Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 2000-2005

 ตอนที่ 2000 คำขอโทษตั้งแต่ยุคโบราณ!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ข่าวการทำลายวังหลวงและการตายของจักรพรรดิเทพไม่ได้กระจายออกไปเพราะจิ่วตี้ได้ระงับข่าวเอาไว้ ซากปรักหักพังกลับคืนสู่ปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ข่าวได้บอกว่าจักรพรรดิเทพปิดด่านบ่มเพาะอีกครั้ง


จักรพรรดิเทพเหลียนต้าวเจินในรุ่นปัจจุบันมักจะปิดด่านบ่มเพาะและมีช่วงเวลาไม่แน่นอน ทั้งเผ่าเทพจึงไม่คิดถามไถ่อะไรมากนัก


หวู่เฟิงกลับสู่แผ่นดินทิศเหนือและปิดผนึกตัวเองอยู่ในธารน้ำแข็งทันที เขาขับไล่คำสาปบรรพชนในร่างกายอย่างเงียบๆ


หลังจากได้รับคำสาปบรรพชน เขาก็ไม่เคยใช้พลังโจมตีออกไป ดังนั้นเขาจึงมีเวลาจัดการกับคำสาปได้ง่ายมากกว่าต้าวยี่และจิ่วตี้ นอกจากนี้เขายังได้ส่วนหูของบรรพชนเทพ เมื่อเขาขับไล่คำสาปออกไปได้และหลอมหูทั้งสองข้าง ระดับบ่มเพาะจะเพิ่มพูนขึ้นมหาศาล


ด้านต้าวยี่ฝืนลากสังขารตัวเองกลับไปสำนักต้าวยี่พร้อมกับอดทนต่อความเจ็บปวดที่รุนแรงและระงับความอับอายในใจเอาไว้ เขาเข้าไปปิดด่านบ่มเพาะในทันที


ทว่าคำสาปบรรพชนได้ปะทุขึ้นอย่างเต็มที่ในร่างจนเขาไม่สามารถขับไล่คำสาปออกไปได้ง่ายๆ ทว่าต้าวยี่คือมหาชั้นฟ้าและไม่ใช่คนธรรมดา แม้แต่มหาชั้นฟ้าชวงจื่อยังเรียกเขาว่า “เจ้าคนหลอกลวง!”


เพื่อขับไล่คำสาปบรรพชนโดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อระดับบ่มเพาะในภายหลัง เขาจึงรวบรวมผู้สูงส่งชั้นฟ้าและผู้สูงส่งชั้นเทวะอีกหลายคน รวมถึงเรียกเหล่าผู้สูงส่งชั้นทองจำนวนมากเพื่อบังคับให้คำสาปแผ่กระจายสู่ทุกคน!


คำสาปบรรพชนรุนแรงมาก ดังนั้นผู้สูงส่งชั้นทองจึงตายทันทีเพียงแค่สัมผัส! แม้แต่ผู้สูงส่งชั้นฟ้ายังส่งเสียงร้องโหยหวนพร้อมกับร่างกายเริ่มเน่าเปื่อย ถึงจะอยู่ได้นานกว่าเล็กน้อย ผลสุดท้ายก็ยังตาย!


มีเพียงผู้สูงส่งชั้นเทวะเท่านั้นที่สามารถเอาชีวิตรอดได้ด้วยระดับบ่มเพาะอันแข็งแกร่ง แต่สิ่งที่เสียไปก็ยังมหาศาล


นอกจากใช้ผู้สูงส่งชั้นฟ้าและชั้นเทวะที่อยู่ใต้อำนาจมหาชั้นฟ้าต้าวยี่เข้าช่วยแบกรับคำสาป ต้าวยี่ยังค้นหาเซียนขั้นที่สามอย่างบ้าคลั่ง แม้จะช่วยเขาแบกรับคำสาปไปเพียงแค่เศษเสี้ยวก็ยังเป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างยิ่ง


วิธีโหดเหี้ยมในการแบ่งปันคำสาปบรรพชนเช่นนี้ได้ทำให้สำนักต้าวยี่แทบกลายเป็นสำนักไร้ชีวิต…


จิ่วตี้พาไฮ่จื่อกลับไปยังภูเขาจักรพรรดิและปิดด่านบ่มเพาะทันที เขาทรงพลังมากดังนั้นจึงสามารถสลายคำสาปด้วยตัวเองอย่างช้าๆ อีกทั้งการมีไฮ่จื่อช่วยเหลือ พลังคำสาปบรรพชนจะค่อยๆ หายไปตามกาลเวลา


มีเพียงมหาชั้นฟ้าชวงจื่อเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากคำสาปเพราะนางไม่ใช่คนโลภมาก สองสาวน้อยพอกลับไปถึงจึงปิดด่านบ่มเพาะเพื่อผสานเข้ากับดวงตาบรรพชน เมื่อออกมาอีกครั้งคงจะสามารถกลบจุดด้อยที่เกิดจากอุบัติเหตุในระหว่างการเกิดใหม่ได้


เผ่าเทพยังมีมหาชั้นฟ้าทั้งห้าคน แต่คนที่ห้าเพียงแค่หลับใหลอยู่ในมิติที่อยู่ใต้วังหลวง เขาเปลี่ยนกลายเป็นภูเขาสีทองและจองจำวิญญาณ 72 ดวงของทั้ง 72 แคว้น


ข้างใต้ภูเขาแห่งนี้ เหลียนต้าวเฟยยังคงหลับไหลราวกับรอคอยให้หวังหลินมาถึงในครั้งหน้า


ครึ่งปีต่อมา


ณ แคว้นกระทิงสวรรค์ แผ่นดินทิศตะวันออกของเผ่าเทพ


แคว้นกระทิงสวรรค์ที่ครั้งหนึ่งเต็มไปด้วยภูเขากลับสูญหายไปจำนวนมากเนื่องจากสงครามระหว่างแคว้นมารเขียว ทำให้ภูมิทัศน์ของแคว้นแห่งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง


อย่างไรก็ตามโครงสร้างด้านพลังอำนาจไม่ได้เปลี่ยนมากนัก สำนักมหาวิญญาณและสำนักกุ้ยยี่ยังคงเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดและมีสำนักเล็กๆ ยิบย่อยอยู่ใต้การปกครอง


เหล่าศิษย์ที่ได้ส่งไปยังเมืองหลวงกลับมาถึงสำนักของตัวเอง ทุกคนได้โชควาสนาตามแบบฉบับของตัวเองและอาจได้กลายเป็นอนาคตของสำนัก


ณ สำนักมหาวิญญาณ


หลังจากหวังหลินออกไป บรรพชนกระทิงสวรรค์จึงปิดด่านบ่มเพาะไม่สนใจเรื่องราวของโลกภายนอก เรื่องเกี่ยวกับสำนักจึงทิ้งไว้ให้กับผู้อาวุโสแต่เขาก็ตั้งกฎเอาไว้ ภูเขาที่มอบให้หวังหลินจะถูกเก็บรักษาไว้และกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามไม่ให้คนอื่นได้เข้าไป


หลายคนต่างก็สงสัยเรื่องนี้ พอหวังหลินกลายเป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดังในบททดสอบชั้นฟ้าและข่าวลือเรื่องผู้สูงส่งชั้นเทวะผมขาวแพร่กระจายออกไป ผู้คนของสำนักมหาวิญญาณต่างก็สับสน หลายคนค่อยๆ คาดเดาเบาแสหลายอย่างว่าหวังหลินแท้จริงแล้วคือผู้สูงส่งชั้นฟ้าผมขาว จากนั้นจึงเข้าใจความหมายที่บรรพชนกระทิงสวรรค์ต้องการ


หยานหลวน ในอดีตเป็นผู้อาวุโส ตอนนี้นางมีตำแหน่งสูงส่งในสำนักและสามารถตัดสินใจเรื่องสำคัญได้บางเรื่อง นางสามารถย้ายออกจากภูเขาของตัวเองเข้าไปในส่วนลึกของสำนักเพื่อหาถ้ำที่ดีกว่าเดิมได้


แต่นางก็ไม่จากไปไหน เพราะนางสามารถมองเห็นภูเขาของหวังหลินได้ในระยะสายตาจากบนยอดเขาของตัวเอง เมื่อใดก็ตามที่นางนึกถึงเรื่องอดีต นางก็จะยืนอยู่บนยอดเขา มองไปทางภูเขาของหวังหลินพลางขบคิดเงียบๆ


ฟ่านชานเมิ่งและฟ่านชานลิ่วยังคงเป็นศิษย์ของนาง ความขัดข้องใจที่มีต่อหวังหลินได้หมดสิ้นแล้ว พอหลายปีผ่านไปก็ลืมไปหมดสิ้น


ในสำนักมหาวิญญาณมีผู้อาวุโสเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน เขาคือตู้ฉิง ร่างกายไม่ได้สร้างขึ้นมาจากเลือดเนื้อแต่เป็นเศษไม้ หลังจากวิญญาณดั้งเดิมของเขาควบแน่นอยู่ในไม้ จึงทำให้กลายเป็นร่างกายขึ้นมา


เขาถูกบรรพชนกระทิงสวรรค์แต่งตั้งให้เป็นผู้อาวุโสโดยไม่สนระดับบ่มเพาะ ชีวิตเขาจึงสะดวกสบายยิ่งกว่าก่อนนี้มากมาย


กาลเวลาผ่านไป ดวงอาทิตย์ขึ้นและตกหลายครั้ง สำนักมหาวิญญาณดูเหมือนไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักเช่นเดียวกับแคว้นกระทิงสวรรค์ ภูเขายังคงเป็นภูเขาเดิม ตำหนักต่างๆ ก็ยังคงเหมือนเดิมเช่นก่อนหน้านี้


หวังหลินยืนอยู่นอกสำนักมหาวิญญาณและมองสำนักอันคุ้นเคย ตอนที่เขามาถึงที่นี่ครั้งแรก เขาเข้าใจสำนักมหาวิญญาณได้อย่างผิวเผิน จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เข้าใจมากขึ้นจนออกจากสำนักไปและเจอกับเรื่องราวหลายอย่าง ท้ายที่สุด ณ วังหลวงซึ่งห่างจากสำนักมหาวิญญาณไกลแสนไกล เขาได้ค้นพบความสัมพันธ์ของที่นั่นกับสำนักมหาวิญญาณจนกระทั่งในตอนนี้เขาก็ยังมีบางอย่างที่ไม่รู้เกี่ยวกับสำนักมหาวิญญาณ


‘เผ่าพันธุ์ต้าวหวัง…อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้…บรรพชนของสำนักมหาวิญญาณผู้นี้ บางทีเขาอาจจะตายไปแล้วหรืออาจจะไม่ตาย…แต่แผนการของเขาวางไว้นานหลายปีและทำนายเหตุการณ์ได้ถึงเหตุการณ์ของวันนี้ เขาวางแผนหลอกทุกคน ในสายตานั้นทุกคนเป็นเพียงตัวหมาก…’


‘ท้ายที่สุดแผนการในการปลดปล่อยผนึกของเผ่าพันธุ์และทำให้สายโลหิตบรรพชนเทพหายไปก็ทำได้สำเร็จ เพื่อให้คนในเผ่าที่เหลืออยู่คนสุดท้ายได้รับอิสระภาพ…’


หวังหลินมองสำนักมหาวิญญาณด้วยท่าทีที่ซับซ้อน หวังหลินมาถึงแผ่นดินเซียนดาราได้นานแล้วแต่ตอนนี้เพิ่งจะรู้ว่าแคว้นกระทิงสวรรค์อันห่างไกลที่ผู้คนดูถูกกลับซ่อนความลับสืบต่อกันมาหลายรุ่น


หวังหลินถอนหายใจพลางก้าวเข้าสู่สำนักมหาวิญญาณ


ระดับบ่มเพาะในตอนนี้ของหวังหลินเหนือกว่าบรรพชนกระทิงเขียวและศิษย์สำนักมหาวิญญาณทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตการมาถึงของเขาได้


ภายในสำนักมหาวิญญาณ หวังหลินเห็นตู้ฉิงและหยานหลวนที่กำลังยืนอยู่บนภูเขาด้วยชุดราตรีสีแดงเพลิง หวังหลินยังเห็นฟ่านชานเมิ่งและฟ่านชานลิ่วด้วย


หวังหลินก้าวเข้าสู่ส่วนลึกของสำนักมหาวิญญาณโดยไม่หยุดพัก มุ่งหน้าเข้าตำหนักสลักวิญญาณที่เขาเคยเข้าไปเมื่อคราวก่อน!


