Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1952-1953
ตอนที่ 1952 เจิดจรัส! (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
แสงสีทองห่อหุ้มบททดสอบชั้นฟ้าและแต่งแต้มพื้นดินให้เป็นสีทองไปด้วย เหล่าผู้สู่งส่งชั้นฟ้าทั้งหมดต่างก็สงบนิ่งราวกับไม่ประหลาดใจ
มีหลายคนที่ไม่แม้แต่จะมองขึ้นไปและเพ่งสมาธิบ่มเพาะ ไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมาราวกับแสงสีทองจากการผ่านชั้นที่ห้าไม่สามารถดึงดูดความสนใจได้เลย
ผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลินก็ไม่ลืมตาเช่นกัน เขาจมดิ่งไปในโลกของตัวเอง ขบคิดถึงวิธีการผ่านชั้นที่แปด ด้วยระดับบ่มเพาะของเขาก็ควรจะผ่านระดับแปดได้แต่เขาก็ยังถูกหยุดอยู่ตรงนั้น…
“ผู้สูงส่งชั้นฟ้าผมขาวใช้เวลาไปกับระดับห้าอยู่บ้างกว่าจะมีแสงสีทองปรากฏขึ้นมา…นี่ยังช้ากว่าข่าวลือที่เขาผ่านสี่ระดับแรก…ดูเหมือนเขาใช้ความพยายามมากขึ้นเพื่อผ่านระดับห้า”
“แม้เวลาจะยังรวดเร็วแต่ก็คล้ายกับผู้สูงส่งชั้นฟ้าทั่วไปที่ผ่านระดับห้า ไม่มีอะไรให้สังเกตจริงๆ”
“ข้าอยากรู้ว่าเขาจะจากไปแบบเมื่อก่อนหรือลองระดับหก…แต่เขาไม่น่าจะผ่านระดับหกได้…”
เหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้ามองขึ้นไปและลอบขบคิด บางส่วนยังคงผิดหวังเล็กน้อย เพราะที่พวกเขายังให้ความสนใจเพราะได้ยินหรือได้เห็นว่าหวังหลินผ่านสี่ด่านแรกไปอย่างรวดเร็ว!
ถ้าไม่มีเรื่องแบบนั้น นี่ก็แค่การผ่านระดับห้า แม้จะดูน่าตกตะลึงแต่ก็ไม่ได้รับความสนใจมากนัก
หวังหลินทะยานร่างออกมาจากแสงสีทองในระดับห้า เขาสงบนิ่งและไม่มองลงไปแต่หันเข้าหาระดับหกแทน ดวงตาเปล่งประกายและพุ่งไปต่อโดยไม่ลังเล
เหล่าผู้สูงส่งด้านล่างเห็นเหตุการณ์และเพ่งสมาธิไปที่หวังหลิน
“เขาจะลองผ่านระดับหกจริง ข้าเองก็หยุดอยู่ระดับหก เขาใช้เวลาไปกับระดับห้ามากเกินไปและนานกว่าของข้าอีก หากข้าผ่านระดับหกไม่ได้ เขาก็ต้องล้มเหลวแน่นอน!”
“ผู้สูงส่งชั้นฟ้าผมขาวไม่ได้กลับไปหรือ?”
“ตำหนักระดับหก นี่ค่อนข้างน่าสนใจขึ้นมาหน่อย หากเขาผ่านได้ ก็คู่ควรที่จะคบเป็นสหาย”
แทบไม่มีใครเชื่อว่าหวังหลินจะผ่านระดับหกไปได้ เพราะเขาใช้เวลาไปกับระดับห้ามากเกินไปกว่าปกติ ซึ่งไม่มีอะไรต้องให้ตกตะลึง
ผู้สูงส่งชั้นฟ้าบางส่วนไม่ได้ลืมตามองแสงสีทองจากระดับห้า แต่พวกเขาลืมตามองระดับหก
ผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลินได้ลืมตาและกำลังจะเข้าไปใกล้ กระนั้นมีแสงสีทองแพรวพราวออกมาจากสายตา!
พอแสงสีทองโผล่ออกมา สีหน้าท่าทางของผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลินถึงกับเคร่งเครียด
เขาไม่ใช่คนเดียวที่สายตาเปล่งประกาย ด้านนอกตำหนักระดับแรก ผู้สูงส่งชั้นฟ้าทุกคนที่นี่มีแสงสีทองโผล่ขึ้นมา!!
