Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 2056-2059

 ตอนที่ 2056 สมบูรณ์แบบ!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ความรู้สึกระหว่างอาจารย์และศิษย์ไม่จำเป็นต้องอธิบาย แม้หวังหลินและซวนลั่วจะไม่ใช่ศิษย์อาจารย์กันอีกแล้ว ในใจหวังหลินนั้น ซวนลั่วคืออาจารย์เขาเสมอ


และในใจของซวนลั่ว ศิษย์คนเดียวของเขายังคงเป็นเด็กคนนี้ที่เขาพามาจากโลกถ้ำเข้าสู่เผ่าโบราณ


ภายในอารามบรรพชน แม้หวังหลินกำลังเจอกับความเจ็บปวดรุนแรง เขารู้สึกอบอุ่นในหัวใจ สูดหายใจลึก หลับตาลงและจมความคิดเข้าไปในการแยกวิญญาณอย่างสมบูรณ์


เพียงมีอาจารย์อยู่ที่นี่ เขาไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีก


พริบตาเดียวผ่านไปสามวัน ช่วงเวลาสามวันนี้หวังหลินนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว แต่ความเจ็บปวดจากการแยกวิญญาณดั้งเดิมยิ่งรุนแรงมากขึ้นราวกับพายุพัดผ่านในร่าง ขณะที่นั่งอยู่ตรงนั้น มีร่างเงาหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องบนและเชื่อมต่อกับศีรษะเขา


ร่างเงานี้มีรอยแตกร้าวขึ้นทั่วร่าง รอยแตกเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งรอยแตกก็เชื่อมต่อกับรอยอื่นๆ จนเป็นภาพที่น่าตกตะลึง


เงาที่ว่านี้คือภาพฉายวิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินออกมาสู่ด้านนอก


หากเป็นคนในเผ่าโบราณคนอื่น บางทีคงไม่สามารถอดทนต่อความเจ็บปวดได้และเลือกจะผสานวิญญาณไป ทว่าสำหรับหวังหลินนั้นนี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นและยังห่างจากจุดสิ้นสุดอีกไกลมาก


อีกสามวันได้ผ่านไป ผู้คนในเมืองหลวงต่างก็สังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกเขารู้สึกว่าวงแหวนรอบรูปปั้นนั้นอยู่นานมากกว่าปกติ


“มันอยู่มาแล้วหกวัน แค่มากกว่าปกติไม่กี่วัน ดูเหมือนท่ามกลางคนที่กำลังเผชิญกับหายนะ มีคนที่มีความมุมานะบากบั่นอยู่บ้าง!”


“หกวัน…ข้าสงสัยจริงว่าใครในกลุ่มที่อดทนอยู่ได้นานขนาดนี้ ตอนนั้นข้าอยู่ไม่ถึงสามวันด้วยซ้ำ ความเจ็บปวดนั่นไม่ใช่สิ่งที่จะอดทนได้ง่ายๆ”


“ต้องเป็นคนที่คู่ควรให้ท่านซ่งคุ้มกันแน่นอน”


ทว่าถึงแม้จะเกิดความสนใจ เวลาหกวันก็ไม่ได้ยาวนานนัก ผู้คนค่อยๆ ลืมเลือนไปเป็นปกติ


จนกระทั่งวันที่เก้า วันที่สิบห้า วันที่สามสิบ และผ่านมาสองเดือน วงแหวนรอบรูปปั้นบรรพชนโบราณยังคงอยู่ที่เดิมรอบเมืองหลวง


คราวนี้มีหลายคนมองรูปปั้นด้วยความตกตะลึง พวกเขารู้สึกว่าคนกลุ่มนี้อดทนมาได้นานเกินไปหน่อย


“สองเดือนและไม่มีใครออกมาจากอารามบรรพชน เว้นแต่ว่า…เว้นแต่ว่า…”


“เว้นแต่จะมีคนเดียวที่กำลังเผชิญกับหายนะ ใครกันถึงกับทำให้ท่านซ่งเข้ามาคุ้มกัน?”


“สองเดือน เขาอดทนได้สองเดือนจริงๆ ดูเหมือนเขาเลือกเส้นทางที่ยากลำบากในการแยกวิญญาณ”


เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัวและผ่านไปอีกหกเดือน เพิ่มกับสองเดือนก่อนหน้านี้จึงทำให้การแยกวิญญาณครั้งแรกของหวังหลินกินเวลามาแล้วแปดเดือน!


ช่วงเวลาแปดเดือนแทบทำให้ทุกคนในเมืองหลวงต้องล้อมวงเข้ามาดูรูปปั้นบรรพชนเพื่อดูว่าวงแหวนนี้ยังอยู่ดีทุกเช้าหรือไม่


เกิดการถกเถียงขึ้นไปทั่วทั้งเมืองหลวง กลายเป็นหัวข้อร้อนแรงในเมือง ผู้คนเริ่มแรกตกตะลึงจนกลายเป็นความหวาดกลัว จากนั้นความหวาดกลัวกลายเป็นความตื่นเต้น ตอนนี้ความตื่นเต้นของแต่ละคนมาถึงจุดสูงสุด


เพราะอีกแค่สี่เดือนก็จะครบปีตามข้อมูลที่บันทึกนี่จะเป็นผู้ที่อยู่ในช่วงแยกวิญญาณครั้งแรกได้นานที่สุดในอาณาเขตฉี!


“เขาจะอดทนได้ครบปีหรือไม่? ต้องบอกก่อนว่าคนที่อดทนได้นานที่สุดนั้นคือหนึ่งปี!! หากเขาไม่ตายในการแยกวิญญาณครั้งที่สอง เขาอาจได้กลายเป็นมหาชั้นฟ้าไปแล้ว!”


“แปดเดือนแล้ว เขาช่างอดทนต่อความเจ็บปวดแบบนั้นได้อย่างบ้าคลั่งจริงๆ”


“ลือกันว่าท่านซ่งในอดีตถึงกับอดทนได้สิบเอ็ดเดือนเชียวนะ!”


ขณะที่ผู้คนถกเถียงกัน หวังหลินยังคงนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว แต่เงารอบตัวเขาแตกเป็นเศษละเอียดไปแล้ว ส่วนขาของร่างเงาได้หายไปและเหลือร่างเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น


ร่างนี้พร่าเลือนยิ่งราวกับสามารถสลายไปได้ทุกเวลา แม้หวังหลินยังคงหลับตาอยู่ เขากำลังอดทนต่อความเจ็บปวดมหาศาล วิญญาณดั้งเดิมสลายไปทีละน้อยเหมือนโดนมีดกระเทาะออกไป เขาต้องมีสติอยู่ตลอดทั้งกระบวนการ


การทุกข์ทนมาแปดเดือนไม่ได้ทำให้เขายอมแพ้ เขากำลังรอให้วิญญาณดั้งเดิมสูญสลายไปอย่างสมบูรณ์ก่อนจะผสานกลับเข้ามา!


