Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 2008-2009
ตอนที่ 2008 คำนับเตาธูป
โดย
Ink Stone_Fantasy
อาณาเขตเต๋าของเผ่าโบราณตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแผ่นดินเซียนดารา มีสิบสองแคว้นเทียบได้กับแคว้นของเผ่าเทพ แต่ค่อนข้างใหญ่กว่า
หากไม่มีวิชาบิดมิติและพึ่งพาแต่การเหาะเหิน คงใช้เวลาหลายปีกว่าจะข้ามผ่านระยะทางขนาดนี้ แต่เผ่าโบราณมีทั้งเทพโบราณ ปิศาจโบราณและมารโบราณที่มีขนาดยักษ์ พวกเขาสามารถเปิดท้องฟ้าและย่นระยะเวลาเดินทางไปได้มหาศาล
ทูตอาณาเขตเต๋าเพียงแค่ใช้เวลาไม่กี่เดือนก็กลับสู่เมืองหลวงอาณาเขตเต๋าได้แล้ว
เมืองหลวงอาณาเขตเต๋าเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ในอากาศ มองไกลๆ เมืองนี้ดูน่าอัศจรรย์ยิ่ง มันลอยอยู่ในสวรรค์และเปล่งแรงกดดันทรงพลัง
รอบเมืองมีก้อนหินลอยอยู่นับไม่ถ้วน ก้อนหินเหล่านี้มีขนาดที่แตกต่างกันและลอยอยู่ในท้องฟ้าโดยมีเมืองเป็นจุดศูนย์กลาง
หลังจากทูตอาณาเขตเต๋ากลับมาถึงเมืองได้หนึ่งเดือน หวังหลินข้ามผ่านแผ่นดินของเผ่าโบราณอันกว้างใหญ่โดยใช้แผนที่และมาถึงที่นี่ได้
เขามองเมืองที่ลอยอยู่ในท้องฟ้าอยู่ชั่วขณะ
แม้เมืองแห่งนี้จะไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่าเมืองหลวงของเผ่าโบราณ แต่มันก็ยังงดงามน่าจดจำ ใจกลางเมืองมีรูปปั้นขนาดใหญ่เป็นบุรุษคนหนึ่ง เขามองบนท้องฟ้าด้วยความดูถูก แม้แต่หวังหลินยังสัมผัสถึงความดูถูกนี้จากระยะไกล
หวังหลินพึมพำเบาๆ “บรรพชนโบราณ…”
ด้านนอกเมืองลอยฟ้ามีก้อนหินหมุนวนกลายเป็นค่ายกลอันทรงพลัง ทุกคนที่ต้องการเข้าไปจำเป็นต้องมีหินหยกระบุตัวตน ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถก้าวเข้าไปในเมืองได้แม้แต่ครึ่งก้าว
นี่คือพลังแห่งราชวงศ์ของอาณาเขตเต๋า ที่ที่มีจักรพรรดิเต๋าอาศัยอยู่!
ด้านตะวันออกของเมืองลอยฟ้าประกอบไปด้วยสถานที่อันงดงามตระการตาจนกลายเป็นวังหลวง! สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยองครักษ์และเขตอาคมมากมาย รวมไปถึงชั้นหมอกเบาบางสีม่วงที่ทำให้คนมองรู้สึกถึงแรงกดดัน
ในสายตาหวังหลิน หมอกสีม่วงรอบราชวังแห่งนี้คล้ายกับก่อตัวกลายเป็นคนที่มีรูปร่างเลือนลาง ร่างนี้ขนาดใหญ่มากดูราวกับสามารถค้ำจุนท้องฟ้าและไม่สามารถบอกได้ว่ารูปร่างหน้าตาแบบไหน มีเพียงศีรษะสวมมงกุฎอยู่เท่านั้นซึ่งพอจะแยกแยะความแตกต่างได้
ร่างนี้ยังเปล่งกลิ่นอายเผ่าโบราณอันบริสุทธิ์ออกมาด้วย!