แสงสีทองนี้ไม่ได้ออกมาจากร่างกาย แต่เป็นแสงสะท้อนจากตำหนักระดับหก!
ตำหนักระดับหกปลดปล่อยแสงสีทองอันน่าตกตะลึงซึ่งหวังหลินเข้าไปเพียงไม่ถึงเจ็ดลมหายใจ แสงได้ผสานกับแสงจากระดับห้า เกิดเป็นความรุ่งโรจน์จากในอดีต!
“นี่…นี่มัน…” ผู้สูงส่งชั้นฟ้าบางส่วนพลันยืนขึ้นด้วยแววตาตกตะลึง
“เขาผ่านด่านที่หก!! ทั้งยังแค่เจ็ดลมหายใจ!!”
“เมื่อหลายสิบปีก่อน เขาผ่านสี่ระดับแรกไปได้ ตอนนี้เขาผ่านระดับห้าและระดับหก ระดับบ่มเพาะของเขาไม่ธรรมดาแน่นอน!”
“การสามารถผ่านระดับหกไปได้หมายความว่าเขาสามารถผสานวิชาได้อย่างน้อยห้าสิบวิชาในร่างกาย ทั้งเผ่าเทพมีผู้สูงส่งชั้นฟ้าไม่ถึงสี่ร้อยคนที่ทำแบบนี้ได้!”
ผู้สูงส่งชั้นฟ้าด้านล่างต่างก็มีท่าทีเคร่งขรึมและมองไปบนท้องฟ้า แม้แต่คนที่หลับตาก่อนหน้านี้และคิดว่าไม่คู่ควรให้ใส่ใจยังลืมตามองร่างที่กำลังพุ่งออกมาจากแสงในระดับหก
คนที่สามารถผ่านระดับหกถือว่าเป็นคนแข็งแกร่งท่ามกลางเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้า!
ผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลินจ้องมองร่างหวังหลินและมีท่าทีเคร่งขรึม หวังหลินตอนนี้ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคนที่เขาไม่สนใจในครั้งแรกแต่จากนั้นก็ผ่านสี่ระดับแรกได้ในครั้งเดียวจนทำให้สนใจขึ้นมา
“ระดับเจ็ด เขากำลังจะลองผ่านตำหนักระดับเจ็ด!!”
“เขากำลังจะลองระดับเจ็ด มีไม่ถึงสองร้อยคนที่ผ่านระดับเจ็ดได้! แม้จะผ่านระดับหกไปได้ง่ายๆ แต่ระดับเจ็ดไม่ใช่เรื่องง่ายแบบนั้น!”
“บางที…เขาอาจจะผ่านได้จริงๆ!” ผู้สูงส่งชั้นฟ้าด้านล่างมองหวังหลินที่ไม่ได้ลอยลงมาแต่ตรงเข้าสู่ระดับเจ็ดแทน
ร่างหวังหลินกำลังถูกสายตาเกือบทุกคู่ด้านล่างจ้องมอง บางส่วนเต็มไปด้วยความคาดหวัง สงสัยและกระทั่งดูถูก เห็นได้ชัดว่าถึงแม้หวังหลินจะแข็งแกร่งจนผ่านระดับหกไปได้ มีอีกหลายคนที่คิดว่าหวังหลินจะผ่านระดับเจ็ดได้ยากมาก!
ผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลินไม่บ่มเพาะอีกต่อไปแต่จ้องมองร่างหวังหลินหายเข้าไปในตำหนักระดับเจ็ด ตอนนี้สีหน้าท่าทางของเขาเคร่งเครียด หากหวังหลินสามารถผ่านระดับเจ็ดได้ นั่นหมายความว่าหวังหลินอยู่ระดับเดียวกันกับเขา เขาซึ่งเป็นพยานรู้เห็นเซียนคนหนึ่งได้ทดสอบชั้นฟ้าถึงสองครั้ง แล้วจะไม่ให้ความสนใจได้อย่างไร?
