Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 2022-2023
ตอนที่ 2022 เต็มไปด้วยความโกรธแค้น (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
นางสวมชุดราตรีลายหงห์สีสันสดใส เปล่งบรรยากาศอันสูงส่ง นางก้มศีรษะแต่ใบหน้าคลุมด้วยม่านลูกปัด ซ่อนใบหน้าขมวดคิ้วเอาไว้และนางได้เดินเข้าหาจักรพรรดิเต๋า
เสียงกระดิ่งไม่ได้ดังออกมาจากกระดิ่งจริงๆ แต่ดังออกมาจากเสียงม่านลูกปัดกระทบกันที่ปกคลุมใบหน้า
เวลานี้ทุกคนของทั้งสามอาณาเขตทั้งบนลานกว้างและบนแท่นลอยฟ้าต่างก็มองมาที่นาง นางไม่ได้สวยงดงามไร้ที่ติแต่มีความรู้สึกอธิบายไม่ได้ นางทั้งบอบบางและละเอียดละออ ราวกับสามารถทำให้ดวงวิญญาณสงบลงได้
บรรยากาศของนางช่างสงบนิ่งคล้ายกับหุบเขาอันกว้างใหญ่ที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงนกที่บังเอิญบินผ่านมาจากที่สูงและมองเห็นความงามของสถานที่แห่งนี้
เพียงหวังหลินยืนอยู่ตรงนั้น ความขัดข้องในใจหายวับไปทันทีที่นางปรากฏตัว ราวกับมันไม่เคยมีความรู้สึกนี้
“ซ่งจื่อ…” หวังหลินจำนางได้ทันที เขาจำได้ว่าเห็นนางครั้งแรกด้านนอกเมืองศิลาดำ
จักรพรรดิเต๋าเผยรอยยิ้มแฝงความสุข เพียงนางก้าวเดินขึ้นมา เขาสะบัดแขนและเอ่ยปาก
“จักรพรรดินี มานั่งใกล้ๆ ข้า วันนี้เป็นวันแห่งความสุขของอาณาเขตเต๋าและเป็นวันสำคัญสำหรับเรา”
การก้าวของนางหยุดไปชั่วขณะก่อนจะเดินเข้าหาบัลลังก์มังกรของจักรพรรดิเต๋าอย่างช้าๆ และนั่งลงอย่างนิ่มนวล นางเงยศีรษะขึ้นมองออกไปที่ลานกว้างด้านนอก
นางยังคงขมวดคิ้ว ใบหน้าซ่อนความรู้สึกสับสน ส่งผลให้ผู้คนสัมผัสได้ว่านางทำตัวไม่ถูก
วินาทีที่นางเงยหน้า สิ่งแรกที่เห็นคือหวังหลินกำลังมองนาง!
เสี้ยวพริบตานั้น สองสายตาประสานกันอยู่ในวังหลวง
หวังหลินรู้สึกจิตใจสั่นสะท้าน มันโผล่ขึ้นมาฉับพลันเกินไปราวกับสายฟ้าจำนวนมากมายระเบิดขึ้นในคราเดียว นาทีนี้ทั้งร่าง ทั้งวิญญาณดั้งเดิมและดวงวิญญาณเกิดอาการสั่นเทา ดุจสตรีผู้นี้คือส่วนหนึ่งในชีวิตเขาที่ขาดไปไม่ได้!
หวังหลินจ้องมองนางพร้อมกับสีหน้าเปลี่ยนไป หัวใจเต้นเร็วขึ้นถี่ยิบ นางทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย แต่กลับถูกซ่อนไว้ด้านหลังม่านหมองหม่น หวังหลินไม่สามารถค้นถึงต้นตอของความรู้สึกนี้ได้!
