Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1964-1965

 ตอนที่ 1964 อันดับหนึ่งใต้มหาชั้นฟ้า!

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอพวกเขาอยู่ด้านนอกตำหนักระดับสิบเจ็ด หวังหลินเอ่ยขึ้น “ผู้สูงส่งชั้นฟ้าเมิ่งต้าว รอข้าอยู่ข้างนอก อย่าเพิ่งจากไปก่อนที่ข้าจะออกมาเสียเล่า”


คำพูดหวังหลินช่างยุยงและท้าทายมาก ไม่เพียงแต่จะบอกว่าเมิ่งต้าวไม่สามารถผ่านตำหนักแห่งนี้ได้แต่เขายังปิดทางหนีไปอีก หากเมิ่งต้าวล้มเหลวและจากไป เมื่อนั้นจะเกิดความคิดด้านลบขึ้นภายในจิตใจเมิ่งต้าว


แต่หากเขาออกมาและรออยู่จริงๆ เมื่อนั้นถึงแม้จะไม่เกิดจิตใจด้านลบ เขาก็ยังเจอกับเรื่องใหญ่ถ้าหากหวังหลินผ่านไปได้ เรื่องนี้เทียบเท่ากับคันธนูที่กำลังแตกหัก!


หลังจากหวังหลินพูดเช่นนี้ ทั้งสองคนก็หายวับเข้าไปในระดับสิบเจ็ด


ผู้สูงส่งชั้นฟ้าไม่ได้ยินเพราะทั้งสองคนอยู่ไกลเกินไป แต่เหล่ามหาชั้นฟ้าทั้งสามคนได้ยินชัดเจน!


มหาชั้นฟ้าต้าวยี่หรี่ตาลงราวกับตอนเจอหวังหลินครั้งแรก เขามองตำหนักระดับสิบเจ็ดด้วยท่าทีเคร่งขรึม


‘หวังหลินคนนี้มันช่างเจ้าเล่ห์ยิ่ง!’


มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงก็มีแววตาเป็นประกายพลางมองไปบนท้องฟ้าและค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา


‘ดูเหมือนตั้งใจจะทำลายเมิ่งต้าว!’


ส่วนด้านจักรพรรดิเทพ สีหน้าท่าทางกำลังมืดมน เขาสะบัดแขนราวกับไม่อยากเฝ้าดูต่อไป ร่างเงารอบผู้สูงส่งชั้นฟ้าคนนั้นค่อยๆ หายไปและเขาก็ออกไปจากบททดสอบชั้นฟ้าแห่งนี้


ณ พระราชวังในเมืองหลวง เสียงหัวเราะเย็นเยียบดังกึกก้องผ่านไปทั่วราชวัง!


ทางด้าน ภูเขาจักรพรรดิ มหาชั้นฟ้าจิ่วตี้ยืนขึ้นมองใบไม้แห้งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สายตาเผยประกายแสงประหลาดใจ


‘นั่นมันคนหรือนี่!! ไม่เพียงแต่จะมีความเข้าใจในเต๋าอันสูงล้ำและมีพลังการต่อสู้เก่งกาจ เขายังเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการอีกด้วย…เยี่ยมยอด เด็กคนนี้ไม่ได้ไร้ค่า แต่เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดียิ่งกว่าเมิ่งต้าว…’


ภายในบททดสอบชั้นฟ้า หลังจากหวังหลินและเมิ่งต้าวเข้าระดับสิบเจ็ดไปแล้ว ผ่านไปเพียงแค่สามลมหายใจ มีร่างหนึ่งกระอักโลหิตและถูกโยนออกมา


ร่างนี้ถูกผลักดันกลับมาหลายพันฟุตก่อนจะหยุดลง เขาคือผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าว ใบหน้ากำลังซีดเผือด พอหยุดตัวลงได้จึงกระอักโลหิตอีกครั้ง ร่างกายสั่นเทาราวกับไม่สามารถประคองตัวเองได้


แสงในแววตาหายไปราวกับสูญเสียพลังชีวิตทั้งหมด เขาจ้องมองตำหนักระดับสิบเจ็ดที่อยู่ห่างไปหลายพันฟุตและอยู่เงียบๆ