เมืองหลวงอาณาเขตเต๋าไม่ได้ใหญ่เท่าเมืองหลวงของเผ่าเทพ วังหลวงก็เทียบกันไม่ได้ แต่จำนวนองครักษ์และแรงกดดันนั้นเหนือชั้นกว่าราชวังของจักรพรรดิเทพอย่างยิ่ง
องค์รักษ์นับไม่ถ้วนมีอยู่ทั้งด้านในและด้านนอกวัง แม้แต่คนรับใช้ภายในวังยังมีระดับบ่มเพาะค่อนข้างสูง
หวังหลินยืนอยู่ด้านนอกเป็นเวลานานก่อนจะถอนสายตา ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยจังหวะที่ไม่เร็วเกินไป แต่พอร่างกายหายไป หวังหลินเปลี่ยนกลายเป็นหมอกควันและลอยเข้าสู่เมืองลอยฟ้า
บริเวณรอบเมืองมีม่านป้องกันหลายชั้นจนคนธรรมดาผ่านเข้าไปได้ยาก ถึงแม้จะเป็นคนแข็งแกร่งก็ยังต้องขมวดคิ้วและหยุดลงข้างหน้า พวกเขาคงต้องทำตามกฎของเมืองลอยฟ้าและใช้หินหยกระบุตัวตนเพื่อเข้าไป
ในสายตาของคนแห่งอาณาเขตเต๋า มีเพียงเก้าคนเท่านั้นที่สามารถเมินเฉยการป้องกันรอบเมืองลอยฟ้าไปได้!
คนทั้งเก้านี้คือเหล่ามหาชั้นฟ้าเก้าคน!
มีเพียงเก้าคนที่สามารถก้าวเดินเข้าสู่เมืองหลวงอาณาเขตเต๋าได้อย่างมั่นคง!
ทว่าตอนนี้มีเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน ม่านป้องกันไม่สามารถหยุดร่างคล้ายควันของหวังหลินได้ ทำให้เขาปรากฏตัวบนถนนของเมืองหลวง
ภายในเมืองมีคนจำนวนมากอยู่อาศัยทำให้ที่แห่งนี้มีชีวิตชีวายิ่ง
หวังหลินยืนอยู่ตรงนั้นและมองไปรอบๆ เขามองดูชายหนุ่มและหญิงสาวของอาณาเขตเต๋า จากนั้นด้วยเหตุผลบางอย่างหวังหลินไม่รู้สึกเหมือนตอนที่มาถึงเผ่าโบราณแบบตอนแรกอีกแล้ว
‘อาจารย์น่าจะรู้ว่าข้ามาถึงแล้ว…’ หวังหลินไม่จำเป็นต้องแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณเพื่อจับสัมผัสภูเขาทางสุดเขตทิศใต้ของเมือง ภูเขาลูกนี้มีก้อนเมฆปกคลุมและเปล่งกลิ่นอายของมหาชั้นฟ้า
เขาสัมผัสได้ถึงความอ่อนละมุนภายในกลิ่นอาย จึงเผยรอยยิ้มบางๆ และก้าวเดินไปยังทิศใต้
ทางตอนใต้ของเมืองมีภูเขาสูงทะลุก้อนเมฆ มีขั้นบันไดคดเคี้ยวบนภูเขาพร้อมกับราวจับ ราวกับเป็นจุดแวะพัก
กลิ่นอายสดชื่นแผ่กระจายออกมา เพียงแค่สูดหายใจที่นี่ก็ทำให้รู้สึกสดชื่นและมีกำลังขึ้นมาก
มีคนของอาณาเขตเต๋าหลายคนกำลังเดินขึ้นไปบนอารามด้านบนยอดเขา ทุกคนในอาณาเขตเต๋าต่างก็รู้จักอารามแห่งนี้เป็นอย่างดี!
มันคืออารามเต๋า! ที่ซึ่งมีเพียงมหาชั้นฟ้าคนเดียวแห่งอาณาเขตเต๋า มหาชั้นฟ้าซวนลั่ว พักอาศัย!
อารามเต๋าเปิดให้ทุกคนในอาณาเขตเต๋าเข้ามาได้ ทุกคนสามารถมาถึงอารามเพื่อขอให้ช่วยด้านการทะลวงระดับบ่มเพาะได้ แต่พวกเขาแทบไม่ค่อยเห็นมหาชั้นฟ้าซวนลั่วบ่อยนัก มีแค่ผู้คนทรงพลังทั้งเก้าคนของอาณาเขตเต๋าซึ่งติดตามซวนลั่วเป็นผู้ชี้แนะ
ช่วงเวลาหนึ่ง หนึ่งในเก้าที่อยู่ในอารามเต๋าจะเป็นผู้ชี้นำแก่เหล่าผู้คนร่วมเผ่าพันธุ์!