‘หวานเอ๋อร์…ลี่เฉียนเหมย…โจวลี่…ผีเสื้อสีชาด…’ หวังหลินมองดวงตาของนางและมีรายชื่อใบหน้าทุกคนขึ้นมาในใจ ทว่าหวังหลินก็ยังไม่สามารถค้นเจอความคุ้นเคยนี้ได้
‘นางดูไม่เหมือนใครเลย…’ พอหวังหลินมองเข้าไปใกล้ขึ้น เขาพบว่านางไม่มีความคุ้นเคยอะไรเลยและแตกต่างอย่างยิ่งจากที่เขาคิด
“หวังหลิน!” เสียงหนึ่งที่ไม่ดังแต่เปล่งบารมีกำลังก้องอยู่ในหูหวังหลิน
“จักรพรรดินีของข้ามีอะไรให้เจ้าสนใจเช่นนั้นหรือ?” จักรพรรดิเต๋ามองหวังหลินด้วยแววตาเย็นเยียบ เขาคือจักรพรรดิและทุกคนต่างก็แค่มองคราเดียวก่อนจะถอนสายตา ทว่าหวังหลินกลับจ้องมองต่อไปจนเขารู้สึกไม่พอใจหวังหลินแล้ว คราวนี้จึงพูดเสียงเย็นเยียบออกไป
หวังหลินขบคิดเงียบๆ และตื่นขึ้นมาได้ต้องขอบคุณคำพูดของจักรพรรดิเต๋า หวังหลินเผยสายตาซับซ้อนและไม่สนจักรพรรดิเต๋า ทั้งยังมองนางต่อไป
เขาต้องการค้นหาต้นตอของความคุ้นเคยนี้ แต่พอมองไปหวังหลินก็ถอนหายใจและเผยสายตาเศร้าๆ
เขาไม่รู้จักนาง…
หวังหลินพบเจอร่องรอยของความคุ้นเคยอย่างเลือนลาง มันคือบรรยากาศของนาง บรรยากาศอันสงบนิ่งนี้ช่างคล้ายกับของลี่มู่หวานเป็นอย่างยิ่ง
‘มันไม่น่าเป็นหวานเอ๋อร์…มันแค่บรรยากาศที่คุ้นเคย เป็นแค่ภาพลวงตา…’ ด้วยระดับบ่มเพาะของหวังหลินตอนนี้ หากนางคือลี่มู่หวานจริงๆ เขาสามารถบอกได้เพียงแค่ชำเลืองสายตา แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่พบร่องรอยกลิ่นอายของลี่มู่หวานเลย
‘หวานเอ๋อร์อยู่ในโลงศพเลี่ยงสวรรค์ เศษเสี้ยววิญญาณของนางขาดหายไป…ข้ามิอาจตามหาเจอ…สตรีคนนี้ไม่ใช่นาง เป็นเพียงแค่คนที่มีบรรยากาศคล้ายกันในโลกนี้…’ หวังหลินหลับตาเพื่อกลบเลื่อนความเศร้าไว้ข้างใน
นางใบหน้าแดงเล็กน้อยและมีแววตาโกรธเคือง คล้ายกับไม่มีความสุขจากสายตาหวังหลิน นางไม่รู้ว่าทำไมแต่ลึกลงไปกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด แต่ไม่นานที่ความรู้สึกนี้ปรากฏ มันกลับหายไปราวกับไม่มีอยู่จริง
“ข้ากำลังถามเจ้า!” จักรพรรดิเต๋ายกแขนซ้ายขึ้นมาตบลงที่พักแขนบนบัลลังก์ เกิดเสียงดังปังแต่ไม่มีความเสียหาย
ทว่าในพริบตานั้นจิตสังหารมากกว่าสิบแห่งจับจ้องไปที่หวังหลินในจังหวะเดียวกัน พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในห้องโถงราวกับหมอกควัน เพียงจักรพรรดิออกคำสั่งก็พร้อมโจมตีในทันที
อีกทั้งในตอนนี้ผู้คนในลานและบนแท่นลอยฟ้านับร้อยสังเกตถึงความผิดปกติได้ พวกเขาส่งสายตามองหวังหลินและจักรพรรดินีที่โกรธเกรี้ยวเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ
“นางดูเหมือนสหายเก่าข้าอย่างมาก…” หวังหลินลืมตาและเห็นความขุ่นเคืองในตานาง หวังหลินมั่นใจแล้วว่านางไม่ใช่คนที่เขากำลังตามหา…
ทว่าบรรยากาศความคุ้นเคยได้กระตุ้นความเศร้าและความเจ็บปวดทิ่มแทงจิตใจของหวังหลินขึ้นมาอีกครั้ง
“โอ้?” จักรพรรดิเต๋ามีแววตาเป็นประกายมิอาจตรวจจับได้ เขามองนางและจากนั้นมองหวังหลิน ทันใดนั้นเผยรอยยิ้มมิอาจเข้าใจ
จักรพรรดิเต๋าพูดขึ้น “จักรพรรดินี เจ้าจำองครักษ์ในอนาคตของอาณาเขตเต๋าได้หรือไม่?”
