Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 2048-2049
ตอนที่ 2048 คำวิงวอนของร้อยแปดวิญญาณ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
สะพานแรกและสะพานที่สองดูใกล้มาก แต่หวังหลินใช้เวลาอยู่หลายวันกว่าจะมาถึงสะพานที่สอง
สะพานแห่งนี้กว้างกว่าสะพานแรกหลายเท่า หวังหลินก้าวไปบนสะพานที่สองโดยไม่ลังเล วินาทีนั้นร่างวิญญาณเกิดการสั่นเทาราวกับกำลังพังทลาย คล้ายกับระดับบ่มเพาะของเขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะก้าวไปบนสะพานแห่งนี้
หวังหลินรู้สึกว่าเกิดการระเบิดขึ้นในจิตใจและโลกหมุน สัมผัสวิญญาณและวิญญาณคล้ายกับแยกออกมาจากกัน เขาเห็นว่าด้านล่างสายหมอกมีแผ่นดินอยู่แห่งหนึ่ง มันคุ้นเคยมาก ทางด้านซ้ายมีแคว้น 72 แห่งและทางด้านขวามี 36 แคว้น ตรงกลางมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่มีทะเลกำลังหมุนอย่างรวดเร็ว
ในทะเลส่วนลึก เขายังเห็นเสาขนาดใหญ่เก้าต้นเชื่อมต่อกันเป็นรูปประตู
ประตูยังคงปิดสนิท
‘ย่ำสวรรค์…ตอนนี้ข้ากำลังย่ำสวรรค์อยู่ใช่หรือไม่…’ หวังหลินไม่รู้สึกถึงตัวตนของตัวเองพลางมองแผ่นดินด้านล่าง เขามองไปทางเผ่าเทพพร้อมกับขบคิดอย่างเงียบๆ แคว้นทั้ง 72 แห่งพลันเปลี่ยนกลายเป็นวิญญาณ 72 ดวงร้องคำรามมายังท้องฟ้า
พวกมันรวมไปถึงกระทิงสวรรค์ แมงป่องมารเขียวและอสูรที่ถูกปิดผนึกอีกหลายตัวที่เขาเคยศึกษา พวกมันคล้ายกับสังเกตสายตาของหวังหลินได้และร้องคำรามออกมา หวังหลินรู้สึกถึงความหวาดกลัวของพวกมันอย่างชัดเจนแต่ก็รู้สึกอีกว่าพวกมันมีเจตนาอื่นซ่อนอยู่เบื้องหลังความหวาดกลัว
ขณะเดียวกันในตอนที่หวังหลินเข้าสู่ขอบเขตในตำนานต่อจากวิบากดับสูญ แคว้น 72 แห่งในเผ่าเทพเริ่มสั่นเทา การสั่นเทานี้รุนแรงขึ้นและเหล่าเซียนทุกคนต่างก็รู้สึก พวกเขางุนงงและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ทว่าทุกแคว้นที่มีอารามปิดผนึก อารามที่อยู่ใจกลางกำลังสั่นเทา!
การสั่นเทารุนแรงยิ่งขึ้นและทำให้คนทรงพลังในเผ่าเทพเกิดความสนใจ หลายคนทะยานขึ้นมาในอากาศด้วยความตกตะลึง สายตามองพื้นดินเบื้องล่างจนเห็นวิญญาณที่แต่ละแคว้นของตัวเองให้ความเคารพกำลังแสดงสัญญาณไม่แน่นอน พื้นดินสั่นสะเทือนรุนแรงและเกิดเหตุการณ์อันน่าสะพรึง
บนแคว้นกระทิงสวรรค์ กระทิงสวรรค์ตัวยักษ์ปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มทั่วแคว้นและร้องคำรามเข้าสู่ท้องฟ้า ดวงตาของมันทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัว แต่มีความวิงวอน!
มันกำลังวิงวอนต่อตัวตนอันประหลาดที่อยู่ในท้องฟ้าเพื่อให้มันได้เป็นอิสระ!
