Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1970-1971
ตอนที่ 1970 เมืองหมายเลขหนึ่งของเผ่าเทพ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เพียงหิมะร่วงหล่น สองคนก้าวเดินตามกันออกมาจากสำนักตะวันม่วง ทั้งสองคือหวังหลินและหลิวจินเปียว
หวังหลินบ่มเพาะอย่างเงียบๆตลอดทั้งปีอยู่ในกลิ่นอายของบ้านเกิดที่เขาคิดถึง ช่วงระหว่างนี้แก่นแท้ไม้ของหวังหลินก้าวไปอีกระดับและใกล้เคียงกับการสร้างร่างแก่นแท้
ร่างแก่นแท้สายฟ้านั้นได้ผสานกับแก่นแท้พิเศษไปอย่างสมบูรณ์ตอนที่อยู่ในสำนักตงหลิน หวังหลินไม่ต้องทำความเข้าใจแก่นแท้พิเศษเพิ่มอีกแล้ว แค่นี้ก็นับว่าพอ ส่วนร่างแก่นแท้ห้าธาตุ แก่นแท้ไม้ของหวังหลินใกล้จะสร้างร่างแก่นแท้ได้แล้ว เหลือเพียงแก่นแท้โลหะที่สำเร็จไปแค่ส่วนน้อยเท่านั้น หวังหลินเข้าใจว่าหากเขาสามารถได้เศษกระบี่มาเพิ่ม แก่นแท้โลหะก็จะสมบูรณ์ไปอีกขั้น
เมื่อแก่นแท้โลหะสมบูรณ์ แม้จะไม่มีร่างแก่นแท้ แก่นแท้ทั้งห้าของหวังหลินก็สามารถผสานกันเป็นหนึ่งได้ ถึงจุดนั้นระดับบ่มเพาะของหวังหลินจะเพิ่มขึ้นจากระดับกลางไปสู่ระดับปลาย ซึ่งเป็นขั้นของผู้สูงส่งชั้นทอง
สุดท้ายคือแก่นแท้นามธรรม ต่อจากจริงเท็จ ชีวิตและความตาย และเวรกรรม หวังหลินได้รู้แจ้งแก่นแท้นามธรรมอันที่สี่ในสำนักตงหลิน นั่นคือแก่นแท้เกิดใหม่
เขารู้แจ้งเพียงแค่เศษเสี้ยวของแก่นแท้เกิดใหม่เท่านั้น ราวกับเพิ่งเปิดประตูไปและได้รับเมล็ดพันธุ์ หวังหลินยังต้องใช้เวลาอีกมากเพื่อให้มันสมบูรณ์
‘การบรรลุระดับผู้สูงส่งชั้นทองไม่ใช่เรื่องยาก…ส่วนที่ยากคือแก่นแท้นามธรรม…เมืองหลวงคือบ้านของบรรพชนเทพ บางทีข้าอาจเจอกลิ่นอายกระบี่ของบรรพชนเทพที่นั่น…’ หวังหลินก้าวเดินพลางผชิญหน้ากับสายลมและหิมะ
การมุ่งหน้าไปเมืองหลวงในแคว้นกลางจากสำนักตะวันม่วงที่อยู่ทิศตะวันออกนับว่าเป็นการเดินทางอันยาวนาน สำหรับเซียนทั่วไปแล้วแม้จะเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดยังต้องใช้เวลานานมากเว้นเสียแต่จะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย
ร่างหวังหลินค่อยๆ ถูกหิมะปกคลุมจนเขาใช้บิดมิติเพื่อออกไปจากแผ่นดินทิศตะวันออกพร้อมกับหลิวจินเปียวและมังกรสมุทร
ด้านหลังมีกุ้ยหยาและสองสาวน้อยยืนอยู่ข้างกัน แต่ละคนทอดสายตามองออกไปไกลด้วยความไม่เต็มใจนัก
“เขาจะกลับมาหรือไม่…” ความร่าเรืองของวาวาลดลงไปเล็กน้อย
“เรายังได้เจอเขาหรือไม่…” ฮานฮานถามขึ้นทำลายความเงียบ
กุ้ยหยาถอนหายใจและเอ่ยขึ้น “ก็น่าจะ…เป็นไปได้…ข้ามอบหินหยกให้เขาแล้ว หากเขาเผชิญอันตรายใดในแคว้นกลาง ท่านทั้งสองก็จะรู้ทันที”
“นี่เป็นข้อตกลงของเรากับเขา ถึงตอนนั้นมหาชั้นฟ้าชวงจื่อจะต้องไปช่วยเขา”
“ได้สิ นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อหวังหลินน้อยเลือกเรา เราจะไม่ยอมให้ใครมาแกล้งเขา!” วาวามองฮานฮาน สองสาวน้อยพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
ด้านแคว้นกลางใจกลางเผ่าเทพ เป็นสถานที่กว้างใหญ่และเต็มไปด้วยพลังปราณสวรรค์ ใจกลางของแคว้นคือเมืองหลวง
เมืองแห่งนี้กว้างใหญ่และเทียบได้กับแผ่นดินอีกสี่ทิศ มันไม่มีที่สิ้นสุดและถือเป็นเมืองหมายเลขหนึ่งของเผ่าเทพ!