ด้านนอกอารามมีเตาธูปขนาดยักษ์ตั้งเอาไว้ มันจำเป็นต้องมีสิบคนล้อมรอบข้างในมีทรายสีขาวเทาและมีธูปเก้าดอกปักอยู่ในเตา ควันกำลังลอยฟุ้งขึ้นไปในท้องฟ้า
ประชาชนอาณาเขตเต๋าทุกคนที่มาอารามเต๋าเพื่อเกิดความรู้แจ้งมักจะโค้งคำนับเบื้องหน้าเตาธูป เตาธูปนี้ประหลาดมาก ยิ่งมีคนคำนับมันมากยิ่งมีควันลอยออกมามากขึ้น ธูปทั้งเก้าดอกดูเหมือนไม่มีวันมอดและไหม้อยู่แบบนั้นตั้งแต่ยุคโบราณ
หวังหลินก้าวเดินไปบนแผ่นหินพลางมองภูเขาและควันที่กำลังลอยอยู่ในท้องฟ้า เขาก้าวเดินแต่ละก้าวจนกระทั่งไปถึงยอดเขาและเห็นเตาธูป มีคนจำนวนไม่กี่คนที่ปีนขึ้นมาได้และก้าวเดินเข้าหาอารามเต๋าอย่างเคารพ
หลังจากพวกเขาคำนับธูปทั้งเก้าดอกในเตาเสร็จสิ้น ควันในเตาดูเหมือนเพิ่มขึ้นแต่มันเบาบางมาก หากไม่ได้สนใจอย่างละเอียดคงสังเกตได้ยาก
หวังหลินมองเตาธูปและขบคิดเงียบๆ เขาค่อยๆเดินไปที่เตา เมื่อไปถึงจึงคำนับฝ่ามือและโค้งตัว
การโค้งคำนับนี้ไม่ใช่เพื่อเตาหรือธูปข้างใน แต่เป็นอาจารย์ซวนลั่ว!
นับตั้งแต่ที่เขาเลือกมาที่เผ่าโบราณ เลือกติดตามอาจารย์และเลือกที่จะทำตามคำสาบานในอดีต เมื่อนั้นหวังหลินจึงต้องการวางรากฐานที่นี่จากก้นบึ้งหัวใจ เขาได้เดินท่องไปทั่วหลายพันปีและตอนนี้จึงต้องการอาศัยอยู่อย่างสงบที่นี่
คุ้มครองอาณาเขตเต๋า คุ้มครองการเกิดใหม่ของอาจารย์
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมหวังหลินถึงโค้งคำนับแก่เตาธูป วินาทีที่เขาคิดขึ้นในใจและโค้งคำนับ ธูปเริ่มไหม้อย่างบ้าคลั่ง ควันสีขาวเพิ่มจำนวนขึ้นสิบเท่า ร้อยเท่า พันเท่าหรือกระทั่งหมื่นเท่า!
การเปลี่ยนแปลงของธูปนี้ทำให้คนที่โค้งคำนับเสร็จไม่กี่คนและที่กำลังเดินมาอารามเต๋าต้องหยุดลง พวกเขาหันกลับมาและเผยอาการหวาดกลัว
เหล่าผู้คนอาณาเขตเต๋าซึ่งอยู่ด้านหลังหวังหลินก็หยุดลงด้วยและเผยอาการไม่เชื่อสายตา
เตาธูปสั่นสะเทือนและมีควันพวยพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้ามากมาย ความหนาแน่นของควันมีมากมายยิ่งกว่าเดิมจนถึงจุดที่ไม่สามารถเทียบอะไรกันได้แล้ว หากเทียบก็คงเหมือนหิ่งห้อยกับดวงจันทร์
ควันพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและทรงพลังยิ่ง คนทั้งหมดบนภูเขา กระทั่งคนที่อยู่ทางทิศใต้ของเมืองและไกลกว่านั้นสามารถมองเห็นควันนี้ได้ชัดเจน!
