Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 2012-2013
ตอนที่ 2012 ก้าวขึ้นภูเขา!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ซวนลั่วยืนอย่างสงบนิ่งแต่ก็เริ่มต่อสู้กับความคิดใจใจ เขารู้ว่ามหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวกำลังไม่พอใจและปล่อยให้เขารออยู่ข้างนอก
ทั้งยังรู้ด้วยว่าต้นเหตุแห่งความไม่พอใจนี้คือศิษย์ของเขา ซึ่งมีระดับบ่มเพาะจากเผ่าเทพและแก่นแท้!
มหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวเป็นคนที่ยึดมั่นต่อสิ่งดั้งเดิม เขาห่วงใยเรื่องสายโลหิตของบรรพชนโบราณ ห่วงใยเรื่องจักรพรรดิโบราณในแต่ละรุ่น!
แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยอมให้คนที่มีโลหิตวิญญาณจะมีกลิ่นอายของเผ่าเทพเจือปนด้วย
หวังหลินร่างสั่นเทา ช่วงระยะเวลาสามวันเสียงกระดิ่งดังขึ้นในจิตใจอย่างต่อเนื่อง พวกมันข่มระดับบ่มเพาะของเขาและพยายามลบล้างมันออกไป
‘ไม่ว่าจะเป็นพลังฝั่งของเทพหรือฝั่งโบราณ ทั้งคู่เป็นของข้าและได้รับมาอย่างยากลำบาก ข้าไม่ยอมเสียระดับบ่มเพาะฝั่งเทพไปหรอก!’ หวังหลินมีแววตาแดงฉาน ความมุ่งมั่นเพิ่มขึ้นและพยายามต่อสู้กับเสียงกระดิ่งต่อไป!
พลังเทพในร่างพยายามโจมตีอย่างต่อเนื่องเพื่อสลายเสียงกระดิ่งในใจ
ขณะที่ร่างหวังหลินสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ซวนลั่วมีแววตาเป็นประกาย เขาหันกลับมาและยกแขนขึ้นช่วยหวังหลินต่อต้านกระดิ่ง เพราะหวังหลินคือศิษย์ของเขา!
แต่ขณะที่ซวนลั่วหันกลับมา ประตูหอคอยได้เปิดออกและมีชายหนุ่มก้าวออกมา
“มหาชั้นฟ้าซวนลั่ว บรรพชนกุ้ยต้าวเรียกหาท่าน”
ซวนลั่วหยุดชะงักและขบคิดอยู่สักพัก มือขวายังคงชี้ไปที่หวังหลิน เขาหันกลับมายังหอคอย ชายหนุ่มมองหวังหลินอย่างสนใจก่อนจะกลับเข้าไปในหอคอยและปิดประตู
การชี้ของซวนลั่วทำให้จิตใจหวังหลินสั่นสะเทือนในทันที กลิ่นอายนี้ทำให้หวังหลินรู้สึกอบอุ่นในร่างกาย ช่วยหวังหลินต่อต้านเสียงกระดิ่งได้มากขึ้น
ทำให้ระดับบ่มเพาะและแก่นแท้ของหวังหลินผ่อนคลายลงเล็กน้อย ระดับบ่มเพาะและแก่นแท้รวมกันอย่างรวดเร็ว เพียงพลังของซวนลั่วแทรกซึมเข้ามา เสียงกระดิ่งจึงค่อยๆ เบาลงไป จากนั้นระดับบ่มเพาะและแก่นแท้ของหวังหลินจึงโคจรทั่วร่างกายอย่างรวดเร็วและเมื่อกระดิ่งเริ่มดังอีกครั้ง จึงเกิดคลื่นเสียงพุ่งเข้าสู่จิตใจ
พวกมันเริ่มเผชิญหน้ากับระดับบ่มเพาะและแก่นแท้ของหวังหลินอีกครั้ง