ตำหนักสลักวิญญาณ ที่ตอนนั้นต้องเปิดด้วยพลังของบรรพชนกระทิงเขียว แต่ตอนนี้เพียงหวังหลินก้าวเท้าก็มายืนอยู่นอกตำหนักสลักวิญญาณได้แล้ว


ตำหนักเจ็ดชั้นปกคลุมด้วยหมอกบางๆ ด้านนอกมีรูปปั้นอสูรขนาดใหญ่สองตัวคล้ายกับมีชีวิต


ประตูของตำหนักปิดสนิทและเงียบงัน มีตัวอักษรขนาดใหญ่อยู่เหนือประตู


ตำหนักสลักวิญญาณ!


ตำหนักแห่งนี้ดูเหมือนมีเจ็ดชั้นแต่ความจริงมันมีชั้นที่แปด เก้า…และชั้นที่สิบ! บรรพชนกระทิงสวรรค์พูดเอาไว้ว่าแม้แต่เขาก็ไม่สามารถเข้าไปชั้นที่สิบได้ ที่นั่นมีบรรพชนรุ่นก่อนๆของสำนักมหาวิญญาณนอนพักผ่อนอย่างสงบ


หวังหลินมองไปบนยอดตำหนักด้วยใบหน้าสงบนิ่ง เขามาเพื่อค้นหาคำตอบว่าอัจฉริยะของเผ่าต้าวหวังทิ้งอะไรเอาไว้ให้


หวังหลินเปิดประตูก้าวเข้าไป เขาคุ้นเคยกับที่นี่และก้าวขึ้นบนบันไดอย่างมั่นคง


ภายในตำหนักอันเงียบสงัดเกิดเสียงแตกร้าวดังสนั่น หวังหลินก้าวไปบนชั้นที่สอง สาม…จนกระทั่งถึงชั้นที่แปดซึ่งเขาเคยมาถึงชั้นนี้แล้ว


หวังหลินไม่จำเป็นต้องทะลวงเขตอาคมที่นี่ เพียงแค่เขาเดินผ่าน เขตอาคมก็แตกกระจาย


หวังหลินก้าวเดินขึ้นสู่บันไดชั้นที่เก้าอย่างช้าๆ ในชั้นนี้มีหินหยกเพียงไม่กี่ก้อนลอยอยู่ พวกมันมีสุดยอดวิชาของสำนักมหาวิญญาณ


วิชาภาพมายาทับซ้อนฉบับสมบูรณ์ที่หวังหลินต้องการอยู่ที่นี่


เขากวาดสายตาผ่านหินหยกไปทีละก้อน หวังหลินมองเห็นทุกอย่างข้างในและจากนั้นเดินไปยังบันไดเก่าๆ ห่างออกไปไม่ไกลนัก


บันไดขึ้นสู่ชั้นที่สิบ!


ขั้นบันไดทั้งหมดมีสิบสามขั้น หวังหลินยกเท้าเหยียบขึ้นไปทีละก้าวจนมาถึงยอดตำหนักสลักวิญญาณชั้นที่สิบ


วินาทีที่เขาเข้ามาชั้นที่สิบได้ หวังหลินเห็นบางอย่างที่ทำให้เขาต้องขบคิดอยู่นาน เขามองข้างในด้วยความรู้สึกซับซ้อนสักพักก่อนจะถอนหายใจ


‘แสดงว่านี่คือสิ่งที่เจ้าทิ้งไว้ให้ข้า…และสิ่งที่เจ้าต้องทำให้ข้ามาถึงที่นี่…อัจฉริยะของเผ่าต้าวหวัง…เรื่องที่เจ้าหลอกใช้ข้าก็เหมือนที่ข้าบอกไฮ่จื่อ!’ หวังหลินไม่ได้มองไปรอบชั้นที่สิบแต่หันตัวกลับและจากไป


ภายหลังหวังหลินจากไป ภาพเหตุการณ์ที่สมบูรณ์ของชั้นที่สิบจึงเผยออกมา


ชั้นที่สิบไม่ได้ใหญ่นัก มีขนาดเพียงร้อยฟุตเท่านั้น ภายในมีรูปปั้นและโครงกระดูกอยู่หนึ่งร่าง


รูปปั้นเป็นรูปร่างของชายคนหนึ่ง เขายืนอยู่และใช้สายตามองลงมาดุจมีพลังอำนาจใจการทำลายโลก เปล่งแรงกดดันที่ไม่ได้โกรธเกรี้ยวและจ้องมองโครงกระดูกเบื้องหน้าอย่างเย็นชา


โครงกระดูกกำลังคุกเข่าเบื้องหน้ารูปปั้นด้วยท่าทีเจ็บปวดและอ้อนวอน บนศีรษะมีรอยแตกร้าวแต่ไม่มีสมอง…ภายในหน้าอกมีหลุมแต่กลับไร้หัวใจอยู่ข้างใน…


สองมือยกขึ้นเหนือศีรษะ แขนซ้ายถือสมองที่เหี่ยวแห้ง ส่วนแขนขวาถือหัวใจไร้สัญญาณชีพ เขามองดูรูปปั้นราวกับกำลังขอให้ยกโทษและคุกเข่าอยู่ที่นี่มานานหลายปีตั้งแต่อดีต…


นี่ไม่ใช่โครงกระดูกธรรมดาแต่เป็นพันธนาการวิญญาณ วิญญาณดวงที่อ้อนวอนให้ยกโทษ


รูปปั้นตรงหน้าคือรูปปั้นหวังหลิน


โครงกระดูกนั้นคือบรรพชนสำนักมหาวิญญาณ อัจฉริยะของเผ่าพันธุ์ต้าวหวัง!


…………………………………………………….


ตอนที่ 2001 ทะเล

โดย

Ink Stone_Fantasy

แผ่นดินเซียนดารา ห้าแคว้นหลักและ 72 แคว้นย่อยของเผ่าเทพได้ครอบครองพื้นที่มากกว่าครึ่งของแผ่นดินเซียนดารา ที่เหลืออีกเกือบครึ่งเป็นของ 36 แคว้นของเผ่าโบราณโดยมีพื้นที่ทะเลอันกว้างใหญ่ขนาดหนึ่งในสิบของแผ่นดินเซียนดารามาแบ่งทั้งสองเผ่าออกจากกัน


ทะเลแห่งนี้คือทะเลอันกว้างใหญ่ที่สุดบนแผ่นดินเซียนดารา มันมีแต่คลื่นโหมกระหน่ำและมีหมอกตลอดทั้งปี การที่คนธรรมดาจะข้ามผ่านไปถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แม้แต่เซียนที่มีระดับบ่มเพาะต่ำต้อยก็ไม่สามารถทะลวงผ่านไปได้เช่นกัน


ทะเลนี้คือม่านป้องกันตามธรรมชาติเพื่อไม่ให้เผ่าเทพและเผ่าโบราณไปมาหากันได้


บริเวณชายแดนคือแผ่นดินทิศเหนือและทางเหนือสุดคือแคว้นหานเมี่ยน ซึ่งไม่ได้ใหญ่นักและส่วนใหญ่มีแต่หิมะปกคลุม


เหล่าเซียนที่อาศัยอยู่บนแคว้นแห่งนี้ต่างก็คุ้นชินกับสภาพอากาศ ส่วนใหญ่บ่มเพาะวิถีที่เกี่ยวกับความหนาวเย็น ที่นี่มีคนธรรมดาน้อยมากและยิ่งขึ้นเหนือไปอีกก็ยิ่งมีคนธรรมดาน้อยลง


สุดเขตแคว้นทางเหนือคือทะเลอันกว้างใหญ่ หากมองแคว้นหานเมี่ยนจากมุมสูงจะดูเหมือนเป็นเศษน้ำแข็งลอยอยู่ตรงขอบทะเล ซึ่งมันถูกทะเลซัดกระหน่ำทุกคืนวันแต่ก็ไม่เคยละลาย


ยามคลื่นซัดเข้าใส่แคว้นอาจได้เห็นเศษน้ำแข็งลอยอยู่บนผิวน้ำ


ห่างจากสุดขอบแคว้นมาหมื่นลี้เป็นที่ที่ไร้สัญญาณชีวิต แม้แต่เซียนก็ไม่ค่อยมาที่นี่เนื่องจากหนาวเย็นเกินไปและเหล่าเซียนที่มีร่างกายอาจได้กลายเป็นน้ำแข็งที่นี่เนื่องจากไม่สามารถรอดชีวิตได้นานเกินไป


สายลมหิมะส่งเสียงหวีดหวิวในท้องฟ้า เกล็ดหิมะลอยสูงขึ้นในอากาศพร้อมกับสายลม จากนั้นลอยล่องลงสู่พื้นดิน


ในโลกแห่งสายลมหิมะบริเวณนี้ พื้นดินกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ภายในสายลมหิมะมีร่างสามคนที่กำลังก้าวเดินออกมาไกลๆ


ในสามคนนั้น คนตรงหน้าสวมเสื้อคลุมหนาและมีเรือนผมสีขาว หิมะจำนวนมากปะปนเข้าไปในเส้นผมและมีชั้นหิมะหนาปกคลุมเสื้อผ้า ทุกย่างก้าวที่เขาเดินจะมีหิมะหลุดออกไปและมีของใหม่ถาโถมเข้ามา


ส่วนสองคนด้านหลัง หนึ่งนั้นดูเหมือนชายชราแต่หากสังเกตอย่างละเอียดเขาเป็นชายวัยกลางคน ทั้งร่างมีแต่หิมะและดูเหมือนโดนแช่แข็ง สองมือป้องปากและมีควันสีขาวพ่นออกมาเป็นพักๆ เมื่อใดก็ตามที่เขามองคนข้างๆ เขาจะเต็มไปด้วยความอิจฉา!


บนไหล่ของอีกฝ่ายมีอสรพิษตัวเล็กแต่มันดูเหมือนมังกร มันนอนบนไหล่ชายหนุ่มอย่างขี้เกียจ เมื่อใดที่ชายคนนั้นกำลังจะโดนแช่แข็ง มันจะพ่นลมหายใจเพื่อทำให้ก้าวเดินต่อไปได้


คนสุดท้ายเป็นชายร่างกำยำแต่ถ้าพูดให้ถูกคือเขาไม่ได้แข็งแรงอะไรนัก ทว่าเป็นร่างผอมบางที่สวมผ้าไหมหลายชั้น เขาดูเหมือนตัวอ้วนและเดินวางท่า พยายามยกเท้าขึ้นตอนที่จมเข้าไปในหิมะ


สถานที่แห่งนี้หนาวเย็นแต่ชายหนุ่มกลับมีเหงื่อบนหน้าผาก พ่นควันสีขาวดูน่าสนใจ


เสียงฝีเท้าย่ำไปบนหิมะ เมื่อสายลมหิมะพัดผ่าน รอยเท้าจึงถูกลบเลือนไปในเวลาไม่นาน มีเพียงเสียงของแต่ละคนที่ไม่สามารถโดนสายลมกลืนไปได้


“ปู่ฉวี่เจ้ายังเป็นคนฉลาด ในโลกถ้ำมีแบบนี้ แผ่นดินเซียนดาราก็ต้องมีเหมือนกัน จินเปียวน้อย เจ้าอยากมาแทนตำแหน่งปู่ฉวี่แต่เจ้าไล่ตามไม่ทันหรอก!” ชายหนุ่มสวมเสื้อผ้าหนาหลายชั้นมีท่าทีภูมิใจ เขาปาดเหงื่อบนใบหน้า


“วันนี้มันร้อนอะไรกัน นี่มันร้อนเกินไป ข้ายืนไม่ไหว มันร้อนเกินไปแล้ว จินเปียว เจ้าไม่ร้อนเลยหรือ? ข้าร้อนขนาดนี้ได้อย่างไร?”


