Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 2014-2019

 ตอนที่ 2014 โอกาสทอง!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“บันไดหินมีทั้งสิ้น 999 ขั้น ทุกร้อยขั้นเป็นตัวแทนพลังหนึ่งในสิบของข้า! ตลอดชั่วอายุคนไม่มีมหาชั้นฟ้าคนใดสามารถก้าวไปถึงขั้นที่ 600 ได้”


“คนที่ไปได้ไกลที่สุดคือมหาชั้นฟ้าชื่อตงหลินจากเผ่าเทพ เขาก้าวสู้ขั้นที่ 600 ไม่ได้และหลังจากทิ้งคนผู้หนึ่งเอาไว้ ข้าก็ยอมให้เขาจากไป”


“ส่วนเจ้า…มาดูกันว่าจะมาถึงได้กี่ขั้น!” น้ำเสียงราบเรียบดังกึกก้องเมื่อหวังหลินเหยียบไปบนขั้นที่หนึ่งร้อย


เพียงเสียงกล่าวจบลง บันไดคดเคี้ยวจึงเผยร่างจริงเปลี่ยนเป็นมังกร ร่างกายของมันเป็นสีดำสนิทและส่งเสียงร้องคำราม มันพุ่งตรงเข้าหาหวังหลิน


กลิ่นเหม็นคาวพุ่งเข้าหาหวังหลินเพื่อพยายามหยุดเขาในขั้นที่หนึ่งร้อย เจ้ามังกรพลันเข้าประชิดทันที!


หวังหลินมีแววตาเป็นประกาย แม้ใบหน้าซีดแต่ก็ไม่ตื่นตระหนก เขามองขึ้นไปและยื่นแขนขวาเข้าไปยังอากาศ ดวงตะวันมหาชั้นฟ้าด้านหลังหดลงเล็กน้อย แสงสีขาวและดำรวบรวมในฝ่ามือกลายเป็นภาพอันน่าประหลาด


ฝ่ามือขวาของหวังหลินเป็นสีขาว หลังมือเป็นสีดำ พอมังกรเข้ามาใกล้ ฝ่ามือจึงกดลงไปสัมผัสกับมังกร


เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เจ้ามังกรสั่นสะท้านและกรีดร้องโหยหวน ศีรษะของมันพังทลายและกระจายอย่างรวดเร็ว ทั้งร่างมังกรแตกสลายเป็นฝุ่นผงและหายไปทันที


ขณะเดียวกันขั้นบันไดจึงกลับมาเป็นปกติและไม่เกิดการบิดเบี้ยวอีก ราวกับทุกสิ่งก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพมายา


หวังหลินกระอักโลหิต วินาทีที่เขาทำลายมังกร แขนขวาของตัวเองก็แตกสลายไปในอากาศด้วย จากนั้นควันสีดำได้รวมกลับมาก่อเกิดเป็นแขนใหม่!


แต่เท้าขวาของเขาก็สัมผัสมังกรด้วยเช่นกันและรู้สึกเหมือนถูกภูเขานับไม่ถ้วนกระแทกใส่ เท้าขวายกขึ้นและเริ่มจะตกไปยังขั้นที่ 99 ด้านหลัง


หากเหยียบลงไปนั่นหมายความว่าเขาไม่สามารถก้าวขึ้นไปขั้นที่หนึ่งร้อยได้!


วินาทีนั้นหวังหลินร้องคำรามและเกิดเสียงปะทุดังกึกก้อง เขาใช้ร่างบัญชาโบราณเข้าต่อต้าน เท้าขวาจึงเปลี่ยนทิศทางก่อนจะเหยียบลงไป


มันไม่ได้เหยียบขั้นที่ 99 แต่เหยียบขั้นที่หนึ่งร้อย!


หวังหลินสูดหายใจลึก เขารู้สึกว่าหลังจากก้าวไปบนขั้นที่หนึ่งร้อย พลังเทพและพลังโบราณเผยสัญญาณการหลอมรวม ปรากฏการณ์นี้ทำให้หวังหลินตกตะลึง


ขณะขบคิดไปจึงยกเท้าและก้าวเดินอีกครั้ง หวังหลินไม่ได้เร็วมาก แต่ละครั้งก้าวข้ามเพียงสิบขั้น ทว่าทุกครั้งที่เหยียบกลับทำให้ภูเขากุ้ยต้าวดังสะเทือน


หลังจากขั้นที่หนึ่งร้อยเป็นต้นมาแรงกดดันจากภูเขาและกุ้ยต้าวก็เพิ่มขึ้นสองเท่า หวังหลินรู้สึกราวกับแรงกดดันแทบไม่สามารถหายใจได้ พอเขามาถึงขั้นที่ร้อยห้าสิบ หวังหลินอดไม่ได้ที่จะหยุดลงที่นี่


บนยอดภูเขา ซวนลั่วมองหวังหลินจากตรงนั้น จิตใจเขากำลังเจ็บปวด เขาคิดขึ้นมาในใจว่าหากหวังหลินล้มเหลว เขาจะเสี่ยงเดิมพันกับมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวและพาหวังหลินไป!


‘เขาถูกข้าพามาที่นี่และเหตุผลที่มาเผ่าโบราณก็เพราะข้า ข้าต้องพาเขาไป!’ ซวนลั่วขบคิดเงียบๆ


“หากเขาผ่านขั้นที่สองร้อยไม่ได้ ซวนลั่วจงทิ้งศิษย์ของเจ้าไว้ซะ” ร่างพร่าเลือนภายในสายหมอกด้านหลังพูดขึ้นอย่างเย็นชา


แต่ก่อนที่ซวนลั่วจะได้พูดอะไร หวังหลินร้องคำราม เค้าโครงดวงตะวันมหาชั้นฟ้าด้านหลังหดลงอย่างรวดเร็ว


หวังหลินมองขึ้นไปและก้าวต่อ เหยียบไปบนขั้นที่ 160


เขาก้าวอีกครั้งโดยไม่หยุดชะงัก เค้าโครงดวงตะวันมหาชั้นฟ้าที่อยู่ด้านหลังกำลังหดลงอย่างต่อเนื่องราวกับมีพลังมหาศาลเข้าไปในร่างหวังหลินอย่างไม่มีวันหมด หวังหลินก้าวไปบนขั้นที่ 170 จากนั้น 180 ต่อจน 190 และสุดท้ายพอรูปร่างดวงตะวันมหาชั้นฟ้าหดลงจนถึงขีดสุดและกำลังหายไป หวังหลินจึงไปถึงขั้นที่สองร้อย!


นาทีที่เท้าเหยียบย่ำลงไป ร่างที่อยู่ในหมอกบนยอดหอคอยจึงร้องอุทานเบาๆ


ซวนลั่วเผยแววตาเป็นประกายและเผยรอยยิ้มเป็นครั้งแรก


ร่างพร่าเลือนพูดขึ้น “เขาเผาไหม้พลังของตะวันมหาชั้นฟ้าเพื่อให้ได้พลังในการบรรลุขั้นที่สองร้อย แต่เขาจะใช้อะไรในอีกร้อยขั้นที่เหลือ”


เมื่อหวังหลินเหยียบไปบนขั้นที่สองร้อย คนที่นั่งอยู่บนเสาทิศเหนือของสี่เสารอบหอคอยพลันลืมตาขึ้นทันที แสงสีเทากะพริบวาบและเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย


เขาปรากฏตัวอีกครั้งบนขั้นบันไดและก้าวเดินเข้าหาหวังหลิน สะบัดแขนและเผยใบหน้าไร้อารมณ์ ราวกับสวมหน้ากากมนุษย์ ชี้มือมาที่หวังหลิน!


เพียงเท่านั้นโลกก็เปลี่ยนสีสัน ปรากฏหลุมขนาดยักษ์ขึ้นในอากาศ พื้นดินสั่นสะเทือนและสั่นคลอนทั้งภูเขา


หวังหลินหรี่ตาแคบลง จากมุมมองของเขา การชี้ครั้งนี้เทียบได้กับพลังของมหาชั้นฟ้า!!


‘ชายชุดเทาคนนี้ดูเหมือนกำลังสวมหน้ากากที่มีพลังเทียบได้กับมหาชั้นฟ้า…เขาเป็นใคร?’ หวังหลินไม่มีเวลาคิดมากนักเนื่องจากดัชนีกำลังพุ่งเข้าหาหน้าผากแล้ว


หากเขาโดนดัชนีนี้โจมตีใส่ แม้แต่ร่างบัญชาโบราณก็ไม่สามารถต้านไหว หวังหลินคงตายทันที!


ช่วงวินาทีวิกฤติครั้งนี้เอง กลิ่นอายดวงตะวันมหาชั้นฟ้าทั้งหมดที่เขาดูดซับจากขั้นที่ 150 จนถึงขั้นที่สองร้อยพลันระเบิดอยู่ในร่างกาย


หวังหลินโคจรระดับบ่มเพาะและกระตุ้นแก่นแท้ขึ้นมา ภาพติดตา 99 ร่างปรากฏขึ้นรอบตัว เขายกแขนขวาและชกกำปั้นใส่ดัชนี!


ร่างเงาโบราณปรากฏขึ้นด้านหลัง เหล่าเทพโบราณ ปิศาจโบราณและมารโบราณล้วนโยนกำปั้นออกไปทุกร่าง! เหนือร่างโบราณเหล่านี้ยังมีร่างสีทองซึ่งพร่าเลือนแต่เปล่งพลังปราณสวรรค์อันบริสุทธิ์ยิ่งและมันยังส่งกำปั้นออกมาด้วย


ควันสีดำจำนวนมากแผ่กระจายออกมาจากร่างหวังหลิน มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารและความบ้าคลั่ง มันผสานเข้ากับสายฟ้าจนกลายเป็นสายฟ้าสังหารและกลายเป็นกำปั้นอีกหนึ่งหมัด!


เสียงดังสนั่นกึกก้องไปทั่วภูเขากุ้ยต้าวและแผ่กระจายออกไปทั่วสารทิศ


ดัชนีของชายชุดเทาพังทลาย ร่างกายสั่นสะท้านแต่ยืนประคองอยู่ได้ เขามองหวังหลินอย่างล้ำลึก จากนั้นหันตัวกลับไปยอดเขา หายไปจากทัศนวิสัยของหวังหลิน เขากลับไปนั่งตรงเสาทิศเหนืออีกครั้งพร้อมกับหลับตาลง


หวังหลินกระอักโลหิต ร่างเงาโบราณด้านหลังเขาหายไป แม้แต่เงาสีทองก็หายไปด้วย หวังหลินหายใจถี่แต่ก็ยืนอยู่บนขั้นที่สองร้อยได้อย่างมั่นคง!


พอเขายังยืนอยู่ตรงนั้น สัมผัสได้ว่าพลังเทพและพลังโบราณในร่างกายกำลังผสานกันด้วยวิธีอันน่าเหลือเชื่อ การผสานกันนี้ได้อิทธิพลจากแรงกดดันของภูเขากุ้ยต้าว


“ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้าหรือผู้สูงส่งชั้นเทวะของเผ่าเทพ พวกนั้นไม่สามารถก้าวมาบนภูเขาของข้าได้ มีเพียงมหาชั้นฟ้าที่ทำได้เท่านั้น การมาถึงขั้นที่สองร้อยได้หมายความว่าเจ้าได้มีพลังเริ่มต้นของมหาชั้นฟ้าแล้ว ทำต่อไป ให้ข้าได้เห็นว่าเจ้าสามารถมาถึงขั้นที่สามร้อยได้หรือไม่” น้ำเสียงเย็นเยียบดังกึกก้องในหูหวังหลิน


“มหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าว เขาคือศิษย์ข้า!” ซวนลั่วร้องคำรามออกมาจากยอดเขา ลำแสงสายหนึ่งทะยานออกมาจากหอคอยมาอยู่ข้างหวังหลิน เผยออกมาเป็นซวนลั่ว


“เขาถูกข้าพามาที่นี่และข้าจะพาเขาไป! มหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าว ข้าซวนลั่วมีชีวิตอยู่เพื่ออาณาเขตเต๋า ไม่เคยสนใจเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว ตั้งแต่ยุคโบราณมาข้าไม่เคยก่นด่าและร่วมมือกับเผ่าโบราณอย่างสุดหัวใจมาตลอด!”