เสียงคำรามจากบรรพชนโบราณเป็นสิ่งเดียวที่อยู่ในใจเขาตอนนี้


“หากข้าต้องการให้ท้องฟ้าพังทลาย มันก็จะพังทลาย หากข้าต้องการให้ปฐพีถล่ม มันก็จะถล่ม! หากข้าต้องการให้ตาย ไม่มีใครกล้าหยุดข้าได้ หากข้าต้องการไม่ให้พวกเทพเหลือรอด ใครจะกล้าช่วยพวกมัน…”


ขณะที่เขาอดทนด้วยแรงทั้งหมด เดือนที่เก้าก็มาถึง จากนั้นเดือนที่สิบ เดือนที่สิบเอ็ดผ่านไปในพริบตา


ซ่งเทียนนั่งอยู่นอกอารามบรรพชน คุ้มครองหวังหลินมาสิบเอ็ดเดือน เขาไม่ประหลาดใจที่หวังหลินสามารถอดทนจนถึงตอนนี้ได้และคาดไว้แล้วว่าหวังหลินน่าจะอยู่ได้ราวหนึ่งปี


‘ความจริง เวลาหนึ่งปีก็มากพอแล้วให้วิญญาณดั้งเดิมกลายเป็นเศษเสี้ยว มีแต่คนบ้าในอดีตเท่านั้นที่อดทนไป 28 เดือนจนเศษเสี้ยวกลายเป็นฝุ่นผง!’ ซ่งเทียนไม่ได้มองกลับมาที่อารามและคาดคำนวณเวลา


เมื่อเดือนที่สิบสองผ่านไปและผ่านไปอีกสองเดือน ทั่วทั้งอาณาเขตฉีตกอยู่ในความโกลาหล ทั้งหมดมองมาที่รูปปั้นบรรพชนโบราณ สงสัยกันว่าใครกันที่อยู่ได้นานขนาดนี้!


‘สิบสี่เดือน…สมแล้วที่เป็นท่านหวัง!’ จักรรพรดิฉีถอนหายใจอยู่ในวัง


ในวันนี้เองเป็นเดือนที่สิบสี่ บนร่างเงาเหลือเพียงศีรษะอยู่เท่านั้น มันเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว ขณะที่แสงระเบิดออกมาจากภายใน มันก็แตกสลาย


ราวกับไม่มีร่างเงาอยู่เหนือหวังหลินอีกต่อไปแล้ว หากใช้สัมผัสวิญญาณมองดูคงเห็นเศษเสี้ยวจำนวนมากที่ลอยอยู่กำลังพังทลาย


ตอนนี้ร่างหวังหลินไม่มีพลังชีวิตราวกับเขาตายไปแล้ว โลหิตในร่างไม่เคลื่อนไหว ร่างกายเย็นเฉียบ เขาสูญเสียความคิดจิตใจราวกับตายไปจริงๆ


ที่เหลืออยู่คือเจตจำนงเพียงอย่างเดียว เจตจำนงเพื่ออดทนจนกระทั่งถึงปลายสุดและผสานกันอีกครั้ง หากเขาสำเร็จ เขาก็จะเกิดใหม่ แต่หากล้มเหลว เขาจะเลือนหายไป


“ข้าจะล้มเหลว? ไม่! ข้าจะไม่มีวันล้มเหลว!!” ในใจเขามีเสียงคำรามของบรรพชนโบราณยังคงดังกึกก้อง


เศษเสี้ยวที่มองไม่เห็นเหล่านี้ค่อยๆ แตกสลายไปอย่างช้าๆ พร้อมกับเวลาผ่านไปอีกสี่เดือน หวังหลินอดทนต่อการแยกวิญญาณครั้งแรกมา 18 เดือนแล้ว


คราวนี้แม้แต่ซ่งเทียนยังใจเต้น เขาหันหน้ามามองอาราม


หากเขาเป็นแบบนี้คงไม่ต้องพูดถึงเหล่าคนของอาณาเขตฉี เวลาสิบแปดเดือนทำให้พวกเขาคุ้นชินว่าวงแหวนจะอยู่ไปตลอด ทว่าพวกเขาเองก็รู้สึกไม่เชื่อว่าการทำให้ชินนั้นเป็นไปไม่ได้


เดือนที่สิบเก้า เดือนที่ยี่สิบ…จนกระทั่งเดือนที่ยี่สิบเจ็ด! หวังหลินอดทนมามากกว่าสองปีและในอารามบรรพชนนั้นเศษเสี้ยวที่มองไม่เห็นได้แตกสลายไปอย่างสมบูรณ์ราวแปดในสิบส่วน


เหลือเศษเสี้ยวเพียงไม่กี่ส่วนเท่านั้นที่ยังแตกสลายต่อไป


เดือนที่สามสิบได้ผ่านไป ช่วงเวลาสองปีครึ่งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะซ่งเทียนสัมผัสได้ถึงเจตจำนงของหวังหลินอยู่ในอารามบรรพชน เขาคงคิดว่าหวังหลินตายไปแล้ว


‘คนบ้า!! การที่เขามีความแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ ต้องเกี่ยวข้องกับความบ้านี่แน่นอน เขาไม่รู้หรือว่าการสลายอย่างสมบูรณ์ทำให้ตายได้?’ ซ่งเทียนลุกขึ้นแล้ว เขายืนอยู่นอกอารามด้วยท่าทีไม่แน่นอน


พอเวลาผ่านมาสามสิบเดือนได้ทำให้จิตใจจักรพรรดิฉีเกิดการเปลี่ยนแปลงบางส่วน แม้เขายังเรียกจี้ตูตามปกติ ในสายตาเขาซ่อนบางอย่างเอาไว้ ทว่ามีแต่เขานั้นที่รู้ว่าคืออะไร


อย่างไรก็ตามสิ่งที่จักรพรรดิฉีไม่รู้ก็คือจี้ตูเองก็สังเกตเรื่องนี้ได้เช่นกันแต่เขาไม่สนใจ ตอนนี้เขาเคร่งเครียดมาก ไม่ใช่ในตำแหน่งจักรพรรดิ แต่เป็นความปลอดภัยของพ่อบุญธรรม


เมื่อเดือนที่สามสิบห้าผ่านเข้ามา แม้แต่ซวนลั่วที่คุ้มกันหวังหลินอยู่ในท้องฟ้าก็ยังเผยความเคร่งเครียด เขาต้องการเตือนหวังหลินแต่ก็กลัวว่าจะทำให้เกิดอุบัติเหตุ


ถึงเดือนที่สามสิบหก ซวนลั่วเกิดความลังเล จังหวะนั้นวงแหวนทั้งเก้าพลันส่องสว่างเจิดจ้า แสงแผ่กระจายไปทั่วทิศทางและกวาดผ่านทั่วเมืองหลวง ทั้งเมืองเงียบงันพร้อมกับเหล่าผู้คนอาณาเขตฉีมองเข้ามาที่รูปปั้นบรรพชนโบราณ


ซวนลั่วลุกขึ้นและมองเข้ามาอย่างตื่นเต้น


ซ่งเทียนอ้าปากค้าง จากนั้นถอยกลับมาหมื่นฟุตและมองเข้าไป


ภายในราชวัง จักรพรรดิฉียืนอยู่ข้างหน้าต่างด้วยความเคร่งเครียด สายตาจ้องมองไปยังอารามบรรพชน


จี้ตูมาถึงด้านนอกอารามในระยะหมื่นฟุตด้วยตัวเอง มองเข้ามาอย่างเคร่งเครียด


ภายในอารามบรรพชน แสงส่องประกายบนร่างไร้การเคลื่อนไหวของหวังหลิน ละอองแสงนับไม่ถ้วนควบแน่นอยู่บนร่างกาย ก่อตัวเป็นร่างเงาที่ใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า มันเปล่งประกายเจิดจ้าและเปล่งแรงกดดันอันน่าตกตะลึง


เมื่อร่างเงาควบแน่นขึ้นมาได้ วงแหวนทั้งเก้ารอบรูปปั้นจึงผสานกันกลายเป็นหนึ่งเดียวทันที มันปลดปล่อยแสงเจิดจ้าและทำให้กลางคืนดูราวกับกลางวัน!


นาทีนั้นวงแหวนที่ผสานกันได้แบ่งตัวออกเป็นสิบแปดวง ลอยอยู่รอบรูปปั้นบรรพชนโบราณ!


“แยกวิญญาณครั้งแรกสมบูรณ์!”


“สามสิบหกเดือน ทั้งหมดเป็นเวลาสามปี!!”