ควันสีเขียวนี้ทำให้ดูเหมือนภูเขากำลังเผาไหม้ กลายเป็นรูปทรงเห็นอยู่บนท้องฟ้าและแผ่กระจายออกไปทั่วทิศทาง
แม้แต่วังหลวงทางทิศตะวันออกก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจน!
ด้านนอกอารามเต๋า เหล่าผู้คนอาณาเขตเต๋าทั้งหมดล้วนตกตะลึงและมีแววตาตกใจ ไม่เพียงแค่พวกเขาเท่านั้นแต่ทุกคนในเมืองลอยฟ้าเองต่างก็ตกตะลึงไปด้วย
และในวินาทีนี้ หวังหลินโค้งตัวไปได้เพียงครึ่งทาง เขายังโค้งคำนับไม่เสร็จ
ขณะเดียวกันในวังหลวงอาณาเขตเต๋า ชายผู้หนึ่งสวมชุดคลุมสูงศักดิ์และสวมมงกุฎกำลังยืนอยู่บนตำหนักที่สูงที่สุดแห่งหนึ่ง เขามองไปยังควันในท้องฟ้าและขมวดคิ้ว
ด้านหลังเป็นชายชรา เขาเอ่ยขึ้นอย่างเคารพ “องค์จักรพรรดิ ครั้งนี้มีสตรีที่ถูกเลือกมาทั้งสิ้น 31 คน ทั้งหมดได้ถูกจัดแจงให้ผสานกับวิญญาณ…”
ทว่าก่อนที่เขาจะพูดจบ สายตามองควันสีเขียวที่กำลังพวยพุ่งห่างออกไปไกลด้วยอาการตกตะลึง
“ถึงกับทำให้เตาธูปในอารามเต๋าปลดปล่อยควันได้ขนาดนั้น…จงไปตรวจสอบว่าเขาเป็นใคร…” ชายในชุดคลุมสูงศักดิ์ขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้น แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ ร่างกายสั่นเทา แววตาเผยประกายแสงมหึมา!
ชายชราด้านหลังอ้าปากค้างและก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่เขาเห็นตอนนี้ทำให้ตกตะลึงยิ่งกว่าที่เคยเห็นมาก่อนและถึงกับทำให้จิตใจตื่นตระหนก!
ควันสีเขียวได้โค้งตัวลงเป็นเส้นโค้งราวกับไม่สามารถต้านทานพลังการคำนับได้ มันเริ่มแตกสลายและดูเหมือนกำลังพังทลาย!
ฉากเหตุการณ์นี้สั่นคลอนสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง! ทุกคนในเมืองหลวงที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ร้องอุทาน!
นี่มันเหนือกว่าที่พวกเขาจินตนาการ แต่ละคนไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีคนที่ทำให้ควันสีเขียวของอาณาเขตเต๋าต้องโค้งคำนับและแทบพังทลาย แล้วก้านธูปนี้จะโค้งคำนับไปให้ใคร? เห็นได้ชัดว่าควันสีเขียวกำลังโค้งคำนับให้แก่คนผู้หนึ่ง!
ด้านหน้าอารามเต๋า หวังหลินไม่ได้โค้งคำนับต่อไปเพราะเขาเห็นว่าควันไม่สามารถต้านทานการโค้งคำนับของตัวเองได้ หากหวังหลินทำต่อคงทำให้มันพังทลายแน่นอน!
“หวังหลิน…ไม่ต้องคำนับแล้ว…มาที่หลังภูเขา…” น้ำเสียงคุ้นเคยดังออกมาข้างหูหวังหลิน เป็นเสียงอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเมตตา
ร่างหวังหลินตั้งตรงและควันสีเขียวก็หยุดโค้งงอ พอหวังหลินเดินผ่านเตาธูป ควันสีเขียวจึงกลับคืนสู่ปกติ
……………………………………….
ตอนที่ 2009 ชาหนึ่งถ้วยอบอุ่นเหมือนบ้าน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ วังหลวงอาณาเขตเต๋า จักรพรรดิกำหมัดและมีสีหน้ามืดมน
ชายชราด้านหลังไม่กล้ากลืนน้ำลาย เขาตกตะลึงจริงๆ แต่เพราะแรงกดดันทับใส่จึงไม่กล้าเผยอะไรออกมา
‘ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของโลหิตวิญญาณ…’ จักรพรรรดิเผยแววตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร เขาได้แต่คาดเดามาตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมาและมันเป็นเหมือนหนามในใจไปแล้ว!