“แต่วันนี้ ข้าขอร้องมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวให้ปล่อยข้าพาศิษย์กลับไปเถิด!” ซวนลั่วมองบนยอดเขา เอ่ยออกมาด้วยความมุ่งมั่น


หลังจากนั้นสักพักน้ำเสียงเย็นเยียบยิ่งเย็นชาน้อยลง


“ซวนลั่วตอนที่เจ้ากลายเป็นมหาชั้นฟ้า ข้าขอให้เจ้ามาเป็นศิษย์ข้าและอยู่กับข้าที่นี่…เจ้าบอกว่าต้องการปกป้องอาณาเขตเต๋าและไม่ต้องการอยู่ที่นี่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงปฏิเสธ…”


“เจ้าปกป้องอาณาเขตเต๋าตลอดมา…นี่ถือเป็นคำขอร้องแรก เช่นนั้นข้าถือว่าตกลงและมันจะเป็นคำขอสุดท้ายของเจ้า…”


ซวนลั่วเผยสีหน้าซับซ้อนและโค้งคำนับไปยังหอคอย เขากำลังจะพาหวังหลินจากไป


“อาจารย์…ศิษย์ยังไปได้ต่อ!” หวังหลินสูดหายใจลึกและร่างตั้งตรง


“เจ้า…” ซวนลั่วมีสายตาเผยความกังวล


“อาจารย์ แรงกดดันจากภูเขากุ้ยต้าวถือเป็นการฝึกฝนที่ดีที่สุดสำหรับศิษย์ โปรดอนุญาตให้ศิษย์ไปต่อด้วยเถิด!” หวังหลินคำนับฝ่ามือและโค้งให้แก่ซวนลั่ว จากนั้นหันกลับมาและเดินเข้าสู่ก้าวที่ 201!


วินาทีที่เหยียบย่ำลงไป เสียงในร่างกายดังขึ้นมาบ่งบอกว่าไม่สามารถต้านทานแรงกดดันได้อีกแล้ว แต่ดวงตาหวังหลินเปล่งประกายเจิดจ้า


‘พลังโบราณคงอยู่ได้เพราะสายโลหิตของข้า และระดับบ่มเพาะเทพคงอยู่ได้เพราะแก่นแท้ของข้า แต่พวกมันไม่เคยผสานด้วยกันได้มาก่อน…ตอนที่อยู่ในโลกถ้ำ ข้าลองพยายามผสานแต่พวกมันก็ต่อต้านกัน…ท้ายที่สุดทำได้แค่แยกพวกมันออกจากกัน’


‘แต่ตอนนี้ไม่มีที่ไหนดีไปกว่าที่นี่เพราะได้ช่วยข้าผสานพลังโบราณและพลังเทพ! มหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเซียนดารา แรงกดดันของเขาจึงเป็นตัวช่วยในการผสานทั้งสองพลังได้ดีที่สุด!’


หวังหลินก้าวเดินต่อไปอย่างมุ่งมั่น ด้วยเหตุนี้ในสองร้อยขั้นแรกหวังหลินจึงรู้สึกถึงโอกาสในการผสานพลังทั้งสองสาย นี่คือโอกาสทองสำหรับเขา!


…………………………………………………..


ตอนที่ 2015 เก้าบทเพลง สามสัญญาณ (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอเห็นความมุ่งมั่นของหวังหลิน ซวนลั่วจึงหรี่ตาแคบลงแต่ก็ไม่หยุดยั้งหวังหลิน เขาเฝ้าดูหวังหลินก้าวเดินไปยังขั้นที่ 201


แรงกดดันจากภูเขากุ้ยต้าวกลายเป็นแรงกดดันเกินอธิบายและกระแทกลงใส่หวังหลิน


ช่องว่างระหว่างพลังในขั้นที่ 200 และ 201 นับว่ามหาศาลมาก หากก่อนหน้านี้คือคลื่นโหมกระหน่ำที่หวังหลินต้องใช้พลังทั้งหมดและเผาผลาญโครงร่างตะวันมหาชั้นฟ้าเพื่อข้ามผ่าน เช่นนั้นตอนนี้มันคือทะเลทั้งผืนที่กำลังกระหน่ำลงมาใส่เขา


หลังจากก้าวไปเพียงขั้นเดียว หวังหลินหน้าซีดยิ่งขึ้น ร่างกายสั่นเทา โลหิตไหลออกจากมุมปากอย่างต่อเนื่อง กระดูกกำลังถูกบดขยี้ เลือดเนื้อฉีกขาด วิญญาณดั้งเดิมกำลังแตกสลาย และวิญญาณเขากำลังถูกลบล้างออกไป!


เขาเหมือนเรือที่กำลังล่องอยู่ในทะเล เป็นเรือที่เปราะบางและกำลังเผชิญหน้ากับพลังของทั้งมหาสมุทร!


ทว่าหวังหลินไม่ยอมถอย แม้เส้นทางต่อไปจะอันตรายยิ่ง หวังหลินก็ไม่ยอมละทิ้งโอกาสนี้! มันคือโอกาสที่มีเพียงครั้งเดียวในชีวิต บางทีอาจเป็นโอกาสสุดท้ายนับตั้งแต่ที่เขาผสานพวกมันล้มเหลวในครั้งล่าสุด!


เมื่อเขายอมแพ้ไปแล้ว ไม่เพียงจะล้มเหลวในการผสาน มันคงกลายเป็นรอยแผลในใจหวังหลิน กลายเป็นเงาของกุ้ยต้าวที่ไม่อาจต้านทานได้ ซึ่งสามารถสร้างความหวาดกลัวไว้ได้อีกนาน


‘มหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าว…ข้าต้องเดินผ่านสามร้อยขั้นนี้ไปให้ได้!’ หวังหลินใบหน้าบิดเบี้ยว ความเจ็บปวดทั้งภายในและภายนอกร่างกายทำให้เขาต้องการร้องคำรามใส่ท้องฟ้า ทว่าเขาก็ระงับเอาไว้และสงวนพลังคำรามนี้ในร่างกายเพื่อก้าวครั้งที่สอง


พอก้าวครั้งที่สอง จิตใจหวังหลินสั่นไหว ร่างกายสั่นสะท้านอย่างรุนแรงแต่สัมผัสได้ชัดเจนว่าพลังทั้งสองสายในร่างกายกำลังถูกแรงกดดันนี้บังคับให้ผสานกัน


แต่ขณะที่พวกมันผสานกัน ได้เกิดพลังต่อต้านอันน่าตกตะลึงขึ้นมาด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะแรงกดดันจากภูเขา หวังหลินคงไม่มีทางหยุดยั้งพลังต่อต้านนี้ได้และการผสานก็คงจะล้มเหลวอีกรอบ


แต่ตอนนี้หวังหลินไม่จำเป็นต้องระงับมันเอาไว้ เนื่องจากแรงกดดันจากภูเขากุ้ยต้าวทำหน้าที่ในการระงับพลังการต่อต้านให้เขาแล้ว


หวังหลินพยายามก้าวไปขั้นที่สาม สี่ ห้าและหก!


แม้จะสั่นเทา ทว่าร่างกายมีความทนทานอย่างประหลาด ความทนทานช่วยค้ำจุนกระดูกสันหลัง ทำให้หวังหลินมองขึ้นไปเผชิญหน้าทุกคนได้!


ขั้นที่เจ็ด ขั้นที่แปด! หวังหลินก้าวไปบนขั้นที่ 208 เส้นเลือดบนใบหน้าบวมเป่งและเกิดเสียงแตกร้าวดังขึ้นในร่างกายราวกับกระดูกกำลังเสียดสีกัน!


แต่สายตายังเผยความไม่ยอมแพ้ เขารู้สึกว่าพลังทั้งสองสายกำลังผสานกันอย่างรวดเร็วภายใต้แรงกดดัน นาทีนั้นหวังหลินรู้สึกถึงบางสิ่งที่แตกต่างกันออกไป!


“พลังโบราณอยู่ข้างนอกและระดับบ่มเพาะเทพอยู่ข้างใน การผสานของพลังเทพและพลังโบราณให้กลายเป็นหนึ่ง…” หวังหลินยกเท้าและก้าวสู้ขั้นที่ 209 และ 210 !


วินาทีที่เหยียบลงไป ในที่สุดพลังทั้งสองสายก็ผสานกันได้เศษเสี้ยวหนึ่งภายใต้แรงกดดันอันรุนแรงจากภายนอก!


พลังเศษเสี้ยวนี้มีทั้งพลังเทพและพลังโบราณ แต่ก็เป็นพลังของหวังหลินเองด้วย!


เมื่อพลังสายนี้ปรากฏขึ้นมา ภาพเหตุการณ์หนึ่งปรากฏขึ้นในท้องฟ้า ทำให้ซวนลั่วและร่างที่อยู่ในสายหมอกบนยอดหอคอยต้องลืมตาอย่างตกตะลึง!


ท้องฟ้าเปลี่ยนจากสีครามไปเป็นสีทอง ท้องฟ้าสีทองเปล่งประกายเจิดจ้าและแผ่กระจายออกไปทั่วสารทิศ พริบตาเดียวท้องฟ้าภายในรัศมีหลายแสนลี้ได้เปลี่ยนกลายเป็นสีทอง!


ท้องฟ้าสีทองสามารถมองเห็นได้ไกลสุดสายตา เป็นภาพที่น่าตกตะลึงยิ่ง!


สีทองนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากวิชา ในเผ่าโบราณ ท้องฟ้าสีทองโดยธรรมชาติที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากวิชานั้นไม่เคยมีขึ้นมาก่อน


การปรากฏของฉากเหตุการณ์นี้ทำให้ซวนลั่วต้องมองขึ้นไป ดวงตาสะท้อนกับท้องฟ้าสีทองด้านบน


พื้นดินของเผ่าโบราณเป็นสีดำ แต่ภายใต้ท้องฟ้าสีทองนี้กลับทำให้มันเข้มมากขึ้นอย่างมหาศาล ทั่วทั้งพื้นดินจึงถูกปกคลุมด้วยความมืดไร้ที่สิ้นสุด!


หากมีคนมองมายังพื้นดินสีดำนี้ จิตใจจะเกิดอาการตกตะลึง!


มันคือ…


“เก้าบทเพลง สามสัญญาณ สัญญาณแรก ท้องฟ้าสีทองและปฐพีสีดำ!” ซวนลั่วสูดหายใจลึก


เก้าบทเพลงสามสัญญาณเป็นปรากฏการณ์ที่ปรากฏขึ้นตอนที่บรรพชนเทพและบรรพชนโบราณถือกำเนิด เก้าบทเพลงคือบรรพชนโบราณและสามสัญญาณคือบรรพชนเทพ นอกจากการถือกำเนิดจากแต่ละฝ่ายแล้ว ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนอีกเลย


แต่วันนี้มันกำลังเกิดขึ้นบนภูเขากุ้ยต้าว ท้องฟ้าสีทองและปฐพีสีดำได้เปล่งสัมผัสอันแปลกประหลาดเกินจะพูดออกมาได้ รอบด้านกลายเป็นเงียบสงัดในทันที


ความคิดเดียวในหัวหวังหลินตอนนี้คือไปให้ถึงขั้นที่สามร้อย และระหว่างกระบวนการนี้จะเกิดการผสานพลังเทพและพลังโบราณเข้าไปด้วยกัน!