นางก้มหน้าและส่ายศีรษะ
‘ราชครูพูดว่าเศษวิญญาณดวงนี้เขาปิดผนึกเอาไว้และไม่มีความผันผวนกระจายออกมา แม้จะมีคนที่ใกล้ชิดที่สุดปรากฏตัวก็ไม่สามารถตรวจจับได้ แม้กระทั่งมหาชั้นฟ้าด้วยเช่นกัน เว้นแต่จะมีพลังทำนายเหนือกว่าราชครู’ จักรพรรดิเต๋ายิ้มเบาๆ
‘น่าสนใจ เป็นไปได้ว่าเศษวิญญาณดวงนี้เกี่ยวข้องกับหวังหลินจริง?’ จักรพรรดิเต๋าประหลาดใจแต่ก็ประคองรอยยิ้มเอาไว้
“บางทีเจ้าทั้งสองอาจรู้จักกันจริงๆ จักรพรรดิดีของข้า เดินลงไปหาองครักษ์ในอนาคตของอาณาเขตเต๋าสิ ให้เขาได้ดูใกล้ๆ หากเจ้าทั้งสองรู้จักกันจริงคงเป็นเรื่องน่ายินดี”
นางค่อยๆ ยืนขึ้นและมองหวังหลินก่อนจะเดินลงไปช้าๆ หวังหลินมองนางชั่วครู่ เขารู้สึกราวกับลี่มู่หวานกำลังเดินเข้ามาหา แม้แต่หัวใจและร่างกายก็กำลังสั่นไหว
นางหยุดอยู่ห่างหวังหลินสิบฟุต สายตาขุ่นเคืองยิ่งรุนแรงขึ้น หวังหลินรู้สึกเย็นเยียบแต่คุ้นเคย ทำให้เขาลืมไปว่าอยู่ในวังหลวง ลืมไปว่าอยู่ในเผ่าโบราณ ลืมไปว่าอยู่ในแผ่นดินเซียนดาราและกลับไปในโลกถ้ำ เพียงแค่ทั้งสองจ้องมองกัน ความเศร้าในตาหวังหลินคล้ายกับสามารถหลอมละลายโลกได้ทั้งใบ
นางมองเห็นความเศร้าและรู้สึกเจ็บปวดในใจ แววตาเกิดความสับสนขึ้นมาแต่ก็หายไปในเวลาไม่นานและกลับกลายเป็นความตะขิดตะขวงใจ
“เจ้า…ไม่ใช่นาง” ผ่านไปสักพัก หวังหลินเผยใบหน้าขมขื่น เขาต้องการเมาเพื่อให้ลืมความเจ็บปวดและความเศร้าจากวิญญาณ เขารู้ว่าสิ่งที่เขารู้สึกเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
แต่ภาพลวงตานี้ทำให้เขานึกถึงอดีตเมื่อหลายพันปีก่อนและทำให้ความเศร้าทวีความรุนแรงมากขึ้น