พอหวังหลินเข้าไปในด่านที่เจ็ด เหล่าเซียนรอบด้านทั้งหมดต่างเงียบสนิทและมองขึ้นไปด้านบนจนหมด
หนึ่งลมหายใจ สองลมหายใจ สามลมหายใจ สี่ลมหายใจ ห้าลมหายใจ…หลังจากผ่านไปห้าลมหายใจ ผู้สูงส่งชั้นฟ้าหลายคนต่างก็อุทานออกมาด้วยความไม่เชื่อ!!
ตำหนักด่านที่เจ็ดในท้องฟ้าส่องประกายเจิดจ้าเพียงแค่ผ่านไปห้าลมหายใจ แสงสีทองเชื่อมต่อกับแสงจากด่านที่ห้าและด่านที่หก ราวกับดวงตะวันที่ส่องประกายอย่างเจิดจ้าบนบททดสอบชั้นฟ้าแห่งนี้!
ร่างผมสีขาวก้าวเดินออกมาจากด่านที่เจ็ดจนดูเหมือนเป็นร่างสีทอง กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาถึงกับทำให้ผู้สูงส่งชั้นฟ้าบางส่วนต้องลืมหายใจ!
“เขา…เขาผ่านด่านที่เจ็ดไปแล้ว…”
“ห้าลมหายใจ นี่เร็วยิ่งกว่าด่านที่หกเสียอีก! ต้องมีพลังต่อสู้แบบไหนถึงผ่านด่านที่เจ็ดไปได้? ชื่อเสียงของเขาจะสั่นสะท้านไปทั่วเผ่าเทพในช่วงเวลาอันสั้น!!”
“ผ่านด่านที่เจ็ดได้ในห้าลมหายใจ…ข้าไม่เคยได้ยินความเร็วระดับนี้มาก่อน…” จิตใจของเซียนนับร้อยด้านล่างกำลังสั่นเทาและไม่เกิดความดูถูกอีกต่อไป ในสายตาแต่ละคนเกิดความเคารพขึ้นมาแทนที่
บางคนที่หยุดอยู่ในตำหนักระดับสี่หรือระดับห้าต่างก็มองหวังหลินด้วยสายตาซับซ้อนอธิบายไม่ถูก
ช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่งและความอ่อนแอช่างกว้างเกินไป คนที่สามารถผ่านระดับเจ็ดไปได้ก็จะได้รับการเคารพจากผู้สูงส่งชั้นฟ้า! ตัวอย่างก็เช่นผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลิน ถึงแม้จะเป็นคนโอหัง เมื่อใดที่เขาพยายามทดสอบชั้นฟ้า ทุกคนก็จะให้ความสนใจ
‘ตำหนักระดับเจ็ด…’ ผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลินขบคิดอย่างเงียบๆ เขาไม่คิดว่าหวังหลินจะแข็งแกร่งขนาดนั้น
‘เขาจะลองระดับแปดหรือไม่…ตำหนักระดับแปดนั้นยากมาก!’
หวังหลินยืนอยู่ในแสงสีทองจากตำหนักระดับเจ็ดและสงบนิ่งมาก ในตำหนักนี้เขาได้ใช้ร่างแก่นแท้สายฟ้าและร่างแก่นแท้ห้าธาตุ เพียงแค่สองร่างก็สามารถทำให้เขาผ่านตำหนักระดับเจ็ดไปได้จากข้อได้เปรียบมหาศาล
‘ยิ่งข้าไปสูง ยิ่งยากขึ้นไปอีก ข้าสงสัยว่าจะผ่านตำหนักระดับแปดไปได้หรือไม่…’ หวังหลินมองตำหนักระดับแปดและทะยานเข้าไป!
หวังหลินไม่สนใจการกระทำของคนอื่น เขาไม่รู้ว่าตัวเองได้ก่อให้เกิดคลื่นพายุลูกใหญ่ด้านล่าง!
“ตำหนักระดับแปด…เขากำลังจะลองระดับแปด!!”
“ช่างเป็นคนที่โอหังอะไรขนาดนั้น ผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลินยังล้มเหลวในระดับแปด เขา…อาห์ ข้าเดาไม่ถูกเลย!”