เมื่อท้องฟ้าสีทองปฐพีสีดำปรากฏขึ้นมา หวังหลินเหยียบไปบนขั้นที่ 211 ภูเขากุ้ยต้าวคล้ายกับสั่นไหว หวังหลินรู้สึกว่าภูเขานับไม่ถ้วนกำลังกดทับเข้ามาใส่ แต่หวังหลินก็ก้าวไปอีกโดยไม่ลังเล!


ก้าวที่ 11


ก้าวที่ 12


ก้าวที่ 13


ก้าวที่ 14



จนกระทั่งก้าวที่ 19


ทุกย่างก้าวทำให้ร่างหวังหลินสั่นสะท้าน เขาอ่อนแอมากแม้กระทั่งวิญญาณดั้งเดิมและวิญญาณของตัวเองก็กำลังสั่นไหวภายใต้แรงกดดันราวกับไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว


พอก้าวไปบนขั้นที่ 219 ร่างหวังหลินจึงแตกสลาย ทว่ามันสลายเป็นควันสีดำนับไม่ถ้วนที่กลับคืนเป็นร่างเดิมอย่างรวดเร็ว!


หวังหลินกระทั่งยอมใช้พลังของมือสังหารเพื่อฟื้นคืนร่างกาย ตราบใดที่วิญญาณเขาไม่ถูกทำลาย หวังหลินสามารถบังคับการผสานพลังนี้ได้หลายครั้งตราบที่เขาต้องการ!


อย่างไรก็ตามภายใต้แรงกดดันที่มีอยู่ตอนนี้ แม้จะสามารถฟื้นคืนร่างกายได้นับพันครั้ง เขาก็อาจจะยังไม่สามารถผสานพลังขึ้นได้เพราะวิญญาณเขาอาจจะตายไปจากแรงกดดัน!


แต่แรงกดดันที่คุกคามถึงชีวิตเช่นนี้ถือเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการผสานพลังเทพและพลังโบราณ หวังหลินกู่ร้องคำราม ฝ่าเท้าเหยียบย่ำไปบนขั้นที่ 220!


เสียงปะทุดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณอย่างบ้าคลั่ง เท้าของหวังหลินพังทลายกลายเป็นควันสีดำนับสิบครั้งและก่อเกิดอีกหลายสิบครั้งจนในที่สุดเขาก็ประคองตัวเองได้!


เมื่อเขายังยืนอยู่ได้ บนท้องฟ้าสีทองปฐพีสีดำเกิดเสียงดังสนั่นในทันที เสียงนี้ไม่ได้ชัดเจนนักแต่ไม่นานมันก็ผ่านเข้ามากลายเป็นเสียงที่ชัดเจน


หากฟังดีดีมันคือเสียงของสายลม แต่ที่น่าประหลาดคือไม่มีลมพัดผ่านมา แต่เป็นเสียงลมที่กำลังพัดเป็นบทเพลง!


กระนั้นตอนที่เสียงสายลมดังออกมา ซวนลั่วมีสีหน้าเปลี่ยนไป!


คนชุดเทาทั้งสี่คนที่นั่งอยู่ในเสาทั้งสี่ต่างก็ลืมตา พวกเขามองไปบนท้องฟ้าด้วยท่าทีเปลี่ยนไป


ส่วนร่างที่อยู่ในสายหมอกพลันลืมตาขึ้นตอนที่ท้องฟ้าสีทองปฐพีสีดำปรากฏ เขาขบคิดเล็กน้อยและเริ่มพึมพำ


“บทเพลงวายุสวรรค์…บทเพลงแรกของเก้าเพลง…”


ภายในร่างหวังหลินเกิดการผสานพลังทั้งสองสายขึ้นมาอีกเศษเสี้ยว มันไม่ได้ไหลเวียนอยู่ในร่างแต่รวมอยู่เป็นหลักแหล่ง ขณะที่พลังเทพและพลังโบราณผสานกันอย่างต่อเนื่อง พลังสายนี้ค่อยๆ เติบโตขึ้นอย่างช้าๆ


แต่หวังหลินรู้ว่าถึงแม้เขาจะไม่สามารถมองทะลุพลังนี้ได้ มันก็เป็นพลังที่เหนือชั้นกว่าพลังเทพและพลังโบราณไปแล้ว!


มันคือพลังที่เขาต้องการจากการผสานพลัง นับเป็นความเสียใจที่ล้มเหลวเมื่อครั้งนั้น!


เขาได้ยินเสียงเพลงแห่งสายลม มีเสียงดังกึกก้องลอดผ่านเข้ามาราวกับกำลังขับขานและเล่าเรื่องราว ทว่าหวังหลินไม่เข้าใจ เช่นเดียวกับที่เขาไม่เข้าใจเสียงพึมพำในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า


หวังหลินรู้สึกเหนื่อยแต่ก็ยังก้าวขึ้นภูเขากุ้ยต้าว เขากัดฟันและเดินต่อไปจากขั้นที่ 220 ทุกๆ สองขั้นร่างกายจะพังทลายกลายเป็นสายใยสีดำและก่อเกิดขึ้นมาใหม่ กระนั้นวิญญาณและวิญญาณดั้งเดิมกำลังจะไม่สามารถทนไหวได้อีกต่อไป


ราวกับเขาใกล้จะถึงขีดจำกัด


หนึ่งก้าว หนึ่งก้าว หนึ่งก้าว…พอหวังหลินก้าวไปบนขั้นที่ 230 จึงกระอักโลหิตออกมาหยดลงบนขั้นบันได แต่กลับกลายเป็นภาพที่น่าตกตะลึง


เพราะนาทีที่โลหิตหยดลง เสียงที่สองดังขึ้นมาในบทเพลงวายุสวรรค์!


มันคือเสียงของสายฟ้า ซึ่งดังกึกก้องไปทั่วทิศทาง สายฟ้าคล้ายกับคำรามแต่ก็มีจังหวะดุจเสียงเพลงสายฟ้าแห่งสวรรค์!


สายฟ้าดังกึกก้องและผสานกับบทเพลงวายุ ทั้งสองเสียงผสานกันราวกับม้านับล้านตัวพุ่งทะลุผ่านท้องฟ้าสีทองปฐพีสีดำ!


‘ตอนที่บรรพชนโบราณถือกำเนิด เขามาพร้อมกับเก้าบทเพลง หากทั้งเก้าบทเพลงปรากฏขึ้นมา พวกมันจะกลายเป็นบทเพลงวันเกิด…ลือกันว่าตั้งแต่ยุคโบราณเมื่อทั้งเก้าบทเพลงสามสัญญาณปรากฏบนแผ่นดินเซียนดารา ผู้สืบทอดบรรพชนเทพและบรรพชนโบราณจะปรากฏตัว…’ ซวนลั่วมองหวังหลิน เขารู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถมองทะลุศิษย์ของตนได้อีกต่อไปแล้ว


‘ในโลกถ้ำ ข้าเห็นเขามี…เนตรสีเงิน…’


‘นี่เป็นแค่ข่าวลือที่แพร่กระจายไปทั่วแผ่นดินเซียนดารา…จะกลายเป็นเขาหรือไม่…’ ซวนลั่วตกอยู่ในภวังค์ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จะให้เชื่อทุกอย่างคงเป็นไปได้ยาก


………………………………………………………


ตอนที่ 2016 เก้าบทเพลง สามสัญญาณ (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

เก้าบทเพลง สามสัญญาณ บทเพลงแรกคือวายุสวรรค์!


บทเพลงที่สองคือจังหวะสายฟ้าเต๋าแห่งสวรรค์!


บทเพลงที่สามคือขลุ่ยเมฆาต้นกำเนิด!


ขลุ่ยเมฆาต้นกำเนิดนี้มาจากก้อนเมฆสีขาวที่ปรากฏในท้องฟ้าสีทอง มันดังสะท้อนไปทั่วฟ้าและเมื่อเข้าสู่จิตใจจะทำให้ผ่อนคลายราวกับต้องการหลับใหล


พอหวังหลินก้าวไปบนขั้นที่ 240 เสียงขลุ่ยจึงปรากฏในท้องฟ้า มันอัศจรรย์ยิ่งและคาดว่าสิ่งมีชีวิตคงไม่สามารถสร้างเสียงนี้ขึ้นมาได้ มันเกิดขึ้นจากหลุมนับไม่ถ้วนที่อยู่ในก้อนเมฆและมีสายลมพัดผ่านเข้ามา


มันผสานกับสายลมจนกลายเป็นเสียงอันน่าอัศจรรย์ ยิ่งสายฟ้าส่งเสียงดุจกลอง จึงก่อเกิดการผสานกับเสียงแห่งสายลมอันวิเศษ


เสียงเพลงขับขานทำให้ผู้คนลืมตัว ซวนลั่วจมความคิดไปกับเสียงเพลงและหลับตาลง


เสาทั้งสี่ทิศของหอคอย ชายชุดดำทั้งสี่คนเงี่ยหูฟังเสียงอย่างเงียบงัน ความทรงจำไหลผ่านในความคิด ทางด้านบนยอดหอคอยมีเสียงถอนหายใจดังออกมาจากสายหมอก


หวังหลินที่ยืนอยู่บนขั้นที่ 240 เองก็ได้ยินเสียงเพลงในสายลม ในสายฟ้าและในก้อนเมฆเช่นกัน เสียงทั้งหมดล้อมรอบวิญญาณดั้งเดิมและร่างกายทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นและค่อยๆ หล่อเลี้ยง อาการบาดเจ็บที่เขาได้รับจากการก้าวเดินขึ้นบันไดแต่ละขั้นมาเริ่มฟื้นฟูกำลังจากเสียงเพลงบทนี้


แม้แต่พลังเทพและพลังโบราณยังผสานกันเพิ่มมากขึ้น


ผ่านไปสักพักหวังหลินมีแววตาเป็นประกาย เขายกเท้าขึ้นและก้าวขึ้นไปอย่างช้าๆ สีหน้าท่าทางไม่ดุดันอีกแล้วแต่เป็นสงบนิ่งแทน


ดวงตาไร้สีแดงโลหิตและก้าวเดินไปอย่างมั่นคง


ท้องฟ้าสีทองคือแสง พื้นดินสีดำคือถนนหนทาง สายฟ้าคือเสียงกลอง สายลมคือเสียงขลุ่ยและจังหวะ ทั้งหมดนี้ได้พาให้หวังหลินก้าวเดินขึ้นสู่ขั้นที่ 250 ได้อย่างแน่วแน่


วินาทีที่เท้าเหยียบลงไป อีกเสียงหนึ่งเกิดขึ้น มันเป็นเสียงคล้ายฝนกำลังกระทบพื้นดิน


เสียงฝนดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณและผสานกับเสียงขลุ่ย ทำให้บทเพลงอัศจรรย์ยิ่งกว่าเดิมราวกับมีสัมผัสแห่งชีวิตซ่อนไว้ภายใน


ซวนลั่วลืมตาในจังหวะนั้น มองหวังหลินและสูดหายใจ ด้วยระดับบ่มเพาะและตัวตนของเขาซึ่งปกติจะไม่แสดงอาการตกตะลึงมากนัก ทว่าเสียงเพลงทั้งสี่ที่หวังหลินกระตุ้นขึ้นมาได้สะเทือนถึงอารมณ์ความรู้สึกของซวนลั่วไปด้วย


ซวนลั่วเลื่อนสายตาผ่านหวังหลินและขยับไปบนหอคอยพลางคิดกับตัวเองเงียบๆ ‘มหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าว…ท่านไม่ยอมรับตัวตนของเขา แต่ตอนนี้ข้าสงสัยแล้วว่าท่านคิดสิ่งใดอยู่…หรือจะเป็นศิษย์ข้าผู้ครอบครองโลหิตวิญญาณ จะยอมรับตัวตนของท่านหรือไม่!’


