Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1954-1955
ตอนที่ 1954 เจิดจรัส! (4)
โดย
Ink Stone_Fantasy
‘ข้ารู้ว่าเจ้าเด็กคนนี้เป็นคนพิเศษ เพียงไม่ถึงร้อยปีเขากลับผ่านตำหนักระดับเก้าไปได้ เขาคู่ควรที่จะถูกชักชวนแน่นอน! ช่างมันเถอะ ถึงแม้เขาจะปฏิเสธไปแล้วหนึ่งครั้ง คราวนี้ข้าจะไปด้วยร่างอวตารและเขาจะรู้ได้ว่าข้าให้ความสำคัญมากแค่ไหน!’ หลังจากนั่งอยู่ใต้น้ำตก ต้าวยี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม
ทางด้านแผ่นดินทิศเหนือในธารน้ำแข้ง มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงมองไปที่ธารน้ำแข็งและหลับตา
“เจ้าเด็กคนนี้ผ่านการทดสอบในทะเลขุนเขาและทะลวงผ่านตำหนักระดับเก้าได้ พลังต่อสู้ของเขาช่างคล้ายกับผู้สูงส่งชั้นเทวะ…ต้าวยี่ก็เห็นเขาแต่ต้าวยี่กลับหยิ่งยโสและมีทิฐิมากไป อย่างมากเขาก็แค่ส่งร่างอวตารออกไป…แต่ครั้งนี้ข้าจะใช้ร่างดั้งเดิมไปหาด้วยตัวเอง เด็กนี่น่าจะบอกได้ว่าใครกันแน่ที่ให้ความสำคัญมากกว่า!”
ด้านภูเขาจักรพรรดิ สตรีคนสวยเผยรอยยิ้มแห่งความสุข ราวกับนางมีความสุขมากกว่าหวังหลินที่ทะลวงผ่านระดับเก้าได้เสียอีก
ทว่าชายชราด้านข้างนางกลับแค่ชำเลืองสายตาและยังไม่สนใจ
ชายชราส่ายศีรษะและเอ่ยขึ้น “มันก็แค่ตำหนักระดับเก้า ผู้สูงส่งชั้นฟ้าระดับสูงสุด หลังจากทะลวงผ่านระดับสิบไปได้ เขาจะกลายเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะ แต่ระดับสิบก็แค่ชั้นล่างของผู้สูงส่งชั้นเทวะ เขายังห่างไกลจากหมิงต้าวมากนัก”
สตรีคนสวยหันกลับมา “อาจารย์!!”
ชายชราหยุดกึกและพูดขึ้นอย่างขมขื่น “หากเขาผ่านตำหนักระดับสิบไปได้ ข้าจะไปขอให้เขามาร่วมกับข้า”
“อา…เก้าตำหนักแรกในบททดสอบชั้นฟ้าคือเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้า ตำหนักระดับสิบถึงจะเป็นขอบเขตระหว่างผู้สูงส่งชั้นฟ้าและผู้สูงส่งชั้นเทวะ ตั้งแต่ระดับสิบเอ็ดไปนอกจากระดับบ่มเพาะและพลังต่อสู้แล้ว ที่จำเป็นคือความเข้าใจและการรู้แจ้งแห่งเต๋า”
“ในบททดสอบชั้นฟ้า คำว่า ‘บททดสอบ’ คือกุญแจสำคัญสำหรับเก้าตำหนักส่วนหลัง! ทุกตำหนักจะให้โชควาสนากับเจ้าและหวังหลินคนนี้…” ชายชรามองศิษย์ตัวเองและหยุดพูด
ผู้สูงส่งชั้นฟ้าไฮ่จื่อเต็มไปด้วยความตื่นเต้น นางสูดหายใจลึกและหลับตาพลางใช้สัมผัสวิญญาณพุ่งทะยานขึ้นไปในท้องฟ้า
ในเมืองหลวงของแคว้นกลาง ณ พระราชวังอันหรูหราอันว่างเปล่า ขณะที่ฉากเหตุการณ์หวังหลินได้ผ่านตำหนักระดับเก้าปรากฏขึ้นมา เสียงหัวเราะเย็นเยียบดังกึกก้องไปทั่วราชวัง
‘นี่คือคนที่ต้าวเฟยไม่ลืมเลือน…ข้าประเมินเขาต่ำไป…’
ทางด้านแผ่นดินทิศตะวันออก สำนักตะวันม่วง ชายวัยกลางคนมองกระจกเบื้องหน้าอย่างโดดเดี่ยว เขาเมินเฉยเสียงกรีดร้องจากด้านนอกอย่างสิ้นเชิง สายตากำลังเปล่งประกายเจิดจ้า
‘ข้าต้องเชิญชวนเขา! ครั้งล่าสุดที่มหาชั้นฟ้าได้เกิดใหม่ นางได้แยกออกเป็นสองคน ผ่านมาหลายปีจนไร้ชื่อเสียง ผู้สูงส่งชั้นฟ้าและผู้สูงส่งชั้นเทวะหลายคนจึงจากไป…ตอนนี้มหาชั้นฟ้ากำลังจะเกิดใหม่อีกครั้ง หากสามารถเชิญชวนคนผู้นี้มาได้ เขาจะกลายเป็นองครักษ์อันแข็งแกร่งให้กับพวกเรา!’
