Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1948-1951
ตอนที่ 1948 บ่อน้ำตงหลิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังหลินพลันลืมตาแดงก่ำ เสื้อผ้าชุ่มไปด้วยเหงื่และใบหน้าซีดเผือด ราวกับเขาไร้เรี่ยวแรงและมีความรู้สึกอ่อนแรงกระจายไปทั่วร่าง
“นายท่าน!” หลิวจินเปียวรีบเดินเข้าไปหา สายตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและกังวล
“ข้าหลับตาไปนานแค่ไหน?” หวังหลินหายใจถี่ ราวกับการหายใจเป็นเรื่องยากลำบาก ผ่านไปสักพักจึงยกแขนขึ้นมาเป็นสัญญาณว่ายังคงสบายดี
หลิวจินเปียวลังเลชั่วขณะและพูดความจริง “ท่าน…ท่านเพิ่งหลับตาไปและดูเหมือนไร้ตัวตน ข้าหันกลับมาหาท่านและจากนั้น…ท่านก็ตื่น…”
“พริบตาเดียว?” หวังหลินตกตะลึง เขาใช้เต๋าแห่งความฝันหลายครั้งและมักจะจมดิ่งไปเป็นเวลานาน ไม่เคยแค่พริบตาเดียวมาก่อน เขามองหลิวจินเปียวและขบคิดเงียบๆ
ภาพเลือนลางจากเต๋าแห่งความฝันปรากฏขึ้นในใจ เขาไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายได้และได้แต่โครงร่างเท่านั้น…หวังหลินนึกภาพคนที่ปรากฏขึ้นได้เลือนลาง…แต่พอคิดอย่างละเอียดมันก็ยิ่งเลือนลางราวกับเขาจำผิดไป
เขารู้สึกเหมือนมีคนเปลี่ยนแปลงความทรงจำของตัวเอง จิตใจจึงสั่นเทา
‘หากสิ่งที่ข้าเห็นในเต๋าแห่งความฝันเป็นเรื่องจริง เช่นนั้น…เขาเป็นใคร…’ หวังหลินคิดเรื่องความเจ็บปวดและอาการไร้เรี่ยวแรงหลังจากตื่นขึ้นมา เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ทั้งยังสัมผัสได้ถึงภาพแห่งความตาย แม้แต่วิชาสามชีวิตก็ช่วยไม่ได้ หากเขาตายก็คงตายไปจริงๆ…
ผ่านไปสักพักหวังหลินค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา เขานั่งอยู่ตรงนั้นมองไปที่สำนักตงหลิน ดวงตาค่อยๆ เป็นประกาย
‘วันหนึ่ง ข้าจะรู้ความลับที่ซ่อนอยู่ข้างใน!’
หวังหลินมีแววตาส่องสว่างและก้าวเข้าสู่บ่อน้ำตงหลิน พอนั่งลงในบ่อน้ำที่ลึกถึงระดับเอว ความเย็นเยียบได้เข้าสู่ร่างหวังหลิน
หวังหลินสูดหายใจลึกและไม่คิดเรื่องความลับของสำนักตงหลินอีกต่อไป เขาเริ่มโคจรระดับบ่มเพาะและคล้ายกับผสานกับบ่อน้ำ
หวังหลินเคยพบเจอความรู้สึกแบบนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เขากำลังผสานมันจริงๆ หวังหลินพลันเข้าสู่สภาวะอันแปลกประหลาด
สภาวะนี้คล้ายกับสภาวะตอนที่เขาสร้างวิชาแยกราตรี แต่ตอนนี้เขาบังคับให้เข้าสภาวะนี้ด้วยการช่วยเหลือจากบ่อน้ำ
ในสภาวะนี้หวังหลินจมดิ่งไปในความรู้สึกสับสน คล้ายกับเวลาได้ผ่านไปอย่างยาวนาน หรือบางทีอาจจะเพียงแค่ชั่วครู่เดียว
หวังหลินลืมตาและเกิดความสงสัยอยู่ภายใน เขาฟื้นคืนในจังหวะต่อมาและมองบ่อน้ำด้านล่างซึ่งน้ำหายไปถึงสามในสิบส่วน
หลิวจินเปียวเอ่ยขึ้นมาก่อนที่หวังหลินจะถามขึ้น “นายท่าน เวลาเพิ่งจะผ่านไปสามลมหายใจตั้งแต่ท่านหลับตาจนถึงตื่นเมื่อครู่”
หวังหลินพยักหน้า
‘ล้มเหลว…ข้าคงอยู่ในสภาวะนั้นเพียงสามลมหายใจแต่ไม่ได้อะไรเลย…’ หวังหลินขมวดคิ้ว เขารู้สึกเบาบางว่าแก่นแท้หลายอย่างในร่างแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่มากมายอะไรนัก
‘บรรพชนสำนักตงหลินได้บอกว่าบ่อน้ำตงหลินเกี่ยวข้องกับเซียนต่างแดนที่ถูกผนึกที่นี่ มีโอกาสที่จะรู้แจ้งแก่นแท้พิเศษที่เซียนต่างแดนคนนั้นมี…’
‘ข้ายังไม่ได้เห็นเลยว่าเขามีแก่นแท้อะไรและล้มเหลวไปแล้วในครั้งแรก…บรรพชนสำนักตงหลินได้บอกว่ามีโอกาสแค่สองครั้งเท่านั้นและครั้งที่สามจะตาย…ทำไมถึงตาย? หากข้ารู้เหตุผล บางทีข้าอาจลองได้อีกหลายครั้ง…’ หวังหลินขบคิดพลางนั่งอยู่ในบ่อน้ำและหลับตาอีกครั้ง
จังหวะที่เขาหลับตา หวังหลินเข้าสู่สภาวะแปลกประหลาดอีกครั้ง คราวนี้เขาดูเหมือนเข้าสู่สภาวะแห่งความสับสน ทุกสิ่งทุกอย่างพร่าเลือนแม้แต่จิตใจก็ยังสับสน
หวังหลินสัมผัสเลือนลางว่ามีพลังประหลาดเข้าสู่ร่างกาย แต่เขาสัมผัสได้อย่างเดียวและไม่มีโอกาสจับมันได้
หลังจากผ่านไปไม่รู้นานแค่ไหน หวังหลินที่กำลังสับสนพลันเห็นลำแสงในตาซ้ายของตัวเอง ลำแสงนี้เบาบางมาก หากไม่มองใกล้ๆ คงมองไม่เห็น แสงนี้ดึงดูดความสนใจของหวังหลินทันที แต่เขาเห็นแค่ในตาซ้ายเท่านั้น ทัศนวิสัยในตาขวายังคงพร่าเลือนและมองไม่เห็นอะไร
การเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาดนี้ทำให้จิตใจหวังหลินสั่นเทา แต่เขาก็ยังเพ่งสมาธิกับแสงในตาซ้าย
อย่างไรก็ตามแสงนี้อยู่ห่างไกลมาก ก่อนที่เขาจะคว้าจับมันได้ หวังหลินก็ตื่นจากสภาวะนั้นเสียก่อน
พอลืมตา หลิวจินเปียวพูดดังขึ้น
“นายท่าน ครั้งนี้ห้าลมหายใจ…”
หวังหลินมองไปยังท้องฟ้าไกลและขบคิดอยู่นาน แสงที่เขาเห็นในตาซ้ายยังคงอยู่ในจิตใจ
‘ตาซ้ายข้ามองเห็นแต่ตาขวามองไม่เห็น…บ่อน้ำตงหลินแห่งนี้ยากยิ่งกว่าที่ข้าจินตนาการเสียอีก’ หวังหลินมองบ่อน้ำ ตอนนี้เหลือน้ำไม่ถึงสามในสิบส่วนแล้ว
‘ข้าสงสัยว่าบ่อน้ำนี้จะปรากฏขึ้นอีกครั้งหรือไม่เมื่อข้าใช้ไปหมด…นอกจากนี้ข้าได้พยายามทำความเข้าใจไปสองครั้งและล้มเหลวทั้งสองครั้ง ในครั้งที่สาม ข้าสงสัยว่าจะเกิดอันตรายแบบใดขึ้นกันแน่’ หวังหลินขบคิดและสะบัดแขนขวา มังกรสมุทรทะยานออกมาล้อมตัวเขา มันหดตัวลงไปเยอะมาก
มังกรสมุทรปรากฏขึ้นและจ้องหลิวจินเปียวอย่างดุร้ายทันที มันร้องคำรามต่ำและดูภูมิใจมาก
หลิวจินเปียวตกตะลึง พอมองมังกรสมุทรเขาจึงอ้าปากค้าง ทว่าดวงตาเปลี่ยนไปและเผยรอยยิ้มบนมุมปาก ไม่รู้ว่าในใจเกิดความคิดอะไรอยู่
หวังหลินไม่ได้ให้ความสนใจทั้งคู่ เขาส่งข้อความไปให้มังกรสมุทรเพื่อสั่งการให้ดึงเขาออกมาหากมีอะไรผิดพลาด หวังหลินหลับตาและตั้งสมาธิตัวเองเข้าไปในสภาวะแปลกประหลาดเป็นครั้งที่สาม
พอหวังหลินเข้าสู่สภาวะประหลาด พลังประหลาดข้างในน้ำได้เข้าสู่ร่างกายเพื่อรวมกันเปลี่ยนเป็นเสียงคำรามดังกึกก้องในใจ
เสียงคำรามดังรุนแรง มีสัมผัสบ้าคลั่งและไม่ยินยอม!!
