Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 2042-2047
ตอนที่ 2042 วิญญาณที่สมบูรณ์!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมืองศิลาดำยังคงเหมือนเดิม นางไม่เจอคนคุ้มกันระหว่างทาง ราวกับจ้าวเมืองได้รับคำสั่งมาแล้ว
แต่ตอนที่นางมาถึงบ้านของตัวเอง นางเห็นคนสองคนกำลังยืนอยู่ตรงนั้น หนึ่งเป็นหญิงชราผมขาวและอีกคนเป็นหญิงสาวเยาว์วัย
“ป้าจาง…น้องตง…ข้ากลับมาแล้ว” ซ่งจื่อกัดริมฝีปากและเผยรอยยิ้ม
หวังหลินยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่ซ่งจื่อยืนก่อนหน้านี้และมองไปที่เมืองศิลาดำ จากนั้นสักพักจึงถอนสัมผัสวิญญาณออกมา ซ่งจื่อเป็นคนน่าสงสารมาก การผสานกับวิญญาณของหวานเอ๋อร์ทำให้นางได้รับความอบอุ่นอย่างยิ่ง ความทรงจำของนางตกอยู่ในความยุ่งเหยิงจนบอกไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร
หวังหลินจะทำเป็นไม่สนใจนางและแยกวิญญาณของหวานเอ๋อร์ออกมาเลยก็ได้ แต่นั่นจะเกิดผลลัพธ์ที่ทำให้พลังชีวิตของนางแตกสลาย
หวังหลินบ่มเพาะมาหลายพันปี ผู้คนต่างคิดว่าเขาเป็นคนอำมหิตและเลือดเย็น แต่เขาก็ยังเป็นคน เขาไม่อยากทำแบบนี้ดังนั้นจึงใช้เวลาเกือบสองปีระหว่างทางมาที่นี่ ส่งระดับบ่มเพาะของเขาเข้าไปในร่างกายของนางเพื่อให้วิญญาณของลี่มู่หวานสามารถแยกตัวออกมาได้โดยไม่ทำอันตรายกับนาง
“นางไร้เดียงสา…แต่นางก็ทำให้ข้าได้เจอวิญญาณของหวานเอ๋อร์เช่นกัน ดังนั้นนางไม่ควรโดนทำร้ายเช่นนี้…หินหยกที่ข้าทิ้งเอาไว้นั้นมีสัมผัสวิญญาณของข้าและสามารถทำให้นางปลอดภัยได้”
“จี้ตู เจ้าต้องดูแลนางให้ดี” หวังหลินพูดขึ้นเบาๆ
เกิดระลอกคลื่นด้านหลังหวังหลินและมีองค์ชายจี้ตูก้าวเดินออกมา เอ่ยขึ้นอย่างเคารพ “ตามที่พ่อบุญธรรมต้องการ”
“ข้าได้รายงานจ้าวเมืองให้คุ้มครองซ่งจื่อแล้วและไม่ให้นางได้เกิดอันตรายอันใด โปรดสบายใจเถิด ข้ากระทั่งได้ส่งองครักษ์มาศัยอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องนางด้วย” องค์ชายจี้ตูรู้ว่าซ่งจื่อสำคัญต่อพ่อบุญธรรมแค่ไหน ดังนั้นจึงไม่กล้าทำอะไรลวกๆ
องค์ชายจี้ตูเข้ามาพักอยู่ที่นี่เนื่องจากวิเคราะห์แล้วว่าหวังหลินน่าจะมาที่นี่ เขารอตั้งแต่ที่กลับมาจากอาณาเขตเต๋าและในที่สุดหวังหลินก็มาถึง
หวังหลินไม่แสดงท่าทีอันใดที่รู้ว่าจี้ตูรออยู่ ในทางกลับกันหากจี้ตูไม่ทำ นั่นแปลว่าเขาคงไม่มีประโยชน์กับหวังหลินและการที่เขาจะได้ตำแหน่งจักรพรรดิโบราณมาครองคงเป็นเรื่องยากขึ้นอย่างมาก
“ไปกันเถอะ” หวังหลินชำเลืองมองไปที่เมืองศิลาดำอีกครั้ง จากนั้นก้าวเดินออกไปไกล
จี้ตูระงับความตื่นเต้นในใจเอาไว้และติดตามหวังหลิน
หวังหลินก้าวเดินไปข้างหน้าและพูดอย่างสงบนิ่ง “เตรียมสถานที่ไว้ให้ข้า ข้าจะปิดด่านบ่มเพาะ!”
“ลูกมีห้องลับอยู่ในวัง หากพ่อบุญธรรมไม่ชอบ ลูกจะให้คนไปสร้างขึ้นอีกแห่งทันที” องค์ชายจี้ตูรีบตอบ
หวังหลินสะบัดแขนเสื้อ โลกรอบตัวบิดเบือนและทั้งสองได้หายตัวไป เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งจึงอยู่ในวังขององค์ชายจี้ตูแล้ว
“ห้องลับแห่งนี้ก็ดี หากไม่ได้รับอนุญาตจะไม่มีใครสร้างความรบกวนได้” หวังหลินส่งสายตาไปที่พระราชวังและเลือกห้องลับแห่งหนึ่งเพื่อเข้าไป
พอเห็นว่าหวังหลินกำลังก้าวเข้าไปในห้องลับ องค์ชายจี้ตูเกิดอาการลังเล เขาดูเหมืออยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็กลัวคำตอบ
หวังหลินก้าวเข้าไปได้ครึ่งทางแต่ก็หยุดชะงักและมองมาที่องค์ชายจี้ตู “หากเจ้าต้องการกลายเป็นจักรพรรดิฉี มหาชั้นฟ้าซ่งเทียนคือกุญแจสำคัญ หากเขายอมรับเจ้าให้เป็นเพียงตัวเลือกเดียวได้ เมื่อนั้นทุกอย่างก็จะง่าย”
องค์ชายจี้ตูคล้ายกับช่วยไม่ได้และพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“ลูกไม่รู้ว่าได้ไปล่วงเกินอะไรท่านซ่งเอาไว้ ปกติแล้วตอนที่ลูกเข้าไปเจอเขา เขาจะไม่ออกมาพบ และถึงแม้จะได้เจอในวัง เขาก็เย็นชามาก”
“น้องชายข้า ฉีหมาน ใกล้ชิดกับท่านซ่งมาก เขาอาศัยอยู่บนภูเขาต้นกำเนิดและลือกันว่าท่านซ่งรับเป็นศิษย์ไปแล้ว”
“ท่านพ่อเองก็ดูห่วงใยเรื่องฉีหมานเป็นอย่างมาก ทั่วทั้งอาณาเขตฉีดูแลเขาเหมือนกับเป็นจักรพรรดิคนถัดไป” จี้ตูพูดอย่างขมขื่น
หวังหลินมีท่าทีสงบนิ่งและหลังจากได้ยินเรื่องนี้จึงขบคิดไปชั่วขณะ
“มหาชั้นฟ้าแต่ละอาณาเขตสามารถแต่งตั้งจักรพรรดิแต่ละรุ่นได้โดยไม่มีข้อยกเว้น…ข้าคิดว่าเจ้าเตรียมตัวมาแล้ว” หวังหลินมององค์ชายจี้ตูอย่างละเอียด
องค์ชายจี้ตูรู้สึกเหมือนถูกหวังหลินมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งจนไม่สามารถซ่อนงำความคิดของตัวเองได้
องค์ชายจี้ตูคุกเข่าและกล่าวอย่างเคารพ “ลูกยังเตรียมการอยู่ ลูกไม่ยอมให้เกิดการล้มเหลว หากสูญเสียโอกาสในการกลายเป็นจักรพรรดิในครั้งนี้ จะไม่มีโอกาสครั้งที่สอง”
“ไม่ว่าจะเป็นความฉลาดหรือไหวพริบ ข้าดีกว่าเจ้าฉีหมานนั่น ข้าไม่อยากยอมแพ้”
“ข้าหวังว่าพ่อบุญธรรมจะช่วยข้า เมื่อได้กลายเป็นจักรพรรดิ ข้าจะตอบแทนตามข้อตกลงก่อนหน้านี้และไม่กล้ากลับไปอีก!”
หวังหลินมีสีหน้าสงบนิ่งและเอ่ยขึ้น “นอกจากน้องชายเจ้าแล้ว ควรจะมีคู่แข่งอีกคน”
“และพี่ชายข้า…เขา…ตอนที่เขาเกิด มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในโลก กระทั่งทำให้มหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวสนใจและมอบของขวัญมาให้”
“เขามีโอกาสได้ตำแหน่งจักรพรรดิค่อนข้างสูง!” จี้ตูยิ้มอย่างขมขื่น
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและเอ่ยขึ้น “ข้าไม่กังวลเรื่องการเตรียมการของเจ้า แต่ข้าสามารถไปเจอซ่งเทียนเพื่อดูว่าเขาสามารถแต่งตั้งเจ้าให้เป็นจักรพรรดิคนถัดไปได้หรือไม่!”
พอองค์ชายจี้ตูได้ยินเช่นนี้ เขายินดียิ่งแต่สีหน้าไม่เปลี่ยนไปมากนัก เพียงแค่พยักหน้าอย่างเคารพเท่านั้น
หวังหลินมองไปยังจี้ตูด้านหน้า เขาเป็นคนที่มีความน่าเกรงขาม เป็นคนที่สามารถปกปิดอารมณ์ความรู้สึกและรู้ขีดจำกัดของตัวเอง
“เราจะพูดเรื่องนี้หลังจากข้าออกมาจากการปิดด่านบ่มเพาะ หากไม่มีอะไรสำคัญ อย่ารบกวนข้า” หวังหลินถอนสายตาและกลับเข้าสู่ห้องลับ เพียงประตูปิดไป ที่นี่จึงเงียบสนิท
องค์ชายจี้ตูคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไปสักพักก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างเคารพและเผยแววตาแห่งความสุขอย่างไม่ละอาย
‘ด้วยพลังอำนาจของพ่อบุญธรรม ท่านซ่งอาจเปลี่ยนความคิดได้จริงๆ…แต่ข้าก็จำเป็นต้องเริ่มแผนการของข้าด้วย คราวนี้ข้าต้องสู้!! เมื่อข้าทำได้สำเร็จ ในอีกสองร้อยปี ข้าจี้ตูจะได้เป็นจักรพรรดิอาณาเขตฉี!!’
จี้ตูตื่นเต้นและสูดหายใจลึกก่อนจะระงับความตื่นเต้นเอาไว้ เขาส่งคำสั่งออกไปให้ที่นี่กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามในทันที ใครที่กล้าบุกรุกเข้ามาจะต้องถูกสังหาร
เขาทั้งยังพาองครักษ์อีกหลายคนเข้ามาปกป้องที่นี่ตลอดเวลา
หวังหลินก้าวเข้าไปในห้องลับและมองดูรอบด้าน เขาสะบัดแขนและส่งเขตอาคมจำนวนมากกระจายไปทั่วห้อง ปิดผนึกห้องลับแห่งนี้เอาไว้ ด้วยระดับบ่มเพาะของหวังหลินในตอนนี้ เขตอาคมที่เขาวางนั้นแม้แต่มหาชั้นฟ้าก็ไม่สามารถเข้ามาได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว
หวังหลินนั่งอยู่บนพื้น ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า นอกจากการส่งซ่งจื่อกลับบ้านแล้วยังมีความหมายลึกล้ำแฝงการกระทำในการมาอาณาเขตฉีและช่วยเหลือองค์ชายจี้ตูให้กลายเป็นจักรพรรดิฉี
‘โลหิตวิญญาณหนึ่งหยดไม่สามารถทำให้ร่างของหวานเอ๋อร์เข้าไปในแดนเทพบรรพกาลได้…’ ย้อนกลับไปในสำนักตะวันม่วง เขาเห็นบันทึกหลายอย่างเกี่ยวกับแดนเทพบรรพกาลมาจากชวงจื่อ
มีรายละเอียดบางอย่างอธิบายเอาไว้เกี่ยวกับแดนเทพบรรพกาล ส่วนเรื่องที่มันปรากฏขึ้นเวลาไหน ไม่มีใครรู้ แต่จากที่เขารวบรวมข้อมูลมา แรงกดดันทรงพลังสามารถพาให้คนหลบซ่อนจากการจัดการของโลกแห่งนั้นได้ ดวงวิญญาณของคนที่ตายในแดนเทพบรรพกาลจะไม่เข้าสู่วัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ แม้กระทั่งการเกิดใหม่ก็ยังหยุดอยู่ตรงนั้น
นี่คล้ายกับที่ราชครูได้พูดเอาไว้ จึงเป็นเหตุผลที่หวังหลินยอมให้ราชครูเปิดใช้ค่ายกลต่อไปและเปิดแดนเทพบรรพกาลขึ้นมา
‘ร่างของหวานเอ๋อร์ไม่สามารถอยู่รอดในแดนเทพบรรพกาลได้ ตามที่ราชครูได้พูดเอาไว้ แม้โลหิตวิญญาณจะสามารถช่วยได้ แต่หนึ่งหยดเห็นได้ชัดว่าไม่พอ…’
‘ราชครูพยายามเปิดแดนเทพบรรพกาลขึ้นมา เขาใช้เรื่องความจริงและการเกิดใหม่ของหวานเอ๋อร์เป็นตัวล่อให้ข้าเข้าไปที่นั่น…ไม่ว่าจะเป็นอะไร เป้าหมายของเขาคือการทำให้ข้าเชื่อเขา ดังนั้นอย่างน้อยเขาควรจะบอกความจริงเกี่ยวกับหวานเอ๋อร์บ้าง’
‘ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่จำเป็นต้องไป!’ หวังหลินขบคิด เหตุผลใหญ่ที่สุดที่เขาจะช่วยจี้ตูคือเขาต้องการได้โลหิตวิญญาณมากขึ้น การได้มากขึ้นนั้นเขาต้องไปที่อารามบรรพชนเพื่อผ่านบททดสอบสุดท้าย!
