Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1958-1963

 ตอนที่ 1958 เจิดจรัส! (8)

โดย

Ink Stone_Fantasy

มหาชั้นฟ้าต้าวยี่สวมชุดคลุมเต๋าเรียบง่าย เขาก้าวเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม มองดูหวังหลินที่อยู่นอกตำหนักระดับสิบสอง


หวังหลินเองก็มองมาที่มหาชั้นฟ้าต้าวยี่เช่นกัน เขาขบคิดเล็กน้อยก่อนจะคำนับฝ่ามือ


“ข้าจำได้ หากข้าผ่านตำหนักระดับเก้าได้ มหาชั้นฟ้าต้าวยี่จะมาชวนข้าอีกครั้ง”


“เรื่องนี้ไม่ต้องเร่งรีบ สหายน้อยหวังหลินสามารถลองชั้นสิบสองได้ก่อน” มหาชั้นฟ้าต้าวยี่ยิ้มและมองมหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล


สายตาทั้งสองคนจ้องมองกันอย่างดุเดือด


เซียนทั้งหมดในตอนนี้ต่างก็มองเห็น ผู้สูงส่งชั้นฟ้าล้วนมีสายตาแปลกประหลาด นอกจากผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวแล้ว นี่ถือเป็นครั้งที่สองที่พวกเขาได้เห็นเหล่ามหาชั้นฟ้าต่อสู้เพื่อแย่งชิงกันเอง!


มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงเผยแววตาเย็นเยียบและเอ่ยขึ้น “ต้าวยี่ ข้าหมายตาเด็กคนนี้ อย่ามาสู้กับข้า!”


มหาชั้นฟ้าต้าวยี่ยิ้มและส่งข้อความสัมผัสวิญญาณออกไป “หวู่เฟิง แม้เราจะไม่สามารถบังคับผู้สูงส่งชั้นเทวะได้ แต่นี่ขึ้นอยู่กับตัวเลือกของเขา เจ้าหมายตาเขาไม่ได้หมายความว่าเขาจะเลือกเจ้า!”


“ยิ่งไปกว่านั้น เขากำลังจะลองตำหนักระดับสิบสอง เมื่อเขาผ่านได้เขาจะเทียบชั้นกับเมิ่งต้าว ลืมเรื่องเจ้าและข้าไปได้เลย แม้แต่สหายเฒ่าจิ่วตี้อาจมาร่วมวงด้วย…”


“และยังมีจักรพรรดิเทพนั่นอีก ข้าไม่รู้ว่าเขาสัญญากับเมิ่งต้าวไว้อย่างไรถึงเชิญชวนไปได้”


ขณะที่ทั้งสองคนพูดคุยกันด้วยสัมผัสวิญญาณ หวังหลินในท้องฟ้าสูดหายใจลึกและก้าวเข้าสู่ตำหนักระดับสิบสอง!


พอเขาเข้าไป ต้าวยี่และหวู่เฟิงจึงหยุดพูดและมองขึ้นไป เหล่าเซียนทั้งหมดที่นี่ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้าหรือผู้สูงส่งชั้นเทวะต่างก็มองไปยังเบื้องบน


คนเพียงไม่กี่คนที่กำลังมองดูจากด้านนอกบททดสอบชั้นฟ้าก็กำลังมีความคิดที่แตกต่างกัน ชายวัยกลางคนในสำนักตะวันม่วงมองดูกระจกอย่างขมขื่นและถอนหายใจยาว


‘อาา เขาผ่านตำหนักระดับสิบเอ็ดได้อย่างไรกัน…ถึงระดับสิบเอ็ดจะดี แต่เขาไม่น่าผ่านระดับสิบสอง…เมื่อทะลวงผ่านไปได้ แล้วข้าจะใช้อะไรไปเชิญเขามา…’


‘ข้ากลัวว่าเขาจะถูกจักรพรรดิเทพและมหาชั้นฟ้าจิ่วตี้ดึงตัวไปทันที แม้แต่มหาชั้นฟ้าต้าวยี่และหวู่เฟิงยังเทียบกับสองคนนั้นได้ยาก…’


‘โชคร้ายจริง หากมหาชั้นฟ้าชวงจื่อของสำนักตะวันม่วงไม่เจออุบัติเหตุระหว่างการเกิดใหม่ครั้งล่าสุด เราคงเทียบกับจักรพรรดิเทพและจิ่วตี้ได้…’


ชายวัยกลางคนถอนหายใจอย่างขมขื่นและกำลังจะล้มเลิกความคิดการเชิญชวนเข้าร่วม แต่วินาทีนั้นประตูถูกเตะเปิดออกมาและมีสาวน้อยชุดแดงวิ่งเข้าหา


“กุ้ยหยาน้อย ทำไมเจ้ายังมองกระจกแตกๆ นั่นอีก? ออกมาช่วยข้าและฮานฮานสอนบทเรียนเจ้าสุนัขน้อยนี่เสียดีกว่า วันนี้เจ้าสุนัขน้อยทำตัวแย่มาก! ข้าจะสอนบทเรียนให้มัน!”


“บรรพชนน้อย…” ชายวัยกลางคนดูเหมือนกำลังจะร้องไห้


“เอ๋? คนที่อยู่ในกระจกดูคุ้นๆนะ…” สาวน้อยชุดแดงมองกระจกและขมวดคิ้วเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง


“อาา…บรรพชนน้อย ท่านต้องคุ้นหน้าคุ้นตาพวกเขาแน่นอน นั่นคือมหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงและมหาชั้นฟ้าต้าวยี่…” ชายวัยกลางคนถอนหายใจและคิดจะล้มเลิกการเชิญชวน


“ไปเถอะบรรพชนน้อย ข้าจะช่วยท่านจัดการกับ…สุนัขน้อยนั่น…” ชายวัยกลางคนถอนหายใจ เขาสงสารเซียนน่าสงสารที่ชื่อทันหลางคนนั้น


“ไม่ใช่เจ้าหัวล้านตายด้านกับเจ้าใบหน้าเสแสร้งนั่น คนนี้ต่างหาก!” สาวน้อยยกแขนขึ้นมาชี้ใส่หวังหลินที่ได้ก้าวเข้าสู่ตำหนักระดับสิบสอง


“เอ๋ เขาเข้าตำหนักนี่ คุ้นหน้าคุ้นตามาก…ขอข้าคิดสักครู่…” สาวน้อยขบคิดและจากนั้นดวงตาก็พลันส่องสว่างขึ้นมา!


“เขาชื่อหวังหลิน!! ข้าจำได้แล้วตอนที่ข้าพบสุนัขน้อย ข้าก็เห็นเขาเช่นกัน ข้าจำได้ว่าฮานฮานและข้าช่วยเขาไว้ครั้งหนึ่ง…และข้าดูเหมือนเคยเจอเขามาก่อน!”


“คนที่เจ้าพูดว่าต้องการเชิญชวนก็คือเขาสินะ ดีดีดี ข้าและฮานฮานจะไปกับเจ้าด้วย” สาวน้อยกะพริบตาปริบๆ และปรบมือพร้อมกับหัวเราะ


ชายวัยกลางคนกลืนน้ำลายและจ้องมองสาวน้อยอย่างตกตะลึง ผ่านไปสักพักสีหน้าท่าทางจึงเปลี่ยนเป็นตื่นเต้น


“ท่าน…บรรพชนน้อย ท่านมั่นใจหรือไม่ว่ารู้จักเขามาก่อนและกระทั่งเคยไปช่วยเขาอีก?”


สาวน้อยขมวดคิ้วและชี้ใส่ชายวัยกลางคนที่กำลังตื่นเต้น นางพูดด้วยน้ำเสียงวางท่า “กุ้ยหยาน้อย เจ้าไม่เชื่อหรือ?”


“มหาชั้นฟ้าชวงจื่อช่างมีสายตากว้างไกลจนไปช่วยเหลือเขามาก่อน เพียงเท่านี้บางทีเราอาจจะเชิญเขามาได้จริงๆ!” ชายวัยกลางคนหัวเราะอย่างตื่นเต้น ใบหน้าดูมีสีสันขึ้นมาเล็กน้อย กระทั่งหว่านล้อมบรรพชนน้อยเบื้องหน้าเหมือนเด็กๆ


เพียงสาวน้อยได้ยินเรื่องนี้ไม่นาน นางก็ยิ้มออกมาและดูภูมิใจมาก


“ฮึ่ม ตอนนี้เจ้ารู้แล้วสินะว่าข้าและฮานฮานทรงพลังและมีสายตากว้างไกลแค่ไหน ข้าบอกเจ้าให้ลืมเรื่องพวกที่ทิ้งเราไป แต่เจ้าก็ไม่ฟัง”


“ข้ามหาชั้นฟ้าชวงจื่อ ไม่เคยบังคับให้ใครอยู่ หากพวกนั้นอยากจะไปก็ปล่อยให้ไป ใครจะควบคุมโชคชะตาได้กันเล่า? ไม่ว่าจะเจ้าหรือข้า เข้าใจหรือไม่?” ยิ่งสาวน้อยพูด นางยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจมากยิ่งขึ้น


“ขอรับ ขอรับ มหาชั้นฟ้าชวงจื่อผู้ควบคุมโชคชะตา กุ้ยหยาชื่นชมยิ่ง ชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง…” ชายวัยกลางคนยิ้มรับและมองสาวน้อยเบื้องหน้าด้วยสายตาแห่งความรัก


แม้เขาจะมีระดับบ่มเพาะบกพร่อง ตอนที่มหาชั้นฟ้าชวงจื่อเกิดเหตุบังเอิญระหว่างการเกิดใหม่ เขาเลือกที่จะอยู่ดูแลสองสาวน้อยทั้งสองตอนที่คนอื่นจากไปแล้ว ทุกสิ่งที่เขาทำลงไปจนกระทั่งตอนนี้ก็เพราะความเมตตาที่นางมอบให้เขา


ตอนนั้นเขาเป็นแค่ผู้สูงส่งชั้นฟ้าที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่ใต้อำนาจมหาชั้นฟ้าชวงจื่อ แต่ตอนนี้เหลือเขาเพียงคนเดียว


ขณะที่เสียงหัวเราะดังกึกก้องไปในสำนักตะวันม่วง บนภูเขาจักรพรรดิในแคว้นกลาง มหาชั้นฟ้าจิ่วตี้ที่เดิมทีเกียจคร้านกำลังจ้องมองใบไม้แห้งเบื้องหน้าอย่างสนอกสนใจ


“กำลังลองตำหนักระดับสิบสองหลังจากผ่านระดับสิบเอ็ด…คนผู้นี้…นับว่าเป็นคนด้วยหรือ ข้าสามารถยื่นข้อเสนอที่เขาพอใจได้…แต่ไฮ่จื่ออยู่นั่น หากข้าไปก็ขัดกับสิ่งที่ข้าพูดไว้ก่อนหน้านี้อีก…” แม้ชายชราจะพึมพำ เขาก็จ้องใบไม้แห้งตาไม่กะพริบ


“ช่างมันเถอะ เพียงแค่ตำหนักระดับสิบเอ็ดเท่านั้น เด็กคนนี้ยังห่างไกลจากผู้สูงส่งชั้นฟ้าเมิ่งต้าว” ชายชราหันศีรษะกลับมาและหลับตา แต่วินาทีนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งเพื่อจ้องมองใบไม้แห้ง


“เขาจะผ่านได้หรือไม่…”


ทางด้านเมืองหลวงในแคว้นกลาง พระราชวังอันหรูหรา ผู้สูงส่งชั้นฟ้าเมิ่งต้าวสวมชุดสีดำจ้องมองภาพมายาและขมวดคิ้ว


“เจ้าสังหารเขาในลมหายใจเดียวได้หรือไม่?” เสียงลมหายใจดังขึ้นมาในห้องโถง


ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวขบคิดเงียบๆ จากนั้นพูดขึ้น “หนึ่งลมหายใจก็พอแล้ว!”


เสียงหัวเราะดังกึกก้องและดังอีกครั้ง


“เขาไม่สามารถผ่านตำหนักระดับสิบสองได้ เกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์ของเขาจะเจอกับกระทิงสวรรค์ในตำหนักระดับสิบสอง! ให้คนอื่นสู้แย่งชิงเขาเถอะ จักรพรรดิผู้นี้ไม่มีอะไรสนใจ…” ขณะที่คำพูดเขาเอ่ยดังขึ้นมา เขาก็พลันหยุดก่อนจะพูดจบ บัลลังก์มังกรเกิดระลอกคลื่นดังสนั่น ชายวัยกลางที่ดูหน้าตาคล้ายบรรพชนเทพปรากฏตัวขึ้นมา


เขามองภาพมายาในตำหนักด้วยสายตาแฝงอาการตกตะลึง ตำหนักระดับสิบสองในภาพมายาพลันระเบิดแสงสีทองสว่างจนตาพร่า!!