หวังหลินก้าวถอยกลับไปอย่างลำบาก เขาไม่ได้มองนางหรือจักรพรรดิเต๋าอีก แต่ก็ไม่ได้จากไปไหน หวังหลินกลับมาที่โต๊ะและนั่งลง มองโต๊ะอยู่นานก่อนจะคว้าขวดสุราและดื่มไปอึกใหญ่
แม้สุราจะมีรสเผ็ดร้อน มันก็ไม่มากพอให้เขาเมามาย…
หวังหลินแทบไม่ค่อยร้องไห้ แต่เพียงแค่เขาเมา หยาดน้ำตากลับหลั่งใหลออกมาเป็นสาย หยดน้ำตาไหลลงไปในปากพร้อมกับน้ำสุราและรสชาติอันขื่นขม ดุจรสชาติแห่งความเศร้า
จักรพรรดินีกลับมาอยู่ข้างจักรพรรดิและสงบลง นางก้มศีรษะลงต่ำอยู่เสมอและไม่พูดสิ่งใด ใบหน้าจักรพรรดิเต๋าเผยรอยยิ้มกว้าง บางครั้งก็มองมาที่หวังหลิน สายตามีทั้งความสุขและความภูมิใจ
‘ดูเหมือนมีความเป็นไปได้ว่าหวังหลินจะรู้เรื่องเศษวิญญาณ…และความสับสนที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะหวังหลิน…น่าเสียดาย ไม่ว่าเจ้าจะมีระดับบ่มเพาะอะไร ไม่ว่าจะมีโลหิตวิญญาณมากแค่ไหน แม้จะมีซวนลั่วเป็นอาจารย์ ความเศร้าใหญ่หลวงที่สุดคือเจ้ากระทั่งจำกันไม่ได้แม้จะอยู่ตรงหน้า…แต่นี่ยิ่งทำให้ข้าตื่นเต้นมาก…’ จักรพรรดิเต๋ายกจอกสุราขึ้นดื่มพร้อมกับคนนับแสนที่เข้ามางานเลี้ยง
ตามประเพณีของอาณาเขตเต๋า เขาควรปล่อยให้นางไป แต่เขาก็ไม่ทำและให้นางอยู่ต่อไป เขามองหวังหลินอย่างต่อเนื่องราวกับเป็นสิ่งที่ทำให้เขาพึงพอใจและมีความสุขที่สุด
เนื่องจากจักรพรรดิเต๋ามาแล้ว ฝูงชนเต็มไปด้วยคำพูดยินดีอย่างมีชีวิตชีวา
ภายในความวุ่นวายที่มีชีวิตชีวานี้ หวังหลินนั่งอย่างเงียบๆ และดื่มสุราที่เดิม แววตาแห่งความเศร้าไม่อาจถูกน้ำเมาชำระล้างไปได้
“จักรพรรดินี องครักษ์หวังดูอารมณ์ย่ำแย่ลงนะ เจ้าไปดื่มกับเขาแทนข้าสิ” จักรพรรดิเต๋ายิ้มขึ้น
………………………………………………….