เขาล้มเหลว


เขาทั้งล้มเหลว ถูกผลักออกมาและบาดเจ็บสาหัส แม้ไม่ได้มองลงไปแต่เขาสามารถสัมผัสได้ว่าสายตาของเซียนเบื้องล่างกำลังเชือดเฉือนบนร่างเขาจนเกิดรอยแผล


เวลาผ่านไปสี่ลมหายใจ ห้าลมหายใจ หกลมหายใจ…จนกระทั่งผ่านไปครึ่งก้านธูปไหม้


เมิ่งต้าวอดทนอยู่ตลอดเวลาและมองตำหนักระดับสิบเจ็ด เขารอให้หวังหลินกระเด็นออกมา


ยิ่งเวลาผ่านไปเขายิ่งคาดหวังมากขึ้น สุดท้ายมันก็ถึงจุดสูงสุดและกลายเป็นศรัทธาของเขาเท่านั้น!


‘หากข้าไม่สำเร็จ มันก็ไม่สำเร็จแน่นอน! หากมันไม่ผ่าน ข้าก็ไม่พ่ายแพ้!’ การรอคอยนี้มากพอที่จะสังหารเซียนคนใดก็ได้ เรือนผมของเมิ่งต้าวทั้งยุ่งเหยิงและส่งสายตาจ้องมองตำหนักระดับสิบเจ็ดอย่างดุเดือด


เวลาผ่านไปอีกครั้งครึ่งก้านธูปไหม้ หนึ่งก้านธูปไหม้…ไม่นานก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมง!


หวังหลินไม่เคยอยู่ในตำหนักทดสอบนานขนาดนี้แต่ตอนนี้เขายังอยู่ในระดับสิบเจ็ด การที่เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงทำให้เมิ่งต้าวเชื่อมั่นมากขึ้นราวกับได้รับความหวัง


‘ยิ่งใช้เวลานาน ยิ่งยากมากขึ้นและโอกาสสำเร็จจะลดน้อยลง หวังหลินจะไม่สำเร็จ มันไม่มีทางสำเร็จ!!!’ พลังงานทุกอย่างของเมิ่งต้าวควบแน่นอยู่ในสองตา จ้องมองไปยังตำหนักตรงหน้า


ความหวังอันเปราะบางของเขาคือกำแพงสุดท้ายแห่งความจองหอง หากมันแตกหัก ความคิดเขาจะพังทลายและจมลงสู่ความสิ้นหวังของการถูกก้าวข้ามไปอย่างสิ้นเชิง


‘มันจะไม่สำเร็จ มันจะไม่สำเร็จ!!!’


เวลาผ่านไปนานเกินไป เหล่าเซียนทุกคนที่เงียบงันอยู่ด้านล่างถึงกับประหลาดใจและเริ่มคาดการณ์


มหาชั้นฟ้าต้าวยี่ขมวดคิ้วเช่นกัน เขามองตำหนักระดับสิบเจ็ดและจิตใจลังเล เพียงเวลาสั้นๆ ของวันนี้ได้เปลี่ยนความคิดเขามาแล้วหลายครั้ง เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับเขาแต่ก็เกิดขึ้นแล้ว


‘บททดสอบชั้นฟ้ามีแค่สิบเก้าระดับและเขาก็ผ่านระดับสิบหก ถึงจะไม่ผ่านระดับสิบเจ็ด แค่นี้ก็มากพอที่จะแสดงพลังของเขาแล้ว…แต่เมื่อเขาผ่านระดับสิบเจ็ดขึ้นมา เมื่อนั้น…ข้ากลัวว่าแม้แต่มหาชั้นฟ้าจิ่วตี้ก็ยังเข้ามาดึงเขาไปด้วย!’


‘คนแบบเขาจะปรากฏขึ้นทุกหมื่นปีเท่านั้น! อีกทั้งเมิ่งต้าวก็เจอกับการโจมตีของหวังหลินอย่างต่อเนื่อง หากเขาสามารถกลับขึ้นมาได้อีกครั้งก็คงดี แต่หากเขาทำไม่ได้…จิตใจแห่งเต๋าก็คงจบสิ้นแล้ว’


มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงมีสีหน้าซับซ้อนพลางมองตำหนักระดับสิบเจ็ด แต่เขาไม่เหมือนต้าวยี่ เขายังมีความมั่นใจบางส่วน


‘ข้าช่วยเหลือเขามาก่อน การช่วยครั้งนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่โตหรือเล็กน้อยก็ได้ แต่ถึงตอนที่เขากำลังโดนข่ม ข้าก็ยังช่วยเหลือเขา…ทำให้เขาจะเลือกข้าแน่นอน!’