ชายด้านข้างเขาคือหลิวจินเปียว เขาชำเลืองมองฉวี่ลี่กั๋วอย่างร้ายกาจ ขณะที่กำลังจะพูดขึ้นมา สายลมเย็นพัดผ่านทำให้เขาต้องสั่นไหว แม้แต่หน้ายังถอดสี


“เอ๋ จินเปียว ทำไมเจ้าตัวสั่นขนาดนั้น? หรือว่าเจ้าหนาว? อย่าทำเป็นแกล้งเลย เจ้าหลอกข้าไม่ได้หรอก ปู่ฉวี่เจ้าเห็นทุกอย่างในเมืองหลวงแล้ว ข้าได้สมบัติมาเยอะมากและมีชีวิตที่ดี ข้ายังได้นอนเตียงอุ่นๆของน้องดอกไม้งามเชียวนะ น้องลูกท้อแดงและน้องลูกท้อฟ้าด้วย ช่างเป็นช่วงเวลาที่ดี จินเปียว เจ้าใช้เวลาไปกับอะไร?” ฉวี่ลี่กั๋วปั้นใบหน้าดูเป็นมิตรแต่ในสายตามีความเย่อหยิ่งและมีท่าทีทำให้หลิวจินเปียวอยากสู้กับเขาจนตายไปข้าง


“อาา…ข้าใส่เสื้อเยอะเกินไปมันถึงร้อนขนาดนี้ ข้าขอพูดสักหน่อยหลิวจินเปียว เจ้าดูหนาวจริงๆ ไม่ต้องห่วง ปู่ฉวี่เป็นสหายที่ดีกับเจ้า ข้าจะมอบให้…” ฉวี่ลี่กั๋วมองหลิวจินเปียวและตั้งใจหยุดชะงัก


หลิวจินเปียวตกตะลึงและเผยท่าทีตกใจตอนที่ฉวี่ลี่กั๋วยิ้มอย่างซุกซนและพูดต่อไป


“ขอข้าแนะนำเสื้อผ้าล้ำค่านี้เสียหน่อย เมื่อเจ้าฟังแล้วจะรับรู้ได้ถึงความอัศจรรย์ของมันและบางทีเจ้าจะไม่หนาวอีกเลย เจ้ามีเต๋าแห่งการหลอกลวงไม่ใช่หรือ? จงหลอกตัวเองว่าเจ้ากำลังสวมเสื้อผ้าอุ่นๆจำนวนมากมาย เมื่อนั้นเจ้าก็จะไม่หนาวอีก!” ฉวี่ลี่กั๋วจับเสื้อผ้าบนร่างและส่ายศีรษะ


“เสื้อผ้าพวกนี้เป็นสมบัติมีค่า มันสร้างขึ้นมาจากใยสวรรค์และสามารถสร้างความอบอุ่นได้มหาศาล ปู่ฉวี่ขโมยมาจากตระกูลเฉิน!”


“ผ้าไหมชิ้นนี้ก็เป็นสมบัติเช่นกัน เมื่อเจ้าสวมใส่มันจะรู้สึกเหมือนอยู่ใกล้กองเพลิง ปู่ฉวี่มีราชาเป็นผู้สนับสนุนจึงขโมยมาจากตระกูลจ้าว!”


“ชิ้นนี้…”


“ชิ้นนี้…”


“และชิ้นนี้อีก…” ฉวี่ลี่กั๋วอธิบายทีละชิ้น ก่อนที่เขาจะได้พูดจบ หลิวจินเปียวร้องคำราม


“ฉวี่ลี่กั๋ว!!”


“เจ้าจะเรียกหาปู่ฉวี่เพื่ออะไร? เจ้ากล้าขโมยพวกมันต่อหน้านายท่านเชียวหรือ? เจ้าช่างกล้านัก หลิวน้อย!” ฉวี่ลี่กั๋วเบิกตากว้างและพับแขนเสื้อขึ้น แต่เขาใส่ไปหลายชั้นเกิน ดังนั้นพอพับขึ้นหนึ่งตัวก็มีซ้อนอีกจนพับขึ้นไม่ได้ในเวลาสั้นๆแน่นอน


“นายท่าน…ดูเขาสิ…ข้า…ข้า…” หลิวจินเปียวมองฉวี่ลี่กั๋วและมองหวังหลินซึ่งเดินอยู่ข้างหน้าโดยไม่สนท่าทีอ้อนวอน


“นายท่านเมินเขาไปเลย ก็เขาต้องการเพิ่มระดับบ่มเพาะเอง นายท่านเดินช้าๆ นะ หิมะบนพื้นมันลื่น ฉวี่น้อยดูแลตัวเองได้ ท่านไม่ต้องกังวล” ฉวี่ลี่กั๋วรีบเดินขึ้นไปหลังหวังหลินและนวดไหล่ผ่านเสื้อกันหนาว เขาหันกลับมาจ้องมองหลิวจินเปียวอย่างภูมิใจและชั่วร้าย


ฉวี่ลี่กั๋วส่งข้อความสัมผัสวิญญาณออกไป “เจ้าอยากขโมยตำแหน่งของฉวี่ลี่กั๋วจากนายท่านเหรอ? เฮอะ เจ้าไม่มีสิทธิ์ ตอนที่ปู่ฉวี่ติดตามนายท่าน เจ้ายังดูดนมอยู่เลย!”


“เจ้า…”


“ข้าอะไร? ไม่ใช่ว่าข้าเป็นคนแนะนำนายท่านหรอกหรือว่าระดับบ่มเพาะของเราไม่สูงพอ เราควรเดินไปทางเหนือด้วยความแข็งแกร่งของตัวเอง สิ่งนี้จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นพร้อมกับเพิ่มระดับบ่มเพาะไปด้วย!”


“ข้าเป็นคนพูดเอง แล้วอย่างไร? ระดับบ่มเพาะของข้าไม่สูงเหมือนเจ้าและข้าก็ไม่มีมังกรขี้เกียจมาช่วยด้วย ข้ากลัวหนาวจึงสวมเสื้อผ้าหนาๆ เจ้าจะโกรธอะไรอีก? ถ้าเจ้ามีเสื้อผ้าดีดีก็สวมไป” ฉวี่ลี่กั๋วพ่นลมหายใจ


พอเห็นว่าทั้งสองคนกำลังทะเลาะกันต่อไป หวังหลินจึงขมวดคิ้ว นับตั้งแต่ที่สองคนปรากฏขึ้นมาก็ทะเลาะกันไม่หยุด


“พอแล้ว หลิวจินเปียว หากเจ้าทนไม่ไหว ข้าจะส่งเจ้ากลับเข้าไปในมิติเก็บของ” หวังหลินหยุดและมองหลิวจินเปียวที่กำลังตัวสั่นจากความหนาว


“ข้าไม่สามารถปล่อยให้ฉวี่ลี่กั๋วมีโอกาสอยู่กับนายท่านคนเดียวได้ เจ้านี่อาจพูดอะไรแย่ๆ เกี่ยวกับข้า!” หลิวจินเปียวกัดฟันและส่ายศีรษะ


“นายท่าน ข้า…ข้ายังทนไหว!” หลิวจินเปียวร่างสั่น แม้แต่เสียงก็ยังสั่นเครือ


“ฉวี่ลี่กั๋ว ถอดเสื้อผ้าสักสองสามชิ้นและมอบให้หลิวจินเปียวใส่” หวังหลินมองความคิดแต่ละคนออก จากนั้นเดินออกไปไกล


ฉวี่ลี่กั๋วถอดออกมาสองสามชิ้นโดยไม่ยินยอมและโยนให้หลิวจินเปียว ทั้งสองจ้องมองกันอย่างดุเดือดและสาปแช่งด้วยสายตาก่อนจะติดตามหวังหลิน


วันเวลาผ่านไป หวังหลินเดินผ่านทางเหนือเข้าสู่ทะเลกว้างใหญ่โดยไม่เร่งรีบ ความหนาวเย็นรุนแรงขึ้นจนแม้แต่ฉวี่ลี่กั๋วอดทนไม่ไหว หวังหลินสะบัดแขนพาทุกคนหายไป


หวังหลินปรากฏตัวอีกครั้งตรงสุดขอบแผ่นดิน เบื้องหน้าคือทะเลสีดำที่มีคลื่นกระหน่ำ เศษน้ำแข็งขนาดใหญ่ปะทะกันจนเกิดเสียงดังลั่น


“หลังจากข้ามพื้นที่นี้ไป ข้าจะอยู่บนเผ่าโบราณ…” หวังหลินสะบัดแขนเก็บหลิวจินเปียวและฉวี่ลี่กั๋วเข้าไปในมิติเก็บของ เขาขบคิดชั่วขณะก่อนที่ร่างกายกะพริบวาบและปรากฏบนเศษน้ำแข็งยักษ์หนึ่งก้อน


หวังหลินยืนอยู่บนน้ำแข็ง มองกลับไปที่เผ่าเทพ


ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ผ่านไปในชั่วพริบตา ความทรงจำหลายอย่างราวกับสายลมหนาวพัดเส้นผมสีขาวให้พริ้วไหวและทะยานออกไป


น้ำแข็งด้านล่างหวังหลินลอยขึ้นและหล่นไปในทะเล มันเคลื่อนตัวออกไปไกลและออกห่างเผ่าเทพจนดูพร่าเลื่อน


หวังหลินยืนอยู่บนนั้น จ้องมองเผ่าเทพที่กำลังละสายตาออกไปเรื่อยๆ เขาเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยจำนวนมากกำลังจะหายไป


“เหลียนต้าวเฟย…เมื่อข้ากลับมา…” หวังหลินไม่ได้พึมพำส่วนที่เหลือของประโยค ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและหนักแน่น!


เวลาผ่านไปไม่รู้นานแค่ไหน หวังหลินมองไม่เห็นเผ่าเทพอีกแล้ว ณ เส้นขอบฟ้ามีเพียงคลื่นทะเล ดวงอาทิตย์สีแดงร้อนแรงค่อยๆ ลับขอบฟ้า โลกเปลี่ยนกลายเป็นความมืด หวังหลินหันตัวกลับมา


“อาจารย์ซวนลั่ว…ศิษย์กำลังมา” หวังหลินแววตาเป็นประกายพลางยกเท้าขึ้นมาและหายตัวไปจากน้ำแข็งอย่างไร้ร่องรอย


………………………………………………….


ตอนที่ 2002 เส้นทาง

โดย

Ink Stone_Fantasy

วันคืนสับเปลี่ยนหมุนเวียนและคลื่นทะเลซัดไปมา สิ่งเหล่านี้คือสิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงและเป็นเสียงเดียวบนทะเลอันกว้างใหญ่


ทะเลไม่หนาวเย็นอีกแล้วและเริ่มชื้น ท้องทะเลรุนแรงมากขึ้น คลื่นทะเลราวกับต้องการกระชากท้องฟ้าให้เป็นชิ้นๆ


ราวกับมีอสูรแข็งแกร่งอยู่ในทะเล และมันกำลังทำให้ทะเลเข้ามาแทนที่ท้องฟ้า!


มังกรสมุทรเคลื่อนตัวอยู่ใต้ทะเลและคล่องตัวมากยิ่งกว่าอยู่ในท้องฟ้า บนศีรษะมีร่างชายชุดขาวยืนอยู่


หวังหลินไม่ได้ใช้บิดมิติเพื่อรีบไปเผ่าโบราณด้วยความเร็วสูงสุด เขาปล่อยให้มังกรสมุทรว่ายน้ำไป ส่วนตัวหวังหลินนั่งอยู่บนมังกรและเริ่มปรับแต่งระดับบ่มเพาะ


‘การเดินทางสู่เผ่าโบราณควรจะไม่มีอันตรายถึงชีวิต นอกจากนี้อาจารย์ซวนลั่วก็อยู่ที่นั่น…’ ผ่านไปสักพักหวังหลินจึงลืมตา ท้องฟ้าสีครามสดใส ดวงอาทิตย์ส่งความอบอุ่นมาบนร่างกาย


‘ในเผ่าโบราณ ข้าจะต้องทำตัวให้สงบ ช่วงระหว่างการฝึกฝนนี้ข้าจำเป็นต้องทำตามสัญญาที่ให้กับอาจารย์ไว้เสร็จสิ้น ข้าจำเป็นต้องปกป้องอาณาเขตเต๋าและคุ้มครองการเกิดใหม่ของอาจารย์’


‘นอกจากนี้ข้าก็เป็นคนของเผ่าโบราณ…’ หวังหลินถอนหายใจพลางดูโศกเศร้า


‘น่าเสียดายที่ในเผ่าเทพ ข้าไม่เจอฉิงชุ่ย ซือถูหนาน…และไม่เจอ…ลี่เฉียนเหมย นี่ช่างน่าเสียดาย…’


‘ช่างมันเถอะ เมื่อข้ากลับไปเผ่าเทพอีกครั้ง ข้าอาจจะหาพวกเขาเจอ’ หวังหลินถอนหายใจ ก่อนจะจากมาเขาได้แผ่กระจายสัมผัสวิญญาณออกไปตรวจสอบ แต่ก็ยังไม่เจอ


‘ข้าจะไม่มุ่งหน้าไปอาณาเขตซื่อหรืออาณาเขตจวี่ แต่มุ่งหน้าไปที่เมืองหลวงของอาณาเขตเต๋า ข้าสงสัยจริงว่าจะเทียบกับเมืองหลวงของเผ่าเทพได้หรือไม่’ หวังหลินมองออกไปยังพื้นที่ห่างไกลอย่างเงียบงัน


‘ข้ายังขาดแคลนระดับบ่มเพาะ ดังนั้นจึงต้องการปิดด่านบ่มเพาะในเผ่าโบราณและมุ่งมั่นสู่ระดับมหาชั้นฟ้า เมื่อข้าทำสิ่งที่สัญญากับอาจารย์สำเร็จแล้ว ข้าจะออกไปตามหาวิญญาณของหวานเอ๋อร์…’ พอคิดถึงลี่มู่หวาน แววตาหวังหลินเต็มไปด้วยความเศร้า