นี่คือหนทางเดียวในการได้รับการยอมรับจากบรรพชนโบราณอีกครั้งและบางทีอาจได้โลหิตวิญญาณมากขึ้น!
“ข้าไม่สามารถกลับไปอาณาเขตเต๋าได้อีกแล้วและสิทธิ์ในการเปิดอารามบรรพชนก็ไม่ได้อยู่ในมือของมหาชั้นฟ้า แต่เป็นของจักรพรรดิคนปัจจุบัน”
‘แม้ลั่วเฉินจะได้รับการยอมรับว่าเป็นจักรพรรดิเต๋า…ข้าก็ยังไม่อยากกลับไปอาณาเขตเต๋าอยู่ดี…’ หวังหลินถอนหายใจและเผยท่าทีซับซ้อน
‘ส่วนเรื่องอาณาเขตจวี่ ข้าไม่ได้ติดต่อกับพวกนั้นมากนัก อาณาเขตฉีเหมาะสำหรับข้ามากกว่า โดยเฉพาะความทะเยอทะยานของจี้ตู เขาจะไม่กล้าขัดเจตนารมณ์ของข้า’
‘ห้าร้อยปี…เพียงห้าร้อยปี!’ หวังหลินสูดหายใจลึกและสะบัดแขน โลงศพผลึกใสปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
ลี่มู่หวานหลับนิ่งอยู่ในโลงศพ หวังหลินมองนางด้วยใบหน้าอ่อนโยนขึ้น แขนซ้ายตีใส่หน้าผากตัวเอง ลำแสงสีเงินสายหนึ่งส่องประกาย
ในลำแสงสีเงินมีร่างเงาเลือนลาง ร่างเงานี้คือเศษวิญญาณของลี่มู่หวาน
“หวานเอ๋อร์ ตั้งแต่นี้ต่อไป วิญญาณของเจ้าก็จะสมบูรณ์ ข้าจะเป็นคนปลุกเจ้า…ไม่ใช่เพียงชั่วเวลาสิบปี แต่ชั่วชีวิตข้า…” หวังหลินยกนิ้วขึ้นมาส่งลำแสงเข้าหาลี่มู่หวาน เปลือกตาของนางสั่นระริกราวกับกำลังจะตื่น แต่ในไม่นานก็สงบลง
ทว่ามีหยาดน้ำตาใสๆ กำลังไหลลงมาจากมุมสายตาทั้งสองข้าง
……………………………………………….
ตอนที่ 2043 เวลา
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังหลินมองลี่มู่หวานที่อยู่ในโลงศพ เขาเห็นเปลือกตาของนางสั่นเบาๆ หยาดน้ำตาใสไหลรินลงมา หวังหลินค่อยๆ ปาดน้ำตาของนางออก หยดน้ำตานั้นยังคงเปื้อนอยู่บนนิ้ว
หวังหลินเอาน้ำตาเคลื่อนมาไว้ใกล้ปากและชิมดู มันขมขื่นยิ่ง แต่หลังจากนั้นกลับแฝงความหวานแห้งๆ
เป็นความรู้สึกที่พูดออกมาไม่ได้ หวังหลินมองลี่มู่หวานอยู่นาน เขาไม่สนใจเรื่องเวลาที่ดำเนินไป สายตามองใบหน้าของลี่มู่หวานต่อไปเรื่อยๆ
ทั้งหมดนี้กินเวลาไปหนึ่งวัน จนกระทั่งหัวใจหวังหลินค่อยๆ สงบลง เขาหลับตาและลืมตาขึ้นอีกครั้ง สายตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว
หวังหลินก้มตัวเอาใบหน้าไปสัมผัสกับริมฝีปากซีดของลี่มู่หวาน พึมพำใกล้หูของนางด้วยคำพูดที่มีเพียงเขาได้ยินคนเดียว
ครู่ต่อมาหวังหลินสะบัดแขนเสื้อ เก็บโลงศพของลี่มู่หวานให้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ภายในห้องลับเหลือเพียงหวังหลินแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ห่างออกไปไม่ไกลนักมีตะเกียงน้ำมันอยู่หนึ่งดวง ตะเกียงน้ำมันนี้ลึกลับยิ่ง แม้จะไม่มีพลังงานจากภายนอกก็สามารถส่องสว่างไปได้หลายพันปี ตอนนี้มันกำลังวูบวาบอยู่ในห้องอันมืดมิด
ซึ่งทำให้เงาของหวังหลินกะพริบวูบวาบไปด้วย
หวังหลินยื่นแขนซ้ายออกไปในอากาศ ปรากฏลำแสงสีทองขึ้นมาหนึ่งสาย นี่คือวิญญาณของจักรพรรดิเทพ ดวงวิญญาณนี้หลับตาอยู่ ถึงแม้จะปกคลุมไปด้วยแสงสีทองเปล่งอาณุภาพทรงพลัง แต่ก็มีสีเทาจากการเสื่อมสลาย
หวังหลินมองดูดวงวิญญาณ เกิดความลังเลเล็กน้อยแต่ก็กัดฟันแน่นและพ่นเปลวเพลิงสีเขียวออกมาหนึ่งก้อน เปลวเพลิงนี้คือเพลิงวิญญาณของเขาและมันเริ่มเผาไหม้วิญญาณของจักรพรรดิเทพ
‘ข้าจะใช้ประโยชน์จากวิญญาณดวงนี้ได้ก็ต่อเมื่อข้าสามารถขับไล่คำสาปบรรพชนออกไปได้สำเร็จ กระบวนการนี้จะเชื่องช้ามาก…’
หวังหลินมองดูวิญญาณจักรพรรดิเทพที่ถูกเพลิงวิญญาณของเขาห่อหุ้ม ผ่านไปสักพักจึงถอนสายตาออกมาและหลับตาลง ลมหายใจบางเบาและสงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหว
วันเวลาสามปีผ่านไปในพริบตา
ช่วงเวลาสามปีนี้ไม่มีใครเข้ามารบกวนหวังหลินเลย เขาไม่ได้ขยับตัวเลยตั้งแต่นั้น ภายในร่างมีพลังโบราณและระดับบ่มเพาะเทพเคลื่อนไหวอย่างราบรื่น แต่พลังงานผสมของพลังเทพและพลังโบราณที่เขาได้รับมาในภูเขากุ้ยต้าวกลับไม่ได้โคจรครบหนึ่งรอบ มันเคลื่อนไปได้แค่ระยะสั้นๆ เท่านั้น
วิญญาณจักรพรรดิเทพกำลังถูกเพลิงวิญญาณหล่อหลอมและไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ทว่าการเสื่อมสลายภายในชะลอตัวลงไปอย่างมาก
หวังหลินไม่คิดจะออกไปข้างนอก ห้องลับแห่งนี้มีคนคุ้มกันหลายคนและไม่มีใครอนุญาตให้เข้ามาได้
ช่วงระยะเวลาสามปี องค์ชายจี้ตูไม่ได้จากไปไหนและจัดการเรื่องในวัง บางครั้งผู้คนจากภายนอกได้ลอบมาพูดคุยกับเขา จากนั้นพวกเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและรีบจากไป
ช่วงระยะเวลาสามปีขององค์ชายจี้ตูเสมือนสายลมและสายฝน ไม่ว่าสิ่งต่างๆ มีความสำคัญแค่ไหน เขามักจะยืนอยู่ด้านนอกห้องลับของหวังหลินด้วยใบหน้าเคารพอยู่ครึ่งชั่วโมงก่อนจะจากไป
วันนี้หลังจากผ่านมาสามปี หวังหลินลืมตาขึ้นมาเป็นครั้งแรก วินาทีนั้นมีประกายแสงผลึกสดใสจำนวนสองสายได้เปล่งประกาย
ร่างเงาทับซ้อนปรากฏขึ้นบนร่างกาย ร่างแก่นแท้ห้าธาตุก้าวเดินออกมาและนั่งตรงข้าม
ร่างแก่นแท้ห้าธาตุได้สร้างร่างแก่นแท้ทั้งหมดของตัวเองขึ้นมาแล้วและผสานให้กลายเป็นหนึ่ง ร่างแก่นแท้ห้าธาตุที่สมบูรณ์จึงเป็นแก่นแท้ของเขาที่พัฒนาไปได้มากที่สุด
นี่แทบจะถึงขีดจำกัดของมันแล้ว เว้นแต่จะสามารถก้าวข้ามไปอีกครั้งให้กลายเป็นวิญญาณที่แท้จริง!!
หลังจากร่างแก่นแท้ห้าธาตุนั่งลง หวังหลินหลับตาและนั่งลง ทั้งสองร่างบ่มเพาะไปด้วยกันทำให้เวลาผ่านไปอีกสามปี
นับเป็นเวลาหกปีแล้วตั้งแต่ที่หวังหลินเข้าไปปิดด่านบ่มเพาะ ร่างเงาอีกร่างทับซ้อนกับร่างดั้งเดิมและมีจิตสังหารแผ่กระจายออกมา ร่างแก่นแท้สายฟ้าสังหารของหวังหลินก้าวเดินออกมาด้วยเรือนผมสีดำสะบัดพริ้ว ก้าวเข้าสู่อีกมุมหนึ่งและนั่งลงอย่างเยือกเย็น
ตอนนี้ภาพในห้องลับกลายเป็นภาพที่แปลกประหลาดมาก ร่างทั้งสามที่ดูเหมือนหวังหลินนั่งเป็นมุมสามเหลี่ยมและทุกร่างกำลังบ่มเพาะ
ส่วนวิญญาณจักรพรรดิเทพ หลังจากเผาไหม้เป็นเวลาหกปี การเสื่อมสลายชะลอตัวลงไปมาก บางทีอาจมีสักวันหนึ่งที่การเสื่อมสลายถูกลบไปอย่างสมบูรณ์ หวังหลินก็คงจะได้หลอมมันอย่างช้าๆ
เวลาไม่เคยรอใครและผ่านไปอีกสามปี ในปีที่เก้าที่หวังหลินปิดด่านบ่มเพาะ ร่างเงาอีกร่างทับซ้อนกับร่างกาย ก้อนมวลสารนี้ไม่สามารถควบแน่นเป็นร่างกายจริงๆ ได้ หลังจากมันปรากฏขึ้นมาจึงได้ลอยออกจากร่างหวังหลินและหยุดอยู่ด้านหลังห่างไปสิบฟุต
หวังหลินลืมตาและมองร่างแก่นแท้ทั้งสามร่าง ช่วงเวลาเก้าปีที่ผ่านมาหวังหลินได้ผลักดันพลังโบราณให้ถึงจุดสูงสุด ขณะเดียวกันร่างแก่นแท้ทั้งสามก็ได้เพิ่มพลังให้ถึงจุดสูงสุดของมันตามลำดับ
ตอนนี้เขามั่นใจว่าหากต่อกรกับมหาชั้นฟ้าต้าวยี่ก็คงไม่เพลี่ยงพล้ำ กระทั่งรู้สึกว่าเขาน่าจะกดดันต้าวยี่ได้ด้วย!