ซ่งเทียนมองดูฉากเหตุการณ์นี้และพึมพำกับตัวเอง “สลายอย่างสมบูรณ์และผสานอย่างไร้ที่ติ…”


……………………………………………………


ตอนที่ 2057 ล้มเหลว

โดย

Ink Stone_Fantasy

บางคนในเผ่าโบราณเชื่อกันว่าบรรพชนโบราณไม่ได้ตายและยังมีชีวิตอยู่! คนส่วนใหญ่เชื่อว่าถึงแม้บรรพชนโบราณจะตาย แต่จิตวิญญาณยังอยู่ที่นี่!


จิตวิญญาณของบรรพชนโบราณยังคงอารักขาทั้งสามอาณาเขต ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์ประหลาดระหว่างการทดสอบในอารามบรรพชนจะอธิบายได้อย่างไร? และเรื่องคำอวยพรจากรูปปั้นบรรพชนโบราณจะอธิบายได้แบบไหน?


วงแหวนที่ปรากฏขึ้นรอบรูปปั้นบรรพชนโบราณตอนที่มีคนกำลังอยู่ระหว่างหายนะแยกสามวิญญาณเต๋าโบราณ จะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไร?


ช่วงระหว่างแยกสามวิญญาณเต๋าโบราณ ตอนที่การแยกวิญญาณครั้งแรกปรากฏขึ้นมา วงแหวนเก้าวงจะปรากฏขึ้นรอบรูปปั้นบรรพชนโบราณ ช่วงการแยกครั้งที่สองจะเกิดวงแหวนขึ้นสิบแปดวง และช่วงการแยกวิญญาณครั้งที่สามจะเกิดขึ้นทั้งสิ้นยี่สิบเจ็ดวง!


ยามนี้ในเมืองหลวง ภายนอกรูปปั้นบรรพชนโบราณ วงแหวนสิบแปดวงกำลังเรืองแสงและมีระลอกคลื่นแผ่กระจายออกไปทั่วทิศทาง ดึงดูดสายตาทุกคนในเมืองให้มองมาที่นี่


ซ่งเทียนยืนอยู่นอกเมืองห่างออกไปหมื่นฟุต สายตามองวงแหวนสิบแปดวง เขาขบคิดเงียบๆ ชั่วครู่ก่อนจะจากไป สามปีก่อนเขามาที่นี่เพื่อชดใช้สิ่งที่เขาทำลงไปและเพื่อให้จิตใจตัวเองเกิดความสงบ


ตอนนี้เขาคุ้มครองหวังหลินมาแล้วสามปี แม้จะไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ที่นี่ เขาก็ตัดสินใจได้แล้ว หากหวังหลินเผชิญกับอันตรายในระหว่างสามปี เขาจะออกไปช่วยแน่นอน


เมื่อการแยกวิญญาณครั้งแรกสมบูรณ์ เขารู้สึกว่าไม่มีเหตุผลให้ต้องอยู่อีกต่อไป เขากลับสู่ภูเขาต้นกำเนิดโดยไม่หันกลับมา หยุดให้ความสนใจต่ออารามบรรพชนและเริ่มบ่มเพาะต่อไป


หวังหลินสัมผัสถึงการจากไปของซ่งเทียนได้ชัดเจน ขณะที่เขานั่งอยู่ในอารามบรรพชน รูปเงาด้านบนตัวเขานั้นมีขนาดใหญ่กว่าเดิมมาก แม้ระดับบ่มเพาะของหวังหลินไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่เขาสัมผัสว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อน!


ด้วยระดับบ่มเพาะตอนนี้ แม้แต่จะเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยมันก็ยังน่าตกตะลึง!


‘หากแต่ละครั้งที่ข้าผ่านหายนะนี้ได้อย่างไร้ที่ติและได้โลหิตวิญญาณมา…เมื่อข้ากลับไปยังสะพานย่ำสวรรค์อีกครั้งจะสามารถผ่านสะพานที่สี่ได้หรือไม่?’ หวังหลินพึมพำกับตัวเอง


หวังหลินสูดหายใจลึก ดวงตาเปล่งประกายพลางมองร่างเงาที่อยู่เหนือศีรษะ


‘แยกวิญญาณครั้งแรกใช้เวลาสามปี ชั่วจังหวะสุดท้ายแทบเหมือนความตาย ถ้าไม่ใช่เพราะเจตจำนงอันแน่วแน่ของข้าแล้วข้าคงหวาดกลัวจนไม่สามารถผสานกลับเข้าด้วยกันได้…’


‘แยกสามวิญญาณเต๋าโบราณเกี่ยวข้องกับพลังแห่งจิตใจ…แต่ก็มีโชควาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย…’ หวังหลินขมวดคิ้ว ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงมีน้อยคนที่เลือกจะแยกวิญญาณอย่างสมบูรณ์


โชควาสนาอาจจะมาครั้งเดียวหรืออาจได้ถึงสอง แต่สามครั้งในคราเดียว…อาจเป็นไปไม่ได้


‘เช่นนั้นครั้งที่สองนี้…’ หวังหลินหลับตา จากนั้นสักพักจึงลืมตาขึ้นมาด้วยความมุ่งมั่น


‘โชควาสนาก็สำคัญ แต่หากเจตจำนงทรงพลังมากพอจนเหนือกว่าทุกอย่าง แบบนั้นก็สำเร็จได้เช่นกัน!’ หวังหลินสร้างผนึกและปรากฏภาพเงาขึ้นเหนือศีรษะ เขาหลับตาลงอีกครั้ง!


ชั่วจังหวะที่หลับตา ร่างเงาเหนือศีรษะสั่นเทาและเกิดรอยแตกร้าวบางๆ ขึ้น การแยกวิญญาณครั้งที่สองได้เริ่มขึ้นแล้ว!


ซวนลั่วลอยอยู่ในท้องฟ้า สายตามองลงมาด้วยรอยยิ้ม เขานั่งลงและคุ้มกันศิษย์ของตนต่อไป


ในใจของเขา ถึงแม้อาณาเขตเต๋าจำเป็นต้องให้เขาปกป้อง แต่ศิษย์เขาที่ตกอยู่ในความอ่อนแอระหว่างการแยกวิญญาณนี้ก็ต้องการให้เขาปกป้องเช่นกัน


พริบตาเดียวเวลาผ่านไปอีกสามปี


วงแหวนสิบแปดวงเหนือเมืองหลวงอาณาเขตฉีราวกับกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมือง หลายคนราวกับคุ้นชินกับมันไปแล้ว


แม้พวกเขายังให้ความสนใจต่อวงแหวน ความอยากรู้อยากเห็นกลับค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา ตอนนี้พวกเขาเพียงแค่คาดเดาเอาไว้ในใจ


คาดเดาว่าคนผู้นี้จะอดทนต่อการแยกวิญญาณครั้งที่สองได้นานแค่ไหน


หลังจากสามปีผ่านมา มันก็ได้ผ่านไปอีกสามปี!