‘หวานเอ๋อร์…เศษวิญญาณของเจ้าอยู่ที่ไหน…เมื่อใดที่วิญญาณเจ้าสมบูรณ์ข้าจึงจะหาวิธีฟื้นคืนเจ้าได้…’ หวังหลินถอนหายใจ แขนขวายื่นออกไปในอากาศ เปิดรอยแยกสู่มิติเก็บของ


ก่อนหน้านี้หวังหลินไม่สามารถเปิดได้โดยไม่ทำให้เกิดความเสียหาย แต่ตอนนี้เขาสามารถทำได้ง่ายๆ


หวังหลินสามารถชดเชยพลังระหว่างโลกถ้ำและแผ่นดินเซียนดาราได้อย่างสมบูรณ์จนมิติเก็บของไม่ถูกทำลาย กระบี่โลหิตที่ทำให้หวังหลินมีชื่อเสียงโด่งดังจึงลอยออกมาและเปล่งจิตสังหาร


‘ของชิ้นนี้เป็นของเผ่าโบราณอาณาเขตเต๋า…’ หวังหลินถือกระบี่โลหิตและสัมผัสอย่างเบามือ เพียงแค่สัมผัสปล่ายนิ้วราวกับจิตสังหารดูมีความสุขขึ้น


‘มันเป็นของเย่โม่…ตอนที่ข้าได้ศีรษะเย่โม่ ข้าสัญญาว่าจะเมตตาต่อลูกหลานของเขา การเดินทางสู่เผ่าโบราณ ข้าจึงต้องค้นหาลูกหลานของเย่โม่…’ หวังหลินถือกระบี่พลางสะบัดให้มันลอยขึ้นไปในท้องฟ้า หลังจากนั้นสักพักจึงส่งเสียงพึมพำขึ้นมา


‘ด้วยระดับบ่มเพาะของข้าตอนนี้ ข้าสามารถปลดปล่อยพลังทุกส่วนของมันได้อย่างง่ายดาย’ กระบี่โลหิตสั่นสะเทือนและเกิดเสียงดังปะทุ บนกระบี่มีรอยแตกนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาราวกับลอกคราบและมีชั้นหนังถูกลบเลือนไป


แสงสีแดงโลหิตจากกระบี่ยิ่งรุนแรงยิ่ง ตอนนั้นหวังหลินไม่เข้าใจนักแต่ตอนนี้เขาเห็นผนึกอยู่บนตัวกระบี่ จึงได้ทำลายผนึกไป


จิตสังหารของกระบี่ยิ่งรุนแรงขึ้นและห่อหุ้มพื้นที่ทะเลรอบด้านกว่าห้าร้อยลี้ ราวกับเกิดพายุและร่างเงาขนาดใหญ่ขึ้นมา ซึ่งร่างเงานี้เห็นได้ชัดว่าเป็นของเผ่าโบราณ!


ทั้งร่างสวมชุดเกราะและถือกระบี่โลหิตเรียวยาวที่มือขวา กระบี่เล่มนี้ราวกับสามารถแบ่งท้องฟ้าได้ในคราเดียว!


‘บ้านเกิดของเย่โม่ อาณาเขตเต๋าโบราณที่มีอาจารย์อยู่…สถานที่ที่ข้าต้องคุ้มครอง ข้าสงสัยว่ามันเป็นสถานที่แบบไหนกัน’ หวังหลินมองกระบี่โลหิตและเก็บกลับไป ร่างเงาหายไปกลายเป็นท้องฟ้าสดใสเหมือนเดิม


‘หลังจากดูดซับเศษกระบี่ แก่นแท้โลหะของข้าก็สมบูรณ์ ห้าธาตุผสานกันเป็นหนึ่ง ระดับบ่มเพาะของข้าเพิ่มขึ้น’ ระดับบ่มเพาะของหวังหลินแตกต่างจากของคนอื่น เขาต้องการแก่นแท้ที่มากขึ้นเพื่อเพิ่มระดับบ่มเพาะ


เมื่อแก่นแท้โลหะสมบูรณ์ หวังหลินจึงก้าวทะยานจากขั้นวิบากดับสูญระดับกลางไปสู่ระดับปลาย จากนั้นเนื่องจากได้สืบทอดพลังของบรรพชนเทพ เขาจึงสามารถสร้างโครงร่างตะวันมหาชั้นฟ้าขึ้นมาตอนที่ระเบิดระดับบ่มเพาะเต็มที่


‘ร่างแก่นแท้สายฟ้าสังหารนั้นสมบูรณ์แล้ว ร่างแก่นแท้ห้าธาตุสมบูรณ์เช่นกัน ต่อไปก็เป็นแก่นแท้นามธรรมของข้า…’


‘หากข้าสามารถทำความเข้าใจอีกสองแก่นแท้นามธรรม ระดับบ่มเพาะของข้าก็จะเพิ่มไปสู่ขั้นวิบากแก่นแท้ระดับสูงสุด เพียงแต่การรู้แจ้งแก่นแท้นามธรรมเป็นเรื่องยากมาก…ในทั้งชีวิตข้า รู้แจ้งเพียงแค่สามอย่างเท่านั้น’ ในช่วงความสงบนี้ หวังหลินเริ่มวิเคราะห์อนาคตการบ่มเพาะของตัวเอง


‘หากข้าพึ่งพาแก่นแท้นามธรรมในการยกระดับการบ่มเพาะ เมื่อนั้นการบ่มเพาะในอนาคตของข้าจะยิ่งยากขึ้นไปอีก…คงต้องใช้เวลาอีกหลายปีก่อนที่ข้าจะเพิ่มขึ้นได้อีกรอบ’ หวังหลินขมวดคิ้วพลางมองมังกรสมุทรที่กำลังว่ายอยู่ข้างใต้ มันทะลุผ่านคลื่นทะเลและกลายเป็นเส้นสายหนึ่งในทะเล


คลื่นทะเลถาโถมทำให้ทะเลขึ้นลง หวังหลินชำเลืองมองก่อนจะเริ่มขบคิดถึงเส้นทางในอนาคต


‘ข้าจะไม่ทำแบบนี้ หากดำเนินไปข้าคงไม่รู้ว่าเมื่อไรข้าจะมีพลังในการกลับสู่แคว้นเทพ ระดับบ่มเพาะของข้าแตกต่างกว่าคนอื่น ดังนั้นบางทีข้าอาจจะเจอวิธีอื่นในการเพิ่มระดับบ่มเพาะได้’ หวังหลินจมดิ่งไปในความคิดของตัวเอง


หลายวันต่อมาหวังหลินลืมตาด้วยความอ่อนล้าเล็กน้อย


‘ข้าไม่สามารถพึ่งพาแก่นแท้นามธรรมได้ ถึงเช่นนั้นข้าจะเก็บแก่นแท้นามธรรมไว้เป็นเป้าหมายระยะยาว ช่วงระหว่างนั้นข้าจะเน้นไปที่ร่างแก่นแท้ห้าธาตุและร่างแก่นแท้สายฟ้าสังหาร’


‘แก่นแท้วารี เพลิงและปฐพีมีร่างแก่นแท้แล้ว ตอนนี้มีเพียงธาตุโลหะและธาตุไม้ที่ต้องควบแน่นเป็นร่างแก่นแท้ ตามการวิเคราะห์ของข้า เมื่อทั้งสองแก่นแท้มีร่างแก่นแท้ขึ้นมา ร่างแก่นแท้ห้าธาตุก็จะสมบูรณ์!’


‘หากเป็นเช่นนั้น ตอนที่ข้าเพิ่มระดับบ่มไปสู่วิบากแก่นแท้ระดับสูงสุดมีโอกาสครึ่งต่อครึ่งที่จะหลีกเลี่ยงการยกระดับแก่นแท้นามธรรมได้…แม้พลังการต่อสู้อาจจะด้อยลงไปมากเนื่องจากแก่นแท้นามธรรมไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อมันสมบูรณ์ขึ้นมาได้ พลังของข้าก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล!’


‘จากนั้นก็จะเป็นตาของร่างแก่นแท้สายฟ้าสังหาร ตอนนี้มีเพียงแค่แก่นแท้สายฟ้าที่สร้างร่างแก่นแท้ขึ้นมาได้ ส่วนที่เหลืออีกสี่แก่นแท้คือ แก่นแท้สังหาร จุดเริ่มต้นแท้จริง จุดจบแท้จริงและเขตอาคม ล้วนไม่สมบูรณ์ หากพวกมันสามารถสร้างร่างแก่นแท้ของตัวเองขึ้นมาได้ ร่างแก่นแท้สายฟ้าสังหารของข้าก็จะสมบูรณ์และทำให้ระดับบ่มเพาะเหนือล้ำเกินกว่าวิบากแก่นแท้!’


‘แต่ข้ายังต้องรอจนกว่าแก่นแท้โลหะและแก่นแท้ไม้กลายเป็นร่างแก่นแท้เสียก่อนเพื่อจะได้รู้ว่าหนทางเส้นนี้เป็นตามที่ข้าคิดหรือไม่’ หวังหลินขบคิดพลางตัดสินใจในอนาคต


‘ส่วนเค้าโครงตะวันมหาชั้นฟ้า…ที่มันปรากฏขึ้นมาได้ต้องเกี่ยวข้องกับพลังบรรพชนเทพที่ข้าสืบทอดมาแน่’


‘การสืบทอดพลังของบรรพชนเทพไม่ได้เพิ่มระดับบ่มเพาะแต่ทำให้ข้าควบแน่นดวงตะวันนั้นขึ้นมาได้เมื่อข้าระเบิดระดับบ่มเพาะออกไปเต็มกำลัง ด้วยตะวันดวงนั้น พลังการต่อสู้ของข้าก็จะเพิ่มขึ้นมหาศาล!’


‘ถ้าไม่ใช่เพราะเกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์แตกหัก ด้วยระดับบ่มเพาะตอนนี้และพลังการต่อสู้ ข้าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่ใต้เหล่ามหาชั้นฟ้า แม้แต่มหาชั้นฟ้าเองข้าก็ยังต่อสู้ได้ เว้นแต่อีกฝ่ายจะเผาพลังมหาชั้นฟ้าของตัวเองมาสู้ด้วย!’


‘หากการวิเคราะห์ของข้าถูกต้อง เมื่อธาตุทั้งห้าก่อเกิดร่างแก่นแท้และระดับบ่มเพาะของข้าเพิ่มขึ้น ข้าน่าจะสามารถต่อกรกับมหาชั้นฟ้าที่เผาพลังของตัวเองได้!’


‘และเมื่อร่างแก่นแท้สายฟ้าสังหารได้รับร่างแก่นแท้เพิ่มขึ้น ก็จะมีมหาชั้นฟ้าไม่กี่คนที่สามารถต่อกรกับข้าได้! และหากข้ารู้แจ้งแก่นแท้นามธรรมที่สี่ซึ่งเป็นแก่นแท้แห่งการเกิดใหม่ ข้าจะสามารถใช้มันทะลวงผ่านม่านแห่งความฝันอันมากมายเพื่อค้นหาตัวตนที่แท้จริงของข้าจนได้รับแก่นแท้นามธรรมอันที่ห้า!’


‘ถึงตอนนั้น…’ หวังหลินแววตาเปล่งประกาย


‘มหาชั้นฟ้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า! นอกจากนี้เหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าและผู้สูงส่งชั้นเทวะก็เป็นแค่ทางผ่านระหว่างวิบากแก่นแท้และมหาชั้นฟ้า การเปลี่ยนผ่านนั้นจะมีหรือไม่มีก็ได้ทั้งนั้น!’


‘ในอนาคต ข้ายังมีร่างอวตารในมิติว่าง…ร่างอวตารกำลังเติบโต ข้าจะไม่ใช้มันเว้นแต่จะเป็นตัวเลือกสุดท้าย!’


‘เวลา…ข้าต้องการเวลา!’ หวังหลินหลับตาและเพ่งสมาธิตัวเองเข้าไปในศีรษะบรรพชนเทพที่อยู่ในมิติเก็บของ หวังหลินศึกษามันระหว่างทางและเข้าใจว่าเมื่อสามารถผสานศีรษะเข้าไปในเค้าโครงดวงตะวันมหาชั้นฟ้าได้อย่างเหมาะสม ดวงตะวันนั้นก็จะเป็นรูปร่างขึ้นมา ซึ่งเมื่อดวงตะวันเป็นรูปเป็นร่าง หวังหลินก็จะกลายเป็นมหาชั้นฟ้าคนที่สิบได้อย่างแท้จริง!