ท่ามกลางกระทิงสวรรค์ยังมีวิญญาณที่เหลือทุกดวงที่ถูกผนึกไว้ในเผ่าเทพ แม้บางส่วนถูกลือกันว่าเป็นวิญญาณที่ตายไปแล้วก็ยังปรากฏขึ้นมา ถึงแม้ร่างพวกมันจะเบาบางแต่พวกมันกลับส่งคำวิงวอนต่อท้องฟ้าด้วยความตกตะลึง
เหล่าเซียนเกือบทุกคนในเผ่าเทพได้เห็นฉากเหตุการณ์สั่นสะเทือนสวรรค์ครั้งนี้ พวกเขาตกอยู่ในความตื่นตระหนก พื้นดินสั่นไหวรุนแรงขึ้นพร้อมกันเหล่าวิญญาณปรากฏขึ้นมาร้องคำรามอย่างต่อเนื่อง ดูราวกับกำลังจะเกิดหายนะ!
“เกิดอะไรขึ้น!?” ภายในสำนักต้าวยี่ มหาชั้นฟ้าต้าวยี่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยใบหน้ามืดมน บนใบหน้ามีร่องรอยความตื่นตระหนก ด้วยระดับบ่มเพาะเช่นเขาจึงรู้สึกได้ชัดเจนว่าเหตุการณ์อันน่าตกตะลึงนี้กำลังเกิดขึ้นไปทั่วทุกแคว้นในเผ่าเทพ
เขาจ้องมองไปยังต้นไม้สูงตระหง่านที่ออกมาจากแคว้นทะเลขุนเขา ต้นไม้เคลื่อนไหวและส่งเสียงคำรามแสบแก้วหู
ต้าวยี่มองต้นไม้ยักษ์และอ้าปากค้าง ‘บัดซบ ไม่ใช่ว่าเจ้าต้นไม้ต่างแดนนั่นตายไปแล้วหรือ!? ทำไมวิญญาณของมันยังอยู่ตรงนี้อีก?! เกิดอะไรขึ้น? หรือจะมีปัญหากับเหลียนต้าวเฟยที่กำลังสะกดพวกมันอยู่ในวังหลวง!?’
ขณะเดียวกันทางทิศเหนือ หวู่เฟิงมองธารน้ำแข็งยักษ์ด้วยสีหน้ามืดมนและเผยอาการหวาดหวั่น
ณ สำนักตะวันม่วง มหาชั้นฟ้าชวงจื่อทะยานออกมามองบนพื้นดินและขมวดคิ้ว
ด้านเมืองหลวง มหาชั้นฟ้าจิ่วตี้ยืนอยู่บนยอดเขาจักรพรรดิ เขามองบนพื้นดินและมีสีหน้าท่าทางแบบเดียวกัน แต่หรี่ตาแคบเผยอาการตกใจ
ไฮ่จื่อลืมตาขึ้นมาด้านหลังจิ่วตี้ “วังใต้ดินไม่มีปัญหาและเหลียนต้าวเฟยยังคงหลับไหลอยู่ เขาสะกดวิญญาณ 72 ดวงต่อไป”
“เจ้าทำนายผลลัพธ์ได้หรือไม่? เกิดอะไรขึ้นกันแน่? แม้แต่เจ้าพวกที่แกล้งตายยังส่งเสียงร้องราวกับสัมผัสอะไรบางอย่างได้!” จิ่วตี้เอ่ยเสียงเย็นเยียบแต่ในใจมีร่องรอยความหวาดกลัว เขามองไปบนท้องฟ้าแต่ไม่สามารถสัมผัสอะไรได้
ทว่าวิญญาณ 72 ดวงยังคงวิงวอนไปยังท้องฟ้าอย่างชัดเจน…
ไฮ่จื่อขบคิดอย่างเงียบๆ สองมือสร้างผนึกขึ้นมาปรากฏคนร่างเล็กขึ้นในฝ่ามือขวาและเริ่มโขกคำนับเข้าหานาง ทว่าไฮ่จื่อขมวดคิ้วและไม่พบสิ่งใด
นางกัดปลายลิ้นและพ่นโลหิตออกไปใส่คนร่างเล็กทำให้ชุ่มไปด้วยโลหิตทันที มันส่งเสียงกรีดร้องและโขกคำนับไฮ่จื่ออย่างต่อเนื่อง
คราวนี้ไฮ่จื่อร่างสั่นเทาและก้าวถอยกลับหลังด้วยใบหน้าซีดเผือด แววตาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
“พวกมันรู้สึกถึงสายตาที่กำลังย่ำสวรรค์ได้มองลงมาจากเบื้องบนแผ่นดินเซียนดารา!!”