เวลาผ่านมาทั้งสิ้นหกปีนับตั้งแต่ที่วงแหวนสิบแปดวงล้อมรอบรูปปั้นบรรพชนโบราณ ซึ่งทำให้เมืองหลวงสว่างสดใสไม่มีแตกต่างระหว่างกลางคืนและกลางวัน


แม้แต่ในยามค่ำคืน แสงจากวงแหวนยังส่องสว่างไปทั่วทั้งวังหลวง


สิบปีมาแล้วนับตั้งแต่ที่การแยกวิญญาณครั้งที่สองเริ่มขึ้น เด็กหนุ่มที่เกิดในช่วงเวลานี้ต่างก็คิดว่าท้องฟ้าในเมืองหลวงเป็นแบบนี้เสมอ


ข่าวลือเรื่องการแยกวิญญาณสิบปีค่อยๆ แผ่กระจายไปยังเผ่าโบราณ ผู้คนจากอาณาเขตเต๋าและอาณาเขตจวี่ต่างก็เข้ามาดู


วันเวลาผ่านไปอย่างต่อเนื่อง ร่างเงาส่วนศีรษะแตกสลายไปอย่างสมบูรณ์ หวังหลินกำลังทุกข์ทนกับความเจ็บปวดเกินจินตนาการแต่เขาก็ยังอดทนอยู่ได้


เศษเสี้ยวที่มองไม่เห็นต่างก็แตกหักลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อพวกมันกลายเป็นฝุ่นผงไป สิ่งที่เป็นตัวแทนการแยกวิญญาณครั้งที่สองก็จะแตกสลายไปอย่างสมบูรณ์


จักรพรรดิฉีล้มเลิกความคิดในหัวและหยุดให้ความสนใจรูปปั้นบรรพชนโบราณ เขาเพ่งสมาธิไปที่การชี้นำจี้ตูเพื่อสืบทอดบัลลังก์อย่างช้าๆ


เหลือเวลาไม่ถึงสี่สิบปีจนกว่าจี้ตูจะได้สืบทอดบัลลังก์ สำหรับคนทั่วไปช่วงเวลาสี่สิบปีนับว่าเป็นครึ่งชีวิตเข้าแล้ว แต่สำหรับเผ่าโบราณ แม้จะยาวนานแต่ก็ไม่มากอะไรนัก


ขณะที่จี้ตูค่อยๆ ได้ควบคุมความลับหลายอย่างของอาณาเขตฉี เวลาก็ได้ผ่านไปอีกสามปี


หวังหลินแยกวิญญาณครั้งที่สองไปถึงสิบสามปี! ครึ่งปีก่อนมีแรงกดดันทรงพลังแผ่กระจายออกมาจากอารามบรรพชนและก่อเกิดพลังแปลกประหลาด พลังนี้หยุดยั้งสัมผัสวิญญาณและทุกคนไม่ให้เข้ามา!


ซวนลั่วมองลงมาจากท้องฟ้าด้วยความกังวล แม้แต่สัมผัสวิญญาณของเขาก็ไม่สามารถเข้าไปได้ เขาสัมผัสได้อีกว่าแม้แต่การเดินเข้าไปในอารามบรรพชนก็ยังถูกพลังสายนี้ล้อมรอบเอาไว้


พลังอำนาจนี้เป็นของบรรพชนโบราณและออกมาจากโลหิตวิญญาณ!


ตอนที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นบนอารามบรรพชน ซ่งเทียนที่เดิมทีต้องการทำเป็นเมินเฉยพลันลืมตาขึ้น เขามองมาทางอารามบรรพชนด้วยความสงสัย


ปีที่สิบสามผ่านไปและปีที่สิบสี่เข้ามาเยือน


เมื่อพลังลึกลับได้แผ่กระจายออกมา กลิ่นอายของหวังหลินเลือนหายไปอย่างสมบูรณ์ ไม่รู้ว่าเขาอยู่หรือตาย แม้แต่เจตจำนงที่คงอยู่ช่วงการแยกวิญญาณครั้งแรกก็ไม่สามารถตรวจจับได้


สัญญาณเดียวที่บ่งชี้ว่าหวังหลินยังไม่ตายคือวงแหวนสิบแปดวงที่ยังอยู่รอบรูปปั้นบรรพชนโบราณ


ไม่มีใครรู้ว่าเศษเสี้ยวนับไม่ถ้วนจากการแตกสลายร่างเงาของหวังหลินนั้นได้สลายกลายเป็นฝุ่นผงไปเมื่อหกเดือนก่อนแล้ว


ทว่าหลังจากแตกสลายไป เขากลับไม่สามารถผสานพวกมันได้อีกครั้ง หวังหลินใช้เจตจำนงอันทรงพลังเพื่อพยายามผสานมันอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่สำเร็จ


เจตจำนงของเขาค่อยๆ อ่อนแอลงหลังจากผสานไปหลายครั้ง ตอนนี้จึงอ่อนแอยิ่ง พลังชีวิตทั้งหมดของเขาหมดไปแล้วและมีเจตจำนงเหลือเพียงส่วนน้อยนิดเพื่อให้เขาได้ผสานกันอีกครั้ง


ละอองแสงจำนวนมากรวมกันเพื่อก่อเกิดเป็นร่างเงา แต่ไม่นานนักก็ไม่มั่นคงและแตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงจนเลือนหายไป


นี่เป็นครั้งที่สิบสามแล้ว!


หวังหลินใช้เจตจำนงที่เหลืออยู่น้อยนิดเพื่อเริ่มการผสานครั้งที่สิบสี่โดยไม่มีสัมผัสวิญญาณ ละอองแสงจำนวนมากควบแน่นในปีที่สิบสี่ผ่านไป


ปีที่สิบห้าเข้ามาเยือน


เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับวงแหวนสิบแปดวงรอบรูปปั้นบรรพชน สิ่งนี้ทำให้ทุกคนที่เคยชินกับวงแหวนต่างก็เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งเมือง


แม้แต่จักรพรรดิฉีที่ไม่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้ยังต้องออกมาจากห้องและมองรูปปั้นบรรพชนโบราณและสูดหายใจลึก


จี้ตูทะยานขึ้นสู่อากาศและมองเข้ามาด้วยความเคร่งเครียด เขากำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว


ซ่งเทียนยืนอยู่บนยอดเขาต้นกำเนิด สีหน้าท่าทางไม่แน่นอน


วงแหวนหนึ่งในสิบแปดวงพลันหมองหม่นและไม่นานนักก็แตกสลายกลายเป็นเศษเสี้ยวนับไม่ถ้วน


เป็นผลให้เหลือวงแหวนรอบรูปปั้นเพียงแค่สิบเจ็ดวงเท่านั้น!


“วงแหวนแตกสลาย นี่…มันเกิดอะไรขึ้น!?”


“หรือว่าการแยกวิญญาณครั้งที่สองจะล้มเหลวและเขาตายไปแล้ว? ไม่เช่นนั้นวงแหวนก็ไม่ควรแตกสลายหายไป!”


“ข้าจำได้แล้ว! ตอนนั้นข้าได้ยินว่าการแยกสามวิญญาณไม่ใช่ว่าอยู่ไปได้ตลอดและมันมีเวลาจำกัด เป็นไปได้ว่าคนผู้นี้บรรลุมาถึงช่วงเวลาขีดสุดของแยกวิญญาณครั้งที่สอง?”


เสียงการถกเถียงกันดังขึ้นในเมืองหลวง


‘หวังหลินมาถึงช่วงเวลาสูงสุดของแยกวิญญาณครั้งที่สอง หากวงแหวนทั้งหมดหายไปและเขารวบรวมวิญญาณดั้งเดิมกลับคืนมาไม่ได้ วิญญาณของเขาก็จะหายไป!’ ซ่งเทียนสูดหายใจลึกพลางมองอารามและขมวดคิ้ว


ซวนลั่วที่อยู่ในท้องฟ้าเองก็มองดูอยู่เช่นกัน สีหน้าท่าทางเปลี่ยนไป เขารู้เหตุผลที่วงแหวนกำลังหายไปจึงพุ่งเข้าหาอารามบรรพชนอย่างไม่ลังเล


ซ่งเทียนรู้นานแล้วว่าซวนลั่วอยู่ตรงนั้นแต่เขาก็ไม่ได้เผยตัวตนของอีกฝ่ายออกมา พอเขาเห็นร่างซวนลั่วจึงลังเลเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้หยุดยั้ง


ซวนลั่วมาถึงเบื้องหน้าอารามบรรพชนโบราณในทันที ก้าวขาเข้าไปข้างในอย่างไม่ลังเล พลังแข็งแกร่งสายหนึ่งตีกลับออกมาและกระทบกับร่างซวนลั่ว เขาไม่สามารถเข้าไปข้างในและถูกขวางไว้ด้านนอก


ตอนนี้วงแหวนที่สอง สาม สี่…จนถึงวงแหวนที่สิบเอ็ดได้หายไปทีละวง!