แสงสีทองนี้โผล่ออกมาจากบททดสอบชั้นฟ้าอย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนแทงทะลุผ่านภาพมายาออกไปจนทำให้พระราชวังแห่งนี้ส่องสว่างขึ้นมาด้วย!


“เขาผ่านระดับสิบสอง!” ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีทองค่อนข้างประหลาดใจ


ชายหนุ่มชุดดำด้านข้างกายพลันปลดปล่อยจิตสังหารทันที เขาจ้องภาพมายาและเผยแววตาเย็นเยียบอย่างที่สุด


เขาเข้าใจว่าหวังหลินที่ผ่านระดับสิบสองคงเหมือนกับเขาในอดีต หวังหลินคงตั้งใจทำให้ทุกคนและเหล่ามหาชั้นฟ้าทั้งหมดอยากรับเขาเข้ามาอยู่ใต้อำนาจ เพื่อที่เขาจะได้เงื่อนไขดีดีในการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น


หวังหลินผ่านระดับสิบสองนั่นหมายความว่าเมื่อใดที่มีคนมาคุยกับเขา ชื่อของหวังหลินจะถูกยกขึ้นมา! เรื่องแบบนี้ทำให้คนที่ถูกนับว่าเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะหมายเลขหนึ่งมาเสมอ ถึงกับไม่เป็นสุข!


เมิ่งต้าวขบคิดและพูดขึ้น “แค่ตำหนักระดับสิบสอง มีแค่ไม่กี่คนในเผ่าเทพที่สามารถผ่านได้ การสังหารเขาก็ยังคงใช้แค่ลมหายใจเดียวเท่านั้น!”


แต่ชายวัยกลางคนชุดทองกำลังจ้องมองภาพ ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด


ขณะเดียวกันบนภูเขาจักรพรรดิ ชายชรายืนขึ้น ดวงตาเปล่งประกายเป็นแสงประหลาด อย่างไรก็ตามหลังจากลังเลอยู่เล็กน้อยจึงค่อยๆ นั่งลง


‘ข้าเคยเจอเขามาแล้วหนึ่งครั้ง เด็กคนนี้มีเกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์…การผ่านระดับสิบสองไปด้วยพลังของเกราะวิญญาณนั่นหมายความว่าเขายังเทียบกับผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวได้…เขาก็แค่ผู้สูงส่งชั้นเทวะทั่วไป…เว้นแต่จะผ่านระดับสิบสามด้วยเกราะวิญญาณ…’ ชายชราขบคิดพลางนั่งหลับตาลง


‘อาา เหนื่อย…ช่างเหนื่อยจริงๆ…ข้าควรจะเชิญชวนเขาดีหรือไม่…เขาไม่น่าจะทะลวงผ่านระดับสิบสามได้และน่าจะยอมแพ้…เอ๋!’ ชายชราพลันลืมตา เขาเห็นหวังหลินอยู่นอกตำหนักระดับสิบสอง รอบด้านถูกห่อหุ้มด้วยหยดน้ำที่มองไม่เห็นหนึ่งชั้น แรงกดดันจากระลอกคลื่นได้ทำให้เขารู้สึกได้แม้จะมองผ่านใบไม้แห้ง


“เต๋าวารีสุดขั้ว!”


ขณะที่ชายชรากำลังสังเกตระลอกคลื่นวารีที่มองไม่เห็นรอบร่างหวังหลิน เขาเห็นหวังหลินเคลื่อนไหวอีกครั้ง หวังหลินไม่ได้ล้มเลิกและมุ่งหน้าไปสู่ตำหนักระดับสิบสาม!


พริบตาเดียวร่างหวังหลินก็หายเข้าไปในก้อนเมฆที่ห่อหุ้มตำหนักระดับสิบสามเอาไว้


ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวต้องพ่นลมหายใจเย็น แววตาเป็นประกายจิตสังหาร


“ท่านจักรพรรดิเทพ ข้าจะไปบททดสอบชั้นฟ้าเพื่อทดสอบตำหนักระดับสิบหก!”


……………………………………………..


ตอนที่ 1959 เจิดจรัส! (9)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ผู้สูงส่งชั้นฟ้า ผู้สูงส่งชั้นเทวะและมหาชั้นฟ้าแห่งเผ่าเทพเกือบทุกคนล้วนเห็นการกระทำอันบ้าคลั่งของหวังหลิน


เรื่องแบบนี้หาได้ยากยิ่งในเผ่าเทพ มีเพียงผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวเท่านั้นที่ได้รับความสนใจแบบนี้ในอดีต


อย่างไรก็ตามความสนใจนี้ไม่ได้เป็นของผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวอีกต่อไปแล้ว ส่วนหนึ่งแบ่งออกมาและอยู่ที่หวังหลิน!


ตั้งแต่นี้ต่อไปในประวัติศาสตร์ของเผ่าเทพ ชื่อของหวังหลินจะคงเปล่งประกายเจิดจ้าและทุกคนรู้ดีว่าเขามีคุณสมบัติโดดเด่น!


แม้แต่ในอนาคตอันใกล้ แม้แต่เผ่าโบราณก็ยังได้ยินเรื่องนี้!


ผู้สูงส่งชั้นเทวะคนที่ 49 ของเผ่าเทพ หลังจากกลายเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะ เขาได้ข้ามผ่านระดับสิบเอ็ดและสิบสอง ตอนนี้กำลังลองระดับสิบสาม!


มหาชั้นฟ้าจิ่วตี้ที่อยู่บนภูเขาจักรพรรดิไม่ทำตัวขี้เกียจอีกต่อไปแล้วแต่จ้องมองใบไม้แห้งเบื้องหน้าอย่างตั้งใจ ท่าทีเคร่งเครียดยิ่ง


เขาเข้าใจดีว่าการผ่านระดับสิบสามด้วยเกราะวิญญาณ นั่นหมายความว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนที่ไร้ค่าเกินไป…


ส่วนทางด้านจักรพรรดิเทพที่เผยตัวเองออกมาในพระราชวัง ดวงตาเผยประกายแสงแปลกประหลาด เขามองภาพมายาตรงหน้าพลางเฝ้าดูหวังหลินเข้าไปในระดับสิบสามด้วย


ด้านหลังเขานั่น ผู้สูงส่งชั้นฟ้าเมิ่งต้าวได้นั่งลงแล้ว เขารวมสัมผัสวิญญาณไว้บนหน้าผากและกำลังจะมุ่งหน้าเข้าสู่บททดสอบชั้นฟ้า!


เวลานี้ในบททดสอบชั้นฟ้า มหาชั้นฟ้าต้าวยี่ขมวดคิ้วและถอนหายใจ เขารู้ว่าหวังหลินตอนนี้ได้ก่อให้เกิดคลื่นพายุลูกใหม่ขึ้นมาแล้ว หากมหาชั้นฟ้าต้องการเซียนเช่นนี้คงต้องจ่ายราคาที่เหมาะสม


แต่ไม่ว่าจะแลกด้วยสิ่งที่มีค่าแค่ไหน มันก็คุ้มค่าอยู่ดี เมื่อคนผู้นี้ได้กลายเป็นมหาชั้นฟ้า ผลประโยชน์ก็จะดียิ่งกว่าคุ้มค่า การได้มีมหาชั้นฟ้าอีกคนเป็นสหายและมีความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้จะช่วยให้สถานะของมหาชั้นฟ้าคนใดก็ตามเพิ่มสูงขึ้นอย่างมหาศาล


มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงถอนหายใจออกมาเช่นกัน เขาเล็งเห็นว่าหวังหลินได้สร้างสถานการณ์ให้มหาชั้นฟ้าทั้งสี่คนนอกจากมหาชั้นฟ้าชวงจื่อเข้าต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงคนคนเดียว


เว้นแต่จะมีเหตุบังเอิญเกิดขึ้น…


บททดสอบชั้นฟ้าเงียบสนิท เหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ตลอดทั้งวันพวกเขารู้สึกว่าช่องว่างระหว่างตัวเองและหวังหลินกำลังห่างไกลขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ระดับห้าจนถึงตอนนี้ก็ระดับสิบสองไปแล้ว


พวกเขานึกย้อนไปถึงตอนที่หวังหลินเพิ่งจะผ่านระดับห้าและดูเหมือนเป็นเรื่องตลก ด้วยระดับบ่มเพาะของแต่ละคนจึงมีคุณสมบัติไปออกความเห็นผู้สูงส่งชั้นเทวะได้ แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่การผ่านระดับสิบสองเลย!


พวกเขาทำได้แค่มองดูร่างหวังหลินในท้องฟ้าเท่านั้น!


แม้แต่กลุ่มของพิรุณหิมะยังขบคิดเงียบๆ แต่ละคนมีความรู้สึกซับซ้อนอธิบายไม่ถูก นอกจากนี้ช่องว่างก็กว้างใหญ่เกินกว่าที่จะลบล้างความคิดอื่นได้หมด


“ตอนนั้นผู้สูงส่งชั้นฟ้าเมิ่งต้าวก็ยังหยุดอยู่ที่ตำหนักระดับสิบสาม…ข้าสงสัยว่าเขาจะข้ามผ่านไปได้หรือไม่…”


“หากผ่านระดับสิบสามไปได้ เขาจะข้ามผ่านผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวในอดีตได้อย่างสิ้นเชิง กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ผู้สูงส่งชั้นเทวะ! ถึงแม้จะเทียบกับเมิ่งต้าวในปัจจุบันไม่ได้ เขาก็อยู่ห่างไม่ไกล!”


ส่วนผู้สูงส่งชั้นเทวะทารกน้อย ใบหน้ากำลังซีดเผือดหลังจากเป็นพยานรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ตอนนี้เขาควรเปลี่ยนความคิดได้แล้วแต่ก็อดคิดไม่ได้


‘ระดับสิบสาม…เขาผ่านไม่ได้แน่นอน!!’


มีผู้สูงส่งชั้นเทวะอีกมากกว่ายี่สิบคนที่มาที่นี่พร้อมกับกลุ่มของพิรุณหิมะ พวกเขากระจายกันไปในบททดสอบเพื่อมองดูและเป็นพยานรู้เห็นเหตุการณ์นี้


“เขาจะผ่านระดับสิบสามไปได้หรือไม่…”


“เผ่าเทพของเรามีอยู่เก้าคนที่หยุดอยู่ตำหนักระดับสิบสาม รวมถึงฉายเว่ยและเมิ่งต้าว หากหวังหลินผ่านระดับสิบสามไม่ได้ เขาจะกลายเป็นสุดยอดผู้สูงส่งชั้นเทวะติดอันดับสิบคนแรก!”


“ตำหนักระดับสิบสาม เขาไม่น่าจะผ่านได้ ท้ายที่สุดเขาก็ยังมีขีดจำกัด”


มีผู้สูงส่งชั้นฟ้าบางคนที่เป็นสหายกันกำลังพูดคุยด้วยสัมผัสวิญญาณ พวกเขามองไปยังเค้าโครงของระดับสิบสามที่ซ่อนตัวอยู่ในก้อนเมฆ


ภายในตำหนักระดับสิบสาม หวังหลินกำลังหน้าซีดขาว ตอนที่เขาเข้ามา หมอกในดาราจักรดวงดาวปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอีกครั้ง หมอกที่นี่หนาแน่นมากกว่าสองตำหนักก่อนหน้านี้


หวังหลินขบคิดอยู่ในหมอกอย่างเงียบงัน


‘กระทิงสวรรค์ปรากฏขึ้นมาในเหล่าเก้าวิญญาณของตำหนักระดับสิบสอง…ข้ารู้สึกได้ว่าการผ่านระดับสิบสองเป็นขีดจำกัดของเกราะวิญญาณแล้ว…’


‘เกราะวิญญาณไม่สามารถทำได้ทุกอย่าง มันสามารถเพิ่มระดับบ่มเพาะและเพิ่มพลังต่อสู้ของข้าได้ แต่ยิ่งระดับบ่มเพาะของข้าเพิ่มขึ้น ผลลัพธ์ของมันจะค่อยๆ ลดลง นอกจากนี้ ที่ทำไปคือการทำให้ตัวเองเข้าใกล้ระดับเดียวกับกระทิงสวรรค์มากขึ้นเท่านั้น…’


‘แต่ความจริง มันยังมีช่องว่างอยู่’


‘โชคดีที่ข้าได้เรียนรู้เต๋าเพลิงสุดขั้วในระดับสิบเอ็ดและได้เต๋าวารีสุดขั้วในระดับสิบสอง จากแปดเต๋าสุดขั้วที่จักรพรรดิเทพสืบทอดมาจากแผ่นดินเทพบรรพกาล ตอนนี้ข้ามีอยู่สองแล้ว!’