บนยอดหอคอยยังคงเงียบงัน หลังจากถอนหายใจ ร่างในนั้นก็หลับตาลงคล้ายกับดื่มด่ำกับเสียงเพลง ใบหน้าเผยความเศร้าสร้อยและหวนรำลึก


หวังหลินหยุดชะงักเล็กน้อยบนขั้นที่ 250 หลังจากได้ยินเสียงฝนจึงหยุดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเดินขึ้นไปอีกครั้ง


บนขั้นที่ 260 หวังหลินได้ยินเสียงแห่งนภา เสียงนี้ลึกลับยิ่งและเงียบงัน แต่ในวินาทีนั้นกลับมีเสียงพึมพำเบาๆ คล้ายเสียงกระซิบออกมาจากท้องฟ้า มันผสานกับสายลม สายฟ้า ก้อนเมฆและเสียงสายฝน


เมื่อเสียงนี้ปรากฏขึ้น การผสานกันของพลังโบราณและพลังเทพอันน้อยนิดก็เริ่มเผยความก้าวหน้าอันเนื่องมาจากแรงกดดันจากภูเขาที่เพิ่มขึ้น


ทว่าความเร็วของมันยังเชื่องช้ามาก ไม่รู้ว่านานแค่ไหนกว่าจะโคจรครบหนึ่งรอบ หวังหลินไม่เคร่งเครียด ต้องขอบคุณห้าบทเพลงนี้ เขาจึงรู้สึกสงบนิ่งทั้งภายในและภายนอกราวกับมีพลังอันไร้ที่สิ้นสุด


โลหิตวิญญาณในร่างหวังหลินกำลังแสดงอาการหลอมละลาย นี่คือโลหิตวิญญาณที่ซวนลั่วขอให้มหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวปลุกขึ้นมาแต่ก็ถูกปฏิเสธ


หวังหลินก้าวเดินข้างหน้าไปทีละก้าว เมื่อฝ่าเท้าเยียบย่ำไปบนขั้นที่ 270 แก่นแท้ทั้งหมดในร่างหวังหลินจึงเกิดการหลอมละลาย!


นาทีนี้ในร่างหวังหลินไม่ได้มีเพียงแค่แก่นแท้เดียว แต่ยังมีแสงสีเงินในดวงตา ด้วยแสงนี้จึงทำให้ดวงตาหวังหลินกลายเป็นสีเงิน!


ในดวงตาไร้อารมณ์ความรู้สึก ทุกอย่างเย็นเยียบจนแม้แต่ดวงตาสีดำยังกลายเป็นสีเงิน จากนั้นกลิ่นอายเกินบรรยายได้แผ่กระจายออกมาจากร่างหวังหลิน มันคือกลิ่นอายที่ซวนลั่วสัมผัสได้ตอนที่อยู่ในโลกถ้ำ เป็นความรู้สึกราวกับทุกอย่างกำลังจะถูกทำลาย!


ซวนลั่วเผยท่าทีอันซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก


‘ท่ามกลางเก้าบทเพลงสามสัญญาณ เนตรสีเงินเป็นถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เก้าบทเพลงของบรรพชนโบราณสามารถทำให้ดวงตาของคนกลายเป็นสีเงินได้ และสัญญาณที่สองก็คือดวงตาเหล่านี้…’


ชายชุดเทาทั้งสี่คนบนเสาสี่ด้านต่างก็ถอนสายตาออกมาจากท้องฟ้า และเมื่อมองหวังหลินอีกครั้งพวกเขาได้มองไปที่ดวงตาของหวังหลินด้วยความสับสน ราวกับมีหลุมดำอยู่ตรงนั้นและกำลังกลืนกินความคิดของคนที่มองเข้าไป!


ราวกับพวกเขาเกิดความดึงดูดอย่างประหลาดต่อดวงตาสีเงิน!


ส่วนร่างที่อยู่ในสายหมอก หลังจากขบคิดอยู่นานจึงเอ่ยคำพูดดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า


“เก้าบทเพลงสามสัญญาณ…ในร่างเจ้ามีห้าบทเพลงสองสัญญาณแล้ว…ขึ้นมาสิ หากเจ้าสามารถขึ้นมาที่ขั้น 300 ได้ ข้าจะปลุกโลหิตวิญญาณเจ้าและเชิญเจ้าให้มาเจอข้า…”


น้ำเสียงยังคงเย็นเยียบ


หวังหลินยืนอยู่บนขั้นที่ 270 และไม่ได้ตอบเสียงเย็นเยียบนั้นเลย เขายกเท้าและเดินขึ้นอีกครั้ง พอไปถึงขั้นที่ 280 พลังโบราณของหวังหลินจึงเกิดการหลอมละลาย


เมื่อมันหลอมละลาย บทเพลงอีกหนึ่งได้เพิ่มเข้ามาสู่ห้าบทเพลง มันคือเสียงแห่งปฐพี พื้นดินสีดำกำลังส่งเสียงประกอบพิธีศพอันอ้างว้าง


ไม่รู้ว่าเสียงพิธีศพนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรแต่มันชัดเจนยิ่ง มันเป็นเพลงโศกเศร้าคร่ำครวญถึงคนตาย


เมื่อผสานกับเสียงแห่งนภา จึงคล้ายกับส่วนผสมของชีวิตและความตาย ยิ่งมีเสียงแห่งสายลม ก้อนเมฆ สายฟ้าและสายฝน จึงกลายเป็นบทเพลงอันยิ่งใหญ่!


‘เก้าบทเพลงสามสัญญาณ…ข้าก็เคยได้ยินชื่อ…ตอนนี้ปรากฏขึ้นมาหกบทเพลงและสองสัญญาณแล้ว…’ หวังหลินขบคิด เขารู้สึกว่าแก่นแท้และพลังโบราณได้หลอมละลายไป พวกมันไม่ได้หายไปแต่ผสานเข้ากับร่างกายในระดับที่ลึกล้ำยิ่งขึ้น


เขาสัมผัสเศษเสี้ยวของพลังใหม่ที่เกิดขึ้นจากการผสาน ทว่ามันเคลื่อนไหวเชื่องช้ายิ่ง บางทีคงใช้เวลาหลายปีหรืออาจหลายสิบปีกว่าจะโคจรให้ครบหนึ่งรอบ


หวังหลินยกเท้าขึ้นและต่อต้านพลังของภูเขากุ้ยต้าวไปจนเหยียบขั้นที่ 281 หวังหลินก้าวไปทีละก้าวจนมาถึงขั้นที่ 290 เขารู้สึกว่าพลังในร่างกายกำลังไหลเวียนเร็วขึ้น


ขณะเดียวกันหวังหลินรู้สึกว่าตัวตนของแก่นแท้และพลังโบราณได้หายไป พวกมันอยู่ในวิญญาณดั้งเดิมและอวัยวะภายในทุกส่วน


แก่นแท้ของเขาอยู่ในวิญญาณดั้งเดิม ส่วนพลังโบราณอยู่ในอวัยวะภายใน พวกมันคล้ายกับผสานกันและเหมือนไม่ได้ผสานกัน ทว่าก็แตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างมาก


เมื่อหวังหลินก้าวไปบนขั้นที่ 290 เสียงเพลงอีกบทปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทว่าคนภายนอกมิอาจได้ยินเสียงนี้ มีเพียงหวังหลินเท่านั้นที่ได้ยินจากร่างกาย


เสียงเพลงนี้คือเสียงเพลงแห่งร่างกาย ตอนที่เขามองขึ้นไป ขยับแขน ยกเท้า หายใจ รูขุมขนทั้งเปิดและปิด เขาสร้างเสียงนี้ขึ้นมามันคือเสียงแห่งร่างกาย!


เสียงเหล่านี้เป็นเสียงที่เบาบางมาก พวกมันได้ผสานกับเสียงภายนอก เชื่อมรอบตัวหวังหลินให้กลายเป็นเสียงเพลง


‘นี่คือเสียงเพลงที่เจ็ด…’ หวังหลินฟังอยู่ชั่วขณะและมองขึ้นไป เผยสายตามุ่งมั่นและจ้องมองบนยอดหอคอย


“ท่านบอกว่าข้าไม่สามารถข้ามผ่านขั้นที่สามร้อยไปได้…” หวังหลินยกเท้าและก้าวอีกสิบขั้นไปถึงขั้นที่สามร้อย


เมื่อเขาเหยียบบนขั้นที่สามร้อย ชายชุดดำสองคนที่มีแววตาสับสนถึงกับหายตัวไปและเกิดความเย็นเยียบขึ้นมาแทนที่ ทั้งสองเคลื่อนไหวและก้าวเท้า พุ่งเข้าหาหวังหลินดุจลำแสง


แต่ละคนเข้ามาใกล้และโยนกำปั้นเข้าใส่


กำปั้นเหล่านี้มีหมอกสีเทาและมีศีรษะขนาดยักษ์อยู่ข้างในแต่ละข้าง ศีรษะนั้นราวกับบ้าคลั่งและส่งเสียงคำรามเงียบงันพุ่งเข้าใส่หวังหลิน!


ภายในร่างหวังหลินเกิดเป็นเสียงปะทุดังกึกก้อง ราวกับเป็นเสียงเต้นของหัวใจแต่มันคือเสียงเพลงที่แปดซึ่งเกิดขึ้นจากอวัยวะภายในของหวังหลิน!


บทเพลงอวัยวะภายใน!


มันคือเสียงการขยับปอด เสียงหัวใจเต้น เสียงการสั่นสะเทือนของม้าม การบิดตัวของตับ การทำงานของไต เสียงจากภวัยวะภายในทั้งห้ารวมกันกลายเป็นเสียงเพลงนี้ขึ้นมา!


ส่งออกมาพร้อมกับเสียงจากร่างกาย ผสานกับสายลม ก้อนเมฆ สายฟ้าและสายฝน จนในที่สุดก็พัวพันกับชีวิตและความตายทำให้ทั้งแปดเพลงระเบิดออกมา!


นาทีที่แปดเพลงส่งเสียงกึกก้องเวลาเดียวกัน พลังโบราณของหวังหลินที่อยู่ในภวัยวะภายในจึงแผ่กระจายไปทั่วเลือดเนื้อ ขณะเดียวกันแก่นแท้ในวิญญาณดั้งเดิมจึงแผ่กระจายผ่านจุดตันเถียนออกมาด้วย


เมื่อพลังทั้งสองสายแผ่กระจายออกมาและรวมกันเป็นครั้งแรกในร่างหวังหลิน พวกมันจึงผสานกันอย่างยิ่งใหญ่ พลังจากการผสานกันจำนวนมากได้โคจรผ่านร่างหวังหลินด้วยความเร็วเกินจินตนาการถึง การโคจรที่น่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปีกลับสำเร็จภายในชั่วพริบตา


พลังที่ไม่ได้เป็นของเผ่าเทพหรือเผ่าโบราณจึงโคจรสำเร็จและหวังหลินร้องคำรามออกมา!


“ไปซะ!!”


………………………………………………….


ตอนที่ 2017 คำเชิญชวนจากวังหลวง!

โดย

Ink Stone_Fantasy

น้ำเสียงไม่ได้ดังและไม่สั่นสะเทือนสวรรค์ ทว่าพอมันปรากฏขึ้นมากลับมีแรงกดดันไม่ด้อยไปกว่าภูเขากุ้ยต้าวส่งเข้าหาหวังหลิน!


แรงกดดันมากพอจะสั่นคลอนทุกคนที่สัมผัส!


ต้องกล่าวว่าแรงกดดันของภูเขากุ้ยต้าวมาจากมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าว ซึ่งเป็นคนที่แข็งแกร่งทรงพลังที่สุดบนแผ่นดินเซียนดารา! ทว่าแรงกดดันที่หวังหลินส่งออกมาเทียบได้กับของมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าว!