……………………………………………………..


ตอนที่ 2058 ร่างนั้น

โดย

Ink Stone_Fantasy

ด้านนอกรูปปั้นบรรพชนโบราณ เหลือวงแหวนเพียงแค่เจ็ดวงเท่านั้นที่ยังคงเปล่งแสงอ่อนๆ ทว่าหนึ่งในเจ็ดวงกำลังหมองหม่นและดูเหมือนแตกสลายไปได้ทุกเมื่อ


“หวังหลิน!!” ซวนลั่วถูกขวางไว้นอกอารามบรรพชน เขาเคร่งเครียดและส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปในอาราม ทว่ามันเหมือนเสียงที่พุ่งเข้าไปในทะเล ซวนลั่วเองก็ไม่มั่นใจว่าหวังหลินจะได้ยินหรือไม่


สองฝ่ามือสร้างผนึกปรากฏวงแหวนคล้ายดวงอาทิตย์ขึ้นรอบตัวเอง เขาก้าวเข้าไปในอารามได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกพลังสะท้อนกระเด็นกลับมา


ขณะที่ซวนลั่วพยายามอย่างต่อเนื่อง หวังหลินที่อยู่ในอารามบรรพชนกลับมีร่างกายเหี่ยวแห้งคล้ายโครงกระดูก รอบตัวเขาไม่มีละอองแสงและหมองหม่นจนแทบมองไม่เห็น


การพยายามผสานกันหลายครั้งจนนับไม่ถ้วนและเกิดความล้มเหลว ทำให้เจตจำนงของเขาแทบถูกลบล้างออกไป


มันเงียบสนิทอย่างสิ้นเชิง แต่ชั่วขณะต่อมาน้ำเสียงกระวนกระวายดังขึ้นที่นี่


“หวังหลิน!!”


“หวังหลิน!!”


“หวังหลิน!!”


หวังหลินหลับตาและนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว ทว่าตอนที่เสียงดังกึกก้องออกมา เกิดแสงสีแดงกะพริบวาบจากร่างคล้ายโครงกระดูก แสงสีแดงนี้คือโลหิตวิญญาณที่อยู่ในร่างกายเขา


แสงกะพริบคล้ายกับแสงสว่างที่เกิดขึ้นในความมืดอันลึกที่สุด


เวลาผ่านไปแต่ไม่ได้นานนัก วงแหวนอีกสี่วงเลือนหายไปและตอนนี้เหลืออยู่เพียงแค่สามวงเท่านั้น แสงจำนวนมากที่ห่อหุ้มทั่วบริเวณมาหลายปีกำลังหายไปและเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่กลางคืนแตกต่างจากปกติ


กระนั้นคืนนี้ไม่มีใครบ่มเพาะอยู่เลย ทุกคนต่างมองมาที่อารามบรรพชนโบราณ แม้แต่ลมหายใจยังเหมือนหยุดชะงัก


จากนั้นหนึ่งในสามวงแหวนรอบรูปปั้นก็สั่นเทาราวกับเทียนที่อยู่ในลมพายุและมันก็มอดดับไป


“หายไปอีกหนึ่งแล้ว!”


“เหลือวงแหวนแค่สองเท่านั้น การแยกวิญญาณที่ดำเนินไปถึงยี่สิบปี หรือเขาจะไม่สำเร็จจริงๆ…”


“เมื่อสองวงแหวนนี้หายไป เขา…รีบดูสิ หายไปอีกหนึ่งวงแล้ว!!!”


แทบทุกคนถึงกับสูดหายใจลึก วงแหวนอีกหนึ่งวงหายไปและตอนนี้เหลือเพียงวงเดียวเท่านั้น!!


และวงนี้ก็ค่อยๆ หมองหม่นลงอย่างช้าๆ


“หวังหลิน! ตื่นขึ้นสิ!!” ซวนลั่วโยนกำปั้นเข้าใส่อารามบรรพชนและส่งเสียงคำรามสั่นสะเทือนสวรรค์ เสียงคำรามกู่ก้องไปทั่วเมืองหลวงราวกับสายฟ้าฟาดและในที่สุดก็พุ่งเข้าสู่อารามบรรพชน


เขาฝืนก้าวเข้าไปในอารามบรรพชนอีกครั้งและถูกพลังสะท้อนกลับมา ซวนลั่วเคร่งเครียดยิ่ง เขาเคยเจอกับหายนะแยกสามวิญญาณเต๋าโบราณมาก่อน ตราบใดที่วงแหวนยังอยู่ แม้จะไม่มีพลังชีวิตหรือไม่มีสติอยู่แล้ว ก็ยังไม่ตาย แต่เหมือนกับการหลับใหล


เป็นวิญญาณที่กำลังหลับใหล หากหวังหลินสามารถตื่นขึ้นมาได้ ตราบใดที่วงแหวนเหลืออยู่ก็ยังมีโอกาสรอดชีวิต ซึ่งเป็นเหตุว่าทำไมเขาถึงเข้ามาคุ้มกันหวังหลิน!


แต่เมื่อวงแหวนทั้งหมดหายไป การหลับใหลนี้คงเท่ากับการตายที่แท้จริง!


“หวังหลิน ข้าซวนลั่วเป็นอาจารย์ของเจ้า รีบตื่นขึ้นมาสิ!!” ซวนลั่วร้องคำรามพลางเพ่งสมาธิทั้งหมดเข้าไปที่อารามบรรพชนแม้จะก้าวเข้าไปไม่ได้


เมื่อเสียงของซวนลั่วดังกึกก้องไปทั่วทั้งเมืองหลวง มันถึงกับทำให้ทุกคนตกตะลึง แทบทุกคนต่างก็สงสัยว่าใครกันที่กำลังเผชิญกับหายนะในอารามบรรพชน!


ในที่สุดคำถามนี้ก็ได้รับคำตอบ!


“หวังหลิน? ชื่อนี้ดูคุ้นๆ…”


“เขา!! หวังหลินคือคนที่สังหารจักรพรรดิเต๋าเมื่อร้อยปีก่อน! เป็นเขาจริงๆ!!”


“ลือกันว่าหวังหลินผู้นี้เป็นมหาชั้นฟ้าคนที่สิบแห่งแผ่นดินเซียนดารา ไม่น่าเชื่อ ข้าไม่คิดว่าคนที่เผชิญหายนะในอารามบรรพชนอยู่คือหวังหลินคนนั้น!!”


ขณะที่ซวนลั่วร้องคำรามอย่างกระวนกระวายและดังกึกก้องไปทั่วเมืองหลวง วงแหวนวงสุดท้ายกำลังสลัวลงเรื่อยๆ ราวกับสามารถสูญหายไปได้ทุกเวลา


ลึกเข้าไปในอารามบรรพชน แสงโลหิตบนร่างหวังหลินกำลังกะพริบอย่างรุนแรง


‘ใครกำลังเรียกหาข้า…’ หวังหลินดูเหมือนหลับไหลในมิติอันแปลกประหลาด มิติแห่งนั้นพร่าเลือนและเขาเหมือนคนตาบอดที่รู้สึกว่ามีเสียงหนึ่งกำลังเรียก


‘ข้าอยู่ไหน…’ หวังหลินยังคงสับสน เสียงเรียกเขาปรากฏขึ้นและหายไป พอเขาต้องการได้ยินมันชัด ก็ไม่อยู่อีกแล้ว


‘ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร…’ หวังหลินก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างสับสน ท้องฟ้าที่นี่มืดมิดและพื้นดินสลัว ทั่วทั้งโลกปกคลุมอยู่ในหมอกจนเขามองเห็นอะไรได้ไม่ไกลนัก