แม้แต่เมืองชั้นหนึ่งในแคว้นโบราณ 36 แห่งก็มิอาจเทียบกับเมืองหลวงของเผ่าเทพได้เลย ทั้งยังเป็นถึงเมืองของบรรพชนในเผ่าเทพอีก
ในเมืองหลวงแห่งนี้มีเพียงสำนักเดียวเท่านั้นและนั่นคือสำนักที่ราชครูจากมา มันเป็นรากฐานและได้ผสานกับเซียนที่มีโลหิตของบรรพชนเทพไปแล้ว พวกเขาทนทุกข์ด้วยกันและรุ่งโรจน์ขึ้นมาด้วยกัน!
สำนักได้ถูกจักรพรรดิเทพตั้งกฎขึ้นมา จักรพรรดิเทพแต่ละรุ่นจะได้รับความภักดีจากสำนัก เมื่อสายโลหิตได้ตื่นขึ้นและสืบทอดชื่อมหาชั้นฟ้าแปดสุดขั้ว พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนชื่อของสำนักได้
จักรพรรดิเทพเหลียนต้าวเจินรุ่นนี้ได้เปลี่ยนชื่อสำนักให้เป็นสำนักเต๋า! จ้าวสำนักในรุ่นนี้คือราชครูคนปัจจุบัน ชางต้าวซวน!
ระดับบ่มเพาะของชางต้าวซวนนั้นลึกลับและมีพลังทำนายไม่ธรรมดา เพียงแค่ตัวเขาคนเดียวก็สามารถต้านทานพลังของราชครูทั้งสามจากเผ่าโบราณได้แล้ว
ไม่มีใครรู้ตำแหน่งของสำนักเต๋าที่แน่ชัด ตั้งแต่ยุคโบราณกาลมีเพียงไม่กี่คนที่ค้นพบ แต่ไม่มีความลับใดต้านทานกาลเวลาได้ ผ่านไปนานหลายปีจึงมีหลายคนคาดเดาได้หลายอย่าง
บางคนบอกว่าสำนักตั้งอยู่ในมิติว่างที่ทับซ้อนกับเมืองหลวง
บางคนบอกว่าสำนักอยู่ในรอยแยกอวกาศในเมืองหลวง ทางเข้าอยู่ในราชวัง
บางคนบอกว่าสำนักอยู่ใต้ดินลึกลงไปด้านล่างเมืองหลวง
คาดการณ์หลายอย่างและบางทีหนึ่งในนั้นอาจเป็นจริง
เมืองหลวงแบ่งออกเป็นสี่ทิศ ตรงกลางเป็นพื้นที่ต้องห้าม นั่นคือวังหลวงและคนที่ได้รับอนุญาตถึงมีสิทธิ์เข้าไปได้
ในสี่เมืองรองมีอีกหลายคฤหาสน์ แต่ละคฤหาสน์คือหนึ่งเขต ถึงจะไม่ใช่สำนักแต่ก็ทรงพลังมากกว่าสำนักส่วนใหญ่
แต่ละเมืองรองมีราชาสวมมงกุฎซึ่งเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในแต่ละเมืองรอง คฤหาสน์ลี่แห่งเมืองรองทิศเหนือ คฤหาสน์ลั่วแห่งเมืองรองทิศใต้ คฤหาสน์ชานแห่งเมืองรองทิศตะวันตก และคฤหาสน์เมิ่งแห่งเมืองรองทิศตะวันออก ทั้งสี่เป็นผู้ทรงอำนาจครอบครองพื้นที่ของตนเอง
นอกจากนี้ยังมีพลังอำนาจเหนือชั้นที่สามารถต่อกรกับพลังของจักรวรรดิได้ มันคือภูเขาที่อยู่คั่นกลางระหว่างเมืองตะวันออกและตะวันตก ภูเขาแห่งนี้ชื่อว่าภูเขาจักรพรรดิ!