‘ตำหนักระดับสิบสามแห่งนี้ ข้าควรผ่านมันดีหรือไม่…’ หวังหลินจ้องมองและครุ่นคิด


“เต๋าคือสิ่งใด?” เพียงแค่ขบคิด น้ำเสียงเดิมที่เขาได้ยินมาในสองตำหนักก่อนหน้ากำลังดังกึกก้อง น้ำเสียงลอดผ่านอวกาศเข้ามาและเต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาล


หวังหลินค่อยๆ ลืมตาอย่างสงบนิ่ง เขาตอบคำถามนี้มาแล้วสองครั้ง แต่ละครั้งคำตอบก็แตกต่างกันไป เขาตอบ “ชีวิตและความตายคือเต๋า” ไปในครั้งแรกและ “เวรกรรมคือเต๋า” ไปในครั้งที่สอง


ครั้งที่สาม หวังหลินเข้าใจว่าคำตอบคือ “จริงเท็จคือเต๋า!”


บททดสอบการรู้แจ้งแห่งเต๋าอาจจะยากสำหรับคนอื่น แต่หวังหลินได้ขบคิดเรื่องนี้มาอย่างหนักตั้งแต่อยู่ในโลกถ้ำ


‘มีชื่อเสียงโดดเด่นในคราเดียว…ข้าควรนับได้ว่าทำสำเร็จไปแล้ว หลังจากระดับสิบสามไปข้าก็น่าจะหยุดได้ แม้เหล่ามหาชั้นฟ้าจะรู้ว่าข้ามีเกราะวิญญาณ แค่นี้ก็พอแล้ว’ หวังหลินขบคิดและคิดขึ้นมาในใจ


ขณะที่เสียงดังกึกก้อง ความคิดหวังหลินกระจ่างชัด เขาคิดถึงความฝันของตัวเองบนดาวซูซาคุและเอ่ยขึ้นมา “ชีวิตและความตายคือโซ่ตรวน นี่คือเต๋า โซ่ตรวนเชื่อมต่อกันจนกลายเป็นวงกลมซึ่งคือเวรกรรม นี่ก็คือเต๋า! ผู้คนมีความฝันเป็นม่านกั้น บอกไม่ได้ว่าตื่นอยู่หรือกำลังฝัน ม่านความฝันนี้ได้ขัดขวางทุกชีวิตไม่ให้มองเห็นโลกที่แท้จริง พวกเขาจมอยู่ในความจริงเท็จและไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้ พลังแห่งการทลายม่านความฝันและลืมตาขึ้นมาคือจริงเท็จ นี่คือเต๋า!”


เพียงคำพูดเขาเอ่ยดังกึกก้อง หมอกปกคลุมพื้นที่บริเวณจึงหายไป เผยดาราจักรดวงดาวอย่างสมบูรณ์…


ขณะที่เวลาผ่านไป ผู้คนในบททดสอบชั้นฟ้าต่างก็รอคอยมาหนึ่งก้านธูปไหม้ ตอนนี้สายตาที่มองตำหนักระดับสิบสามค่อยๆ เต็มไปด้วยความเสียใจและลังเล


“นี่มันใช้เวลานานยิ่งกว่าระดับสิบสอง แสดงให้เห็นว่าระดับสิบสามนั้นยากแค่ไหน…”


“ดูเหมือนเขาจะหยุดอยู่ที่ระดับสิบสาม อย่างไรก็ต้องมีขีดจำกัดอยู่แล้ว!”


“นั่นก็ถูก การกลายเป็นสุดยอดหนึ่งในสิบของผู้สูงส่งชั้นเทวะที่แข็งแกร่งที่สุดตอนบรรลุขั้นขึ้นมาก็มากพอให้เขามีชื่อเสียงไปทั่วเผ่าเทพได้แล้ว!”


“หากเขาผ่านระดับสิบสามไป เขาจะกลายเป็นสุดยอดหนึ่งในสามผู้สูงส่งชั้นเทวะที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นรองเพียงแค่ฉายเว่ย…”


“แต่สุดท้าย เขาก็ยังไม่อาจข้ามผ่านผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าว…”


ผู้สูงส่งชั้นเทวะส่งข้อความสัมผัสวิญญาณออกมาหากัน บางส่วนรู้สึกเสียใจและบางส่วนก็โล่งอก


‘นี่เป็นขีดจำกัดแล้ว?’ มหาชั้นฟ้าต้าวยี่มองท้องฟ้าและผ่อนคลายเล็กน้อย การไม่ผ่านระดับสิบสามจะทำให้เขาเชิญหวังหลินได้ง่ายขึ้น


ขณะที่ทุกคนคาดว่าหวังหลินจะหยุดที่ระดับสิบสาม ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณส่องสว่างมาแต่ไกล ร่างหนึ่งเริ่มควบแน่นขึ้นมา หลังจากแสงหายไปมีชายหนุ่มชุดดำปรากฏตัวเบื้องหน้าทุกคน


การปรากฏตัวของเขาทำให้ฝูงชนแตกตื่นไม่น้อยไปกว่าต้าวยี่และหวู่เฟิง ราวกับได้เกิดคลื่นลูกใหม่ในบททดสอบชั้นฟ้า!


“ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าว!!”


“เขาคือผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวใช่หรือไม่?”


“แม้เขาจะมา หากหวังหลินผ่านระดับสิบสามไปได้ ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวจะทำสีหน้าแบบไหน?” หลายคนที่อยู่ที่นี่ไม่เคยเจอผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวมาก่อน แต่ขณะที่พวกเขาพูดคุยกันจึงรู้ได้ว่าเป็นใคร ทุกคนมองมาด้วยความเคารพแต่ก็ยิ่งคาดหวังไปตามๆ กัน


พวกเขากำลังรอดูว่าเมื่อหวังหลินปรากฏตัวขึ้นและทั้งสองสบสายตากันจะเกิดอะไร!


“ผู้สูงส่งชั้นเทวะที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นรองเพียงมหาชั้นฟ้า ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวตัดสินใจมาที่นี่ในตอนนี้! นี่มันน่าสนใจ!”


“เห็นได้ชัดว่าเมิ่งต้าวไม่สามารถสงบจิตใจลงได้ หวังหลินกำลังจะข้ามผ่านเขาไป หากเขาไม่มาคงไม่ใช่นิสัยเขา”


“เมิ่งต้าวมักจะทำตัวโอหังอยู่เสมอแต่ไม่มีใครสามารถท้าทายเขาได้ แม้แต่ฉายเว่ยก็ถูกเมิ่งต้าวข่ม”


มีเพียงผู้สูงส่งชั้นเทวะเท่านั้นที่เข้าใจตัวตนของเมิ่งต้าวได้บางส่วน พวกเขามองหน้ากันเองและมีสีหน้าเหมือนกัน แต่ก็เกิดความคาดหวังขึ้นในใจ


“เมิ่งต้าวขอคารวะมหาชั้นฟ้าต้าวยี่และหวู่เฟิง” ชายหนุ่มชุดดำท่าทีเย็นชาไม่ได้มองเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าหรือผู้สูงส่งชั้นเทวะเลย สองมือคำนับให้กับมหาชั้นฟ้าทั้งสองคน


หวู่เฟิงมองผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวและถอนหายใจ เขาเคยเสนอเงื่อนไขที่ดีมากแต่เมิ่งต้าวก็ยังเลือกจักรพรรดิเทพ แต่จังหวะที่เขากำลังจะพูด พลันหันหน้ามองขึ้นไป


ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น แต่จิตใจทุกคนกำลังสั่นไหวและหยุดให้ความสนใจเมิ่งต้าว ทุกคนต่างก็มองขึ้นไปในท้องฟ้า


ตำหนักระดับสิบสามที่ปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆพลันระเบิดแสงสีทอง แสงสีทองกระจายเข้าไปในก้อนเมฆ ทำให้ทั้งท้องฟ้ากลายเป็นสีทอง!


“เขาผ่านระดับสิบสาม!!”


“ในอดีตตอนที่เมิ่งต้าวกลายเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะ เขาหยุดอยู่ที่ระดับสิบสาม ตอนนี้หวังหลินผ่านระดับสิบสามได้และข้ามผ่านผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวไปแล้ว!!”


เมิ่งต้าวจ้องมองท้องฟ้าพลางหรี่ตาแคบลง สีหน้าท่าทางมืดมนเล็กน้อย


…………………………………



ตอนที่ 1960 เจ้าไม่ไปต่อแล้วหรือ?

โดย

Ink Stone_Fantasy

ยามนี้ตลอดทั้งบททดสอบชั้นฟ้าดูคล้ายกับกำลังเดือดพล่าน เหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าที่นี่ถึงกับตกตะลึงที่หวังหลินผ่านระดับสิบสามไปได้ พวกเขาคิดว่าตัวเองประเมินหวังหลินไว้มากเกินไป แต่หลายคนล้วนแต่คิดผิด


“ระดับสิบสาม! หวังหลินมีพลังต่อสู้มากขนาดไหนกัน? หรือเขาต้องการทะลวงผ่านไปถึงระดับสิบเก้า!?!”


“คนผู้นี้สั่นคลอนทั่วหล้าได้เพียงแค่วันเดียว!”


เหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะทุกคนมองขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยสายตาตกตะลึง!


นาทีที่แสงสีทองรั่วไหลออกมาจากตำหนักระดับสิบสาม ไม่รู้ว่าใครหันมามองผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวก่อน แต่ครู่ต่อมาสายตามากกว่าครึ่งจึงหันมาจับจ้องเมิ่งต้าว


หวังหลินผ่านระดับสิบสามไปได้เป็นการท้าทายผู้สูงส่งชั้นฟ้าเมิ่งต้าวทางอ้อม!


ผู้สูงส่งชั้นฟ้าเมิ่งต้าวดูสงบนิ่งแต่แผ่กระจายความเย็นเยียบออกมาดุจพายุที่กำลังก่อตัวอยู่ในร่าง เพียงเท่านี้คลื่นความโกลาหลรอบด้านก็หยุดลงทันที


ร่างหวังหลินปรากฏตัวอยู่ด้านนอกตำหนักระดับสิบสาม ใบหน้าท่าทางซีดเซียวยิ่ง หลังจากเขาปรากฏตัวจึงไม่ได้ลองระดับสิบสี่แต่ค่อยๆ ทะยานลงมาอย่างช้าๆ


พอเขาลงมา เซียนรอบด้านล้วนแต่เงียบสนิท


“เจ้าไม่ไปต่อแล้วหรือ?” เสียงของเมิ่งต้าวดังขึ้นมาทำลายความเงียบ


เพียงเท่านั้นจิตใจของเซียนทุกคนถึงกับสั่นเทา แต่ละคนรู้สึกว่าพายุกำลังเข้ามาแล้ว!


มหาชั้นฟ้าต้าวยี่มีสีหน้าสงบนิ่งและไม่ได้พูดสิ่งใด มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงยิ้มออกมาราวกับทำเป็นไม่ได้ยิน ผู้สูงส่งชั้นฟ้าทั้งสองคนล้วนเป็นคนที่ยอดเยี่ยม พวกเขาต่างก็อยากเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป


เหตุการณ์นี้น่าสนมากกว่าหวังหลินเข้าทดสอบชั้นฟ้าเสียอีก


คนที่มองจากภายนอกบททดสอบชั้นฟ้าเองก็เห็นว่าเรื่องนี้น่าสนใจเช่นกัน มหาชั้นฟ้าจิ่วตี้มองดูใบไม้แห้งเบื้องหน้า สายตากำลังเปล่งประกายเจิดจ้า


“การสามารถผ่านตำหนักระดับสิบสามได้นั่นหมายความว่าเขาคู่ควรที่ได้รับเชิญ การกระทำของเมิ่งต้าวก็น่าสนใจ ข้าอยากรู้เสียแล้วว่าหวังหลินจะตอบอย่างไร จากรูปลักษณ์ของเขา ระดับสิบสามไม่ใช่เรื่องง่าย อาา….แต่นั่นก็มากพอให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเผ่าเทพแล้ว”


ทางด้านพระราชวัง จักรพรรดิเทพกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรพลางมองดูภาพมายาเบื้องหน้า รอยยิ้มพลันผุดขึ้นบนมุมปาก


‘เขาแค่ผ่านตำหนักระดับสิบสามเท่านั้น ไม่มีอะไรต้องกังวล! เมิ่งต้าวก็โอหังเกินไปหน่อยและไม่ยอมให้มีใครข้ามผ่านตัวเองไปได้ แม้นี่จะเป็นแค่ความสำเร็จของคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาระดับผู้สูงส่งชั้นเทวะก็เถอะ ปกติแล้วนิสัยแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่มันกลับส่งผลต่อระดับบ่มเพาะจนกลายเป็นเรื่องดีไปเสียอีก’


‘ช่างมันเถอะ ก็แค่ปลอ่ยให้เมิ่งต้าวสอนบทเรียนหวังหลินสักหน่อย แม้เขาจะผ่านตำหนักระดับสิบสามได้ แต่เขาก็ต้องก้มหัวถ้ามาที่เมืองหลวงของข้า!’