หวังหลินกระอักโลหิต ร่างกายสั่นไหว เขาถอยกลับลงมาจากขั้นบันได
“สลายระดับบ่มเพาะเทพของเจ้าซะ ลบล้างแก่นแท้ ไม่ต้องสนใจเรื่องในอดีต จงปลุกมรดกแห่งสายโลหิตของเจ้าให้ตื่นขึ้น…หลังจากนี้ข้าจะมอบตำแหน่งองครักษ์อาณาเขตเต๋าและระดับบ่มเพาะขั้นมหาชั้นฟ้าให้!” น้ำเสียงเย็นเยียบและเก่าแก่ดังขึ้นในใจหวังหลินพร้อมกับเสียงกระดิ่ง
หวังหลินหันมองขึ้นไปทันที
ดวงตาแดงก่ำ ระเบิดระดับบ่มเพาะและพลังโบราณในทันที พลังของหวังหลินจึงพุ่งขึ้นไปยังจุดสูงสุด
“ข้าไม่มีระดับบ่มเพาะเผ่าเทพอันใด สิ่งที่ข้ามีคือความแข็งแกร่งของตัวเองที่ข้าได้รับมาตลอดสามพันปี! ท่านมีสิทธิ์อะไรถึงทำให้ข้าต้องสลายมันไป?!” หวังหลินคำราม เสียงกระดิ่งในร่างปะทุขึ้น พวกมันปะทะเข้ากับระดับบ่มเพาะจนเขากระอักโลหิตอีกครา หวังหลินถอยร่นอย่างต่อเนื่องราวกับมีบางอย่างกำลังผลักดันให้ถอย จนตอนนี้หวังหลินยืนอยู่กลางภูเขา
“แก่นแท้ของข้าคือการรู้แจ้งแห่งชีวิต มันคือผลผลิตของความพยายามตลอดชีวิตข้า ท่านมีสิทธิ์อะไรถึงสั่งให้ข้าสลายมัน!?” หวังหลินมองขึ้นไป ดวงตาแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม ร้องคำรามสุดชีวิต
หวังหลินกระอักโลหิตอีกครั้ง ร่างกายสั่นเทาเนื่องจากเสียงกระดิ่งปะทะเข้ากับระดับบ่มเพาะอีกครั้ง เขาถอยลงไปยังตีนเขา เหลือบันไดด้านหลังเพียง 19 ขั้น!
“ความทรงจำข้าสำคัญยิ่งกว่าระดับบ่มเพาะ สำคัญกว่าแก่นแท้ สำคัญกว่าสายโลหิต และสำคัญยิ่งกว่าพลังมหาชั้นฟ้าที่ท่านจะมอบให้ข้าเสียอีก! ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อความทรงจำของข้า ท่านมีสิทธิ์อะไรถึงทำให้ข้าต้องละทิ้งมันไป?!” หวังหลินคำรามอย่างรุนแรง เสียงกระดิ่งภายในร่างดังสนั่นราวกับพวกมันระเบิด
หวังหลินกระอักโลหิตเป็นครั้งที่สี่และถอยกลับไป 18 ขั้น พอถึงขั้นสุดท้ายเท้าหวังหลินเหยียบลงไปเสียงดังปังและฝืนตัวเองให้หยุดตรงนั้น
หวังหลินมองขึ้นไปด้วยแววตาที่แดงก่ำ สีหน้าท่าทางดุดันแต่พลังเสียงกระดิ่งในร่างกายได้ข่มพลังส่วนอื่นไว้อย่างสิ้นเชิง เพียงเท่านั้นหวังหลินระเบิดระดับบ่มเพาะ เรือนผมเปลี่ยนกลายเป็นครึ่งขาวครึ่งดำ ด้านหลังมีเค้าโครงตะวันมหาชั้นฟ้าปรากฏขึ้นมา!
ดวงตะวันมหาชั้นฟ้าดวงนี้เป็นครึ่งขาวครึ่งดำเช่นกัน มันเปล่งแสงประหลาดและทำให้หวังหลินแสดงความแข็งแกร่งที่สุดของตัวเองออกมาเทียบได้กับมหาชั้นฟ้า!
วินาทีที่ดวงตะวันมหาชั้นฟ้าของหวังหลินปรากฏ ท้องฟ้าเหนือภูเขากุ้ยต้าวก็เปลี่ยนไป!