“เหลียนหยุนจื่อ เจ้ามันน่ารังเกียจ!” น้ำเสียงดังกึกก้องในใจหวังหลิน คล้ายกับมันเปลี่ยนเสียงคำรามเป็นเสียงฟ้าผ่าจนร่างกายเขาสั่นเทา หวังหลินรู้สึกว่าเสียงนี้กำลังให้จิตใจเขาพังทลาย
ด้วยการที่เสียงนี้เข้ามาแทรกแซง หวังหลินจึงไม่สามารถตั้งสมาธิตัวเองเข้าสู่สภาวะนี้และไม่สามารถทำความเข้าใจได้
วินาทีนั้นพลังรุนแรงโผล่ออกมาจากด้านนอก ราวกับกรงเล็บยักษ์ได้คว้าหวังหลินและดึงออกมาจากบ่อน้ำตงหลิน
หลังจากออกมาจากบ่อน้ำ เสียงในใจหวังหลินจึงหายไป หวังหลินลืมตามองบ่อน้ำ สีหน้าท่าทางเกิดความมืดมน
‘การทำความเข้าใจครั้งที่สามเป็นไปไม่ได้จริงๆ หากข้าไม่เตรียมการล่วงหน้าและไม่มีคำเตือนจากบรรพชนสำนักตงหลิน แม้มันจะไม่อันตราย การจะออกมาได้ตั้งใช้ความพยายามหลายส่วน’ หวังหลินขมวดคิ้วพลางมองดูน้ำที่เหลืออยู่เล็กน้อยและขบคิด
‘ทำไมครั้งแรกและครั้งที่สองถึงแตกต่างจากครั้งที่สาม…เสียงที่มาจากพลังลึกลับนั่นเข้าสู่ร่างกายข้าหลังจากโคจรเพียงครั้งเดียว…หรือจะเป็นกุญแจสำคัญ? พลังนี้ได้ตรวจสอบว่าข้าได้เข้าบ่อน้ำไปแล้วกี่ครั้งเช่นนั้นหรือ?’
‘แล้วมันตัดสินได้อย่างไรว่าข้าทำความเข้าใจไปกี่ครั้ง? และเหลียนหยุนจื่อนั่นก็แซ่เหลียน…หรือจะเป็นบรรพชนของเหลียนต้าวเฟย เป็นชื่อของบรรพชนเทพ?’ หวังหลินดวงตาเปล่งประกายและมองไปที่บ่อน้ำ ขณะที่กำลังครุ่นคิด น้ำในบ่อก็ค่อยๆ ผุดขึ้นมาจนน้ำที่หายไปฟื้นคืนมาทั้งหมด
“จินเปียว ลงไปลองดู” หวังหลินมั่นใจว่าเขาสามารถปกป้องหลิวจินเปียวได้แม้จะลงไปถึงสามครั้ง เขาบอกหลิวจินเปียวถึงอันตรายที่ต้องระมัดระวัง
หลิวจินเปียวก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ลังเลและนั่งลงในบ่อน้ำ
หลังจากผ่านไปสี่ลมหายใจ เขาลืมตาขึ้นด้วยความสับสน
“ข้าเห็นลำแสงสายหนึ่ง…” หลิวจินเปียวพึมพำและจากนั้นหลับตาอีกครั้ง คราวนี้ใช้เวลาห้าลมหายใจก็ลืมตาขึ้นมา ในสายตามีแสงกะพริบสดใส แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“ใกล้แสงนั้นมากแต่คว้าไม่ได้…” หลิวจินเปียวขบคิดเล็กน้อย จากนั้นหลับตาอีกครั้ง พยายามทำความเข้าใจครั้งที่สามตามคำสั่งของหวังหลิน
หวังหลินเฝ้าดูหลิวจินเปียวใกล้ๆ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า หนึ่งลมหายใจ สองลมหายใจ สามลมหายใจ…จนกระทั่งลมหายใจที่สิบ พอร่างของหลิวจินเปียวเริ่มสั่นเทาอย่างรุนแรง หวังหลินจึงดึงหลิวจินเปียวออกมาจากบ่อน้ำโดยไม่ลังเล
ดวงตาซ้ายของหลิวจินเปียวเปล่งประกายเจิดจ้า แม้แต่ตอนที่หวังหลินมองดูยังรู้สึกเหมือนเขากำลังมองดวงอาทิตย์
“ข้าสัมผัสกับแสงและมีเสียงดังกึกก้องในใจข้า บอกข้าถึงชื่อของแสง มันคือจุดเริ่มต้นแท้จริง…จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง…แต่ระดับบ่มเพาะของข้าไม่สูงส่งเพียงพอ ดังนั้นจึงเข้าใจเพียงเล็กน้อยและทนไม่ไหวอีก” หลิวจินเปียวสูดหายใจลึกและมองบ่อน้ำตงหลิน
“นายท่าน ข้ารู้สึกว่าเหตุผลที่ข้าสามารถทำความเข้าใจครั้งที่สามได้เป็นเพราะเต๋าแห่งการหลอกลวงของข้า ในเสี้ยววินาทีนั้นข้าหลอกตัวเองเพื่อบอกว่านี่เป็นครั้งแรกของข้า…การทำแบบนี้ข้าได้หลอกการค้นหาจากบ่อน้ำไปด้วย นับตั้งแต่ที่ข้าตื่นจากการเกิดใหม่ ข้าก็สามารถส่งเต๋าแห่งการหลอกลวงให้คนอื่นได้ นายท่านต้องการลองหรือไม่?” หลิวจินเปียวดูเหมือนเข้าใจบางอย่างและมองหวังหลิน
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและจากนั้นส่ายศีรษะ หวังหลินเข้าใจเต๋าแห่งการหลอกลวงและเข้าใจขึ้นอีกเล็กน้อยในเต๋าแห่งความฝัน เขารู้วิธีและด้วยระดับบ่มเพาะขนาดนี้จึงไม่จำเป็นต้องให้หลิวจินเปียวช่วย
หวังหลินก้าวครั้งเดียวจมตัวเองเข้าไปในบ่อน้ำเป็นครั้งที่สี่ เมื่อพลังประหลาดเข้าไปในร่าง หวังหลินจึงใช้เต๋าแห่งการหลอกลวงเพื่อหลอกสายน้ำและจมดิ่งตัวเองไปในสภาวะประหลาด
ไม่นานนักเขาก็เห็นแสงในตาซ้าย…แสงขยับเข้ามาใกล้เขาขึ้นเรื่อยๆ
ในใจหวังหลินมีเสียงพึมพำขึ้น “ข้าท่องผ่านในแต่ละโลกและเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นนับร้อยล้านครั้ง รู้แจ้งแก่นแท้แห่งจุดเริ่มต้นที่แท้จริง…”
ตอนที่ 1949 จุดเริ่มต้นและจุดจบ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เพียงมีเสียงดังกึกก้องในใจหวังหลิน แสงที่เขาเห็นในตาซ้ายยิ่งสว่างขึ้นเรื่อยๆ ราวกับทั้งร่างกายถูกห่อหุ้มด้วยแสงเจิดจ้า
ความรู้แจ้งที่มีต่อจุดเริ่มต้นแท้จริงค่อยๆ ผสานเข้ามาขณะที่หวังหลินถูกแสงนี้ห่อหุ้ม