ความหมายนี้มากพอที่จะทำให้ทุกคนขวัญผวาได้แล้ว!


เพียงแค่เขาคำราม ทั้งภูเขาจึงเริ่มสั่นเทา ก้อนดินก้อนหินร่วงลงมาราวกับภูเขากำลังพังทลาย ชายชุดเทาทั้งสองคนผสานร่างเป็นคนเดียวและโยนกำปั้นเข้าใส่เขา รอบกำปั้นผุดหมอกสีเทาเปลี่ยนเป็นศีรษะส่งเสียงร้องอย่างรุนแรงและเข้าใกล้หวังหลินจากระยะสามสิบฟุต


ศีรษะได้ถูกสายลมรุนแรงพัดผ่านไปและสูญสลายไม่เหลือชิ้นดี กำปั้นจากชายชุดเทาสองคนผสานร่างกันได้พังทลายทันที!


วินาทีนั้นร่างเขาคล้ายกับถูกพลังรุนแรงกระแทกใส่และแบ่งออกมาเป็นสองคน ทั้งสองกระอักโลหิต ท่าทีสงบนิ่งเผยความไม่เชื่อ


หลังจากกระอักโลหิตมายังกระเด็นถอยกลับไปมากกว่าหมื่นฟุตโดยไม่อาจหยุดยั้งได้


ภูเขากุ้ยต้าวสั่นสะเทือน บนยอดหอคอยมีแขนขนาดใหญ่โผล่ออกมาคล้ายกับสายลมและมีขนาดหลายพัตฟุต ราวกับภูเขาห้านิ้วสีดำกระแทกลงใส่หวังหลิน


ภูเขาห้านิ้วลูกนี้เข้าปะทะกับพลังผสานระหว่างพลังเทพและพลังโบราณของหวังหลิน


เกิดเสียงคำรามดังกึกก้องรุนแรง ภูเขาห้านิ้วสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงก่อนจะกระเด็นกลับไปและสลายไปในอากาศ ขณะเดียวกันร่างหวังหลินได้สั่นเทา พลังที่เขาผสานไปแล้วได้ถูกแบ่งกลับไปเป็นพลังเทพและพลังโบราณดังเดิม พลังที่ผสานไปแล้วเพียงแค่หยิบมือเริ่มจะโคจรรอบที่สองแต่มันช้ามากและคงต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปีกว่าจะโคจรให้สมบูรณ์อีกครั้ง


ซวนลั่วเห็นเหตุการณ์นี้และอ้าปากค้าง


ภายในหอคอย ร่างนั้นขบคิดและจากนั้นเอ่ยเสียงเย็นเยียบออกมา


“ขึ้นมา ข้าจะปลุกโลหิตวิญญาณให้เจ้า…”


หวังหลินยืนอยู่บนขั้นที่สามร้อยอย่างหน้าซีด เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ยกเท้าเพื่อก้าวไปอีกขั้น เมื่อเท้าเหยียบไปบนขั้นที่ 301 โลหิตวิญญาณในร่างกายพลันหลอมละลายและผสานเข้ากับร่างหวังหลินอย่างสมบูรณ์


หวังหลินไม่จำเป็นต้องให้มหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวช่วยทำให้โลหิตวิญญาณผสานกับร่างกายอีกแล้ว สายโลหิตที่หวังหลินสืบทอดมาค่อยๆ เผยตัวตนของมันออกมาเอง


หวังหลินยืนอยู่ตรงนั้น ขบคิดเงียบๆ และคำนับฝ่ามือไปยังยอดเขากุ้ยต้าว


“ขอบคุณมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวสำหรับการช่วยเหลือ” หวังหลินไม่ใช่คนไม่ยั้งคิด ช่องว่างระหว่างเขาและกุ้ยต้าวนั้นกว้างใหญ่มาก แม้กุ้ยต้าวจะบอกให้เขาจากไปได้หลังจากข้ามถึงขั้นที่สามร้อย หวังหลินก็ยังเฉยเมยต่อกุ้ยต้าวและกล่าวอำลา


ยิ่งไปกว่านั้นเขาสามารถผสานพลังเทพและพลังโบราณได้เพราะแรงกดดันจากกุ้ยต้าว บางทีมันอาจเป็นเรื่องบังเอิญ หรือบางทีมันอาจเป็นสิ่งที่กุ้ยต้าวรู้อยู่แล้ว


แต่ไม่ว่าจะทางไหน หวังหลินก็เข้าใจดีว่ามหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเซียนดารา ดังนั้นเขาจึงต้องแสดงความเคารพ


ผ่านไปสักพัก มหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวเอ่ยเสียงเย็นเยียบออกมาจากหอคอย “เจ้าสบายใจได้ ข้าบอกว่าหากเจ้าผ่านขั้นที่สามร้อย เจ้าถึงจะไปได้…ตอนนี้เจ้าผ่านแล้ว เจ้าก็ไปได้!”


ราวกับมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวกำลังขบคิดก่อนจะพูดประโยคนั้นขึ้นมา


หวังหลินไม่พูดอะไรอีกแต่เดินลงภูเขา พอมาถึงข้างซวนลั่วจึงเห็นระลอกคลื่นที่ซ่อนไว้รอบซวนลั่ว เห็นได้ชัดว่าหากกุ้ยต้าวผิดคำพูด ซวนลั่วพร้อมจะลงมือ


“อาจารย์…” หวังหลินพูดขึ้นเบาๆ ท่าทีของซวนลั่วทำให้รอยร้าวที่เขามีต่อเผ่าโบราณเกิดความอบอุ่นขึ้นมา


“ไปกันเถอะ” ซวนลั่วมองหวังหลินและเก็บความตกตะลึงจากแปดบทเพลงสองสัญญาณเอาไว้ เขาสะบัดแขนและทะยานออกไปไกลพร้อมหวังหลิน


จนกระทั่งหายไปลับขอบฟ้าแล้ว ร่างชายชุดเทาที่บาดเจ็บสองคนจึงกลับคืนสู่เสา พวกเขามองออกไปไกลด้วยสีหน้าซับซ้อนและหลับตาบ่มเพาะต่อไป


ผ่านไปสักพักเกิดเสียงถอนหายใจดังออกมาจากหอคอย


ร่างในสายหมอกยืนขึ้นและเดินไปข้างหน้าต่าง เขามองออกไปในท้องฟ้า สายตาคล้ายกับมองไปทิศทางของซวนลั่วและหวังหลิน


ซวนลั่วพาหวังหลินกลับมายังเมืองหลวงอาณาเขตเต๋าต่อด้วยเวลาเพียงไม่กี่วัน พวกเขากลับมาที่ภูเขาหลังอารามเต๋าและนั่งลง


ซวนลั่วไม่ได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้นที่ภูเขากุ้ยต้าวและหวังหลินก็ไม่อธิบาย เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปราวกับทุกอย่างได้หายไปดุจหมอกควัน


ช่วงเวลาหนึ่งเดือนนี้หวังหลินได้เข้าปิดด่านบ่มเพาะอยู่ในบ้านไม้ ก่อนที่เขาเดินทางไปภูเขากุ้ยต้าวหวังหลินได้ไปสถานที่หลายแห่งและดูดซับแก่นแท้จำนวนมาก พลังของแก่นแท้จึงเพิ่มขึ้นครั้งใหญ่และทำให้ระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นไปอีก


ช่วงเดือนนี้พลังแก่นแท้และพลังโบราณคล้ายกับคืนสู่ตำแหน่งเดิม แก่นแท้กลับคืนสู่ร่างแก่นแท้ของแต่ละแก่น ส่วนพลังโบราณกลับคืนสู่รูปร่าง 27 ดวงดาว


พวกมันดูเหมือนปกติ แต่เพียงแค่หวังหลินคิดคราเดียวก็สามารถทำให้ผสานกันได้อีกครั้งและระเบิดพลังได้ชั่วเวลาสั้นๆ


พลังและแรงกดดันนี้เทียบได้กับภูเขากุ้ยต้าว!


เมื่อพลังแก่นแท้และพลังโบราณเพิ่มขึ้น ระยะเวลาการผสานพลังก็จะยิ่งยาวนานมากขึ้น! จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเขาสามารถผสานพวกมันได้อย่างสมบูรณ์ หวังหลินคงมีพลังเทียบเท่ามหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าว


ตอนนี้พลังการผสานเพียงแค่หยิบมือกำลังโคจรในร่างกายอย่างเชื่องช้า ราวกับต้องใช้เวลานานมากเพื่อให้มันโคจรครบหนึ่งรอบ


ในวันนี้หวังหลินลืมตาขึ้นจากการบ่มเพาะและดวงตาเปล่งประกาย เขาสะบัดแขนปรากฏวัตถุทรงกระบอกขึ้นในมือ หลังจากขบคิดเล็กน้อยจึงเปิดมัน ข้างในมีของเหลวบรรจุแก่นแท้ไม้อันบริสุทธิ์


หวังหลินดึงออกมาหนึ่งหยดและผสานเข้ากับร่างกาย หยดของเหลวหายไป ขณะเดียวกันแก่นแท้ไม้ของหวังหลินได้เพิ่มพลังขึ้นอย่างมหาศาล


ผ่านไปสามวัน เมื่อหวังหลินผสานเข้ากับหยดของเหลวอีกหนึ่งหยด แก่นแท้ไม้จึงก้าวกระโดดมาถึงขั้นการสร้างร่างแก่นแท้อย่างรวดเร็ว


จากนั้นอีกไม่ถึงครึ่งเดือน เมื่อของเหลวทั้งหมดถูกดูดซับไป หวังหลินยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น มีภาพทับซ้อนหนึ่งปรากฏขึ้นมา ร่างแก่นแท้ห้าธาตุของหวังก้าวออกมาและยืนอยู่เบื้องหน้า


ร่างแก่นแท้ห้าธาตุยังคงเหมือนเดิมและเปล่งแสงห้าสี สีที่เป็นตัวแทนของไม้และโลหะนั้นหม่นหมองมากกว่าอีกสามสี ทว่าสีของไม้ค่อยๆ ส่องสว่างขึ้นจนกระทั่งหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน มันได้เพิ่มระดับมาเทียบเท่าวารี เพลิงและปฐพี!


ร่างแก่นแท้ห้าธาตุสั่นเทากลายเป็นสี่ร่างและหนึ่งก้อนแสง ซึ่งสี่ร่างนี้นอกจากธาตุวารี เพลิงและปฐพี มีร่างแก่นแท้อีกร่างคือธาตุไม้!


ใจกลางร่างแก่นแท้ทั้งสี่คือก้อนแสงสีทอง มันคือแก่นแท้โลหะและยังไม่ได้สร้างร่างแก่นแท้


หวังหลินลืมตามองก้อนแสงสีทองด้วยสีหน้าตั้งคำถาม ชั่วขณะต่อมาจึงเผยสายตามุ่งมั่นและสะบัดแขน ปรากฏเศษเสี้ยวสีทองขึ้นมา


เศษเสี้ยวนี้คือเศษกระบี่ที่หวังหลินได้รับมาจากจิ่วตี้บนถนนในเมืองหลวงของเผ่าเทพ เขาหลอมมันแต่ยังไม่ได้ผสานอย่างสมบูรณ์ หวังหลินกำลังจะใช้แก่นแท้โลหะที่เขาดูดซับขณะที่อยู่กับซวนลั่ว เอามารวมกับเศษกระบี่ชิ้นนี้เพื่อทำให้ร่างแก่นแท้ห้าธาตุสมบูรณ์แบบ!