‘ท่ามกลางเหล่ามหาชั้นฟ้า ต้าวยี่แห่งเผ่าเทพมีระดับพลังอ่อนแอที่สุด ด้วยความแข็งแกร่งของข้า แม้จะไม่สามารถเทียบกับจิ่วตี้ได้ ข้าก็น่าจะเท่ากับหวู่เฟิง…แม้แต่ในเผ่าโบราณ ข้าน่าจะพอต่อสู้กับซ่งเทียนซึ่งมีระดับบ่มเพาะคล้ายกับอาจารย์ซวนลั่วได้ แต่ผู้ชนะยังไม่แน่นอนนัก’
‘นี่ยังเป็นแค่ก่อนที่ข้าจะใช้ร่างอวตารที่แข็งแกร่งที่สุด’ หวังหลินขบคิดอย่างสงบนิ่ง ครู่ต่อมาเขามองดูวิญญาณของจักรพรรดิเทพที่กำลังถูกหลอมด้วยเพลิงวิญญาณ
‘ด้วยเพลิงวิญญาณของข้า มันจึงส่งผลกระทบขึ้นมาบ้างแล้วแต่ก็เชื่องช้า น่าสงสัยว่าเมื่อใดมันจะเสร็จสิ้น’ หวังหลินมองวิญญาณของจักรพรรดิเทพอยู่สักพักก่อนจะถอนสายตา
‘ข้าคงไม่ต้องกังวลเรื่องร่างแก่นแท้ห้าธาตุไปชั่วคราว ตอนที่อยู่ในเมืองหลวงอาณาเขตเต๋า ข้าได้ทำให้มันสมบูรณ์และทำให้ข้าบรรลุระดับวิบากดับสูญขั้นสูงสุด นั่นแปลว่าสิ่งที่ข้าคาดการณ์เอาไว้เป็นเรื่องถูกต้อง!’
‘หากข้าต้องการเพิ่มระดับบ่มเพาะ ขั้นต่อไปคือร่างแก่นแท้สายฟ้าสังหาร…’ หวังหลินมองร่างแก่นแท้สายฟ้าสังหาร ดวงตาเผยประกายแปลกประหลาด
‘สิ่งที่จำเป็นให้ร่างแก่นแท้นี้สมบูรณ์นั้น อาจารย์…พาข้าไปสถานที่หลายแห่งทั่วเผ่าโบราณและได้สิ่งต่างๆ มาเพียงพอ…’ หวังหลินถอนหายใจและถอนสายตา จากนั้นมองไปทางอาณาเขตเต๋า ราวกับมองทะลุผ่านห้องหนึ่งไปได้ถึงภูเขาด้านหลังอารามเต๋า ไปยังชายชราที่ไม่ได้เป็นหนุ่มอีกแล้ว
ผ่านไปสักพักหวังหลินถอนสายตาออกมา เขาตัดสินใจว่าจะไม่ออกจากการปิดด่านบ่มเพาะจนกว่าจะเพิ่มระดับบ่มเพาะขึ้นมาได้ เขาต้องยกระดับไม่ใช่เพื่อก้าวข้ามมหาชั้นฟ้าซ่งเทียน แต่ยังต้องไม่กลัวมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวไปด้วย
เพียงเท่านั้นเขาถึงจะมั่นใจในการทำให้มหาชั้นฟ้าซ่งเทียนเลือกจี้ตูและพาเขาเข้าไปในอารามบรรพชน
สิ่งสำคัญที่สุด เขาจำเป็นต้องได้พลังในการเข้าแดนเทพบรรพกาลเพื่อปัดเป่าสายหมอกที่ขวางทางออกไปให้หมด ค้นหาเป้าหมายของราชครูอาณาเขตเต๋าให้ได้
‘ความคิดของมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวช่างแปลกประหลาด…เขาไม่ได้มาตามหาข้าด้วยเรื่องในอาณาเขตเต๋าเลย แต่ข้ายังต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเองเพื่อขจัดปัญหาทั้งหมดไป ข้าไม่ยอมให้ชีวิตของข้าถูกคนอื่นตัดสิน’ หวังหลินมองร่างแก่นแท้สายฟ้าสังหาร แววตาเป็นประกายวูบวาบ
เส้นทางการฝึกฝนของเขาแตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง มันเป็นเส้นทางที่เขารู้มาด้วยตัวเองและมีแค่เขาที่สามารถชี้ทางว่าจะไปทางไหนต่อ ซึ่งการลองผิดลองถูกจะทำให้เขาได้เห็นว่าเดินต่อไปข้างหน้าแล้วเป็นอย่างไร
“ร่างแก่นแท้สายฟ้าสังหารสร้างขึ้นจากแก่นแท้พิเศษ แก่นแท้สายฟ้ามีร่างแก่นแท้ แต่แก่นแท้ที่เหลือเพียงแค่สมบูรณ์เท่านั้น”
“สังหาร จุดจบที่แท้จริง จุดเริ่มต้นที่แท้จริง เขตอาคม…” หวังหลินพึมพำพลางชี้ไปที่ร่างแก่นแท้สายฟ้าสังหาร ร่างแก่นแท้สั่นเทาและค่อยๆ แบ่งตัวออกมาเบื้องหน้าหวังหลิน
ร่างแก่นแท้ถูกห่อหุ้มด้วยสายฟ้า มีเมฆหมอกจำนวนสี่ก้อนกระจายออกมา พอหนึ่งในนั้นปรากฏขึ้น ทั้งห้องกลายเป็นเย็นเยียบและมีจิตสังหารเต็มไปทั่วบริเวณ
นี่คือแก่นแท้สังหาร
เมฆหมอกอีกก้อนหนึ่งกะพริบเป็นสัญลักษณ์แปลกประหลาดนับไม่ถ้วน เพียงสายหมอกเคลื่อนไหวจึงได้มีอักขระปรากฏขึ้นจำนวนมาก นี่คือแก่นแท้เขตอาคม
ส่วนเมฆหมอกที่เหลืออีกสองก้อน หนึ่งในนั้นเปล่งแสงสว่างและอีกหนึ่งเปล่งแสงสีดำสนิท พวกมันเป็นตัวแทนของจุดเริ่มต้นแท้จริงและจุดจบแท้จริง
‘เมื่อสี่แก่นแท้ได้สร้างร่างแก่นแท้ของตัวเองขึ้นมาและผสานเป็นร่างแก่นแท้สายฟ้าสังหารสมบูรณ์ ก็จะสามารถเพิ่มระดับบ่มเพาะของข้าให้ก้าวข้ามผ่านวิบากดับสูญระดับสูงสุด!!’
‘บางทีอาจเป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้าหรือผู้สูงส่งชั้นเทวะ แต่เป็นไปได้ที่จะไม่ใช่ทั้งสองอย่างและเป็นขอบเขตที่ข้าไม่รู้จัก…บางทีอาจเป็นมหาชั้นฟ้า!’ หวังหลินเต็มไปด้วยสายตาคาดหวัง จากความเข้าใจของเขา ผู้สูงส่งชั้นฟ้าและผู้สูงส่งชั้นเทวะเป็นแค่คนที่มีระดับบ่มเพาะวิบากดับสูญระดับสูงสุด ทว่าการก้าวเข้าสู่มหาชั้นฟ้าเป็นเรื่องยากเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงแบ่งออกเป็นหลายระดับ
ความจริงทั้งผู้สูงส่งชั้นฟ้าและผู้สูงส่งชั้นเทวะ โดยพื้นฐานแล้วขั้นนี้ล้วนเป็นเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับสูงสุดทั้งหมด
หวังหลินมีแววตาเปล่งประกาย หลังจากขบคิดเพียงเล็กน้อยจึงยกแขนขึ้นมาสะบัดเข้าใส่หลังคาของห้องลับ เพดานเปลี่ยนกลายเป็นท้องฟ้าจนก่อเกิดเป็นเหตุการณ์อันแปลกตา
ท้องฟ้าสีคราม ก้อนเมฆสีขาวและสดใสไปถึงหลายพันลี้ ทว่ากลับไม่มีดวงอาทิตย์
หวังหลินคว้าจับแก่นแท้จุดเริ่มต้นแท้จริงโดยไม่ลังเล จากนั้นโยนขึ้นสู่เพดานที่เหมือนท้องฟ้า มันส่องประกายเจิดจ้าคล้ายกับดวงอาทิตย์!
หวังหลินมองไปยังเพดานที่ได้เปลี่ยนกลายเป็นท้องฟ้า จากสายตาเขาคล้ายกับท้องฟ้าได้เปลี่ยนไป ไม่นานนักช่วงเวลาเกือบทั้งวันได้ผ่านไป จุดเริ่มต้นแท้จริงซึ่งได้เปลี่ยนกลายเป็นดวงอาทิตย์ค่อยๆ ตกลงมา
……………………………………………….
ตอนที่ 2044 สัญญาณแห่งสวรรค์!
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากดวงอาทิตย์หายไปและท้องฟ้ามืดลง หวังหลินคว้าจับแก่นแท้จุดจบแท้จริง โยนแก่นแท้เข้าไปในท้องฟ้าอันมืดมิดและมันก็หายไป
หวังหลินจ้องมองท้องฟ้าที่ปรากฏบนเพดาน ดวงตาพลันส่องสว่าง ฝ่ามือสร้างผนึกและพึมพำเบาๆ
“ห้วงเวลา…” หวังหลินใช้วิชาที่สร้างขึ้นมาเองเพื่อควบคุมการไหลของเวลา ทั้งยังสามารถย้อนคืนเวลานับพันปีได้ในพริบตา วิชานี้สามารถใช้ในการต่อสู้ได้ด้วย ตอนนี้หวังหลินกำลังใช้มันเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับแก่นแท้
บงการแห่งฟ้าดินสำหรับเหล่าเซียนถือว่าควบคุมได้ยากมาก หวังหลินพยายามสร้างท้องฟ้าของตัวเองและมอบกลางวันและกลางคืนให้ ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องยากอยู่ดี
ตอนนี้หากใครมาเห็นเข้าคงเกิดความตกตะลึงอย่างแน่นอน
‘วิชาที่เผ่าต้าวหวังใช้สร้างถ้ำและพลังของมหาชั้นฟ้าในการสร้างสิ่งต่างๆ จากความว่างเปล่า…เพิ่มวิชาห้วงเวลาของข้าเข้าไป ข้าจึงสามารถประกอบการเคลื่อนไหวของโลกได้…’
‘และข้าเพียงแค่หลอมผนังของห้องแห่งนี้เท่านั้น ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ข้าสามารถควบคุมได้’ หวังหลินมองดูเพดานและเห็นกลางวันและกลางคืนสับเปลี่ยนกันไปหลายสิบครั้งในชั่วเวลาสั้นๆ
‘ข้าหวังว่าข้าจะสามารถใช้วิธีนี้ในการเข้าใจแก่นแท้จุดเริ่มต้นและแก่นแท้จุดจบแท้จริงได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น’ หวังหลินตีหน้าผากตัวเอง แบ่งวิญญาณดั้งเดิมส่วนหนึ่งเข้าไปในเพดานเพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนไปมาระหว่างกลางวันและกลางคืน
ก้อนวิญญาณดั้งเดิมนี้ได้ผสานเข้ากับเพดาน จากนั้นหวังหลินก็ไม่ให้ความสนใจมันอีก การรู้แจ้งไม่สามารถเสร็จสิ้นได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ในอนาคตเมื่อเขาถอนก้อนวิญญาณดั้งเดิมนั้นกลับมา เขาจะได้รับความเข้าใจทั้งหมดตลอดหลายปี
“แก่นแท้เขตอาคม…” หวังหลินมองดูหมอกประหลาดที่มีอักขระมากมายกะพริบวูบวาบ มันคือแก่นแท้เขตอาคมและเขาก็เกิดความเข้าใจมันจากตอนที่อยู่ในแผ่นดินเทพโบราณ
หลังจากขบคิดอยู่สักพัก หวังหลินจำได้ว่าอาจารย์ซวนลั่วพาเขาไปสถานที่หลายแห่ง เขาได้รับเขตอาคมจำนวนมากและคงใช้ประโยชน์ในการเพิ่มความแข็งแกร่งของแก่นแท้เขตอาคมขึ้นได้อย่างมหาศาล
หวังหลินถอนหายใจและชี้ไปที่ร่างแก่นแท้ห้าธาตุ ร่างแก่นแท้ห้าธาตุมองเข้ามาและมีแววตาเปล่งประกาย จากนั้นแบ่งร่างกายออกเป็นลำแสงห้าเส้นลอยเข้าสู่แก่นแท้เขตอาคม มันกำลังพาหวังหลินเข้าไปผสานเขตอาคมจำนวนมากในแก่นแท้
สุดท้ายหวังหลินได้มองไปที่แก่นแท้สายฟ้าสังหาร แก่นแท้สังหารเป็นแก่นแท้สำคัญที่สุดและแก่นแท้ที่เข้าใจยากที่สุด!!