ทางด้านแผ่นดินทิศตะวันออก สำนักตะวันม่วง ชายวัยกลางคนมองกระจกเบื้องหน้าและขมวดคิ้ว


‘เมิ่งต้าว…เขาก็เกินไปหน่อย พูดแบบนี้ต่อหน้าผู้สูงส่งชั้นเทวะทั้งหมดได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่าเขากำลังดูถูก!’


หวังหลินที่ลงมาถึงตำหนักระดับเก้าพลันหยุดชะงัก มองดูชายหนุ่มชุดดำที่จ้องมาอย่างเย็นชา


“ท่านเป็นใคร?” หวังหลินเอ่ยถาม เขาเห็นท่าทีไม่เป็นมิตรของอีกฝ่ายได้


“เมิ่งต้าว!” ชายหนุ่มชุดดำมีท่าทีเย็นชาและโอหัง


“ข้าถามว่าทำไมเจ้าถึงหยุด!”


หวังหลินขมวดคิ้ว หลังจากขบคิดเล็กน้อยจึงพอเดาได้ว่าทำไมเมิ่งต้าวถึงมีท่าทีเช่นนี้ ดูเหมือนตอนที่เขาผ่านระดับสิบสามไปได้ข้ามผ่านความสำเร็จในอดีตของเมิ่งต้าว


‘หายากนักที่จะมีคนนิสัยแบบนี้หลังจากบรรลุผ่านผู้สูงส่งชั้นเทวะมา คนผู้นี้…’ หวังหลินมองเมิ่งต้าว ดวงตาเปล่งประกายจนแทบตรวจจับไม่ได้


‘เข้าสู่เต๋าด้วยความโอหังและใช้จิตใจแห่งความโอหังนี้เพื่อบ่มเพาะฝึกฝน ไม่ยอมให้คนอื่นก้าวล้ำเกินกว่าเขา…ความโอหังนี้เต็มไปทั่วจิตใจและวิญญาณ มิน่าเล่าเขาจึงกลายเป็นอันดับหนึ่งท่ามกลางเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะ เขาดูเหมือนไม่สนสิ่งใดแต่จิตใจเพ่งสมาธิแค่เต๋าเพียงอย่างเดียว!’ หวังหลินยิ้มและเมินเฉยชายหนุ่มชุดำ เขาทะยานเข้าหาตำแหน่งที่ต้าวยี่และหวู่เฟิงอยู่


“หวังหลินขอคารวะท่านมหาชั้นฟ้าทั้งสอง หลังจากเสร็จเรื่องบททดสอบชั้นฟ้า ข้ายังมีเรื่องเร่งด่วนต้องทำและต้องขอตัวลาก่อน” หวังหลินไม่สนเมิ่งต้าวและโค้งคำนับแก่ต้าวยี่และหวู่เฟิง


“การสามารถผ่านตำหนักระดับสิบสามไปได้นั่นหมายความว่าเจ้าถือเป็นสุดยอดของเผ่าเทพ ข้าจะไปหาเจ้า!” มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงยิ้มและพยักหน้าให้แก่หวังหลิน


“ฮ่าฮ่า สหายน้อยหวังหลิน ในเมื่อเจ้าจำข้อตกลงครั้งก่อนของเราได้ เช่นนั้นข้าจะไปหาเจ้าด้วย ส่วนเรื่องเงื่อนไขอื่น เราค่อยคุยรายละเอียดกันหลังจากนั้น” มหาชั้นฟ้าต้าวยี่เผยแววตาชื่นชม


หวังหลินคำนับฝ่ามือให้ต้าวยี่และหวู่เฟิงอีกครั้ง เขาเมินเฉยผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวต่อไปพลางทะยานเข้าหาค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณเพื่อจะกลับ


เขารู้สึกว่าได้ทำให้ทุกคนที่นี่ตกตะลึงพอแล้วและบรรลุเป้าหมายที่วางเอาไว้ ในตำหนักระดับสิบสาม หากเขาไม่ได้ใช้พลังบางส่วนจากร่างอวตารในมิติว่าง เขาคงไม่สามารถผ่านได้เพียงแค่มีเกราะวิญญาณอย่างเดียว


ในตอนนี้เขาตัดสินใจที่จะหยุดเอาไว้ ตำหนักระดับสิบสามมากพอที่จะทำให้เหล่ามหาชั้นฟ้าเกิดความสนใจอย่างมหาศาล


พอเซียนทุกคนเห็นหวังหลินกำลังจะไป ในใจแต่ละคนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย


“ดูเหมือนหวังหลินไม่กล้าไปล่วงเกินผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าว”


“นี่แปลว่าเขารู้ขีดจำกัดของตัวเอง เพราะเขาแค่ผ่านระดับสิบสามเท่านั้น ส่วนเมิ่งต้าวเป็นอับดับหนึ่งในผู้สูงส่งชั้นเทวะที่ผ่านระดับสิบห้าได้!”


“แต่ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวก็ก้าวร้าวเกินไปหน่อย คำพูดก่อนหน้านี้ของเขาไม่เป็นมิตรเลย ราวกับเขากำลังตั้งคำถามกับหวังหลิน”


“เจ้าหมายความว่าอะไรที่ ‘ก้าวร้าวเกินไป?’ เซียนแบบเราเคารพในความแข็งแกร่ง เมิ่งต้าวเป็นอันดับหนึ่งใต้เหล่ามหาชั้นฟ้าและควรมีท่าทีแบบนี้ ตรงกันข้ามการที่หวังหลินเมินเฉยเขานี่เรียกว่าโอหัง”


การสนทนารอบด้านไม่ได้ใช้สัมผัสวิญญาณอีกแล้วแต่ใช้เสียง ราวกับมีเป้าหมายให้เสียงสนทนาดังมากขึ้น แม้แต่หวังหลินที่มาถึงข้างค่ายกลเคลื่อนย้ายยังได้ยินอยู่บ้าง


หวังหลินขมวดคิ้วและมองเซียนด้านหลัง ภายใต้สายตาของเขาทำให้การพูดคุยกันหยุดชะงัก หวังหลินหันกลับและกำลังจะจากไป


แต่วินาทีนั้นมีคนผู้หนึ่งไม่ต้องการให้เขาจากไปแบบนี้!


“เจ้าจะจากไปแบบนี้ใช่หรือไม่? ข้าถามเจ้าแล้วสองครั้ง!” น้ำเสียงเย็นชาดังออกมาจากชายหนุ่มชุดดำ ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าว


หวังหลินหยุดกึก ขบคิดเล็กน้อยจึงหันกลับมามองเมิ่งต้าว


“ใช่แล้ว ข้าไม่ทดสอบแล้ว ท่านต้องการอะไร?”


“ไม่มีอะไร ข้าก็แค่ต้องการให้เจ้าลองระดับสิบสี่ เมื่อเจ้าล้มเหลว เจ้าจึงจะจากไปได้” เมิ่งต้าวพูดขึ้น ใบหน้าโอหังยิ่งดูรุนแรง


หลังจากหวังหลินได้ยินเช่นนี้จึงหัวเราะออกมาและไม่ให้ความสนใจเมิ่งต้าวอีก เขาก้าวเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้ายและทำให้มันส่องสว่าง ทว่าในจังหวะนั้นเมิ่งต้าวมีแววตาจิตสังหารขึ้นมา


“โอหัง!” พอเขาพูดขึ้นจึงยกแขนขึ้นมาชี้ใส่ค่ายกลเคลื่อนย้าย เท่านี้ทั้งบททดสอบชั้นฟ้าจึงคล้ายกับสั่นเทา ดัชนียักษ์ปรากฏขึ้นมาทะยานเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้าย


ไม่อนุญาตให้เกิดการต่อสู้กันในบททดสอบชั้นฟ้าถือเป็นกฎที่คงอยู่มานานแล้ว ทว่าตอนนี้เมิ่งต้าวกำลังโจมตีโดยไม่สนใจกฎ!


กฎนี้บรรพชนเทพไม่ได้ตั้งขึ้นมาแต่มาจากคนรุ่นหลัง ดังนั้นการโจมตีคนที่นี่จึงไม่ได้ล่วงเกินบททดสอบชั้นฟ้าแต่ก็แทบไม่มีใครกล้าขัด!


วินาทีที่ดัชนียักษ์ปรากฏ จึงก่อกวนพลังงานที่นี่ เหล่าเซียนทั้งหมดอ้าปากค้างและต่างถอยหนีด้วยความหวาดกลัว


“เขากล้าลงมือที่นี่!”


“สมควรที่เป็นอันดับหนึ่งใต้มหาชั้นฟ้าจริงๆ ถึงกับกล้าละเมิดกฎแห่งนี้!”


“กฎเหล่านี้เหล่ามหาชั้นฟ้าได้ตั้งเอาไว้ ผู้สูงส่งชั้นฟ้าเมิ่งต้าวกล้ามาก!”


ดัชนียักษ์ทะยานเข้าหาหวังหลิน หากหวังหลินไม่เคลื่อนไหว สัมผัสวิญญาณของเขาจะเกิดความเสียหายระหว่างการเคลื่อนย้ายและอาจแตกสลายได้


แต่หากหวังหลินหลบการโจมตี เขาคงออกไปจากพื้นที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายและคงไม่สามารถจากไปได้


นั่นเหมือนกับการสังหารหวังหลินและทำให้ชื่อเสียงของการผ่านระดับสิบสามได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง


นี่คงแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเมิ่งต้าวแข็งแกร่งแค่ไหน อีกทั้งเขายังได้ชื่อเสียงกลับคืนมาเสียด้วย! เมิ่งต้าวยังรู้ว่าการต่อสู้ระหว่างผู้สูงส่งชั้นฟ้าด้วยกันเองนั้นหาได้ยาก ตราบใดที่ไม่อยู่ห่างกันเกินไป เหล่ามหาชั้นฟ้าคงไม่เข้ามาแทรกแซง


มหาชั้นฟ้าต้าวยี่และหวู่เฟิงขมวดคิ้ว ต้าวยี่ลังเลและไม่พูดอะไร แต่หวู่เฟิงพ่นลมหายใจเย็น


“เมิ่งต้าว เจ้ากล้ามาก! ถึงกับโจมตีที่นี่เลยหรือ?” เขาพูดพลางสะบัดแขนขวา


วินาทีนั้นมีเสียงหัวเราะดังออกมาจากเซียนด้านล่าง แสงสีทองห่อหุ้มผู้สูงส่งชั้นฟ้าคนหนึ่งด้านล่างและมีภาพปรากฏขึ้นรอบตัวเขา เป็นภาพเงาที่สวมชุดคลุมสีทองและมีมงกุฎ นั่นคือจักรพรรดิเทพ!


จักรพรรดิเทพปรากฏตัวขึ้นที่นี่โดยการใช้วิชาพิเศษของตัวเอง! เขาสะบัดแขนเข้าใส่หวู่เฟิงและกลบพลังโจมตีได้


หวังหลินที่อยู่ในค่ายกลเคลื่อนย้ายกำลังมองขึ้นไปและมีแววตาจิตสังหารผุดขึ้นมา! เดิมทีเขาไม่อยากทำให้เกิดปัญหามากนัก แต่การกระทำของเมิ่งต้าวได้ทำให้จิตใจหวังหลินปรากฏจิตสังหาร!


เขาไม่ยอมให้ความสำเร็จที่ทำมาต้องถูกคนผู้นี้ทำลายไปสิ้น


พอดัชนีเข้ามาถึง หวังหลินก้าวออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย ดัชนีหยุดอยู่เบื้องหน้าหวังหลินและหายไป ราวกับอีกฝ่ายไม่มีเจตนาจะโจมตีจริงๆ และเป็นเพียงแค่การแกล้งหวังหลินเท่านั้น


…………………………………………



ตอนที่ 1961 กลับตาลปัตร!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“จักรพรรดิเทพ นี่มันหมายความว่าอะไร?” มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงจ้องมองร่างเงาของจักรพรรดิเทพที่อยู่รอบผู้สูงส่งชั้นฟ้าคนหนึ่ง


“หวู่เฟิง ไม่ต้องโกรธเกรี้ยว เมิ่งต้าวไม่ได้ทำร้ายใครและไม่ได้แหกกฎ” ร่างเงาของจักรพรรดิเทพได้ยิ้มออกมาแต่มีสีหน้าท่าทางราวกับไม่ได้ฟังคำถาม เขาไม่ได้หันไปมองหวังหลินที่อยู่นอกค่ายกลเคลื่อนย้าย


“คงไม่ต้องบอกหรอก หากหวังหลินไม่ได้ออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายและโดนดัชนีเข้าไป สัมผัสวิญญาณคงได้รับความเสียหายระหว่างการเคลื่อนย้าย ช่างเรื่องแหกกฎไปได้เลย พฤติกรรมแบบนี้มันช่างน่าละอายที่สุด!” มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงสะบัดแขนเสื้อและไม่มีทีท่าว่าจะถอย


จักรพรรดิเทพยิ้มและกล่าวออกมา “หวู่เฟิง เจ้าก็พูดเกินไปหน่อย เด็กนี่บาดเจ็บหรือไม่?”