มันไม่ใช่การสืบทอดแต่เป็นการแสดงแก่นแท้แห่งจุดเริ่มต้นแท้จริงอย่างสมบูรณ์เบื้องหน้าหวังหลิน คนผู้นี้จะได้อะไรในบ่อน้ำตงหลิน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับแต่ละคนเท่านั้น
บางทีคนจำนวนหนึ่งได้เห็นแสงในครั้งแรกก็เข้าใจจุดเริ่มต้นแท้จริงได้แล้ว บางทีหลังจากออกไป เมล็ดพันธุ์แห่งจุดเริ่มต้นที่แท้จริงก็จะปรากฏขึ้นในใจ
ส่วนคนแบบเดียวกับหวังหลินเป็นคนที่ไม่ได้อะไรเลยและแก่นแท้แข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
แต่บางคนอาจจะรู้แจ้งแก่นแท้แห่งจุดเริ่มต้นแท้จริงได้เพียงแค่สองครั้ง ซึ่งคงไม่ได้นำเมล็ดพันธุ์นั้นไปแต่แตกหน่อขึ้นมาใหม่
หวังหลินไม่รู้ว่าจะมีใครที่ได้แก่นแท้แห่งจุดเริ่มต้นแท้จริงไปได้สมบูรณ์หรือไม่ ตอนนี้เขาจมดิ่งอยู่ในสภาวะแปลกประหลาดคล้ายกับลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ดวงตาซ้ายพร่าเลือนแต่อยู่ในขั้นพิเศษของแก่นแท้จุดเริ่มต้นแท้จริง
หวังหลินลืมเลือนกาลเวลา พอเขาถูกบังคับให้ตื่นจากพลังในบ่อน้ำตงหลิน แสงในตาซ้ายคงอยู่เพียงแค่หนึ่งลมหายใจก่อนที่มันจะหายไป
‘ยังต้องการอีกนิด…’ ดวงตาหวังหลินเป็นประกายพลางหลับตาเพื่อรู้แจ้งบ่อน้ำเป็นครั้งที่ห้า
เขาตั้งสมาธิและใช้เต๋าแห่งการหลอกลวงเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของบ่อน้ำ คราวนี้หวังหลินได้เห็นแสงไร้ขอบเขตเบื้องหน้าดวงตาข้างซ้าย
“จุดเริ่มต้นแท้จริงถือกำเนิดจากความว่างเปล่า ในอดีตก่อนที่จะมีเหล่าเทพ เหล่าคนโบราณมองดวงอาทิตย์และเคารพบูชาเพื่อให้ได้ความร้อนจากมัน…”
“ทำให้พลังอำนาจแห่งจุดเริ่มต้นแท้จริงได้เกิดขึ้น พลังนี้ลึกลับมาก มันแสดงอำนาจในตอนที่เหล่าคนโบราณได้เทิดทูนดวงอาทิตย์เป็นครั้งแรกและเป็นตอนที่ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นในครั้งแรกด้วย…”
“พลังแห่งจุดเริ่มต้นแท้จริงค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปทีน้อย ขณะที่เวลาผ่านไปและมีคนลึกลับปรากฏขึ้นมา เส้นทางแห่งสวรรค์ก็เปลี่ยนไปจนกระทั่งกฎแห่งจุดเริ่มต้นแท้จริงปรากฏขึ้นมา”
“กฎแห่งจุดเริ่มต้นแท้จริงได้ทำให้ดวงตะวันมีขึ้นและตก แต่ขณะที่ข้าสังเกตมัน ข้าก็เข้าใจว่าการขึ้นลงของดวงอาทิตย์เกิดขึ้นจากจิตใจ เพราะจิตใจเคลื่อนไหว พื้นดินจึงเคลื่อนตาม ท้องฟ้าจึงเคลื่อนไปด้วย แม้แต่ดวงอาทิตย์ที่อยู่นิ่งยังเริ่มขยับขึ้นลง”
“ข้าทำความเข้าใจอย่างต่อเนื่องและเฝ้าดูดวงอาทิตย์ขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน ข้าจึงเข้าใจต้นกำเนิดของแสงตะวัน…”
“แก่นแท้แห่งจุดเริ่มต้นแท้จริงคือต้นตอของความร้อนจากแสงทั้งหมด…” หวังหลินจมความคิดเข้าไปในเสียงนี้ เขามองเห็นแสงในตาซ้ายที่ห่อหุ้มเขาอย่างชัดเจน ในแสงนั้นราวกับเขากำลังดูดวงอาทิตย์ขึ้นนับร้อยล้านครั้ง
ช่วงที่ดวงอาทิตย์ขึ้นหวังหลินได้สัมผัสถึงกลิ่นอายหนึ่ง กลิ่นอายนี้มีลักษณะตรงไปตรงมาและยึดถือในความถูกต้อง!
คนที่มีกลิ่นอายนี้จะต้องเป็นคนที่มีคุณธรรม อาจไม่ได้เป็นคนที่ทั้งโลกเชิดชูแต่เป็นคนที่มีชีวิตอยู่กับการตัดสินใจของตัวเอง!
ผ่านไปสักพักหวังหลินจึงลืมตาจากการทำความเข้าใจครั้งที่ห้า พอเขาลืมตา แสงในตาซ้ายคงอยู่ไปอีกหลายสิบลมหายใจก่อนจะค่อยๆ หายไป
พอหลิวจินเปียวเห็นแสงของหวังหลิน จิตใจจึงสั่นเทาจนไม่กล้ามองดู แม้แต่มังกรสมุทรก็ยังหลีกเลี่ยงแสงนั้น
ในสายตาหวังหลินนั้นมีโครงร่างของดวงอาทิตย์ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ แต่พอแสงหายไป โครงร่างไม่สามารถก่อเกิดเป็นรูปร่างได้
“ข้าคุ้นเคยกับจุดเริ่มต้นที่แท้จริง…ตอนที่ข้าสร้างวิชาแยกราตรีในโลกถ้ำ มันมีพลังของจุดเริ่มต้นที่แท้จริง…ตั้งแต่นั้นมาความเข้าใจของข้าก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นพอข้ามาถึงแผ่นดินเซียนดารา แยกราตรีของข้าจึงมีศรัทธา…”
“ข้าไม่คิดว่าจุดเริ่มต้นที่แท้จริงจะสร้างเป็นแก่นแท้ได้ด้วย…แก่นแท้คือสิ่งที่เจ้าเข้าใจอย่างลึกซึ้งจนถึงระดับที่เจ้ามองเห็นมันอย่างทะลุปรุโปร่งและใช้มันได้ง่ายดายเพียงแค่โบกสะบัดแขน…” หวังหลินพึมพำพลางจมความคิดตัวเองไปในบ่อน้ำตงหลินเป็นครั้งที่หก
ขณะที่เวลาผ่านไป หวังหลินจมดิ่งตัวเองไปในบ่อน้ำตงหลิน ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งทำให้เขาอยู่ข้างในได้นานมากขึ้น
พอถึงวันที่สอง ขณะที่ท้องฟ้ายังมืดครึ้มก่อนเริ่มวันใหม่ หวังหลินพลันลืมตาในบ่อน้ำตงหลิน ดวงตาปลดปล่อยแสงอันไร้ขอบเขตและปรากฏดวงอาทิตย์หนึ่งดวงขึ้นข้างใน!