‘มือสังหาร…ตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้นครั้งแรก เขาเรียกตัวเองว่า ‘มือสังหาร’ ราชครูอาณาเขตเต๋าเองก็รู้จักร่างอวตารนี้เช่นกัน…’ หวังหลินมีสีหน้าอันซับซ้อน เขาคาดเดาขึ้นมาเองและเก็บไว้ในส่วนลึกของจิตใจ
‘มือสังหารเป็นร่างอมตะ เป็นตัวแทนของการทำลายล้างและไม่อาจลบเลือนไปได้ แก่นแท้สังหารนี้สมบูรณ์เพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น มันจึงยังไม่สามารถสร้างร่างแก่นแท้ขึ้นมาได้ ข้าไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นถูก…หรือผิด’ หวังหลินลังเล
“ข้าได้ข่มแก่นแท้สังหารนี้ไว้ มันเกิดขึ้นมาตอนที่ข้าผสานเข้ากับสายฟ้า จากนั้นก็ใช้เขตอาคมเพื่อสร้างสมดุลเอาไว้ พอผสานกับจุดจบแท้จริงจึงทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นข้าจึงใช้จุดเริ่มต้นแท้จริงเพื่อทำให้เกิดสมดุลอีกครั้ง”
“เป็นผลให้ถึงแม้แก่นแท้ทั้งหมดสร้างร่างแก่นแท้ขึ้นมาได้ ทุกอย่างก็น่าจะเกิดสมดุล นอกเสียจากข้ามีวิธีอื่น!” หวังหลินพึมพำก่อนจะเผยสายตามุ่งมั่น วินาทีนี้เขาไม่ลังเลอีกแล้ว หากต้องการเพิ่มระดับบ่มเพาะ คงต้องทำสิ่งนี้เท่านั้น
หวังหลินคิดขึ้นในใจขณะที่จ้องมองแก่นแท้สังหารและร่างแก่นแท้สายฟ้า ร่างแก่นแท้สายฟ้าพลันลืมตาและสูดแก่นแท้สังหารเข้าไป ประกายสายฟ้ารอบร่างกายพลันเปลี่ยนไปเป็นสีดำ
สายฟ้าสังหารกระหน่ำลงมาอีกครา!
ดวงตาหวังหลินเปล่งประกายเจิดจ้า ฝ่ามือสร้างผนึกและชี้ไปที่ร่างแก่นแท้สายฟ้าสังหารให้ลอยเข้ามาหาและทับซ้อนกับเขา
หวังหลินใช้ร่างของตัวเองที่ทำการสังหารมานานหลายปีเพื่อหล่อเลี้ยงแก่นแท้สังหาร ระหว่างกระบวนการนี้ยังมีร่างที่ทับซ้อนบนร่างหวังหลิน ราวกับการผสานเป็นไปได้อย่างยากลำบาก
แต่หวังหลินไม่ประหลาดใจคล้ายกับคาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้ว ฝ่ามือสร้างผนึกอย่างต่อเนื่องและชี้ไปที่ร่างกายตัวเอง ทุกครั้งที่ชี้ไป เงาที่กำลังทับซ้อนจะหายไปเล็กน้อย ยิ่งเวลาผ่านไปจึงปรากฏเม็ดเหงื่อบนหน้าผากและมีสีหน้าหนักหน่วง
หลังจากเวลาผ่านไปไม่รู้นานแค่ไหน พอเขาชี้เป็นครั้งสุดท้าย แก่นแท้สายฟ้าสังหารจึงได้ผสานเข้ากับร่างกายโดยไม่เกิดร่างเงาทับซ้อนอีกต่อไป จากนั้นหวังหลินกัดปลายลิ้นและพ่นโลหิตออกมาหนึ่งคำ เขาสะบัดแขนให้โลหิตเปลี่ยนกลายเป็นอักขระรูนส่งไปทั่วร่างกาย
“หลอมโลหิต!!” หวังหลินคำรามก่อนจะหลับตาและนิ่งงันต่อไป
ขณะที่เขาทำการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่นแท้สังหารเพื่อป้องกันเหตุการณ์ในภายภาคหน้า เขาจึงต้องหลอมมือสังหารขึ้นอีกครั้ง!
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หวังหลินจะทำการหลอมสายฟ้าสังหาร ครั้งแรกเกิดขึ้นตอนที่เขาบังเอิญสร้างมันขึ้นมา
เวลาผ่านไปโดยไม่หยุดชะงักและไม่เกิดความรู้สึกอื่นใด เวลาได้ผ่านไปในแต่ละปี
ตอนที่แดนเทพบรรพกาลปรากฏขึ้นมา คลื่นใต้น้ำที่กระจายไปทั่วแผ่นดินเซียนดาราเริ่มจะเงียบขึ้น ทว่ามันกลับเกิดแรงกดดันจนห่อหุ้มไปทั่วทั้งแผ่นดินเซียนดารา
สำนักหลายแห่งในเผ่าเทพล้วนเงียบสงัดและสงบสุขจนเป็นช่วงเวลาที่หาได้ยาก ทุกคนต่างก็ทำการรวบรวมพลังงานของตัวเองไว้ใช้ตอนที่แดนเทพบรรพกาลเปิดออก
สำนักใดที่ทรงพลังต่างก็รู้สึกว่าหลังจากช่วงเวลาที่กดดันครั้งนี้จะเกิดสงครามยาวนานกินเวลาไปหลายร้อยปีระหว่างเผ่าเทพและเผ่าโบราณขึ้นอีกครั้ง!!
ระหว่างการต่อสู้ครั้งนี้ แม้กระทั่งมหาชั้นฟ้าอาจจะตายลงได้ ส่วนผู้สูงส่งชั้นเทวะและผู้สูงส่งชั้นฟ้าของหลายสำนักอาจจะหายไปและบางแห่งอาจมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาเลยก็ได้
ในเผ่าโบราณเองก็เช่นกัน ตระกูลราชวงศ์ทั้งสามทำตามคำสั่งของมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวและเตรียมการทำสงคราม ทุกคนต่างรู้สึกถึงแรงกดดันและมหาชั้นฟ้าของแต่ละอาณาเขตได้ปิดด่านบ่มเพาะไปตามๆ กัน
ภายในอาณาเขตเต๋า ลั่วเฉินได้กลายเป็นจักรพรรดิคนใหม่ แต่ในฐานะจักรพรรดิแล้วเขาไม่คุ้นเคยกับทั่วทั้งอาณาเขตเต๋าเลย เขาคงต้องการเวลาปรับตัวก่อนจะครอบครองทุกอย่างได้อย่างแท้จริง
ช่วงกระบวนการนี้ จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เย่เว่ยได้เข้ามาจัดการอาณาเขตเต๋าแทนจักรพรรดิคนปัจจุบันไปชั่วคราว ส่วนซวนลั่ว หลังจากแต่งตั้งลั่วเฉินเป็นจักรพรรดิ เขาก็ปิดด่านบ่มเพาะทันที
เขาใกล้จะถึงช่วงการเกิดใหม่และต้องเผชิญกับการเปิดแดนเทพบรรพกาลอีก ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดในการไปเกิดใหม่ เขาต้องชะลอเอาไว้และรอให้ทุกอย่างสงบลงก่อนจะไปเกิดใหม่
อาณาเขตฉีเองก็เผชิญกับปัญหาคล้ายกัน จักรพรรดิคนเดิมกำลังแก่ชราขึ้นเรื่อยๆ ตามข้อตกลงโบราณแล้ว เขาคงต้องสละตำแหน่งของตัวเองให้ลูกหลานเว้นแต่มหาชั้นฟากุ้ยต้าวจะยินยอม
ตอนนี้ยังมีเวลาอีกร้อยปีหรือจนกว่าเขาจะสละตำแหน่ง เขาอยู่อย่างเงียบๆ โดยไม่มีสิทธิ์เลือก ดังนั้นองค์ชายทุกคนจึงผลักดันตัวเองให้อยู่ในสายตาของมหาชั้นฟ้าซ่งเทียน
จี้ตูได้พบเจอกับมหาชั้นฟ้าซ่งเทียนหลายครั้งแต่ก็ถูกหยุดอยู่ด้านนอกภูเขาต้นกำเนิดทุกครั้งไป เวลากำลังใกล้เข้ามาและเมื่อมหาชั้นฟ้าซ่งเทียนตัดสินใจได้ ก็คงสายเกินไปเสียแล้ว
ตอนนี้มีอยู่สามคนนั่งอยู่ในวังขององค์ชายจี้ตู หนึ่งในนั้นคือจี้ตู เขากำลังขมวดคิ้วและดูเคร่งเครียด
ด้านข้างเป็นหญิงสาวเยาว์วัย นางมักจะมองจี้ตูเป็นครั้งคราวด้วยสายตากังวล
“ท่านพี่ ผู้อาวุโสหวังหลินปิดด่านบ่มเพาะมาร้อยปีแล้ว…วันที่ท่านพ่อจะสละราชสมบัติกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตามประเพณี จักรพรรดิคนใหม่จะถูกเลือกไว้ร้อยปีก่อนการสละตำแหน่ง”
“มุมมองด้านเวลา น่าจะตัดสินใจในอีกไม่กี่ปี หากท่านไม่ขอให้ผู้อาวุโสหวังหลินช่วยเหลือ ข้ากลัวว่ามันจะสายเกินไป…” นางถอนหายใจ นางคือหญิงสาวเยาว์วัยที่อยู่ข้างจี้ตูเมื่อตอนนั้น จากนั้นต่อมาจึงได้แต่งงานกับหนึ่งในอัจฉริยะของอาณาเขตฉี เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในคนรุ่นใหม่และใกล้ชิดกับพวกพ้องของจี้ตูยิ่ง เขาอยู่ข้างกายนางและมองดูทุกอย่างด้วยความเยือกเย็น
“ลือกันว่าผู้อาวุโสอาจได้เป็นตะวันดวงที่สิบ แต่หลังจากเขาออกมาจากอาณาเขตเต๋า เขาก็ปิดด่านบ่มเพาะในทันที ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ…เขาสามารถทำให้ท่านซ่งเปลี่ยนความคิดได้จริงหรือ?” คนที่พูดคือชายหนุ่มชุดม่วง ผู้เป็นสามีของนาง
“ท่านพี่!” นางกระวนกระวายมากขึ้น
องค์ชายจี้ตูกระอักกระอ่วนไปสักพักก่อนจะถอนหายใจและพูดอย่างมุ่งมั่น “ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องนี้! พ่อบุญธรรมบอกว่าห้ามไปรบกวนเขา…”
“นี่มัน…” นางกัดริมฝีปาก หลังจากเห็นสายตามุ่งมั่นของจี้ตู นางจึงกลืนคำพูดลงคอไป
มีเพียงชายหนุ่มชุดม่วงที่เผยท่าทีเยาะเย้ย เห็นได้ชัดว่ามีเพียงเขาที่ไม่คิดว่าหวังหลินเป็นคนน่าหวาดกลัวตามข่าวลือ
“แม้พ่อบุญธรรมจะไม่ออกมา ข้าก็เตรียมการสำหรับร้อยปีไว้แล้วและข้าจะลองดู! หากฉีหมาน… และพี่ชายร่วมสายเลือดต้องตาย ท่านซ่งยังเลือกคนตายเป็นจักรพรรดิคนถัดไปได้อีกหรือ?” จี้ตูมีแววตาเป็นประกายเย็นเยียบ
หลังจากเขาพูดขึ้น ทั่วทั้งห้องโถงก็เย็นเยียบ จิตใจหญิงสาวสั่นเทาราวกับต้องการพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มอย่างขมขื่น พี่ชายของนางเปลี่ยนแปลงมากเกินไปในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาและทำให้นางรู้สึกห่างเหิน
ห้องโถงเงียบสงัด แม้กระทั่งชายหนุ่มชุดม่วงก็ยังเงียบลงหลังจากได้ยินคำพูดของจี้ตู เขาเงยหน้าขึ้นมาจะพูด แต่จังหวะนั้นเกิดแรงกดดันทรงพลังตกลงมา
พอแรงกดดันปรากฏขึ้น โลกได้เปลี่ยนสีสันและเกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าตกตะลึง
กลิ่นอายที่มิอาจอธิบายออกมาได้กำลังออกมาจากห้องของหวังหลินและพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ท้องฟ้าสดใสคล้ายกับพังทลายจากเศษละอองมากมายกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง
“สัญญาณแห่งสวรรค์!!”