‘ต้าวยี่กำลังลังเล นี่เกี่ยวข้องกับนิสัยของเขาด้วย นิสัยแบบนั้นมีแต่จะทำให้ดูอ่อนแอ คนที่แข็งแกร่งจริงๆ จะมีความจองหองของตัวเอง คนเหล่านั้นจะยอมติดตามเราได้อย่างไร? เว้นแต่เราจะแสดงความเมตตาออกมาเท่านั้น


‘แต่หากหวังหลินผ่านระดับสิบเจ็ดไปจริงๆ การที่ข้าจะชักชวนเขายิ่งยากขึ้นไปอีก…หากไม่มีเหตุบังเอิญ ในอนาคตเขาจะมีโอกาสได้เป็นมหาชั้นฟ้าถึงแปดในสิบส่วน!’


พระราชวังในเมืองหลวงตกอยู่ในความเงียบและปกคลุมไปด้วยแรงกดดันรุนแรงแห่งความโกรธเกรี้ยว จักรพรรดิเทพกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร มองดูเมิ่งต้าวที่หน้าซีดและมีสายตาแปลกประหลาด


“ข้าควรฟังคำราชครูและสังหารหวังหลินจริงๆ! แต่ข้าคิดว่าด้วยตำหนักมหาชั้นฟ้าของข้า ไม่ว่าจะเป็นการลงมือด้วยตัวเองหรือส่งคนอื่นไป ข้าก็ไม่ควรทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่…ข้าจะปล่อยโอกาสให้เขาเติบโต ข้าคิดว่าทุกอย่างอยู่ในกำมืออยู่แล้ว!”


“ไม่ว่าเขาจะเติบโตขึ้นมาแค่ไหน เมื่อมาที่เมืองหลวง ข้าจะหาข้ออ้างจับกุมเขาและส่งไปหาราชครู”


“แต่ข้าไม่คิดว่าจะเติบโตถึงระดับนี้ มากพอที่จะทำให้มหาชั้นฟ้าคนอื่นสนอกสนใจ…ถึงกับตั้งใจทำลายเมิ่งต้าวที่ข้าชักชวนไปด้วยมูลค่ามหาศาล…” จักรพรรดิเทพมองดูภาพและพึมพำกับตัวเอง แต่มุมปากเผยรอยยิ้มบางที่ไม่เหมือนคำพูด


“หากเขาผ่านระดับสิบเจ็ดได้ จะต้องทำให้สหายเฒ่าจิ่วตี้สนใจแน่นอน เมื่อเขาถูกจิ่วตี้เชิญชวน…” จักรพรรดิเทพหลับตา


“นี่มันก็นานแล้ว บางทีเขาคงไม่ผ่าน!”


“แต่…ข้าหวังว่าเขาจะผ่าน…และโจมตีเมิ่งต้าวได้อย่างโหดเหี้ยม…” จักรพรรดิเทพลืมตาและเผยรอยยิ้มประหลาดมากขึ้น


“เมิ่งต้าว เจ้าอย่าทำให้ข้าผิดหวัง ข้าทำอะไรให้เจ้าไปมากมาย…แม้แต่ยอมให้หวังหลินได้เติบโต…”


ณ แคว้นกลาง ภูเขาจักรพรรดิ จิ่วตี้กำลังมองใบไม้แห้งอย่างตั้งใจ ขณะที่กำลังขบคิดเขาได้เห็นปัญหาว่ามหาชั้นฟ้าคนอื่นดูเหมือนจะวางเฉย


‘หากเขาผ่านระดับสิบเจ็ดได้ ไม่เพียงแต่จะมีชื่อเสียงแต่สิ่งสำคัญคือ…พลังต่อสู้ของเขาก็จะเผยออกมา ด้วยพลังต่อสู้แบบนั้น เขาจะกลายเป็นอันดับหนึ่งใต้มหาชั้นฟ้าในเผ่าเทพ…แม้จะมีมหาชั้นฟ้าลงมือต่อต้าน เขาก็อาจหนีไปได้…’