เดิมทีท้องฟ้ามืดมิดและยังไม่ปรากฏดวงอาทิตย์ มันยังต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะขึ้นมา แต่พอหวังหลินลืมตา แสงจากตาซ้ายกลับส่องสว่างราวกับหวังหลินกลายเป็นดวงอาทิตย์และขับไล่ความมืดมิดไปก่อนเวลาครึ่งชั่วโมง
“การทำความเข้าใจแก่นแท้จุดเริ่มต้นที่แท้จริงนั่นหมายถึงสามารถควบคุมการขึ้นของดวงอาทิตย์และย้อนกลับคืนและวันได้! แยกราตรีของข้าก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่วิชา แต่ตอนนี้หลังจากเข้าใจจุดเริ่มต้นแท้จริง มันสามารถเปลี่ยนเป็นดวงอาทิตย์!” หวังหลินพึมพำ แสงจากดวงตาข้างซ้ายได้โอบล้อมทั่วทั้งร่างกาย
หลิวจินเปียวและมังกรสมุทรได้ถอยออกไปนานแล้วและไม่กล้าเข้าใกล้ หวังหลินปกคลุมอยู่ในแสงสว่างราวกับดวงอาทิตย์ที่กำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
กระบวนการขึ้นนี้ได้ทำให้ความมืดมิดในท้องฟ้าสลายไปทีละชั้นราวกับมันกำลังถอย ความมืดมิดที่ปกคลุมพื้นดินคล้ายกับละลายหายไปใต้ดวงอาทิตย์จากหวังหลิน เผยให้เห็นพื้นดินเบื้องล่าง
ยามแสงอาทิตย์จากหวังหลินสาดใส่อารามตงหลิน บรรพชนสำนักตงหลินที่กำลังนั่งอยู่ข้างในพลันลืมตามองแสงด้านนอกและขบคิดเงียบๆ
‘แม้แต่ข้าก็ไม่อาจบอกได้ว่าแสงที่ขับไล่ความมืดมิดนี้เป็นดวงอาทิตย์ของจริงหรือเป็นวิชา…เขาเข้าใจมันแล้ว…’
เพียงหวังหลินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า โลกก็ส่องสว่าง ความมืดมิดทั้งหมดเลือนหายไป…
กระบวนการนี้กินเวลาเพียงหนึ่งก้านธูปไหม้ จากนั้นดวงอาทิตย์ของจริงค่อยๆ ปรากฏห่างออกไปไกล เวลานี้จึงมีดวงอาทิตย์สองดวงตั้งตระหง่านอยู่ในท้องฟ้า
หวังหลินหันกลับมามองดวงอาทิตย์ที่อยู่ด้านหลัง ดวงตาเขาเปล่งประกายเจิดจ้า จ้องมองดวงอาทิตย์ขึ้นลอยสูงในท้องฟ้าก่อนจะหลับตาลง
‘นี่คือแก่นแท้จุดเริ่มต้นแท้จริง…ข้าเข้าใจแล้ว’ แสงรอบตัวหวังหลินหายไป หวังหลินยืนอยู่ในท้องฟ้าตลอดทั้งวัน
พอดวงอาทิตย์ลาลับไปแล้ว โลกจึงค่อยๆ ถูกความมืดเข้าปกคลุมอีกครั้งพร้อมกับร่างหวังหลินค่อยๆ กลับเข้าไปในบ่อน้ำ
‘หากจุดเริ่มต้นแท้จริงคือดวงอาทิตย์ขึ้น เช่นนั้นก็ต้องมีแก่นแท้พิเศษอีกอย่างที่ควบคุมดวงอาทิตย์ตก…’ หวังหลินดวงตาเป็นประกายและเพ่งสมาธิเข้าไปในบ่อน้ำตงหลิน
คราวนี้พอเขาใช้บ่อน้ำตงหลิน ดวงตาซ้ายเปล่งประกายเจิดจ้าแต่ทัศนวิสัยในตาขวายังคงพร่ามัว มองไม่เห็นสิ่งใด
‘หากที่ข้าเห็นในตาซ้ายคือแสงอาทิตย์ที่กำลังขึ้น เช่นนั้นดวงตาขวาต้องเป็นความมืดมิดยามพลบค่ำ’ ไม่นานนักหวังหลินก็ตื่น แต่ไม่ได้ล้มเลิกและพยายามอีกครั้ง
จนกระทั่งยามดึกที่ทั่วโลกเงียบสงัด หวังหลินหลับตาและเพ่งสมาธิตัวเองเข้าไปในบ่อน้ำตงหลิน
ทัศนวิสัยในตาขวาไม่พร่าเลือนอีกแล้วแต่ค่อยๆกลายเป็นความมืด…ความมืดที่เกิดขึ้นแตกต่างจากดวงตาซ้ายอย่างชัดเจน
ในความแตกต่างกันนี้จิตใจหวังหลินได้แบ่งออกเป็นสองส่วน หนึ่งเป็นตัวแทนของดวงอาทิตย์ที่กำลังส่องประกาย อีกความคิดเป็นตัวแทนของความมืดหลังดวงอาทิตย์ตก
“ข้าเดินทางผ่านมิติและเห็นความมืดหลังดวงอาทิตย์ตก หลังจากเกิดจุดเริ่มต้นแท้จริงขึ้นมาก็เป็นจุดจบแท้จริง… แก่นแท้จุดจบที่แท้จริงเป็นตัวแทนความมืดมิดทั้งหมด…”
น้ำเสียงนั้นดังกึกก้องในใจหวังหลินอีกครั้ง
วันเวลาผ่านไปหวังหลินพักอยู่ในบ่อน้ำตงหลินเป็นเวลาสามเดือน ช่วงสามเดือนนี้เมื่อใดที่ดวงอาทิตย์ขึ้น เขาจะลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าและเปลี่ยนกลายเป็นดวงอาทิตย์ที่ขับไล่ความมืด พอดวงอาทิตย์ตกเขาก็จะนั่งอยู่ในบ่อน้ำอย่างเงียบเชียบ เฝ้าดูความมืดกลืนกินแสงทั้งหมด
เวลาสามเดือน ดวงอาทิตย์ขึ้นและลงนับร้อยครั้ง ต้องขอบคุณความรู้สึกอันแปลกประหลาดจากบ่อน้ำตงหลิน หวังหลินจึงค่อยๆ เข้าใจแก่นแท้แห่งจุดจบแท้จริงอย่างลึกซึ้ง
ทว่ามันไม่เหมือนจุดเริ่มต้นที่แท้จริง เวลาสามเดือนยังห่างเกินกว่าที่เขาจะได้แก่นแท้แห่งจุดจบมา ด้วยเหตุนี้หวังหลินจึงได้เริ่มเชี่ยวชาญแก่นแท้แห่งจุดเริ่มต้นและเกิดความเข้าใจอันลึกซึ้งมากขึ้นตลอดสามเดือน
อย่างไรก็ตามเขายังรู้สึกและไขว่คว้าแก่นแท้แห่งจุดจบแท้จริงอยู่เสมอ
หวังหลินไม่เร่งรีบจากไป เขาตัดสินใจว่าจะอาศัยอยู่ที่นี่และสังเกตการเปลี่ยนแปลงทั้งกลางวันและกลางคืน บางครั้งหวังหลินก็จมความคิดตัวเองไปในบ่อน้ำตงหลินเพื่อทำความเข้าใจอีกด้วย
กาลเวลาผ่านแบบนี้ไปแปดปีในพริบตา
ช่วงเวลาแปดปีไม่มีแขกคนใหม่มาที่สำนักตงหลินและบรรพชนสำนักตงหลินก็ไม่ได้เข้ามารบกวนหวังหลิน หวังหลินจึงอยู่อย่างสงบเป็นเวลาแปดปี
ช่วงเวลาแปดปี หลิวจินเปียวใช้วิธีบางอย่างเพื่ออยู่ร่วมกับมังกรสมุทรได้เป็นอย่างดี มันถึงกับยอมให้หลิวจินเปียวนั่งบนหลังและพาออกไปดูโลกภายนอก
จากนั้นเวลาได้ผ่านไปอีกห้าปี…
ตอนที่ 1950 มาอีกครั้ง!
โดย
Ink Stone_Fantasy
สำหรับเหล่าเซียน เวลาสิบสามปีเพียงแค่ชั่วพริบตา ผ่านมาสิบสามปีหวังหลินได้รู้แจ้งแก่นแท้จุดเริ่มต้นที่แท้จริง จนตอนนี้เขามีแก่นแท้พิเศษเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง!