เขามีของอีกสองชิ้นในมิติเก็บของ หนึ่งคือเส้นผมหนึ่งเส้นและอีกชิ้นคือกะโหลกขนาดเท่ากำปั้นที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย


ของทั้งสองทำให้หวังหลินรู้สึกคุ้นเคยยิ่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าต้นตอของความคุ้นเคยนี้มาจากที่ไหน


เวลาผ่านไปในแต่ละวัน คลื่นยิ่งซัดรุนแรงมากขึ้น ทั้งยังมีพลังของกฎแห่งแผ่นดินเซียนดารา พลังนี้คือกุญแจสำคัญในการแบ่งแยกเผ่าเทพและเผ่าโบราณเอาไว้


อย่างไรก็ตามสำหรับหวังหลินนั้น พลังนี้ยังอ่อนเกินไปเมื่อเทียบกับที่เขาเจอในมิติว่าง ดังนั้นหวังหลินจึงไม่สนใจ กลิ่นอายของเขาห่อหุ้มมังกรสมุทร ทำให้มันทะยานไปได้เร็วขึ้น!


ในท้องฟ้ามีจุดสีดำหนึ่งจุด มันคืออสูรยุง หวังหลินปลดปล่อยออกมาและมันส่งเสียงร้องอย่างร่าเริงเพื่อให้มันติดตามหวังหลินไปยังเผ่าโบราณ


หลายเดือนต่อมา เมื่อหวังหลินลืมตาอีกครั้งเขาได้เห็นสุดขอบทะเลมีพื้นดินสีดำที่แตกต่างจากเผ่าเทพ พื้นดินสีดำของเผ่าโบราณเปล่งสัมผัสความอ้างว้าง


……………………………………………………..


ตอนที่ 2003 ทูตอาณาเขตเต๋า

โดย

Ink Stone_Fantasy

แผ่นดินอันกว้างใหญ่ของเผ่าโบราณปกคลุมไปด้วยพื้นดินสีดำ


ที่นี่แตกต่างจากเผ่าเทพอันสวยงามและบอบบาง ที่นี่กว้างใหญ่และขรุขระ โดยเฉพาะพื้นดินสีดำที่ทำให้คนรู้สึกโดนกดดัน


แต่ขณะเดียวกันหากสูดกลิ่นอายของอาณาเขตแห่งนี้เข้าไปอาจทำให้รู้สึกกลมกลืนไปด้วยกันได้


เผ่าโบราณมีการปกครองระบอบราชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ไม่เหมือนเผ่าเทพ และแบ่งออกเป็นสามอาณาเขตใหญ่ คืออาณาเขตฉี อาณาเขตเต๋าและอาณาเขตจวี่


พลังอำนาจของสามจักรพรรดิโบราณไม่ใช่สิ่งที่จักรพรรดิเทพจะเทียงเคียงได้ ที่นี่นั้นพลังของราชวงศ์มีอำนาจสูงสุด กลายเป็นแรงกดดันที่มองไม่เห็นห่อหุ้มทั่วดินแดนและจิตใจของคนในเผ่าโบราณทุกคน


ในวังหลวงของเผ่าเทพนั้นเมื่อเกิดอันตราย ทุกคนเลือกหนีไปได้โดยไม่ลังเลและไม่ต้องเสี่ยงชีวิตตัวเอง ทว่าในเผ่าโบราณมีเพียงแค่สองทางเลือกเท่านั้น


หนึ่งคือผู้บุกรุกตาย


สองคือทั้งตระกูลสูญสิ้น!


ที่นี่คือเผ่าโบราณซึ่งสืบทอดมานานหลายปี แม้จะโดนเผ่าเทพหัวเราะเยาะแต่กลับเป็นพลังอำนาจที่จักรพรรดิเทพทุกรุ่นใฝ่ฝัน!


จักรพรรดิของเผ่าโบราณคือฟ้าดินและเป็นตัวแทนของบรรพชนโบราณ สายโลหิตอันสูงส่งของแต่ละคนไม่สามารถถูกพลังใดลบเลือนได้! เผ่าโบราณแทบทุกคนล้วนเคารพในสายโลหิต!


แม้แต่มหาชั้นฟ้าก็ไม่มีสิทธิ์ลบล้างตำแหน่งจักรพรรดิโบราณ ในด้านระดับบ่มเพาะนั้นมหาชั้นฟ้าถือเป็นองครักษ์ของเผ่าพันธุ์ แต่ในแง่ของพลังอำนาจ จักรพรรดิโบราณสามารถสั่งการได้ทุกคนในเผ่า!


หากคำสั่งมีข้อขัดแย้งระหว่างจักรพรรดิโบราณและมหาชั้นฟ้า ผู้คนจะฟังคำสั่งจักรพรรดิโบราณมากกว่ามหาชั้นฟ้า!


นี่คือข้อแตกต่างจากเผ่าเทพ ในเผ่าเทพนั้นจิ่วตี้กล้าวางแผนแม้กระทั่งการสังหารจักรพรรดิเทพ!


แต่ในเผ่าโบราณ แม้มหาชั้นฟ้าจะทรงพลังแต่ก็ไม่เคยทำร้ายจักรพรรดิโบราณคนใด นั่นเป็นเพราะกฎที่มหาชั้นฟ้าที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเซียนดาราได้วางเอาไว้!


ณ ใจกลางของสามเผ่ามีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าโบราณตั้งอยู่ ที่นั่นคือสถานที่ที่มีมหาชั้นฟ้าผู้แข็งแกร่งที่สุด


หวังหลินรู้เรื่องเผ่าโบราณมาจากซวนลั่วตอนที่อยู่ในโลกถ้ำและได้รับจากบันทึกของสำนักตะวันม่วง ทำให้หวังหลินไม่หลงทางตอนที่เข้าสู่เผ่าเทพเป็นครั้งแรก


ทว่าเผ่าโบราณกว้างใหญ่เกินไปและหวังหลินก็ไม่มีแผนที่ของอาณาเขตเต๋า เขาแค่ต้องค้นหาแผนที่ให้เจอก่อนจะมุ่งหน้าไปอาณาเขตเต๋า


‘สามอาณาเขตของเผ่าโบราณมีอาณาเขตฉีซึ่งทรงพลังที่สุด อาณาเขตจวี่ที่กลมเกลียวกันที่สุด และอาณาเขตเต๋าที่มีคนมากที่สุดแต่ก็อ่อนแอที่สุด’ หวังหลินก้าวเดินไปบนพื้นดินสีดำและสูดหายใจลึก


หวังหลินคุกเข่าและคว้าดินมาหนึ่งกำมือ พอวางไว้ใกล้จมูกทำให้สัมผัสได้ถึงพลังที่ทำให้สายโลหิตโบราณของหวังหลินสั่นสะท้าน


‘อาจารย์ ศิษย์มาถึงเผ่าโบราณแล้ว…’ หวังหลินยืนขึ้นและก้าวเดินต่อไป


เบื้องหน้าหวังหลินมีเมืองขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เมืองแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นจากหินสีดำซึ่งทั้งทนทานและเปล่งความรู้สึกกดดัน


ความรู้สึกกดขี่เช่นนี้ราวกับอยู่ภายในจิตใต้สำนึกของทุกคนในเผ่าโบราณ


สิ่งก่อสร้างภายในเมืองล้วนมีขนาดใหญ่และไม่เป็นระเบียบ คนในเผ่าโบราณเดินผ่านในเมืองอย่างเร่งรีบ มีชายร่างกำยำสวมชุดเกราะหนากำลังร้องตะโกนโหวกเหวก คนทั่วไปที่เห็นเขาจะเกิดอาการหวาดกลัวและหลีกเลี่ยงทันที


ด้านนอกเมืองมีผู้คนอยู่หนึ่งกลุ่ม ดูมีชีวิตชีวายิ่ง


หวังหลินอยู่ไกลจากประตูเมือง เขาไม่ได้เข้าไปและยืนมองจากตรงนี้ เขาเห็นเหล่ามารโบราณ ปิศาจโบราณและเทพโบราณเต็มไปหมด! แม้ขนาดแต่ละคนจะเท่ากันแต่ดวงดาวตรงกลางหน้าผาก ในตาซ้ายและตาขวาทำให้หวังหลินเกิดความรู้สึกคุ้นเคย


เป็นครั้งแรกที่หวังหลินได้เห็นคนของเผ่าโบราณมากขนาดนี้


ด้านนอกประตูเมืองมีชายร่างกำยำสวมชุดหนังอยู่เจ็ดคน แต่ละคนมีดวงดาวกะพริบกลางหน้าผากหรือในดวงตาของตนเอง พวกเขามองเหล่าคนด้านนอกอย่างเหลืออดและยังร้องตะโกนใส่


“รีบเข้า คนข้างหลัง เร็วกว่านี้! ประตูเมืองจะปิดลงในอีกครึ่งก้านธูป!”


“หลังจากเข้าเมืองศิลาดำแล้ว จงกระจายตัวและพักอยู่ในเมืองสามวัน! หากไม่มีคำสั่งของจ้าวเมือง ไม่มีใครอนุญาตให้ออกไปได้!”


เพียงชายกำยำร้องคำราม รอบประตูเมืองที่ดูมีชีวิตชีวาค่อยๆเงียบลง เหล่าคนที่ต้องการเข้าเมืองต่างก็เร่งจังหวะของตัวเอง


เพียงไม่ถึงเวลาครึ่งก้านธูป ด้านนอกเมืองก็ว่างเปล่า แตกต่างจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง คนในเผ่าโบราณที่เข้าเมืองไปต่างก็แยกย้ายอย่างรวดเร็วจนแทบไม่เห็นคนเดินอยู่ในเมือง สิ่งเดียวที่พอมองเห็นได้คือชายร่างกำยำสวมชุดหนังยืนอยู่ในมุมต่างๆ ของเมืองเกือบร้อยคน แต่ละคนมักจะส่งสายตาไปที่ประตูเมือง บางครั้งก็หันไปมองหอคอยสูงใจกลางเมือง


หวังหลินเผยร่างตัวเองด้านนอกประตูเมืองและดึงดูดความสนใจของชายร่างกำยำเจ็ดคน


หวังหลินถอนสายตาและก้าวเดินเข้าไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง ในเมืองแห่งนี้ไม่มีคนแข็งแกร่ง หวังหลินต้องการแผนที่ที่มีรายละเอียดมากที่สุดซึ่งมีแค่คนแข็งแกร่งเท่านั้นจะมีหินหยกได้


แต่เพียงแค่เขาหันตัวกลับ เสียงหนึ่งดังจากด้านหลัง


“หยุด!”


ชายร่างกำยำจำนวนสองคนก้าวเดินเข้าหาทันที พวกเขาต่างก็มีดาวเทพโบราณห้าดวงอยู่กลางหน้าผาก


หวังหลินขมวดคิ้ว เขาหยุดและหันกลับมามองทั้งสองคน


ชายร่างกำยำสองคนมีสายตาดุดัน หนึ่งในนั้นร้องตะโกนอย่างไม่เป็นมิตร “เจ้าเป็นใคร เจ้ามาจากไหน?!”


หวังหลินเอ่ยขึ้น “หวังหลิน”


“เจ้ายืนอยู่ตรงนี้มานานแล้วและยังไม่เข้าเมือง นำสิ่งยืนยันตัวตนของเจ้าออกมา!” ชายร่างกำยำอีกคนยื่นมือตรงออกไป


และพูดต่อ “และเปิดเผยอักขระเผ่าของเจ้าด้วย!”


หวังหลินยิ้มบางและมีดาวเก้าดวงปรากฏขึ้นกลางหน้าผากอย่างช้าๆ ทั้งเก้าดวงเปล่งแสงน่ากลัวและทำให้หวังหลินดูไม่แตกต่างจากคนในเผ่าโบราณคนอื่น


เมื่อดาวเก้าดวงปรากฏขึ้น ชายร่างกำยำสองคนตกตะลึงและหรี่สายตา จากนั้นก้าวถอยหลังและคำนับฝ่ามือให้กับหวังหลิน


“ขอคารวะ ท่านมหาเทพ เราไม่รู้ว่าท่านมาที่นี่และเสียมารยาท โปรดลงโทษเราด้วยเถิดท่านมหาเทพ” ทั้งสองเคารพยิ่งและเกิดอาการตื่นเต้น


เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทำให้อีกห้าคนนอกประตูเมืองเกิดความสนใจ หลังจากเห็นดาวเก้าดวงกลางหน้าผากหวังหลิน จึงก้าวเดินเข้ามาและคำนับฝ่ามือ


“ขอคารวะ ท่านมหาเทพ!”