“ในเผ่าเทพมีไม่ถึงร้อยห้าสิบคนที่สามารถผ่านระดับแปดได้ และยิ่งใช้เวลามากยิ่งทำให้ยากขึ้นไปอีก เมื่อมีใครสักคนผ่านได้ มหาชั้นฟ้าทั้งหมดจะต้องรับทราบแน่นอน!” ตอนนี้เหล่าเซียนเกือบทั้งหมดต่างก็ลุกขึ้นยืนแล้ว การผ่านระดับห้า หกและเจ็ดก็มากพอให้เกิดเรื่องใหญ่โตได้แล้ว
ผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลินยืนขึ้นและจ้องมองตำหนักระดับแปดไม่วางตา เขาพยายามผ่านระดับแปดอยู่หลายครั้งแต่ก็ล้มเหลว ตอนนี้มีคนอื่นลองที่ระดับแปด เขาจึงทะยานขึ้นสู่อากาศเพื่อเฝ้าดู
‘ตำหนักระดับแปด เขา…จะผ่านได้หรือไม่?’
ความคิดของคนด้านล่างผ่านไปอย่างช้าๆ แต่หลังจากผ่านไปเพียงแค่สามลมหายใจ แสงสีทองได้ระเบิดออกมาจากตำหนักระดับแปด แสงระเบิดนี้ได้ทำให้ทุกคนตกตะลึงทันที
แสงสีทองจากตำหนักระดับแปดไม่ได้เปล่งประกายมาหลายปี ตอนนี้แสงสีทองได้ผสานกับแสงด้านล่างและปกคลุมทุกคนในแสงสีทองจนกว้างไกลสุดสายตา
‘เขาผ่านตำหนักระดับแปด…’ ผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลินถึงกับหน้าซีดและเต็มไปด้วยสายตาตกตะลึง เขาพยายามลองอยู่หลายครั้งแต่ก็ล้มเหลวเสมอ ตอนนี้ได้เห็นคนผ่านมันในเวลาเพียงแค่สามลมหายใจด้วยตาตัวเอง!
เหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้านับร้อยถูกแสงสีทองห่อหุ้มจนลืมคิดไปชั่วจังหวะ แต่ละคนต่างก็มองหวังหลินในท้องฟ้าอย่างเงียบๆ
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาปลุกผู้สูงส่งชั้นฟ้าให้ตื่นจากอาการตกใจ “ช่างยอดเยี่ยม ท่านมีชื่อว่าอะไร!” บางคนรู้จักชื่อหวังหลิน แต่ส่วนใหญ่รู้แต่เพียงว่าเขาคือผู้สูงส่งชั้นฟ้าผมขาวเท่านั้น!
หวังหลินมองลงมาจากตำหนักระดับแปดและเอ่ยขึ้น “หวังหลิน!”
หลังจากพูดออกมา สายตาพลันมองไปที่ตำหนักระดับเก้าซึ่งพร่าเลือนอยู่ในก้อนเมฆ!
การผ่านตำหนักระดับเก้าหมายถึงการเป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้าระดับสูงสุด!
การผ่านตำหนักระดับเก้าหมายถึงเขาจะกลายเป็นคนมีชื่อเสียงไปทั่วเผ่าเทพ!
การผ่านตำหนักระดับเก้าหมายถึงเขาได้เข้าใกล้ผู้สูงส่งชั้นเทวะไปอีกก้าว!
เวลาที่หวังหลินอยู่ในแผ่นดินเซียนดาราไม่ได้ยาวนาน กว่าที่เขาจะมาถึงจุดนี้ได้ต้องใช้เวลาหลายร้อยปี หวังหลินไม่ได้ตื่นเต้นและสงบนิ่งเหมือนเดิม
ภายใต้สายตาของผู้สูงส่งชั้นฟ้าด้านล่าง หวังหลินได้ทะยานเข้าหาตำหนักระดับเก้าที่ไม่เคยได้ส่องแสงออกมาหลายหมื่นปี
………………………………………
ตอนที่ 1953 เจิดจรัส! (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ สำนักต้าวยี่ แผ่นดินทิศใต้
สำนักต้าวยี่ถือเป็นสำนักอันดับหนึ่งในแผ่นดินทิศใต้ ทั้งยังมีชื่อเสียงไปทั่วเผ่าเทพ เนื่องจากมหาชั้นฟ้าต้าวยี่มาจากสำนักแห่งนี้!