“มันมาจากห้องปิดด่านบ่มเพาะของพ่อบุญธรรม พ่อบุญธรรมออกมาจากการปิดด่านบ่มเพาะแล้ว” จี้ตูลุกขึ้นและตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
……………………………………………………
ตอนที่ 2045 ผสานร่างแก่นแท้!
โดย
Ink Stone_Fantasy
สายหมอกปรากฏขึ้นในท้องฟ้าและปั่นป่วน ดูราวกับดอกเห็ด เสียงดังสนั่นกึกก้องแผ่กระจายออกไปปกคลุมท้องฟ้าและทำให้พื้นดินมืดอึมครึม
แรงกดดันทรงพลังแผ่กระจายออกมาจากท้องฟ้าและห่อหุ้มพื้นดินเบื้องล่าง พื้นดินเริ่มสั่นเทาราวกับมีวิญญาณและเกิดความหวาดกลัวต่อแรงกดดัน
นอกจากกลุ่มขององค์ชายจี้ตูแล้ว มีองค์รักษ์อีกหลายคนในวัง ระดับบ่มเพาะของแต่ละคนไม่ได้อ่อนแอ บางคนถึงกับมีดาวรวมทั้งสิ้น 27 ดวง
แต่ขณะที่แรงกดดันกดทับลงมาในวินาทีนั้น เหล่าองครักษ์เกือบพันคนต่างก็หน้าซีดและร่างกายสั่นเทา ร่างกายส่งเสียงปะทุขึ้นราวกับไม่สามารถอดทนต่อแรงกดดันนี้ได้
‘ร้อยปีที่ผ่านมาเขาบ่มเพาะอย่างไรถึงได้สร้างแรงกดดันได้ขนาดนี้?’ สีหน้าของชายหนุ่มชุดม่วงพลันเปลี่ยนไป แม้เขาจะมีระดับบ่มเพาะสูงมากก็แทบไม่สามารถทนยืนต้านไหว
ส่วนหญิงสาวนั้นไม่สามารถยืนขึ้นได้เลย นางนั่งอยู่บนเก้าอี้และหยาดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก
องค์ชายจี้ตูดูตื่นเต้น เขาไม่กล้าขัดขวางหวังหลินในช่วงเวลาร้อยปีที่ผ่านมาแม้เขาจะเผชิญกับวิกฤติความเป็นความตายก็ตาม เขายอมกัดฟันแน่นและอดทนเอาไว้ให้ผ่านไป ตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของหวังหลินออกมาจากแรงกดดันครั้งนี้
สายหมอกในท้องฟ้ากำลังปั่นป่วนอย่างต่อเนื่องและปรากฏภาพเงาแปลกประหลาดขึ้นภายใน ภาพเงานี้เป็นดวงอาทิตย์สีแดงเปล่งแสงเจิดจ้า เพียงแค่แสงแผ่กระจายออกมา สายหมอกยิ่งปั่นป่วนและเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง จากนั้นสายหมอกได้แผ่กระจายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
วังขององค์ชายจี้ตูถูกห่อหุ้มอยู่ในสายหมอก ผู้คนมากมายข้างในพบว่าหากต่อต้านแรงกดดันนี้คงเป็นเรื่องยากยิ่ง ดังนั้นจึงนิ่งเฉยไม่เคลื่อนไหวแม้แต่นิ้วเดียว
โดยเฉพาะองครักษ์ใกล้ๆ นับพันคนที่อยู่ในวัง พวกเขาอยู่ใกล้กับแรงกดดันนี้มากเกินไปจึงเกิดอาการสั่นเทาและหวาดกลัวไปทั่วจิตใจ
ชายหนุ่มชุดม่วงที่อยู่ในวังถึงกับชุ่มไปด้วยเหงื่อและเสื้อผ้าเปียกโชก ดวงตาเต็มไปด้วยหวาดกลัว เขาเคยเจอมหาชั้นฟ้าซ่งเทียนมาแล้ว ซึ่งแม้แต่เบื้องหน้าของซ่งเทียนก็ไม่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวแบบนี้
ราวกับชีวิตเขาตกอยู่ภายใต้การควบคุมของแรงกดดัน
ข่าวลือเมื่อร้อยปีก่อนเกี่ยวกับคนผู้นี้พลันปรากฏขึ้นในใจชายหนุ่มชุดม่วง ความไม่เคารพที่มีในใจพลันหายไปจนหมดสิ้น คนที่สามารถปลดปล่อยแรงกดดันแบบนี้ได้เทียบได้กับมหาชั้นฟ้าซ่งเทียน!
ขณะที่แรงกดดันและสายหมอกกำลังห่อหุ้มทั่วบริเวณ ห่างออกไปไกลในเมืองหลวงอาณาเขตฉี มีภูเขาแห่งหนึ่งที่มีอารามขนาดใหญ่อยู่บนยอด
ภูเขาแห่งนี้ถูกเรียกว่าภูเขาต้นกำเนิด ตรงยอดภูเขาเป็นรูปทรงคล้ายเขาสัตว์ ราวกับภูเขาลูกนี้กำลังจะแทงทะลุไปถึงสวรรค์
อารามขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นตรงปลายสุดของส่วนเขา นี่คืออารามฉี เป็นหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของอาณาเขตฉี ทั้งยังเป็นที่ที่ผู้คนจำนวนมากได้รับการสั่งสอน ส่วนแห่งที่สองคืออารามบรรพชน
ปกติแล้วจะมีคนจำนวนมากมายเข้ามาเยี่ยม แต่ในวันนี้อารามกำลังเปล่งแรงกดดันทรงพลัง ป้องกันไม่ให้ใครเข้ามาได้
ใจกลางเขาสัตว์มีชายวัยกลางคนกำลังนั่งอยู่ เขาสวมเสื้อผ้าสีเขียวและมีเรือนผมยาวถึงเอว ทอดสายตามองออกไปไกล สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
ด้านหลังมีคนอีกหนึ่งคน เขาเป็นชายหนุ่มท่าทีหยาบกร้านเล็กๆและแฝงความดุร้ายที่ซ่อนไว้ภายใน ทว่าเพียงแค่มองออกไปไกล ความดุร้ายนี้หายไปและถูกแทนที่ด้วยความตกตะลึง
ด้วยระดับบ่มเพาะของเขา ปกติแล้วคงไม่สังเกตถึงแรงกดดันจากระยะทางไกลๆ ได้ แต่เพียงแค่ยืนอยู่ด้านหลังชายวัยกลางคน เขากลับรู้สึกถึงได้ผ่านวิธีอันพิเสษ
“อาจารย์…นี่…นี่มัน…” ชายหนุ่มอ้าปากค้าง เขาเห็นสีหน้าท่าทางของอาจารย์กำลังมืดมน หลังจากพูดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จึงได้กลืนคำพูดตัวเองทันที
“นอกจากหวังหลินที่บุกเข้าไปในวังอาณาเขตเต๋า สังหารจักรพรรดิเต๋า มาที่อาณาเขตฉีของข้าและเลือกช่วยเหลือพี่ชายเจ้า จะเป็นใครไปได้อีก!?” ชายวัยกลางคนมีสายตาเย็นเยียบ
หลังจากได้ยินชื่อ “หวังหลิน” ชายหนุ่มก็อ้าปากค้าง ขบคิดเล็กน้อยและจึงพูดออกมา
“ที่อาจารย์ยังไม่เลือกศิษย์เป็นจักรพรรดิเพราะคนผู้นี้ใช่หรือไม่?”
ชายวัยกลางคนพ่นลมหายใจเย็นเยียบ
“ก่อนหน้านี้อาจารย์เคยเจอหวังหลินคนนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว ตอนที่ซวนลั่วพาเขามาที่นี่ ระดับบ่มเพาะของเขาไม่ได้อ่อนแอและมีพลังการต่อสู้อันยอดเยี่ยม แต่เขาก็ยังไม่คู่ควรให้ข้าสนใจ!”
“เหตุผลที่เขาสามารถบุกเข้าไปในวังหลวงอาณาเขตเต๋าและถอยกลับมาได้เพราะซวนลั่วไม่ลงมือ! เขาสังหารจักรพรรดิเต๋าแต่มหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวกลับไม่พูดอะไรสักคำ เรื่องนี้เป็นที่สับสนกันไปทั่วและเป็นเหตุผลว่าทำไมอาจารย์ถึงไม่รีบเลือกเจ้าให้เป็นจักรพรรรดิในอนาคต!”
“คนที่อาจารย์กังวลไม่ใช่เขา แต่เป็นมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าว! ส่วนเรื่องหวังหลิน ยังไม่คู่ควรให้ข้าต้องมาคิดอะไรมาก!” ชายวัยกลางคนทอดสายตามองออกไปไกลและรู้สึกถึงแรงกดดันเบาๆ เขาคือมหาชั้นฟ้าซ่งเทียนแห่งอาณาเขตฉี และชายหนุ่มด้านหลังเขาคือองค์ชายอีกคน ฉีหมาน
ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกและถามขึ้นมาหลังจากลังเล
“อาจารย์ หวังหลินออกมาจากการปิดด่านบ่มเพาะในช่วงร้อยปี หมายความว่าระดับบ่มเพาะของเขาเพิ่มขึ้น ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถปลดปล่อยแรงกดดันระดับนี้ได้”
ชายวัยกลางคนไม่พูดอะไรแต่หรี่สายตาลงโดยมิอาจตรวจจับได้ เขาขบคิดอยู่สักพักก่อนจะพูดขึ้น
“เขากำลังผสานร่างแก่นแท้! ร่างแก่นแท้ของเขาช่างพิเศษและต้องการผสานเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ แต่นั่นเป็นเรื่องยากมาก! ทว่าเขาตั้งใจเลือกอยู่ในอาณาเขตฉีและผสานร่างแก่นแท้โดยไม่แจ้งข้าก่อน เขาไม่ไว้หน้าข้าและกำลังจะเข้ามาเกี่ยวข้องในการแข่งขันของจักรพรรดิฉี ข้าจะต้องไปสั่งสอนเขาเสียหน่อย” แม้ชายวัยกลางคนจะกังวลเรื่องมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าว แต่เขาก็ยังเป็นมหาชั้นฟ้า เขายังเป็นองครักษ์อาณาเขตฉีและมีสิทธิ์ในการจัดการสิ่งที่ตัวเองเชื่อว่าเป็นภัยคุกคามต่ออาณาเขตฉี
มหาชั้นฟ้าซ่งเทียนมีแววตาเย็นเยียบและยกแขนขวาขึ้นมา สร้างผนึกและชี้ไปยังทิศทางที่หวังหลินกำลังปลดปล่อยแรงกดดัน
“ปลดปล่อยผนึก!” เพียงแค่เขาพึมพำ แสงน่ากลัวกะพริบวาบบนมือขวา
ขณะเดียวกัน ณ ภูเขากุ้ยต้าว ใจกลางของเผ่าโบราณ ร่างที่ปกคลุมอยู่ในสายหมอกกำลังนั่งอยู่บนยอดหอคอย เขาพลันลืมตาและมองไปยังทิศทางของอาณาเขตฉี
ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยพึมพำกับตัวเอง “การผสานร่างแก่นแท้?” คำพูดสงบนิ่งและไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอันใด
ขณะที่สายหมอกห่อหุ้มราชวังขององค์ชายจี้ตู ดวงอาทิตย์หนึ่งดวงปรากฏขึ้นในท้องฟ้าและไม่นานโลกก็เปลี่ยนสีสันและเปลี่ยนกลายเป็นกลางคืน!