ขณะเดียวกันในบททดสอบชั้นฟ้า หลังจากหวังหลินผ่านตำหนักระดับเก้าไปได้ ทุกคนด้านล่างจึงโค้งตำนับให้ ผู้สูงส่งชั้นฟ้าเกือบร้อยคนรีบกลับเข้าสู่ร่างกาย พวกเขารีบใช้เส้นสายของตัวเองและรายงานเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
นอกจากนี้หากมีคนผ่านตำหนักระดับเก้าไปได้นับว่าเป็นเรื่องสำคัญภายในเผ่าเทพ ถือว่าเป็นเหตุการณ์ศักดิ์สิทธิ์ได้เลยทีเดียว ไม่นานหลังจากนั้นจึงมีเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าเร่งรีบเข้ามาบททดสอบชั้นฟ้ามากขึ้นจากทั่วเผ่าเทพ
หวังหลินก้าวออกมาจากตำหนักแห่งระดับเก้าที่กำลังส่องประกาย เขานั่งอยู่ในอากาศและไม่ได้ไปต่อตำหนักระดับสิบแต่ก็ไม่ได้ล้มเลิก
ทั่วทั้งบททดสอบชั้นฟ้าเต็มไปด้วยแสงสีทอง ผู้สูงส่งชั้นฟ้าทุกคนที่ได้ยินข่าวต่างก็ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายมาถึงและเห็นแสงสีทองทันที แต่ละคนมองดูตำหนักระดับเก้าที่กำลังปลดปล่อยแสงสีทองเจิดจ้าและมีร่างหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในแสงนั้น
สีหน้าแต่ละคนล้วนเคร่งเครียดทั้งยังแฝงความคาดหวัง!
ตอนนี้ไม่มีผู้สูงส่งชั้นฟ้าคนใดที่นี่จะมีท่าทีเสแสร้งและคิดดูถูกอีกต่อไปแล้ว พวกเขาเคารพความแข็งแกร่งและใครที่สามารถผ่านตำหนักระดับเก้าไปได้ถือว่าเป็นจุดสูงสุดของผู้สูงส่งชั้นฟ้า!
ขณะที่เวลาค่อยๆ ผ่านไปและมีผู้สูงส่งชั้นฟ้ามาถึงมากขึ้น ลำแสงหลายเส้นสายได้มาถึงตรงจุดค่ายกลเคลื่อนย้ายและดูเหมือนไม่มีวันหยุด
ไม่นานนักที่นี่จึงมีผู้สูงส่งชั้นฟ้าเกือบเจ็ดร้อยคน ซึ่งเป็นจำนวนเกือบเจ็ดในสิบส่วนของผู้สูงส่งชั้นฟ้าทั้งหมดในเผ่าเทพ
ยังมีผู้สูงส่งชั้นฟ้าที่กำลังเร่งรีบมาที่นี่หลังจากได้ยินข่าว
“เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตจนมีคนมาที่บททดสอบชั้นฟ้ามากขึ้น…”
“เมื่อเขาผ่านตำหนักระดับสิบไปได้ เขาจะกลายเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะ แต่ระดับสิบนี้ยิ่งยากกว่าเก้าระดับก่อนหน้านี้รวมกัน ไม่เช่นนั้นคงมีผู้สูงส่งชั้นเทวะคนที่ 49 เกิดขึ้นมาแล้วในช่วงหลายหมื่นปี…”
“ข้าคิดว่ามันคงจะยากยิ่ง แม้จะมีคนเพียงไม่กี่คนที่ผ่านตำหนักระดับเก้าไปได้ คนไหนเล่าที่จะไม่มีชื่อเสียงหรือทำให้เกิดคลื่นลูกใหม่ขึ้นมาได้? หลายคนต่างก็คาดหวังไว้สูงแต่สุดท้ายก็ล้มเหลวในตำหนักระดับสิบ…คราวนี้มันก็อาจจะเหมือนเดิม”