“อะไรนะ!?!” จิ่วตี้มีสีหน้าเปลี่ยนไปและไม่สามารถซ่อนความรู้สึกของตนเองได้อีก เขามองไปยังท้องฟ้าด้วยสายตาแหลมคมและรู้สึกเส้นผมตั้งขึ้น นอกจากท้องฟ้าแล้วเขาก็มองไม่เห็นสิ่งใด แต่ก็สามารถจินตนาการได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังมองลงมาบนแผ่นดินเซียนดารา บางทีอาจกำลังมองมาที่เขา
“ย่ำสวรรค์…นี่…นี่…” จิ่วตี้ร่างสั่นเทา ระดับบ่มเพาะคล้ายกับหลุดจากการควบคุม เขาเปลี่ยนจากชายชราไปเป็นวัยกลางคน จากนั้นกลับเป็นชายชราตาเดิม ซึ่งนี่มากพอที่จะแสดงถึงความตกตะลึงในใจได้แล้ว
หวังหลินมองไปที่เผ่าเทพ วิญญาณ 72 ดวงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวแต่ก็ร่ำร้องอย่างอ้อนวอน เขายังเห็นต้าวยี่ตกตะลึง หวู่เฟิงหวาดหวั่น ชวงจื่อสับสนและสายตาจากจิ่วตี้
เขาเห็นทั้งหมดแต่อีกฝ่ายไม่สามารถสัมผัสตัวตนของเขาได้ พอหวังหลินมองลงมาที่เมืองหลวง สายตาผ่านจิ่วตี้ไปและนี่เป็นตอนที่จิ่วตี้มองขึ้นมาและรู้สึกเส้นผมตั้งขึ้น
เขาเห็นไฮ่จื่อ…เห็นเหลียนต้าวเฟยที่กลายเป็นภูเขาอยู่ใต้วังหลวง
บนยอดเขาจักรพรรดิ จิ่วตี้มีสีหน้าซีดเผือด จากนั้นทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าและโค้งคำนับ “ผู้น้อยโจวลั่วจิ่ว ขอคารวะผู้อาวุโส หากผู้อาวุโสมีคำร้องขออันใด ผู้น้อยยินยอมทำตามคำสั่ง!”
