก็จะมีชื่อเสียงโด่งดังบนแผ่นดินเซียนดารา
‘หากข้าติดตามหนึ่งในห้ามหาชั้นฟ้า ข้าจะเลือกจักรพรรดิเทพแน่นอน…น่าเสียดายที่มีคนแข็งแกร่งมากเกินไปที่อยู่ใต้อำนาจจักรพรรดิเทพและเขาอาจจะไม่ต้องการข้า…ถึงเช่นนั้นแม้ข้าจะไม่ได้ติดตามจักรพรรดิเทพ ข้าก็ยังติดตามมหาชั้นฟ้าต้าวยี่ได้!’
‘มหาชั้นฟ้าต้าวยี่ห่วงใยผู้สูงส่งชั้นฟ้าอย่างยิ่ง แม้ข้าจะไม่ทำอะไร เขาก็จะรับข้าได้แน่นอน ด้วยการปกป้องจากมหาชั้นฟ้าต้าวยี่ แม้เจ้าหวังหลินจะรู้เรื่องที่ข้าทำ ข้าก็ไม่กลัว!’
‘หากระดับบ่มเพาะของมันต่ำกว่า ข้าจะดูดซับแกนโลหิตของมันมาทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้น หากระดับบ่มเพาะของมันใกล้เคียงหรือสูงกว่าข้า แม้จะไม่น่าเป็นไปได้ ข้าก็ยังมีมหาชั้นฟ้าต้าวยี่ปกป้อง’
‘ข้าไม่เชื่อว่ามันจะกล้าแข็งขืนต่อหน้ามหาชั้นฟ้าต้าวยี่ บางทีในใจมันคงสั่นเทาและยอมคุกเข่าอ้อนอวนตอนที่ได้เห็นมหาชั้นฟ้าต้าวยี่!’
‘ต่อหน้ามหาชั้นฟ้า เหล่าเซียนทุกคนเป็นแค่มดแมลงเท่านั้น!’ จ้าววิญญาณสีชาดคำนวณเรื่องราวในอนาคตอย่างละเอียด หลังจากมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด เขาจึงหัวเราะเสียงดัง
“อาจารย์!” ในหมอกโลหิตมีอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กับเขาซึ่งเป็นชายหนุ่ม ทันใดนั้นชายหนุ่มลืมตาขึ้นมา โค้งคำนับให้แก่จ้าววิญญาณสีชาดอย่างเคารพ เขาคือร่างเงาที่พูดกับผู้คนในแดนสวรรค์
จ้าววิญญาณสีชาดหัวเราะและมองมาที่ชายหนุ่มข้างๆ ชายหนุ่มคนนี้คือคนที่เขาเจอในโลกถ้ำซึ่งเหมาะสมที่จะเป็นศิษย์เขาอย่างยิ่ง พรสวรรค์ของชายหนุ่มถือว่ายอดเยี่ยมและน่าสนใจมาก เขาไปเจอที่ดาวซูซาคุ ชายหนุ่มคนนี้บอกว่าเป็นลูกหลานของหวังหลินจากการสืบสายโลหิตไปไม่รู้กี่รุ่น
ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มอำมหิตและกล่าวอย่างเคารพ “อาจารย์ พวกนั้นยังไม่ยอมแพ้ มันยังส่งเซียนออกมาเสริมค่ายกล ยิ่งจ้าวเมฆาใต้นั่นทำตัวน่ารังเกียจ หลังจากอาจารย์ทำลายค่ายกลได้ ข้าขอวิญญาณของจ้าวเมฆาใต้ให้ศิษย์ไปทรมานเขาได้หรือไม่”
“ก็แค่จ้าวเมฆาใต้ ข้าจะมอบให้เจ้าแล้วกัน!” จ้าววิญญาณสีชาดยินดียิ่งตอนที่เห็นสีหน้าอำมหิตของศิษย์ตนเอง เขาต้องการศิษย์แบบนี้
จ้าววิญญาณสีชาดพูดขึ้น “แต่มู่ปิงเหมยนั่น…”
ชายหนุ่มกล่าวอย่างเคารพ “หากอาจารย์ต้องการสตรีคนนั้น ศิษย์จะอุ้มมาให้ด้วยสองมือเลย”
“นางคือคนรักของบรรพชน” จ้าววิญญาณสีชาดเผยใบหน้าซุกซน เขาพบว่าเรื่องนี้น่าสนใจ กระทั่งอยากรู้ว่าหวังหลินจะมีสีหน้าอย่างไรถ้ารู้เรื่องนี้ในอนาคต
ชายหนุ่มกล่าวอย่างเคารพ “แล้วอย่างไร? แม้ศิษย์จะแซ่หวัง หวังหลินก็ออกไปจากโลกถ้ำแล้ว เขาอยู่หรือตายไม่มีใครรู้ ในเมื่อทิ้งคนรักไว้เบื้องหลัง ปล่อยข้าให้ความบันเทิงกับนางจะดีเสียกว่า อาจารย์บอกข้าอยู่ตลอดไม่ใช่หรือ?”