ตอนที่ 2023 เต็มไปด้วยความโกรธแค้น (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
นางถอนหายใจ จริงๆ แล้วนางไม่ได้ชอบความมีชีวิตชีวาเช่นนี้ โดยเฉพาะสายตาหวังหลินได้ทำให้นางรู้สึกเจ็บแปลบในใจ แม้แต่นางก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเกิดเรื่องนี้ขึ้น
แต่ทุกครั้งที่นางพยายามคิดหาเหตุผล นางจะรู้สึกสับสนยิ่งขึ้น
นางลุกขึ้นเบาๆ ร่างเงาหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังและส่งจอกสุราให้ มันลอยอยู่ด้านหลังนางขณะที่เดินออกไปนอกวัง เข้าสู่ลานกว้างและเปิดทางสู่หวังหลิน
หวังหลินนั่งก้มศีรษะอยู่ตรงนั้น เพียงชั่วเวลาสั้นๆ เขาดื่มไปแล้วเจ็ดถึงแปดขวด หวังหลินมองขึ้นไปเห็นนางยืนอยู่ตรงหน้า สายตาเขาเริ่มจะพร่าเลือนอีกครั้ง
“เจ้า…” นางมองหวังหลินและกำลังจะเอ่ยปาก
“เจ้ารู้วิธีการดีดพิณหรือไม่…” หวังหลินถามอย่างขมขื่น จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะและหัวเราะกับตัวเอง หยิบขวดสุราขึ้นมาแตะจอกสุราในมือนาง พอยกดื่มไปหมดทั้งขวด มันเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงและลอยออกไปไกล
หยดสุราสาดกระจาย หนึ่งหยดกระทบใส่ใบหน้านาง มันเย็นมาก
“หวานเอ๋อร์…วิญญาณเจ้าอยู่ที่ไหน!?” หวังหลินหายตัวไปในท้องฟ้า แต่นางยังได้ยินเสียงเขาเลือนลาง
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า นางไม่ใช่คนเดียวที่ได้ยิน ยังมีคนบางส่วนในลานกว้างและบนแท่นลอยฟ้าที่ได้ยินเช่นกัน จักรพรรดิเต๋าเองก็ได้ยินและผุดรอยยิ้มบนมุมปาก เขายกขวดสุราขึ้นมาดื่มไปหนึ่งจิบ
ทั้งจักรพรรดิเต๋าและหวังหลิน หรือคนอื่นๆ ต่างก็ไม่เห็นว่าตอนที่นางได้ยินคำว่า “หวานเอ๋อร์” นางเผยสีหน้าดิ้นรนและสับสน ทว่าไม่นานก็หายไป สีหน้านางเริ่มว่างเปล่า
นางก้าวเดินกลับมาในวังด้วยความว่างเปล่า ด้านหลังมีงานเลี้ยงที่เริ่มขึ้นอย่างมีชีวิตชีวา
‘หวานเอ๋อร์…ข้าจะพลิกผืนฟ้าเพียงเพื่อค้นหาเจ้า…’
‘หวานเอ๋อร์…ข้าอยากจะจุดท้องฟ้าให้กลายเป็นเปลวเพลิงเพื่อหาเหตุผลให้เจ้าไม่หลับตาลง’
‘หวานเอ๋อร์…ข้าอยากเขย่าโลกทั้งใบด้วยสายฟ้าเพียงเพื่อให้เจ้าได้ยินเสียงข้า’
‘หวานเอ๋อร์…ข้าเดินทางมาหลายล้านลี้และผ่านโลกนับไม่ถ้วนเพียงเพื่อตามหาลมหายใจของเจ้า’
‘หวานเอ๋อร์…ข้ายอมกลายเป็นจอมมาร ฝืนลิขิตสวรรค์เพื่อล้มล้างฟ้าดิน ข้ายืนอยู่ตรงหน้าเจ้าอย่างเยือกเย็นและโดดเดี่ยวเพื่อให้เจ้าลืมตาขึ้นมามองข้าให้ได้’
‘หวานเอ๋อร์ วิญญาณเจ้าอยู่ไหน!?!’