สถานที่แห่งนี้เป็นซากปรักหักพัง


ไม่มีสิ่งมีชีวิต ราวกับถูกทิ้งร้างมานานหลายปี ภูเขาไม่เขียวชอุ่ม มันเป็นสีเทามีแต่กลิ่นอายแห่งความตาย


‘ข้า…ข้าเป็นใคร…’ แววตาสับสนรุนแรงยิ่งขึ้น เขาดูเหมือนมีความทรงจำมากมายแต่จำไม่ได้ว่าเป็นใคร ทำไมถึงอยู่ที่นี่และที่นี่คือที่ไหน


“ตื่นขึ้นสิ…ตื่นขึ้นสิ…” เสียงเบาๆ ดังกึกก้องขึ้นอีกครั้งและหวังหลินหยุดลง


‘ข้าเหมือนได้ยินอะไรบางอย่าง’ ภายในความสับสนนั้นหวังหลินต้องการมองกลับไป แต่ชั่วจังหวะนั้นเขาเหมือนเห็นภูเขาในสายหมอกตรงหน้า


บนภูเขามีหิมะสีรุ้งกำลังตกลงมา มันสวยงามมาก


บนยอดเขามีร่างเลือนลางอยู่ร่างหนึ่ง เขามองเห็นได้แค่ว่าเป็นชายที่กำลังกอดร่างอีกคน เรือนผมยาวกำลังพัดพริ้วไปกับสายลม ภาพเหตุการณ์นี้เต็มไปด้วยความหดหู่และเศร้าโศก


หวังหลินจ้องมองร่างที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย เป็นความคุ้นเคยที่ทำให้เขาสั่นเทา


เสียงคำรามแห่งความโศกเศร้าดังออกมาจากร่างที่อยู่บนภูเขา เขาเงยศีรษะขึ้นมาและร้องคำรามใส่ท้องฟ้า ดังกึกก้องไปทั่วทิศทาง เสียงคำรามแฝงพลังทะลุทะลวงจนจิตใจหวังหลินสั่นสะท้านอย่างรุนแรง


เพียงเสียงคำรามดังกึกก้อง ท้องฟ้าหมองหม่นก็เริ่มสั่นเทาและเกิดระลอกคลื่นดังกึกก้องนับไม่ถ้วน คล้ายกับท้องฟ้ากำลังแตกสลาย แม้แต่สวรรค์ก็ไม่สามารถต้านทานเสียงคำรามของคนผู้นี้ได้และกำลังพังทลายไปด้วย


“ฟ้าดิน…” ร่างนั้นร้องคำรามเพียงแค่สองคำ จากนั้นมีเสียงอันคุ้นเคยปรากฏขึ้นมา


“หวังหลิน ตื่นขึ้นสิ!!” เสียงนี้ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า จากนั้นภูเขาที่หวังหลินมองดูก็เลือนหายไป ร่างที่กำลังสวมกอดส่งเสียงคำรามใส่ท้องฟ้าพลันหายไปด้วย


ร่างหวังหลินสั่นเทาและหันกลับมามองด้านหลังโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นเสียงดังสนั่นขึ้นในจิตใจ


เขาจำได้แล้ว เขาคือหวังหลินและกำลังเผชิญกับหายนะในอารามบรรพชน เขากำลังพยายามผสานวิญญาณกลับไปในการแยกวิญญาณครั้งที่สอง หลังจากจำได้แล้วจึงไม่มีแววตาสับสนอีกและเกิดความกระจ่างชัดเจน


ขณะเดียวกันลึกเข้าไปในอารามบรรพชน มีชายชราคนหนึ่งเรือนผมสีขาวกำลังตัวสั่นห่างจากหวังหลินไปร้อยฟุต ชายชราที่สวมเสื้อผ้าแบบเดียวกันนี้คือซวนลั่ว!


แต่เมื่อเทียบกับชวนซวนลั่วในร่างเยาว์วัยแล้ว กลับแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด!


“หวังหลิน ตื่นขึ้นสิ!!” ชายชราร้องคำราม น้ำเสียงแหบพร่า


หวังหลินลืมตาขึ้นช้าๆ พอเขาเห็นชายชรา ซวนลั่วเผยใบหน้าแห่งความสุข กระนั้นเขาก็ไม่สามารถต้านทานพลังสะท้อนได้และถูกพัดกระเด็นออกไปจากอารามบรรพชน


“อาจารย์…” หวังหลินพึมพำมองไปทางที่ซวนลั่วหายไป เขามองดูเส้นผมสีขาวของซวนลั่วและรู้ว่าจะไม่มีวันลืมเรื่องนี้ไปชั่วชีวิต


ทันใดนั้นหวังหลินเงยศีรษะขึ้นมาและสร้างผนึก แสงจำนวนมากปรากฏขึ้นเหนือศีรษะและรวมกันก่อเกิดเป็นร่างเงา


ตอนที่ซวนลั่วถูกพัดออกมาจากอารามบรรพชน เขาเห็นวงแหวนสุดท้ายค่อยๆ หายไป วงแหวนที่กำลังหายไปนั้นได้ฟื้นคืนกลับมาและส่องประกายเจิดจ้า จากนั้นวงแหวนที่สอง สาม สี่…สิบสองวงแหวนปรากฏขึ้นและเปล่งประกาย!


จากนั้นไม่นานวงแหวนที่สิบสาม สิบสี่…สิบแปดล้วนกลับมาอีกครั้ง! ทั่วทั้งเมืองหลวงถึงกับเงียบสนิท


หลังจากเงียบไปชั่วขณะ เกิดความโกลาหลขึ้นทั่วทั้งเมือง


วงแหวนที่สิบเก้าปรากฏขึ้นรอบรูปปั้นบรรพชนโบราณ จากนั้นวงแหวนที่ยี่สิบ ยี่สิบเอ็ด…จนกระทั่งยี่สิบเจ็ด พวกมันส่องประกายเจิดจ้าและเกิดระลอกคลื่นดังสนั่น ตอนนี้ไม่เพียงแค่เมืองหลวงแล้ว แม้แต่ภูเขาต้นกำเนิดก็ยังถูกแสงนี้ห่อหุ้มไปด้วย


ซวนลั่วเผยรอยยิ้ม เขาไม่ได้พักอยู่ด้านนอกอารามบรรพชน พอวงแหวนที่ 27 ปรากฏขึ้นมา เขาจึงลอยขึ้นไปในท้องฟ้าและนั่งลงเนื่องจากหายนะยังไม่จบ หวังหลินยังต้องผ่านการแยกวิญญาณครั้งสุดท้าย!


ภายในอารามบรรพชน ร่างเงาขนาดใหญ่เหนือศีรษะหวังหลินแทบครอบครองพื้นที่ทั่วทั้งอาราม ร่างเงานี้ขนาดใหญ่กว่าการแยกวิญญาณครั้งแรกหลายสิบเท่า!


หวังหลินเงยศีรษะ ร่างเงามองขึ้นไปด้วยเช่นกัน สายตาคล้ายกับมองทะลุอารามบรรพชนออกไปได้และเห็นรอยยิ้มบางๆ ของซวนลั่ว


“อาจารย์…”


สองสายตาประสานกัน ผ่านไปสักพักหวังหลินจึงก้มศีรษะ สูดหายใจลึก แม้การแยกวิญญาณครั้งที่สองนับว่าอันตรายยิ่งแต่ก็เทียบไม่ได้กับสิ่งที่เขาเห็นตอนที่สับสนอยู่


เขาอดคิดไม่ได้ถึงร่างที่กำลังสวมกอดและร้องคำรามใส่ท้องฟ้า


……………………………………………………


ตอนที่ 2059 เคยเห็นมาก่อน

โดย

Ink Stone_Fantasy

เจ้าของร่างนั้นเป็นใครและเขากอดใคร…หวังหลินไม่กล้าคิดถึงคำถามเหล่านั้น…


หวังหลินนั่งอยู่ในอารามอย่างเงียบงัน นึกย้อนไปถึงเวลา 68 ปีที่เขาอยู่ที่นี่


“เหลือเวลาไม่มากแล้ว…” หวังหลินพึมพำดังกึกก้องอยู่ในอาราม


ภายในเมืองหลวงอาณาเขตฉี ขณะที่วงแหวน 27 วงกำลังส่องประกายเจิดจ้าออกมาจากรูปปั้นบรรพชนโบราณ ทั่วทั้งเมืองได้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ ทุกคนต่างก็ส่งสายตาไปที่รูปปั้น


“สิบแปดปี เขาใช้เวลาสามปีในการแยกวิญญาณครั้งแรกและครั้งที่สองใช้ถึงสิบห้าปี เขาต้องการสลายอย่างสมบูรณ์และหลอมรวมอย่างไร้ที่ติ!”