ผู้สูงส่งชั้นฟ้ามากกว่าเจ็ดร้อยคนกระจายไปทั่วบททดสอบชั้นฟ้า แต่ละคนต่างก็พูดคุยกัน บางส่วนสงสัยในชื่อเสียงหวังหลินและคิดว่าเกิดอะไรขึ้น
ท่ามกลางเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้ามากกว่าเจ็ดร้อยคน มีกลุ่มหนึ่งที่สงบนิ่งและแตกต่างจากคนอื่นๆ แม้แต่ตอนที่พวกเขายืนอยู่เฉยๆ ก็ยังมีผู้สูงส่งชั้นฟ้าคนอื่นเคารพและนอบน้อม
ในกลุ่มนี้มีไม่ถึงสิบคน ทั้งหมดล้วนเป็นคนที่ผ่านตำหนักระดับเก้าไปได้แต่ก็หยุดที่ตำหนักระดับสิบ พวกเขามาที่นี่เพื่อดูว่าหวังหลินจะก้าวข้ามผ่านระดับที่พวกเขาใฝ่ฝันได้หรือไม่!
“พี่จ้าว ท่านคิดว่าเขาจะผ่านระดับสิบได้หรือไม่?”
“ยาก! เราทั้งคู่ต่างก็ลองระดับสิบไปแล้ว หากเขามั่นใจว่าจะผ่านไปได้ เขาก็คงไม่บ่มเพาะอยู่ตรงนั้น”
หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งก้านธูปไหม้และมีเซียนอยู่ที่นี่เกือบแปดร้อยคน เหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้ามากกว่าครึ่งต่างก็หยุดการกระทำของตัวเองและรีบเร่งมาที่นี่ด้วยสัมผัสวิญญาณเพื่อเป็นพยานเหตุการณ์ครั้งสำคัญ
ในเหล่าฝูงชนยังมีสตรีงดงามผู้หนึ่ง นางคือผู้สูงส่งชั้นฟ้าไฮ่จื่อ นางไม่ได้ต้องการมองผ่านใบไม้แห่งบนภูเขาจักรพรรดิ ดังนั้นจึงมาที่นี่ด้วยตัวเอง นางมองไปยังแสงสีทองในท้องฟ้าและเผยรอยยิ้ม
‘สหายคนนี้หลังจากออกไปจากทะเลขุนเขา เขาก็หายตัวไปมากกว่าสิบปี ข้าไม่คิดว่าหลังจากปรากฏตัวอีกครั้งจะทำให้เกิดเรื่องอัศจรรย์ขนาดนี้!’
ขณะที่ผู้สูงส่งชั้นฟ้าเกือบแปดร้อยคนได้รอให้หวังหลินลองทดสอบระดับสิบ ค่ายกลเคลื่อนย้ายกะพริบถี่ยิบ ชายวัยกลางคนชุดขาวผู้หนึ่งก้าวเดินออกมา เขาดูเยือกเย็นและไม่ได้มองฝูงชน กระโจนขึ้นสู่อากาศและมองมาที่หวังหลิน
“ผู้สูงส่งชั้นเทวะพิรุณหิมะ!!”
“แม้แต่ผู้สูงส่งชั้นเทวะก็มาที่นี่!”
“ไม่เพียงแค่ผู้สูงส่งชั้นเทวะ ดูสิยังมีผู้สูงส่งชั้นเทวะกงล้อเต๋า!” การปรากฏตัวของเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะได้ทำให้ผู้สูงส่งชั้นฟ้าที่นี่ให้ความสนใจ ผู้สูงส่งชั้นเทวะกงล้อเต๋าเป็นชายชรา เขาขมวดคิ้วพลางทะยานขึ้นสู่อากาศ มองดูชายวัยกลางคนและพยักหน้าให้กัน จากนั้นมองหวังหลินที่อยู่ในท้องฟ้า
“ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งชวง!”
