Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1942-1947

 ตอนที่ 1942 เจ้าเป็นใคร?

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากชายชราได้ยินแบบนี้ ดวงตาจึงหรี่ลงและมองหลิวจินเปียวอย่างละเอียด เพียงเท่านี้เขาจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ หลิวจินเปียวเป็นเพียงแค่เซียนขั้นแกนลมปราณเท่านั้นแต่เขากลับพบว่ามีบางอย่างถูกซ่อนอยู่ เป็นกลิ่นอายเก่าแก่ที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้จนคล้ายกับอยู่กับเขามานาน


หลิวจินเปียวมองชายชราและเอ่ยอย่างเย็นเยียบ “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดค้นวิญญาณข้า แต่ข้าขอบอกว่าก่อนที่เจ้าจะทำสำเร็จ อาจารย์จะมาถึง จากนั้นสิ่งที่สำนักเมฆาอยู่ก็คือหายนะที่ทำลายล้างได้ทั้งสำนัก!”


“แม้ผู้สูงส่งชั้นฟ้ากุ้ยหยามาหา เขาก็ยังต้องถามหาเหตุผล เจ้าหลอกลวงก่อน!” ชายชราไม่สามารถมองทะลุหลิวจินเปียวได้ อีกฝ่ายสงบนิ่งมากจนหาได้ยาก เขาจะสงบนิ่งแบบนี้ได้อย่างไรถ้าไม่มีเบื้องหลังอันแข็งแกร่ง?


“หลอกลวง? ข้าหลิวจินเปียวบ่มเพาะเต๋าแห่งการหลอกลวง ข้าหลอกสำนักเมฆาเล็กๆ ของเจ้าแล้วอย่างไร? ข้าไปสังหารหรือขโมยสมบัติใครด้วยหรือ?”


“ข้าแค่พาคนธรรมดาที่ต้องการฝึกฝนและแลกเปลี่ยนกับเม็ดยาบางส่วนเท่านั้น เจ้าคิดว่าข้าสนใจเม็ดยาพวกนี้หรือ?” หลิวจินเปียวเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ แขนขวาสัมผัสกับกระเป๋าเก็บของ เม็ดยาจำนวนมากลอยออกมากลายเป็นภูเขาย่อมๆ


“ดูซะ เม็ดยาหลายสิบเม็ดพวกนี้มาจากสำนักเมฆาของเจ้า พวกมันก็แค่หลักประกันเพื่อให้ข้าบ่มเพาะเต๋าแห่งการหลอกลวง เจ้าคิดว่าข้าสนใจเม็ดยาพวกนี้หรือ?” หลิวจินเปียวหัวเราะและสะบัดแขนขวา เม็ดยาพวกนั้นสลายกลายเป็นฝุ่นผงทันที


เหตุการณ์นี้ทำให้ชายชราตกตะลึง


“ช่างเม็ดยาพวกนี้เถอะ แม้ข้าจะหลอกลวงสมบัติไปจำนวนมาก เจ้าคิดว่าข้าสนใจหรือ?” หลิวจินเปียวเยาะเย้ยอีกครั้งและสัมผัสกระเป๋า สมบัติหลายสิบชิ้นสำหรับเซียนขั้นแกนลมปราณพลันลอยออกมา เขาสะบัดแขนให้ทั้งหมดสลายกลายเป็นเศษเสี้ยว


“ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าข้าไม่สนใจของพวกนี้เลย! แม้เจ้ากล้าค้นวิญญาณข้า ข้าก็มั่นใจได้เลยว่าทั้งสำนักเมฆาของเจ้าจะถูกทำลาย! คิดดีดีนะ ลาก่อน!” หลิวจินเปียวเยาะเย้ยและหันกลับมา เขาไม่ได้มองชายชราที่กำลังตกตะลึงอีกแล้วและเริ่มเดินออกไปจากที่นี่


พอเขาเดินออกไป บนร่างไม่มีแม้แต่เม็ดเหงื่อ หัวใจเต้นเป็นปกติ แม้แต่เขาก็ยังเชื่อตัวเอง แบบนั้นจะหวาดกลัวได้อย่างไร?


หลังจากเดินออกมาจากอาราม ชายชรามีสีหน้ามืดมนไปเรื่อยๆ เขาจ้องเศษเม็ดยาและเศษสมบัติเบื้องหน้า วินาทีนี้เขาได้หลงไปกับคำพูดของหลิวจินเปียวแล้ว


เขาไม่เคยเจอเรื่องราวอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต!