นับตั้งแต่ที่เขาได้กลายเป็นมหาชั้นฟ้า เขาไม่เคยโค้งคำนับให้ใครเช่นนี้ ทว่าเวลานี้เขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและโค้งคำนับต่อท้องฟ้าด้วยความเคารพ
ทว่าเขาไม่ได้รับการตอบรับอันใดจนกระทั่งเสียงร้องของเหล่าวิญญาณ 72 ดวงเริ่มจะสิ้นหวัง คำวิงวอนของพวกมันรุนแรงยิ่งขึ้นจนท้ายที่สุดพวกมันก็แตกสลาย พื้นดินไม่สั่นไหวอีกแล้วและไฮ่จื่อก็พูดขึ้นเบาๆ
“คนผู้นั้น…จากไปแล้ว…”
พอจิ่วตี้ได้ยิน เขายังคงโค้งคำนับไปอีกสักพักก่อนจะลุกขึ้นและลงมาด้วยใบหน้าซีดขาว
หวังหลินถอนสายตาออกมาจากเผ่าเทพ ตอนที่เขาเห็นกระทิงสวรรค์และเหลียนต้าวเฟย เขาต้องการช่วยแต่ก็ไม่สามารถทำได้
ขณะที่ขบคิดอยู่นั้นหวังหลินมองไปทางเผ่าโบราณ จังหวะนั้นความโกลาหลคล้ายกับที่เกิดในเผ่าเทพได้เกิดขึ้นบนเผ่าโบราณด้วย
พื้นดินสั่นเทือนพร้อมกับวิญญาณ 36 ดวงใน 36 แคว้นต่างก็ปรากฏขึ้นทั้งหมด ซึ่งรวมถึงหลัวจู้ที่เป็นส่วนหนึ่งในวิญญาณที่โดนหวังหลินกลืนกิน
หลัวจู้ปรากฏขึ้นอย่างสมบูรณ์ ศีรษะของมันเป็นรูปร่างทรงกลมขนาดยักษ์คล้ายดาวเคราะห์เซียน ส่วนหางของมันเหมือนหางมังกรและไม่ได้มีเพียงหนึ่งแต่มีถึงเก้าหาง มันร้องโหยหวนกับท้องฟ้าราวกับอ้อนวอนให้ช่วยเหลือ
ซวนลั่วตื่นจากการปิดด่านบ่มเพาะ มองดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและอ้าปากค้าง
มหาชั้นฟ้าซ่งเทียนแห่งอาณาเขตฉีได้เห็นการเปลี่ยนแปลงใน 36 แคว้นและเกิดความตกตะลึง
‘นี่…หรือจะเกี่ยวข้องกับหวังหลิน?! เป็นไปไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงอันน่าตกตะลึงเช่นนี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเขา!’
ในอาณาเขตจวี่ มหาชั้นฟ้าผู้ลึกลับที่ปิดด่านบ่มเพาะอยู่พลันรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง
หวังหลินเห็นทุกอย่าง ท้ายที่สุดสายตาก็มองลงไปที่ภูเขากุ้ยต้าว มองไปบนยอดหอคอยและร่างที่ปกคลุมด้วยสายหมอก
เสียงถอนหายใจดังออกมาจากร่างนั้น เขาลืมตาเผยความสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมองขึ้นมาบนท้องฟ้าคล้ายกับเห็นสายตาของหวังหลิน
วินาทีที่สองสายตาประสานกัน หวังหลินสัมผัสได้ว่าชายผู้แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินเซียนดารานั้นมองเห็นเขาอยู่จริงๆ
ร่างในสายหมอกเอ่ยขึ้น “ในที่สุดเจ้าก็บรรลุถึงระดับนี้…ตอนนี้เจ้าอยู่สะพานไหน?”
หวังหลินขบคิดเงียบๆ และส่งสัมผัสวิญญาณออกไป “สะพานที่สอง ท่านล่ะ? ” ด้วยระดับบ่มเพาะของหวังหลินในตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถมองเห็นรูปร่างของมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวเลย
“หลายปีก่อนข้าผ่านสะพานที่ห้าไปแล้วและหยุดอยู่สะพานที่หก…”
หวังหลินเอ่ยถาม “ขั้นที่สี่อยู่เหนือสะพานที่เก้าไปใช่หรือไม่?”
ร่างในสายหมอกกระซิบตอบ “ข้าไม่รู้…ตลอดหลายชั่วอายุคน ไม่มีใครผ่านสะพานที่เก้าไปได้…”
“ไม่มีใคร? บรรพชนเทพและบรรพชนโบราณล่ะ?”
“ทั้งหมดนั่นผ่านสะพานที่แปดและหยุดอยู่…สะพานที่เก้า”
“สะพานย่ำสวรรค์แห่งนี้มันเป็นสถานที่แบบไหนกัน?” หวังหลินถามด้วยความสงสัย
“แผ่นดินเซียนดารานั้นใหญ่มาก…แต่ด้านนอกแผ่นดินเซียนดารา มีแผ่นดินอีกหลายแห่ง จากที่ข้าเข้าใจ สะพานย่ำสวรรค์คือเส้นทางปกติสำหรับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด” มหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวถอนหายใจ ในคำพูดแฝงความสับสน บางทีแม้แต่เขาเองก็ไม่มั่นใจ
หวังหลินขบคิดและค่อยๆ ถอนสายตาออกมา
…………………………………………………….