“นั่นมันผู้สูงส่งชั้นเทวะทารกน้อย เขามีรูปร่างเป็นเด็กอยู่ตลอด นั่นต้องเป็นเขา! ลือกันว่าเขาผ่านตำหนักระดับสิบสองแล้ว!!”
ข้อความสัมผัสวิญญาณกำลังส่งผ่านเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าจำนวนแปดร้อยคนอย่างเงียบๆ มีผู้สูงส่งชั้นเทวะทั้งสิ้นสี่คนที่ปรากฏตัวในค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ พวกเขาไม่ได้พูดคุยกันและเพียงแค่มองบนท้องฟ้า
นาทีนั้นรอบด้านพลันเงียบสนิทเพราะหวังหลินที่กำลังนั่งอยู่ในแสงของตำหนักระดับเก้าได้พลันยืนขึ้น การกระทำของเขาทำให้ทุกคนเกิดความสนใจ
หวังหลินมองผู้คนจำนวนมากและขมวดคิ้วแต่ก็ผ่อนคลายในเวลาไม่นาน เป้าหมายของเขาคือการมีชื่อเสียง ยิ่งมีคนมากยิ่งดีต่อผลลัพธ์
มีสี่คนด้านล่างที่ทำให้หวังหลินสนใจ ทั้งสี่คือผู้สูงส่งชั้นเทวะ พอหวังหลินมองพวกเขา พวกเขาจึงมองกลับมาด้วยท่าทางสงบนิ่งและไม่เผยอารมณ์ความรู้สึกอันใด
หวังหลินถอนสายตาและมองตำหนักระดับสิบ ก้าวทะยานมุ่งหน้าเข้าสู่ตำหนักระดับสิบและหายตัวไป!
“เขากำลังลองระดับสิบ!!”
“ตำหนักระดับสิบเรียกกันว่าประตูมังกร เมื่อผ่านไปได้ เขาจะกลายเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะคนที่ 49 ในเผ่าเทพ!”
เหล่าเซียนทั้งหมดด้านล่างจ้องมองอย่างตั้งใจและกลัวพลาดช่วงเวลาสำคัญ
เวลานี้บนแผ่นดินเซียนดารา ต้าวยี่ หวู่เฟิงและคนที่ทรงอำนาจทั้งหลายในเมืองหลวงต่างก็มองภาพเหตุการณ์ในบททดสอบชั้นฟ้าที่หวังหลินก้าวเข้าสู่ตำหนักระดับสิบ!
ในสำนักตะวันม่วง ชายวัยกลางคนถึงกับสูดหายใจลึกและไม่กะพริบตา
‘เขาจะผ่านไปได้หรือไม่…’ เป็นความคิดที่เกิดขึ้นแทบทุกคน!
เวลาผ่านไปแปดลมหายใจนับตั้งแต่ที่หวังหลินเข้าทดสอบระดับสิบ!
ลมหายใจที่เก้า ลมหายใจที่สิบ…
สายตาทุกคนรวมไปยังตำหนักระดับสิบอันเลือนลาง ตำหนักแห่งนี้ไม่ปลดปล่อยแสงสีทองมาเป็นเวลาหลายหมื่นปีแล้ว!
ทว่าทุกครั้งที่มันปลดปล่อยแสงสีทองออกมาในอดีต นั่นหมายความว่ามีผู้สูงส่งชั้นเทวะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนในเผ่าเทพ!
เผ่าเทพมีผู้สูงส่งชั้นเทวะเพียง 48 คนเท่านั้น เมื่อมีอีกคนปรากฏตัวนั่นจะเป็นเหตุการณ์แห่งความสุขไปทั้งเผ่าเทพ แม้แต่เผ่าโบราณยังอยากรู้ชื่อเสียงเรียงนาม เซียนแบบนี้ทรงอำนาจมากพอที่จะทำให้เกิดความปั่นป่วนไปทั่วแผ่นดินเซียนดารา!
ลมหายใจที่สิบเอ็ด ลมหายใจที่สิบสอง…จนกระทั่งลมหายใจที่ยี่สิบ!
“ต้องล้มเหลวเสียแล้ว…” ผู้สูงส่งชั้นฟ้าบางคนถึงกับถอนหายใจ
แต่วินาทีนั้นเสียงร่ำร้องดังกึกก้องขึ้นมาในบททดสอบชั้นฟ้าอันเงียบงัน จนกระทั่งกลายเป็นคลื่นเสียงอันมหึมา!!