‘เย่โม่ก็ตายไปแล้ว แต่ในเมื่อเจ้าได้รับมรดกของเขาไป หวังหลิน เจ้าจงสืบทอดความเกลียดชังของข้าไปด้วย!’ จ้าววิญญาณสีชาดหัวเราะและมีแววตาเป็นประกายอำมหิต
จ้าววิญญาณสีชาดยิ้มและกล่าวขึ้น “ไม่จำเป็นหรอก มู่ปิงเหมยเป็นคนที่อาจารย์เลือกมาให้เจ้ากับมือ ดังนั้นอาจารย์จะเอาไปจากเจ้าได้อย่างไร? แต่อาจารย์จะขอเล่นกับนางเล็กน้อย เมื่อเล่นกับนางเหนื่อยแล้ว อาจารย์ก็จะยกให้เจ้า”
“ในเมื่อเป็นแบบนั้น ข้าขอขอบคุณท่านอาจารย์” ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“รอไปอีกสองวัน!” จ้าววิญญาณสีชาดมีแววตาเปล่งประกาย สองมือสร้างผนึก หมอกโลหิตปั่นป่วนพร้อมกับเหล่าหุ่นเชิดหลายหมื่นตัวปลดปล่อยแสงสีแดงโลหิตที่แข็งกล้ามากขึ้น จนค่ายกลรอบแดนสวรรค์อ่อนแอลงอีก
ณ เวลานี้ขณะที่จ้าววิญญาณสีชาดกำลังใช้แสงโลหิตเพื่อกัดกร่อนค่ายกลในแดนสวรรค์ต่อไป มีสตรีสวมชุดสีขาวคนหนึ่งกำลังยืนอยู่บนยอดภูเขาสูง
สตรีผู้นี้มีความงดงามไร้ที่ติ แม้แต่ผู้คนบนแผ่นดินเซียนดาราก็มิอาจเทียบความงามของนางได้
ความงดงามของนางเรียกได้ว่าไม่ควรเป็นของโลกแห่งนี้
สายลมพัดปลิวนำพากลิ่นคาวโลหิตเข้ามา มันพัดเรือนผมและเผยใบหน้างดงามจนลืมหายใจให้เด่นชัด
ใบหน้าของนางสงบนิ่งแต่ลึกเข้าไปภายในกลับมีร่องรอยแห่งความสับสนและขมขื่นที่คนอื่นไม่อาจมองเห็น นางใช้ความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวของตัวเองเพื่อเป็นเกราะกำบังห่อหุ้มความขมขื่นและความสับสนให้อยู่ลึกลงไปในใจ
“ท่าน…” เบื้องหลังนางมีชายชราอีกคน เขามองนางจากด้านหลังด้วยความกระวนกระวายใจ
“ค่ายกล…อย่างมากก็อยู่ได้อีกสองวัน”
มู่ปิงเหมยมองบนท้องฟ้าและพูดขึ้นเบาๆ “ข้ารู้…ปล่อยให้ข้าอยู่คนเดียวสักพัก”
ชายชราลังเลก่อนจะถอนหายใจและล่าถอย
มู่ปิงเหมยเหลืออยู่คนเดียวบนภูเขา นางยืนอย่างเงียบงันและยกแขนขวาขึ้นมา ในมือมีกระบี่ผลึกหนึ่งเล่ม
มันคือกระบี่ที่หวังหลินทิ้งไว้ให้นาง สร้างจากแก่นแท้ของเขาและมีกลิ่นอายโบราณแฝงอยู่
“หากข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะทักทายท่าน…” มู่ปิงเหมยพึมพำ ประโยคนี้คือสิ่งที่นางพูดกับหวังหลินตอนที่เขาจากไป
“หากข้าไม่มีชีวิตอยู่แล้ว…” สายตามู่ปิงเหมยเต็มไปด้วยความเศร้า นางมองกระบี่ในมือและเกิดคราบน้ำตา
“หวังหลิน ท่านอยู่ไหน!?!” หยาดน้ำตาของมู่ปิงเหมยไหลรินลงบนกระบี่ผลึก เกิดเป็นเสียงเบาบางที่ใหลลงจากด้ามกระบี่…
ขณะที่มู่เปิงเหมยพึมพำอยู่ตอนนี้ ในอวกาศอันมืดมิดทางดาราจักรทุกชั้นฟ้าได้เกิดแสงกะพริบขึ้นมา เปลี่ยนกลายเป็นประตูและคนผู้หนึ่งก้าวออกมา