ตอนที่ 2049 หยุด
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังหลินถอนสายตาออกมา สิ่งสุดท้ายที่เขามองดูคือทะเลอันกว้างใหญ่ระหว่างเผ่าเทพและเผ่าโบราณ เสาหลักทั้งเก้านั้นก่อตัวกลายเป็นประตูสู่แดนเทพบรรพกาล
ทว่าแม้หวังหลินจะมีระดับบ่มเพาะขนาดนี้ก็ยังไม่สามารถมองเห็นแดนเทพบรรพกาลได้ชัดเจน ราวกับแดนเทพบรรพกาลสูงล้ำยิ่งกว่าความสามารถของหวังหลินในตอนนี้
หวังหลินส่งสายตาไปที่ทะเลโหมกระหน่ำ หลังจากนั้นสักพักจึงหลับตา สายตาจึงหายไปจากแผ่นดินเซียนดารา
พอลืมตาอีกครั้งเขายังอยู่ในสถานที่ไม่รู้จักซึ่งบนสะพานแห่งที่สองอันกว้างใหญ่ ทว่าพอออกไปกลับพบว่าถึงจะยังอยู่บนสะพานที่สอง หวังหลินก็เกือบอยู่ปลายสุดของสะพานแล้ว
ราวกับทุกอย่างก่อนหน้านี้ใช้เวลาแค่ไม่กี่อึดใจก็ทำให้เขาข้ามผ่านสะพานไปได้แล้ว แทบมิอาจแยกออกว่าเป็นความฝันหรือความจริง
หวังหลินมองสะพานย่ำสวรรค์ออกไปยังแห่งที่สาม สี่…จนกระทั่งสะพานที่เก้า และมองภาพพร่าเลือนที่อยู่หลังจากสะพานที่เก้า เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าทั้งหมดช่างอยู่ห่างไกลเหลือเกิน แม้แต่จิตใจเขายังรู้สึกว่ามันไกล ราวกับสะพานเป็นตัวแทนของยอดเขาที่ไม่สามารถปีนข้ามผ่านได้จนทุกคนได้แต่หยุดลง
จังหวะที่ความคิดนี้โผล่ขึ้นมามันจึงแผ่กระจายออกไปจนทั่วร่างหวังหลิน คล้ายกับมีเสียงหนึ่งกำลังบอกเขาให้หันตัวกลับและออกไปจากที่นี่ หยุดลงและไม่ต้องข้ามสะพานที่เหลือเจ็ดแห่งไปหรอก
หวังหลินยืนอยู่ตรงขอบของสะพานที่สอง เขาแค่ต้องก้าวอีกครั้งเพื่อเดินลงสะพานที่สองก็จะก้าวข้ามได้อย่างสมบูรณ์ ทว่าหลังจากนั้นสักพักหวังหลินก็ยังไม่สามารถข้ามผ่านขั้นสุดท้ายไปได้
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า หวังหลินยังคงยืนอยู่ตรงนั้นและมองตรงออกไปอย่างสงบนิ่ง เขาถอนหายใจพลางยกเท้าขึ้นและก้าวข้ามผ่านสะพานย่ำสวรรค์แห่งที่สอง
“มันเป็นการตั้งคำถามกับตัวเองใช่หรือไม่…หากจิตใจไม่เข้มแข็ง หากไม่มีเจตจำนงฝืนลิขิตสวรรค์ หากไม่มีความมุ่งมั่นที่จะก้าวต่อไป บางทีคงต้องถอยไปแล้วในก้าวนั้น” หวังหลินพึมพำกับตัวเองพลางก้าวเข้าสู่สะพานที่สาม