หยาดน้ำตาของหวังหลินไหลลงเป็นสาย เขาเดินผ่านเมืองหลวงอันส่องสว่าง ก้าวเดินอย่างเงียบเชียบ แผ่นหลังเผยความโดดเดี่ยวและอ้างว้าง
ความโศกเศร้าของเขาฝังอยู่ในใจมาตลอดและถูกปกคลุมด้วยความเฉยเมยเสมอมา มันไม่ยอมปรากฏขึ้นมาอย่างง่ายดาย แต่ตอนที่เขาได้เห็นบรรยากาศอันคุ้นเคยนั้น หวังหลินไม่สามารถบิดบังและหลอกตัวเองได้อีกแล้ว น้ำตาจึงไหลรินลงมา
ขณะที่ก้าวเดินต่อไปอย่างเงียบงัน หยาดน้ำตาไหลหยดลงหลังคาบ้านที่เขาทะยานผ่าน เสียงแห่งความสุขจากในวังดังขึ้นมาได้ยินแต่หวังหลินไม่อยากฟัง เขาต้องการหาสถานที่อันสงบเงียบของตัวเองและนึกถึงอดีต
หวังหลินกลับมาที่อารามเต๋า กลับมาที่บ้านของตัวเอง นั่งลงในบ้านและไม่มีจิตใจจะบ่มเพาะหรือมองดูตะวันมหาชั้นฟ้าในถ้ำอีกแล้ว เขามองไปยังโลกสีสันสดในด้านนอกอยู่นาน…
‘ข้ามีระดับบ่มเพาะสูงเสียดฟ้า…แต่แล้วอย่างไรเล่า…’
‘ข้าฝืนลิขิตสวรรค์…แต่แล้วอย่างไรเล่า…’
‘แม้ข้าจะเป็นองครักษ์ของอาณาเขตเต๋า ข้าก็ไม่สามารถค้นหาวิญญาณของหวานเอ๋อร์ให้เจอได้…’ หวังหลินมีใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขาไม่ยอมขบคิดถึงปัญหานี้ เขาใช้ระดับบ่มเพาะมาเป็นข้ออ้างแก้ตัวและหลอกตัวเอง พร่ำบอกตัวเองว่านี่คือความหวังเดียวในการตามหาวิญญาณของหวานเอ๋อร์
ทว่าเขาหลอกตัวเองมาเป็นพันปี แต่ตอนนี้พอได้เห็นซ่งจื่อที่ดูเหมือนหวานเอ๋อร์ เขากลับไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ หวังหลินขังตัวเองอยู่ในบ้าน ต้านทานความเจ็บปวดทิ่มแทงจิตใจ เขานึกถึงความทรงจำในอดีต ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่รู้สึกโดดเดี่ยว…
เช่นเดียวกับบรรพชนแห่งสำนักตงหลิน ผู้อยู่ในสำนักไร้ชีวิตและอยู่กับความทรงจำของตัวเอง
‘ในโลกนี้…จะมีใครที่มีบรรยากาศเช่นนี้อีก…แต่นางไม่ใช่หวานเอ๋อร์ นางคือซ่งจื่อ…ข้าเคยเจอนางครั้งหนึ่งแล้วที่เมืองศิลาดำ…’ หลังจากนั้นหวังหลินก็ฝืนระงับความเจ็บปวดและความทรงจำในใจเอาไว้ เขาไม่ต้องการทำให้ตัวเองตกอยู่ในความเสี่ยง มันไม่ช่วยในการตามหาวิญญาณของหวานเอ๋อร์ขึ้นมาเลย
หวังหลินหลับตาพลางถอนหายใจยาว เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งจึงเกิดเป็นความสงบนิ่ง แต่ส่วนลึกภายในยังคงมีความเศร้า
“ซ่งจื่อ…” เพียงหวังหลินพึมพำ เขายกแขนขึ้นมาและมีร่างเงาหนึ่งทับซ้อนกับตัวหวังหลินก้าวเดินออกมา มันเป็นร่างแก่นแท้ห้าธาตุและตรงกลางคือกลุ่มก้อนแสงสีทอง ภายในแสงมีร่างเงาหนึ่งซึ่งคือร่างแก่นแท้โลหะที่กำลังเกิดเป็นรูปร่าง
หวังหลินฝืนบังคับให้ตัวเองสงบลงและไม่คิดเรื่องอื่นอีก เขาบอกตัวเองว่าซ่งจื่อไม่ใช่หวานเอ๋อร์ เขาหลับตาลงและกำลังจะพึ่งพาระดับบ่มเพาะให้หยุดคิดถึงอดีต
แต่ขณะที่หวังหลินหลับตา เขาพลันลืมตาตื่นอีกครั้ง แววตาเผยประกายแสงสีทองและเกิดความตกตะลึง!
‘แบบนั้นไม่ถูก!!!’
‘ข้าเคยเจอซ่งจื่อแล้วที่นอกเมืองศิลาหิน ตอนนั้นนางไม่มีความรู้สึกเหมือนตอนที่อยู่ในวัง นางเป็นคนธรรมดามาก ธรรมดามาก แม้จะมีความสง่างามแต่ไม่เหมือนที่ข้ารู้สึกได้ในวัง!!’