เมื่อแก่นแท้โลหะสร้างร่างแก่นแท้ขึ้นมาได้ พลังของร่างแก่นแท้ห้าธาตุจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาลและมันจะช่วยกำหนดเส้นทางการฝึกฝนในอนาคตของเขาได้อย่างถูกต้อง


‘ร่างแก่นแท้ห้าธาตุกำลังจะสมบูรณ์ หากระดับบ่มเพาะของข้าเพิ่มขึ้น แสดงว่าการคาดเดาของข้าถูกต้อง!’ หวังหลินพ่นควันสีทองออกมาโดยไม่ลังเล มันล้อมรอบเศษกระบี่เอาไว้


วันเวลาผ่านไปในพริบตาอีกหนึ่งเดือน…


ผ่านมาได้สองเดือนครึ่งแล้วตั้งแต่ที่หวังหลินและซวนลั่วกลับมา หวังหลินพักอยู่ในบ้านไม้มาตลอดและไม่ออกมาเลย ซวนลั่วมาหาสองครั้งและยืนสังเกตอยู่นอกบ้าน เขารู้ว่าหวังหลินกำลังควบแน่นแก่นแท้และไม่ได้อยู่ในอัตราย ดังนั้นจึงจากไป


ยามเช้าของวันนี้เมื่อแสงอาทิตย์แรกสาดส่องกระทบผืนดิน ขับไล่ความมืดมิด ส่งความอบอุ่นไปทั่วใบไม้ใบหญ้า หินหยกก้อนหนึ่งลอยออกมาจากอารามเต๋า หมุนวนรอบบ้านไม้อยู่สองสามครั้งก่อนจะหล่นลงบนหญ้านอกบ้าน


ทว่าครู่ต่อมาหินหยกก็สั่นไหวและลอยเข้าไปในบ้าน หวังหลินซึ่งอยู่ในบ้านไม้กำลังจับเอาไว้


เขาส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปในหินหยก มันคือหินหยกข้อความ ไม่มีอะไรข้างในมากนัก เป็นแค่การเชิญชวน


“จักรพรรดิเต๋าจะมีพิธีแต่งตั้งจักรพรรดินีภายในสิบวัน…” หวังหลินมีสีหน้าเช่นเดิม หินหยกก้อนนี้ส่งออกมาจากจักรพรรดิเต๋าเพื่อเชิญชวนหวังหลินเข้าร่วมพิธี


‘ในเมื่อหินหยกมาอยู่ที่นี่ได้ เช่นนั้นมันต้องได้รับการยอมรับจากอาจารย์ไปด้วย พิธีครั้งนี้ต้องสำคัญยิ่งต่ออาณาเขตเต๋า’ หวังหลินขบคิด


‘จักรพรรดิเต๋าเลือกนางสนมมาหลายร้อยปี ในที่สุดตอนนี้ก็เลือกได้แล้วและจะแต่งตั้งนางเป็นจักรพรรดินี…ข้าควรไปดีหรือไม่…’ หวังหลินมาถึงช่วงวิกฤติของการผสานแก่นแท้โลหะ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการไปพิธีแต่งตั้งจักรพรรดินีอะไรเช่นนี้


……………………………………………………


ตอนที่ 2018 หนึ่งดัชนีของบรรพชนโบราณ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หวังหลินวางหินหยกเชิญชวนเอาไว้และไม่สนใจอีก เพราะหากเทียบพิธีแต่งตั้งจักรพรรดินีของจักรพรรดิเต๋าแล้ว การบ่มเพาะของเขาสำคัญกว่า


‘ร่างแก่นแท้โลหะจะสามารถสร้างขึ้นมาได้ในอีกไม่กี่วัน เมื่อร่างแก่นแท้ห้าธาตุสมบูรณ์ ข้าจะสามารถยืนยันได้ว่าสิ่งที่ข้าคาดไว้นั้นถูกต้องหรือไม่’ หวังหลินเผยความกังวล หากร่างแก่นแท้ห้าธาตุสมบูรณ์แล้วเขายังอยู่ในระดับวิบากดับสูญระดับปลาย นั่นแปลว่าสิ่งที่คาดไว้เป็นเรื่องผิด


เมื่อล้มเหลว หวังหลินคงต้องละทิ้งการสร้างร่างแก่นแท้ส่วนอื่นและมาเน้นที่การทำความรู้แจ้งแก่นแท้นามธรรมอย่างที่สี่ ต่อจากแก่นแท้ชีวิตและความตาย เวรกรรมและจริงเท็จ


ทว่าแก่นแท้นามธรรมนั้นพร่าเลือนอย่างยิ่งและพึ่งพาโอกาสและความรู้แจ้งในเชิงลึก บางทีเขาอาจจะได้มันในเวลาไม่กี่ปีหรืออาจไม่เจอเบาะแสอะไรเลยไปหลายพันปี


ซึ่งทำให้หวังหลินมองแก่นแท้โลหะด้วยความกังวลปนคาดหวัง


ผ่านไปสักพักหวังหลินจึงถอนหายใจและถอนสายตาออกมา เขาทำทุกอย่างที่ทำได้ไปแล้ว ไม่ว่าระดับบ่มเพาะจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ เขาจะได้รับคำตอบในอีกไม่กี่วัน


หวังหลินลืมตาขึ้นเล็กน้อย หลังจากขบคิดจึงสะบัดแขนให้บ้านไม้มีแสงเจิดจ้า ค่ายกลหนึ่งก่อเกิดขึ้นมา มันทำให้ไม่มีเสียง มองจากภายนอกไม่มีแสงเล็ดลอดออกไป


หวังหลินก้าวเข้าไปในค่ายกลและหายตัวไป


พื้นดินด้านล่างค่ายกลมีถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งลึกลงไปแสนฟุตอยู่ใต้บ้านไม้ ถ้ำแห่งนี้เกิดขึ้นได้ไม่นาน หวังหลินสร้างเอาไว้ในวันที่เขาปิดด่านบ่มเพาะ


ถ้ำขนาดหลายพันฟุตแห่งนี้ ใจกลางมีดวงอาทิตย์สีขาวดำขนาดยักษ์ลอยอยู่!


แม้จะเป็นเพียงแค่โครงร่าง มันคือดวงตะวันมหาชั้นฟ้าของหวังหลินจริงๆ!


ด้านล่างดวงตะวันมหาชั้นฟ้า มีศีรษะสูงขนาดพันฟุต มันไม่มีดวงตาหรือใบหูและมีรอยแตกร้าวลึกอยู่ด้วย นี่คือศีรษะบรรพชนเทพ!


หวังหลินวางเขตอาคมจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้รอบถ้ำ ด้วยระดับบ่มเพาะของเขาจึงทำให้เขตอาคมทรงพลังยิ่ง แม้แต่ผู้สูงส่งชั้นเทวะก็ไม่สามารถสัมผัสพวกมันได้


แม้แต่มหาชั้นฟ้ายังตรวจสอบได้ยากเว้นแต่จะค้นหาอย่างละเอียด ซึ่งเป็นแบบนี้ได้เพราะเขตอาคมเหล่านี้มีพลังเทพและพลังโบราณที่ผสานกันของหวังหลิน! เขาแบ่งมันออกมาเล็กน้อยและผสานเข้ากับเขตอาคมเพื่อทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ทรงพลัง


หวังหลินปรากฏตัวอยู่ข้างศีรษะบรรพชนเทพ เขาสร้างมิติแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อหล่อเลี้ยงตะวันมหาชั้นฟ้า จากการวิเคราะห์แล้วเมื่อดวงตะวันมหาชั้นฟ้าผสานกับศีรษะบรรพชนเทพได้อย่างสมบูรณ์ ดวงตะวันมหาชั้นฟ้าของหวังหลินก็จะก่อเกิดเป็นรูปร่างจริง


หวังหลินนั่งอยู่เบื้องหน้าศีรษะบรรพชนเทพและพ่นก้อนควันสีเขียวออกมาหนึ่งกำมือ ควันสีเขียวเข้าไปในศีรษะทำให้ศีรษะสั่นเทา มันปลดปล่อยแสงสีทองจำนวนมากออกมาให้ดวงตะวันด้านบนดูดซับ จากนั้นเปลี่ยนกลายเป็นแสงสีขาวและดำเข้าหล่อเลี้ยงดวงตะวัน


ช่วงระยะเวลาสามเดือนนั้นดวงตะวันมหาชั้นฟ้าของหวังหลินดูดซับพลังงานจากศีรษะบรรพชนเทพอย่างต่อเนื่อง แต่เขาจะหลอมมันได้ง่ายดายได้อย่างไร? การดูดซับในช่วงเวลาสั้นๆ นับว่าเป็นเรื่องยากอยู่แล้ว


หลังจากขบคิดเล็กน้อย หวังหลินลืมตาขึ้นมาและยกแขนขวา ยื่นมือออกไปในความว่างเปล่า แสงสีทองเข้มแผ่กระจายออกมาจากฝ่ามือ มันคือดวงวิญญาณอ่อนแอที่ยังคงหลับตา แม้หวังหลินจะดูสงบนิ่งแต่แววตาหรี่เล็กและเคร่งเครียด


วิญญาณอ่อนแอดวงนี้คือจักรพรรดิเทพ เหลียนต้าวเจิน!!


จักรพรรดิเทพถูกหวังหลินจับเอาไว้และตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่ เขาสั่นเทาในมือหวังหลินราวกับต้องการลืมตาแต่ไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่ ทว่าร่างกายเปล่งพลังปราณสวรรค์อันทรงพลังจนทำให้ทุกคนรับรู้ว่านี่คือแรงกดดันของมหาชั้นฟ้า!


แม้แรงกดดันนี้เป็นของมหาชั้นฟ้า พลังปราณสวรรค์กลับไม่บริสุทธิ์ มันปั่นป่วนและมีสัมผัสแห่งความพ่ายแพ้รั่วไหลออกมา ราวกับวิญญาณกำลังทนทุกข์กับความเจ็บปวดมหาศาล


“คำสาปบรรพชนทรงพลังอะไรขนาดนี้…” หวังหลินพึมพำกับตัวเอง เขาวางผนึกใส่วิญญาณของจักรพรรดิเทพอย่างต่อเนื่อง ด้วยระดับบ่มเพาะและพลังของจักรพรรดิเทพก็ยังไม่สามารถขับไล่คำสาปบรรพชนออกไปได้ กระนั้นหวังหลินยังพอประคองไม่ให้ดวงวิญญาณสูญสลายได้


‘เดิมทีข้าตั้งใจจะใช้แรงกดดันจากวิญญาณเพื่อช่วยผสานพลังเทพและพลังโบราณของข้า แต่ดูเหมือนตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว แต่นี่คือวิญญาณของจักรพรรดิเทพ มันยังเป็นประโยชน์สำหรับข้า’ หวังหลินขบคิดพลางมองดวงตะวันมหาชั้นฟ้าของตัวเอง


‘น่าเสียดาย คำสาปบรรพชนรุนแรงเกินไป…หากข้าสามารถขับไล่คำสาปออกไปได้ ข้าก็จะสามารถผสานวิญญาณของเขาเข้าไปในดวงตะวันมหาชั้นฟ้าและใช้เป็นเครื่องชี้ทางเพื่อกลืนกินศีรษะบรรพชนเทพ…’ หวังหลินจับคางและครุ่นคิด จากนั้นดวงตาส่องสว่าง แขนซ้ายสร้างผนึก ส่วนแขนขวาชี้ไปที่วิญญาณ


วิญญาณจักรพรรดิเทพเกิดอาการสั่นเทา พลันอ้าปากและส่งเสียงร้องเงียบงัน เขตอาคมรอบถ้ำเริ่มกะพริบวูบวาบ


หวังหลินมีสีหน้าเคร่งเครียดพลางใช้แขนซ้ายชี้ใส่วิญญาณจักรพรรดิเทพ ผ่านไปสักพักควันสีเทาจึงรวมตัวกันและถูกหวังหลินดึงออกมา