หวังหลินค่อนข้างตกตะลึงแต่มีสีหน้าเช่นเดิม เขาไม่ได้เข้าใจเรื่องในเผ่าโบราณมากนัก รู้แค่ภูมิทัศน์คร่าวๆ และสิ่งก่อสร้างที่เรียบง่าย แต่ไม่ได้รวมถึงวัฒนธรรมภายใน


‘หลังจากข้าเปิดเผยดาวเทพโบราณเก้าดวง พวกนี้เริ่มเรียกข้าว่าเป็น’มหาเทพ’? เป็นไปได้ว่าปิศาจโบราณเก้าดาวจะถูกเรียกว่าจ้าวปิศาจและมารโบราณเก้าดาวจะถูกเรียกว่าจอมมาร?’ หวังหลินคาดเดา


‘การสืบทอดที่ข้าได้จากแย่โม่นั้นไม่สมบูรณ์และข้าไม่มีความทรงจำของเขามากนัก ข้ารู้แค่ว่าในเผ่าโบราณ ไม่ว่าจะมาจากอาณาเขตแห่งไหน ต่างก็ล้วนประกอบด้วยเทพโบราณ ปิศาจโบราณและมารโบราณเท่านั้น’


‘แล้วคนที่มีดาวเทพโบราณเก้าดวง มารโบราณเก้าดวงและปิศาจโบราณเก้าดวงจะมีชื่อเรียกอะไร…’ หวังหลินขบคิดและนึกถึงตอนที่เขาผ่านหายนะที่สองในสามบททดสอบตอนที่อยู่ในโลกถ้ำและได้รับการยอมรับจากบรรพชนโบราณ


ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้หวังหลินจะฝืนบ่มเพาะร่างโบราณแต่ก็บรรลุสามเผ่าพันธุ์ได้เผ่าละเก้าดวง ซึ่งหวังหลินแทบไม่เผยมันออกมาให้ใครเห็น


‘จากท่าทีของแต่ละคน ในเผ่าโบราณไม่ได้มีคนที่มีดาวเก้าดวงมากนัก…หรือบางทีที่นี่อาจจะห่างไกลเกินไป’ หวังหลินเผยรอยยิ้มเบาบาง


“ไม่ต้องมีพิธี เจ้ามีหยกแผนที่หรือไม่?” หวังหลินถามคร่าวๆ มีคนในเผ่าเทพไม่มากนักที่จะเข้าใจได้เนื่องจากมันเป็นภาษาเฉพาะของเผ่าโบราณ


ชายร่างกำยำตกตะลึงแต่ไม่ได้ตั้งคำถามอะไร เขาสะบัดแขนปรากฏหินหยกขึ้นมา หินหยกนี้เหมือนกับในเผ่าเทพแต่กลิ่นอายที่ใช้เปิดกลับต่างกัน


“หยกของผู้น้อยไม่สมบูรณ์นักและเป็นแค่แผนที่คร่าวๆ” ชายร่างกำยำนำหินหยกออกมาอย่างเคารพ หวังหลินรับเอาไว้และใช้พลังโบราณกวาดผ่านไป


จากแผนที่หินหยกและด้วยความเข้าใจของหวังหลิน ตอนนี้จึงรู้ว่าเหนือสุดมีสิบสองแคว้นซึ่งเป็นของอาณาเขตฉี ทางตอนใต้แบ่งออกเป็นสองทิศทางคืออาณาเขตจวี่และอาณาเขตเต๋า ทำมุมกันเป็นรูปสามเหลี่ยม


เมืองศิลาดำอยู่ตรงสุดขอบชายแดนของแคว้นมู่ซางในอาณาเขตฉี


หวังหลินถือหินหยกและเอ่ยถาม “ข้าสงสัยหนึ่งเรื่อง ทำไมถึงจะปิดผนึกเมือง?”


หนึ่งในสองชายร่างกำยำขานรับหวังหลินและไม่มีความลับอะไร “รายงานต่อท่านมหาเทพ ข้ารับคำสั่งจากจ้าวเมืองให้มาเคลียร์ประตูเมืองศิลาดำภายในเวลาหนึ่งก้านธูปไหม้เพื่อต้อนรับองค์ชายจี้ตูและทูตอาณาเขตเต๋า”


“ทูตอาณาเขตเต๋า? ข้าเพิ่งออกมาจากปิดด่านบ่มเพาะจึงไม่รู้เรื่องนี้ เล่ารายละเอียดมา” หวังหลินมีแววตาเป็นประกายโดยไม่มีใครสังเกตได้


ชายร่างกำยำตอบรับอย่างเคารพ


“ผู้น้อยไม่รู้เรื่องทูตอาณาเขตเต๋ามากนัก แต่ลือกันว่าราชวงศ์ของอาณาเขตเต๋าได้ส่งคนออกมาทุกร้อยปีเพื่อค้นหาสาวงาม ว่ากันว่า…จักรพรรดิเต๋ากำลังคัดเลือกนางสนม”


………………………………………………..


ตอนที่ 2004 ดาวหายนะขององค์ชาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ส่วนเรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่ ผู้น้อยก็มิทราบ แต่การมีองค์ชายมาด้วยนั่นหมายความว่าจักรพรรดิโบราณยอมตกลง ไม่เช่นนั้นจ้าวเมืองคงไม่สั่งให้ปิดเมือง” ชายร่างกำยำอธิบาย


‘เลือกนางสนม?’ หวังหลินตกตะลึงและไม่คิดเลยเถิด เขาแค่คิดว่าจักรพรรดิของอาณาเขตเต๋า สถานที่ที่เขากำลังจะไปปกป้อง กลับส่งคนออกมาถึงอีกสองอาณาเขตเพื่อเลือกนางสนมช่างเป็นเรื่องที่บัดซบยิ่ง


‘อย่างไรก็ตาม ในเมื่อข้าสามารถเจอคนของอาณาเขตเต๋าที่นี่ พวกนั้นต้องมีแผนที่ที่มีรายละเอียดของสิบสองแคว้นอาณาเขตเต๋า ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาค้นหาแผนที่ของข้าไปได้เยอะ’ หลังจากขบคิดชั่วขณะ หวังหลินกำลังจะสอบถามเพิ่มขึ้นแต่สายตาหันไปทางเมือง มีเสียงฝีเท้าดังออกมาและมีทหารเกราะเขียวสองชุดพุ่งทะยานจากประตูเมือง


ทหารสองชุดรวมกันเกือบพันคน พุ่งออกมาจากประตูและเปล่งกลิ่นอายสังหาร จากนั้นมีสามคนก้าวเดินออกมาจากเมือง


คนที่อยู่หน้าสุดในสามคนเป็นชายร่างกำยำ เขาสูงเกือบสิบฟุตและสูงกว่าคนอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด สวมเกราะสีทองและมีผ้าคลุมสีแดง เปล่งสัมผัสแรงกดดันและก้าวเดินอย่างสง่า


ด้านหลังชายร่างกำยำชุดทองทางด้านซ้ายเป็นชายวัยกลางคน เขามีหน้าตาเฉียบคม สวมเสื้อสีฟ้าเหมือนเซียนและมีกลิ่นอายเทพรั่วไหลออกมา


ผิวกายสีขาว เคราสามเส้นและถือพัดสีดำ แม้จะเปล่งกลิ่นอายดุจเทพแต่สายตาชั่วร้ายอย่างชัดเจน ดวงตาซ้ายมีหมอกแปลกประหลาดหมุนอยู่ภายใน


คนสุดท้ายยืนอยู่ด้านขวา เป็นชายหนุ่มชุดดำท่าทีเย็นชา แต่แววตากลับไม่ซ่อนจิตสังหารอำมหิตเลย เขายืนราวกับมีเปลวเพลิงกำลังเผาไหม้อยู่ทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ทว่าเปลวเพลิงนี้เป็นเพลิงเย็น


เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนมีชายร่างกำยำตรงกลางเป็นผู้นำ เขาเดินผ่านทหารสองกองและทอดสายตามองออกไปไกล คล้ายกับสังเกตบางอย่างได้และหันมามองหวังหลิน!


ไม่ใช่เพียงแค่เขาเท่านั้นแต่สองคนด้านหลังเองก็หันศีรษะมาพร้อมกัน สายตาจับจ้องมองดาวเก้าดวงกลางหน้าผากหวังหลิน ดวงตาของตัวเองเปล่งประกาย


“ขอคารวะจ้าวเมืองมหาเทพ จอมมารและจ้าวปิศาจ!” ชายร่างกำยำสองคนสวมชุดหนังข้างหวังหลินและอีกห้าคนนอกประตูเมืองต่างก็คุกเข่าโดยไม่ลังเล ทุกคนทำความเคารพนบนอบเป็นอย่างดี


แต่ชายร่างกำยำเกราะทองไม่สนใจ เขามองหวังหลินด้วยความงุนงง


“สหายร่วมเผ่าผู้นี้แปลกตายิ่ง ข้าคือจ้าวเมืองศิลาดำ ชักสงสัยเสียแล้วว่าสหายร่วมเผ่าต้องการให้ช่วยอะไรหรือไม่?” ชายร่างกำยำเกราะทองคำนับฝ่ามือให้กับหวังหลิน


“ข้านาม กงฉี” ชายวัยกลางคนชุดฟ้ายิ้มออกมาและคำนับฝ่ามือให้กับหวังหลิน


มีเพียงชายหนุ่มชุดดำแค่มองหวังหลินและไม่เอ่ยอะไร


หวังหลินยิ้มและคำนับฝ่ามือ “ข้าชื่อหวังหลิน บังเอิญว่าข้าได้ยินเรื่ององค์ชายและทูตอาณาเขตเต๋ากำลังผ่านมาที่นี่ หากไม่ว่าอะไรข้าอยากจะไปดูพวกเขาเสียหน่อย แต่หากไม่สะดวก ข้าก็จะไป”


หวังหลินไม่เผยความหยิ่งยโสจากระดับบ่มเพาะและตำแหน่งอันสูงส่งอันใด นิสัยของหวังหลินมักจะเป็นเช่นนี้ หากคนอื่นเคารพเขา หวังหลินก็จะเคารพกลับเป็นธรรมดา


“ในเมื่อท่านมาที่นี่แล้วก็เป็นแขกของเรา พี่หวังสามารถพักที่นี่และรอกับเราได้อยู่แล้ว” ชายร่างกำยำเกราะทองยิ้มออกมา


หวังหลินมองอีกฝ่าย โดยเฉพาะพลังเทพโบราณที่สัมผัสได้จากชายร่างกำยำ จึงรู้สึกถึงความคุ้นเคย เขายิ้มพลางก้าวเท้าและมาถึงข้างๆ ทั้งสามคน


“พี่หวังก็เป็นมหาเทพเช่นกันและขอเดาว่าได้ผ่านบททดสอบที่สองไปแล้ว ท่านน่าจะเข้าสู่ขั้นของการผสานปิศาจและหลอมมาร คืบหน้าถึงไหนแล้ว?” ชายร่างกำยำมองหวังหลินและยิ้มแย้ม


‘ผสานปิศาจ หลอมมาร?’ จิตใจหวังหลินสั่นเทาแต่สีหน้ายังปกติดี เขายิ้มส่ายศีรษะและไม่ได้พูดอะไร


“เชื่อมต่อ ผสานและหลอมรวมเป็นเรื่องยากมาก มันจะง่ายดายขนาดนั้นได้อย่างไร? จากรูปลักษณ์ของเขาแล้วไม่เปล่งกลิ่นอายปิศาจหรือกลิ่นอายมารเลย แปลว่าเขากำลังหาทางอยู่ เหลียงหยุน นี่ก็เหมือนกับการไม่ได้ถาม” ชายหนุ่มชุดดำพูดอย่างเย็นชา สายตากวาดผ่านหวังหลินด้วยความดูถูก


“เมิ่งลั่ว!” ชายร่างกำยำเกราะทองถึงกับขมวดคิ้วมองชายหนุ่มชุดดำ เขาคำนับฝ่ามือให้กับหวังหลินด้วยรอยยิ้มขมขื่น


“พี่หวังคงเดาได้แล้วว่าเมิ่งลั่วผู้นี้เป็นจอมมารและมีนิสัยค่อนข้างแย่ ข้าหวังว่าพี่หวังจะไม่นำมาใส่ใจ การเชื่อมต่อ ผสานและหลอมช่างยากเกินไปจริงๆ ข้าเองก็ก้าวหน้าไม่มากนัก” ชายร่างกำยำเกราะทองกล่าวขอโทษ


“ข้าไม่ถือสา” หวังหลินยิ้ม เขาไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้จริงๆ


การสนทนาดำเนินไปสักพัก เหลียงหยุนซึ่งเป็นชายร่างกำยำสวมเกราะทอง และกงฉีพยายามเค้นหาต้นกำเนิดของหวังหลิน แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้รับคำตอบอันใด


ทั้งสองค่อยๆ หมดเรื่องพูดและเริ่มเงียบ


ความเงียบอยู่ได้ไม่นานนักก่อนที่หวังหลินจะสังเกตสิ่งหนึ่งได้ เขาแหงนมองท้องฟ้า กงฉีเองก็กำลังมองหวังหลินและจับความสนใจหวังหลินไปด้วย เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าเช่นกันแต่ก็ไม่พบสิ่งใด


ทว่าขณะที่กำลังถอนสายตา ดวงตากลับหรี่แคบลง ชายร่างกำยำและชายหนุ่มชุดดำมองไปบนท้องฟ้าด้วยความเคารพและตื่นเต้นเช่นกัน


วินาทีนี้ท้องฟ้าเปลี่ยนไปและเกิดระลอกคลื่นดังกึกก้อง กำปั้นหนึ่งปรากฏขึ้นจากอากาศว่างเปล่าและชกลงมาจากท้องฟ้า


ระลอกคลื่นกระเพื่อมมากยิ่งขึ้นราวกับท้องฟ้ากำลังแตกสลาย มันรุนแรงจนเกิดรอยแตกร้าวจนกระทั่งมีแขนยักษ์สองข้างทะลวงผ่านท้องฟ้าและฉีกเปิดรอยแยกขนาดใหญ่ออกมา


ร่างเงาสีเขียวขนาดยักษ์สูงหลายพันฟุตมีหนึ่งข้างอยู่ตรงหัวได้โผล่ตรงรอยแยกและก้าวออกมา!