ภูเขาจักรพรรดิ!
หนึ่งขุนเขา หนึ่งผู้คน หนึ่งมหาชั้นฟ้าจิ่วตี้ทำให้ทั้งเมืองหลวง พระราชวังและผู้คนนับล้านรู้สึกแทบหายใจได้ไม่ทั่วท้อง
จากความลึกลับของสำนักเต๋า มีหลายคนคาดเดาว่ามันมีเป้าหมายเพื่อข่มภูเขาจักรรพรดิซึ่งเอาไว้คานอำนาจกันเอง!
นี่คือโครงสร้างอำนาจภายในของเมืองหลวงที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ มีเพียงมหาชั้นฟ้าเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน หลังจากหวังหลินใช้เวลาหนึ่งปีอยู่ในสำนักตะวันม่วง เขาจึงต้องการมุ่งหน้าไปเมืองหลวง มหาชั้นฟ้าชวงจื่อได้ใช้วิชาผสานวิญญาณเพื่อค้นหาความทรงจำเรื่องของเมืองหลวงมามอบให้หวังหลิน
ในห้าแผ่นดินใหญ่ของเผ่าเทพได้แบ่งออกเป็นแคว้นยิบย่อยทั้งสิ้น 72 แคว้น แต่ละที่มีสี่ฤดูที่แตกต่างกันเล็กน้อย กว่าลมหนาวและหิมะจะพัดจากแผ่นดินทิศตะวันออกเข้าสู่แคว้นกลางก็ยังต้องใช้เวลาหลายเดือน
นี่คือหิมะแรกของเมืองหลวง มันมีขนาดใหญ่และปกคลุมทั่วทั้งเมือง ขณะที่หิมะรวบกันอยู่บนประตูทิศตะวันออก แม้แต่ภาพวิวทิวทัศน์ก็ยังเลือนลาง
ในเมืองแห่งนี้ไม่มีคนธรรมดา ซึ่งหาได้ยากนักในเผ่าเทพที่จะมีแค่เซียนอยู่อาศัย พลังปราณสวรรค์ที่หนาแน่นกลายเป็นแรงกดดันจนคนธรรมดาไม่สามารถอาศัยอยู่ได้
ในวันนี้ด้านนอกประตูทิศตะวันออกของเมืองหลวงมีหิมะปกคลุมสุดลูกหูลูกตา ร่างคนผู้หนึ่งค่อยๆ ปรากฏตัวออกมา เขาสวมเสื้อผ้ามิดชิด ก้าวเดินเข้าหาประตูเมืองพร้อมกับเงยหน้าเผชิญกับสายลมเย็น
ผ้าคลุมศีรษะปกคลุมใบหน้า แต่มองจากรูปร่างดูไม่เหมือนชายชราและเป็นชายหนุ่มแทน กระนั้นไม่ว่าพายุหิมะจะพัดใส่ร่างกายเขาแค่ไหน ก็ไม่สามารถปัดเป่ากลิ่นอายเก่าแก่ที่เขาเปล่งออกมาได้เลย
พอเขาอยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายแสนลี้ ชายคนนั้นก็หยุดลง ค่อยๆ ยกสายตาขึ้นมองทะลุหิมะออกไปในเมืองข้างหน้า
‘จักรพรรดิเทพ…ข้ากำลังมา…’ หวังหลินทอดสายตามองออกไปและยอมให้หิมะปกคลุมเสื้อผ้าและปิดบังรอยเท้า
‘นี่ควรจะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของข้าในเผ่าเทพ…ข้าจะไปดูว่าเหลียนต้าวเฟยจำข้าได้หรือไม่…จากนั้นข้าก็จะไม่มีวันเสียใจ’ หวังหลินก้มหน้าอย่างเงียบๆ ผ้าคลุมไม่เพียงแต่จะขัดขวางสายลมและหิมะ มันยังปกคลุมใบหน้าเขาอีกด้วย หวังหลินก้าวเดินต่อไปอย่างเงียบๆ