คนผู้นี้มีชุดสีขาว เรือนผมสีขาว
หวังหลิน
‘ที่นี่คือ…’ หวังหลินมองไปรอบๆ และเผยรอยยิ้ม
‘ดาราจักรทุกชั้นฟ้า…’ รอยยิ้มเผยความสุขจากในใจ กลิ่นอายคุ้นเคยที่นี่ทำให้เขารู้ว่าตนเองอยู่บ้านแล้ว
สัมผัสวิญญาณแผ่กระจายออกไปทั่วทิศทางโดยไม่รู้ตัว
“ชักสงสัยเสียแล้วว่าแดนสวรรค์เป็นอย่างไรบ้าง เกิดเรื่องใหญ่โตตั้งแต่ข้าจากไปหรือไม่…สหายเฒ่าพวกนั้นและ…” หวังหลินพึมพำแต่คำพูดหยุดชะงัก เขาจ้องมองไปทางแดนสวรรค์และรอยยิ้มเมื่อครู่พลันเปลี่ยนเป็นความเย็นเยียบและจิตสังหารมหึมา
นี่ถือเป็นการระเบิดจิตสังหารเต็มกำลังหลังจากกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเซียนดารา
…………………………………………………
ตอนที่ 2075 ข้อตกลง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“จ้าววิญญาณสีชาด…” หวังหลินพ่นลมหายใจเย็น ตอนนี้เขาสังเกตเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นด้านนอกแดนสวรรค์ได้อย่างชัดเจน เขาเห็นใบหน้าของจ้าววิญญาณสีชาดและชายหนุ่มที่เขาสัมผัสถึงสายใยโลหิตได้อย่างเบาบาง เขายังเห็นค่ายกลด้านนอกแดนสวรรค์กำลังโดนแสงโลหิตกัดกร่อนอีกด้วย
พอเห็นว่าค่ายกลโดนกัดกร่อนไปมากแค่ไหน มันน่าจะหายไปภายในเวลาสองวัน
ตอนที่จ้าววิญญาณสีชาดถูกหวังหลินปลดปล่อยออกมา แม้จะอ่อนแอแต่เขาก็ยังทรงพลังเกินไปสำหรับหวังหลิน ตอนนี้อีกฝ่ายฟื้นคืนมาสู่จุดสูงสุดแล้ว กระนั้นเบื้องหน้าหวังหลินในตอนนี้ก็ยังอ่อนแอดุจมดปลวก
มดตัวนี้เพียงแค่เขาชี้นิ้วก็สามารถบดขยี้ได้นับหมื่นครั้ง
หวังหลินพ่นลมหายใจพลางก้าวทะยานและเลือนหายจากดาราจักรทุกชั้นฟ้า จากนั้นประตูแสงก็หายไปราวกับไม่เคยอยู่ตรงนั้น
หวังหลินปรากฏตัวอีกครั้งภายในแดนสวรรค์อันคุ้นเคย ไม่มีใครสังเกตถึงการมาถึงของเขา
คงไม่ต้องพูดถึงจ้าววิญญาณสีชาดที่อยู่ด้านนอก
ท้องฟ้าในแดนสวรรค์ไม่เป็นสีครามเหมือนก่อนอีกแล้วแต่กลายเป็นสีโลหิต มันให้ความรู้สึกกดดันและหนักหน่วง แต่นอกจากสีของท้องฟ้าแล้ว ตำหนักมากมาย ภูเขาและแม่น้ำก็ยังขับความงดงามของแดนสวรรค์ออกมาได้อย่างเด่นชัด
เทียบกับตอนที่หวังหลินจากไป บางแห่งก็คุ้นเคยแต่ที่อื่นก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
หวังหลินมองไปรอบๆ พลันสะบัดแขนขวาปรากฏลำแสงออกมาสามสาย กลายเป็นคนสามคนอยู่ตรงหน้าหวังหลิน
ทั้งสามคือฉวี่ลี่กั๋ว หลิวจินเปียวและศิษย์คนเดียวที่ติดตามหวังหลินกลับมายังโลกถ้ำ ฉือซาน
ฉือซานไม่ธรรมดา พอมองรอบด้านและเห็นหมอกโลหิตจึงสับสนไปชั่วขณะแต่ก็สงบนิ่งได้ในเวลาไม่นาน เขาโค้งให้แก่หวังหลินและยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบงัน
สำหรับเขาแล้วไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินเซียนดาราหรือโลกถ้ำ ตราบใดที่อยู่กับอาจารย์ อย่างอื่นก็ไม่ต่างกัน
ทว่าหลิวจินเปียวและฉวี่ลี่กั๋วกลับมีสีหน้าแปลกประหลาด หลังจากมองไปรอบๆ ทั้งคู่มองหน้ากันเองด้วยสายตาที่มีความคิดชั่วร้าย หวังหลินมองออกว่าทั้งสองคนนี้รู้สึกภูมิใจและคิดว่าตนเองสูงส่ง
ราวกับคนลาจากบ้านนอกไปยังสถานที่อันยิ่งใหญ่และกลับมาด้วยความรู้สึกสูงส่งอย่างยิ่ง
ใบหน้าทั้งสองเหมือนเขียนไว้ว่า “ดูสิ ข้าไปแผ่นดินเซียนดารามาแล้ว! ที่นั่นข้ามีตำแหน่งใหญ่โต”
หวังหลินมองบนท้องฟ้าและพูดขึ้นมา “เราอยู่บ้านแล้ว พวกเจ้าจะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ ข้าจะไปเจอสหายเก่าเสียหน่อย” จากนั้นหวังหลินก็ทะยานออกไป
ตอนที่เขาเข้ามาในแดนสวรรค์ หวังหลินได้กวาดสัมผัสวิญญาณใส่ทุกคนแล้ว เขาสัมผัสได้หลายคนรวมถึงมู่ปิงเหมย
มู่ปิงเหมยกำลังยืนอยู่บนภูเขา ราวกับนางกำลังถูกสายลมพัดปลิวออกไป นางกัดริมฝีปากอยู่นานจากนั้นถอนหายใจ สะบัดกระบี่ผลึกในมือและเผยความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมเหมือนตัดสินใจไว้แล้ว
นางกระชับกระบี่ในมือพลางแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีโลหิตและหันตัวกลับ แต่จังหวะนั้นเองมู่ปิงเหมยถึงกับตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง นางมองเห็นร่างที่กำลังมองมาที่นางด้วยสายตาไม่เชื่อ
นั่นเป็นชายหนุ่มผมขาวและสวมชุดสีขาว มีกลิ่นอายแห่งความคุ้นเคยในความไม่คุ้นเคย
ทั้งสองมองหน้ากันภายใต้ท้องฟ้าสีแดงโลหิต ฉากหลังเป็นภูเขา บรรเลงเพลงด้วยสายลม ท้องฟ้าเป็นที่ยึดทุกอย่างเข้าด้วยกัน
ยามที่หวังหลินมองสตรีที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยนั้น เขาเกิดความรู้สึกอันซับซ้อน เป็นความรู้สึกที่อยู่กับเขามานาน
สำนักเหิงยั่วฉายขึ้นตรงหน้า ตามมาด้วยหญิงสาวผู้มีความสดใส จากนั้นในสุสานซูซาคุก็เป็นร่างสตรีที่งดงามจนแทบลืมหายใจ
ร่างนี้เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ชั่วเวลาหนึ่งในดาราจักรทุกชั้นฟ้า หวังผิงส่งเสียงคำรามออกมาอย่างขมขื่นจนหายไปในตอนที่หวังหลินออกจากโลกถ้ำ เขาเห็นความทรงจำของตัวเองเหมือนภาพวาด
ในวันนั้น สายฝนตกอย่างเบาบางบนแดนสวรรค์ ท่ามกลางสายฝนมีหญิงสาวชุดขาวทะยานขึ้นมาดุจใบไม้แห้ง
ท่ามกลางสายฝนมีสตรีสุดสวยกำลังถือร่ม นางมีเรือนผมสีดำยาวและงดงามเหมือนภาพวาด การมาถึงของนางทำให้บริเวณนั้นเงียบสงัดและมีเพียงเสียงแห่งสายฝน บรรยากาศรอบด้านคล้ายมีพลังที่แปลกประหลาดทำให้คนผู้หนึ่งลืมเลือนทุกสิ่งยกเว้นหญิงสาวผู้นี้