‘คนแบบนี้ต้องแลกอะไรถึงชักชวนได้? ข้าชอบให้เขาไม่ผ่านระดับสิบเจ็ดมากกว่า’ จิ่วตี้ขบคิดและเป็นครั้งแรกที่เขามองใบไม้แห้งด้วยสีหน้าซับซ้อน


ภายในบททดสอบชั้นฟ้า ขณะที่ทุกคนมองดูระดับสิบเจ็ด บางคนก็คาดหวังและบางคนก็หวังให้หวังหลินล้มเหลวตั้งแต่เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป


หลังจากเวลาผ่านไปนานโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เมิ่งต้าวไม่มีใบหน้าซีดเผือดอีกแล้ว เต็มไปด้วยความหวังและมั่นใจ ทว่าในขณะที่ความหวังมาถึงจุดสูงสุดและกำลังจะฟื้นคืน ทั้งร่างเขาก็สั่นสะท้านราวกับโดนสายฟ้ากระแทก


เพราะเขาเห็นแสงสีทองแพรวพราวระเบิดออกมาจากตำหนักระดับสิบเจ็ด!!!


แสงสีทองแผ่กระจายอย่างบ้าคลั่งและเต็มไปทั่วสายตาทุกคน ร่างชุดขาวก้าวเดินออกมาจากแสงสีทอง เรือนผมขาวกลายเป็นสีทองจากแสงที่แผ่กระจายออกมา


หวังหลินก้าวออกมาและไม่ได้หันไปมองผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าว เขาก้าวผ่านเมิ่งต้าวซึ่งถูกทำลายความหวังไปท่ามกลางสายตาของทุกคน


ไม่สนใจทุกคน!


เขาไม่ได้เข้าไปลองระดับสิบแปดแต่ทะยานลงมาทีละขั้น หยุดอยู่เบื้องหน้ามหาชั้นฟ้าต้าวยี่และหวู่เฟิง พลางคำนับฝ่ามือให้ เขามองหวู่เฟิงก่อนจะทะยานไปค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณและจากไป


ขณะที่เขาไป ได้หันไปมองไฮ่จื่อที่อยู่ในฝูงชน พลางยิ้มและพยักหน้า


ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวกระอักโลหิตพลางพึมพำ “เขา…ผ่านระดับสิบเจ็ด…” หมอกโลหิตคราวนี้มาจากแก่นแท้ดั้งเดิม เพราะเขาไม่ได้มาที่นี่ด้วยร่างกายหยาบ


ขณะที่แก่นแท้ดั้งเดิมสลายไป เมิ่งต้าวดูเหมือนคนที่หมดพลังชีวิต ความจองหองพังทลาย


เต๋าของเขาถูกหวังหลินทำลายอย่างโหดเหี้ยม เขาจากไปด้วยรอยยิ้มน่าเวทนาอย่างเงียบๆ


แต่วินาทีนั้นไม่มีใครสนใจเรื่องของเมิ่งต้าวกันแล้ว หลังจากหวังหลินจากไป มีเสียงร้องขึ้นมาดังกึกก้องไปทั่วบททดสอบชั้นฟ้า!!


“อันดับหนึ่งในใต้มหาชั้นฟ้า! หวังหลิน!!”


“วันนี้อันดับของเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะได้เปลี่ยนไปแล้ว หวังหลินทำให้ทุกคนตกตะลึงไปทั่วหล้า!”


“ตั้งแต่วันนี้ไป เผ่าเทพของเราจะมีเซียนที่แข็งแกร่งสุดยอดเพิ่มขึ้นมาอีกคน!! ผู้สูงส่งชั้นเทวะอันดับหนึ่ง แข็งแกร่งที่สุดใต้มหาชั้นฟ้า!!”


“ถือว่าเขาเป็นตะวันดวงที่หกของเผ่าเทพแล้ว! เซียนผู้ใกล้จะเป็นมหาชั้นฟ้ามากที่สุด!”


……………………………………


ตอนที่ 1965 เจ้าเห็นหรือไม่?

โดย

Ink Stone_Fantasy

หวังหลินจากไปแต่กลับเกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในบททดสอบชั้นฟ้า หวังหลินทะลวงผ่านแต่ละระดับจนทำให้ทุกคนตื่นเต้นมากและรู้สึกถึงความแตกต่าง


แต่ทุกคนจดจำชื่อ “หวังหลิน” ว่าเป็นชื่อที่เข้ามาแทนผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวในฐานะอันดับหนึ่งใต้เหล่ามหาชั้นฟ้า!