ส่วนแก่นแท้แห่งจุดจบ หลังจากผ่านมาสิบสามปีและเฝ้าดูกลางคืนกลืนกินแสงมากกว่าสี่พันครั้ง หวังหลินยังไม่เชี่ยวชาญอย่างเต็มทีแต่ก็มีความเข้าใจขึ้นมาบางส่วนด้วยการช่วยเหลือจากบ่อน้ำตงหลิน
ในช่วงเวลาแห่งการทำความเข้าใจสิบสามปีนี้ เสียงนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นอีกครั้งเลย
หวังหลินนั่งอยู่ด้านนอกบนแท่นของบ่อน้ำตงหลิน ระดับบ่มเพาะของเขายังคงเหมือนเดิมเมื่อสิบสามปีก่อน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างขณะที่สังเกตดวงอาทิตย์ขึ้นและดวงอาทิตย์ตก เส้นผมก็ค่อยๆ ยืดยาวอย่างช้าๆ
ผ่านไปสักพักหวังหลินจึงลืมตา ดวงตาข้างซ้ายแฝงดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นบนขอบฟ้า ส่วนดวงตาขวาเต็มไปด้วยความมืดมิด ดวงตาประหลาดสองดวงนี้ทำให้หวังหลินดูแปลกตาอย่างยิ่ง
‘แก่นแท้จุดเริ่มต้นแท้จริงสามารถผสานกับแก่นแท้สังหารและแก่นแท้เขตอาคมให้กลายเป็นแก่นแท้ที่สี่ในร่างแก่นแท้สายฟ้าได้ ส่วนแก่นแท้จุดจบแท้จริง…ข้าไม่เข้าใจมันอย่างสมบูรณ์และเข้าใจแค่ส่วนเล็กน้อยเท่านั้นแต่ข้าก็ยังผสานกับมันได้ บางทีระดับบ่มเพาะของข้าจะต้องทะลวงขึ้นไปก่อนเพราะร่างแก่นแท้สายฟ้ามีถึงห้าแก่นแท้…’ หวังหลินมีท่าทีสงบนิ่ง เหตุผลที่เขามาที่สำนักตงหลินก็เพื่อหาทางในการทะลวงระดับบ่มเพาะขึ้น
เมื่อเขาค้นพบโอกาสนี้และระดับบ่มเพาะมากขึ้น หวังหลินสามารถไปที่บททดสอบชั้นฟ้าเพื่อทำทุกอย่างให้เสร้จสิ้นก่อนจะมุ่งหน้าไปเมืองหลวง
ขณะที่หวังหลินนั่งอยู่ที่นี่มีร่างเงาหนึ่งปรากฏขึ้นบนร่างกาย ร่างแก่นแท้สายฟ้าก้าวเดินออกมาและนั่งตรงข้าม
ร่างแก่นแท้สายฟ้ามีท่าทีเยือกเย็นและมีสายฟ้าปกคลุมทั่วร่างกาย พอหวังหลินมองมาที่ร่างแก่นแท้นี้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกจิตใจปั่นป่วนคล้ายกับโดนทำลาย
‘สายฟ้าสังหารภายในร่างแก่นแท้สายฟ้ามีพลังการทำลายล้างมหาศาลที่ข้าไม่คุ้นเคยเลย…’ หวังหลินมองร่างแก่นแท้ มันสวมชุดคลุมสีขาวเหมือนกับเขา
หลังจากขบคิดชั่วขณะ หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมาสะบัดใส่ร่างแก่นแท้สายฟ้า
‘ในเมื่อเจ้ามีแก่นแท้สังหารและสายฟ้าที่เต็มไปด้วยการทำลายล้าง เจ้าควรสวมชุดสีดำเหมือนช่วงที่ข้าฝึกฝนใหม่ๆ จงเป็นตัวแทนของความมืดและทำให้เข้าใจแก่นแท้แห่งจุดจบได้ง่ายขึ้น’
เพียงสะบัดแขน ชุดสีขาวของร่างแก่นแท้สายฟ้าได้เปลี่ยนกลายเป็นสีดำราวกับความมืดที่กลืนกินแสงทั้งหมด
พอชุดเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ พลังทำลายล้างข้างในดูเหมือนรุนแรงขึ้นอีกเล็กน้อย
ขณะที่หวังหลินมองร่างแก่นแท้สายฟ้าอย่างเงียบๆ จุดเริ่มต้นแท้จริงในตาซ้ายพลันลอยออกมาคั่นกลางระหว่างเขาและร่างแก่นแท้ หลังจากนั้นมันก็ลอยเข้าไปในร่างแก่นแท้สายฟ้า
ร่างแก่นแท้สายฟ้าสั่นเทาและมีแสงเจิดจ้าส่องออกมาจากร่างกาย แสงนี้คล้ายกับไปกระตุ้นพลังต่อต้านที่มีพลังทำลายล้างอยู่ในร่างแก่นแท้สายฟ้า
หวังหลินสังเกตอยู่ชั่วขณะแต่ไม่ได้ให้ความสนใจ ดวงตาขวาเปลี่ยนกลายเป็นความมืดมิดดุจน้ำหมึก ความมืดควบแน่นในแขนขวากลายเป็นโครงร่างของดวงอาทิตย์ เพียงแต่มันเป็นดวงอาทิตย์สีดำ
เพียงสะบัดแขน ดวงอาทิตย์สีดำจึงทะยานเข้าหาร่างแก่นแท้สายฟ้าและเริ่มผสานเข้าด้วยกัน
แต่ขณะที่ดวงอาทิตย์สีดำผสานกับร่างแก่นแท้สายฟ้า สัมผัสวิญญาณของหวังหลินได้แผ่กระจายออกมาส่งแรงกดดันทรงพลังใส่ร่างแก่นแท้สายฟ้าเพื่อให้แก่นแท้ผสานตามที่เขาต้องการ!
แม้ดวงอาทิตย์นสีดำไม่ได้มีแก่นแท้มากนัก บางทีมันคงถูกสายฟ้าสังหารดูดซับไปทันทีเพราะมันคล้ายกันในด้านการทำลายล้าง สายฟ้าสังหารจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง!!
สายฟ้าสังหารเป็นสิ่งที่สามารถทำลายโลกและฉีกกระชากความว่างเปล่าได้ หลังจากผสานกับแก่นแท้แห่งจุดจบแท้จริงจะมีกลิ่นอายทำลายล้างแผ่กระจายออกมาจากร่างแก่นแท้สายฟ้า แม้แต่หวังหลินยังรู้สึกไม่สามารถข่มไปได้นานกว่านี้
สังหารทุกชีวิตและทำลายล้างโลก ฉีกกระชากแสงทั้งหมดจนค่ำคืนโอบล้อมและเปลี่ยนทุกอย่างให้กลายเป็นเศษซาก นี่คือพลังทั้งหมดของร่างแก่นแท้สายฟ้าที่หวังหลินสร้างขึ้น!