“ครั้งแรกเขาทำได้สำเร็จ แต่ช่วงการผสานกลับครั้งที่สองเห็นได้ชัดว่าเกิดเรื่องขึ้น ข้าสงสัยเสียแล้วว่าครั้งที่สามจะเป็นอย่างไรกันแน่!”


“หากหวังหลินสลายอย่างสมบูรณ์ได้ต่อเนื่อง เช่นนั้นครั้งที่สามคงจะยากยิ่ง หากข้าเป็นเขาก็คงแยกครั้งที่สามให้เร็วขึ้นเพื่อประคองชีวิตตัวเอง”


ขณะที่สายตาทุกคนรวมกันที่อารามบรรพชน ด้านหวังหลินก็สูดหายใจลึก เขาปล่อยวางความคิดทุกอย่างเกี่ยวกับร่างนั้นไปและเพ่งสมาธิไปที่การแยกวิญญาณครั้งที่สาม!


หวังหลินสามารถบอกได้ว่าหลังจากการแยกวิญญาณครั้งที่สองจบลง วิญญาณดั้งเดิมของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาหลายเท่าและมีระดับบ่มเพาะแข็งแกร่งมากขึ้น หากแยกวิญญาณครั้งที่สามได้สำเร็จและวิญญาณดั้งเดิมกลับคืนสู่ร่างกาย เขารู้สึกว่าอาจจะบรรลุสูงสุดแห่งใหม่!


บางที…เขาอาจข้ามผ่านกุ้ยต้าว!


หวังหลินมีแววตาเป็นประกายและเผยความมุ่งมั่น เขาหลับตาลงให้ร่างเงาวิญญาณดั้งเดิมครอบคลุมทั่วทั้งอารามบรรพชน เริ่มการแยกวิญญาณครั้งที่สาม!


ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย!


‘สามปี สิบห้าปี…ครั้งที่สามจะนานแค่ไหนกัน…’ หวังหลินไม่มีคำตอบ


พริบตาเดียวเขาได้ใช้เวลาแยกวิญญาณครั้งที่สามถึงเจ็ดปี ผู้คนในอาณาเขตฉีต่างก็มองวงแหวน 27 วงรอบรูปปั้นบรรพชนโบราณด้วยความตื่นเต้น


จักรพรรดิฉีส่งต่อทุกอย่างให้จี้ตูเกือบหมดแล้ว วันที่จักรพรรดิคนใหม่จะได้สวมมงกุฎกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ


ยิ่งวันนั้นใกล้เข้ามา สายตาของผู้คนจึงเลื่อนจากรูปปั้นบรรพชนมาที่เรื่องที่ใหญ่ที่สุดในอาณาเขตฉี การแต่งตั้งจักรพรรดิคนใหม่ขึ้นสู่บัลลังก์!


กองทัพอาณาเขตฉีนับไม่ถ้วนได้ทำการจงรักภักดีต่อจี้ตูอย่างช้าๆ ดังนั้นเขาจึงค่อยๆ คุ้นเคย เรื่องนี้นับว่าเป็นหนึ่งในการเตรียมการต่อสงครามครั้งใหญ่สำหรับเผ่าโบราณและเผ่าเทพที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ร้อยปีให้หลัง


ห้าปี…ห้าปี…ห้าปี…


กาลเวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ฤดูต่างๆ สับเปลี่ยนกันไปมา พริบตาเดียวผ่านไปอีกสิบห้าปีจนตอนนี้หวังหลินเข้าสู่ปีที่ 22 แล้ว!


หากรวมกับการแยกวิญญาณครั้งก่อนหน้านี้ก็ 90 ปีเข้าไปแล้วตั้งแต่ที่หวังหลินเข้าสู่อารามบรรพชน!


เวลาเก้าสิบปีถือว่ามากพอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่าง มากพอเท่ากับหนึ่งช่วงชีวิตของคนทั่วไป จักรพรรดิฉีคนปัจจุบันได้ถอยมาอยู่เบื้องหลังแล้วและมีคนหนึ่งก้าวขึ้นมาเบื้องหน้าแทนนั่นคือจี้ตู


แม้พิธีแต่งตั้งยังไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างในอาณาเขตฉีถูกจี้ตูจัดการเอาไว้แล้ว ถึงเขาไม่ได้สวมมงกุฎ แต่ก็สวมชุดคลุมสูงศักดิ์ไปเรียบร้อย


แม้กระนั้นนิสัยที่มองอารามบรรพชนทุกเช้าก็ไม่เคยเปลี่ยน เขาเชื่อว่าพ่อบุญธรรมจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน!


ภายในอารามบรรพชน ร่างเงาวิญญาณดั้งเดิมขนาดใหญ่ได้แตกสลายเป็นเศษเสี้ยวนับไม่ถ้วนไปแล้วและอยู่ในขั้นของการแตกสลายช่วงสุดท้าย


หวังหลินได้บทเรียนจากครั้งล่าสุดและจึงทิ้งสัมผัสวิญญาณส่วนหนึ่งไว้บนร่างกาย ในช่วงวินาทีวิกฤติ สัมผัสวิญญาณนี้จะปลุกเขาขึ้นมาได้


หวังหลินอดทนต่อความเจ็บปวดหลายสิบปีพร้อมกับดวงวิญญาณดั้งเดิมแตกสลาย ผู้คนนับไม่ถ้วนไม่สามารถอดทนต่อความเจ็บปวดเช่นนี้ได้ แต่สำหรับหวังหลินเขารู้สึกว่าความเจ็บปวดนี้แค่ทำให้ความรู้สึกด้านชาเล็กน้อย


เมื่อปีที่ 95 ย่างเข้ามาถึง ทั่วทั้งอาณาเขตฉีต่างก็เตรียมงานสำหรับจักรพรรดิคนใหม่ ถึงตอนนี้ร่างเงาที่ปรากฏเหนือหวังหลินได้เปลี่ยนสลายกลายเป็นฝุ่นผงอย่างสิ้นเชิง


เขากำลังเริ่มการผสานวิญญาณกลับคืนไป!


เนื่องจากเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างการแยกวิญญาณครั้งที่สอง หวังหลินจึงระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่ได้ลองพยายามผสานในครั้งเดียวแต่เริ่มผสานส่วนเล็กๆ เข้าด้วยกันจนทำให้มันสมบูรณ์


หวังหลินถึงกับวางแผนเรื่องนี้เอาไว้และหากต้องการสำเร็จ เขาคงต้องทำในระหว่างการผสานวิญญาณกลับ


ขณะที่เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนถึงปีที่ 96 หวังหลินผสานวิญญาณดั้งเดิมไปแล้วสามในสิบส่วน ดวงวิญญาณไม่ได้ใหญ่และมีขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้น


ทว่าแค่สามในสิบส่วนก็ยังแข็งแกร่งกว่าวิญญาณที่ผ่านการแยกวิญญาณครั้งที่สองอยู่หลายเท่า บางทีหากเขาสามารถผสานวิญญาณกลับคืนในครั้งที่สามได้ มันคงทำให้เขาบรรลุจุดสูงสุดใหม่


ในปีที่ 97 ร่างเงาวิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินควบแน่นไปห้าในสิบส่วนและแข็งแกร่งกว่าเดิมมากขึ้น


เหลืออีกสามปีก็จะครบร้อยปี นับเป็นวันก็แค่พันกว่าวันเท่านั้น


ช่วงเวลานี้ เมืองหลวงอาณาเขตฉีช่างเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง เหล่าผู้คนทรงพลังแทบทั้งหมดต่างก็รวมตัวกันในอาณาเขตฉีเพื่อเป็นสักขีพยานเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุด!