‘สิ่งที่เขาพูดเป็นจริงหรือโกหก? หากเขาหลอก เขาจะสงบนิ่งและไม่สนใจเม็ดยากับสมบัติที่ทำลายไปได้อย่างไร? แม้ทั้งหมดจะเป็นของระดับต่ำ แต่เขาก็หลอกลวงไปเยอะมาก…’


‘เขาหลอกลวงผู้คนมานานและไม่เคยตาย ต้องมีเหตุผลบางอย่าง!’


‘หากเขาพูดจริง ข้า…ข้าไม่ควรไปลวงเกินเขาได้จริงๆ นอกจากนี้เขาก็ไม่ได้หลอกลวงสมบัติมีค่าหรือชีวิตอันใด มันเป็นแค่ยาระดับต่ำเท่านั้น…’ ชายชราตกตะลึงไปชั่วขณะ


ตอนนี้หลิวจินเปียวได้เดินออกมาจากอาราม แต่เหล่าศิษย์ของสำนักเมฆาก็เข้ามาหยุดเขา


หวังหลินเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจนและอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เขาคิดว่าหลิวจินเปียวต้องเจออะไรบ้างสักเล็กน้อยแต่หลายอย่างกลับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่หวังหลินก็อดชื่นชมไม่ได้


‘การแสดงนี้…สมจริงเกินไป…’ หวังหลินยิ้มและส่ายศีรษะ


ชายชราจ้องมองหลิวจินเปียวที่กำลังยืนอยู่นอกตำหนักและถูกศิษย์ของสำนักเมฆาล้อมรอบเอาไว้


‘หากข้ารู้ว่าเรื่องมันซับซ้อนขนาดนี้ ข้าคงไม่สนใจเขาแต่กลับเลยเถิดได้ขนาดนี้…แม้จะฟังดูน่าเชื่อถือแต่ก็ไม่น่าเชื่อถือด้วยเช่นกัน แต่หากข้าปล่อยเขาไป นั่นหมายความว่าข้าหวาดกลัวคำพูดเขาและคงเสียหน้ามากเกินไป…’ ชายชรากัดฟันและกำลังจะพูด


ทว่าจังหวะนี้เองหลิวจินเปียวหันกลับมา แขนขวาสัมผัสกระเป๋านำป้ายไม้ขนาดเท่าฝ่ามือโยนให้ชายชรา


หลิวจินเปียวมีท่าทีสงบนิ่งและพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น “หลังจากเห็นสิ่งนี้ ข้าจะให้เวลาเจ้าคิดสามลมหายใจ!”


ชายชรารับป้ายไม้สีดำมา หลังจากชำเลืองมองสีหน้าท่าทางจึงเปลี่ยนไป มีสองคำอยู่บนป้าย!


กุ้ยหยา!


‘วัตถุดิบธรรมดา มันแค่เศษไม้ธรรมดาแต่กลับมีกลิ่นอายที่ทำให้จิตใจข้าสั่นไหว กลิ่นอายนี้เต็มไปด้วยความตาย มันเป็นสิ่งพิเศษ!’ ก่อนหน้านี้ชายชราเกิดความสงสัย แต่หลังจากเห็นป้ายไม้เขาจึงมั่นใจประมาณเจ็ดถึงแปดในสิบส่วนว่าสิ่งที่หลิวจินเปียวพูดเป็นเรื่องจริง


หากหลิวจินเปียวนำป้ายออกมาก่อน ชายชราคงไม่เชื่อ แต่หลังจากหลิวจินเปียวพูดก่อนหน้านี้ ผลลัพธ์จึงแตกต่างกัน!


“หนึ่ง…สอง…” หลิวจินเปียวพูดช้าๆ ก่อนจะพูดคำว่า “สาม” ชายชรากัดฟันและโยนป้ายไม้กลับไปหาหลิวจินเปียว หลิวจินเปียวรับเอาไว้และมีเสียงมืดมนดังกึกก้องในหู


“เปิดประตูและ…ปล่อยเขาไป!”