เขาไม่จำเป็นต้องมาเมืองหลวง เขารู้ว่ามันอันตรายมากแต่ก็ยังมา
มีบางอย่างที่ต้องทำในชีวิตโดยไม่มีวันเสียใจ! บางคนทำไปตามอารมณ์และเดินไปด้วยความตั้งมั่น
เพื่อคนรัก แม้จะเผชิญกับหน้าผา ก็ยังอยากพึ่งพามือของตัวเองปีนขึ้นไป
หวังหลินห่วงใยความรู้สึกนี้ต่อคนรัก ครอบครัวและสหาย ทุกอย่างนี้เขาไม่ได้มีมากมายอะไรในชีวิตอันโดดเดี่ยวและเขาก็หวงแหนยิ่ง…
การสูญเสียเพียงบางสิ่งก็ถือเป็นการสูญเสียที่แท้จริง
เหลียนต้าวเฟยช่วยเหลือเขา หลังจากใช้เวลาอยู่ร่วมกันในเต๋าแห่งความฝัน เขาก็ไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้หากไม่ได้เจอกับเหลียนต้าวเฟย หวังหลินอยากจะเห็นว่าสหายคนนี้ยังอยู่ดีหรือไม่
เขามาที่นี่ด้วยความคิดเช่นนี้
สายลมพัดไปบนร่าง หิมะกีดขวางเส้นทาง ค่ำของวันนี้หวังหลินมาถึงด้านนอกประตูตะวันออก เทียบกับเมืองนี้แล้วหวังหลินเหมือนมดตัวน้อยๆ
ประตูเมืองไม่มีคนคุ้มกันซึ่งไม่เหมือนกับเมืองทั่วไป มันคือเมืองหลวงที่มีมหาชั้นฟ้าสองคนและสำนักเต๋าอันลึกลับ แม้แต่ซวนลั่วก็ไม่กล้ามาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า มีเพียงคนแบบกุ้ยต้าวเท่านั้นที่กล้ามา
ยามพลบค่ำท้องฟ้าเป็นสีเทา สายลมและหิมะพัดใส่ หวังหลินก้าวผ่านประตูทิศตะวันออกไป ฝ่าเท้าเหยียบย่ำลงไปในเมืองหลวง
แรงกดดันอันทรงพลังกระโจนเข้าใส่เขาตอนที่เข้าไปในประตูเมือง มันมากพอที่จะทำให้ร่างคนธรรมดาพังทลาย แต่เหล่าเซียนก็แทบไม่สามารถยืนไหว หากบ่มเพาะที่นี่ให้ผลลัพธ์ดียิ่งกว่าสำนักที่มีชื่อเสียงใหญ่โตเสียอีก
แต่แรงกดดันนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อหวังหลิน เขาไม่จำเป็นต้องบ่มเพาะพลังปราณสวรรค์ จึงก้าวเดินไปบนถนนของเมือง สายตากวาดมองรอบๆ
มีคนเดินเท้าหลายคนรีบก้าวผ่านไป แม้พวกเขาจะเป็นเซียนแต่ก็ไม่มีใครเหาะเหิน แค่เดินเหมือนคนทั่วไปเท่านั้น
‘แม้แต่มังกรยังต้องขดตัวอยู่ในเมืองหลวง แม้แต่พยัคฆ์ยังต้องนอนราบอยู่ในเมืองหลวง แม้แต่ผู้สูงส่งชั้นฟ้ายังต้องยึดถือกฎ…เป็นแบบนี้สินะ…’ แววตาหวังหลินเย็นเยียบ
‘แต่ไม่ได้รวมถึงข้า!’