ผ่านไปสักพักจักรพรรดิจึงพูดขึ้น “เร็วเข้า ผสานหญิงที่เลือกมาพวกนั้นเข้ากับวิญญาณ!”
“รับคำสั่ง!” ชายชราคุกเข่าทันที แผ่นหลังชุ่มไปด้วยเหงื่อ การเผชิญกับจักรพรรดิเต๋าผู้เจ้าอารมณ์เช่นนี้ เขาได้เห็นคนถูกประหารชีวิตอย่างไร้เหตุผลมานักต่อนักแล้ว
จักรพรรดิสะบัดแขนเสื้อและหายตัวไป
ทางด้านทิศใต้ของเมือง ด้านนอกอารามเต๋า หวังหลินถูกล้อมรอบด้วยผู้คนที่กำลังมองมาด้วยความหวาดหวั่น หวังหลินก้าวเข้าสู่อารามแต่ไม่ได้เข้าไปและหายวับเบื้องหน้าแทน
เขาปรากฏตัวอีกครั้งด้านหลังภูเขา ซึ่งมีวังที่เหมือนสรวงสวรรค์ ด้านข้างเป็นกระแสน้ำสดใสไหลผ่านก้อนหินและมีเหล่าปลาแหวกว่ายอย่างมีความสุข
ด้านข้างกระแสน้ำมีกระท่อมแห่งหนึ่ง มีโต๊ะหินหนึ่งตัวตรงหน้ากระท่อมพร้อมกับเก้าอี้หินสองสามตัว ชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หิน แม้จะดูเยาว์วัยแต่เปล่งกลิ่นอายเก่าแก่ราวกับมีชีวิตอยู่มานาน
เขามองหวังหลินด้วยรอยยิ้ม
บนโต๊ะหินมีกาน้ำชาวางเอาไว้ วินาทีที่หวังหลินปรากฏตัว น้ำก็เดือดและเกิดฟอง
“มาสิ อาจารย์ต้มน้ำไว้เผื่อเรามาลิ้มรสชานี้ด้วยกัน”
หวังหลินยิ้มและเดินเข้าไปหา เขารินชาครึ่งถ้วยให้แก่กัน ยกขึ้นมาหนึ่งถ้วยและประคองส่งให้แก่ชายหนุ่มชุดเชียวด้วยสองมือ
ชายหนุ่มรับไว้ด้วยรอยยิ้มและมองหวังหลินด้วยสายตาอ่อนโยน
หวังหลินนั่งอยู่ด้านข้างและหยิบถ้วยชาตัวเองขึ้นมา เขาดื่มไปหนึ่งจิบ หลับตาลงพลางสัมผัสถึงกลิ่นหอมในลำคอ ความร้อนแผ่กระจายและทำให้ทั่วร่างอบอุ่น
“เป็นอย่างไร?” ชายหนุ่มชุดเขียวยิ้ม
“อบอุ่นเหมือนบ้าน” หวังหลินลืมตาและเผยรอยยิ้ม
พอชายหนุ่มชุดเขียวได้ยินเช่นนี้จึงเริ่มหัวเราะ เขารอให้ศิษย์มาถึงที่นี่และกระทั่งเตรียมชาร้อนไว้ให้ เป็นการบอกหวังหลินว่านับแต่นี้ไป ที่นี่คือบ้าน!
เพราะชาสามารถอบอุ่นร่างกายและทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นได้
ทั้งสองคนไม่ได้เจอกันมาหลายร้อยปี ยามนี้ไม่มีม่านอะไรกั้น ชายหนุ่มชุดเขียวมองมาที่หวังหลิน ยิ่งเขามองยิ่งเกิดความพึงพอใจ
“ตอนที่อาจารย์ออกมาจากเผ่าเทพ ข้ารู้สึกหมดหนทาง แต่พอข้าสังเกตได้ว่าเจ้าปรากฏตัวในเผ่าเทพ ข้าจึงรู้ว่าวันหนึ่งเราทั้งสองจะได้เจอกันอีกครั้ง!”