น้ำเสียงเรียบเฉยดังออกมาจากหอคอยและดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ “ภูเขากุ้ยต้าวมีทั้งหมด 999 ขั้น หากเจ้าสามารถผ่านได้สามร้อยขั้น ข้าจะไม่ถือสาเรื่องที่เจ้าทำตัวไม่เคารพ!”
บนยอดหอคอยมีร่างหนึ่งปกคลุมอยู่ในสายหมอก และเบื้องหน้าเขาคือซวนลั่ว
“ผู้อาวุโสกุ้ยต้าว…” ซวนลั่วมีสีหน้าเคร่งเครียด
“ข้าไม่ยอมรับศิษย์ของเจ้า!” น้ำเสียงราบเรียบดังออกมาจากเงานั้น
“แต่ในเมื่อเจ้าพาเขามาที่นี่แล้ว หากเขาสามารถเดินขึ้นมาได้สามร้อยขั้น ข้าจะปล่อยเจ้าพาเขาไป แต่ข้าจะไม่ช่วยปลุกโลหิตวิญญาณในร่างกายให้”
“ส่วนเรื่องการปกป้องอาณาเขตเต๋า…ในเมื่อเจ้าเลือกเขามาแล้วก็ทำตามนั้น แต่ว่านับตั้งแต่นี้ต่อไป เขาไม่สามารถออกไปจากเผ่าโบราณได้ ไม่เช่นนั้นข้าจะลงมือ” คำพูดจากร่างนั้นเย็นเยียบและไร้อารมณ์ความรู้สึก
ซวนลั่วมีท่าทีขมขื่น เขาพาหวังหลินมาที่นี่ด้วยเจตนาดี แต่ไม่คิดว่ากุ้ยต้าวจะพูดเช่นนี้ เขาขบคิดเงียบๆ ก่อนจะเผยสายตามุ่งมั่นและคำนับฝ่ามือให้กับร่างในสายหมอก
ร่างในสายหมอกพูดขึ้น “หากเข้าไม่สามารถผ่านสามร้อยขั้นมาได้ เขาจะต้องอยู่ที่นี่”
ซวนลั่วขบคิด
หวังหลินยืนอยู่ใต้ภูเขากุ้ยต้าวและมองขึ้นไป เขารู้ว่าอาจารย์อยู่ด้านบนและบางที่กำลังมองอยู่
“หวังหลิน ใช้ระดับบ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าและเดินผ่านสามร้อยขั้นมาให้ได้! ให้มหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวได้เห็นว่าศิษย์ของข้าคู่ควรหรือไม่!” ซวนลั่วเอ่ยเสียงดังออกมาจากยอดภูเขาและแฝงความโกรธเกรี้ยว
นี่คือความโกรธของซวนลั่ว เขาพูดออกมาอยู่บนยอดหอคอยและไม่สนใจกุ้ยต้าวที่อยู่ด้านข้างอย่างสิ้นเชิง
ซวนลั่วมองร่างในสายหมอกและเอ่ยปาก “ข้าพาเขาออกมาจากโลกถ้ำและนำเขามาที่นี่ มีทางเดียวที่ข้าจะไม่พาเขาไปด้วยคือข้าได้ตายไปแล้ว!” แผ่นหลังตั้งตรงและไม่โค้งคำนับอีกต่อไป
ร่างในสายหมอกไม่ได้พูดอะไรออกมา บนยอดหอคอยเงียบสงัด
ซวนลั่วมีความรู้สึกพิเศษต่อหวังหลิน เขาเฝ้าดูหวังหลินดิ้นรนพยายามอยู่ในโลกถ้ำ เป็นพยานรู้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความบากบั่นของหวังหลิน กระทั่งได้เห็นหวังหลินรู้สึกอย่างไรต่อหญิงสาวที่ชื่อหวานเอ๋อร์
ซวนลั่วไม่สามารถลืมน้ำตาและความโหยหาของหวังหลินที่มีต่อภรรยาเขาในโลกถ้ำไปได้
เรื่องนี้ทำให้เขาคิดถึงตัวเองในอดีต แม้แต่สิ่งที่หวังหลินเจอในเผ่าเทพก็ทำให้ซวนลั่วคิดถึงตัวเอง ราวกับอดีตของทั้งสองคนได้ทับซ้อนกัน
หวังหลินยืนอยู่บนก้าวแรกพร้อมกับได้ยินคำพูดของอาจารย์ดังกึกก้องในหู ดวงตาจึงเผยความมุ่งมั่น เขาไม่ชอบภูเขากุ้ยต้าวและคงไม่มีวันเคารพมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวอีกครั้ง!