“แสงสีทอง!! นั่นมันแสงสีทอง!!!”
“แสงสีทองของตำหนักระดับสิบ!!! หลายหมื่นปีแล้วและตอนนี้มันมีแสงสีทองออกมาอีกครั้ง!!!”
“เขา…ผ่าน!!!”
ผ่านไปยี่สิบลมหายใจ ตำหนักระดับสิบที่ปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆอันเลือนลางได้ปลดปล่อยแสงสีทองแพรวพราวเบื้องหน้าสายตาของทุกคน!!!
เหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะทั้งสี่คนต่างก็มีสีหน้าท่าทางเคร่งขรึมทันที
ตอนที่ 1955 เจิดจรัส! (5)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ ท้องฟ้าอันพร่าเลือนของบททดสอบชั้นฟ้า ตำหนักระดับสิบที่ไม่ได้เปล่งแสงมาหลายหมื่นปีกำลังระเบิดแสงสีทองเจิดจ้า สาดกระจายออกไปจนเต็มสองตาของเหล่าเซียนด้านล่าง
ขณะที่แสงสีทองกระจายออกไป ร่างขนาดยักษ์ผู้หนึ่งปรากฏขึ้นมา ร่างนี้ไม่ใช่หวังหลินแต่เป็นร่างเงาที่เต็มไปด้วยอำนาจบารมีอันเหลือล้น
ร่างเงานี้ขนาดใหญ่มากราวกับยักษ์ที่กำลังยืนอยู่บนแผ่นดิน มันปรากฏตัวออกมาจากลำแสงสีทองในตำหนักระดับสิบและไม่นานก็มีรูปทรงชัดเจนขึ้น
พริบตาเดียวร่างเงานี้ก็เด่นชัด เขามีใบหน้าหล่อสมกับเป็นบุรุษ นอกจากกลิ่นอายโบราณแล้วยังมีพลังที่รั่วไหลออกมาทำให้เหล่าเทพทั้งหมดต้องทำความเคารพเขา
ร่างกายสวมชุดสีทองและมีมงกุฎอยู่บนศีรษะ ราวกับกำลังมองลงมายังโลกใต้ฝ่าเท้า
วินาทีนั้นจิตใจของเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้านับแปดร้อยคนและผู้สูงส่งชั้นเทวะทั้งสี่คนถึงกับเกิดอาการสั่นเทา
“นั่นมันร่างเงาที่บรรพชนเทพทิ้งเอาไว้ในบททดสอบชั้นฟ้า!! กล่าวได้ว่าร่างเงานี้แยกตัวออกมาจากบรรพชนเทพ ถึงแม้บรรพชนเทพจะตายมันก็ยังอยู่ต่อหลังจากผสานกับบททดสอบชั้นฟ้า!”
“ตำหนักระดับสิบเป็นเส้นกั้นระหว่างผู้สูงส่งชั้นฟ้าและผู้สูงส่งชั้นเทวะ ลือกันว่าผู้สูงส่งชั้นเทวะแต่ละคนจะได้รับฉายาจากบรรพชนเทพเป็นการส่วนตัว ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง!!”
“เขาผ่านตำหนักระดับสิบและมีร่างเงาบรรพชนเทพปรากฏขึ้นมา หวังหลินผู้นี้ได้ผ่านประตูมังกรไปแล้ว ตั้งแต่นี้ไปเขาไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับเราเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าอีกแล้ว!”
“ข้าได้เห็นคนผู้หนึ่งกลายเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะด้วยสองตาตัวเอง และยังมีบรรพชนเทพมอบฉายาเป็นการส่วนตัวอีก การเดินทางมาบททดสอบชั้นฟ้าครั้งนี้ไม่เสียเปล่า!”
พอร่างยักษ์สีทองปรากฏขึ้นมา เหล่าเซียนทั้งหมดด้านล่างต่างก็เกิดความเคารพยกย่องและทั้งหมดโค้งตัวคำนับ ไม่มีใครบังคับใครให้โค้งคำนับได้ แต่นี่เป็นสิ่งที่เหล่าเซียนทั้งหมดทำด้วยใจจริง!