อย่างไรก็ตามพลังนี้ถูกขังไว้ภายในร่างแก่นแท้สายฟ้าเนื่องจากมีแก่นแท้เขตอาคมที่เสมือนเป็นผนึก เมื่อพลังนี้เล็ดลอดออกมาได้มันจะกลายเป็นหายนะอันน่าหวาดกลัว
ร่างแก่นแท้สายฟ้าสมดุลด้วยแก่นแท้เขตอาคมที่ผนึกร่างกายเอาไว้ ทว่าในตอนนี้มีแก่นแท้แห่งจุดจบถูกเติมเข้าไป มันจึงทำลายสมดุลและพังทลายตรงๆ
แต่หวังหลินไม่ได้คาดคิดสิ่งใด พอแก่นแท้เขตอาคมไม่สามารถทนไหวและเกิดการพังทลาย แสงจากแก่นแท้จุดเริ่มต้นแท้จริงได้ผสานเข้ากับแก่นแท้เขตอาคม ผนึกใหม่จึงเกิดขึ้นมาเพื่อกลายเป็นสมดุลต่อต้านพลังทำลายล้างอีกครั้ง
ด้วยผนึกและการต่อต้านอย่างต่อเนื่อง ร่างแก่นแท้สายฟ้าของหวังหลินจึงเหมือนเปลวเพลิงที่พร้อมปะทุ ราวกับคนที่กำลังถือเปลวเพลิงไว้ในมือ
จะควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์หรือโดนเปลวเพลิงคลอกตาย
ผนึกและการทำลายล้าง ความมืดและแสงไฟ ตอนนี้ร่างแก่นแท้สายฟ้าได้เกิดความสมดุลขึ้นมาอย่างฉิวเฉียด แม้แก่นแท้แห่งจุดเริ่มต้นจะผสานกับแก่นแท้เขตอาคา มันก็ไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะต่อต้านแก่นแท้สังหารและแก่นแท้แห่งจุดจบแท้จริง อันตรายยังไม่หายไปแต่หวังหลินก็ต้องลงมือแล้ว
ตั้งแต่ตอนที่เขาบังเอิญสร้างสายฟ้าสังหารขึ้นมา มันถูกลิขิตมาให้ร่างแก่นแท้นี้แตกต่างจากร่างแก่นแท้ห้าธาตุ
ภายในร่างแก่นแท้สายฟ้า มีแก่นแท้พิเศษถึงสี่ชนิดผสานที่ผสานและต่อต้านกัน พอพวกมันจะผสานกันเป็นหนึ่ง ร่างแก่นแท้จึงลืมตาขึ้นมา ดวงตาซ้ายเป็นแสงสว่าง ดวงตาขวามืดมิด มันก้าวเดินเข้าหาหวังหลินและทับซ้อนกับเขา จากนั้นนั่งลงและผสานกับหวังหลิน
เสี้ยววินาทีนั้นระดับบ่มเพาะของหวังหลินได้เพิ่มขึ้นจากขั้นวิบากดับสูญระดับต้น พอระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นโลกจึงเปลี่ยนสีสัน ก้อนเมฆเหนือศีรษะเกิดการกระจัดกระจาย ท้องฟ้าเหนือสำนักบางครั้งก็มืด บางครั้งก็สว่าง มันแยกกันระหว่างแสงและความมืดจนกระทั่งเกิดเสียงดังสนั่นออกมาจากร่างกาย สายลมรุนแรงได้ทำให้เส้นผมและเสื้อผ้าหวังหลินพริ้วไหว เขาทะลวงขั้นไปสู่วิบากดับสูญระดับกลาง!!
หวังหลินพลันยืนขึ้นในทันที การเปลี่ยนแปลงในโลกได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทุกสิ่งทุกอย่างกลับสู่ปกติ ไร้สายลม ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวและเงียบสงัด
เขายืนตรงนั้นไปสักพักแล้วจึงเคลื่อนไหว มังกรสมุทรที่อยู่ห่างไกลพลันเคลื่อนกายมาหาหวังหลิย จากนั้นหวังหลินก้าวไปบนศีรษะมัน
หลิวจินเปียวกลืนน้ำลายและมองหวังหลินด้วยความหวาดกลัวเช่นกัน มันเป็นความหวาดกลัวแบบเดียวกับที่เขารู้สึกในโลกถ้ำ ถึงจะอยู่บนแผ่นดินเซียนดาราก็ไม่แตกต่างกัน เขารีบมาถึงด้านหลังมังกรสมุทรและยืนอยู่หลังหวังหลินด้วยความเคารพ
ระดับบ่มเพาะของเขาส่วนใหญ่ฟื้นคืนมาได้ในช่วงสิบสามปีเพราะมีความทรงจำและมีเจ้ามังกรสมุทรช่วยเหลือมัน
มังกรสมุทรทะยานขึ้นสู่อากาศพร้อมกับหวังหลินยืนอยู่บนศีรษะมัน เขามองลงมาที่สำนักตงหลินและมองบ่อน้ำตงหลินด้านล่าง ผ่านไปสักพักจึงคำนับฝ่ามือและโค้งตัวให้แก่บ่อน้ำตงหลิน!
‘แม้ผู้อาวุโสจะตายไปแล้ว ความเมตตาที่ผู้อาวุโสมอบให้ข้าจะเป็นสิ่งที่ข้าไม่มีวันลืม’ หวังหลินส่งสายตาไปที่อารามตงหลิน พริบตานั้นเขาเห็นชายชราผู้เศร้าโศกและโดดเดี่ยว
หวังหลินถอนหายใจ มังกรสมุทรทะยานออกไปไกลตามคำสั่งของหวังหลิน
เบื้องหลังหวังหลินมีเสียงถอนหายใจที่มีความโดดเดี่ยวและโศกเศร้ามาหลายปี ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความดื้อดึงรุนแรง…
เพราะเขาโดดเดี่ยวจึงสร้างความฝันออกมาจากความทรงจำเพื่ออยู่กับเขาไปด้วยกัน
เพราะเขาโศกเศร้า จึงอยู่ในสำนักไร้ชีวิต นึกย้อนความทรงจำและปกป้องมันอย่างเงียบๆ
เพราะเขาดื้อดึง แม้จะผ่านมาหลายหมื่นปี ความเกลียดชังฝังลึกและความบ้าคลั่งได้ฝังแน่นอยู่ในตัวเขาราวกับคำพูดที่อยู่บนแผ่นหินจารึก!
หวังหลินจากไปแล้ว!
แต่เขาไม่ได้ออกไปจากแคว้นมหาปราชญ์ เพียงแค่นั่งลงบนยอดเขาโดยมีมังกรสมุทรคุ้มกัน เขาวางเขตอาคมไว้รอบตัวเอง พอดวงอาทิตย์ทะยานขึ้นทางทิศตะวันออก หวังหลินจึงหลับตา
‘ข้าจะลองไปทดสอบชั้นฟ้า! ตอนนั้นข้าผ่านระดับสี่ ครั้งนี้ข้าจะผ่านไปได้กี่ระดับ…’ หวังหลินหลับตาและข่มความปั่นป่วนจากการเพิ่มระดับบ่มเพาะ ผ่านไปสามเดือนเขาจึงคุ้นเคยระดับบ่มเพาะในปัจจุบัน แขนขวายกขึ้นมาโบกสะบัดทำให้เกิดวิชาขึ้น
‘ในขั้นวิบากดับสูญระดับต้นข้าถูกจำกัดระดับบ่มเพาะจนผสานวิชาได้เพียงสิบสามวิชาเท่านั้น ตอนนี้ข้าอยู่ในขั้นวิบากดับสูญระดับกลางแล้ว ข้าจะผสานได้กี่วิชา…ยิ่งได้ร่างแก่นแท้ช่วยเหลือจะได้เท่าไรกัน…’ หวังหลินเผยแววตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
หลังจากสูดหายใจลึก หวังหลินหลับตาและนำพาสัมผัสวิญญาณรวมกันที่ศีรษะ เขาสร้างร่างที่มองไม่เห็นพุ่งทะยานเข้าสู่ท้องฟ้า
‘ครั้งนี้ข้าต้องมีชื่อเสียง! ครั้งนี้ข้าต้องทำให้ผู้สูงส่งชั้นฟ้าทั้งหมดต้องมองขึ้นมาดู…ครั้งนี้ข้าจะกลายเป็นอันดับหนึ่งในเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้า!’
‘ครั้งนี้ข้าจะกลายเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะคนที่ 49!! ครั้งนี้ข้าจะใช้พลังของเกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์!!’
หวังหลินส่งสัมผัสวิญญาณขึ้นสู่ท้องฟ้าคล้ายกับกลุ่มก้อนที่มองไม่เห็น เขาปีนป่ายขึ้นอย่างต่อเนื่องจนความคิดสั่นสะท้าน พอทัศนวิสัยกลับมาชัดเจนอีกครั้งจึงได้เห็นบททดสอบชั้นฟ้าที่คุ้นเคย!
เขาเห็นตำหนักที่ลอยอยู่ในท้องฟ้าและมีเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าหลายร้อยคนนั่งอยู่นอกตำหนักระดับแรก!
เช่นเดียวกันเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าก็ได้เห็นหวังหลินซึ่งมาถึงตรงค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ!
“ผู้…ผู้สูงส่งชั้นฟ้าผมขาว!”