‘ในโลกนี้ ผู้แข็งแกร่งกุมชะตาของผู้อ่อนแอ…ระดับบ่มเพาะของมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวแข็งแกร่งและเขาเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเซียนดารา ดังนั้นจึงสามารถบังคับข้าได้…แต่วันหนึ่งหากข้าหวังหลินผู้นี้ได้กลายเป็นคนแข็งแกร่งและมาแทนที่กุ้ยต้าว ข้าจะเป็นสรวงสวรรค์กำหนดชะตาเอง!’ หวังหลินมีแววตาเป็นประกาย เค้าโครงดวงตะวันมหาชั้นฟ้าด้านหลังกำลังทอแสงผสานเข้ากับร่างกายและทำให้หวังหลินดูตัวสูงขึ้น
หวังหลินยกเท้าและก้าวไปข้างหน้าทันที!
การก้าวนี้คือการต่อต้านเผ่าโบราณในขั้นแรก! เป็นการท้าทายต่อเผ่าโบรราณ เป็นรอยแตกแห่งแรกในความสัมพันธ์กับเผ่าโบราณ!
เดิมทีหวังหลินตั้งใจจะอยู่ในเผ่าโบราณเพราะความกตัญญูของอาจารย์ เขายอมอดทนคุกเข่าต่อจักรพรรดิเต๋าและอดทนต่ออำนาจราชวงศ์แห่งเผ่าโบราณ
แต่ถึงแม้เขาจะยังอดทน แต่ตอนนี้มีรอยแตกระหว่างหวังหลินกับเผ่าโบราณขึ้นมาแล้ว บางทีหากไม่มีเรื่องอื่นเกิดขึ้น รอยแตกนี้จะสมานกันอย่างเชื่องช้าเพราะมีซวนลั่ว…
แต่…
โอกาสนี้หายไปอย่างสิ้นเชิงจากเหตุการณ์สำคัญที่กำลังเกิดขึ้นในเมืองหลวงอาณาเขตเต๋า!
ภายในวังของเมืองหลวงอาณาเขตเต๋า จักรพรรดิเต๋ากำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ เบื้องหน้าเป็นชายชราในชุดสีม่วงสามคนและกำลังคุกเข่าอย่างตื่นเต้น
“ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม นับเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้วที่เราได้ค้นหาหญิงสาวมากมายมาผสานกับดวงวิญญาณ แต่ไม่มีใครที่สามารถผสานได้ แต่ละคนเกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงและไม่สามารถหล่อเลี้ยงวิญญาณได้เลย”
“แต่บัดนี้มีหญิงสาวคนหนึ่งที่ผสานเข้ากับวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์!!” เสียงของชายชราเต็มไปด้วยความตื่นเต้น พวกเขาลอบดำเนินการแผนนี้มาหลายร้อยปี สิ่งที่รอคอยต้องเป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่!
“นางมาจากไหนและนางมีชื่ออะไร?” จักรพรรดิเต๋าดูสงบนิ่งแต่เต็มไปด้วยความคาดหวัง เขาไม่อาจลืมสิ่งที่ราชครูพูดเอาไว้ วิญญาณดวงนี้สามารถทำให้เขากลายเป็นจักรพรรดิโบราณตัวจริงที่ปกครองทั่วทั้งเผ่าโบราณ!!
ชายชราอีกคนรีบพูดขึ้น “นางมาจากอาณาเขตฉี นางมีชื่อว่า ซ่งจื่อ!”