หวู่เฟิงมองจักรพรรดิเทพแต่ไม่ได้พูดอะไร


“ในเมื่อไม่มีความเสียหายก็ดีแล้ว ต้องทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร? หวู่เฟิง ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการชักชวนเด็กคนนี้และข้าจะไม่ต่อสู้กับเจ้า เซียนแบบนี้…” จักรพรรดิเทพก้มศีรษะลงมองหวังหลิน


“ช่างไร้ค่า เขามีเกราะวิญญาณ ดังนั้นจึงผ่านระดับสิบสามไปได้ แต่พอไม่มีเกราะวิญญาณ การที่เขาจะกลายเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะก็ยังยากเลย!” จักรพรรดิเทพพูดด้วยน้ำเสียงเชิงล้อเลียน


เขาคือจักรพรรดิเทพ เป็นมหาชั้นฟ้าแปดสุดขั้ว คำพูดของเขามีความหมายยิ่งกว่าของเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะ คำพูดของเขาได้ทำให้เกิดความปั่นป่วนในบททดสอบชั้นฟ้า!


แทบไม่มีผู้สูงส่งชั้นฟ้าและผู้สูงส่งชั้นเทวะคนใดที่รู้ว่าหวังหลินมีเกราะวิญญาณ พวกเขาคิดว่าหวังหลินผ่านตำหนักระดับสิบสามไปด้วยความแข็งแกร่งของตัวเอง แต่พอจักรพรรดิเทพพูดขึ้นมา จึงเกิดเสียงซุบซิบนินทาครั้งใหญ่!


“เขามีเกราะวิญญาณ!!! เขาช่างน่าละอายเสียจริงๆ!”


“ข้าสงสัยอยู่แล้วว่าเขาไต่จากระดับห้าไปสู่ระดับสิบสามได้อย่างไร นี่แสดงว่าเขาพึ่งพาพลังของเกราะวิญญาณ แม้แต่ข้าก็ทำได้!”


“มิน่าเล่าเขาถึงผ่านได้อย่างรวดเร็ว พลังที่แท้จริงของเขาแค่ระดับห้าเท่านั้น แต่เพราะเกราะวิญญาณเขาจึงไปได้ไกลขนาดนี้ เขาสามารถหลอกเราได้ แต่ไม่สามารถหลอกมหาชั้นฟ้าได้!”


“พวกเราเกือบโดนเขาหลอกแล้ว หวังหลินช่างน่าละอาย!! ผู้สูงส่งชั้นเทวะอะไรกัน? เขาก็แค่ผู้สูงส่งชั้นฟ้าธรรมดา พอไม่มีเกราะวิญญาณ ข้าก็สามารถสังหารเขาได้เพียงแค่ลมหายใจเดียว!”


“ฮึ่ม ข้าคิดอยู่แล้วว่าเขาไม่ได้มีระดับถึงผู้สูงส่งชั้นฟ้า ที่เขามาที่นี่ได้ก็เพราะพลังของเกราะวิญญาณ! ดูระดับบ่มเพาะเขาสิ นั่นมันวิบากดับสูญระดับกลางชัดๆ และยังไม่ถึงผู้สูงส่งชั้นทองเลยด้วยซ้ำ ข้าคิดว่าเขาตั้งใจซ่อนระดับบ่มเพาะ ดูเหมือนเขาก็แค่เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางตัวน้อยๆ!”


“มิน่าเล่าที่มีเพียงแค่มหาชั้นฟ้าต้าวยี่และมหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงที่มาที่นี่หลังจากเขาทะลวงผ่านระดับสิบสาม มหาชั้นฟ้าจิ่วตี้ไม่เคยปรากฏตัวเลย เขามองทะลุความไร้ยางอายของหวังหลินได้นานแล้วและรู้สึกว่าการชักชวนเขาเป็นการดูถูกตัวเองมากเกินไป!”


“เขามีพรสวรรรค์แบบไหนกัน? นี่มันจอมลวงโลกชัดๆ เขาหลอกเราทั้งหมด ถ้าข้ารู้แบบนี้ข้าคงไม่มาดูหรอก!”


ที่เหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าโกรธเกรี้ยวขนาดนี้ส่วนใหญ่มาจากความอิจฉา ก่อนหน้านี้ที่หายไปก็เพราะช่องว่างขนาดใหญ่ แต่ตอนนี้พวกเขารู้ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก แต่ละคนจึงพูดด้วยความอิจฉา


เหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะทุกคนต่างก็มองหวังหลินด้วยสีหน้าประหลาดใจ


“เขาใช้เกราะวิญญาณจริงๆ…แต่ถึงจะมีเกราะวิญญาณ การผ่านระดับสิบสามได้นั่นหมายความว่าเขามีวิชาบางอย่าง…”


“อาาา ข้าไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้!”


“ชื่อเสียงของเขาเพิ่งจะไปถึงจุดสูงสุดหลังจากกลายเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะอันดับสาม แต่จากนั้นจักรพรรดิเทพก็บอกว่าเขามีเกราะวิญญาณ หรือว่าจักรพรรดิเทพจะมีความบาดหมางกับเขา…”


“เรื่องนี้ต้องมีบางอย่างผิดพลาด หากมันง่ายแบบนั้น มหาชั้นฟ้าต้าวยี่และมหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงคงไม่ออกมาดูด้วยตัวเอง”


การพูดคุยรอบด้านกำลังอื้ออึงและเข้าถึงหูหวังหลิน เขายืนขบคิดอย่างเงียบๆ ใบหน้าซีดเล็กน้อย เขายังทำให้ทุกคนสนใจ แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้วมันเหมือนกลับตาลปัตร!


นี่คือเป้าหมายของจักรพรรดิเทพ เขาไม่ยอมให้หวังหลินมีชื่อเสียงโด่งดังง่ายๆ เป็นเหตุให้ต้องชี้จุดสำคัญออกมา ตอนนี้พอได้ฟังการพูดคุยของเซียนรอบด้านจึงยิ้มกว้าง


“ดังนั้นเจ้าได้สวมเกราะวิญญาณเพื่อผ่านระดับสิบสาม ข้าสงสัยจริงๆ ว่าทำไมเจ้าถึงรีบจากไปและไม่ลองระดับสิบสี่ ดูเหมือนเวลาบนเกราะวิญญาณของเจ้าได้หมดลงแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถโกหกทุกคนได้อีกต่อไปและต้องรีบจากไปทันที”


“ช่างมันเถอะ เซียนแบบเจ้าไม่มีค่าพอให้ข้าสนใจอีกครั้งแล้ว ไปซะ!” ผู้สูงส่งชั้นฟ้าเมิ่งต้าวเยาะเย้ยหวังหลินและสะบัดแขนเสื้อ


“ช่างน่าผิดหวัง!”


การเผชิญหน้ากับข้อถกเถียงทั้งหมดและการดูถูกของเซียนรอบด้าน ทำให้มหาชั้นฟ้าต้าวยี่ถึงกับอ้าปากจะกล่าวอะไร แต่ก็ถอนหายใจ เขารู้ว่าหวังหลินมีชื่อเสียงไปทางไม่ดีในเผ่าเทพไปแล้ว


‘การที่จักรพรรดิเทพพูดเช่นนี้ หมายความว่าเขามีความสัมพันธ์บางอย่างกับเด็กคนนี้ หวังหลิน…เป็นคนที่น่าอับอาย…ไม่เข้าไปเชิญชวนเขาจะดีที่สุด แม้ความเข้าใจของเด็กคนนี้จะแตกต่างอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ทุกอย่างไร้ค่าไปแล้ว’ ต้าวยี่ถอนหายใจและไม่พูดออกมา เขายอมล้มเลิกที่จะชักชวนหวังหลิน


ในจังหวะนั้นมีเสียงโกรธเกรี้ยวของสตรีผู้หนึ่งดังออกมาจากฝูงชน น้ำเสียงของนางมีทั้งระดับบ่มเพาะและดังกึกก้องไปทั่วบททดสอบชั้นฟ้า


“พวกเจ้าทั้งหมด หุบปาก! พวกเจ้าไม่รู้อะไรเลย เมื่อหลายสิบปีก่อนหวังหลินสามารถต่อสู้กับข้าได้โดยไม่มีเกราะวิญญาณ เขาจะเป็นเหมือนที่พวกเจ้าพูดไปได้อย่างไร!?”


“แม้จะมีเกราะวิญญาณแล้วอย่างไร? นั่นหมายความว่าเขาได้รับการยอมรับจากวิญญาณต่างแดนเพื่อให้เขาทรงอำนาจ นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของการบ่มเพาะ!”


“ระดับสิบสาม เขามีพลังอำนาจในการผ่านระดับสิบสาม พวกเจ้าสักคนไหมที่กล้าขึ้นไปสู้กับเขา!? ถ้าพวกเจ้าล้วนแต่อิจฉา ก็ลองไปหาเกราะวิญญาณดูและจะได้เห็นกันว่าการได้รับการยอมรับจากวิญญาณต่างแดนมันยากแค่ไหนเมื่อเทียบกับบททดสอบชั้นฟ้า!” น้ำเสียงนี้มาจากผู้สูงส่งชั้นฟ้าไฮ่จื่อ นางมีชื่อเสียงโด่งดังในเผ่าเทพ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาจารย์คือมหาชั้นฟ้าจิ่วตี้ และส่วนหนึ่งก็มาจากความแข็งแกร่งของตัวเอง


เพียงแค่นางเอ่ยปากพูด รอบด้านพลันเงียบสนิท


หวังหลินยังคงขบคิดอยู่ด้านนอกค่ายกลเคลื่อนย้ายด้วยใบหน้าซีดขาว ภายใต้สายตาสงสัยของทุกคน เขากลับมองไฮ่จื่อที่กำลังตื่นเต้นและโกรธเกรี้ยวอยู่ไกลๆ


จักรพรรดิเทพส่ายศีรษะและพูดออกมา “สหายน้อยไฮ่จื่อ อย่าพูดจาไร้สาระ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้าหรือผู้สูงส่งชั้นเทวะ การเน้นไปที่ระดับบ่มเพาะของตัวเองเป็นกุญแจสำคัญ การพึ่งพาพลังภายนอกยังมีขีดจำกัด! ขีดจำกัดของหวังหลินคือตำหนักระดับสิบสาม ข้ากลัวว่าอีกหลายแสนปีถัดไป การที่เขาจะก้าวหน้าไปอีกขั้นคงยากมาก การบรรลุระดับนี้เพียงแค่ชั่วคราวจะสำคัญอะไร?”


“นี่เป็นความจริงที่เหล่าเซียนแบบเจ้าทั้งหมดต้องจำเอาไว้ เพราะการพึ่งพาพลังภายนอกเป็นแค่การชะลอระดับบ่มเพาะของตัวเองเท่านั้น หวังหลินเป็นตัวอย่างให้พวกเจ้าแล้ว!”


มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงซึ่งเงียบมานานพลันเอ่ยขึ้นในทันที “พลังภายนอก? ตำแหน่งมหาชั้นฟ้าก็เป็นพลังภายนอกเช่นกัน มันคือการสืบทอดจากแผ่นดินเทพบรรพกาล หากเป็นอย่างที่เจ้าพูดจริง ใครคนไหนในมหาชั้นฟ้าจะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากพลังภายนอก?”


“แม้แต่เจ้าเอง จักรพรรดิเทพ มหาชั้นฟ้าแปดสุดขั้ว ข้าจำได้ว่าตอนที่เจ้าเป็นเพียงผู้สูงส่งชั้นฟ้า ถ้าไม่เพราะสายโลหิตเจ้าไม่ได้สืบทอดมาจากบรรพชนเทพในตำนาน คิดหรือว่าเจ้าจะสืบทอดชื่อแปดสุดขั้วได้?”


“พลังภายนอกก็คือพลังอีกหนึ่งอย่าง ตราบใดที่พลังนี้สามารถปัดเป่าทุกอย่างที่ขวางทางได้ ใครจะกล้าพูดอะไร?” มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงจ้องมองจักรพรรดิเทพอย่างเย็นชาและพูดอีกครั้ง


“เจ้าเรียกเขาว่าไร้ค่า เช่นนั้นในสายตาของบรรพชนเทพ ลูกหลานแบบเจ้าก็ไร้ค่าเช่นกัน!” หวู่เฟิงไม่ออมมืออีกต่อไปแล้ว


จักรพรรดิเทพจ้องมองหวู่เฟิง สีหน้าท่าทางค่อยๆ เย็นเยียบ


“ตำแหน่งมหาชั้นฟ้าจะเทียบกับเกราะวิญญาณได้อย่างไร? หวู่เฟิง ข้าประหลาดใจที่เจ้ายังเห็นค่ามัน แม้เด็กคนนี้จะสวมเกราะวิญญาณ ตำหนักระดับสิบสามคือขีดจำกัดแล้ว หากเขาได้ตำแหน่งมหาชั้นฟ้า เขาก็สามารถผ่านระดับสิบเก้าได้ง่ายๆ เจ้าคิดว่าสองอย่างนี้เหมือนกันหรือไม่?”