ด้านหลังภูเขามีน้ำตกไหลผ่านจนกลายเป็นเสียงน้ำไหลกระทบผิวน้ำด้านล่าง ถัดจากน้ำตกมีบ่อน้ำบ่อหนึ่งและมีชายหนุ่มชุดคลุมเต๋ากำลังนั่งอยู่อย่างเงียบๆ เขาถือกิ่งไม้แห้งในมือและเหวี่ยงไปบนบ่อน้ำราวกับกำลังตกปลา
ทันทีที่หวังหลินผ่านตำหนักระดับแปด ชายหนุ่มชุดคลุมเต๋าถึงลืมตาขึ้นมา เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามเบื้องบนด้วยความสงบนิ่ง
‘ผ่านตำหนักระดับแปดแล้ว…’ ชายหนุ่มชุดคลุมเต๋ายิ้มขึ้น เขาขยับกิ่งไม้ในมือและเกิดเป็นระลอกขึ้นในบ่อน้ำ ภาพเหตุการณ์บททดสอบชั้นฟ้าปรากฏออกมา
ทางด้านแผ่นดินทิศเหนือที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะตลอดทั้งปี สายลมของที่นี่ทำให้หิมะปลิวไสวราวกับเสียงภูติผีกำลังร่ำร้อง อาจทำให้จิตใจเซียนส่วนใหญ่ที่เข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรกต้องสั่นเทา
ภายในเทือกเขาแห่งหนึ่งทางทิศเหนือสุดเขตแผ่นดิน ภูเขาลูกนี้คือเทือกเขาน้ำแข็งขนาดยักษ์ที่ไม่ละลายมาหลายหมื่นปี มันมีรูปทรงไม่เป็นระเบียบและดูเหมือนกระบี่หันปลายขึ้นสู่ท้องฟ้า น้ำแข็งส่องประกายอยู่ใต้แสงตะวันและเปล่งกลิ่นอายเย็นยะเยือก
ที่แห่งนี้คือถ้ำของมหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงแห่งแผ่นดินทิศเหนือ
ภายใต้ธารน้ำแข็งมีชายวัยกลางคนหัวล้านตัวสูงโปร่ง แสงอาทิตย์สาดไปบนธารน้ำแข็งและเกิดภาพมายาสะท้อนออกมา แสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบททดสอบชั้นฟ้า
เซียนหัวล้านตัวสูงโปร่งมีท่าทีสงบนิ่งและมองร่างคนผู้หนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปยังตำหนักระดับเก้า ดวงตาเขาพลันเปล่งแสงเป็นประกาย
เมื่อมีเซียนคนหนึ่งได้ผ่านตำหนักระดับแปดไป เหล่ามหาชั้นฟ้าจะรับทราบ ยามนี้บนภูเขาจักรพรรดิที่อยู่ห่างออกไปไกลบนแคว้นกลาง สตรีงดงามผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ท่ามกลางใบไม้แห้งที่กำลังร่วงหล่น ใบไม้หนึ่งในนั้นไม่เคลื่อนไหวและเผยภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบททดสอบชั้นฟ้า
ด้านข้างสตรีงดงามเป็นชายชรา เขาดูขี้เกียจราวกับไม่มีเรี่ยวแรง เพียงแค่กวาดสายตาดูยังคล้ายกับไร้จิตวิญญาณ ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบททดสอบชั้นฟ้าไม่ได้ทำให้เขาสนใจมากนัก
สตรีงดงามมองใบไม้แห้งเบื้องหน้าและเอ่ยขึ้นเบาๆ “อาจารย์ หากเขาผ่านตำหนักระดับเก้า ท่านจะเชิญชวนเขาหรือไม่?”