…………………………………………
ตอนที่ 1971 คฤหาสน์ลี่!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ลึกเข้าไปในเมืองรองทิศตะวันออกของเมืองหลวง มีคฤหาสน์ที่ดูธรรมดาแห่งหนึ่ง แต่มันครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่และดูไกลๆ เหมือนอสูรดุร้าย
ด้านนอกคฤหาสน์เงียบสนิท ไม่มีร่องรอยผู้คนราวกับเป็นสถานที่ต้องห้ามในเมืองรองทิศตะวันออก หากมีคนมองไกลๆ คงผ่านไปและไม่เดินเข้ามาที่นี่
สายลมพัดหวิวและนำพาหิมะหนาปกคลุมพื้นดิน แสงสีเงินสะท้อนหิมะทำให้ทั่วบริเวณหนาวเย็น แสงสีเงินส่องประกายบนประตูคฤหาสน์จนเปล่งแรงกดดันทรงพลัง
ด้านนอกประตูมีสิงโตหินยืนอยู่สองตัว พวกมันหลับตาแต่เปล่งกลิ่นอายดุร้ายน่าหวาดกลัว ราวกับแค่พวกมันลืมตาก็ทำให้คนที่จ้องมองต้องฉี่ราดได้แล้ว
เหนือประตูขึ้นไปมีกรอบสีเขียวพื้นหลังสีแดง สลักตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่เอาไว้
“คฤหาสน์ลี่”
กลิ่นอายพุ่งพรวดออกมาจากสองตัวอักษร ทำให้เกล็ดหิมะรอบด้านร่วงหล่นคล้ายกับเต็มไปด้วยจิตสังหาร
ภายในมีห้องโถงยาวแต่กลับไม่มีเสียงและไร้ผู้คน
ต่อจากห้องโถงคือห้องหินสีเขียว เพียงหิมะปกคลุมห้องหินจึงคล้ายกับมีสีเงินคลุมทับ แต่วินาทีที่หวังหลินเข้ามาในเมืองตะวันออก เสียงดีดผึงดังกังวาลในห้องหิน!
เพราะบริเวณเงียบสงัด เสียงดีดคันธนูจึงแผ่กระจายออกไปชัดเจน
ข้างในห้องเป็นชายชรานั่งอยู่และชั้นวางทำจากไม้อยู่เบื้องหน้า ชั้นวางนี้เป็นสีม่วงและดูโดดเด่น มันดูแปลกประหลาดและคล้ายกับมีอะไรขาดหายไป
หากวางคันธนูไว้บนชั้นวางก็จะสมบูรณ์!
นาทีนี้เสียงอื้ออึงดังออกมาจากชั้นวางสีม่วง ร่างเงาของคันธนูปรากฏขึ้นและส่งเสียงดังอย่างต่อเนื่อง
ชายชราพลันลืมตาขึ้นมา ดูคล้ายกับเต็มไปด้วยกลิ่นอายลูกศรอันแข็งแกร่ง เขาพลันจ้องมองชั้นวาง
‘ชั้นวางคันธนูของบรรพชนเกิดเสียงขึ้นมา…นี่…เกิดขึ้นครั้งเดียวตอนที่คันธนูของบรรพชนอยู่ใกล้ หรือว่า…คันธนูของบรรพชนอยู่แถวนี้!!’ ชายชราสูดหายใจลึกและโบกสะบัดใส่ชั้นวาง ลำแสงสีม่วงกะพริบวาบและเปลี่ยนกลายเป็นลูกธนู มันทะยานออกไปจากห้องหินแต่ไม่ได้เร็วนักและเหมือนกำลังค้นหาบางอย่าง จากนั้นก็หายวับออกไปไกล
ชายชรามีแววตาส่องสว่างและร้องตะโกนทันที่ “ลี่หยุน ลี่ชาน เจ้าสองคนติดตามคันธนูไปและดูว่าจะตามหากลิ่นอายคันธนูของบรรพชนเจอหรือไม่!”