“อาจารย์ได้เตรียมชาหม้อนี้ตั้งแต่นั้น!” ชายหนุ่มชุดเขียวคือมหาชั้นฟ้าซวนลั่ว!
“อาจารย์เฝ้าดูเจ้าทำทุกอย่างในเผ่าเทพ แต่อาจารย์ไม่สามารถช่วยเหลือได้ หากอาจารย์ช่วย เหล่ามหาชั้นฟ้าทั้งหมดในเผ่าเทพคงสังเกตเห็น…” ซวนลั่วพูดขึ้นพลางมองหวังหลิน
“แต่ข้าเชื่อว่าศิษย์คนเดียวที่ข้ารับมาคงเป็นคนพิเศษ เขาจะเดินออกมาจากเผ่าเทพและมาที่อาณาเขตเต๋าได้!”
หวังหลินวางถ้วยชาลง สายตาประสานกับซวนลั่ว
“ศิษย์สัญญากับอาจารย์แล้วว่าจะมาที่นี่และคุ้มกันอาณาเขตเต๋า…”
“ผู้สูงส่งชั้นเทวะผมขาว อันดับหนึ่งใต้เหล่ามหาชั้นฟ้า!” ซวนลั่วหัวเราะพลางยืนขึ้น
“หวังหลิน พักผ่อนก่อนเถอะ ในอีกสามวันอาจารย์จะพาเจ้าไปสถานที่หลายแห่งเพื่อช่วยเพิ่มระดับบ่มเพาะขึ้นอีกมหาศาล มันจะเป็นของขวัญชิ้นแรกของเจ้าที่ยอมรับข้าเป็นอาจารย์!”
ซวนลั่วมองหวังหลินด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงหายตัวไป
“หวังหลิน ข้ามอบที่นี่ให้เจ้า!”
หวังหลินยืนขึ้นและโค้งตัวให้กับท้องฟ้า ผ่านไปสักพักจึงเงยศีรษะ มองรอบๆ ด้วยสายตาซับซ้อนและค่อยๆ เลือนหายไป
‘ช่างมันเถอะ พักอยู่ที่อาณาเขตเต๋าก่อน…’ หวังหลินถอนหายใจก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้หินและดื่มชาเงียบๆ
เขาตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่ไปสักพัก หากไม่มีเหตุบังเอิญ…เขาสามารถคุ้มกันอาณาเขตเต๋าได้จนกว่าจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับซวนลั่ว แม้จะรู้สึกไม่คุ้นชินที่นี่ก็ตามที
เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หวังหลินพักอยู่ในสถานที่คล้ายสรวงสวรรค์ เฝ้าดูดวงอาทิตย์ขึ้นและตกพร้อมกับสูดอากาศสดชื่นเข้าปอด จากนั้นหวังหลินก็รู้สึกว่าซวนลั่วกำลังเรียกหา เขาก้าวทะยานและเกิดระลอกคลื่น จากนั้นหายตัวไปจากที่นี่
หวังหลินปรากฏตัวอีกครั้งด้านหน้าอารามเต๋า เวลานี้เป็นยามเช้าของวันที่สี่ ภูเขาปกคลุมไปด้วยหมอกเขียวหนึ่งชั้น ซวนลั่วกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าอารามเต๋า ด้านหลังมีคนอีกเก้าคน
ในเก้าคนนั้นมีอยู่เจ็ดคนเป็นบุรุษและอีกสองคนเป็นสตรี ระดับบ่มเพาะแต่ละคนพิเศษยิ่งและทุกคนล้วนมีดาว 27 ดวงจนได้รับชื่อบัญชาโบราณ พอหวังหลินปรากฏตัว สายตาทุกคนจึงจ้องมองมารวมกัน
หวังหลินมีท่าทีสงบนิ่งและกวาดสายตาผ่านคนทั้งเก้าไป คนที่มีระดับบ่มเพาะสูงที่สุดเป็นชายชรา หวังหลินรู้สึกว่าเขามีความสามารถเท่ากับผู้สูงส่งชั้นเทวะของเผ่าเทพ
ส่วนอีกเก้าคนเทียบได้กับผู้สูงส่งชั้นฟ้า
เพียงหวังหลินมองมาที่พวกเขาและพวกเขาก็มองมาที่หวังหลินด้วย แต่เทียบกับความสงบนิ่งของหวังหลินแล้ว วินาทีที่ทั้งเก้าคนเห็นหวังหลิน จิตใจแต่ละคนสั่นไหว
ในสายตาแต่ละคน หวังหลินราวกับวังวนยักษ์ดูดกลืนจิตใจ แม้แต่พลังโบราณภายในร่างก็คล้ายจะถูกดูดกลืนไปด้วย
ทั้งเก้าคนขบคิดเงียบๆ และจากนั้นโค้งตัวให้แก่หวังหลิน “เราขอคารวะปรมาจารย์น้อย!”