สะพานที่สามนั้นทั้งยาวไกลและใกล้ในเวลาเดียวกัน หวังหลินเดินไปสามวันก็ยังไม่ถึงปลายสะพาน เขาเดินอีกสามวันก็ยังเหมือนเดิม สะพานยังคงดูไกลและใกล้มาก
ในวันที่เก้า หวังหลินหยุดชะงัก หลังจากขบคิดอยู่ชั่วครู่จึงหันมองขึ้นไป สายตาเผยแววประหลาดใจและจากนั้นค่อยๆ หลับตาลง
เขาไม่จำเป็นต้องใช้ตามองหรือใช้สัมผัสวิญญาณ หวังหลินปิดผนึกทัศนวิสัยและสัมผัสวิญญาณเพื่อไม่ให้ต้องมองทิศทางหรือตำแหน่งของสะพานที่สาม จากนั้นเขาก็ก้าวเดินต่อไปอย่างเรียบง่าย
หวังหลินก้าวเดินต่อไปทีละก้าว พอถึงก้าวที่เก้า เขาได้ยินเสียงนกร้องขับขานอยู่รอบตัว เสียงอ่อนเบาคล้ายกับทะลุเข้าเปลือกตาหวังหลินมาได้
หวังหลินได้กลิ่นของพื้นดินและยังเป็นกลิ่นอายอันคุ้นเคย มันเป็นกลิ่นของขี้เลื่อยและกลิ่นของยาสูบ
สองเท้าจึงเก้าหยุดลง
“ไท้จู การเรียนเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไท้จู เจ้าต้องเรียนให้ดี ปีหน้าจะต้องสอบราชการ เจ้าจะมีอนาคตหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ตรงนั้น อย่าเป็นเหมือนพ่อที่ติดแหง็กอยู่ในหมู่บ้านนี้ทั้งชีวิต”
“พอแล้ว พี่ก็จู้จี้เขาทุกวัน ข้าบอกเสมอว่าไท้จูของเราจะผ่านการสอบได้อย่างแน่นอน”
คำพูดเหล่านี้ดังออกมาจากท่านพ่อและท่านแม่ น้ำเสียงนี้คล้ายกับข้ามผ่านกาลเวลาหลายพันปีมาถึงหูของหวังหลิน ทั้งหมดล้วนสมจริงและเหมือนได้นำหวังหลินกลับไปยังหมู่บ้านในภูเขาอันเงียบสงบหลายพันปีก่อน
หวังหลินยืนเงียบอยู่ตรงนั้นและฟังเสียงของสองพ่อแม่ หยาดน้ำตาไหลรินลงมาโดยไม่รู้ตัว เสียงพวกเขาดังกึกก้องในใจ บอกให้หวังหลินลืมมาเพื่อมาดูพ่อและแม่
แต่ในขณะเดียวกัน หวังหลินก็รู้ว่าหากเขาลืมตา คงต้องหยุดลงบนสะพานย่ำสวรรค์แห่งที่สามเป็นแน่
สะพานแรกผสานกฎแห่งโลกเข้าไปในวิญญาณดั้งเดิม สะพานที่สองทำให้คนได้รับภาพของการย่ำสวรรค์แต่ก็ตั้งคำถามว่าจิตใจของตนเองแข็งแกร่งพอหรือไม่…คราแรกหวังหลินไม่เข้าใจคำถามที่อยู่สุดทางของสะพานที่สองและเกิดอาการลังเล แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว
สะพานที่สามแห่งนี้เสมือนมารในใจ หากมีจิตใจมุ่งมั่นและชีวิตดำเนินไปด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ก็สามารถสงบนิ่งลงและจากนั้นจึงเดินข้ามผ่านสะพานที่สามไปได้