ท้องฟ้าได้สลับสับเปลี่ยนระหว่างกลางคืนและกลางวันในชั่วเวลาสั้นๆ หลังจากเปลี่ยนไปถึงเก้าครั้ง ปรากฏเส้นมากมายอยู่ในสายหมอกและก่อเกิดเป็นอักขระ แต่ละสายมีพลังของแก่นแท้เขตอาคม
หลายชั่วโมงผ่านไปได้มีเขตอาคมปรากฏขึ้นมามากขึ้นและการสลับเปลี่ยนระหว่างกลางวันและกลางคืนยิ่งมีความถี่มากขึ้น แต่กลับไม่มีสัญญาณการผสานกัน
กระทั่งมีสัญญาณของความไม่มั่นคง ขณะที่กลางวันและกลางคืนสลับกัน ท้องฟ้าเริ่มอ่อนกำลังลงและเขตอาคมจำนวนมากเผยสัญญาณการหายไป
นาทีนั้นลำแสงห้าสายพุ่งออกมาจากวังด้วยเสียงร้องโหยหวนน่าตกตะลึง บอกไม่ได้ว่าข้างในลำแสงทั้งห้าคืออะไร แต่พอพวกมันรวมกันเป็นหนึ่งในท้องฟ้ากลับเกิดเป็นภาพเงา
ภาพเงานี้ดูคล้ายกับหวังหลิน!
แต่มันไม่ใช่ร่างดั้งเดิมของหวังหลิน มันคือร่างแก่นแท้ห้าธาตุซึ่งลอยอยู่ตรงนั้นเหมือนภาพลวงตาและมีขนาดเท่ากับคนปกติ ทว่าเขาสูดเอาพลังของโลกเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง ร่างแก่นแท้ห้าธาตุจึงขยายออกไปจนสูงพันฟุต!
นี่คือพลังของโลก เป็นพลังของธาตุทั้งห้าในโลกนี้!
ร่างสูงพันฟุตได้สูดเข้าไปอีกครั้ง ผืนแผ่นดินสั่นสะเทือน เปลวเพลิงแห่งสวรรค์ปรากฏขึ้นมา ตามมาด้วยหมอกฝน หญ้าแห้งเหี่ยวและโลหะสวรรค์เคลื่อนไหว พลังของธาตุทั้งห้าได้ถูกสูดเข้าไปในปาก
ท้องฟ้าดังสนั่นกึกก้อง ร่างเงาพันฟุตขยายออกไปอีกครั้งกลายเป็นหมื่นฟุต!
ร่างแก่นแท้ห้าธาตุที่มีขนาดหมื่นฟุตอ้าแขนออกมา ขณะเดียวกันการสับเปลี่ยนกลางคืนและกลางวันยิ่งลื่นไหลและเขตอาคมไม่มีอาการแตกสลายอีกแล้ว
ทว่าในขณะที่เขตอาคม จุดเริ่มต้นแท้จริงและจุดจบแท้จริงกำลังเกิดความสมดุล เสียงคำรามดุร้ายโผล่ออกมาจากส่วนลึกของใต้ดิน
เสียงคำรามมีความบ้าคลั่งและพลังอันน่าตกตะลึง ทำให้จิตใจของทุกคนบนอาณาเขตฉีถึงกับสั่นเทาและตื่นตระหนก
นาทีนั้นองค์ชายจี้ตูที่อยู่ในวังถึงกับตัวสั่นและกระอักโลหิตออกมา แววตาเกิดความตกตะลึง
“มันคือหลัวจู้!”
ชายหนุ่มในชุดม่วงถึงกับหน้าซีด ตอนที่เขาได้ยินเรื่องหลัวจู้ สมองพลันคิดถึงข่าวลือเกี่ยวกับองค์ชายจี้ตู ลือกันว่าตอนที่องค์ชายเกิด มีสัญญาณแห่งสวรรค์ปรากฏขึ้น เพียงแต่นั่นเป็นสัญญาณร้าย ทางราชวงศ์ปกปิดเอาไว้และราชครูได้ขับไล่ออกไป
มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาร้อยปีข่าวลือได้เริ่มแผ่กระจายขึ้นอีกครั้งในอาณาเขตฉี
ลือกันว่าที่องค์ชายจี้ตูสร้างวังขึ้นในแคว้นหลัวจู้แห่งนี้เป็นเพราะมีอสูรดุร้ายถูกปิดผนึกไว้ใต้แคว้นซึ่งมีชื่อว่าหลัวจู้!
ส่วนเหตุผลว่าทำไมองค์ชายจี้ตูถึงอยู่ที่นี่ อาจเป็นเพราะเขามีหน้าที่ในการกักขังหลัวจู้และสามารถใช้กลิ่นอายของหลัวจู้มาบำรุงตัวเองได้ด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ราชครูไ้ด้จัดแจงเอาไว้ก่อนที่เขาจะตาย
เสียงคำรามดังออกมารุนแรงยิ่งขึ้น หลังจากนั้นไม่นานมีร่างเงาขนาดยักษ์ปรากฏห่างออกไปไกล มันเป็นก้อนเนื้อทรงกลมที่มีเพียงดวงตาขนาดใหญ่หนึ่งข้างเท่านั้น มันเผยความดุร้ายและบ้าคลั่ง ร่างกายของมันคล้ายกับภาพลวงตา วินาทีนั้นมันได้จ้องมองร่างแก่นแท้ห้าธาตุของหวังหลินที่อยู่เหนือวัง แววตามีประกายแห่งความโลภ
ก้อนเนื้อทรงกลมนี้คือหลัวจู้เช่นนั้นหรือ?
……………………………………………………
ตอนที่ 2046 มือสังหารแห่งการลงทัณฑ์!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ร่างก้อนเนื้อทรงกลมเป็นภาพลวงตา หลังจากปรากฏขึ้นมามันถูกห่อหุ้มด้วยควันสีดำ ปลดปล่อยเสียงร้องและทะยานเข้าหาร่างแก่นแท้ห้าธาตุของหวังหลิน
ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งส่งเสียงร้องแหลมมากกว่าเดิม
ร่างดั้งเดิมหวังหลินยังคงนั่งอยู่ในห้องลับและยังยกแขนขวาขึ้นมา ในมือขวามีคนตัวเล็กผู้หนึ่งกำลังทำการบ่มเพาะไปด้วย
ผ่านช่วงเวลามาร้อยปี หวังหลินพลันลืมตาขึ้นมาและเขาไม่ได้เหมือนเดิมเช่นก่อนหน้านี้ สีหน้าท่าทางสงบนิ่ง วินาทีนั้นคนตัวเล็กในมือขวาพลันลืมตาขึ้นมาเช่นกัน ดวงตาของมันเต็มไปด้วยปัญญาและมีประกายการทำนายอยู่ภายใน
คนตัวเล็กคุกเข่าลงและหมอบคลานให้หวังหลิน หลังจากหมอบคลานถึงเก้าครั้ง หวังหลินปิดฝ่ามือขวาและคนตัวเล็กได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เต๋าเนตรวิญญาณช่างลี้ลับจริงๆ!” หวังหลินพึมพำพลางมองขึ้นไปและเผยอาการเยาะเย้ย
‘ยี่สิบปีก่อน ข้าใช้วิชานี้เพื่อทำนายโอกาสในการผสานร่างแก่นแท้สายฟ้าสังหารอย่างสมบูรณ์ หลังจากลองไปหลายครั้งข้าพบว่าจำเป็นต้องใช้วิญญาณของอสูรดุร้าย!’
‘ทว่าวิญญาณดวงนี้จะทำให้ข้ามีโอกาสได้ผสานเข้ากับร่างแก่นแท้สายฟ้าสังหารอย่างสมบูรณ์! ข้าทำนายได้ว่าวันที่ข้าพยายามผสานร่างแก่นแท้ จะมีคนส่งมันมาให้ด้วยตัวเอง…วิญญาณดวงนี้ก็มาจริงๆ!’ หวังหลินยกแขนขึ้นมาและชี้ไปที่ท้องฟ้า
เพียงเท่านั้นทั่วท้องฟ้าพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง การสับเปลี่ยนระหว่างกลางคืนและกลางวันเกิดการหยุดชะงัก แม้กระทั่งเขตอาคมนับไม่ถ้วนยังหยุดการกะพริบ
แม้แต่ร่างแก่นแท้ห้าธาตุก็หยุดลงไปด้วย
หลัวจู้ที่กำลังร้องคำรามและพุ่งเข้ามาหาพลันหยุดชะงักและหยุดร้องคำรามไปเช่นกัน มันคล้ายกับถูกแช่แข็งอยู่ตรงนั้น ทว่าสายตายังคงดุร้าย แม้แต่ความดุร้ายนี้ยังถูกแช่แข็ง
วิชายับยั้ง!!
พอหวังหลินใช้ด้วยระดับบ่มเพาะในตอนนี้ พลังอำนาจของมันจึงน่าตกตะลึงยิ่ง เมื่อหลัวจู้ถูกหยุดเอาไว้ การสับเปลี่ยนระหว่างกลางวันและกลางคืนจึงได้คืนสู่ปกติ แก่นแท้เขตอาคมฟื้นคืนกลับมาและร่างแก่นแท้ห้าธาตุก็กลับมาด้วย
หลังจากนั้นเขตอาคมนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าสู่หลัวจู้ที่หยุดชะงักไปและเข้าสู่ร่างลวงตาของมัน เกิดแสงกะพริบถี่รัวไม่หยุดและพอดูดซับเขตอาคมทั้งหมดไป มันจึงหดลงเล็กน้อย
ความดุร้ายหายไปและถูกแทนที่ด้วยร่างลวงตา ร่างนี้พร่าเลือนแต่ไม่นานได้ควบแน่นกลายเป็นหวังหลิน!
ร่างนี้ดูเหมือนหวังหลินที่กำลังเผยรอยยิ้มและก้าวออกมาจากดวงตาของหลัวจู้ เขายืนอยู่ตรงนั้นพลางปลดปล่อยกลิ่นอายแก่นแท้เขตอาคมอันทรงพลัง
นี่คือร่างแก่นแท้เขตอาคมที่หวังหลินสร้างขึ้นมาโดยการยืมพลังของอสูรดุร้าย!
ขณะเดียวกันดวงตะวันที่กำลังพุ่งขึ้นมาจากการสับเปลี่ยนกลางวันกลางคืน ได้เข้าสู่ร่างลวงตาของหลัวจู้ ร่างของหลัวจู้หดลงอีกครั้ง ปรากฏเงารูปร่างมนุษย์ขึ้นมาอีกคน
ร่างเงาเปล่งแสงเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์และเผยรอยยิ้ม มันก้าวเดินออกมาจากดวงตาและยืนข้างกับร่างแก่นแท้เขตอาคม
ร่างกายนี้คือร่างแก่นแท้เริ่มต้นแท้จริงที่หวังหลินควบแน่นตลอดร้อยปีที่ผ่านมาโดยการใช้วิชาห้วงเวลาผสานกับความสามารถของเผ่าต้าวหวังในการสร้างโลกของตัวเองขึ้น เป้าหมายก็เพื่อสร้างวัฏจักรกลางวันและกลางคืนนับครั้งไม่ถ้วน!!
หลังจากนั้นอีกไม่นานแก่นแท้จุดจบแท้จริงซึ่งเป็นตัวแทนของกลางคืนอันมืดมิด ได้ทะยานออกมาจากดวงตา ร่างกายของหลัวจู้หดลงจนเหลือเพียงครึ่งจากของเดิม!
ร่างแก่นแท้จุดจบแท้จริง!!
ตลอดร้อยปีที่ผ่านมา หวังหลินใช้วิชาห้วงเวลาและวิชาของเผ่าต้าวหวังเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของแก่นแท้จุดเริ่มต้นแท้จริงและจุดจบแท้จริงจนถึงเวลาที่จะสร้างร่างแก่นแท้ขึ้นมาได้ ทว่าเขาไม่สามารถผสานกับแก่นแท้พิเศษเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงทำการพยากรณ์และตัดสินว่าจะใช้พลังของหลัวจู้เพื่อทำการผสาน
ร่างแก่นแท้ทั้งห้าร่างดูดซับวิญญาณของอสูรร้ายทั้งหมด พวกมันได้ใช้วิญญาณของอสูรที่มีการดึงดูดกันและกันเพื่อพยายามผสานร่าง!