หวังหลินร่างกายสั่นเทา
‘หากนางเหมือนกับที่อยู่ในวัง คงไม่มีทางที่ข้าจะสังเกตไม่ได้ตอนที่อยู่นอกเมืองศิลาดำ ข้าควรรู้สึกคุ้นเคยตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว!’
‘แต่ตอนนั้น ข้าไม่รู้สึกอะไรเลย จนมาตอนที่ข้าได้เจอนางอีกครั้งในวัง ข้าถึงเกิดความรู้สึกคุ้นเคย!!!’
‘มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!!’
‘จักรพรรดิเต๋าค้นหานางสนมมาหลายร้อยปีและในที่สุดก็เลือกได้หนึ่งคน ซ่งจื่อไม่ได้สวยงามไร้ที่ติ ดังนั้นทำไมนางถึงถูกเลือก…’
‘สตรีแบบไหนกันที่จักรพรรดิเต๋าใช้เวลาหลายร้อยปีเพื่อค้นหา…ทำไมซ่งจื่อถึงได้ให้ความรู้สึกแตกต่างเมื่อข้าได้เห็นนางอีกครั้งในวัง!?’
‘ทำไมข้าถึงรู้สึกตะขิดตะขวงใจตอนที่เข้าไปในวังและหลังจากกลับมา? ทำไมถึงเกิดจิตสังหารตอนที่ข้าเห็นจักรพรรดิเต๋า? ทำไมมันถึงหายไปตอนที่ข้าได้เห็นซ่งจื่อ!?!’
หวังหลินยืนขึ้นทันที ร่างกายสั่นเทา ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้าและส่องสว่างไปทั้งบ้านไม้ เรือนผมพริ้วไหวไร้สายลมราวกับพลังที่ซ่อนเอาไว้กำลังปะทุ!
‘แต่ข้าตรวจนางด้วยสัมผัสวิญญาณแล้วและไม่เจออะไรผิดปกติ นางปกติมาก เพียงแต่บรรยากาศของนางเท่านั้นที่ทำให้รู้สึกคุ้นเคย…’
‘แต่ทำไมถึงเป็นแบบนั้น…’ จิตใจหวังหลินสั่นเทา เขาไม่สามารถได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นเร็วดุจรัวกลอง ความรู้สึกเช่นนี้หายากยิ่งสำหรับเขา เป็นความตื่นเต้น ความลังเล ปะปนไปด้วยความสงสัยและสับสน ทั้งยังสั่นเทาจากความไม่เชื่อหรือไม่แน่นอนอีก
คล้ายกับเปลวเพลิงกำลังถูกข่มอยู่ในใจแต่ก็ถึงจุดที่มันกำลังระเบิด!
‘การคัดเลือกหลายร้อยปี…ความแตกต่างครั้งใหญ่ระหว่างซ่งจื่อก่อนหน้าและตอนนี้…ท้ายที่สุดแล้วนี่มันเป็นความลับอะไรถึงทำให้ข้าเป็นบ้าขนาดนี้!!’ หวังหลินมีใบหน้าบิดเบี้ยวและแทบไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาต้องการมุ่งหน้าเข้าไปในวังและจับจักรพรรดิเต๋ามาค้นวิญญาณเสียให้สิ้น!
แต่…เขาทำไม่ได้!!
เขาคือศิษย์ของซวนลั่วและซวนลั่วคือองครักษ์ของอาณาเขตเต๋า ซวนลั่วคืออาจารย์เขาและช่วยหวังหลินไว้อย่างมาก!! หากไม่มีหลักฐานใดและมุ่งหน้าเข้าวังเพื่อสังหารจักรพรรดิ หวังหลินคงไม่สามารถรอดชีวิตได้แน่ เขาคงไม่มีหน้าไปเจออาจารย์ที่ช่วยเหลือเขาไว้อย่างมากมาย!