แต่เมื่อคนผู้นั้นลืมตาขึ้นมา คงต้องเผชิญกับมารในใจตนเอง เผชิญกับชีวิตของตัวเอง เป็นผลให้โอกาสในการผ่านสะพานที่สามลดน้อยลงไปอย่างมหาศาล
เสียงของพ่อและแม่ยังคงอยู่ข้างหูพร้อมกับหยาดน้ำตาไหลรินลงใบหน้าหวังหลิน เขาลืมตาขึ้นมาโดยไม่ลังเล เบื้องหน้าหวังหลินได้เห็นบ้านอันคุ้นเคย สนามหญ้า โต๊ะและอาหารบนนั้นที่เขาคุ้นตา
เขาเห็นพ่อตัวเองที่กำลังล้างกล้องยาสูบอยู่ข้างๆ เขาเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของพ่อและสายตาเข้มงวด แต่ก็เห็นว่าภายในสายตาเข้มงวดนั้นซ่อนความอ่อนโยนเอาไว้
เขาเห็นแม่ก้าวเดินออกมาพร้อมกับอาหารที่ทำเสร็จใหม่ๆ บนเรือนผมของแม่มีเส้นผมสีขาวอยู่บ้างแต่ไม่มากนักและส่วนใหญ่ถูกซ่อนเอาไว้ด้วยผมสีดำ หวังหลินมองเห็นทั้งหมด
แม่ของเขาอาจไม่ได้สวยงามสำหรับคนภายนอก แต่ในใจหวังหลินนางคือผู้หญิงที่สวยที่สุดและเป็นที่พักพิงในใจได้ชั่วชีวิต
พอมองท่านพ่อ ท่านแม่และภาพอันคุ้นเคย แม้ยังมีน้ำตาไหลรินแต่กลับเผยรอยยิ้มออกมา หวังหลินเฝ้าดูทุกอย่างเบื้องหน้าค่อยๆ สูญสลายไปในความว่างเปล่า เขารู้ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกแต่ก็ยังต้องมองอยู่ดี
เมื่อฉากเหตุการณ์นี้พังทลายลง หวังหลินยังยืนอยู่ด้านล่างสะพานที่สามและอยู่ห่างไกลจากสะพานที่สี่
ท่านพ่อและท่านแม่ของเขาไม่ใช่เซียน และคนธรรมดาก็ไม่สามารถชุบชีวิตได้ สำหรับพวกเขาแล้วสถานที่ที่ดีที่สุดคือยู่ในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ แต่ความทรงจำของหวังหลินมีมากมายและเขาไม่ลบออกไปเพราะทุกอย่างสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของเขา
“หากหวานเอ๋อร์ปรากฏตัวขึ้นมา ข้าคงอยากลืมตาขึ้นมาแม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องโกหก…”
“แต่ถึงจะเป็นท่านพ่อและท่านแม่ แม้ข้าจะรู้ว่าเป็นเรื่องโกหก ข้าก็ยังลืมตาอยู่ดี” หวังหลินพึมพำกับตัวเอง
‘ใครเป็นคนตัดสินใจว่าต้องหลับตาเมื่อเผชิญกับความทรงจำในอดีตและเมินเฉยความทรงจำเหล่านี้เพื่อประคองจิตใจให้มั่นคงไม่ได้รับผลกระทบจากมารในใจ?’