ผู้สูงส่งชั้นเทวะผมขาว!


ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเกราะวิญญาณได้ถูกฝังอยู่ใต้จิตใจทุกคนอย่างเงียบงัน ไม่มีใครกล่าวถึงอีกเลยและเข้าใจดีว่าถึงแม้พวกเขาจะมีเกราะวิญญาณ ก็ไม่สามารถผ่านระดับสิบเจ็ดได้!


สิ่งที่หวังหลินทำเอาไว้ได้ก่อเกิดคลื่นยักษ์ในใจทุกคนที่กำลังทดสอบชั้นฟ้า หลังจากเป็นพยานรู้เห็นในสิ่งที่หวังหลินทำลงไป หลายคนจึงเข้าไปทดสอบเพิ่มเติม


มหาชั้นฟ้าต้าวยี่มองดูหวังหลินจากไปอย่างเงียบๆ แววตากะพริบแสงและเขาก็จากไป เขาต้องการตามหาหวังหลินทันที ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม เขาจะไปชักชวนหวังหลินให้ได้!


หวู่เฟิงถอนหายใจ หลังจากหวังหลินผ่านระดับสิบเจ็ด เขารู้ว่าการชักชวนหวังหลินจะยากยิ่งกว่าการชักชวนเมิ่งต้าวเสียอีก!


‘โชคดีที่ข้าสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา แม้ข้าจะล้มเหลว ความสัมพันธ์กับเขาก็ยังดีกว่ามหาชั้นฟ้าคนอื่น’ หวู่เฟิงขบคิดและหายตัวไป


ทางด้านพระราชวัง เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว บัลลังก์มังกรถูกจักรพรรดิเทพป่นสลายเป็นผุยผง


ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวลืมตาอยู่ข้างๆ สายตาไร้จิตวิญญาณและก้มศีรษะเงียบๆ


“เมิ่งต้าว ข้าจะให้โอกาสเจ้ามุ่งหน้าไปพื้นที่ปิดด่านบ่มเพาะของบรรพชนเทพ เจ้าจะสามารถขับไล่ความอับอายได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเอง! หวังหลินนั่นควรมาที่เมืองหลวง หากเจ้าสามารถสังหารเขาได้ เจ้าก็ยังเป็นอันดับหนึ่งในเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะ!”


ครั้งนี้เมิ่งต้าวไม่ลังเลเหมือนก่อนและพยักหน้า


ณ แคว้นกลาง ยอดภูเขาจักรพรรดิ มหาชั้นฟ้าจิ่วตี้ยืนอยู่บนยอดเขาและถอนสายตาออกมาจากใบไม้แห้ง ผ่านไปสักพัก จึงลืมตาเผยแสงภายใน


‘ข้าไม่สามารถชักชวนเมิ่งต้าวได้และตอนนี้เขาก็บาดหมางกับจักรพรรดิเทพ ข้าอยากเห็นเสียแล้วว่าใครจะมาแย่งชิงกับข้า!’ มหาชั้นฟ้าจิ่วตี้หันไปมองไฮ่จื่อที่ค่อยๆ ลืมตาและหัวเราะ


“ไฮ่จื่อ ตามอาจารย์มา อาจารย์จะไปรับหวังหลินมาเป็นศิษย์และให้เขาเป็นศิษย์พี่เจ้า ว่าอย่างไร?”


ไฮ่จื่อตกตะลึงและเต็มไปด้วยความสุข


ด้านแผ่นดินตะวันออกในสำนักตะวันม่วง ชายวัยกลางคนมีแววตาส่องสว่างและพึมพำต่อไป


“ตำหนักระดับสิบเจ็ด เขาผ่านระดับสิบเจ็ดได้จริงๆ มหาชั้นฟ้าคนอื่นจะต้องสู้กันเพื่อแย่งเขาแน่นอน!! บรรพชนน้อย ท่านต้องรีบทำนายตำแหน่งเขา เราต้องรีบค้นหาให้เจอโดยด่วน!”