“ช่างเรื่องตำหนักระดับสิบเก้าไปได้เลย หากเขาผ่านระดับสิบห้าได้ วันนี้ข้าจะช่วยเขา ข้าจะส่งต่อราชโองการศักดิ์สิทธิ์เพื่อบอกให้โลกรู้ว่าเขาคืออันดับหนึ่งในเผ่าเทพที่อยู่ใต้มหาชั้นฟ้า!”


“หากเขาทำได้นะ!”


หวู่เฟิงขบคิดเงียบๆ


จักรพรรดิเทพยิ้มราวกับไม่สนใจว่าหวู่เฟิงจะพูดอะไร เขาหันกลับมาและร่างเงากำลังจะสลายไป


“เมิ่งต้าว กลับวังซะ เรื่องที่นี่จบแล้ว”


ต้าวยี่ถอนหายใจและกำลังจะจากไป แม้แต่เหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าและผู้สูงส่งชั้นเทวะยังหันกลับเพราะคิดจะจากไป การแสดงนี้จบลงแล้ว


เมิ่งต้าวมองหวังหลินอย่างเย็นชา เขาเยาะเย้ยและกำลังจะจากไป


แต่ในวินาทีนั้น หวังหลินพลันถอนหายใจ เขามองจักรพรรดิเทพที่กำลังจะหายตัวกลับ


“ตำหนักระดับสิบห้า? จักรพรรดิเทพ ดูให้ดี!” หวังหลินมีใบหน้าสงบนิ่ง แต่ภายในร่างมีพลังหนึ่งกำลังรวมตัวอยู่ นาทีนี้มันปะทุขึ้นและทะยานส่งเขาขึ้นไปในท้องฟ้า


การกระทำของเขาได้ทำให้ต้าวยี่หยุดชะงักและจักรพรรดิเทพถึงกับขมวดคิ้ว ร่างที่กำลังหายไปกลับมารวมเป็นรูปร่างและมองไปหาหวังหลิน


หวู่เฟิงจ้องหวังหลินที่กำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าดุจมังกรผงาด


ไม่ใช่เพียงแค่เขาเท่านั้น แต่ทุกคนในบททดสอบชั้นฟ้าต่างก็เงยหน้าขึ้นมองร่างหวังหลิน!


“เขากำลังจะทำอะไร?”


“เขาจะไปต่อจริงหรือ? เกราะวิญญาณหมดเวลาไปแล้ว เขาจะไปต่อได้อย่างไร?”


ขณะที่เมิ่งต้าวมองร่างหวังหลิน จิตใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาเกิดความรู้สึกแย่ๆ ขึ้นมา


ขณะเดียวกันด้านนอกบททดสอบชั้นฟ้า บนภูเขาจักรพรรดิ มหาชั้นฟ้าจิ่วตี้พลันยืนขึ้นและจ้องมองใบไม้แห้งเบื้องหน้าในทันที


เขาเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นและเห็นด้วยกับคำพูดของจักรพรรดิเทพ พอเขาเห็นหวังหลินทะยานขึ้นไป จึงแสดงอาการประหลาดใจอันหาได้ยาก


‘เด็กนี่จะไปต่อ?’


วินาทีนี้ในสำนักตะวันม่วง มหาชั้นฟ้าชวงจื่อเล่นมาพอแล้วและกลับมาอยู่ข้างชายวัยกลางคน เขาเห็นหวังหลินกำลังโดนดูถูก พอเห็นหวังหลินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า หลายคนจึงเต็มไปด้วยความคาดหวัง


“หวัง…หวังหลิน?!” ทันหลางที่ถูกมหาชั้นฟ้าชวงจื่อทรมานกำลังจ้องมองกระจก ความคิดจิตใจขาวโพลน


……………………………………………



ตอนที่ 1962 มันเป็นใคร?

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนนี้หวังหลินกำลังมุ่งหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาไม่ต้องการทำแบบนี้และต้องการหยุดอยู่ที่ระดับสิบสาม แต่การปรากฏตัวของจักรพรรดิเทพและสิ่งที่เขาพูดได้ทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นในใจหวังหลิน


ความปั่นป่วนที่ว่าเป็นข้อพิสูจน์สิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ นั่นคือการเดินทางสู่เมืองหลวงคงจะอันตรายยิ่ง!


เหตุผลที่จักรพรรดิเทพเข้ามาทำลายชื่อเสียงของหวังหลินเป็นเพราะไม่ให้มหาชั้นฟ้าคนใดเข้ามาเชิญชวนเขา


วิธีการนี้ตรงที่สุดแต่ก็ได้ประสิทธิภาพยอดเยี่ยม!


ความรุ่งโรจน์ดิ่งลงเหวจากจุดสูงสุด เปลี่ยนจากการได้รับความเคารพไปเป็นโดนดูถูก เรื่องความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ไม่มีอะไรส่งผลต่อหวังหลินเพราะเขาไม่เคยต้องสนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่เรื่องนี้กลับไม่เพียงแค่ทำลายเป้าหมายการมีชื่อเสียงเพียงอย่างเดียว ยังทำให้หวังหลินเป็นที่โจษจันไปทั่วเผ่าเทพ


เขาไม่มีวันยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น! แม้จะเป็นจักรพรรดิเทพ เขาก็จะสู้!


“ตำหนักระดับสิบห้า ดี ในเมื่อทั้งหมดคิดว่าขีดจำกัดข้าคือระดับสิบสาม เช่นนั้นวันนี้ข้าจะแสดงให้เห็นอย่างโอหัง จักรพรรดิเทพที่ทำตัวน่ารังเกียจ ข้าจะให้ได้เห็นถึงความไร้ยางอายในสายโลหิตเจ้า!”


“ข้าไม่สงสัยเลยว่าคนที่ถูกผนึกอยู่ใต้บ่อน้ำตงหลินยังคงมีความแค้นที่ไม่หายไปหลังจากตายไปแล้ว ไม่สงสัยเลยว่าเขาเรียกเหลียนหยุนจื่อว่าคนน่ารังเกียจ!” หวังหลินมีสายตาเยือกเย็น เขาพุ่งผ่านระดับสิบสามไปอย่างรวดเร็วและมุ่งหน้าสู่ระดับสิบสี่


พอหวังหลินกำลังจะเข้าไปทดสอบ เขาหยุดลงและมองลงมา


“จักรพรรดิเทพ ลืมตาและมองข้าให้ดีดี!”


“โอหัง!” ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวร้องคำรามพลางยืนเบื้องหน้าจักรพรรดิเทพ แต่จักรพรรดิเทพยังคงมีท่าทีเช่นเดิมและยิ้มกว้าง


“ข้ากำลังรอให้เจ้าผ่านระดับสิบห้า!” ทว่ารูม่านตาเขาหรี่แคบลงโดยมิอาจจับสังเกตได้


หวังหลินเยาะเย้ย ในเมื่อทั้งหมดใช้ข้ออ้างฉีกหน้าเขา หวังหลินก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวสุภาพ ยิ่งเขาทำแบบนี้ก็ยิ่งเดินทางไปเมืองหลวงได้ปลอดภัยมากขึ้นหลังจากการแสดงนี้จบลง


หวังหลินก้าวเข้าสู่ระดับสิบสี่!


‘เกราะวิญญาณเหลือเวลาไม่มากแล้ว ในเมื่อข้าอยากให้ทุกคนตกตะลึง ข้าต้องใช้ร่างอวตารที่สร้างจากกฎแห่งแผ่นดินเซียนดารา!! ร่างอวตาร จงใช้วิญญาณนำทางและทำการผสาน!!’ ร่างหวังหลินหายเข้าไปในตำหนักระดับสิบสี่


พอหวังหลินเข้าไป เหล่าเซียนด้านล่างทั้งหมดต่างก็เงียบกริบ ความคิดจิตใจเปลี่ยนไปฉับพลันยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าหวังหลินใช้เกราะวิญญาณผ่านระดับสิบสามได้เสียอีก


“ท่ามกลางผู้สูงส่งชั้นเทวะในปัจจุบัน มีเพียงฉายเว่ยและเมิ่งต้าวที่ผ่านตำหนักระดับสิบสี่ได้…หวังหลินผู้นี้ก็แค่คนลวงโลก เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะผ่าน!”


“ที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะอับอายจนโกรธขึ้นมา เขากำลังจะเดิมพันทั้งหมดเพื่อลองดู”


“น่าสนใจ สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ล้วนแต่สลับไปสลับมา ข้าสงสัยจริงว่าผลสุดท้ายจะออกมาเป็นแบบไหน”


“ไม่ต้องคิดถึงเรื่องนี้หรอก เขาผ่านไม่ได้แน่นอน! เกราะวิญญาณของเขาหมดเวลาแล้ว เขาจะผ่านไปได้อย่างไรกัน?”


เหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้ามองท้องฟ้าและรู้สึกดูถูกหวังหลิน ส่วนเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะหลายสิบคนต่างก็มีความคิดแตกต่างกัน ส่วนใหญ่ตัดสินใจไปแล้วว่าหวังหลินจะล้มเหลวและคิดว่าหวังหลินทำแบบนี้เหมือนสัตว์ติดกับดักที่กำลังบ้าคลั่ง


มหาชั้นฟ้าต้าวยี่มองขึ้นไปและขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่าหวังหลินจะผ่านระดับสิบสี่ไปได้


‘การถูกจักรพรรดิเทพต้อนจนมุมเพียงแค่พูดไม่กี่คำแสดงให้เห็นว่าจิตใจของเขาไม่หนักแน่นพอ เด็กคนนี้ไม่คู่ควรที่จะชักชวน’


ด้านผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวนั้นเยาะเย้ยต่อไปราวกับเขามีท่าทีเดิมตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ตามสายตาเขามองท้องฟ้าแฝงความหวาดกลัวเล็กๆ เขาไม่รู้ว่าทำไมแต่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ


จักรพรรดิเทพกำลังขบคิดอยู่ด้านข้าง เขาสงบนิ่งแต่ในใจลังเลเล็กน้อย


‘จากความเข้าใจของข้า เขาแทบไม่ทำอะไรที่เขาไม่มั่นใจ…แต่การผ่านตำหนักระดับสิบสี่ไปได้โดยไม่มีเกราะวิญญาณเป็นเรื่องยากมาก ไม่เช่นนั้นก่อนหน้านี้เขาคงไม่เลือกจะจากไป’


‘เขาแค่กำลังขุดหลุมฝังตัวเอง!’


อย่างไรก็ตามขณะที่จักรพรรดิเทพกำลังครุ่นคิด เพียงเวลาแค่เก้าลมหายใจ แสงสีทองระเบิดออกมาจากท้องฟ้าอย่างเจิดจรัส!!


แสงสีทองโผล่ออกมาจากระดับสิบสี่ มันทะลุก้อนเมฆและปกคลุมทั่วบริเวณ


แสงสีทองส่องสว่างแพรวพราว มากมายจนทะลุสายตาและจิตใจของเซียนทุกคนด้านล่าง!


“เก้าลมหายใจ!! เป็นไปไม่ได้ เขาใช้เวลานานมากในระดับสิบสาม ยิ่งระดับสิบสี่ยิ่งยากขึ้นไปอีกแล้วจะผ่านได้แค่เวลาเก้าลมหายใจได้อย่างไร!?”


“เขา…เขา…เขาผ่านมันจริงๆ! ไม่ใช่ว่าเกราะวิญญาณใช้การไม่ได้แล้วหรือ?! ไม่ใช่ว่าเขามีระดับพลังแค่ตำหนักระดับห้าโดยไม่ได้ใช้เกราะวิญญาณนี่นา!?”


“หรือจะมีเกราะวิญญาณอีกชิ้น?”


มหาชั้นฟ้าต้าวยี่ตกตะลึงและทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อจ้องมองแสงจากตำหนักระดับสิบสี่ที่กำลังเข้ามาใกล้!


‘เขาผ่านระดับสิบสี่จริงๆ!’ ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวจ้องมองท้องฟ้าด้วยแววตาจิตสังหาร


‘ไม่ใช่ปัญหา มันแค่ระดับสิบสี่เท่านั้น’ จักรพรรดิเทพมองท้องฟ้าและหรี่ตาแคบอีกครั้ง จากนั้นค่อยๆ หลับตาลง


หวังหลินปรากฏร่างอยู่ด้านนอกระดับสิบสี่ เขาไม่พักผ่อนและทะยานตรงเข้าสู่ตำหนักระดับสิบห้า!


พอเขาเข้าสู่ตำหนักระดับสิบห้า ท่ามกลางเหล่าผู้คนด้านล่างจึงเกิดคลื่นความปั่นป่วนรุนแรง


“เขาเข้าทดสอบระดับสิบห้าหลังจากผ่านระดับสิบสี่เพียงใช้เวลาเก้าลมหายใจ นี่เราเข้าใจเขาผิดไปใช่หรือไม่?”