พอแขนซ้ายยกขึ้นสุดแขน ควันสีเทารอบนิ้วมือพลันเปลี่ยนกลายเป็นร่างเงาคล้ายภูติผีปิศาจ มันอ้าปากและพุ่งเข้าหานิ้วของหวังหลิน


ทว่าขณะที่กำลังจะกลืนกินนิ้วหวังหลิน หวังหลินมีสายตาหรี่เล็ก รูม่านตาเปลี่ยนกลายเป็นสีเงินส่องกระทบภูติผีตนนี้ทำให้มันสั่นเทาราวกับหวาดกลัว จากนั้นหดขนาดลงไปครึ่งส่วนจากของเดิม หวังหลินคว้าเอาไว้และบีบอย่างรุนแรง


ควันสีเทาสูญสลายไป


หน้าผากหวังหลินชุ่มไปด้วยเหงื่อ แสงสีเงินในดวงตาหายไป เขาเผยรอยยิ้มขมขื่น


‘พลังผสานของพลังโบราณและพลังเทพสามารถลบคำสาปบรรพชนได้…แต่ด้วยระดับบ่มเพาะของข้าจึงไม่สามารถประคองได้นานและไม่สามารถขับไล่คำสาปได้หมดในคราเดียว…’ หวังหลินมองวิญญาณจักรพรรดิเทพ เศษเสี้ยวคำสาปบรรพชนที่เขาลบล้างไปเมื่อครู่ฟื้นคืนกลับมาแล้ว


หวังหลินถอนหายใจ สะบัดแขนขวาและเก็บวิญญาณจักรพรรดิเทพไป เขานั่งขบคิดอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน สุดท้ายก็ถอนหายใจอีกรอบ


‘ดูเหมือนข้าต้องรอให้ระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นจนสามารถประคองพลังผสานได้นานขึ้นเพื่อขับไล่คำสาปบรรพชนและผสานเข้ากับดวงตะวันมหาชั้นฟ้าของข้า’


‘คำสาปบรรพชนนี้แปลกประหลาดมากและจักรพรรดิเทพก็เป็นคนพิเศษ ดังนั้นการขอให้อาจารย์ซวนลั่วช่วยเหลือคงไม่สะดวกนัก’ หวังหลินมีความลับของตัวเอง เขามีนิสัยที่จะไม่บอกให้ใครรู้เว้นแต่จะเป็นเรื่องจำเป็นจริงๆ


หวังหลินเก็บวิญญาณไว้และนำหินหยกออกมา หินหยกก้อนนี้องค์ชายจี้ตูมอบให้และมีพลังอำนาจของหนึ่งดัชนีจากบรรพชนเทพ


ตอนที่หวังหลินได้มา เขาไม่สามารถศึกษามันได้เนื่องจากมีม่านพลังขัดขวางไม่ให้ดูภายใน เขาสามารถใช้มันเป็นวิชาที่ใช้ครั้งเดียวได้เท่านั้น


แต่ตอนนี้หวังหลินมีโลหิตวิญญาณอยู่ในร่างกายและได้เศษเสี้ยวความทรงจำบางส่วนมา เขารู้สึกถึงความทรงจำเหล่านี้แต่ไม่สามารถมองดูได้ เห็นได้ชัดว่าหวังหลินไม่มีโลหิตวิญญาณมากพอ


พอถือหินหยกและมองเข้าไป มีภาพร่างเลือนลางอยู่ภายใน ร่างนี้กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในโลกที่เลือนลางเช่นกัน พอร่างนั้นสั่นสะเทือน โลกก็แตกสลายและหายไป


มันเป็นภาพมายาที่เรียบง่าย แต่เพราะมันเลือนลางจึงเข้าใจได้ยากมาก


หวังหลินมองดูหลายครั้งและมันเป็นเช่นนี้เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกันแต่เขาไม่ได้ท้อแท้ หวังหลินหลับตาอยู่นาน พอลืมตาขึ้นมามีแสงสีเงินปรากฏขึ้นในดวงตาอีกครั้ง!


แสงสีเงินครอบคลุมทั้งดวงตา หวังหลินมองเข้าไปที่หินหยกอีกครั้ง ร่างพร่าเลือนปรากฏขึ้นอีกครา


ทว่าเพราะจิตใจหวังหลินมีความทรงจำบางส่วน ซึ่งความทรงจำบางส่วนเหล่านี้ได้เชื่อมเข้าด้วยกันและปรากฏขึ้นในใจหวังหลินตอนที่เห็นร่างพร่าเลือนตรงหน้า


มันเป็นชายสวมชุดคลุมสีเทา เรือนผมยาว รูปร่างหน้าตาเหมือนกับรูปปั้นในเมืองหลวงอาณาเขตเต๋า เขาคือบรรพชนโบราณ!


แขนซ้ายถูกซ่อนไว้ด้านหลังและลอยตัวอยู่ในท้องฟ้า เขากำลังมองดูท้องฟ้าด้วยสายตาดูถูกดูแคลน ขณะนั้นมีจุดสีดำหลายกลุ่มเข้ามาใกล้ พวกมันคือกลุ่มสัตว์ดุร้าย


เหล่าสัตว์กลุ่มนี้มีศีรษะเป็นมนุษย์แต่ร่างกายเป็นสิงโต ลำตัวด้านหน้ามีขาหน้าสองข้าง ส่วนขาหลังและหางคล้ายกับเปลี่ยนเป็นหางปลา


ขณะที่พวกมันทะยานเข้ามาได้ส่งเสียงคำรามแหลมเสียดแก้วหู ตัวที่อยู่ด้านหน้าสุดเปล่งกลิ่นอายทรงพลังใกล้เคียงกับมหาชั้นฟ้า


ทว่าชายชุดเทายังคงมองดูพวกมันด้วยความดูถูก เขายกแขนขึ้นมาและชี้ออกไป


เพียงเท่านั้นโลกก็สั่นสะท้าน ทุกอย่างภายในระยะแสนลี้รอบเหล่าสัตว์คล้ายกับถูกแบ่งออกไปอีกโลกหนึ่ง จากนั้นด้านบนและด้านล่างได้ถูกบีบรัดเข้าด้วยกัน!


เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง เหล่าอสูรทั้งหมดแตกสลาย


ปัง!


หินหยกในมือหวังหลินเกิดรอยแตกร้าวและแบ่งออกเป็นสองส่วน ทั้งสองตกลงสู่พื้นและเปลี่ยนกลายเป็นฝุ่นผง


หวังหลินกลับมามีสติ แสงสีเงินในแววตาหายไปแต่ดวงตาเป็นประกาย


‘เป็นดัชนีจากบรรพชนโบราณที่ทรงพลังอะไรเช่นนี้…’


……………………………………………………………


ตอนที่ 2019 สายลมพัดผ่านอาณาเขตเต๋า

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ดัชนีนี้ไม่ใช่วิชา แต่เป็นการสื่อสารกับโลกและปรับเปลี่ยนโลก ทั้งยังไม่ได้โจมตีสัตว์พวกนั้นโดยตรงแต่เป็นโลกที่โจมตีสัตว์จากภายใน”


“มันเปิดโลกและใช้แรงกดดันของดัชนีเพื่อทำให้โลกบีบตัวและพังทลาย พวกสัตว์จึงได้รับผลกระทบจากการพังทลาย”


ทว่าดัชนีของหวังหลินเชื่องช้ายิ่ง ราวกับมีม่านที่มองไม่เห็นอยู่หลายชั้นเบื้องหน้า ป้องกันไม่ให้เขาชี้ออกไปได้เหมือนบรรพชนโบราณ


ชั่วขณะต่อมาหวังหลินจึงถอนดัชนีและไม่พยายามอีก เขาก้มศีรษะและขบคิด


‘จากวิชานี้ ข้ามองเห็นว่าความแข็งแกร่งของบรรพชนโบราณบรรลุถึงขอบเขตที่แตกต่าง…แต่ด้วยเศษเสี้ยวความทรงจำและเคล็ดเร่งความเร็ว ข้ายังพอคัดลอกได้’


หวังหลินเงยศีรษะและมองเศษเสี้ยวหินหยกพลางหลับตา


ภายในร่างกายหวังหลินมีวิญญาณดั้งเดิมซึ่งอยู่ในสภาพย่ำแย่หลายดวงและเขาได้รับมาจากการเข่นฆ่าในเมืองหลวงของฝั่งเทพ หวังหลินหลอมพวกมันอย่างช้าๆ และตอนนี้เขาก็ได้มากพอจนสร้างเส้นชีพเซียนได้อีกสาย


‘ข้ามีเส้นชีพจรเซียนในร่างอยู่ห้าสาย ดังนั้นเพียงด้วยกระบวนท่าเดียวข้าสามารถสร้างภาพติดตาได้ถึง 99 ร่าง ช่างน่าสงสัยแล้ว่าเมื่อข้าสร้างสายที่หกขึ้นมาได้จะเกิดอะไรขึ้น’ หวังหลินรีบเปิดใช้เคล็ดเร่งความเร็วเพื่อควบแน่นเส้นชีพจรสายที่หก ไม่นานนักเวลาเจ็ดวันก็ได้ผ่านไป


เหลือเวลาอีกเพียงสามวันจนกว่าจะถึงพิธีอันยิ่งใหญ่ที่จักรพรรดิจะแต่งตั้งจักรพรรดินี


ทั่วทั้งเมืองหลวงอาณาเขตเต๋ากลายเป็นงานเทศกาลและมีสิ่งของตกแต่งไว้อย่างสวยงาม โดยเฉพาะยามค่ำคืนมีแสงไฟหลากสีมองเห็นไกลสุดสายตา


แม้แต่ท้องฟ้าในเมืองหลวงยังแต่งแต้มไปด้วยแสงหลากสี ทำให้ผู้คนรู้สึกอัศจรรย์ใจและมีบรรยากาศแห่งความสุข


จักรพรรดิเต๋าให้ความสำคัญกับพิธีแต่งตั้งนี้อย่างมาก แม้แต่ตระกูลราชวงศ์เองก็ให้ความสำคัญอย่างยิ่งเช่นกัน เพราะจักรพรรดิเต๋ากำลังแต่งตั้งจักรพรรดินี เหล่าผู้คนทรงพลังทั้งหมดของอาณาเขตเต๋าจึงรวมตัวกัน รวมถึงคนจากแคว้นแห่งอื่นก็มาด้วย พวกเขามาเพื่อรับชมพิธีอันยิ่งใหญ่นี้ด้วยตาตัวเอง!