ศิษย์ทั้งหมดของสำนักเมฆาที่อยู่นอกตำหนักถึงกับตกตะลึง สำนักเมฆาเป็นสำนักอันดับต่ำที่สุดในแคว้นมหาปราชญ์ พวกเขามีเซียนขั้นที่สามเพียงคนเดียวซึ่งอยู่ในระดับสวรรค์ดับสูญและปิดด่านบ่มเพาะตลอดทั้งปี


ส่วนชายชราอยู่ในขั้นทลายสวรรค์ เขาไม่กล้าเดิมพันด้วยเรื่องเล็กๆ แค่นี้


ท่าทีของหลิวจินเปียวเป็นธรรมชาติและพ่นลมหายใจอย่างเยือกเย็น เขาทะยานออกมาจากสำนักเมฆา พอออกมาได้ไกลแล้วจึงร่อนลงไปในป่าลึกอันเก่าแก่


วินาทีที่มาถึง ใบหน้าพลันซีดเซียวทันที เขาไม่สามารถควบคุมร่างกายได้อีกและเริ่มสั่นไหว เต็มไปด้วยสัมผัสแห่งความหวาดกลัว


‘อันตรายจริง!! บัดซบ ข้าเกือบทิ้งชีวิตอยู่ในแคว้นมหาปราชญ์แล้ว!’ หลิวจินเปียวสูดหายใจลึกและรู้สึกเจ็บใจ


‘ช่างโชคร้ายเรื่องเม็ดยามากมายพวกนั้น…ข้ายังทำได้ดีเกินไปจนเชื่อว่าเม็ดยาไร้ค่ายิ่ง…นี่…เสียเม็ดยามากเกินไป!!’ พอหลิวจินเปียวคิดถึงตอนที่เขาทิ้งเม็ดยาไปง่ายๆ ตอนนี้จึงมารู้สึกเสียใจ


‘ข้าควรนำออกมาน้อยๆ…มันจบกันแล้ว ข้าทิ้งความพยายามไปตลอดหลายปี…ข้าต้องเอามันกลับมาอีกครั้ง ข้าหลิวจินเปียวเกิดขึ้นมาอย่างแตกต่างและจะเอามันกลับมา!’ เขาสูดหายใจลึกและนั่งลงสงบจิตใจตัวเอง


ทว่าในจังหวะนั้นมีเสียงอ่อนโยนดังขึ้นด้านหลัง


“เจ้าบรรลุเต๋าแห่งการหลอกลวงขั้นที่สองได้อย่างสมบูรณ์แล้ว”


น้ำเสียงปรากฏขึ้นฉับพลันทำให้หลิวจินเปียวสั่นเทา ทว่าเขาสงบจิตใจลงทันทีและมองด้านหลังอย่างเยือกเย็น เขาเห็นชายหนุ่มผมขาวสวมชุดสีขาวกำลังมองมา


“ดูเหมือนสำนักเมฆาของเจ้าไม่อยากอยู่รอด!” หลิวจินเปียวพูดขึ้น คนตรงหน้าเขาให้ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก แม้เขาจะหลอกตัวเองเขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัว


“ข้าไม่ได้มาจากสำนักเมฆา” หวังหลินยิ้มพลางมองหลิวจินเปียวและนั่งลง สะบัดแขนนำขวดสุราออกมาจิบ


“ไม่ว่าเจ้าจะมาจากไหน หากเจ้ากล้าทำลายข้า นายท่านของข้าจะออกมาทำลายเจ้าทันที!” หลิวจินเปียวเสียงสั่นและถอยหลังโดยไม่รู้ตัว แม้จะใช้เต๋าแห่งการหลอกลวงขั้นที่สองก็ยังตัวสั่นและรู้สึกว่าการหลอกตัวเองกำลังพังทลาย ราวกับเขาไม่สามารถหลอกคนตรงหน้าได้


ตอนที่อยู่สำนักเมฆาเขาไม่มีความรู้สึกนี้ ความจริงเขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนในชีวิต ขณะที่ตัวสั่นเทาเขาก็เอนตัวพิงกับต้นไม้และจ้องมองหวังหลิน


“นายท่านของข้าคือผู้สูงส่งชั้นฟ้ากุ้ยหยา ผู้ติดตามมหาชั้นฟ้าชวงจื่อ ข้าฝึกฝนเต๋าแห่งการหลอกลวงด้วยคำอนุญาตจากนายท่าน ข้า…ข้ามีป้ายสิทธิ์ของนายท่าน!!” หลิวจินเปียวตัวสั่นพลางนำป้ายไม้สีดำออกมา ขณะที่กำลังจะสะบัดออกไป หวังหลินยื่นแขนออกมาทำให้ป้ายนั้นลอยเข้าสู่มือหวังหลิน


หวังหลินมองไม่กี่ครั้งและพูดอย่างอมยิ้ม “ทำของปลอมได้ดี เจ้าต้องหลอกตัวเองด้วยการใช้เต๋าแห่งการหลอกลวงขั้นที่สองเพื่อบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเจ้าคือผู้สูงส่งชั้นฟ้ากุ้ยหยา แล้วจึงเขียนลงไป”


“ส่วนกลิ่นอายของป้ายไม้…กลิ่นอายแห่งความตายอันทรงพลังนี้ เจ้าต้องไปเจอเข้ากับร่างเซียนอันทรงพลัง เจ้าได้วางป้ายไม้ไว้ข้างๆ กับร่างนั้นอยู่หลายปีจนกลิ่นอายแห่งความตายไปรวมเข้ากับป้าย!”