“แม้จะมีเกราะวิญญาณ การจะผ่านระดับสิบห้าได้เป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงยิ่ง!”


มหาชั้นฟ้าต้าวยี่จ้องมองท้องฟ้า เขาล้มเลิกชักชวนหวังหลินไปแล้วแต่ตอนนี้เจตนานั้นกลับมาอีกครั้ง


หนึ่งลมหายใจ สองลมหายใจ สามลมหายใจ…หลังจากหวังหลินเข้าสู่ตำหนักระดับสิบห้าไปเก้าลมหายใจ แสงสีทองจึงส่องสว่างแพวพราวระเบิดออกมาจากตำหนักระดับสิบห้า!


แสงสีทองทะลุผ่านก้อนเมฆและแผ่กระจายอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์นี้เหมือนการตบหน้าจักรพรรดิเทพเข้าอย่างจัง ทำให้จักรพรรดิเทพต้องลืมตาและเผยอาการตกตะลึงที่หาได้ยาก


มหาชั้นฟ้าต้าวยี่สูดหายใจลึก แสงสีทองเปล่งประกายออกมาจากดวงตา


‘เด็กคนนี้ เราเข้าใจเขาผิดกันทั้งหมด เขาน่ากลัวยิ่งกว่าเมิ่งต้าวเสียอีก แม้แต่เกราะวิญญาณก็เป็นแค่พลังอีกแห่งหนึ่งสำหรับเขาเท่านั้น! ถ้าเป็นคนอื่นที่มีเกราะวิญญาณเหมือนกัน ใครจะกล้าพูดว่าสามารถผ่านระดับสิบห้าได้?’


มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงดูสงบนิ่งแต่ผุดรอยยิ้มขึ้นบนมุมปากและไม่ซ่อนแววตาชื่นชมเลยแม้แต่น้อย เขาเข้าไปต่อต้านจักรพรรดิเทพโดยไม่ลังเลก็เพราะอยากจะเดิมพัน หวังหลินคงจดจำสิ่งที่เขาได้ทำเอาไว้ และถึงแม้หวังหลินไม่เลือกที่จะติดตามเขา วันหนึ่งเมื่อหวังหลินได้กลายเป็นมหาชั้นฟ้าก็ยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน!


‘ระดับสิบห้า…เขาผ่านตำหนักระดับสิบห้า…’ ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวผุดแววตาจิตสังหารขึ้นมา ความหยิ่งยโสของเขาจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาได้พุ่งเข้าสู่ท้องฟ้าทันที


ทุกคนมองเห็นด้วยสองตาและเหล่าเซียนทั้งหลายต่างก็ร่ำร้อง!


“อีกแล้ว ผ่านหนึ่งตำหนักด้วยเวลาเก้าลมหายใจ หวังหลินไม่ใช่คนอย่างที่พวกเราคิดไว้ก่อนหน้านี้!”


“เขามีระดับบ่มเพาะทรงพลังและไม่ใช่คนที่เราจะเข้าใจได้ เห็นได้ชัดว่าเขาซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้และไม่อยากแสดงมากเกินไป หากไม่ถูกจักรพรรดิเทพบังคับ เขาคงไม่ลองอีกครั้งหรอก!”


“ใช่แล้ว ต้องมีความลับที่พูดไม่ได้ระหว่างเขากับจักรพรรดิเทพ เป็นเหตุผลว่าทำไมจักรพรรดิเทพถึงโจมตีเขาเช่นนั้น!”


เหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะต่างก็มีความคิดคล้ายกัน ตอนนี้พวกเขาไม่รู้สึกดูถูกหวังหลินอีกต่อไปแล้ว มีแค่ความรู้สึกซับซ้อนพร้อมกับความชื่นชม!


ไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไร การผ่านตำหนักระดับสิบห้าได้นั่นหมายถึงความแข็งแกร่ง!


ผู้สูงส่งชั้นฟ้าไฮ่จื่อมองดูเหตุการณ์ท่ามกลางฝูงชนและยิ้มออกมา แม้นางจะรู้ว่าช่องว่างระหว่างหวังหลินจะกว้างมากขึ้น ถึงตอนนี้นางจะทำได้เพียงแค่มองเขา นางก็รู้สึกมีความสุขแล้ว


ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวทะยานขึ้นไปจนทำให้เหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นเพิ่มสูงขึ้น เขาทะยานตรงเข้าไปในท้องฟ้า จังหวะที่หวังหลินมาถึงเบื้องหน้าตำหนักระดับสิบหก ทั้งสองคนได้ก้าวเข้าสู่ระดับสิบหกในเวลาเดียวกัน!!


บททดสอบชั้นฟ้าไม่ได้จำกัดให้คนเข้าได้เพียงคนเดียว ทั้งสองสามารถเข้าไปในเวลาเดียวกันได้และจะไม่เจอกัน พวกเขาจะเข้าทดสอบด้วยตัวเอง!


ตำหนักระดับสิบหกไม่ส่องสว่างมานานหลายปี มันไม่เหมือนระดับสิบห้าซึ่งส่องว่างมาก่อนหน้านี้


‘ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวและหวังหลินทดสอบระดับสิบหกในเวลาเดียวกัน ใครจะผ่านไปได้?’ มหาชั้นฟ้าต้าวยี่มองท้องฟ้าและเกิดความคาดหวังขึ้นในใจ


นอกจากนี้หากเทียบทั้งสองคน คนหนึ่งมีชื่อเสียงมานานหลายปีและอีกคนเพิ่งจะมีชื่อเสียงทะลุฟ้า ทั้งสองกำลังทดสอบตำหนักระดับสิบหกซึ่งเป็นหมุดหมายยิ่งใหญ่ของเผ่าเทพ!


มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงมีท่าทีเคร่งเครียดไปด้วย บททดสอบชั้นฟ้าแต่ละชั้นจะยิ่งยากขึ้นกว่าเดิม ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวได้ลองระดับสิบหกมาแล้วสองครั้งก่อนหน้านี้และล้มเหลวทั้งสองครั้ง


จักรพรรดิเทพเฝ้าดูอยู่ไกลๆและกำลังรู้สึกมืดมนยิ่ง คำพูดที่เขาเพิ่งจะพูดออกไปได้ถูกหวังหลินพัดปลิวหายไปและคล้ายกับโดนตีแสกหน้า ยามนี้เขาจ้องมองบนท้องฟ้าด้วยแววตาเย็นเยียบ


พริบตาเดียวขณะที่ลมหายใจที่เก้าได้ผ่านพ้น ตำหนักระดับสิบหกที่ไม่ได้ส่องสว่างมานานหลายปีจึงปลดปล่อยแสงสีทองแพรวพราว!!


“แสงสีทอง นี่มันตำหนักระดับสิบหก!! มีคนผ่านตำหนักระดับสิบหก!!”


“มันเป็นใคร? ในสองคนนั้นใครเป็นคนผ่าน?”


“เก้าลมหายใจ นั่นต้องเป็นหวังหลิน!”


“ไม่จำเป็น ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวมีชื่อเสียงมานานหลายปี หากเขาไม่มั่นใจแล้วจะลองไปทำไม? ในความคิดข้า ครั้งนี้ต้องเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าว!”


ต้าวยี่ หวู่เฟิงและจักรพรรดิเทพต่างก็มองเข้าไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พวกเขาเองอยากรู้ว่ามันเป็นใคร!


ผู้สูงส่งชั้นฟ้ามองออกไปอย่างเคร่งเครียด แต่ไม่นานกลับเผยท่าทีปิติยินดี!


หวังหลินก้าวเดินออกมาด้านนอกตำหนักระดับสิบหก ใบหน้าซีดเล็กน้อยแต่ไม่ได้เข้าระดับสิบหกในทันที เขายืนอยู่ตรงนั้นมองกลับมาราวกับกำลังรอเมิ่งต้าว!


ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้ต้าวยี่ต้องเบิกตากว้าง หวู่เฟิงเต็มไปด้วยความตกตะลึง ส่วนจักรพรรดิเทพนั้นมีหน้าเปลี่ยนไป พยายามซ่อนสีหน้าไม่เชื่อเอาไว้


แม้แต่มหาชั้นฟ้าจิ่วตี้บนภูเขาจักรพรรดิยังอ้าปากค้าง


……………………………………



ตอนที่ 1963 ส่งกลับไป!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ผู้สูงส่งชั้นฟ้าด้านล่างล้วนแต่เงียบสนิท การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในวันนี้ทำให้พวกเขาไม่ร่ำร้องอีกแล้วและจ้องมองตำหนักระดับสิบหกที่พร่าเลือนรวมถึงร่างสีขาวข้างๆ กันแทน


การกระทำของหวังหลินได้เปลี่ยนสถานการณ์เสียเปรียบก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง คำถามและข้อสงสัยทุกอย่างถูกกวาดล้างออกไปด้วยความแข็งแกร่งอันเป็นที่ประจักษ์จนไม่มีอะไรเหลือไว้เบื้องหลัง


ในเมื่อจักรพรรดิเทพบอกว่าเกราะวิญญาณและพลังภายนอกไม่สมบูรณ์แบบ เช่นนั้นหวังหลินกำลังจะบอกทุกคนว่าตำหนักระดับสิบสามไม่ใช่ขีดจำกัดของเขา!


หวังหลินไม่เอ่ยปากออกมาอธิบายเหล่าคำถามสักครั้งเดียว เขาใช้การผ่านระดับสิบสี่ ระดับสิบห้าและตอนนี้ระดับสิบหกที่ไม่มีใครผ่านมานานหลายปีแทน!!


นี่มันทรงพลังและน่าตกตะลึงยิ่งกว่าคำอธิบายใด!


ทั่วทั้งบททดสอบชั้นฟ้ากลายเป็นความเงียบสนิท หวังหลินเผชิญหน้ากับสายนับไม่ถ้วนด้านล่างด้วยความเงียบและไร้อารมณ์ความรู้สึก เขาหลับตายืนอยู่ข้างในแสงสีทอง ราวกับกำลังบ่มเพาะและรอให้ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวปรากฏตัว


ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้เขามีกลิ่นอายแห่งยอดเซียน เหล่าเซียนทั้งหมดที่เห็นเขายังรู้สึกเคารพอยู่ในใจ


เวลาผ่านไปทีละลมหายใจ…พริบตาเดียวได้ผ่านไปมากกว่าหนึ่งก้านธูปไหม้ หวังหลินเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่นอกตำหนักระดับสิบหกและไม่มีสัญญาณของผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวเลย


หลังจากเวลาผ่านไปอีกครึ่งก้านธูปไหม้ ตำหนักระดับสิบหกที่ห่อหุ้มด้วยแสงสีทองกำลังปล่อยแสงสีทองมากขึ้น ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวผสานกับแสงสีทองนี้ออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ


เสียงหัวเราะแฝงอารมณ์ตื่นเต้น เขารอวันนี้มานานหลายปีและในที่สุดก็ผ่านตำหนักระดับสิบหกได้! เขาเผยร่างชุดสีดำอยู่ต่อหน้าหวังหลิน


“ตำหนักระดับสิบหก วันนี้ข้าเมิ่งต้าวได้ผ่านระดับสิบหกแล้ว!! ผู้สูงส่งชั้นเทวะคนใดในเผ่าเทพจะกล้าเอาชนะข้าได้!? ข้าต้องขอบคุณเจ้าที่แกล้งหลอกได้เป็นอย่างดี ถ้าไม่ใช่…”


ก่อนที่เขาจะพูดจบ พลันหยุดกึกเพราะทุกอย่างเงียบเกินไป ไม่มีเสียงโห่ร้องแสดงความดีใจหรือร้องไห้หลังจากเขาผ่านระดับสิบหกไปได้ แต่กลายเป็นสายตาซับซ้อนอธิบายไม่ถูกจากเหล่าเซียนด้านล่างแทน


หวังหลินเอ่ยขึ้นมา “เจ้าช้าเกินไป”


“เจ้า…เจ้าผ่านระดับสิบหก?” เมิ่งต้าวใบหน้าซีดเผือดทันที เขาจ้องมองหวังหลินด้วยแววตาจิตสังหารเต็มเปี่ยม เขาไม่ยอมให้มีใครแข็งแกร่งกว่า เขาไม่สามารถต่อสู้กับมหาชั้นฟ้าได้แต่เขาต้องเป็นอันดับหนึ่งในเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะ!


แต่ตอนนี้เสียงแสดงความยินดีและชื่อเสียงที่เขาควรได้รับจากตำหนักระดับสิบหกกลับถูกหวังหลินแย่งไป มองหวังหลินแล้วเขาต้องใช้เวลาน้อยกว่าตัวเองแน่


เรื่องนี้ทำให้เมิ่งต้าวถึงกับละอายจนโกรธขึ้นมา จิตใจจองหองของเขาไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น!