“หากข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะกลับมา…” หวังหลินมองหญิงสาวตรงหน้า ร่างของนางทับซ้อนความทรงจำของเขาและหลอมละลายภายในใจอย่างช้าๆ
มู่ปิงเหมยไม่กล้าเชื่อว่านางกำลังเห็นอะไร นางตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง ภายในภวังค์นั้นร่างผมขาวของหวังหลินได้ครอบคลุมหัวใจของนางมากขึ้นจนผสานเข้ากับความทรงจำและหลอมละลายหัวใจนางไปด้วยกัน
พริบตาเดียวนั้นนางเหมือนได้เห็นสำนักเหิงยั่วเมื่อหลายพันปีก่อน ท่ามกลางผู้คนมากมาย มีชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่ไม่ได้อ่อนไหวกับความงดงามของนาง
นางได้เห็นร่างที่นางใช้วิชาหยุดเอาไว้ในสุสานซูซาคุและจ้องมองนางอย่างเย็นชา
และในดาราจักรทุกชั้นฟ้า ชายผู้ปล่อยเสียงคำรามอย่างโหยหวนหลังจากรู้ว่าร่างอวตารของนางตายไป อีกทั้งสายตาของเขายังเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
สุดท้ายแล้วภาพทุกอย่างจบลงตอนที่ชายคนนั้นออกไปจากโลกถ้ำ สายฝนที่ตกในวันนั้นนำพาความรู้สึกของการลาจากเข้ามาด้วย
ท่ามกลางสายฝนนั้นร่างหวังหลินช่างดูแปลกประหลาดจนถึงจุดที่ทำให้นางเจ็บปวดหัวใจ นางเห็นท่าทีไม่แยแสของเขากลายเป็นความอ่อนโยน นางรู้ว่าเป็นเพราะทั้งสองกำลังแยกจากกันและบางทีเขาอาจจะไม่ได้กลับมา
“หากข้ายังมีช่วิต ข้าจะมาเจอท่าน…” มู่ปิงเหมยกัดริมฝีปากพร้อมกับหยาดน้ำตาไหลลงมุมสายตา หลังจากหวังหลินออกไปจากโลกถ้ำแล้วนางก็ไม่เผยความอ่อนแอนี้ออกมาเลย
หวังหลินมองหญิงสาวงดงามตรงหน้าและเผยรอยยิ้มอ่อนโยน เขาถอยหายใจจากนั้นก้าวเข้าไปหามู่ปิงเหมย ทั้งคู่มองท้องฟ้าสีแดงโลหิตด้วยกัน
หวังหลินพูดขึ้นเบาๆ “หลังจากออกมาจากโลกถ้ำ ตอนที่ข้าอยู่บนแผ่นดินเซียนดารา มีสิ่งหนึ่งที่ต้องการพูดมาตลอด ตอนนี้ข้ากลับมาแล้ว เจ้าอยากฟังหรือไม่”
มู่ปิงเหมยพยักหน้า หัวใจของนางกำลังสั่นเทา นางยังรู้สึกว่ายากที่จะเชื่อและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
หลังจากได้ยินคำพูดของหวังหลิน นางจึงกังวลยิ่ง เรื่องแบบนี้นับว่าพบได้ยากกับคนที่เป็นคนเอาแต่ใจเหมือนนางผู้ครั้งหนึ่งเป็นเซียนสตรีฟ้ากระจ่างและตอนนี้เป็นเซียนสตรีแห่งแดนสวรรค์ ราวกับนอกจากหวังหลินแล้วไม่มีชายใดจะทำให้นางรู้สึกประหม่าเหมือนตอนนี้
บางทีหากจะมีอีกสักคน ก็คงเป็นหวังผิง
มือขวาจับกระบี่ มือซ้ายจับปลายเสื้อผ้าตัวเองโดยไม่รู้ตัว นิ้วมือกำลังซีดขาว
“หลิวเหมย…” หวังหลินถอนสายตาออกมาจากท้องฟ้าและพูดขึ้นกับมู่ปิงเหมยเบาๆ