“หวังหลิน ทั้งเก้าคนนี้ทำตามคำสั่งข้าและติดตามข้ามาหลายปี ตั้งแต่นี้ไปทั้งเก้าคนจะเชื่อฟังคำสั่งเจ้าด้วย” หวังหลินยิ้มและมองทั้งเก้าคนที่กำลังโค้งคำนับ
หวังหลินพูดขึ้น “ขอบคุณ อาจารย์”
ซวนลั่วยิ้มและกำลังจะพูดต่อไป แต่ทันใดนั้นกลับขมวดคิ้วและมองไปบนท้องฟ้า หวังหลินสังเกตอะไรบางอย่างได้เช่นกันและมองไป
ส่วนทั้งเก้าคนเพิ่งสัมผัสการเปลี่ยนแปลงในท้องฟ้า สายตามองไปเบื้องบน
ชั่วขณะต่อมาระลอกคลื่นจำนวนมากปรากฏในท้องฟ้าและแผ่กระจาย แสงสีม่วงวูบวาบและมีหมอกสีม่วงหนาแน่นกระจายกันออกมา จากนั้นเสียงคำรามดังสนั่น มือขนาดใหญ่หนึ่งคู่โผล่ออกมาจากหมอกสีม่วง ตามมาด้วยชายร่างสูงหลายพันฟุตก้าวเดินออกมา
ด้านหลังมีปิศาจโบราณขนาดสูงหลายพันฟุตติดตามมาอีกหลายตัว ต่อจากนั้นมีคนเกือบร้อยคนก้าวเดินออกมาจากหมอกม่วง
ไม่มีใครที่มีระดับบ่มเพาะอ่อนแอ มีไม่มากนักที่มีระดับผู้สูงส่งชั้นฟ้า แต่เกือบทั้งหมดเทียบได้กับผู้สูงส่งชั้นทอง มีทั้งเทพโบราณ ปิศาจโบราณและมารโบราณ
หลังจากปรากฏตัวจึงยืนนิ่งอยู่ในท้องฟ้าและคุกเข่าลงเข้าหาหมอกม่วง
“ยินดีต้อนรับ จักรพรรดิโบราณ!” เสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วฟ้า
เพียงเหล่าเสียงดังกึกก้อง หมอกม่วงปั่นป่วนรุนแรงและมีคนผู้หนึ่งก้าวเดินออกมา เขาสวมชุดคลุมสูงศักดิ์และสวมมงกุฎเปล่งแรงกดดันมหาศาล
ด้านหลังเป็นชายชราสองคน ทั้งสองหลังค่อมและติดตามมาใกล้ๆ
หวังหลินกวาดสายตาผ่านชายชราสองคนไป ดวงตาเรืองแสงโดยไม่มีใครสังเกตเห็น ทั้งสองคนมีกลิ่นอายไม่ด้อยไปกว่าขั้นผู้สูงส่งชั้นเทวะ!
“ยินดีต้อนรับ จักรพรรดิโบราณ!” ทั้งเก้าคนที่อยู่ใต้อำนาจซวนลั่วพลันเกิดความเคารพเมื่อเห็นหมอกม่วง วินาทีที่ชายในชุดคลุมสูงศักดิ์ปรากฏตัว พวกเขาเผยสีหน้าตื่นเต้นและคุกเข่าลงหนึ่งข้างทันที
มีเพียงซวนลั่วและหวังหลินที่ยืนมองอยู่ตรงนั้นอย่างสงบนิ่ง
“เย่ต้าวขอทักทายท่านซวน” ชายในชุดคลุมสูงศักดิ์ยิ้มขึ้นมาและกลิ่นอายหลอมรวมกลายเป็นสายลมอบอุ่น ใครที่เห็นต่างก็รู้สึกเป็นมิตร
หวังหลินยืนมองอยู่ตรงนั้น จากผู้คนที่คุกเข่าและคำพูดที่เอ่ยขึ้นมา หวังหลินจึงรู้ว่าชายคนนี้คือจักรพรรดิเต๋า!