ร่างเงาสีเขียวสวมชุดเกราะเขียวเต็มยศและเปล่งกลิ่นอายปิศาจอันมหึมา กลิ่นอายนี้ได้เปลี่ยนกลายเป็นสายหมอกแผ่กระจายออกไปทุกทิศทางอย่างไร้ขอบเขต


นี่มันเป็นปิศาจโบราณชัดๆ!! ดวงตาสีแดงโลหิตและเต็มไปด้วยเจตนารุนแรง มันโผล่ออกมาส่งเสียงคำราม ก้าวออกมาจากรอยแยกและเหยียบลงบนพื้นดิน!


เมื่อมันเหยียบลงไปจึงเกิดระลอกคลื่นกระจายไปทุกทิศทางดังสนั่นและเกิดฝุ่นตลบราวกับคลื่นทะเลหนุน


เพียงหวังหลินมองปิศาจโบราณตัวนี้ จิตใจก็สั่นเทาและหรี่ตามอง


‘นี่…นี่มันไม่ใช่ปิศาจโบราณธรรมดา!’ หวังหลินเห็นปัญหาในทันที เขาเคยเห็นเหล่าปิศาจโบราณในโลกถ้ำแต่พวกมันดูเหมือนคนธรรมดาเว้นแต่จะเปิดเผยร่างจริงของตัวเอง


กระนั้นถึงจะเผยร่างจริงก็ยังต้องประคองสติและไม่บ้าคลั่งไปเสียก่อน สิ่งสำคัญที่สุดคือกลิ่นอายปิศาจที่เจ้าปิศาจโบราณตัวนี้เปล่งออกมาช่างทรงพลังเท่าเซียนผู้สูงส่งชั้นฟ้า


เพียงเจ้าปิศาจโบราณก้าวไปบนพื้นดินและส่งเสียงคำราม ชายเกราะทอง จ้าวปิศาจและชายหนุ่มชุดดำจึงคุกเข่าลงหนึ่งข้างและเอ่ยขึ้นอย่างเคารพ “ขอคารวะ องค์ชาย!”


ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นแต่เหล่าทหารนับพันที่อยู่เคียงข้างล้วนคุกเข่าและตื่นเต้น แม้แต่คนที่อยู่ในเมืองซึ่งเห็นปิศาจโบราณต่างก็รู้สึกจิตใจสั่นเทาและคุกเข่าอยู่บนพื้น


คนเดียวที่ไม่ได้คุกเข่านั่นคือหวังหลิน


ชายเกราะทองสังเกตเห็นว่าหวังหลินยังคงยืนนิ่ง เขาตกตะลึงและเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ กงฉีเองก็เช่นกัน แม้แต่ชายหนุ่มชุดดำยังเผยอาการหวาดกลัว


เป็นแค่องค์ชายจะทำให้หวังหลินคุกเข่าได้อย่างไร? แม้แต่มหาชั้นฟ้าก็ไม่สามารถทำให้หวังหลินคุกเข่าได้เลยด้วยซ้ำ แม้แต่เบื้องหน้าจักรพรรดิเทพ หวังหลินเพียงแค่คำนับฝ่ามือเท่านั้น


หวังหลินมองดูปิศาจโบราณที่กำลังคำรามด้วยความสงบนิ่งและเห็นคนที่ยืนอยู่บนศีรษะมัน เขาสวมชุดคลุมสูงศักดิ์ เรือนผมสีดำสะบัดพริ้วในสายลม เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูธรรมดาแต่เปล่งความรู้สึกที่มิอาจอธิบายออกมาได้


ด้านหลังเป็นสตรีชุดฟ้า นางดูเหมือนเทพธิดา เมื่อส่งสายตามาที่หวังหลินจึงเกิดอาการประหลาดใจ


ชายหนุ่มชุดคลุมสูงศักดิ์เห็นหวังหลินที่ยืนอยู่คนเดียวเช่นกัน ท้องฟ้าส่งเสียงดังลั่นอีกครั้ง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาและมองกลับไปยังท้องฟ้าด้านหลัง


ร่างเงายักษ์อีกร่างก้าวเดินออกมาจากรอยแยก ร่างเงานี้มีขนาดเล็กกว่านิดหน่อย เมื่อมันก้าวออกมากลับเผยเงาสองข้างและลำตัวสีดำ มันคือมารโบราณ!


ดวงตาของมารโบราณตัวนี้เป็นสีแดง ทั้งยังเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและดุร้าย ราวกับกำลังจะสูญเสียการควบคุมและส่งเสียงร้อง บนศีรษะมันมีคนยืนอยู่เจ็ดคน


ในเจ็ดคนนั้นมีบุรุษห้าคนและสตรีสองคน พวกเขาคำนับฝ่ามือไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าและเมื่อมองมาที่พื้น สายตาแต่ละคนจับจ้องมาที่หวังหลินซึ่งเป็นคนเดียวที่ยืนอยู่


“พวกพ้องร่วมเผ่าพันธุ์ข้ามีคนไร้ความเคารพ ทุกคนได้เห็นเรื่องน่าอับอาย” ชายหนุ่มยิ้มให้กับเจ็ดคนที่อยู่บนมารโบราณ จากนั้นหันกลับมามองชายร่างกำยำเกราะทองข้างตัวหวังหลิน


“เหลียงหยุน เขาคือคนที่เจ้ารับเข้ามาใหม่หรือ?”


“รายงานต่อองค์ชาย ข้าไม่รู้จักเขา เขาเพิ่งปรากฏตัวที่นี่ เขาพูดว่า…เขาต้องการมาดูองค์ชาย ผู้ต้อยต่ำคนนี้ผิดเองที่ปล่อยให้เขาอยู่…ผู้ต้อยต่ำจะสังหารเขาเอง!” ชายร่างกำยำเกราะทองเผยความโกรธเกรี้ยวและจิตสังหาร


“ไม่จำเป็น!” องค์ชายพูดอย่างเย็นชา สายตาเป็นประกายและจ้องมองหวังหลิน


“ต้าวลั่ว สังหารเขา!” หลังจากองค์ชายเอ่ยขึ้น ปิศาจโบราณสูงร้อยฟุตข้างล่างพลันร้องคำราม มันยกเล็บมือขึ้นมาโดยมีเป้าหมายที่หวังหลิน


ดูราวกับมันต้องการจับหวังหลินและบดขยี้! เล็บอันคมกริบอาจผ่าเปิดช่องว่างในอากาศได้ในคราเดียว ทั้งยังมีกลิ่นอายปิศาจมหึมาและเข้าใกล้หวังหลินในพริบตา


…………………………………………………..


ตอนที่ 2005 ซ่งจื่อ!!

โดย

Ink Stone_Fantasy

หวังหลินมีใบหน้าสงบนิ่ง เรือนผมสีขาวพริ้วสะบัด เขาพ่นลมหายใจและก้าวออกไป เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะสมต่อเผ่าโบราณ


‘ข้ามองเห็นพลังสายราชวงศ์จำนวนมากของเผ่าโบราณมาจากเรื่องเล็กน้อยแค่นี้…’ นอกจากการหาหยกแผนที่แล้ว หวังหลินอยู่ที่นี่ก็เพื่อดูว่าพลังสายราชวงศ์ของเผ่าโบราณจริงๆ แล้วแข็งแกร่งแค่ไหน


เป็นแค่องค์ชายกลับทำให้ทั้งเมืองต้องคุกเข่า เพียงหวังหลินไม่คุกเข่าคนเดียวกลับทำให้ทุกคนตกตะลึงไปแล้ว


ชายร่างกำยำเกราะทองเดิมทีทำตัวสุภาพ พริบตาเดียวเต็มไปด้วยจิตสังหารและโกรธเกรี้ยว ราวกับการไม่คุกเข่าถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง!


และองค์ชายผู้นี้ แค่เขาไม่คุกเข่าถึงกับต้องเอาชีวิตกันเลย จากท่าทีขององค์ชายแล้ว การสังหารคนร่วมเผ่าพันธุ์นั้นง่ายดายดุจการหายใจ


เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อพลังอำนาจของราชวงศ์เพิ่มไปอยู่ในจุดสูงสุด สิ่งสำคัญที่สุดคือทุกคนล้วนคุกเข่ามององค์ชายด้วยความเคารพนับถือและตื่นเต้นจากก้นบึ้งจิตใจ ราวกับพวกเขาจะทำอะไรก็ได้เพียงแค่องค์ชายบอกให้ทำ แม้แต่การฆ่าตัวตายก็ตาม


‘ในเมื่ออาณาเขตฉีก็เป็นแบบนี้แล้ว อาณาเขตเต๋าก็คงเหมือนกัน…บางทีข้าคงไม่เหมาะกับที่นี่…’ หวังหลินขบคิดเงียบๆ และก้าวออกไป เพียงแค่เขาก้าวครั้งที่สาม กรงเล็บปิศาจโบราณได้เข้าประชิด ทุกคนได้เห็นกรงเล็บทับซ้อนกับร่างหวังหลิน!


ราวกับหวังหลินถูกจับได้แล้ว!


เพียงแค่ทุกคนเห็นแบบนี้ไม่ว่าจะเป็นชายร่างกำยำเกราะทอง จ้าวปิศาจกงฉี ชายหนุ่มชุดดำ ทุกคนที่กำลังคุกเข่าและแม้แต่ทหารเกราะหนังที่มอบหินหยกให้หวังหลิน ทุกคนล้วนเผยสายตาเย็นเยียบ


สายตาเย็นเยียบแต่ละคนราวกับบอกออกมาได้หนึ่งประโยค


“ทุกคนที่ไม่เคารพต่อพลังอำนาจของราชวงศ์จะต้องตาย…” เสียงหวังหลินดังกึกก้องขึ้นมา กรงเล็บปิศาจโบราณซึ่งทับซ้อนกับร่างเขาดูเหมือนกลายเป็นภาพโปร่งใสและหวังหลินก้าวเดินผ่านมาอย่างสงบนิ่ง


หรือพูดได้ว่าหวังหลินโปร่งใสและกรงเล็บปิศาจโบราณคว้าอะไรไม่ได้เลย หวังหลินเพียงแค่เดินเข้ามาหามารโบราณและทูติอาณาเขตเต๋า


พอปิศาจโบราณคว้าอะไรไม่ได้ แววตาบ้าคลั่งของมันยิ่งรุนแรง มันยื่นแขนขวาออกไปหาแผ่นหลังหวังหลิน แต่สายตาองค์ชายก็หรี่แคบ เขาจ้องมองหวังหลินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นแต่ทุกคนที่กำลังคุกเข่าล้วนตกตะลึง จากมุมมองแต่ละคนหวังหลินควรจะตายไปแล้ว ทว่ากลับเดินออกมาได้อย่างไร


ชายร่างกำยำเกราะทองถึงกับหรี่สายตา เขาเป็นเทพโบราณเก้าดาวเช่นกันและรู้ว่าตัวเองไม่สามารถทำแบบนี้ได้ บางทีคงมีเพียงร่างของจ้าวปิศาจเท่านั้นที่สามารถทำเรื่องประหลาดเช่นนี้ได้


แต่ทว่าจิตใจของจ้าวปิศาจกงฉีกลับตกอยู่ในความปั่นป่วน วินาทีที่หวังหลินก้าวเดินออกมา เขาไม่อาจสัมผัสพลังปิศาจอันใดได้ ทว่านี่กลับทำให้มันยิ่งผิดปกติมากขึ้น!