“พาซ่งจื่อคนนั้นเข้ามาในวัง ข้าอยากเจอนางตัวต่อตัว พวกเจ้าบอกประชาชนว่าในอีกสามเดือน ข้าจะมีพิธีเฉลิมฉลองครั้งใหญ่! ข้าจะรับซ่งจื่อเป็นภรรยาและทำให้นางกลายเป็นจักพรรรดินี!” จักรพรรดิเต๋าลุกขึ้นพลางหัวเราะ
…………………………………………………
ตอนที่ 2013 เขาเป็นใคร?
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท้องฟ้าสีครามและมีตำหนักหลายแห่งอยู่เบื้องล่างคล้ายกับเป็นสำนัก แต่ชื่อของสำนักแห่งนี้พร่ามัวจนไม่สามารถมองเห็นได้ ยิ่งพยายามมองแค่ไหนยิ่งพร่าเลือน
ภายในตำหนักหนึ่งในนั้นมีสตรีคนหนึ่ง นางมีใบหน้าอันคุ้นเคยยิ่ง นางกัดริมฝีปากพลางมองไปบนท้องฟ้าราวกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง…
‘นางเป็นใคร…ข้าเป็นใคร…’
พื้นดินกว้างใหญ่ ท้องฟ้ามืดมิด รอบด้านเต็มไปด้วยกลิ่นอายโลหิตราวกับเกิดการต่อสู้ขึ้นที่นี่ นางกำลังหลบหนีไปบนท้องฟ้า ใบหน้าซีดเผือดจากอาการตื่นตระหนก นางมักจะมองกลับมาเห็นเซียนผู้หนึ่งที่มีแววตาคุกคามและไล่ตามนางมาด้วย
ในช่วงวิกฤติที่สุดนั้น นางได้เห็นบุรุษผู้มีใบหน้าคุ้นเคยกำลังซ่อนตัวอยู่ด้านล่าง…
‘นางเป็นใคร เขาเป็นใคร…ข้าเป็นใคร…’
ณ ทะเลหมอกและถ้ำที่ดูธรรมดา ชายหนุ่มกำลังนั่งอยู่ในถ้ำราวกับอยู่ในช่วงวิกฤติของการสร้างแกนลมปราณ
นางยืนอยู่นอกถ้ำ แม้จะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวแต่มีสายตามุ่งมั่น เบื้องหน้าคือเหล่าเซียนมากมายที่กำลังใช้วิชาพยายามทะลายค่ายกลเข้ามาในถ้ำ
นางกัดฟันและควบคุมค่ายกลให้ต่อต้านจนกระทั่งใช้แรงไปหมด นางเอนร่างถอยไปแต่ก็พบว่าได้พิงกับหน้าอกที่อบอุ่น
“ข้าจะพาเจ้าไปสังหารพวกมัน!”
ประโยคนี้คล้ายกับทะลุท้องฟ้าและเชื่อมความรักของทั้งคู่ไปตราบชั่วชีวิต…
‘นางเป็นใคร เขาเป็นใคร…ข้าเป็นใคร…’
ยังอยู่ใต้ท้องฟ้าสีคราม ใต้สำนักที่คุ้นเคยแต่ก็ไม่คุ้นเคยในเวลาเดียวกัน นางนั่งอยู่เงียบๆ ด้านนอกตำหนัก บรรเลงพิณไปด้วยความเศร้า นางกำลังจะแต่งงาน
แต่พอนางก้าวเดินออกมาจากตำหนักเพื่อเผชิญหน้ากับทุกอย่าง บุรุษผู้มีระดับบ่มเพาะสูงส่งปรากฏขึ้นมาและเดินอยู่เบื้องหน้า
รอยยิ้มอ่อนโยนทำให้นางตกตะลึง
นางต้องการรู้ว่าเขาเป็นใคร นางเป็นใครและตัวเองเป็นใครกันแน่…
ลำแสงสายหนึ่งที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นกำลังส่องกระทบบนหุบเขาอันเงียงบสงัด ที่นั่นมีบ้านไม้หลังหนึ่งและมีเสียงพิณอันไพเราะ นางมองดูบุรุษที่กำลังพิงกายและเผยสายตาอ่อนละมุน
นางดูมีความสุขมาก…แต่นางเป็นใคร และชายผู้นี้เป็นใคร…ข้าเป็นใคร
นางดูเหมือนกำลังจะจำอะไรบางอย่างได้แต่ก็นึกไม่ออก จิตใจของนางพร่าเลือนราวกับหลับใหลมานานมาก…
ในภาพพร่าเลือนนั้น ภาพอันอ่อนโยนแตกออกและสลายไปอย่างช้าๆ กลายเป็นวันที่มีพายุโหมกระหน่ำ ชายคนนั้นอุ้มนางไว้พร้อมกับน้ำตาไหลนองบนใบหน้า เขาส่งเสียงคำรามร้องใส่ท้องฟ้า เสียงคำรามแฝงความเจ็บปวดและความมุ่งมั่น!!