ชายชราด้านข้างลืมตาขึ้นมาและกวาดสายตาผ่านใบไม้นั้นไป
“หากอาจารย์เชิญชวนทุกคนที่ผ่านด่านระดับเก้า ภูเขาจักรพรรดิจะไม่เสียงดังไปหรอกหรือ? ตำหนักระดับเก้านั้นถือว่ามากพอให้ต้าวยี่และหวู่เฟิงสนใจเพราะพวกนั้นกลายเป็นมหาชั้นฟ้ารุ่นหลังและกระหายในการขยายอำนาจ พวกนั้นยังต้องหาคนมาคุ้มกันในช่วงการเกิดใหม่ด้วย”
“แต่สำหรับอาจารย์ การผ่านด่านระดับเก้าก็เหมือนมดไต่บนพื้นดิน แค่มดตัวเดียวที่ใหญ่กว่าตัวอื่นแล้วอย่างไร? หากเขาสามารถผ่านตำหนักระดับสิบห้าได้เหมือนหมิงต้าว คงทำให้อาจารย์คิดเรื่องเชิญชวนเขาได้บ้าง” ชายชราเอ่ยขึ้น
นางขบคิดและกัดริมฝีปาก มองดูใบไม้แห้งและไม่กล่าวอะไร
รวมไปถึงในเมืองหลวงของแคว้นกลาง มีพระราชวังอันหรูหราซึ่งไม่มีใครอยู่ในนั้นแต่มีม่านวารีที่เผยฉากเหตุการณ์หวังหลินทดสอบชั้นฟ้าอย่างชัดเจน
ทางด้านแผ่นดินทิศตะวันออก สำนักอันดับหนึ่งในเหล่าเก้าสำนักสิบสามกองกำลัง สำนักตะวันม่วง
ในดินแดนต้องห้ามของสำนักตะวันม่วง ในห้องหินมีชายวัยกลางคนกำลังมองดูกระจกบานยักษ์ที่เผยเหตุการณ์ในบททดสอบชั้นฟ้า ทว่ามีแสงสีทองเต็มไปทั่วกระจกและร่างนั้นก็พร่าเลือน
ด้านข้างชายวัยกลางคนเป็นเด็กหญิงสองคน คนหนึ่งสวมชุดสีแดง อีกคนสวมชุดสีม่วง ทั้งคู่อายุราวๆ เจ็ดถึงแปดขวบเท่านั้น หน้าตาดูราวกับตุ๊กตาหินหยกอันละเอียดอ่อน สายตาทั้งสองเปล่งประกายเจิดจ้าทั้งยังดูน่ารัก ยามนี้เด็กสาวชุดแดงเอามือหนึ่งเชิดคางพร้อมกับเล่นผมตัวเองไปด้วยและมองดูกระจก แต่ความจริงนางกำลังคิดว่าจะออกไปเล่นได้อย่างไร นางมองดูหญิงสาวชุดม่วงและทั้งสองก็กะพริบตาให้กัน
ด้านข้างเด็กสาวชุดม่วงมีเซียนอีกคน เซียนผู้นี้มีใบหน้าขมขื่นและถูกโซ่ล่ามคอเอาไว้ ดูเหมือนสองตาคล้ายกับจะมีน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย ซึ่งมาจากป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเป็นเวลาหลายปีและเขาก็ตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่
“เอ๋เจ้าสุนัขน้อย ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นเล่า? ทำตัวดีดี ห้ามไม่เชื่อฟังนะ” เด็กสาวชุดม่วงมองดูเซียนที่มีท่าทีขมขื่นและยกแขนขึ้นมาลูบหัวอีกฝ่าย การลูบแต่ละครั้งทำให้เซียนคนนั้นก้มหัวเล็กน้อยและยิ่งมีน้ำตาขึ้นทุกขณะ
“บรรพชนน้อยทั้งสอง อาาา…อย่าคิดออกไปเล่นตลอดเวลาสิ…ดูคนผู้นี้ ข้าได้หาข้อมูลเขามาก่อน เขาก็มาจากแผ่นดินตะวันออก ไม่ว่าเขาจะผ่านตำหนักระดับเก้าได้หรือไม่ เขาก็ต้องถูกชักชวน” ชายวัยกลางคนพูดขึ้นเบาๆ พลางมองสาวน้อยทั้งสองด้วยความขมขื่น
“ได้ เจ้าก็จัดการเอาเองเลย ฮานฮาน เจ้าต้องสั่งสอนเจ้าสุนัขน้อยที่ไม่เชื่อฟังตัวนี้ดีดี เราควรโยนมันเข้าไปในบ่อน้ำเก้าหยินเหมือนครั้งที่แล้วที่ไม่เชื่อฟัง หลังจากผ่านไปไม่กี่วันเขาก็จะจงรักภักดีและจะพบว่าเล่นกับเราสนุกที่สุดแล้ว” สาวน้อยชุดแดงยิ้มออกมาให้กับชายวัยกลางคนแต่เดินไปข้างเซียนที่ดูขมขื่น นางตบศีรษะเซียนคนนั้นอย่างรุนแรง
ชายวัยกลางคนมองดูเรื่องนี้ด้วยความตกตะลึงและยิ้มอย่างขมขื่น เขาลุกขึ้นและโค้งคำนับให้แก่สาวน้อยทั้งสองคนที่กำลังเล่นอยู่รอบๆ ท่าทีเขากำลังเคร่งเครียดมาก
“มหาชั้นฟ้าชวงจื่อ!!”