สาวน้อยทั้งสองกะพริบตาปริบๆ และยืนขึ้นทันที ทั้งสามคนเปลี่ยนกลายเป็นสายลมและหายไป ทว่าจังหวะนั้นมีมือเล็กๆ ปรากฏขึ้นมาจับทันหลางไปด้วย


“อ้าา ข้าลืมพาสุนัขน้อยไปด้วย ไม่ต้องห่วง เราจะไม่ลืมเจ้าหรอก เจ้าทำผลงานไว้ดี มากับเราซะดีดี”


ทันหลางมีหยาดน้ำตาไหลออกมาจนถึงคอ เขาหายตัวไปจากห้องหิน


ณ แคว้นมหาปราชญ์ หวังหลินนั่งอยู่ในถ้ำโดยมีมังกรสมุทรหดตัวลงนอนขวางไว้อย่างขี้เกียจ หลิวจินเปียวกระโดดไปรอบร่างมังกรสมุทร บางครั้งก็แตะจุดหนึ่งและข่วนอีกจุดราวกับมีอาการคัน


เจ้ามังกรสมุทรเหล่ตาราวกับมันปลอดโปร่งมาก กระทั่งบิดตัวพร้อมกับหาว


“ฮี่ฮี่ เป็นอย่างไรบ้าง? สบายดีหรือไม่? ปู่จินศึกษาเรียนรู้วิธีพิเศษในการเลี้ยงสัตว์ดุร้ายตั้งแต่อยู่ในโลกถ้ำ มันคือเคล็ดการนวด หากใช้ทุกวันจะทำให้โลหิตไหลเวียนและทำให้เจ้ารู้สึกผ่อนคลายเหมือนลอยอยู่ในก้อนเมฆ! อดทนเอาไว้ อดทนเอาไว้ ห้ามขยับ มันยังไม่จบ!”


“หากเจ้าไม่อดทน ข้าจะไม่ทำให้เจ้าอีกแล้ว!” หลิวจินเปียวเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ แต่เขาก็ไม่รู้สึกเหนื่อย เขาทำอยู่นานก่อนจะนอนลงสูดหายใจพะงาบๆ


“บัดซบ ข้าเหนื่อยแทบตาย เราต่างเป็นมังกรสมุทรทั้งคู่ ข้าทำให้เจ้าเสร็จแล้ว ตอนนี้ถึงตาเจ้าบ้าง!” หลิวจินเปียวมองดูมังกรสมุทร


“ข้าเป็นมังกรสมุทรจริงๆ ข้าไม่ได้บอกเจ้าไปแล้วหรือ ข้าอยู่ในวังโบราณและโดนวิชาที่ทำให้ข้ากลายเป็นคน”


มังกรสมุทรมองหลิวจินเปียวด้วยความลังเลและเอี้ยวตัวราวกับไม่เต็มใจ พอเห็นมังกรสมุทรเป็นเช่นนี้ หลิวจินเปียวเบิกตาและเต็มไปด้วยความโกรธ


“เฮ้ ไม่ใช่ว่าเราพูดกันด้วยเหตุผลหรือ? ข้ากำลังจะบอกเจ้าว่า หากเจ้าไม่ทำ ข้าจะไม่นวดผ่อนคลายให้เจ้าอีกแล้ว! นี่เป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม เจ้าก็รู้นี่! ข้าบอกให้ฟัง มีอีกคนที่ติดตามนายท่านชื่อฉวี่ลี่กั๋ว เขาเป็นคนที่โหดเหี้ยมมาก และหากเจ้าไม่ร่วมมือ เจ้าก็จะต้องระมัดระวังเมื่อเขามาที่นี่” หลิวจินเปียวเต็มไปด้วยสายตาหวาดกลัวพลางพูดกับมังกรสมุทร


มังกรสมุทรลังเลอยู่สักพักและโกรธขึ้นมา ระหว่างนี้หลิวจินเปียวยังปลูกฝังไปอีกว่าฉวี่ลี่กั๋วเป็นคนที่อำมหิตโดยเฉพาะชอบกลั่นแกล้งมังกรสมุทร เพียงแค่คิดถึงฉวี่ลี่กั๋ว คนที่มันไม่เคยเจอหน้ามาก่อนก็ทำให้มันรู้สึกไม่เป็นสุขแล้ว