เพียงเอ่ยเสียงดังกึกก้อง ร่างสองคนปรากฏขึ้นมาจากตำหนักอันเงียบงันดุจหมอกควัน ทั้งสองหายตัวไปตามลูกธนูสีม่วง
ตอนนี้หวังหลินกำลังเผชิญหน้ากับสายลมและหิมะ เขาเดินลอดผ่านเมืองรองทิศตะวันออกไป หิมะบนพื้นหนามาก หวังหลินมองเมืองขนาดใหญ่อันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด เขาไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน
หากเมืองรองตะวันออกเป็นแบบนี้คงไม่ต้องพูดถึงทั้งเมืองหลวง ซึ่งหาได้ยากในโลกนี้!
หลายคนผ่านไปอย่างรวดเร็ว บางคนสังเกตหวังหลินได้แต่ก็เพียงมองผ่านๆ และจากไป
รอบด้านมีร้านค้ามากมายและมีคฤหาสน์หลายแห่งเปล่งปราณสวรรค์อันทรงพลัง หลายแห่งเป็นสถานที่อันหรูหรา ทั้งเมืองรองตะวันออกแห่งนี้อยู่ใต้พลังปราณสวรรค์ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยนัก
หวังหลินเดินผ่านเมืองแห่งนี้อย่างเงียบๆ จนกระทั่งดวงจันทร์ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนฟ้า เขาหยุดตรงโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่แห่งหนึ่งและนำหินปราณสวรรค์ออกมาบางส่วนเพื่อจ่ายเป็นค่าพักแรม
ในห้องไม่กว้างใหญ่และเรียบง่าย แต่พลังปราณสวรรค์ที่นี่หนาแน่นยิ่งกว่าข้างนอก แม้จะไม่ใช่ถ้ำแต่มีกำแพง ประตูและหน้าต่างที่ถูกวางเขตอาคมเอาไว้ เขาอาคมเหล่านี้สามารถเปิดใช้งานเพื่อทำให้กลายเป็นสถานที่ปิดด่านบ่มเพาะได้เป็นอย่างดี
หลิวจินเปียวอยู่ข้างๆ และมองรอบด้าน มังกรสมุทรหดตัวลงจนมีขนาดเท่านิ้วน้อยและนอนอยู่บนไหล่ของหลิวจินเปียว มันดูค่อนข้างขี้เกียจ
เจ้ามังกรสมุทรและหลิวจินเปียวมีความสัมพันธ์ค่อนข้างดี หวังหลินไม่ประหลาดใจเลยเพราะเป็นธรรมดาที่หลิวจินเปียวจะทำเรื่องเช่นนี้ได้ด้วยวิชาของตัวเอง
ค่ำคืนมาถึงอย่างรวดเร็ว หิมะตกเบาบางลงไปมาก หลิวจินเปียวมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นคนเดินเท้ามากขึ้น เขามองแสงสว่างไกลๆ และได้ยินเสียงดนตรีทำให้รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น
“นายท่าน ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดี เมืองทั่วไปแทบจะมีเหมือนกันหมด ท่านเองก็เห็น ข้ากล้าบอกได้เลยว่ามันต้องมีสาวงามอยู่แน่ๆ!” หลิวจินเปียวชี้ออกไปยังสถานที่ที่เต็มไปด้วยแสงไฟ
“นายท่าน นิสัยของฉวี่ลี่กั๋วเปลี่ยนแปลงได้ยาก เขาต้องสุขสมทุกค่ำคืน หากท่านต้องการค้นหาเขา การไปค้นหาที่นั่นมีโอกาสเจอได้มาก”