“เราเหล่าลูกหลานบรรพชนเทพขอคารวะบรรพชน!!” น้ำเสียงจากเซียนทุกคนดังกึกก้องอยู่ในบททดสอบชั้นฟ้า
ขณะนั้นร่างหนึ่งได้ทะยานออกมาจากแสงที่กำลังส่องประกายในตำหนักระดับสิบ ร่างนี้คือหวังหลิน
ฉากเหตุการณ์นี้ดูราวกับคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ในสายตาเซียนทั้งหมดด้านล่าง
ในท้องฟ้ามีร่างสีทองสองร่างขนาดหนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่อยู่ห่างกันออกไปหนึ่งพันฟุตและมองหน้ากันเอง
หวังหลินหน้าซีดเล็กน้อย ตอนที่เขาปรากฏตัวออกมา เขาเห็นร่างสีทองขนาดยักษ์อยู่ตรงหน้า พอเขาเห็นร่างนั้นจิตใจถึงกับสั่นไหว นี่เป็นบรรพชนเทพที่เขาเคยเห็นมาแล้วสองครั้งก่อนหน้านี้!!
ดวงตาสีทองเต็มไปด้วยอำนาจบารมีมหาศาลกำลังส่งสายตามาที่หวังหลิน สายตานี้เต็มไปด้วยพลังอำนาจที่มิอาจอธิบายออกมาได้ ราวกับมองทะลุความลับของหวังหลินได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
หวังหลินจิตใจสั่นเทา เขารู้สึกเหมือนเปลือยเปล่าภายใต้สายตาคู่นี้ ทั้งยังรู้สึกว่าความลับทั้งหมดของเขาถูกเผยออกมา!
หวังหลินไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้เลย แม้แต่อาจารย์ซวนลั่วก็ยังไม่คาดคิดว่าหวังหลินจะมาถึงจุดนี้ในเผ่าเทพ!
เป็นผลทำให้หวังหลินไม่ได้เตรียมการมา ดังนั้นความลับทั้งหมดของเขากำลังจะเผยออกไป มีฝ่ามือหนึ่งผุดขึ้นในใจหวังหลินและพลิกผ่านความทรงจำของเขาอย่างรวดเร็วโดยไม่อาจซ่อนความลับใดไว้ได้เลย!
มันเริ่มค้นความทรงจำเขาตั้งแต่เกิด!
ทั่วทั้งเผ่าเทพมีผู้สูงส่งชั้นเทวะเพียง 48 คนเท่านั้น สำหรับเผ่าเทพเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะนับว่าสำคัญยิ่ง เป็นรองเพียงมหาชั้นฟ้าเท่านั้น
แม้แต่บรรพชนเทพยังต้องให้ความสนใจกับเซียนเหล่านี้ ตอนนั้นหวังหลินถือได้ว่าเป็นคนของเผ่าโบราณหรือไม่ก็เป็นเซียนต่างถิ่นที่เปลี่ยนกลิ่นอายเข้ามาที่นี่และยังได้ตำแหน่งเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะอีก
บรรพชนเทพจะยอมได้อย่างไร? การเป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้านับว่าเป็นเรื่องดี แต่ผู้สูงส่งชั้นเทวะจะต้องเป็นเซียนของแผ่นดินเซียนดารา! จะต้องถือกำเนิดและยกระดับบนแผ่นดินเซียนดาราโดยไม่มีปัญหา ทั้งยังเป็นเหตุผลในการบอกว่าคนผู้นั้นจะต้องผ่านตำหนักระดับสิบในบททดสอบชั้นฟ้าเพื่อก้าวเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะ!
ผู้สูงส่งชั้นฟ้าที่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับเทวะจะต้องเจอแบบนี้ทุกคน เหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะทั้ง 48 คนในปัจจุบันต่างก็ผ่านเรื่องนี้กันทั้งนั้น
นี่เป็นการทดสอบ และหากร่างเงาตัดสินว่าหวังหลินเป็นเซียนต่างถิ่นหรือเซียนโบราณ ข่าวนี้ก็จะแผ่กระจายออกไปยังเผ่าเทพในทันที ลืมเรื่องหวังหลินไปได้เลย แม้จะเป็นมหาชั้นฟ้าก็หนีไม่รอด
ร่างเงาของบรรพชนเทพคงไม่โจมตี แต่เมื่อความลับของเขาถูกเผยออกมา เหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะหรือแม้แต่มหาชั้นฟ้าคงจะโจมตีแน่นอน!