“แม้สวรรค์อยากให้เจ้าตาย ข้าก็จะพาเจ้ากลับมา!!!”
ภายในเมืองหลวงอาณาเขตเต๋า ในห้องอันหรูหราของวังหลวง สตรีผู้หนึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่ม แม้นางจะไม่ได้งดงามไร้ที่ติแต่กลับมีเสน่ห์ดึงดูดสายตา กระนั้นนางกำลังดิ้นรนจนใบหน้าซีดเผือด เปลือกตาสั่นไหวราวกับกำลังฝันร้ายและพยายามตื่นจากความฝัน
บนขอบตามีรอยน้ำตาไหลออกมาลงแก้มสองข้าง ทำให้หมอนสีขาวเปียกชื้น
ในความฝันของนาง เสียงคำรามที่ทำให้ใจสั่นนั้นดังกึกก้องอยู่ในใจ มันเป็นเสียงคำรามตรงเข้าสู่ท้องฟ้าเพื่อต้องการฝืนชะตา ฝืนเจตจำนง ฝืนลิขิตสวรรค์!
ด้วยเสียงนี้จึงทำให้น้ำตาไหลออกมามากกว่าเดิม…
แต่นางจำไม่ได้ว่าสตรีคนนี้เป็นใครหรือชายที่กำลังส่งเสียงร้องสะเทือนหัวใจเป็นใครกัน…นางต้องการนึกให้ออกแต่ก็จำไม่ได้ว่านางเป็นใคร
ในความฝันของนาง นางได้เห็นชายคนนั้นปรากฏตัวข้างโลงศพ เขาดูแลรักษาโลงศพเป็นอย่างดีและมีใบหน้าอ่อนโยนมาเสมอ ใบหน้าเขาทำให้นางเจ็บปวดหัวใจ…
หยดน้ำตาที่ไหลลงบนโลงศพทำให้นางรู้สึกเศร้า…นางเกิดแรงกระตุ้นให้ลืมตาเพื่อสัมผัสกับใบหน้าชายคนนั้นและปาดน้ำตาของเขา
ในความดิ้นรนนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในความฝันก็พังทลาย นางหายไปและชายคนนั้นคล้ายกับหายเข้าไปในสายหมอก ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเลือนลาง
นางลืมตาขึ้นมา
“เจ้าตื่นแล้ว…” เสียงอ่อนนุ่มดังออกมาด้านข้าง
นางมองลวดลายอันงดงามบนเตียงและมีแววตาสับสน ทุกสิ่งทุกอย่างจากความฝันยังคงอยู่แต่มันพร่าเลือน
นางหันศีรษะไปตามเสียงและเห็นชายผมขาวในชุดคลุมสูงศักดิ์ แม้เขาจะอยู่ในวัยกลางคนไปแล้วแต่ก็ค่อนข้างหล่อเหลาและมีบรรยากาศอันสูงส่ง ทั้งกำลังยิ้มให้นางด้วย
“เจ้า…เป็นใคร…ข้า…เป็นใคร…” นางมีแววตาสับสนยิ่งขึ้นและรู้สึกเจ็บปวดมาก ราวกับมีพลังที่มองไม่เห็นมาป้องกันไม่ให้นางค้นหาตัวเองเจอ
“ข้าคือจักรพรรดิเต๋า ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาเขตเต๋า ข้าคือสามีเจ้า! เจ้ามีชื่อว่าซ่งจื่อ เจ้ามาจากอาณาเขตฉีและเจ้าคือจักรพรรดินีของข้า!” ชายคนนั้นยิ้มพลางเอ่ยขึ้นมา กลิ่นอายแห่งจักรพรรดิแผ่กระจายออกมาจากร่าง