ผ่านไปสักพัก มันอ้าปากและพ่นแกนพลังดั้งเดิมออกมา หลิวจินเปียวรีบดูดซับทันที สายตาเต็มไปด้วยความภูมิใจที่ซ่อนเอาไว้พลางเริ่มบ่มเพาะ


‘ฮี่ฮี่ ข้าจินเปียวจื่อกำลังแข็งแกร่งขึ้น มังกรสมุทรตัวนี้โง่นักและหลอกง่าย เพียงมีมันช่วยเหลือ ข้าสามารถเพิ่มระดับบ่มเพาะได้ง่ายดาย จากนั้นข้าก็จะฝึกฝนมันให้จ้องมองฉวี่น้อย อีกไม่นานถึงจะไม่มีข้า เจ้ามังกรสมุทรก็จะทำตัวข่ม ฮ่าฮ่า รอก่อนเถอะฉวี่น้อย!!’


ขณะที่หลิวจินเปียวรู้สึกภูมิใจ หวังหลินลืมตาขึ้นมาและส่องสว่าง ทว่าพอเขาเห็นหลิวจินเปียวและมังกรสมุทร จึงตกตะลึงไปชั่วครู่


หวังหลินขมวดคิ้ว เขาเห็นมังกรสมุทรยอมด้วยความเต็มใจ ดังนั้นจึงเมินเฉย


ผ่านไปสักพักเจ้ามังกรสมุทรพ่นลมหายใจเสร็จและนอนอย่างขี้เกียจ


หลังจากหลิวจินเปียวบ่มเพาะเสร็จและดูดซับแกนพลังดั้งเดิมจากมังกรสมุทร หวังหลินยืนขึ้นจ้องมองเขา


“อย่าทำอะไรใหญ่โต ถึงเวลาต้องไปแล้ว”


พอหวังหลินชำเลืองมา หลิวจินเปียวรู้สึกเหมือนความคิดทุกอย่างถูกเผยไปหมด เขากะพริบตาพลางเผยสีหน้าละอายและรีบยืน


“นายท่านเรียบร้อยแล้ว? ได้ขอรับ เราพร้อมไปทุกเมื่อ ว่าแต่…เมื่อไรเราจะไปตามหาฉวี่ลี่กั๋ว?”


เจ้ามังกรสมุทรกำลังลุกขึ้น พอได้ยินชื่อ “ฉวี่ลี่กั๋ว” แววตาจึงเกิดความโกรธ มันจำชื่อ “ฉวี่ลี่กั๋ว” และรู้สึกเกลียดชังผู้ที่ชอบกลั่นแกล้งสหายมังกรสมุทรเป็นพิเศษ


“แขกกำลังมา เราจะมุ่งหน้าไปแคว้นกลางเร็วๆ นี้ ส่วนการตามหาฉวี่ลี่กั๋ว ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้ว” หวังหลินสะบัดแขน เก็บฉวี่ลี่กั๋วและมังกรสมุทรกลับไป เขาก้าวออกมาจากถ้ำและปรากฏตัวบนยอดเขา ยืนเผชิญกับสายลมจนเสื้อผ้าปลิวไสว


“ใครจะมาถึงเป็นคนแรก…” หวังหลินพึมพำ เขาอยากให้ทุกคนตกตะลึงในตอนนี้!


ขณะที่หลิวจินเปียวกำลังสั่งสอนมังกรสมุทรให้โกรธฉวี่ลี่กั๋ว ห่างออกไปไกลในเมืองหลวงของแคว้นกลาง มีคนชุดฟ้าอยู่คนหนึ่ง เขามีใบหน้าแบบโจรชั่วและทำท่าดูถูก


เมืองหลวงอยู่ใจกลางของเผ่าเทพและปกคลุมพื้นที่กว้างใหญ่จนเกือบมีขนาดเท่าแผ่นดินขนาดใหญ่ที่มีหลายแคว้นรวมกัน มีเมืองหลวงอันงดงามที่คนธรรมดามิอาจสร้างได้เว้นแต่จะใช้คนมากมายสร้างขึ้นเป็นเวลาหลายพันปี


เมืองแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล!


ด้านตะวันออกของเมืองมีถนนที่ค่อนข้างวุ่นวาย ชายหนุ่มสวมเสื้อดอกไม้ก้าวเดินช่วงใหญ่และมีท่าทีจองหอง มีองครักษ์นับสิบเดินตาม แต่ละคนเป็นเซียนขั้นที่สามและองครักษ์ชุดม่วงยังเป็นถึงผู้สูงส่งชั้นทอง!!