‘เขา…เขาเป็นใคร!?’


ชายหนุ่มชุดดำตกตะลึงมากที่สุด เขาคือจอมมารและคิดว่ามองทะลุหวังหลินได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่หลังจากเห็นหวังหลินก้าวเดินออกมาจากกรงเล็บด้วยความสงบนิ่ง เขาจึงสูดหายใจลึกแต่แววตาเต็มไปด้วยเจตนาต่อสู้


คนทั้งเจ็ดบนร่างมารโบราณมาจากอาณาเขตเต๋าตามคำสั่งของจักรพรรดิเต๋า พอเห็นหวังหลินไม่คุกเข่าจึงคิดว่าจะได้เห็นการแสดงอะไรดีดี แต่กลับต้องประหลาดที่หวังหลินก้าวเดินออกมา กระนั้นก็ไม่นำมาใส่ใจเพราะเรื่องภายในอาณาเขตฉีไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา


แต่ตอนที่พวกเขาเห็นหวังหลินเดินเข้ามาหา จึงเกิดอาการงุนงง


หวังหลินไม่ช้าไม่เร็ว ด้านหลังมีกรงเล็บของปิศาจโบราณกำลังหดกลับไป มันส่งเสียงคำรามและยื่นกรงเล็บไปหาหวังหลินอีกครั้ง หวังหลินเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยและหยุดลง พอกรงเล็บเข้าใกล้จึงหันกลับไปมองปิศาจโบราณ


“เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!”


คำพูดไม่ได้กระแทกดุดันเหมือนสายฟ้าและไม่ได้ทำให้โลกเปลี่ยนสีสัน ทว่าเจ้าปิศาจโบราณถึงกับตัวสั่นและแววตาบ้าคลั่งหายไปกลายเป็นความหวาดกลัว ราวกับสายตาหวังหลินรุนแรงพอที่จะทำให้มันแตกสลายและถูกห่อหุ้มไปด้วยความตาย


เสียงคำรามหยุดชะงักและกลายเป็นเสียงร้องน่าเวทนา มันรีบถอยและคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างใหญ่ยักษ์เริ่มหมอบคลานให้แก่หวังหลิน


เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกคนถึงกับอ้าปากค้าง เกิดอาการหวาดหวั่นและตกตะลึง เจตจำนงการต่อสู้ของชายหนุ่มชุดดำพลันหายไป ร่างกายสั่นสะท้านและชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น


ชายร่างกำยำเกราะทองกำลังตัวสั่นเช่นกัน เขาคิดว่าตัวเองเพิ่งพูดว่าจะสังหารหวังหลิน แต่กลับไม่คาดว่าหวังหลินแค่ใช้สายตาจ้องมองก็ทำให้ปิศาจโบราณหวาดกลัวได้แล้ว


องค์ชายและสตรีข้างกันทะยานขึ้นสู่อากาศ ทั้งสองมองลงมาด้วยความตกตะลึง องค์ชายรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของปิศาจโบราณตัวนี้เป็นอย่างดี มันกระทั่งสามารถต่อสู้กับผู้สูงส่งชั้นฟ้าของเผ่าเทพได้ด้วยซ้ำ!


ทว่าเจ้าปิศาจโบราณที่ทรงพลังตัวนี้กลับหวาดกลัวขนาดนั้น แสดงให้เห็นว่าคนที่ไม่คุกเข่ามีความแข็งแกร่งแค่ไหน


“เจ้า…เจ้า…” องค์ชายจี้ตูหน้าซีด


หวังหลินไม่สนใจและถอนสายตาออกจากปิศาจโบราณ ขณะที่ทุกคนมองมาที่หวังหลิน หวังหลินได้ก้าวเข้าหามารโบราณ


เดิมที่สายตาของมารโบราณตัวนี้เป็นสีแดงและเกิดอาการบ้าคลั่ง แต่วินาทีนั้นมันกลับร้องครวญคราง ทั่วร่างสั่นสะท้านและหมอบบนพื้นแสดงท่าทีเชื่อฟัง มันไม่กล้าเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย


ทั้งเจ็ดคนบนศีรษะมันถึงกับหวาดกลัวที่หวังหลินเดินเข้ามา นอกจากชายชราหนึ่งในนั้นแล้ว อีกหกคนล้วนถอยร่นและระเบิดพลังเผ่าโบราณของตัวเอง


ในเจ็ดคนนั้นมีอยู่สี่คนบรรลุเก้าดาวและอีกสองคนไปถึงระดับการเชื่อม ผสานและหลอมรวม


คนที่แข็งแกร่งที่สุดคือชายชราที่ไม่เดินถอยไป สีหน้าท่าทางหนักแน่นพลางร้องคำราม ปรากฏดาวเก้าดวงกลางหน้าผากและดวงตาสองข้าง!


มีทั้งสิ้น 27 ดวง! ดาวทั้ง 27 ดวงเปล่งแสงน่ากลัวและมีร่างเงาขนาดใหญ่สามร่างปรากฏขึ้นด้านหลังชายชรา พวกมันคือเทพโบราณ ปิศาจโบราณและมารโบราณ!


เงาสามร่างยืนตรงนั้นและจ้องมองหวังหลินที่กำลังเข้าไปหา


“ไม่ว่าเจ้ามีปัญหาอะไรกับอาณาเขตฉี มันไม่เกี่ยวอะไรกับอาณาเขตเต๋าของเรา!” ชายชรารู้สึกจิตใจขมขื่น เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงเดินเข้ามาหา


‘กลุ่มทั้งสามของเหลียงหยุนมีระดับบ่มเพาะประมาณแก่นแท้ดับสูญ บางทีเพราะมีความแตกต่างในสายโลหิต จึงมีระดับบ่มเพาะไม่เท่ากัน ส่วนชายชราที่มีดาว 27 ดวงนี้ระดับบ่มเพาะเท่ากับวิบากดับสูญ’


‘ตอนที่ข้าอยู่ในโลกถ้ำ ดาว 27 ดวงของข้าไม่สมบูรณ์แต่ช่วงที่ข้าอยู่ในเผ่าเทพมันค่อยๆ สมบูรณ์ขึ้น กระนั้นข้ากลับสามารถแสดงพลังได้เหนือกว่าคนผู้นี้เสียอีก’


‘บางทีนี่คือความแตกต่างในสายโลหิต ระดับบ่มเพาะของเย่โม่นั้นสูงกว่าของสีรุ้งอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมสีรุ้งถึงต้องให้ลี่กวงช่วยเหลือ ระดับบ่มเพาะของลี่กวงตามที่ข้าเข้าใจน่าจะอยู่ที่ผู้สูงส่งชั้นฟ้า โอกาสที่เขาจะเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะไม่ได้มากนัก ไม่เช่นนั้นคงไม่ตาย’


‘จากจุดนี้ เย่โม่น่าจะมีพลังประมาณผู้สูงส่งชั้นฟ้า เขาผสานดาว 27 ดวงได้หมดและผ่านบททดสอบทั้งสามด่าน ซึ่งระดับนี้ในเผ่าโบราณเทียบได้กับผู้สูงส่งชั้นฟ้า’


‘เผ่าโบราณน่าจะคล้ายกับเผ่าเทพ ซึ่งมีคนที่มีพลังเช่นนี้ไม่ถึงพันคน’ หวังหลินก้าวไปบนแขนของมารโบราณและมาถึงศีรษะของมัน เขามองดูชายชราที่กำลังมีสีหน้าเปลี่ยนไปและมีเหงื่อปกคลุมใบหน้า ชายชราไม่สามารถทนรับแรงกดดันจากแววตาหวังหลินได้จึงถอยหลังโดยไม่รู้ตัว


หากเขาเป็นแบบนี้คงไม่ต้องพูดถึงอีกหกคนด้านหลัง ทุกคนล้วนล่าถอยด้วยใบหน้าซีดเผือด


“พวกเจ้ามาจากเมืองหลวงอาณาเขตเต๋าใช่หรือไม่?” หวังหลินพูดอย่างสงบนิ่ง เขาเปล่งกลิ่นอายปรมาจารย์และสร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นจนริมฝีปากชายชราแห้งผาก หัวใจเต้นถี่รัว เขารู้สึกแบบนี้เมื่อตอนที่เผชิญกับจักรพรรดิโบราณเท่านั้น สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกมาจากมรดกของจักรพรรดิโบราณ


แต่คนตรงหน้าเขาพึ่งพาเพียงพลังของตัวเอง!


“ใช่…ข้าได้ชื่อเย่ไห่มาจากจักรพรรดิโบราณ นี่เป็นการเดินทางเยี่ยมเยียนอาณาเขตฉีครั้งที่หกของข้าเพื่อช่วยจักรพรรดิค้นหานางสนม” ชายชราสูดหายใจลึกและหยุดการต่อต้านแรงกดดันของหวังหลิน แต่เผยความเคารพแทน


“เลือกนางสนมเป็นร้อยปีเลยหรือ?” หวังหลินได้ยินอีกครั้งและยังประหลาดใจ


ชายชรายิ้มอย่างขมขื่นและพยักหน้า


หวังหลินถามอย่างไม่ใส่ใจนัก “น่าสนใจเล็กน้อย ยังไม่มีใครได้รับเลือก?”


“ครั้งนี้ด้วยองค์ชายจี้ตูเป็นคนนำทาง เราจึงไปได้ถึงหกแคว้นและเลือกสาวงามได้สามคน คนสุดท้ายอยู่ที่เมืองศิลาดำ หลังจากนี้เราจะกลับไปอาณาเขตเต๋า” ชายชราตอบอย่างรวดเร็วและไม่กล้าซ่อนงำอะไรไว้ เขาลูบเจ้ามารโบราณด้านล่างอย่างเบามือ


ร่างมารโบราณสั่นเทาพลางมีสาวงามสองคนก้าวเดินออกมาจากระลอกคลื่น แต่ละคนโค้งคำนับไปที่หวังหลินด้วยแววตาหวาดกลัว


ชายชราพูดอย่างเคารพ “ทั้งสองคนคือคนที่ถูกเลือก”


หวังหลินกวาดสายตาผ่านหญิงสาวสองคนไปและเอ่ยขึ้น “ในเมื่อเจ้ามาจากอาณาเขตเต๋า จงมอบแผนที่ไปเมืองหลวงอาณาเขตเต๋ามาให้ข้า”


ชายชราตกตะลึง หลังจากลังเลเล็กน้อยจึงนำหินหยกออกมาและส่งให้หวังหลินอย่างเคารพ


หลังจากหวังหลินรับไปดูจึงก้าวเดินออกจากศีรษะมารโบราณ เขาเตรียมพร้อมจะไปแล้ว ส่วนด้านองค์ชาย หวังหลินไม่ถือว่าเขาคู่ควรให้ใส่ใจ


“ผู้อาวุโส รอก่อน!” องค์ชายพูดขึ้นก่อนจะปรากฏตัวเบื้องหน้าหวังหลิน เขาโค้งคำนับให้หวังหลินอย่างจริงจังและมีสีหน้าจริงใจอย่างยิ่ง


“ผู้น้อยจี้ตูล่วงเกินผู้อาวุโสก่อนหน้านี้ ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะไม่นำมาใส่ใจ โปรดให้ผู้น้อยได้มีโอกาสชดใช้ท่าน”


“โอ้? เจ้าจะชดใช้ข้าอย่างไร?” หวังหลินเผยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม


หลังจากเห็นหวังหลินพูดขึ้นมา องค์ชายจึงมุ่งมั่นและรีบคำนับฝ่ามือ


“ข้าขอให้ผู้อาวุโสรอสักครู่ เมื่อข้าได้ส่งทูตอาณาเขตเต๋ากลับไปแล้ว ข้าจะทำให้ผู้อาวุโสพึงพอใจแน่นอน” หลังจากหวังหลินพยักหน้า องค์ชายจึงส่งข้อความออกไปหาชายร่างกำยำเกราะทองด้านล่าง


“ไปเชิญแม่นางซ่งจื่อให้ไปกับทูตอาณาเขตเต๋า”


หลังจากนั้นไม่นานสตรีสวมชุดสีฟ้าคนหนึ่งก้าวเดินออกมาจากประตูเมือง รูปร่างหน้าตาของนางไม่ได้เลิศเลออะไรนักแต่นางมีอารมณ์ความรู้สึกอันบริสุทธิ์ เพียงแค่นางก้าวเดินออกมาและเงยศีรษะ จังหวะนั้นหวังหลินก็มองเข้าไป


สองสายตาประสานกัน


………………………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)