“สามี…” คำพูดนี้ดังกึกก้อง อีกร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในใจ ร่างนี้กำลังมองบนท้องฟ้าและส่งเสียงคำรามอย่างเจ็บปวด
ร่างนี้นั่งอยู่กับนางและฟังนางเล่นพิณอย่างมีความสุข
ร่างนี้กอดนางและบอกนางว่าจะพานางไปสังหารคนพวกนั้น…
ร่างนี้…พร่าเลือน คล้ายกับทับซ้อนชุดคลุมสูงศักดิ์และทับซ้อนกันอย่างช้าๆ…ราวกับว่านางเพิ่งรู้สึกว่าอยู่คนละที่ และหลังจากภาพทับซ้อนกัน สิ่งเหล่านั้นก็หายไป
ในใจเกิดความเจ็บปวดรุนแรงขึ้นอีกครั้ง นางหลับตาและสลบไป
สีหน้าของจักรพรรดิเต๋าเริ่มมืดหม่นทันทีและเอ่ยขึ้น “บอกเหตุผลข้ามา!”
ระลอกคลื่นสะท้อนออกมาด้านหลังและมีชายชราผู้หนึ่งก้าวเดินออกมา คุกเข่าลงหนึ่งข้าง “ใต้ฝ่าละอองพระบาท ซ่ง…หลังจากจักรพรรดินีผสานกับวิญญาณ ร่างกายนางจึงอ่อนแอ นางมีวิญญาณของตัวเองอยู่แล้วและการผสานกันทำให้ความทรงจำของนางเกิดความสับสน”
“แต่ไม่มีอันตราย จักรพรรดินีแค่ต้องพักผ่อนไปอีกสักพัก ทว่าความทรงจำของนางยังคงสับสน แต่นี่ถือเป็นเรื่องดีที่ท่านจะได้ค่อยๆ เติมความทรงจำเข้าไปในความคิดนางและกลายเป็นความทรงจำที่แท้จริง”
“ร่างกายนี้เหมาะสมต่อวิญญาณมากและหล่อเลี้ยงได้อย่างต่อเนื่อง ภายในไม่กี่ปี วิญญาณและร่างกายนี้จะผสานกันอย่างสมบูรณ์ ถึงตอนนั้นแม้แต่ร่างจริงของวิญญาณดวงนี้ก็ไม่สามารถกลับมาผสานกันได้อีกต่อไป”
จักรพรรดิเต๋าพูดขึ้น “เจ้าไปได้”
ชายชรารีบพยักหน้าก่อนจะเปลี่ยนกลายเป็นควันและหายไปจากห้อง เหลือไว้เพียงจักรพรรดิเต๋าและหญิงสาว
จักรพรรดิเต๋านั่งอยู่ด้านข้างและมองนางด้วยสายตาเป็นประกายแปลกประหลาด
“ราชครูพูดเอาไว้ครั้งหนึ่งว่าวิญญาณดวงนี้สามารถทำให้ข้าได้กลายเป็นจักรพรรดิโบราณที่แท้จริงซึ่งจะรวมทั้งสามเผ่าให้เป็นหนึ่งเดียว…ราชครูไม่อาจผิดพลาด…เช่นนั้นการทำให้นางเป็นจักรพรรดินีถือเป็นรางวัลที่ดีที่สุด”
เพียงแค่เขาพึมพำ พลันยกแขนขึ้นมาวาดบนใบหน้านางอย่างเบามือ จากนั้นเผยรอยยิ้ม
“แม้นางจะไม่สวย แต่นางก็มีเสน่ห์ของตัวเอง ข้าสงสัยมาเสมอว่าราชครูไปได้วิญญาณดวงนี้มาจากไหน แต่เขาก็ไม่พูด…อย่างไรก็ตามวิญญาณดวงนี้ก็งดงามอยู่แล้ว…นางอาจมีคนรักของตัวเองและบางทีคนรักของนางอาจจะรู้สึกเจ็บปวดมหาศาลหลังจากที่นางตาย…”
“น่าเสียดายที่เขาไม่มีวันรู้ว่าสตรีคนนี้อยู่ในมือข้า…หากมีโอกาสได้เห็นคนรักในอดีตของนาง ก็คงน่าสนใจมาก”