“เอ๋ ข้าหลิวจินเปียวเป็นสุภาพบุรุษ ข้า…ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก แต่ข้าจะไปดูว่าฉวี่ลี่กั๋วอยู่นั่นจริงหรือไม่ นายท่านคิดเห็นอย่างไร…” หลิวจินเปียวระงับอาการตื่นเต้นพลางมองหวังหลิน
หวังหลินมองหลิวจินเปียวและรู้ว่าเขาไม่อยากอยู่ในห้อง หลังจากขบคิดจึงพยักหน้าให้
พอได้สัญญาณพยักหน้า หลิวจินเปียวพลันตื่นเต้นทันทีและก้าวออกไปพร้อมมังกรสมุทร
หลังหลิวจินเปียวจากไป หวังหลินจึงนั่งตัวคนเดียว เขานำสุราออกมาและเริ่มดื่มพลางมองหิมะด้านนอก
‘เหลียนต้าวเฟย…เจ้ายังจำเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกถ้ำได้หรือไม่…’ แสงจันทรานอกหน้าต่างยิ่งสว่างชัด สุราในมือพลันว่างเปล่า
หวังหลินถอนหายใจพลางวางขวดสุรา ลุกขึ้นและเดินออกไป เขาสวมเสื้อกันหนาวและเดินไปในเมืองรองทิศตะวันออกยามค่ำคืน
เสียงเพลงและเสียงพูดคุยดังทั่วสองฝั่ง แต่หวังหลินรู้สึกเหมือนเดินไปบนถนนอย่างโดดเดี่ยว จำนวนคนรอบตัวเขาค่อยๆ ลดลงจนเหลือแต่หวังหลินคนเดียวท่ามกลางหิมะ
หวังหลินหยุดลงและเอ่ยขึ้น “เจ้า ต้องการอะไร?”
พอเอ่ยเสียงดังขึ้นมา แรงกดดันจึงถาโถมออกไปจากน้ำเสียง ทำให้สายลมและหิมะแข็งค้าง มากพอที่จะบังคับคนที่กำลังซ่อนตัวให้ออกมา!
อากาศด้านหลังบิดเบือนและมีร่างคลุมเครือปรากฏ ก่อนที่ร่างนั้นจะปรากฎชัดเจนได้มีลูกศรสีม่วงพุ่งมาหาหวังหลิน
คนที่ปรากฏขึ้นมาใช้ฝ่ามือสร้างผนึกปรากฏคันศร ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังถือคันศรเอาไว้และยิงออกมาอีกดอก!
ลูกศรทะยานเข้าหาหวังหลินตามลูกศรสีม่วงก่อนหน้านี้
“ตระกูลลี่?” หวังหลินสวมเสื้อคลุมมิดชิด ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าเขาได้ พอหันกลับมาใช้แขนขวาชี้ออกไป
เท่านั้นลูกศรสีม่วงก็แตกสลาย แม้แต่ลูกศรที่ตามกันมายังสั่นเทาก่อนจะเลือนหายไปด้วย
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในพริบตา หวังหลินลงมือโดยไม่ต้องก้าวถอยหลัง เขาแค่หันกลับมาและชี้ออกไปอย่างลวกๆ
คนที่ยิงลูกศรมาถึงกับเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ เขาไม่คิดว่าลูกศรที่เขายิงด้วยพลังสูงสุดของระดับผู้สูงส่งชั้นทองจะถูกอีกฝ่ายจัดการได้ง่ายๆ
เส้นขนเส้นผมทั้งหมดในร่างตั้งขึ้นและเกิดความหวาดกลัวสูงสุด เขาล่าถอยโดยไม่ลังเลและกระทั่งพ่นโลหิตใช้วิชาหลบหนี ร่างเปลี่ยนกลายเป็นเงาสีแดงและหายวับไปหลายพันลี้
หากหวังหลินต้องการไล่ตาม คนผู้นั้นไม่สามารถหนีรอดได้ แต่เขาเพียงแค่ยืนนิ่งๆ เฝ้าดูร่างเงาโลหิตจากไป