การเปลี่ยนจักรพรรดิได้ทำให้อาณาเขตฉีมีชีวิตชีวามากมาย ทว่าคนที่กำลังได้รับการสืบทอดบัลลังก์ยังคงเงียบสนิท เขาต้องการเข้าไปในอารามบรรพชนคนเดียวและนั่งอยู่ด้านนอกเพื่อบ่มเพาะ


เขายอมละทิ้งทุกอย่างเพื่ออยู่กับพ่อบุญธรรมเป็นเวลาสามปีก่อนที่จะได้กลายเป็นจักรพรรดิ


ขณะที่เวลาผ่านไปในแต่ละวัน ผู้คนยิ่งเข้ามาอาณาเขตฉีมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงคนจากอีกสองอาณาเขตด้วยเช่นกัน


แทบทุกวันจะมีคนเข้ามาในเมืองหลวง แต่หากเทียบเมืองหลวงกับอารามบรรพชน ถือได้ว่าอารามบรรพชนนั้นเงียบมาก มันกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามมานานแล้วและไม่มีใครอนุญาตให้เข้าไปใกล้ ทั้งยังมีองครักษ์จากวังหลวงเข้ามาคุ้มกันที่นี่อีก


จี้ตูฟังเสียงเอะอะจากด้านนอกพร้อมกับนั่งหลับตาอยู่อย่างเงียบงัน


‘พ่อบุญธรรม อีกสามปีข้าก็จะกลายเป็นจักรพรรดิฉีแล้ว…’


จี้ตูนั่งอยู่ตรงนั้น วันคืนผันเปลี่ยนไปจนย่างเข้าปีที่ 98 จากนั้นก็ปีที่ 99 และท้ายที่สุดปีที่ร้อยก็ผ่านเข้ามาอย่างเงียบๆ


ในวันนี้สายตาทุกคนในเมืองหลวงต่างก็รวมมาที่รูปปั้นบรรพชนอีกครั้ง ทว่าพวกเขาไม่ได้มองมาที่วงแหวน แต่เป็นจักรพรรดิ!


ทั้งเมืองหลวงเงียบสนิทและมีคนอยู่ในวังอย่างมหาศาล พวกเขากำลังรอการปรากฏตัวของจักรพรรดิคนใหม่อยู่ที่ลานกว้าง


ผู้ส่งสาส์นอีกสองอาณาเขตได้เข้ามาถึงในงานพิธีแล้ว รวมถึงคนจากตระกูลราชวงศ์และผู้มีสถานะสูงส่ง พวกเขากำลังรอคอยอยู่ในลานกว้าง


ใจกลางลานกว้างมีเตาหลอมขนาดยักษ์ตั้งวางเอาไว้


ภายในเตาหลอมมีดินละเอียดและปักธูปก้านใหญ่เอาไว้ ธูปนี้ยังไม่ถูกจุดและคนที่มีสิทธิ์ก็คือจี้ตู!


นี่คือธูปอำนาจราชวงศ์ เมื่อธูปถูกจุดขึ้นมาจะมีควันเปลี่ยนกลายเป็นกลอง จี้ตูเป็นคนเดียวที่สามารถตีกลองนี้ได้ เมื่อมันตีถึงเก้าครั้ง จี้ตูจะได้รับการโค้งคำนับจากทั่วทั้งอาณาเขตฉี


ทุกคนที่นี่กำลังรอคอย แม้แต่จักรพรรดิฉีคนก่อนก็ยังรอคอยเช่นกัน


ด้านข้างจักรพรรดิฉีมีผู้คนอีกหลายคน หนึ่งในชายชรากลุ่มนั้นมีอาการลังเลและพูดขึ้นเบาๆ “ใกล้จะถึงเวลาแล้ว…ใต้ฝ่าพระบาท…”


“รอต่อไป! ในอาณาเขตฉีไม่มีฤกษ์มงคลอะไร เมื่อองค์ชายจี้ตูมาที่บัลลังก์ เมื่อนั้นคือฤกษ์งามยามดีที่สุด!” จักรพรรดิฉีคนเก่าพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า


ชายชราที่พูดขึ้นก่อนหน้านี้พลันพยักหน้าอย่างเคารพ


จี้ตูกำลังนั่งหลับตาอยู่ด้านนอกอารามบรรพชนราวกับไม่ห่วงว่าวันนี้จะเป็นวันสำคัญ หลังจากนั้นไม่นานเสียงก้าวเท้าก็ย่างเข้ามาพร้อมกับองครักษ์เกราะดำเข้ามาเทียบเคียง


“ใต้ฝ่าพระบาท ถึงเวลา…” องครักษ์คุกเข่าลงหนึ่งข้าง คนที่อยู่หน้าสุดเป็นชายวัยกลางคน


จี้ตูไม่พูดอะไรและไม่เคลื่อนไหว


องครักษ์ด้านหลังคุกเข่าลงและเงียบเสียงด้วยเช่นกัน


หลังจากผ่านไปเวลาครึ่งก้านธูปไหม้จึงเกิดเสียงถอนหายใจออกมาจากจี้ตู เขาลืมตาขึ้นและมองอารามบรรพชน จากนั้นลุกขึ้นและคุกเข่าลงโขกคำนับสามครั้งต่ออาราม


“พ่อบุญธรรม…ลูกขอตัวก่อน” จี้ตูลุกขึ้นมองก่อนจะก้าวเดินเข้าหาองครักษ์ เหล่าองครักษ์เดินตามและจากไปอย่างช้าๆ


พอพวกเขาจากไป ร่างเงาหนึ่งกำลังลอยขึ้นเบื้องหน้าหวังหลินที่อยู่ในอารามบรรพชน ร่างเงานี้ไม่มีขนาดเท่ากำปั้นอีกแล้วแต่มีขนาดเท่าร่างกายเหมือนร่างวิญญาณ


ร่างเงาเปล่งแสงเจิดจ้าและดูสมบูรณ์ยิ่ง มันดูเหมือนได้ผสานอย่างสมบูรณ์แต่ดวงตาของวิญญาณดั้งเดิมยังคงหลับสนิท


หนึ่งปีก่อนหวังหลินสามารถผสานให้เสร็จสิ้นได้แล้ว กระบวนการดำเนินไปอย่างราบรื่นและไม่เกิดเหตุร้ายอะไร ทว่าเขากลับเลือกที่จะไม่จบแบบนั้นและประคองให้เหลือส่วนที่ไม่สมบูรณ์ เพื่อที่เขาจะได้อยู่ในสภาวะหลับใหลต่อ


เขาต้องการเข้าสู่โลกที่เคยเห็นระหว่างการแยกวิญญาณครั้งที่สองอีกครั้ง เขาต้องการเห็นภูเขาที่มีหิมะสีรุ้งตกลงมา เขาต้องการเห็นร่างนั้นอีกครั้งและได้ยินประโยคเดิมอย่างชัดเจน


อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ว่าจะเข้าสู่โลกนั้นได้อย่างไรและไม่รู้ด้วยว่านั่นเป็นที่ไหน สุดท้ายหลังจากพยายามค้นหาทางอยู่หนึ่งปี ความคิดก็พร่าเลือนและเป็นจังหวะที่เขาได้เห็นโลกนั้นอีกครั้ง


………………………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)