พอมองเช่นนี้ หวังหลินจึงอดไม่ได้ที่จะเทียบกับจักรพรรดิเทพเหลียนต้าวเจิน ไม่ว่าจะเป็นระดับบ่มเพาะหรือนิสัยใจคอ เขาไม่สามารถเทียบกับจักรพรรดิเทพได้เลย แต่กลับได้รับความเคารพจากผู้คนซึ่งเห็นได้ชัดจากคนทั้งเก้าใต้อำนาจซวนลั่ว
‘ระดับบ่มเพาะของเขาแค่ผู้สูงส่งชั้นฟ้าเท่านั้น’ หวังหลินมีสีหน้าเป็นปกติ พลังอำนาจของสายเลือดราชวงศ์สามารถส่งผลกระทบต่อทุกคนในอาณาเขตเต๋า แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อหวังหลิน
ซวนลั่วมีสีหน้าเป็นปกติเช่นกันพลางเอ่ยถาม “เจ้ามาทำไม?”
“สามวันก่อน เย่ต้าวสังเกตเห็นควันลอยขโมงในท้องฟ้าและเดาได้ว่ามีคนทรงพลังผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นในอาณาเขตเต๋า ดังนั้นข้าจึงมาดูเสียหน่อย ใช่เขาหรือไม่?” จักรพรรดิเต๋าพยักหน้าให้กับหวังหลิน
“เขาคือศิษย์ข้า ข้าเดาว่าเจ้าคงได้ยินเรื่องเขาแล้ว ผู้สูงส่งชั้นเทวะผมขาวแห่งเผ่าเทพ หวังหลิน! เขาจะมาแทนที่ข้าในระหว่างการเกิดใหม่ของข้าเพื่อปกป้องอาณาเขตเต๋า” ซวนลั่วพูดขึ้นอย่างสงบนิ่งพลางมองจักรพรรดิเต๋า
“หวังหลิน เขาคือจักรพรรดิของอาณาเขตเต๋าของเรา! ทั้งยังเป็นคนที่เจ้าจำเป็นต้องคุ้มกันในภายภาคหน้า หากเขาลงจากบัลลังก์ เมื่อนั้นเจ้าจำเป็นต้องเลือกองค์ชายให้กลายมาเป็นจักรพรรดิคนใหม่ นี่คือสิทธิ์ของมหาชั้นฟ้า!”
หวังหลินมีท่าทีเดียวกันแต่จิตใจเต้นกระดอน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่าจักรพรรดิในแต่ละรุ่นถูกเลือกมาจากมหาชั้นฟ้า!
‘สายเลือดราชวงศ์และมหาชั้นฟ้าอยู่ร่วมกันนับตั้งแต่โบราณ…บางทีมันคงมีเหตุผลอยู่! มิน่าเล่าองค์ชายจี้ตูถึงขอให้ข้าช่วย พลังการต่อสู้ของข้าเป็นหนึ่งใต้เหล่ามหาชั้นฟ้า ได้รับการช่วยเหลือจากข้าจะทำให้เขาได้รับความดีความชอบจากมหาชั้นฟ้า’
ขณะที่หวังหลินขบคิด เสียงคำรามหนึ่งดังออกมาจากชายชราด้านข้างจักรพรรดิเต๋า
“แม้เจ้าจะเป็นศิษย์ของมหาชั้นฟ้า เจ้ายังเป็นคนของอาณาเขตเต๋า ตามกฎแล้วทุกคนในเผ่า นอกเหนือจากมหาชั้นฟ้า จะต้องคุกเข่าเบื้องหน้าจักรพรรดิเต๋า!”
“เจ้า ทำไมถึงไม่คุกเข่า!” ชายชราเผยแววตาเย็นเยียบและพูดอย่างเย็นชา
……………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น