ณ ห้องลับ หลังจากร่างแก่นแท้เขตอาคม แก่นแท้จุดเริ่มต้นแท้จริงและแก่นแท้จุดจบแท้จริงปรากฏขึ้นมา แสงประหลาดได้แผ่กระจายทั่วร่างหวังหลิน ร่างเงาทับซ้อนหนึ่งร่างปรากฏขึ้นมาเป็นร่างแก่นแท้สายฟ้าสังหาร ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าไป
พอร่างแก่นแท้สายฟ้าสังหารทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า สายฟ้าสีดำแผ่กระจายออกมาเกิดเป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
‘หลังจากหล่อเลี้ยงไปร้อยปีและหลอมรวมเป็นครั้งที่สอง สายฟ้าสังหารและข้าจึงมีความคิดเดียวกันและไม่มีจุดบกพร่องอีกแล้ว แก่นแท้สังหารก็สามารถบรรลุถึงจุดที่สร้างร่างแก่นแท้ขึ้นมาได้!’
‘ร่างแก่นแท้ทั้งห้าร่างจะสามารถผสานกันเป็นหนึ่งได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเรื่องนี้!’ หวังหลินมีสีหน้าเคร่งเครียดพลางใช้ฝ่ามือสร้างผนึก สัมผัสวิญญาณอันทรงพลังห่อหุ้มไปทั่วบริเวณ
ร่างแก่นแท้สายฟ้าสังหารพุ่งทะยานเข้าสู่หลัวจู้และเข้าไปในร่างกายของมัน ร่างของหลัวจู้สั่นเทาอย่างรุนแรง หดลงอย่างรวดเร็วจนหายไป เหลือไว้เพียงแค่ลูกตาขนาดใหญ่เท่านั้น
ดวงตาของมันหม่นหมอง มองไกลๆ ราวกับไข่หนึ่งฟอง!
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปไหม้ เกิดรอยแตกร้าวนับไม่ถ้วนขึ้นบนไข่จนเกิดการระเบิด จากนั้นมีร่างสองคนก้าวเดินออกมา!
หนึ่งคือร่างแก่นแท้สายฟ้าซึ่งได้สร้างร่างแก่นแท้ได้นานแล้ว ส่วนอีกร่างมีเรือนผมสีดำ ท่าทีเย็นชาและเป็นร่างแก่นแท้สังหาร
หลังจากร่างแก่นแท้สังหารปรากฏขึ้นมา มันได้มองบนท้องฟ้าด้วยความสงบนิ่งและเกิดกลิ่นอายตกตะลึงแผ่กระจาย เป็นกลิ่นอายทำลายล้างที่เป็นตัวแทนของการสังหารและการทำลาย!
“ข้าคือมือสังหาร…” หวังหลินผมดำพึมพำ
เขาก้มศีรษะลงและกวาดสายตาผ่านทุกคนไป เมื่อเหล่าองครักษ์บนพื้นดินถูกสายตานี้มองผ่านไป ทุกคนต่างส่งเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวน ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดหรือความตาย แต่ออกมาจากความหวาดกลัว!!
เป็นสัมผัสความหวาดกลัวที่ออกมาจากวิญญาณ!!
ภายในห้องโถง ชายหนุ่มชุดม่วงตัวสั่น ความคิดจิตใจกำลังหวาดกลัวสุดขีด แม้แต่องค์ชายจี้ตูเองก็ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
“ข้ามีชื่อว่า มือสังหาร!!” หวังหลินผมดำมองขึ้นไปและร้องคำรามใส่ท้องฟ้า แต่วินาทีนั้นมีเสียงหายใจเย็นเยียบดังออกมาจากในวัง
เมื่อลมหายใจนี้ดังเข้าหูของหวังหลินผมดำ เสียงคำรามจึงหยุดไป ใบหน้าเผยความเจ็บปวดและบ้าคลั่ง ร่างแก่นแท้สายฟ้าใช้โอกาสนี้ทะยานเข้าหาหวังหลินผมดำและผสานเข้าไป ทำให้สายฟ้าสีดำในบริเวณนั้นเกิดการรั่วไหล
จากนั้นไม่นานร่างแก่นแท้เขตอาคมมีแววตาเปล่งประกาย ร่างกายเปลี่ยนกลายเป็นเขตอาคมนับไม่ถ้วน เขาสร้างพายุเขตอาคมขึ้นมาและผสานเข้ากับร่างหวังหลินผมดำ
ขณะเดียวกันร่างแก่นแท้จุดเริ่มต้นแท้จริงและจุดจบแท้จริงต่างก็เดินออกมาอย่างเงียบงัน ทั้งสองเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงสีขาวและดำ ผสานเข้ากับหวังหลินผมดำ
“ข้ามีชื่อว่า มือสังหาร!!!” เสียงในลำคอของหวังหลินผมดำเปลี่ยนกลายเป็นเสียงคำราม ร่างเงาจำนวนสี่ร่างปรากฏขึ้นมาทับซ้อนร่างเขา ราวกับกำลังถูกบังคับให้ออกจากร่างกาย
“ไม่มีใครสามารถควบคุมข้าได้ ข้าคือมือสังหาร!” เพียงเขาร้องคำราม ร่างเงาที่ทับซ้อนในร่างกายจึงถูกผลักออกมาหลายนิ้ว ช่างดูลึกลับยิ่ง!
เสียงลมหายใจที่สองดังออกมา ร่างหวังหลินผมดำสั่นเทา ขณะเดียวกันร่างแก่นแท้ห้าธาตุปรากฏตัวในท้องฟ้า ร่างแก่นแท้ห้าธาตุลอยลงมา สะบัดฝ่ามือที่มีพลังของธาตุทั้งห้าเข้าใส่หวังหลินผมดำ
“ข้าคือมือสังหาร!” หวังหลินผมดำมองขึ้นไปและปลดปล่อยพลังทำลายล้าง ขณะที่กำลังพยายามดิ้นรน แรงกดดันอันทรงพลังปรากฏขึ้นรอบร่างซึ่งมีสัมผัสวิญญาณทรงพลังกดทับลงใส่
นาทีนี้เองร่างเงาของหลัวจู้พลันปรากฏขึ้นด้านหลังหวังหลินผมดำไปด้วย ร่างเงาของหลัวจู้เป็นเพียงเศษเสี้ยวแต่มีเส้นใยสีดำนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาและเริ่มผสานกัน ร่างเงาที่ทับซ้อนรอบร่างหวังหลินผมดำจึงไม่แผ่กระจายออกมาอีกแต่ผสานเข้าด้วยกัน
“เพราะเจ้าคือร่างที่สอง เป็นร่างแท้จริงของข้า เจ้าคือมือสังหาร! ตั้งแต่นี้ต่อไปเจ้าจะเข้ามาแทนที่ข้าในการโค่นล้มศัตรู! เจ้าจะกระจายเจตนาแห่งการทำลายล้างและสังหารคนที่เป็นอันตรายกับข้า!”
“เจ้าชื่อว่ามือสังหาร และเต๋าของเจ้ามีชื่อว่า การลงทัณฑ์!”
เสียงอันทรงพลังดังกึกก้องอยู่ในโลก ร่างเงาหลัวจู้ที่อยู่ด้านหลังหวังหลินผมดำได้ทำการผสานอย่างสมบูรณ์ ร่างเงาทับซ้อนอีกสี่ร่างเองก็ผสานเข้าด้วยกันและกลายเป็นหนึ่ง!
แรงกดดันหายไป ทั่วบริเวณกลับคืนสู่ปกติ หวังหลินผมดำยังคงมีเรือนผมสีดำ เขายืนอยู่ตรงนั้นและเงยศีรษะขึ้นช้าๆ
“ข้าคือมือสังหารแห่งการลงทัณฑ์!” น้ำเสียงสงบนิ่งและเย็นเยียบ ไร้อารมณ์ความรู้สึก มีเพียงความเฉยเมยระดับสูงสุด เขาคือตัวแทนการทำลายล้างและการสังหารของหวังหลิน ซึ่งทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือนและทำให้ศัตรูของหวังหลินรู้จักคำว่าหวาดกลัว
เพียงเงยศีรษะขึ้นมา สายตาเย็นเยียบมองออกไปไกลคล้ายกับมองทะลุระยะทางอันกว้างไกล ตรงไปยังปลายแหลมบนภูเขาต้นกำเนิด ซึ่งทำให้ซ่งเทียนตกตะลึง!
“ไม่เลว!”
ซ่งเทียนร่างสั่นเทาและอ้าปากค้าง เขายืนขึ้นโดยไม่รู้ตัวและมีสีหน้าเปลี่ยนไป คว้าจับฉีหมานและทะยานขึ้นสู่อากาศก่อนที่จุดที่เขานั่งอยู่จะเกิดการพังทลาย
………………………………………………………
ตอนที่ 2047 เต๋าวิบากสูญสิ้น เหยียบย่ำเส้นทางแห่งสวรรค์!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในแคว้นหลัวจู้ หลังจากวิญญาณส่วนหนึ่งของหลัวจู้ถูกหวังหลินทำลาย องค์ชายจี้ตูจึงกระอักโลหิตอยู่ในห้องโถง
จากนั้นผนึกที่มองไม่เห็นในร่างกายเขาจึงพังทลายและสูญสลาย
แววตาขององค์ชายจี้ตูเผยแสงแปลกประหลาดและสัมผัสได้ถึงพลังที่กำลังตื่นอยู่ในร่างกาย พลังงานนี้ไหลเวียนไปทั่วร่างทำให้ต้องหลับตาลง
ด้านนอกวัง หวังหลินผมดำถอนสายตาออกมาจากภูเขาต้นกำเนิด สายตาเย็นเยียบและโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง
ด้านข้างคือร่างแก่นแท้ห้าธาตุของหวังหลิน
แม้ทั้งสองร่างนี้จะดูเหมือนกัน แต่ความรู้สึกที่ปลดปล่อยออกมานั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ร่างแก่นแท้ห้าธาตุแสดงถึงชีวิตการฝึกเซียนของหวังหลิน ทำให้ผู้คนเกรงขามและรู้สึกถึงแรงกดดันอันทรงพลังจากคนแข็งแกร่ง
ร่างแก่นแท้สังหารแสดงถึงชีวิตการเข่นฆ่าของหวังหลิน ทำให้ผู้คนรู้สึกเย็นยะเยือกและไม่กล้าเข้าใกล้
ชั่วจังหวะต่อมา เสียงสงบนิ่งดังออกมาจากห้องลับและดังกึกก้องไปทั่ว “ร่างแก่นแท้ กลับมา!!” ร่างแก่นแท้ห้าธาตุมองลงมาที่ห้องลับและเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงห้าสีหายกลับเข้าไปในพื้นดิน
ส่วนร่างแก่นแท้สังหารเองก็ไม่มีอาการลังเล เรือนผมและเสื้อผ้าสีดำพริ้วไหวในอากาศ พลางก้าวเดินไปบนพื้นดินอย่างช้าๆ ร่างกายเปลี่ยนกลายเป็นแสงสีดำและเลือนหายไป
ภายในห้องลับ หวังหลินนั่งลง ร่างแก่นแท้ห้าธาตุและแก่นแท้สังหารกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา เขามองดูร่างแก่นแท้ทั้งสองด้วยท่าทีสุขุม
‘บ่มเพาะไปร้อยปีในที่สุดก็สร้างร่างแก่นแท้สังหารขึ้นมาได้…ชักสงสัยเสียแล้วว่าหากผสานเข้ากับร่างดั้งเดิมจะทำให้ระดับบ่มเพาะของข้าก้าวข้ามผ่านขั้นวิบากดับสูญระดับสูงสุดได้หรือไม่!’