‘ข้าแค่เข้ามาในเมืองทิศตะวันออกก็ได้รับความสนใจจากตระกูลลี่แล้ว…คงเป็นคันศรลี่กวงในร่างข้าที่พวกนั้นสัมผัสได้’
‘พวกนั้นน่าจะแค่สัมผัสได้และไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร ไม่เช่นนั้นคงไม่ส่งผู้สูงส่งชั้นทองออกมาติดตามข้าแค่สองคน’ หวังหลินไม่มีความเกลียดชังต่อตระกูลลี่ ดังนั้นจึงไม่ได้สังหารใคร
“ครั้งต่อไปจะไม่เป็นแบบนี้!” หวังหลินพึมพำก่อนจะหันกลับไป
ทว่าคำพูดเขาดังกึกก้องดุจสายฟ้าเข้าไปในหูของร่างเงาที่กำลังหลบหนี ทำให้เขากระอักโลหิตอีกครั้ง สีหน้าท่าทางหวาดกลัว
‘เขา…ระดับบ่มเพาะอะไรกัน!? ระดับบ่มเพาะอะไรกัน?! เรื่องนี้ต้องรีบรายงานแก่บรรพชนโดยด่วน เขาต้องเป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้าและไม่ใช่คนธรรมดา! ไม่ดีแล้ว ลี่ชานกับข้าขอแยกกันก่อน ข้าจะไปจับตาดูเขา ส่วนลี่ชานไปจับพรรคพวกเขา…’ สีหน้าท่าทางของร่างสีโลหิตพลันเปลี่ยนไปและรู้ได้ว่าการกระทำของตระกูลลี่อาจจะทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่
หวังหลินยังคงสวมเสื้อกันหนาวปิดศีรษะและเดินอยู่บนถนน เขาไม่มีเป้าหมายและเพียงแค่ต้องการเดินเงียบๆ เพียงที่เดินไปมีแสงและเสียงดังออกมาจากเบื้องหน้า
หวังหลินเงยหน้าขึ้นมองสถานที่คล้ายพระราชวังซึ่งปกคลุมไปด้วยแสงไฟ เขากำลังจะจากไปแต่พอมองขึ้นอีกครั้ง ดวงตาเผยแสงประหลาดใจ
สายตาคล้ายกับสามารถมองทะลุได้ทุกอย่างและเห็นชายชุดแดงที่ดูภูมิใจ หวังหลินคุ้นเคยกับรูปร่างหน้าตาและกลิ่นอายของคนผู้นี้
เบื้องหลังชายชุดแดงมีเซียนอีกหลายคนที่ทำการอารักขา ทุกคนล้วนเป็นเซียนขั้นที่สามและต่างก็มองชายชุดแดงด้วยความเคารพ
‘ห่างขนาดนี้ข้าก็ยังสามารถสัมผัสตัวตนของเขาได้ มีคนวางผนึกไว้กับเขา!’ หวังหลินหรี่ตาแต่ก็เผยรอยยิ้มแห่งความสุข
‘ฉวี่ลี่กั๋ว…’ หวังหลินส่ายศีรษะและกำลังจะเข้าไป ทว่าเขากลับขมวดคิ้วและหันมองออกไปไกล แววตากะพริบเย็นเยียบทันที
‘คฤหาสน์ลี่ นั่นมันก็เกินไปหน่อย!’ หวังหลินกะพริบตาและหายตัวไปทันที ชายชุดแดงในวังตรงหน้าโยนจอกสุราไปกับพื้นและร้องตะโกนใส่
“นี่มันสุราอะไร?! อย่ามาโกหกปู่ฉวี่นะ ข้ารู้ว่าตระกูลเจ้ามีสุราพันปี รีบนำมันมาที่นี่เร็วๆ ไม่เช่นนั้นปู่ฉวี่จะเล่าเรื่องที่นี่ทุกอย่าง!”
ชายชุดแดงมีสีหน้าดุร้ายแต่ไม่รู้ว่ามีสายตาหนึ่งกำลังมองเขา สายตานั้นอาจทำให้เขาเกิดความสับสนขึ้นมาภายใน
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น