เหล่าองครักษ์ล้วนเป็นบุรุษและเดินตามอย่างเงียบๆ


ด้านข้างชายหนุ่มมีอีกสองคน หนึ่งในนั้นเป็นวัยรุ่นที่ดูโอหังและสวมชุดสีฟ้า แต่เขาเดินแตกต่างกว่าคนอื่น ราวกับซ่อนอะไรไว้ระหว่างขา


อีกคนเป็นชายหนุ่มชุดแดงดูเหมือนคนที่มีความทะเยอทะยาน


“เฮ้ ท่านฉวี่ ลมหนาวพัดมาหรือถึงทำให้เราได้ยินเสียงจามของเจ้า?” วัยรุ่นท่าทีโอหังพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงคมชัด


“บ้ะ เจ้าสหายน้อยที่ชายก็ไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิง เมื่อคืนปู่ฉวี่เจ้าออกไปเล่นสนุก เจ้ามาหาข้าต้องการให้ทำอะไร? มาสิ ไปกับเราคืนนี้” ชายหนุ่มมีสายตาดุร้าย


“ฮึ่ม เจ้าโจรไร้ยางอาย!” หนุ่มวัยรุ่นกลอกตา


“ข้าไร้ยางอาย? ปู่ฉวี่เป็นคนไร้ยางอาย? คืนนี้เจ้าระวังตัวไว้ให้ดี ข้าจะไปห้องเจ้าและจะให้อับอายยิ่งกว่า ฮี่ฮี่ ระวังไว้ให้ดี” ชายหนุ่มแซ่ฉวี่ยิ้มออกมาอย่างมีเจตนาร้าย พลางมองชายหนุ่มวัยรุ่น


“ไม่ต้องทะเลาะกัน เจ้าสองคนเสียงดังโวยวาย ทะเลาะไม่จบไม่สิ้น น้องแดงไปเตะประตู ให้ตระกูลลี่นั่นได้รู้ว่าราชาผู้นี้แข็งแกร่งแค่ไหน เจ้าบัดซบถึงกล้ากลั่นแกล้งข้า!!”


“ส่วนเจ้า ฉิงน้อย จำไว้ว่าหากหลายอย่างกำลังแย่ จงรีบบีบหินหยกเพื่อให้พี่ใหญ่ข้ามาสั่งสอนบทเรียนพวกมัน!” ชายหนุ่มเสื้อลายดอกด้านหน้ากำลังพ่นลมหายใจและชี้ใส่คฤหาสน์ขนาดใหญ่ตรงหน้า


คฤหาสน์ขนาดใหญ่มาก มองไกลๆ มันเปล่งแรงกดดันทรงพลัง ประตูปิดสนิทและไม่มีคนคุ้มกัน บนประตูมีแผ่นสีเขียวพื้นหลังสีแดงและมีตัวอักษรสีทองเขียนเอาไว้!


คฤหาสน์ลี่


เพียงตัวอักษรนี้เปล่งกลิ่นอายกระบี่เต็มไปทั่วบริเวณ


“ดี!!” ชายหนุ่มแซ่ฉวี่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณราวกับชอบทำเรื่องแบบนี้ เขาพุ่งเข้าหาประตูและเตะออกไป


เกิดเสียงดังปังแต่ประตูไม่ขยับเลย ทว่าชายหนุ่มแซ่ฉวี่ไม่สนใจราวกับรู้อยู่แล้วต้องเป็นแบบนี้


“คนของคฤหาสน์ลี่ จงฟังให้ดี ปู่ฉวี่อยู่นี่แล้ว เปิดประตูมาต้อนรับแขก!!”


ชายหนุ่มเสื้อดอกไม้หัวเราะออกมาหลังจากได้ยิน เขาดูตื่นเต้นและพูดกับชายหนุ่มชุดสีฟ้าด้านข้าง


“เจ้าเห็นหรือไม่ เจ้าเห็นหรือไม่? รู้ไว้ซะบ้างว่าทำไมราชาผู้นี้ถึงให้คุณค่ากับฉวี่ ‘ต้อนรับแขก’ ช่างเป็นคำพูดที่ดีอะไรปานนั้น!”


…………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)