“ข้าจำได้ว่าเขาผ่านสี่ด่านแรกไปในตอนนั้น ข้าคิดว่าเขาจะลองระดับห้าแต่ก็ล้มเลิกและจากไป…”
“บางทีเขาคงรู้ตัวว่าไม่สามารถผ่านได้และจากไปเอง คราวนี้เขาต้องได้ความเข้าใจบางอย่างและเกิดความมั่นใจว่าจะผ่านระดับห้าได้…”
‘นั่นเขา!’ ด้านนอกตำหนักแรกมีชายวัยกลางคนชุดดำ เขาดูเป็นคนมีนิสัยโอหังจนไม่มีใครอยู่รอบกาย เขาเป็นคนแรกที่เห็นว่าหวังหลินมาถึง
เขาชื่อจูหลิน! ตอนนั้นได้ผ่านระดับเจ็ดแต่ก็หยุดที่ระดับแปด
ตอนที่ 1951 เจิดจรัส! (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
บททดสอบชั้นฟ้ามีมาตั้งแต่ยุคโบราณในมิติอันประหลาดแห่งนี้ มีเพียงสัมผัสวิญญาณของเซียนผู้สูงส่งชั้นฟ้าเท่านั้นที่สามารถทะยานตรงเข้าสู่ท้องฟ้าและเข้ามาสถานที่นี้ได้
มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่สามารถมองทะลุโครงสร้างของมัน พวกเขารู้ว่าบรรพชนเทพได้สร้างขึ้นมาเลียนแบบแดนเทพบรรพกาล ซึ่งทำให้ลูกหลานของเผ่าเทพสามารถคุ้นชินกับแดนเทพบรรพกาลในอนาคตเพื่อมีโอกาสที่จะกลายเป็นมหาชั้นฟ้ามากขึ้น
ตลอดหลายปีที่ผ่านมามีผู้สูงส่งชั้นฟ้าหลายคนมาที่นี่หลายครั้งเพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวเองและมีชื่อเสียงทั่วเผ่าเทพ
บททดสอบชั้นฟ้าเป็นสถานที่ที่มหาชั้นฟ้าทั้งห้าคนให้ความสนใจอย่างมาก เหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าเกือบเก้าในสิบต่างก็ใช้ความพยายามเพื่อผ่านตำหนักแต่ละระดับ
เบื้องหน้าสายตาของผู้สูงส่งชั้นฟ้านับร้อยด้านนอกตำหนักระดับแรก หวังหลินมาถึงเป็นลำแสงสายหนึ่ง พอเข้ามาใกล้ตำหนักระดับแรก แสงก็หายไปและร่อนลงบนพื้น
ยามที่หวังหลินก้าวเข้าสู่บริเวณด้านนอกตำหนักระดับแรก สายตาเซียนรอบด้านทั้งหมดต่างก็จับจ้องมาที่เขา
หวังหลินมองรอบๆ ด้วยท่าทีสงบนิ่ง เขาเคยเจอผู้สูงส่งชั้นฟ้าอยู่บางคนและส่วนใหญ่ก็ไม่เคยเจอมาก่อน อีกทั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมามีคนเข้าออกอยู่เรื่อยๆ บางคนก็จากไปและบางคนก็มาลองอีกครั้ง
คนที่รู้จักเขาถึงกับยิ้มและคำนับฝ่ามือให้หวังหลิน หวังหลินตอบกลับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน หลายคนมักจะผูกมิตรเว้นแต่จะเป็นคนที่มีนิสัยโอหังหรือมีความบาดหมางเท่านั้น
แม้หวังหลินจะหายตัวไปหลายสิบปี เขาก็ยังทำให้หลายคนเกิดความประทับใจเล็กๆ ตอนที่ผ่านหลายระดับในครั้งเดียว ดังนั้นผู้สูงส่งชั้นฟ้าบางคนจึงอยากผูกมิตรกับเขา
ทว่าการผ่านสี่ระดับก็ไม่มากพอในสายตาผู้สูงส่งชั้นฟ้าบางคน บางส่วนยังมีสายตาเย็นชา
“หลายปีก่อนข้าได้ยินมาว่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าผมขาวคนนี้เข้าสู่ระดับแรกและล้มเหลว จากนั้นก็ผ่านสี่ระดับรวดในครั้งเดียว เขาไม่ใช่คนธรรมดา!”
“สี่ระดับ? แค่สี่ระดับแล้วอย่างไร? ในกลุ่มเรามีใครที่ไม่ผ่านสี่ระดับบ้าง? การที่เขาล้มเหลวในระดับแรกและจากนั้นผ่านสี่ระดับในครั้งเดียวก็แค่กลลวงให้เราสนใจ”
“นั่นก็จริง ข้าประเมินว่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าผมขาวผ่านได้อย่างมากก็แค่ด่านที่ห้า”
รอบด้านต่างก็มองมาที่หวังหลิน คนที่เป็นสหายต่างก็พูดกันในใจ ท่ามกลางคนเหล่านั้นมีบางส่วนจำหวังหลินได้ ส่วนคนอื่นรู้สึกดูถูก แต่ละคนต่างก็มีความคิดของตัวเอง ทว่าในขั้นผู้สูงส่งชั้นฟ้านี้พวกเขาไม่อาจเผยอะไรออกมาทางสีหน้าได้
ห่างออกไปมีผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลินกำลังนั่งมองหวังหลินอยู่ตรงนั้น ครู่ต่อมาเขาก็หลับตาและไม่มองอีก
เขาไม่อยากดูถูกเซียนผู้สูงส่งชั้นฟ้าคนใด แต่ไม่คิดว่าหวังหลินจะผ่านด่านที่เจ็ดไปได้ แม้เขาจะให้ความสนใจคนที่ต่ำกว่าด่านที่เจ็ด นั่นก็มากพอแล้ว
หวังหลินไม่ได้เข้าไปทดสอบในทันทีแต่ยืนอยู่นอกตำหนักระดับแรกและมองขึ้นไป แต่ละตำหนักสูงกว่าอีกแห่งและตำหนักที่เก้าช่างพร่าเลือนมาก
หวังหลินเข้าใจอยู่แล้วว่าบททดสอบชั้นฟ้ามีทั้งสิ้นสิบเก้าด่าน มีผู้สูงส่งชั้นฟ้าไม่ถึงหกสิบคนที่สามารถทะลวงผ่านชั้นที่เก้าไปได้ ส่วนคนที่อยู่ขั้นสูงสุดของระดับผู้สูงส่งชั้นฟ้า หากผ่านตำหนักระดับสิบได้ เมื่อนั้นจะกลายเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะ!
ทุกคนที่ได้เข้าบททดสอบชั้นฟ้าสามารถทำให้เกิดความสนใจได้ นอกจากนี้การเป็นพยานรู้เห็นการเกิดใหม่ของผู้สูงส่งชั้นเทวะนับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง
ซึ่งเรื่องนี้สามารถทำให้เหล่ามหาชั้นฟ้าเกิดความสนใจและมาหาด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตามเผ่าเทพมีผู้สูงส่งชั้นเทวะเพียงสี่สิบแปดคนเท่านั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมายังไม่มีคนที่สี่สิบเก้า นั่นแสดงให้เห็นว่าตำหนักระดับสิบนั้นยากเย็นแค่ไหน
มีแต่ผู้สูงส่งชั้นเทวะเท่านั้นที่สามารถทะลวงผ่านชั้นสิบเอ็ดได้ หากสามารถผ่านไปถึงชั้นสิบเก้า ลือกันว่าจะมีโอกาสกลายเป็นมหาชั้นฟ้า! ผู้สูงส่งชั้นเทวะที่สามารถผ่านไปถึงชั้นสิบเก้าจะมีพลังอำนาจที่แม้แต่มหาชั้นฟ้าก็ไม่กล้าดูถูกดูแคลน!
อย่างไรก็ตามไม่มีผู้สูงส่งชั้นเทวะที่ทะลวงผ่านชั้นสิบเก้าเลย ผู้สูงส่งชั้นเทวะหมิงต้าวซึ่งแข็งแกร่งที่สุดก็ยังหยุดที่ชั้นสิบหกและไม่สามารถผ่านไปได้
ตลอดหลายหมื่นปียังไม่มีใครข้ามผ่านอันดับของผู้สูงส่งชั้นเทวะหมิงต้าวได้เลยสักคนเดียว ตอนนี้เขาแทบเป็นคนที่จะเป็นมหาชั้นฟ้าคนถัดไปแล้วและบางคนก็เริ่มเรียกเขาว่าตะวันดวงที่หกแห่งเผ่าเทพ!