ผู้ส่งสาส์นจากอาณาเขตจวี่และอาณาเขตฉีได้เข้าร่วมการเฉลิมฉลองด้วย


อาณาเขตฉีเตรียมของขวัญจำนวนมาก ผู้นำคือองค์ชายจี้ตู ตอนนั้นเขาเป็นคนพาทูตอาณาเขตเต๋าให้เลือกซ่งจื่อด้วยตัวเอง การที่เขามาในครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ


จักรพรรดินีแซ่ซ่งและเป็นลูกหลานห่างๆ ของมหาชั้นฟ้าอาณาเขตฉี ดังนั้นเขาจึงให้ผู้ส่งสาส์นมามอบของขวัญด้วย


ผู้คนมากหน้าหลายตามาที่เมืองหลวงอาณาเขตเต๋าทำให้ดูมีชีวิตชีวา ความปลอดภัยของเมืองหลวงเพิ่มขึ้นเพื่อรับประกันว่าจะไม่เกิดเหตุอะไรระหว่างงานพิธี


เมืองหลวงอาณาเขตเต๋าโดยเฉพาะในวังได้ถูกคุ้มกันอย่างเข้มงวด ผู้คนทรงพลังส่วนใหญ่ของอาณาเขตเต๋ามาถึงกันเกือบหมดแล้ว


เหล่าราชาและผู้มีสายโลหิตราชวงศ์ได้อยู่รวมกันที่นี่ ทำให้เมืองหลวงอาณาเขตเต๋ามีชีวิตชีวายิ่งขานรับต่อพิธีอันยิ่งใหญ่


นี่ถือเป็นพิธีที่สำคัญในเผ่าโบราณ หนึ่งในสามจักรพรรดิโบราณกำลังแต่งตั้งจักรพรดินี นับเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในเผ่าโบราณซึ่งยึดถือพลังอำนาจแห่งราชวงศ์ไว้ลำดับสูงสุด แทบทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้แม้แต่ภูเขากุ้ยต้าวยังส่งของขวัญมาให้ จักรพรรดิอาณาเขตเต๋าได้กลายเป็นจุดรวมความสนใจของทุกคนในช่วงเวลาเช่นนี้


เพียงเวลาที่ผ่านมาไม่กี่วัน เนื่องจากมีคนมากเกินไป อาณาเขตเต๋าจึงนำสมบัติอันทรงพลังออกมาสร้างเป็นแท่นขนาดใหญ่จำนวน 99 แท่นกระจายออกไปรอบเมืองลอยฟ้า


ผู้คนทรงพลังต่างก็รีบสร้างบ้านบนแท่นเหล่านี้และเป็นวิธีเดียวในการรองรับทุกคนที่กำลังเข้ามา


หวังหลินจมดิ่งไปในการบ่มเพาะและไม่สนใจเรื่องราวทั้งหมด ในคืนของวันที่สามก่อนพิธีใหญ่ ทั่วทั้งเมืองหลวงอาณาเขตเต๋าส่องประกายเจิดจ้า เสียงผู้คนดูมีชีวิตชีวาและแท่นทั้ง 99 แห่งก็เช่นเดียวกัน


เพราะมีคนมากมายจากทั้งสามอาณาเขตมาถึงกันแล้ว จึงเกิดการประมูลขึ้นหลายแห่งเพื่อรอพิธีใหญ่ เหล่าผู้คนจากทั้งสามอาณาเขตจึงเริ่มการแลกเปลี่ยนกันเอง


บรรยากาศแห่งความสุขเต็มไปทั่วราชวัง บนยอดสูงสุดของวังมีจักรพรรดิเต๋าเอามือไพล่หลังพลางมองเมืองที่มีสีสันและประดับรอยยิ้มอยู่บนมุมปาก


จักรพรรดิเต๋าเอ่ยขึ้น “ในอนาคต ข้าจะทำให้เมืองหลวงอาณาเขตเต๋าเป็นแบบนี้ทุกวันและกลายเป็นศูนย์กลางของทั้งเผ่าโบราณ!”


“ใต้ฝ่าพระบาทเป็นคนที่ยอดเยี่ยม จะต้องมีวันที่ท่านประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน! เรายินยอมรับใช้ท่านเพื่อให้วันนั้นมาถึง!” ภายในวังมีคนเจ็ดคนกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นและเต็มไปด้วยความตื่นเต้น


“การเตรียมการเป็นอย่างไรบ้าง?” จักรพรรดิเต๋ายิ้มออกมา


“ทูตอาณาเขตฉีและอาณาเขตจวี่มาถึงแล้วและจัดแจงที่พักเรียบร้อย ผู้ส่งสาส์นของมหาชั้นฟ้าทั้งสองคนก็มาถึงแล้วเช่นกัน ท่านผู้ส่งสาส์นที่เป็นคนนำของขวัญจากภูเขากุ้ยต้าว ผู้น้อยได้จัดแจงที่พักอยู่ในเมืองหลวง” หนึ่งในข้ารับใช้รีบพูด


คนที่สองพูดขึ้นต่อ “ข้าน้อยได้จัดแจงที่สำหรับผู้คนของอาณาเขตเราและผู้คนทรงพลังอีกสองอาณาเขตให้กระจายกันไปทั่วแท่นทั้ง 99 แห่ง แม้จะมีคนจำนวนมากแต่ก็มีพื้นที่มากพอ”


“ผู้น้อยได้ดูแลแผนงานพิธีเพื่อให้เป็นไปอย่างสำเร็จลุล่วง โปรดสบายใจได้ ใต้ฝ่าพระบาท”


“ด้านการป้องกัน กองทัพที่หนึ่งถึงกองที่เจ็ดจะคุ้มกันงานพิธีเพื่อให้ไม่เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น!”


“ราชครูส่งข้อความออกมาว่าเขาจะมางานพิธีด้วยตัวเอง”


“จักรพรรดินีซ่งเป็นเหมือนปกติและยังไม่ออกมา นางดูเหมือนพยายามนึกอะไรบางอย่างแต่ก็จบลงด้วยความเจ็บปวดและจำอะไรไม่ได้”


“มหาชั้นฟ้าไม่ได้บอกอะไร ผู้น้อยไม่รู้ว่าเขาจะมางานพิธีหรือไม่”


ทั้งเจ็ดคนพูดคนละประโยคและจากนั้นก้มศีรษะ พวกเขารอคอยคำสั่งของผู้มีตำแหน่งสูงสุดตรงหน้า


“ตามกฎแล้ว งานพิธีจะดำเนินไป 99 วัน นอกจากการถวายต่อบรรพชนโบราณในวันแรก ข้าจะไม่เข้าร่วมวันที่เหลือ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องรับผิดชอบ!” จักรพรรดิเต๋าออกคำสั่งและทั้งเจ็ดคนรับทราบทันที


“งานพิธีจะเริ่มในอีกสามวัน จักรพรรดิเต๋าทุกรุ่นจะมีงานเลี้ยงในคืนก่อนพิธีเพื่อให้ประชาชนอาณาเขตเต๋าและผู้ส่งสาส์นจากอีกสองอาณาเขตได้เห็นจักรพรรดินี…”


“พวกเจ้าจัดการเรื่องนี้ไว้อย่างไร?”


หนึ่งในเจ็ดคนนั้นพูดอย่างเคารพ “ทุกอย่างจัดแจ้งไว้เรียบร้อยแล้ว”


“เยี่ยม!” จักรพรรดิเต๋าเผยรอยยิ้มแฝงความคาดหวัง เขาสะบัดแขนเสื้อและหายไปจากวัง


‘การแต่งงานกับนางและยกสถานะของนางขึ้นถือเป็นรางวัลที่ดีที่สุดสำหรับนางไปด้วย ราชครู ข้าคาดหวังในผลการทำนายของท่านไว้มาก…’


เวลานี้ด้านห้องอันเงียบสงัดภายในวัง มีสตรีสวมเสื้อคลุมลายหงส์ นางไม่ได้สวยงามไร้ที่ติแต่กลับมีบรรยากาศที่มิอาจอธิบายออกมาได้ นางมองกระจกเบื้องหน้า สายตาเต็มไปด้วยความสับสน


‘ข้าจำอะไรไม่ได้เลย…ทุกอย่างในความฝันล้วนพร่าเลือนหลังจากตื่นขึ้นมา…ข้าจำไม่ได้ว่านางหน้าตาเช่นไรและข้าก็จำหน้าตาของชายคนนั้นไม่ได้ ข้าจำได้แต่เพียงคำพูดของเขา…’ นางหลับตาลง คำพูดสองประโยคดังขึ้นในใจ


‘ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปสังหารพวกมัน!’


‘แม้สวรรค์อยากให้เจ้าตาย ข้าก็จะพาเจ้ากลับมา!’


หยาดน้ำตาของนางไหลลงเป็นสายลงสู่แก้มและเข้าเสื้อผ้า ทำให้เสื้อผ้าเปียกชื้น


‘ทำไมข้าถึงหลั่งน้ำตา…เขาเป็นใคร…ข้าเป็นใคร…ข้าคือซ่งจื่อใช่หรือไม่…ข้าคือซ่งจื่อไม่ใช่หรือ…’ นางลืมตาและกระทั่งเกิดความสับสน


หวังหลินไม่รู้เรื่องเหล่านี้และไม่อาจสัมผัสได้ แม้ระดับบ่มเพาะของเขาจะสูงเสียดฟ้า ก็ยังไม่เห็นน้ำตาหรือสัมผัสกลิ่นอายของนางได้


แม้เขาจะเห็นรูปร่างหน้าตาของนาง หวังหลินก็อาจไม่เห็นว่านางเป็นใคร…เป็นเพราะมีสายหมอกปกคลุมทุกอย่างเกี่ยวกับเศษเสี้ยววิญญาณ และหลังจากนางและซ่งจื่อผสานวิญญาณกัน หมอกนี้ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นไปอีก


หวังหลินไม่รู้ว่าเศษวิญญาณของหวานเอ๋อร์ที่เขากำลังตามหาอยู่ใกล้ตัว…ใกล้ถึงขนาดนี้


นางเองก็ไม่รู้ว่าคนที่นางกำลังสับสนอยู่กำลังใช้ลมหายใจเดียวกัน


ในยามเช้าก่อนวันพิธี หวังหลินลืมตาขึ้นในถ้ำใต้ดิน แววตาเป็นประกายความสงสัยแม้จะมีเส้นชีพจรสายที่หกปรากฏขึ้นมาในร่าง


ต้นตอของความสงสัยนี้คือเศษเสี้ยวความไม่สบายใจที่ปรากฏขึ้นในใจโดยไม่รู้เหตุผล ความรู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกสงสัย


หลังจากขบคิดเงียบๆ หวังหลินลุกขึ้นยืน ก้าวเดินออกจากถ้ำและปรากฏตัวในบ้านไม้ ร่างมนุษย์ปรากฏขึ้นในแก่นแท้โลหะและเริ่มก่อเกิดเป็นรูปร่าง


‘นานกว่าที่ข้าคิด…’ หวังหลินนั่งลงมองแก่นแท้โลหะ ระงับอาการตื่นเต้นในใจเอาไว้ พอตะวันตกดินหวังหลินจึงมองขึ้นไปและอ้าปากกลืนแก่นแท้ห้าธาตุกลับเข้าไปในร่างกาย จากนั้นลุกขึ้นผลักประตูเปิดออก


ยามตะวันตกดิน ซวนลั่วยืนอยู่ด้านนอกและยิ้มให้หวังหลิน


“เจ้าปิดด่านบ่มเพาะไปสามเดือน ถึงจะไม่เข้าร่วมพิธีในวันพรุ่งนี้แต่ต้องไปงานเลี้ยงกับข้า”


“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบสถานที่ที่มีผู้คนมากมาย แค่ไปนั่งอยู่สักพักแล้วค่อยกลับ”


หวังหลินลังเลเล็กน้อย จริงๆเขาไม่ต้องการไปงานเลี้ยง แต่ในเมื่ออาจารย์ขอ หวังหลินจึงพยักหน้า


“ของขวัญชิ้นนี้ให้เย่ต้าว ถือว่าเป็นของขวัญการแต่งงานของข้าให้เขา” ซวนลั่วยิ้มและยื่นกล่องของขวัญให้หวังหลิน


หลังจากหวังหลินรับมา เขาคำนับฝ่ามือให้ซวนลั่วโดยไม่ได้มองดู จากนั้นทะยานขึ้นสู่อากาศและมุ่งตรงเข้าสู่วังหลวง


‘หลังจากมอบของขวัญชิ้นนี้ให้ ข้าจะจากไปและบ่มเพาะต่อ แก่นแท้โลหะของข้ากำลังจะก่อเกิดร่างแก่นแท้ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องนี้แล้ว’ หวังหลินคิดขึ้นในใจ แต่วินาทีนี้เขารู้สึกถึงความไม่สบายใจอีกครั้ง


หวังหลินขมวดคิ้วและมองวังหลวงที่อยู่ห่างออกไป


……………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)