“บางทีเขาอาจตายไปนานแล้ว หากไม่ตายและได้เจอกัน จะจดจำนางได้หรือไม่…” จักรพรรดิเต๋ายิ้มอีกครั้ง
“ข้ากำลังคิดเผื่ออนาคต…แต่พอคิดดูแล้วคงไม่มีวันนั้นหรอก” จักรพรรดิเต๋าจิ้มใบหน้านางเบาๆ จนกลายเป็นรอยช้ำ
ร่างของนางสั่นเทาราวกับรู้สึกเจ็บปวดเจียนตาย หยาดน้ำตาไหลลงสองแก้ม
“ถ้าไม่ใช่เพราะนางต้องไม่เสียพรหมจรรย์เพื่อเป็นจักรพรรดินี ข้าคงอยากเปลี่ยนนางเป็นหญิงสาวของข้าไปแล้วจริงๆ แต่ว่าไม่ต้องรีบหรอก เมื่องานพิธีจบลง ข้าจะใช้เวลาสุขสมกับวิญญาณดวงนี้” จักรพรรดิเต๋ายืนขึ้นด้วยรอยยิ้ม จากนั้นสะบัดแขนเสื้อจากไป
ขณะที่หยาดน้ำตาของนางไหลริน ห่างออกไปไกลที่ใต้ภูเขากุ้ยต้าว หวังหลินมองไปบนยอดเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ
เห็นได้ชัดว่ามหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวไม่ยอมรับเขา แต่หวังหลินก็ไม่ได้ยอมรับทั้งเผ่าโบราณ คนเดียวที่เขาเคารพคือซวนลั่ว!
หากไม่มีซวนลั่ว หวังหลินคงไม่มีวันมาที่นี่!
“สามร้อยขั้น…” ดวงตะวันมหาชั้นฟ้าด้านหลังหวังหลินปลดปล่อยแสงสีดำและขาวอันทรงพลัง หวังหลินยกเท้าขึ้น!
เขาไม่ได้ก้าวแค่ขั้นเดียวแต่หลายสิบขั้น!
เมื่อเท้าหยุดลง หวังหลินยืนอยู่บนขั้นที่ 39 จากนั้นแรงกดดันทรงพลังกระแทกเข้าใส่จนหวังหลินต้องหยุดชะงัก ราวกับภูเขานับไม่ถ้วนกำลังกดทับอยู่บนบ่า
พริบตาเดียวขั้นบันไดที่นำทางไปสู่ยอดเขาเริ่มบิดเบี้ยวราวกับมีชีวิต
หวังหลินพ่นลมหายใจเย็น โครงร่างดวงตะวันมหาชั้นฟ้าด้านหลังหวังหลินยิ่งเปล่งประกายเจิดจ้ามากขึ้น หวังหลินก้าวอีกครั้งกระโจนออกไปอีกรอบ
ขั้นที่ 42
ขั้นที่ 57
ขั้นที่ 69
ขั้นที่ 83…เสียงดังสนั่นกึกก้องในสองหูเนื่องจากเผชิญหน้ากับแรงกดดันอันทรงพลังจนหวังหลินมาถึงขั้นที่ 99
เขายกเท้าและเหยียบไปบนขั้นที่หนึ่งร้อยอย่างรุนแรง!
เมื่อเท้าเหยียบลงไป ทั่วบริเวณเกิดอาการสั่นสะเทือน ภูเขากุ้ยต้าวกำลังสั่นไหว แรงกดดันทรงพลังกระหน่ำเข้าใส่หวังหลินทำให้จิตใจสั่นคลอน โลหิตไหลออกมาจากมุมปาก
แรงกดดันนี้ออกมาจากภูเขา ออกมาจากมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าว!
………………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น