“อย่าพูดนะ ข้าไม่อยากฟัง!!” มู่ปิงเหมยร่างสั่นเทาและหน้าซีดทันที นางถอยกลับมาพร้อมกับทำกระบี่ในมือหล่นวูบ วินาทีนั้นนางดูเปราะบางเพียงแค่สายลมพัดก็ทำให้ปลิวได้แล้ว
หยาดน้ำตาไหลออกมาบนใบหน้า เผยจุดอ่อนออกมาอย่างน่าตกใจ
“ข้าไม่อยากฟัง หวังหลิน ข้า…ข้าไม่อยากฟัง…” น้ำตาไหลออกมามากขึ้นจนไหลมาบนแก้มและตกไปบนเสื้อผ้า
หวังหลินมองมู่ปิงเหมย ร่างอันเปราะบางและแววตาสับสนนั้นทำให้หวังหลินถอนหายใจ
“นอกจากการพบสหายเก่า ข้ากลับมาครั้งนี้ก็เพื่อจัดการเรื่องระหว่างเรา ข้าค้นพบหนทางชุบชีวิตหวานเอ๋อร์ และเมื่อข้าจากไปแล้วข้าจะไปชุบชีวิตนาง”
มู่ปิงเหมยมีน้ำตาไหลลงมาเป็นสาย ด้วยไหวพริบของนาง ทำไมจะไม่รู้ว่าหวังหลินอยากพูดอะไร? ใบหน้าซีดเซียวของนางเผยอาการขมขื่น
“หลิวเหมย ปล่อยอดีตให้เป็นอดีต…ข้าเองก็มีส่วนรับผิดชอบในความผิดพลาดครั้งนั้น…ปล่อยให้ความทรงจำของเรากลายเป็นฝุ่นไปเถอะ…เจ้าบอกข้าว่าเจ้าอยากเจอหวังผิง…”
หวังหลินมองมาที่มู่ปิงเหมยและพูดขึ้นเบาๆ “ข้ากลับมาครั้งนี้เพื่อขจัดเรื่องในใจเจ้า หวังผิงต้องการแม่ ข้าจะสร้างเต๋าแห่งความฝันขึ้นมาที่มีเจ้า ข้าและหวังผิงเพื่อสานต่อวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่จนจบ…การทำแบบนี้ผิงเอ๋อร์จะได้เห็นแม่ ให้เจ้าไม่มีอะไรต้องเสียใจ และให้ข้า…ไม่มีอะไรเสียใจเช่นกัน”
มู่ปิงเหมยครุ่นคิดอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นสักพักนางจึงปาดน้ำตา มองหวังหลินด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก และพยักหน้า
“ท่านจะอยู่กับข้าไปชั่วชีวิต ใช้เวลาร้อยปีในโลกแห่งความฝันเพื่อแก้ไขปัญหาทุกอย่าง…ดังนั้นตอนนี้ท่านคือสามีข้า ใช่หรือไม่?” มู่ปิงเหมยพึมพำ
หวังหลินหลับตา พอลืมขึ้นมาอีกครั้งจึงพยักหน้า
มู่ปิงเหมยเผยรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่มีคราบน้ำตา นางก้าวเดินเข้าหาหวังหลิน กอดเขาและตกอยู่ในอ้อมกอด
หวังหลินกอดมู่ปิงเหมยอย่างอ่อนโยน กลิ่นหอมจากร่างกายของนางช่างมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้กอดกันจริงๆ เป็นครั้งแรกที่วางความรู้สึกซับซ้อนทั้งหมดทิ้งไปเพื่อใช้เวลาร้อยปีในการแก้ไขความผิดพลาดหรือความสัมพันธ์ที่อาภัพ
ทั้งสองสวมกอดกันบนภูเขาภายใต้ท้องฟ้าสีแดงโลหิต กาลเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ หลังจากนั้นหนึ่งวันสีโลหิตก็ยิ่งเข้มขึ้น ถึงจุดนี้รอยแตกบางๆ ปรากฏอยู่บนค่ายกล ส่งสัญญาณว่ามันพร้อมจะพังทลายแล้ว หวังหลินจึงออกไปจากภูเขาพร้อมกับมู่ปิงเหมย
………………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น