สาวน้อยทั้งสองยังคงลูบศีรษะเซียนที่ตั้งชื่อว่าสุนัขน้อย ในที่สุดน้ำตาของเซียนผู้นั้นก็เริ่มไหลออกมา
“อา วาวา เขากำลังร้องไห้ใช่หรือไม่?”
“เขากำลังแกล้ง สุนัขน้อยนี่ไม่เชื่อฟัง ต้องแกล้งอยู่แน่ๆ!”
ชายวัยกลางคนรู้สึกจะเป็นบ้าตามกันไปและร้องคำรามใส่สาวน้อยทั้งสองคน “มหาชั้นฟ้าชวงจื่อ!!!” น้ำเสียงตะโกนดุจสายฟ้าและทำให้บริเวณโดยรอบสั่นสะเทือน ในที่สุดสาวน้อยทั้งสองก็หันกลับมามองเขา
“กุ้ยหยาน้อย เจ้ากำลังทำตัวไม่เชื่อฟังด้วยหรือ?” สาวน้อยวาวาถึงกับขมวดคิ้วและมองมาที่ชายวัยกลางคน
ชายวัยกลางคนเมินเฉยนางพลางสูดหายใจลึกและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “มหาชั้นฟ้าชวงจื่อ คนผู้นี้เราจะต้องเชิญชวนเขา!”
“เช่นนั้นก็ไปสิ เจ้าไปพาเขากลับมาและให้เราได้เจอเขา” สาวน้อยฮานฮานสะบัดแขนคว้าเซียนชื่อสุนัขน้อย จากนั้นหายเข้าไปในห้องหินพร้อมกับสาวน้อยอีกคน
ชายวัยกลางคนถูกทิ้งไว้ตรงนั้น จับผมของตัวเองอย่างรุนแรงและยิ้มอย่างขมขื่น
ขณะที่แสงสีทองส่องประกายออกมาจากตำหนักระดับแปดในบททดสอบชั้นฟ้า หวังหลินทะยานเข้าหาตำหนักระดับเก้าภายใต้สายตาของเซียนทั้งหมดด้านล่าง ต่อจากนั้นเขาก็ก้าวเข้าไปในอาณาเขตระดับเก้าโดยไม่ลังเล
วินาทีนั้นเซียนทั้งหมดต่างก็กุมลมหายใจตัวเอง สายตาจ้องมองตำหนักระดับเก้า!
‘ตำหนักระดับเจ็ดมีดาวเคราะห์ 63 ดวงแต่ระดับแปดมีถึง 81 ดวง! ตำหนักระดับเก้าถือว่าเป็นจุดสูงสุดของขั้นผู้สูงส่งชั้นเทวะระดับสูงสุดและอาจจะมีถึง 99 ดวง!’ หวังหลินก้าวเข้าไปในระดับเก้าและจ้องมองดาราจักรเบื้องหน้า
ในดาราจักรดวงดาว ดาวเคราะห์ 99 ดวงพลันเปลี่ยนวิถีการโคจรและทะยานเข้าหาหวังหลิน มีเก้าดวงที่เรืองแสงสีทองเจิดจ้า
หวังหลินหรี่ตาแคบและใช้ร่างแก่นแท้ห้าธาตุและร่างแก่นแท้สายฟ้าโดยไม่ลังเล แต่ยังใช้แก่นแท้นามธรรมทั้งสามด้วย เขาสามารถผสานวิชาเข้าไปในร่างได้ถึง 23 วิชา ซึ่งพอใช้ร่างแก่นแท้และแก่นแท้นามธรรมจึงทำให้มีได้ทั้งหมดตอนนี้ 92 วิชา!