“เจ้าอยากลองอีกครั้งหรือไม่?” หวังหลินมองผู้สูงส่งชั้นฟ้าเมิ่งต้าวด้วยความสงบนิ่งซึ่งอีกฝ่ายกำลังมีท่าทีเปลี่ยนไป ยิ่งเขาทำเหมือนไม่สนใจ ยิ่งทำให้เมิ่งต้าวรับไม่ได้มากขึ้น เขาจ้องมองหวังหลินราวกับแววตากำลังลุกเป็นไฟ


‘ด้วยนิสัยแบบนี้ เขาบรรลุระดับบ่มเพาะถึงระดับนี้ได้อย่างไร? บางทีคงต้องโอหังให้มาก ยิ่งเขาแพ้ยิ่งต้องกระตุ้นตัวเอง ทำให้เขารู้แจ้งถึงชีวิตที่เปลี่ยนไปขณะที่ทนทุกข์กับการโดนข่ม’


‘เหมือนคันธนู ยิ่งง้างมากเท่าไร พอปล่อยออกไปยิ่งมีพลังรุนแรงมากเท่านั้น แต่…ไม่ว่าคันธนูจะแข็งแกร่งแค่ไหน ข้าจะทำให้มันย่อยยับ!’ หวังหลินมองเมิ่งต้าว เขาไม่ลืมความอับอายที่เมิ่งต้าวนำมา เมิ่งต้าวเป็นคนโหดเหี้ยมมากและหวังหลินไม่ยอมปล่อยไปแน่


ยิ่งไปกว่านั้น เมิ่งต้าวเป็นคนที่จักรพรรดิเทพให้คุณค่ามากที่สุด การทำลายเขาคงเป็นการตอกย้ำคำพูดของจักรพรรดิเทพได้อย่างลึกซึ้งที่สุด!


การทำลายผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าว หวังหลินจะต้องทำลายความมั่นใจของอีกฝ่าย เขาจะต้องทำให้เมิ่งต้าวทดสอบระดับสิบเจ็ดกับเขา จากนั้นก็เหยียบย่ำอีกครั้ง ทำให้เมิ่งต้าวแตกสลายและตกอยู่ใต้แรงกดดันของหวังหลินไปตลอดกาล


เหมือนกับคันธนู ยิ่งง้างมากเท่าไร ยิ่งมีพลังทำลายล้างมากขึ้นเท่านั้น แต่เมื่อมันเกินขีดจำกัดแล้วก็จะไม่มีพลังทำลายเหลืออยู่เพราะมันจะแตกหัก! หวังหลินมุ่งมั่นและโหดเหี้ยม เขากำลังจะใช้โอกาสนี้ทำลายจิตใจของเมิ่งต้าว!


‘ในเมื่อข้ออ้างทุกอย่างขาดสะบั้นไปแล้ว ก็ให้มันแหวกออกไปมากกว่านี้!’ หวังหลินเยาะเย้ยในใจพลางมองผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวด้วยสายตาดูถูก


สายตาดูถูกนี้ทำให้เมิ่งต้าวต้องกำหมัดแน่น


จักรพรรดิเทพด้านล่างไม่ดูมืดมนอีกแล้ว เขาเอ่ยอย่างใจเย็น “เมิ่งต้าว กลับวังไปกับข้า!” หลังจากนั้นเขาก็มองหวังหลินด้วยสายตาชื่นชม


“ดี เผ่าเทพของข้ามีเซียนแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกครั้ง หวังหลิน จักรพรรดิผู้นี้เข้าใจเจ้าผิดไป เมื่อข้ากลับสู่วังแล้ว ข้าจะส่งราชโองการและประกาศเรื่องนี้ให้แก่ประชาชนได้รับทราบ!”


“เจ้าและข้ายังมีข้อตกลงกันอยู่ ข้าจักรพรรดิได้เชิญชวนเจ้ามาที่เมืองหลวงและผ่านมาหลายปีแล้ว ตอนนี้เจ้าได้กลายเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะ มันคงเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วที่เหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะทุกคนจะได้รับการแต่งตั้งจากราชวงศ์ จงมาที่เมืองหลวงเพื่อการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่และข้าจะต้อนรับเจ้าเป็นการส่วนตัว!” จักรพรรดิเทพยิ้มออกมาราวกับไม่มีความโกรธเกรี้ยวจากก่อนหน้านี้เหลืออยู่ รอยยิ้มเขาเหมือนสายลมอบอุ่นที่ส่งผลต่อเซียนรอบด้าน ทุกคนล้วนโค้งตัวและคำนับฝ่ามือให้


หวังหลินสงบนิ่งและพูดขึ้นมา “ข้ารบกวนจักรพรรดิเทพไปแล้ว”


“ไม่มีปัญหา เมิ่งเต้าว เจ้ายังไม่กลับใช่หรือไม่?” จักรพรรดิเทพยิ้มและมองเมิ่งต้าวที่กำลังสงวนท่าทีอยู่ในท้องฟ้าและร้องคำรามใส่ เสียงคำรามดังกึกก้องในใจเมิ่งต้าวราวกับสายฟ้าและทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ จากนั้นความโกรธเกรี้ยวทั้งหมดของเมิ่งต้าวก็หายไปและสงบนิ่งอีกครั้ง เขายืนมองหวังหลินอยู่ตรงนั้นและไม่มีร่องรอยความโกรธเหลืออยู่เลย


เขามองหวังหลินอย่างลึกซึ้งและจากนั้นทะยานลงไป


หวังหลินขมวดคิ้ว ผู้สูงส่งเมิ่งต้าวคนนี้กลับสามารถระงับความโกรธเกรี้ยวได้หมดรวมถึงความจองหองของตัวเองด้วย หากปล่อยไปก็เหมือนทำให้เขาทะลวงเต๋าได้ในอนาคต!


หวังหลินไม่สนใจเรื่องเมิ่งต้าวโกรธเกรี้ยว แต่ตอนที่เมิ่งต้าวสงบนิ่งลงไป หวังหลินรู้สึกถึงอันตราย


“เจ้าจะไม่ไปต่อแล้วหรือ?” หวังหลินมีท่าทีเช่นเดิมและเอ่ยเสียงเย็นเยียบ


พอได้ยินแบบนี้จักรพรรดิเทพขมวดคิ้วเล็กน้อย เมิ่งต้าวทำเหมือนไม่ได้ยินและก้าวเข้าหาจักรพรรดิเทพ


“ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวเป็บแบบนี้เอง ช่างน่าผิดหวัง! ถึงกับไม่กล้าแม้แต่การทดสอบระดับสิบเจ็ด” หวังหลินรู้สึกประหลาดตอนที่เมิ่งต้าวไม่ยอมหันกลับมา บางทีการที่อีกฝ่ายกลายเป็นอันดับหนึ่งคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ


ถ้าเป็นแบบนี้จริง หวังหลินก็ต้องทำลายจิตใจเขาเสียแต่ตอนนี้!


“หวังหลิน เจ้ามีเจตนาอะไร?” จักรพรรดิเทพเผยสายตาแห่งแรงกดดันมองมาที่หวังหลิน


เมิ่งต้าวขบคิดชั่วขณะและหลับตาราวกับกำลังสั่นไหว ทว่านี่เพียงแค่หนึ่งลมหายใจเท่านั้น ต่อมาเขาก็สงบนิ่งได้ทันทีและก้าวเข้าหาจักรพรรดิเทพอย่างเงียบงัน


“ข้าแค่ต้องการให้เขาลองตำหนักระดับสิบเจ็ด เมื่อเขาล้มเหลว ค่อยจากไปได้” หวังหลินยิ้มและหัวเราะดังกึกก้องเข้าไปในหูของเมิ่งต้าว ทิ่มแทงจิตใจอีกฝ่าย


ใช่แล้ว นี่คือสิ่งที่เขาพูดกับหวังหลิน!


ลมหายใจของเมิ่งต้าวพลันถี่ขึ้นมาและหยุดลงอีกครั้ง เขาแทบไม่อาจทนความจองหองของตัวเองได้ แต่วินาทีนั้นจักรพรรดิเทพสะบัดแขนเสื้อ สายลมเบาบางห่อหุ้มรอบเมิ่งต้าวและโยนเขาไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ


“กลับไปวังหลวง!”


เมิ่งต้าวระงับตัวเองไม่ให้หันกลับมา ดวงตากำลังแดงฉาน พลังจากจักรรพรดิเทพได้ผลักดันเขาเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้ายและมันเริ่มเปิดใช้งาน


หวังหลินมีแววตาเย็นเยียบ เขาไม่ยอมปล่อยให้เมิ่งต้าวจากไปแบบนี้! วินาทีที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายเปิดใช้งาน เขาได้ยกแขนขึ้นมาชี้ใส่ค่ายกลเคลื่อนย้าย!


เพียงเท่านั้นภาพติดตา 99 ร่างปรากฏขึ้นและควบแน่นเป็นดัชนียักษ์ทะยานเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้าย


จักรพรรดิเทพโกรธเกรี้ยวและกำลังจะโจมตี แต่เวลานี้มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงหัวเราะ เขาก้าวเข้ามาหาอย่างลวกๆ แต่ครั้งนี้ทำให้จักรพรรดิเทพถึงกับหยุดชะงัก


ทั้งคู่คือมหาชั้นฟ้า และตอนนี้แต่ละคนข่มกลิ่นอายของตัวเองเอาไว้ หากเขาโจมตี หวู่เฟิงก็จะลงมือเช่นกัน เพียงแค่การชะลอครั้งนี้ ดัชนีจึงเข้าไปใกล้ค่ายกลเคลื่อนย้ายแล้ว!


เมิ่งต้าวมองขึ้นไปและร้องคำราม เขาอยู่ระหว่างการเคลื่อนย้ายดังนั้นจึงไม่สามารถโจมตีได้ เวลานั้นพลันกัดฟันแน่นและก้าวออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย พริบตาต่อมาดัชนียักษ์เบื้องหน้าเขาก็หายไปราวกับกำลังกลั่นแกล้ง!


นี่เป็นเหตุการณ์เดียวกับตอนที่เมิ่งต้าวกับทำหวังหลิน!


“หวังหลิน!!!” เมิ่งต้าวก้าวออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายและจ้องหวังหลินกลับ ความโกรธเกรี้ยวและความอับอายกำลังปะทุขึ้นมา


“หวังหลิน เจ้ากล้ามาก เจ้ากล้าแหกกฎที่นี่ วันนี้อย่ากล่าวหาว่าจักรพรรดิไม่สั่งสอน!” เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิเทพไม่คิดว่าหวังหลินจะกล้าโจมตี


“โอ้? ข้าได้ทำร้ายใครหรือไม่? เขาบาดเจ็บหรือไม่? ในเมื่อไม่บาดเจ็บ ข้าจะไปแหกกฎได้อย่างไร?” หวังหลินยิ้มและตอบโต้ด้วยคำพูดเดียวกับที่จักรพรรดิเทพใช้!


จักรพรรดิเทพกำลังจะเอ่ยปาก แต่หวังหลินเร็วกว่า เขามองเมิ่งต้าวที่กำลังระงับความโกรธเกรี้ยวและส่งเสียงดังไปทั่วบททดสอบชั้นฟ้า


“ดูเหมือนเจ้าไม่มีความหยิ่งยโสอันใดอีกแล้วและไม่เชื่อมั่นตัวเอง ข้าสงสัยว่าทำไมเจ้าถึงรีบจากไปและไม่ลองทดสอบระดับสิบเจ็ด ข้ากลัวว่าไม่เพียงแต่เจ้าจะไม่เชื่อมั่นตัวเอง แต่เจ้ายังเสียศรัทธาไปด้วย เจ้าก็แค่เป็นร่างที่ฟังคำสั่งทุกอย่างของจักรพรรดิเทพ เขาบอกให้เจ้าจากไปและเจ้าก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง”


“ช่างมันเถอะ เซียนแบบเจ้าไม่มีค่าพอให้ข้าสนใจอีกแล้ว ไปซะ!” หวังหลินสะบัดแขนเสื้อและไม่รั้งสายตาดูถูกอีกแล้ว สายตาเขาจ้องมองเข้าไปในจิตใจของเมิ่งต้าว


“ช่างน่าผิดหวัง!” ประโยคสุดท้ายทำให้เมิ่งต้าวไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป ร่างกายสั่นเทาพลางพุ่งขึ้นไปและร้องคำรามไปบนท้องฟ้า


“หวังหลิน เราทั้งคู่จะทดสอบระดับสิบเจ็ด!!!”


“ดี!” หวังหลินหัวเราะและก้าวเข้าสู่ระดับสิบเจ็ดในเวลาเดียวกับเมิ่งต้าว!


จักรพรรดิเทพกำลังจะหยุดทั้งสองแต่ก็ถูกหวู่เฟิงหยุดเอาไว้


“เหลียนต้าวเจิน เราไม่จำเป็นต้องไปแทรกแซงการแข่งขันของผู้สูงส่งชั้นเทวะหรอกนะ”


………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)