ภายใต้สายตาของร่างเงาบรรพชนเทพ ความทรงจำของหวังหลินตั้งแต่วัยเด็กถูกสังเกตการณ์ ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าที่ได้ผสานเข้ากับวิญญาณพลันปรากฏขึ้นอีกครั้งและหมุนอย่างช้าๆ แสงอ่อนโยนปลดปล่อยออกมาล้อมรอบหวังหลิน ลูกปัดได้สร้างความทรงจำปลอมให้ร่างเงาบรรพชนเทพมองดู
ไม่มีใครรู้ว่าร่างเงาบรรพชนเทพเห็นอะไร แต่ไม่นานสายตาที่มองหวังหลินก็อ่อนโยนขึ้น
ผ่านไปสักพักขณะที่เหล่าเซียนด้านล่างทั้งหมดได้เฝ้าดู ร่างเงาบรรพชนเทพสะบัดแขนซ้าย ปรากฏม้วนคัมภีร์ขึ้นมาจากไหนสักแห่งและดูราวกับเป็นโองการอันศักดิ์สิทธิ์
บนม้วนคัมภีร์นั้นมีชื่ออยู่ 48 ชื่อ แต่ละชื่อส่องประกายเจิดจ้าและมีแรงกดดันโผล่ออกมาทุกชื่อ
“รายชื่อผู้สูงส่งชั้นเทวะ!!”
“นั่นมันรายชื่อผู้สูงส่งชั้นเทวะในตำนาน!!”
“ลือกันว่าผู้สูงส่งชั้นเทวะทุกคนจะได้รับการแต่งตั้งจากบรรพชนเทพเป็นการส่วนตัวและจะเพิ่มชื่อแต่ละคนเข้าไปในรายชื่อ ซึ่งรายชื่อนี้จะมีแต่คนที่ผ่านตำหนักระดับสิบได้สำเร็จเท่านั้น!”
“นั่นมันรายชื่อผู้สูงส่งชั้นเทวะ! ทุกคนในรายชื่อจะได้รับการปกป้องจากบรรพชนเทพ พวกเขาคือผู้มีเกียรติแห่งเผ่าเทพ!!”
นอกจากเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะทั้งสี่คน คนอื่นๆ ต่างก็อ้าปากค้าง สายตาเต็มไปด้วยความปรารถนา ทุกคนต้องการมีชื่ออยู่บนนั้นแต่พวกเขาเป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้าจึงถือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะรายชื่อนี้คือผู้สูงส่งชั้นเทวะเท่านั้น!
ร่างเงาบรรพชนเทพยกแขนซ้ายขึ้นมาปรากฏพู่กันเคลื่อนไหวและเขียนตัวอักษรลงไปหนึ่งบรรทัด!
“หมายเลข 49 หวังหลิน”
หลังจากลากเส้นสุดท้ายจนจบ ร่างเงาบรรพชนเทพได้สลายกลายเป็นแสงสีทองสว่างขึ้นทั่วทั้งบททดสอบชั้นฟ้า
แม้หลังจากร่างเงาจะหายไปเรียบร้อยแล้ว ทุกคนยังคงนิ่งเงียบ ครู่ต่อมาจึงโค้งคำนับ
“ขอคารวะ ผู้สูงส่งชั้นเทวะ!” เสียงนี้รวมถึงผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลินและทุกคนที่สงสัยในตัวหวังหลินว่าจะผ่านระดับเก้าและระดับสิบได้หรือไม่!
ภายในฝูงชนยังมีสตรีงดงามคนหนึ่ง นางรู้สึกเหมือนระยะทางระหว่างเขาดูไกลเหลือเกิน คนหนึ่งอยู่ในท้องฟ้า คนหนึ่งอยู่บนพื้นปฐพี ห่างไกล ห่างไกลกันมาก…
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทำให้นางรู้สึกถึงสัมผัสเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
หวังหลินหลับตาขบคิดอยู่ในท้องฟ้า ผ่านไปสักพักจึงค่อยๆ ลืมตาอีกครั้ง เขาเพิ่งจะผ่านเรื่องความเป็นความตาย ไม่คิดว่าบททดสอบชั้นฟ้าจะมีเรื่องแบบนี้ด้วย
‘ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าโผล่ขึ้นมาเองและช่วยข้า…มันมีจิตวิญญาณของตัวเอง แต่มันคืออะไร…มันมาจากไหน…ถึงกับสามารถหลอกลวงร่างเงาของบรรพชนเทพได้เช่นนี้!’