‘หากระดับบ่มเพาะของข้าเพิ่มขึ้นได้อีกครั้ง บางทีข้าอาจสามารถขับไล่คำสาปบรรพชนในวิญญาณจักรพรรดิเทพและควบคุมมันได้!’ หวังหลินสูดหายใจลึกและถอนสายตาออกมาจากร่างแก่นแท้ เขามองวิญญาณที่กำลังถูกเพลิงวิญญาณเผาไหม้อยู่กลางห้อง ตลอดร้อยปีที่ผ่านมา แสงสีเทาจากการสูญสลายได้ควบแน่นกลายเป็นขนาดเท่ากำปั้นทารกแต่ก็ไม่สามารถขับไล่ออกไปได้อย่างสมบูรณ์
‘เส้นทางการฝึกฝนของข้าแตกต่างจากคนอื่น ต่อจากขั้นวิบากดับสูญระดับสูงสุดยังมีผู้สูงส่งชั้นฟ้าและผู้สูงส่งชั้นเทวะ แต่ขั้นเหล่านี้คนอื่นเป็นคนกำหนด ความจริงก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของขั้นวิบากดับสูญระดับสูงสุดอยู่ดี’
‘และทุกครั้งที่ระดับบ่มเพาะของข้าเพิ่มขึ้น มันอ้างอิงมาจากขอบเขตในแต่ละชั้น…’ หวังหลินเต็มไปด้วยความคาดหวัง เขาต้องการรู้ว่าหลังจากก้าวข้ามผ่านวิบากดับสูญระดับสูงสุดไปแล้วจะเป็นระดับอะไร
หวังหลินพึมพำด้วยสายตาตื่นเต้น “มหาชั้นฟ้า…หรือจะเป็น…”
‘หรือจะเป็น…ขั้นที่สี่!! แต่มีขั้นที่สี่อยู่ในโลกนี้จริงๆ ด้วยหรือ…เป็นไปได้ว่าบรรพชนโบราณและบรรพชนเทพอาจอยู่ในขั้นที่สี่…’ สายตาหวังหลินเป็นประกายและรู้สึกคาดหวังอยู่ในใจ เขายกแขนขวาขึ้นมา ร่างแก่นแท้ห้าธาตุก้าวเดินเข้าหา ทับซ้อนกับหวังหลินและผสานเข้ากับเขาอย่างสมบูรณ์
เมื่อร่างแก่นแท้ห้าธาตุกลับคืนมา เรือนผมสีขาวของหวังหลินจึงพริ้วไสว ระดับบ่มเพาะเพิ่มพูนขึ้นในพริบตาจนบรรลุขั้นวิบากดับสูญระดับสูงสุด หลังจากบ่มเพาะมาร้อยปีนั้นเขาเต็มไปด้วยพลังงาน นี่คือจุดสูงที่สุดในตอนนี้
หวังหลินมองร่างแก่นแท้สังหารผมดำพลางกัดฟันและเผยสายตามุ่งมั่น มือชี้ไปที่ร่างแก่นแท้สังหารจากนั้นร่างแก่นแท้มองมาที่เขาด้วยสายตาไร้ความรู้สึกพลางก้าวเดินเข้ามา
พริบตาเดียวร่างแก่นแท้สังหารจึงเข้ามาใกล้หวังหลิน เริ่มเข้ามาทับซ้อนเขาโดยไม่หยุดชะงัก เมื่อทับซ้อนกับร่างหวังหลินได้สมบูรณ์จึงเริ่มการผสานอย่างช้าๆ
ขณะที่การผสานดำเนินต่อไป แววตาหวังหลินค่อยๆ เกิดความสับสน ขณะเดียวกันระดับบ่มเพาะกลับเพิ่มขึ้นด้วยอัตราที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้ พื้นที่ทั่วบริเวณเกิดการเปลี่ยนสีสัน ระดับบ่มเพาะของหวังหลินคล้ายกับได้ทะลวงผ่านคอขวดไปและเข้าสู่ขอบเขตอันลี้ลับ
ช่วงระหว่างกระบวนการนี้ ระดับบ่มเพาะของหวังหลินได้ก้าวข้ามขั้นที่หลายคนเรียกกันว่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าและทะยานเข้าสู่ระดับผู้สูงส่งชั้นเทวะในเวลาไม่นาน
เหตุการณ์ดำเนินต่อไปโดยไม่มีสัญญาณหยุดพัก หวังหลินมีแววตาสับสนงุนงงมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเขากำลังเสียสติ ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นภาพมายา
ขณะที่ระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มันได้ข้ามผ่านผู้สูงส่งชั้นเทวะ พุ่งทะยานเข้าสู่อีกหนึ่งขอบเขต ซึ่งเป็นขอบเขตของมหาชั้นฟ้า!
หลังจากไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ร่างแก่นแท้สายฟ้าสังหารและหวังหลินแทบจะผสานกันได้อย่างสมบูรณ์ แม้จะมีเหลื่อมกันเพียงเล็กน้อย แต่ก็ดูราวกับใกล้สมบูรณ์เต็มที สายตาหวังหลินเปล่งแสงสีเงินและเต็มไปด้วยความสับสน
ท้ายที่สุดเขารู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนในจิตใจและรู้สึกว่าวิญญาณเขาได้ออกจากร่าง ออกจากห้องลับและปรากฏตัวในท้องฟ้า
ท้องฟ้าไม่มีสีคราม ไม่มีดวงอาทิตย์ ไม่มีดวงจันทร์หรือดวงดาว ที่นี่มีเพียงวิญญาณของหวังหลินคงอยู่ เขามองลงบนพื้นดินด้านล่างจนพบว่าเต็มไปด้วยหมอกสีขาว ซึ่งทำให้เขามองไม่เห็นพื้นดินได้เลย
หวังหลินมองบนท้องฟ้าซึ่งถูกเส้นบางๆ บดบังคล้ายกับมีกฎเป็นของตัวเอง
‘นี่คือท้องฟ้า…’ หวังหลินเต็มไปด้วยสายตาสับสน เขามองไม่เห็นท้องฟ้าและเห็นแต่เพียงเส้นสายบางๆ แม้แต่ตอนที่เขาใช้พลังเต็มที่ก็ทำได้แค่เห็นเส้นบางๆ นับไม่ถ้วนไม่มีที่สิ้นสุด
หวังหลินต้องการทะยานออกไป เขารู้สึกเลือนลางว่าหากสามารถก้าวข้ามเส้นบางๆ เหล่านี้ได้ เขาจะสามารถข้ามผ่านขั้นวิบากดับสูญระดับสูงสุดไปได้!
การข้ามเส้นนี้อาจเหมือนเป็นการขึ้นสวรรค์ เป็นการเปลี่ยนแปลงเหมือนหลุดออกมาจากใยไหมและเปลี่ยนกลายเป็นผีเสื้อ! ความรู้สึกนี้รุนแรงยิ่ง ราวกับออกมาจากส่วนลึกในวิญญาณ
หลังจากขบคิดเงียบๆ อยู่ชั่วขณะ หวังหลินแหงนมองขึ้นไป แม้แววตายังเต็มไปด้วยความสับสนแต่มีความมุ่งมั่นเพิ่มมากขึ้น เขาพุ่งเข้าใส่เส้นบางๆ ไร้ขอบเขตเหล่านั้น!
การเคลื่อนไหวของหวังหลินรวดเร็วมาก แม้จะไม่สามารถรู้สึกได้ชัดเจน แต่ก็ยังพุ่งเข้าสู่ทะเลแห่งเส้นบางๆ ถึงจะมีเส้นเหล่านั้นโอบล้อมแต่ก็สามารถมุ่งหน้าไปได้เรื่อยๆ
หลังจากเวลาผ่านไปไม่รู้นานแค่ไหน หวังหลินเห็นสะพานแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าภายในทะเลแห่งเส้นบางๆ เหล่านี้
กล่าวให้ถูกก็คือมันไม่ได้มีแค่สะพานแห่งเดียว แต่มีถึงเก้าสะพาน!!
สะพานโค้งเหมือนสายรุ้ง ต่อจากนั้น…มีสะพานอีกแห่งยืดยาวออกไปในมิติอันกว้างใหญ่ เปล่งกลิ่นอายเก่าแก่คล้ายกับมีอยู่มานานตั้งแต่โลกถือกำเนิด
หลังจากสะพานแห่งที่เก้าไปอีกไกล มีภาพเลือนลางที่ดูเหมือนโลกอีกแห่งและเขามองเห็นร่างไม่กี่ร่างข้างในอย่างเลือนลาง ทว่าพอหวังหลินพยายามมองใกล้ๆ เขากลับไม่เห็นอะไรเลย กลายเป็นเลือนลางไปเสียหมด
“สะพานย่ำสวรรค์!” หวังหลินพึมพำกับตัวเอง จากนั้นมองดูหินจารึกขนาดใหญ่เบื้องหน้าสะพานแห่งแรก มีคำขนาดใหญ่สลักเอาไว้บนแผ่นหินจารึก คำเหล่านี้ประหลาดมาก หวังหลินไม่เคยเห็นพวกมันมาก่อนแต่ทันทีที่มองเข้าไป คำพูดเหล่านั้นจึงปรากฏขึ้นในใจ
บนแผ่นหินจารึก นอกจากคำที่ว่ามายังมีตัวอักษรเล็กๆ อยู่หนึ่งแถว หวังหลินมองดูอย่างเงียบๆ
“ย่ำเส้นทางแห่งสวรรค์ เต๋าวิบากสูญสิ้น วิญญาณอมตะ เทิดทูนทั่วหล้า!”
หวังหลินตกอยู่ในภวังค์ จำได้เลือนลางว่าหากจะมีขั้นที่สี่ ชื่อนั้นก็เป็นขั้นย่ำสวรรค์!
หลังจากยืนอยู่ด้านนอกสะพานแห่งแรกอยู่นาน แววตาสับสนของหวังหลินหายไป ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้าและก้าวเข้าสู่สะพานแรก
สะพานแห่งแรกดูใกล้มากแต่หวังหลินใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะไปถึง เมื่อหวังหลินอยู่เบื้องหน้าสะพาน ในที่สุดเขาก็เห็นครบถ้วนทุกอย่าง
สะพานแห่งนี้เป็นภาพลวงตา มันมองเห็นได้ด้วยตาแต่ไม่สามารถรู้สึกได้ด้วยสัมผัสวิญญาณ กลิ่นอายเก่าแก่ของมันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะสร้างขึ้นมาได้
‘สะพานย่ำสวรรค์…’ หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมาสัมผัสกับสะพาน แต่มือเขาผ่านมันไปได้ง่ายๆ หวังหลินตกตะลึงไปชั่วขณะและมองดูมือตัวเองอย่างละเอียด
ในมือมีละอองผลึกใสอยู่บางส่วน ละอองแต่ละจุดมีพลังชีวิตอันแข็งแกร่งและทั้งหมดลอยกลับเข้าสู่สะพานแห่งแรก
หวังหลินหลับตาและยืนอยู่ตรงนั้นเป็นเวลาครึ่งก้านธูปไหม้ เขาพลันลืมตาขึ้นมาและยกเท้าก้าวสู่สะพานย่ำสวรรค์แห่งแรก!
วินาทีที่เขาก้าวไปบนสะพาน หวังหลินสัมผัสได้ว่าร่างวิญญาณของเขากำลังผ่านการเปลี่ยนแปลง ราวกับกฎมากมายในโลกทำให้เขารู้สึกชัดเจนขึ้นอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อนและยืนนิ่งอยู่บนสะพาน
ผ่านไปสักพักหวังหลินถอนหายใจยาวและมองดูสะพานด้วยสายตาประหลาดใจ
เขาก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว เมื่อมาถึงปลายสุดของสะพานแห่งแรก การเปลี่ยนแปลงจากกฎแห่งโลกได้สลักอยู่ในใจและไม่สามารถลบเลือนออกไปได้
ยิ่งมองออกไปไกล ภาพลวงตาอันเลือนลางตรงปลายสุดสะพานแห่งที่เก้ายิ่งชัดเจนขึ้น ราวกับเป็นสถานที่อันสวยงามแต่เหล่าร่างมนุษย์พวกนั้นยังคงพร่าเลือน เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามีคนอยู่ตรงนั้นกี่คน
หวังหลินก้าวเดินลงสะพานและเดินเข้าหาสะพานย่ำสวรรค์แห่งที่สอง เขารู้สึกรุนแรงว่าหากผ่านสะพานทั้งเก้าแห่งนี้ไปได้และเห็นภาพมายาตรงสุดทาง หวังหลินจะสามารถข้ามผ่านขั้นที่สามและเข้าสู่ขอบเขตย่ำสวรรค์ในตำนาน!
………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น