หวังหลินดวงตาเป็นประกายและยกแขนขวา หินหยกสีดำก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ!
หินหยกก้อนนี้เปล่งแสงสีดำและน่าขนลุก หากมองเข้าไปอาจถูกมันกักขังเอาไว้ได้ หินหยกก้อนนี้บรรพชนกระทิงเขียวมอบให้ตอนที่อยู่ในสำนักมหาวิญญาณ ได้มาจากอัจฉริยะของเผ่าต้าวหวังผู้วางแผนทุกอย่างเพื่อให้เผ่าพันธุ์ได้รับอิสระ อัจฉริยะผู้นำสมองและหัวใจของตัวเองออกมาและคุกเข่าเบื้องหน้ารูปปั้นหวังหลินเพื่ออ้อนวอนขอร้องให้ยกโทษ ทั้งยังดูเหมือนเป็นการให้น้ำหนักความสำคัญไปที่สมองและจิตใจของเขาไปด้วย!
‘หินหยกก้อนนี้สามารถช่วยท่านทำนายอนาคตได้หนึ่งครั้ง…’ หวังหลินคิดถึงคำพูดที่ออกมาจากหินหยก
หวังหลินบดขยี้หินหยกโดยไม่ลังเลและพึมพำบทร่าย เปิดฝ่ามือขวาออกทำให้หินหยกเปลี่ยนกลายเป็นควันสีดำควบแน่นกลายเป็นคนตัวเล็กโขกคำนับในฝ่ามือหวังหลินถึงเก้าครั้ง!
วินาทีนั้นจิตใจหวังหลินเลือนลางและเห็นโลกถ้ำ เขาเห็นฝ่ามือผลึกใสได้หยิบเอาเศษวิญญาณของลี่มู่หวานไปจากเต๋าแห่งสวรรค์!
ภายในห้อง เขาเห็นร่างเงาเลือนลางปกคลุมไปด้วยแสงสีรุ้งกำลังถือลูกปัดก้อนหนึ่งอยู่ในมือ ลูกปัดก้อนนี้มีเศษวิญญาณของลี่มู่หวาน!
เขาได้ยินร่างเงาเลือนลางกระซิบบางอย่างที่ทำให้ชายชุดคลุมสูงศักดิ์ผู้นั้นตกตะลึง
หวังหลินเห็นท่าทีประหลาดใจ จากนั้นชายชุดคลุมสูงศักดิ์จึงได้นำวิญญาณไป เขาใช้เวลาหลายร้อยปีเพื่อค้นหานางสนมให้มาผสานวิญญาณแต่ก็ล้มเหลว จนในที่สุดหวังหลินก็เห็นสตรีที่มีใบหน้าคุ้นตา นางคือซ่งจื่อและนางผสานวิญญาณด้วยกันได้
เขาเห็นชายชุดคลุมสูงศักดิ์บีบแก้มนางจนเกิดความเจ็บปวดและนางมีหยาดน้ำตาไหลลงมาทั้งที่ไร้สติอยู่ในวัง
และเขาได้ยินคำพูดจากชายชุดคลุมสูงศักดิ์!
ชายชุดคลุมสูงศักดิ์นั่นคือจักรพรรดิเต๋า!
“เย่ต้าว! ข้าจะไปฆ่าเจ้า!” หวังหลินลืมตา มันแดงก่ำจากความบ้าคลั่งเรือนผมพริ้วไหว หวังหลินปล่อยเสียงคำรามที่อาจฉีกกระชากสรวงสวรรค์และทำลายล้างพลังแห่งราชวงศ์!
เสียงคำรามสัมผัสได้ถึงความบ้าคลั่งและความโกรธเกรี้ยวอยากทำลายล้างโลก ไม่ยอมถอยแม้จะสูญสิ้นชีวิต!
เป็นเสียงคำรามรุนแรงที่สุดที่หวังหลินปล่อยออกมาตั้งแต่เกิดและทำให้โลกสั่นสะเทือน!!
นี่คือความโกรธแค้นของหวังหลิน!
……………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น