‘ตำหนักระดับสิบมีดาวเคราะห์สีทอง 99 ดวง มิน่าเล่าถึงมีเพียงไม่กี่คนที่ผ่านได้ แม้แต่ข้ายังต้องใช้เกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์เพื่อให้ผ่านได้รวดเร็ว!’
ขณะที่หวังหลินขบคิด มีสามคนทะยานลอยขึ้นไปในท้องฟ้าและหยุดอยู่ข้างเขา ซึ่งคือสามผู้สูงส่งชั้นเทวะ พิรุณหิมะ กงล้อเต๋าและเมิ่งต้าว
ส่วนผู้สูงส่งชั้นฟ้าทารกน้อย เขาอยู่ด้านล่างอย่างสงบนิ่ง มองหวังหลินแต่ไม่ได้พูดอะไร
“ยินดีด้วยสหายเซียนหวัง ฮ่าฮ่า ตอนนี้เผ่าเทพของเราก็มีผู้สูงส่งชั้นเทวะเพิ่มอีกคน!”
“อีกไม่นานผู้สูงส่งชั้นเทวะทุกคนในเผ่าเทพก็จะรู้ สหายเซียนหวังจะกลายเป็นคนมีชื่อเสียงในพริบตา หากมีโอกาสเจอกันในแดนเหนือ เราต้องถกเต๋ากันเสียหน่อย”
“สหายเซียนหวัง หลังจากบรรลุมาถึงผู้สูงส่งชั้นฟ้า ข้ากลัวว่าท่านจะต้องเผชิญกับการเชิญชวนของเหล่ามหาชั้นฟ้า ข้าชื่อพิรุณหิมะและอยู่ใต้อำนาจมหาชั้นฟ้าหวู่เฟิง ข้าสงสัยนักว่าสหายเซียนได้ตัดสินใจหรือยังว่าจะไปอยู่กับใคร?”
ทั้งสามคนยิ้มและคำนับฝ่ามือให้หวังหลิน หวังหลินยิ้มตอบและคำนับฝ่ามือ
“เรื่องตัวเลือกว่าเป็นมหาชั้นฟ้าคนไหน ข้ายังไม่ได้ตัดสินใจและยังไม่ได้จะจากไปตอนนี้…” หลังจากหวังหลินพูดขึ้น เขามองตำหนักระดับสิบเอ็ดที่ถูกก้อนเมฆปกคลุมจนมิด!
พอเขามองขึ้นไปจึงทำให้ทั้งสามคนมีท่าทีเคร่งขรึม
“หรือว่าสหายเซียนอยากลองระดับสิบเอ็ด?”
“ข้าจะลองดู!” หวังหลินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสามคนมีสีหน้าแตกต่างกันไป ด้านผู้สูงส่งชั้นเทวะพิรุณหิมะ หลังจากมองหวังหลินจึงลังเลก่อนจะเอ่ย
“เราสามคนยังไม่ผ่านด่านที่สิบเอ็ด ในเมื่อสหายเซียนหวังอยากลอง ข้ามีประสบการณ์บางส่วนที่อาจจะช่วยได้บ้าง”
“ความยากของตำหนักที่ผ่านระดับสิบมานั้นนับว่ายากยิ่งกว่าเก้าระดับแรกของผู้สูงส่งชั้นฟ้า และเมื่อล้มเหลวก็ไม่เป็นอันตรายนัก ท่านเพียงแค่บาดเจ็บ ถึงจะไม่หนักหนาสาหัสแต่ก็ต้องระมัดระวัง”
“นอกจากนี้ตำหนักที่เหนือกว่าระดับสิบขึ้นไป การจะผ่านด้วยระยะเวลาอันสั้นได้ถือว่ายากมาก นี่คือเหตุผลว่าแทบไม่มีเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะมาที่นี่เลย เราจะไม่ลองจนกว่าจะมั่นในถึงแปดในสิบส่วน…”
“เท่าที่ข้ารู้มา ท่ามกลางเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะ 49 คนรวมถึงสหายเซียนหวัง มีอยู่ 27 คนที่หยุดอยู่ระดับสิบเอ็ด นอกจาก 27 คนที่ว่ามา มี 13 คนหยุดอยู่ชั้นที่สิบสาม สหายเซียนทารกน้อยที่อยู่ด้านล่างก็ลือกันว่าได้ผ่านด่านที่สิบสองแล้ว แต่ความจริงเขาหยุดอยู่ที่ด่านสิบสอง”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น