นี่คือขีดจำกัดของหวังหลินก่อนจะสวมเกราะวิญญาณ เพียงแค่กำปั้นเดียวก็มีถึง 92 วิชาอยู่ในนั้น ทำให้เขาเข้าใกล้ผู้สูงส่งชั้นเทวะได้มากยิ่งขึ้น
หวังหลินยกแขนขวา ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า ความเจ็บปวดรุนแรงผุดออกมาจากแขนขวาพลางเปลี่ยนเป็นดาบหยินให้เขาฟาดฟันใส่ดาวเคราะห์ 99 ดวงด้วยท่วงท่าที่เรียบง่ายที่สุด!
การฟาดฟันนี้ได้สร้างร่างเงาดาบ 92 ร่างและผสานกันกลายเป็นร่างเงาเดียวก่อนจะผ่านเข้าใส่ดาราจักร
เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องขึ้นไปทั่ว ดาวเคราะห์ 92 ดวงจาก 99 ดวงพลันเกิดการระเบิด ก่อนที่พวกมันจะแตกสลายไปได้อย่างสมบูรณ์มีร่างเงาสองร่างทับซ้อนกับร่างหวังหลิน จากนั้นร่างแก่นแท้ห้าธาตุและร่างแก่นแท้สายฟ้าได้ก้าวเดินออกมา พวกมันทะยานเข้าดาวเคราะห์สีทองที่เหลืออยู่เจ็ดดวง
ร่างแก่นแท้ห้าธาตุเกิดกะพริบวูบวาบและแยกเป็นร่างแก่นแท้วารี ร่างแก่นแท้เพลิงและร่างแก่นแท้ปฐพี แต่ละร่างพุ่งเข้าหาดาวเคราะห์แต่ละดวง ไม่ไกลกันนั้นร่างแก่นแท้สายฟ้าของหวังหลินได้ปลดปล่อยเสียงคำรามทรงพลังเข้าห่อหุ้มดาวเคราะห์ที่เหลืออีกสี่ดวง สายฟ้าทำลายล้างกระทบเข้าใส่ดาวเคราะห์สี่ดวง ต่อจากนั้นพวกมันก็เกิดการพังทลาย
แม้จะมีช่องว่างระหว่างการทำลายล้างดาวเคราะห์ 99 ดวง หวังหลินก็ทำอย่างดีที่สุดเพื่อลดช่องว่างดังกล่าว มองไกลๆ ราวกับดาวเคราะห์ 99 ดวงได้ระเบิดไปพร้อมกัน
วินาทีที่พวกมันเกิดการระเบิด แสงสีทองแผ่กระจายออกมาดุจคลื่นแสงสาดส่อง!
ตำหนักระดับเก้าที่ไม่ส่องประกายมานานหลายปีถึงกับเกิดการระเบิดเป็นแสงสีทองให้เซียนด้านล่างตกตะลึงและไม่เชื่อสายตาตัวเอง!!
“เขาผ่านตำหนักระดับเก้า!! หลังจากวันนี้ไปชื่อเสียงของหวังหลินต้องดังกระจายไปทั่วห้าแผ่นดินใหญ่อย่างแน่นอน!”
“ตำหนักระดับเก้า…ตำหนักระดับเก้า!! การผ่านตำหนักระดับเก้านั่นหมายความว่าเป็นจุดสูงสุดของผู้สูงส่งชั้นฟ้าและห่างจากผู้สูงส่งชั้นเทวะเพียงแค่ขั้นเดียว เป็นไปได้ว่าวันนี้ข้าจะได้เห็นผู้สูงส่งชั้นเทวะคนที่ 49 ถือกำเนิด?!”
“ข้ากลัวว่าเหล่ามหาชั้นฟ้าทั้งหมดกำลังมองดูที่นี่อยู่ด้วย!!”
เหล่าเซียนด้านล่างทั้งหมดต่างก็อ้าปากค้าง ผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลินถึงกับก้มศีรษะด้วยความขมขื่น
“สหายเซียนหวังหลิน ยินดีด้วยที่ผ่านระดับเก้าไปได้!” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มพูดประโยคนี้ก่อน แต่เซียนทั้งหมดด้านล่างต่างก็คำนับฝ่ามือไปยังท้องฟ้า
………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น