แม้ชื่อเสียงเขาจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่ามหาชั้นฟ้า เขาก็ยังมีชื่อเสียงมากที่สุดใต้มหาชั้นฟ้า มหาชั้นฟ้าแปดสุดขั้วยังเสนอสิ่งมีค่ามหาศาลเพื่อดึงหมิงต้าวมาร่วมกับเขา เขาไม่ได้ปฏิบัติกับหมิงต้าวเหมือนผู้สูงส่งชั้นฟ้าหรือผู้สูงส่งชั้นเทวะเหมือนคนอื่น แต่มีมารยาทมากยิ่งกว่า
‘ข้าอาจได้เจอผู้สูงส่งชั้นเทวะหมิงต้าวระหว่างทางไปเมืองหลวง เขาเป็นอันดับหนึ่งในผู้สูงส่งชั้นเทวะและต้องพิเศษแน่…’ หวังหลินอดไม่ได้ที่จะมีแววตาเปล่งประกาย
‘ครั้งนี้ข้าต้องทำให้ทุกคนตกตะลึงในคราเดียว! ครั้งนี้ข้าอยากจะเห็นว่าข้าไปได้ไกลแค่ไหนโดยไม่มีเกราะวิญญาณ!’ หวังหลินหลับตาด้วยความสงบนิ่ง ครู่ต่อมาจึงลืมตาและเปล่งประกายเจิดจ้า เขาทะยานผ่านตำหนักระดับแรกไปและทะยานขึ้นด้านบนอย่างรวดเร็ว
พอเขาขึ้นไปในอากาศ ผู้สูงส่งชั้นฟ้าบางส่วนจึงมองขึ้นไป แต่ส่วนใหญ่ต่างก็หลับตาและไม่ให้ความสนใจมากนัก
ผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลินเองก็หลับตาบ่มเพาะและไม่ได้มองมา
เมื่อเคยผ่านไปแล้วจะสามารถข้ามไปและไม่โดนตำหนักก่อนหน้านี้ส่งแรงกดดันอีก
หวังหลินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและผ่านสี่ระดับแรกไปอย่างรวดเร็ว เขาหยุดเบื้องหน้าตำหนักที่ห้าและก้าวเข้าไปข้างในโดยไม่ลังเล
วินาทีที่เข้าสู่ระดับห้า ทัศนวิสัยจึงพร่าเลือน เป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่เขามาที่นี่ครั้งล่าสุด ครู่ต่อมาทัศนวิสัยก็ชัดเจนและอยู่ในดาราจักรแห่งหนึ่ง
‘ตำหนักระดับสี่มีดาวเคราะห์ 36 ดวงและมีดาวเคราะห์สีทอง! ดาวเคราะห์สีทองมีพลังไม่ด้อยไปกว่าดาวเคราะห์ทั้งหมดรวมกัน ข้าสงสัยจริงว่าระดับนี้จะมีดาวเคราะห์สีทองกี่ดวง!’ หวังหลินมองดาราจักรเบื้องหน้าและดวงตาเปล่งประกาย
เบื้องหน้าเขา ดาวเคราะห์ 45 ดวงเปลี่ยนทิศทางการโคจรและทะยานเข้าหาจากทุกทิศทาง เกิดเป็นเสียงดังกึกก้อง
ขณะที่พวกมันเข้ามาใกล้ ดาวเคราะห์ห้าดวงพลันเปลี่ยนเป็นสีทองในพริบตา มันปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลังพุ่งมาหาหวังหลิน
‘ห้า…’ หวังหลินยืนอยู่ในอวกาศ สีหน้าท่าทางสงบนิ่ง ขณะที่ดาวเคราะห์เข้ามาหาเขา หวังหลินพลันยกแขนขวาขึ้นมาและระเบิดระดับบ่มเพาะขั้นวิบากดับสูญ
‘หนึ่ง สอง สาม…สิบเอ็ด สิบสอง สิบสาม!’ หวังหลินกำหมัดและเกิดเสียงดังปะทุขึ้นเนื่องจากวิชาสิบสามวิชาปรากฏรอบฝ่ามือ วินาทีนั้นระดับบ่มเพาะหวังหลินยังอยู่ในขั้นวิบากดับสูญระดับกลางแต่ก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
‘หลังจากบรรลุขั้นวิบากดับสูญระดับกลางข้ายังไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ มาดูกันว่าตอนนี้ข้าจะผสานเข้าไปในกำปั้นได้กี่วิชา’ เส้นผมสีขาวและเสื้อผ้ากำลังพริ้วสะบัด สายลมกรรโชกรุนแรงพัดผ่านมา ระดับบ่มเพาะระเบิดขึ้น กลิ่นอายเปลี่ยนจากวิบากดับสูญระดับต้นไปสู่ระดับกลาง!
‘วิชาที่สิบสี่!’ อีกวิชาปรากฏขึ้นในกำปั้นหวังหลิน จากนั้นก็เป็นวิชาที่สิบห้า สิบหกและสิบเจ็ดโดยไม่มีการหยุดชะงัก
พริบตาเดียวมีถึง 21 วิชา!
‘ตามที่ข้าคาดการณ์ แต่ขั้นของวิบากดับสูญสามารถเพิ่มจำนวนวิชาขึ้นไปได้ทีละเก้าวิชา…ขีดจำกัดของวิบากดับสูญระดับต้นคือเก้า หลังจากบรรลุระดับกลางก็ควรเป็นสิบแปด แต่ด้วยแก่นแท้ไม้และแก่นแท้โลหะ ระดับบ่มเพาะของข้าจึงเพิ่มขึ้นได้อีกเล็กน้อยและบังคับให้ควบแน่นได้อีกสี่วิชาจนไปถึง…ยี่สิบสองวิชา!’ ดวงตาหวังหลินเป็นประกายพลางมีดาวเคราะห์ 45 ดวงเข้ามาใกล้
‘วิชาที่ยี่สิบสอง!’ เสียงดังอึกทึกโผล่ออกมาจากกำปั้นและเกิดวิชาที่ยี่สิบสองขึ้นมา!
พลังอันน่าตกตะลึงโผล่ออกมาจากกำปั้นแรก ราวกับกำปั้นนี้สามารถทำลายล้างทุกสิ่งได้ทีเดียว
‘น่าจะได้อีก…ยี่สิบสาม!’ หวังหลินคำรามแต่ไม่ได้โจมตีในทันที เขากระโจนขึ้นไป แขนขวาบวมเป่ง พลังแข็งแกร่งคล้ายกับเข้ามาแทนที่การไหลเวียนโลหิตในร่างกายและรวมกันในกำปั้น กลายเป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
เส้นผมหวังหลินคล้ายกับกำลังเริงระบำ ดวงตาเปล่งประกายและมีวิชาที่ยี่สิบสามก่อตัวในแขน!
‘ยี่สิบสามวิชาเป็นขีดจำกัดของระดับบ่มเพาะตอนนี้แล้ว!! วิชาที่เพิ่มมานี้เกิดขึ้นจากเวลาที่ข้าอยู่ในบ่อน้ำตงหลินจนเสริมพลังแก่นแท้อื่นๆทั้งหมดอีกเล็กน้อย’
หวังหลินก้มศีรษะ ดาวเคราะห์ 45 ดวงด้านล่างกำลังพุ่งเข้ามาหาและมีดาวเคราะห์สีทองห้าดวงเปล่งแรงกดดันทรงพลัง ตอนนี้พวกมันอยู่ห่างจากหวังหลินเพียงไม่กี่พันฟุตเท่านั้น
‘เพียงแค่ร่างแก่นแท้เดียวก็สามารถผ่านด่านที่ห้าได้มากพอแล้ว!’ ร่างเงาหนึ่งทับซ้อนกับร่างหวังหลินพลางมีร่างแก่นแท้ห้าธาตุปรากฏขึ้นมา หวังหลินชกเข้าใส่เหล่าดาวเคราะห์ทันที!!
กำปั้นที่มีวิชาถึง 23 วิชาผสานกับร่างอวตารอีกจึงเท่ากับ 46 วิชา กำปั้นนี้ได้ทะยานเข้าสู่ดาวเคราะห์ 45 ดวง!
เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องอย่างมหาศาล อวกาศพังทลาย แสงสีทองจำนวนมากแทงทะลุผ่านอวกาศนี้ไปด้านนอกและปกคลุมท้องฟ้า เหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าด่านล่างนับร้อยต่างก็เห็นแสงสีทอง!
………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น