‘ใครเป็นคนตัดสินว่าต้องมีจิตใจแห่งเต๋าที่มั่นคงเพื่อผ่านสะพานที่สาม…’
‘ใครเป็นคนกำหนดว่ามีแค่วิธีเดียวในการผ่านสะพานแห่งนี้…’ หวังหลินมีแววตาส่องสว่าง
‘ครอบครัว ความรักและความสัมพันธ์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตข้า ทำไมข้าต้องเลือกหลับตา? ข้าต้องการลืมตาและมองดูทั้งหมด ข้าจะเปิดจิตใจแห่งเต๋าและจัดการทุกอย่างเอง!’ หวังหลินสูดหายใจลึกและก้าวเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง
ผ่านไปเก้าก้าว เขาเห็นครอบครัวอีกครั้งและอีกเก้าก้าว เขาเห็นมู่ปิงเหมย ลี่เฉียนเหมยและลี่มู่หวาน อีกเก้าก้าวเขาเห็นหวังผิง เห็นเด็กน้อยดึงเสื้อและถามไถ่การฝึกเซียนอย่างเคร่งเครียด เขาต้องการอยู่กับพ่อไปตลอดชีวิต เขาไม่ต้องการจากโลกนี้และทิ้งพ่อให้อยู่คนเดียว หากพ่อของเขากำลังโดดเดี่ยว เขาหวังว่าจะอยู่ข้างพ่อตลอดไป
หวังหลินเห็นซือถูหนาน ฉิงชุ่ย ตุ้นเทียน วิหคศักดิ์สิทธิ์รุ่นสองและคนจำนวนมากที่ช่วยเหลือเขา หวังหลินมองพวกเขาด้วยสายตาที่เปิดกว้างและก้าวเดินต่อไป
ผีเสื้อสีชาด ฉิงชวง โจวลี่ ฉิงหลิน…และอีกหลายคน หวังหลินคล้ายกับได้นึกย้อนอดีตไปด้วยเพียงพวกเขาปรากฏตัว
ระหว่างทางหวังหลินไม่ได้ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง เขาร้องไห้ ยิ้ม รู้สึกเจ็บปวด รู้สึกเศร้า…เขาก้าวเดินไปข้างหน้าอยู่นาน ไม่รู้ว่าก้าวไปบนสะพานที่สามนานแค่ไหนแล้วแต่เมื่อมาถึงปลายสุดของสะพาน ทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไป เขายืนอยู่ตรงนั้นและถอนหายใจ มองกลับมาอยู่นานก่อนจะก้าวเดินลงสะพานที่สามไป
สะพานที่สามอยู่ไกลมาก แม้กระนั้นภาพเลือนลางที่ปลายสุดสะพานที่เก้ากลับยิ่งชัดเจนขึ้น หวังหลินยังไม่สามารถมองทะลุสายหมอกไปได้แต่ก็บอกได้เลือนลางว่ามีคนอยู่ข้างในสองคน
หวังหลินก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกับความทรงจำที่เพิ่งนึกย้อนมาและอารมณ์ทั้งหมดที่เขารู้สึก ไม่กี่วันต่อมาหวังหลินก็มาถึงเบื้องหน้าสะพานย่ำสวรรค์แห่งที่สี่
สะพานแห่งนี้กว้างใหญ่ยิ่งกว่าสะพานก่อนหน้า ราวกับช้างยักษ์แฝงแรงกดดันกระจายโอบล้อมทั่วบริเวณ
หวังหลินมองสะพานแห่งนี้และขบคิดเล็กน้อย เขายกเท้าขึ้นมา แต่พอเท้าย่ำลงไปมันกลับทะลุสะพานและผ่านไปไม่เจออะไรเลย
ขณะเดียวกันสะพานที่สี่พลันสั่นเทาเบื้องหน้าหวังหลิน เปลี่ยนกลายเป็นละอองแสงนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าหาเขาและก่อเกิดเป็นวังวนยักษ์เข้ากลืนกินร่างหวังหลิน
วินาทีที่หวังหลินถูกกลืนกิน ภายในห้องลับของวังหลวงองค์ชายจี้ตู หวังหลินพลันลืมตาตื่น
สายตาเต็มไปด้วยความสับสนอยู่นานและเหม่อลอย ร่างแก่นแท้สังหารได้ผสานเข้ากับร่างกายไปแล้วและไม่มีเงาทับซ้อนอีก
แก่นแท้นามธรรมลอยอยู่เบื้องหน้าและวิญญาณจักรพรรดิเทพยังคงถูกเพลิงวิญญาณของเขาโอบล้อม ห้องลับเงียบสนิท
มีเพียงหวังหลินที่กำลังหายใจรุนแรงไปชั่วขณะ
‘ย่ำเส้นทางสวรรค์ เต๋าวิบากสูญสิ้น วิญญาณอมตะ เทิดทูนทั่วหล้า…ข้าข้ามได้เพียงสามในเก้าสะพานย่ำสวรรค์…’ หวังหลินสูดหายใจลึกและมองขึ้นไป แววตาสับสนหายไปและถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่น
……………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น