ทุกคำพูดของหวังหลินทำให้หลิวจินเปียวใบหน้าซีดยิ่งกว่าเดิม ขณะที่หวังหลินส่งยิ้มมาให้ หลิวจินเปียวรู้สึกจิตใจสั่นไหว เต๋าแห่งการหลอกลวงขั้นที่สองเพื่อไว้หลอกตัวเองจึงเกิดการพังทลายและเขาฟุบลงกับพื้น


เรื่องแบบนี้มันเกินจินตนาการ เขาหลอกลวงมาหลายปีแต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนอื่นมองทะลุออกอย่างสิ้นเชิง ยังไม่นับถึงส่วนสำคัญที่คนตรงหน้าเข้าใจเต๋าแห่งการหลอกลวงอย่างถ่องแท้


แม้กระทั่งรู้จักเต๋าแห่งการหลอกลวงขั้นที่สอง! รู้ว่าการหลอกลวงขั้นที่สองคือการหลอกตัวเอง


แม้หลิวจินเปียวจะมองไปที่รอยยิ้มนั้นเขากลับรู้สึกว่าจิตใจกำลังพ่ายแพ้ ราวกับความรู้สึกหวาดกลัวออกมาจากวิญญาณ


ความรู้สึกนี้ทำให้ยิ่งเขามองหวังหลินยิ่งทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย ราวกับเคยเจอหวังหลินที่ไหนมาก่อน…


“เจ้า…เจ้าเป้นใคร!?!” ร่างกายกำลังสั่นเทา สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเกินคำอธิบาย


‘สัญญาณบอกว่าผนึกกำลังพังทลายด้วยตัวเอง…’ หวังหลินประหลาดใจ เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าผนึกในความทรงจำของหลิวจินเปียวกำลังถดถอย


‘ดูเหมือนผนึกความทรงจำของชีวิตก่อนหน้านี้สามารถทำลายตัวเองได้เพียงแค่การกระตุ้นโดยไม่ต้องให้ข้าทำลายเอง…’ หวังหลินขบคิด


……………………………………………….



ตอนที่ 1943 ใต้สายฝน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เจ้ารู้เรื่องเต๋าแห่งการหลอกลวงของข้าได้อย่างไร? เจ้า…เจ้าเป็นใคร?” หลิวจินเปียวร่างสั่นเทา ความหวาดกลัวทับซ้อนกับความหวาดกลัวในวิญญาณ ราวกับเขาเคยเจอเรื่องนี้เมื่อในอดีตมาก่อน


“เจ้าบอกข้าเอง” หวังหลินจิบสุรา


“เป็นไปไม่ได้!! นายท่านของข้าคือผู้สูงส่งชั้นฟ้ากุ้ยหยา ข้า…ข้า…หากเจ้าทำร้ายข้า เจ้าจะต้องตาย! นอกจากนี้ข้าก็ไม่เคยเห็นหรือไปหลอกลวงเจ้า เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร…” หลิวจินเปียวยิ่งมีแววตาหวาดกลัวอย่างรุนแรงจนคำพูดไม่ปะติดปะต่อ


“เว้นแต่…เว้นแต่เจ้าจะเป็นคนที่เดินบนเส้นทางเดียวกัน?” หลิวจินเปียวจ้องหวังหลินโดยไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่


“เจ้าชื่อหลิวจินเปียวและข้าชื่อหวังหลิน เจ้าจำได้หรือไม่?” หวังหลินวางขวดสุราลงและมองหลิวจินเปียว


“หวังหลิน…หวังหลิน…คุ้นๆ…” หลิวจินเปียวเต็มไปด้วยสายตาสับสนและดูเหมือนจะนึกออก ไม่นานเขาก็เริ่มสั่นสะท้าน ใบหน้าเกิดความเจ็บปวด


‘ดูเหมือนเขาไม่สามารถทำลายผนึกด้วยตัวเองได้ เขาทำไม่ได้และโจวยี่ก็ทำไม่ได้ ข้าสงสัยว่าจะมีใครสักคนสามารถทำลายผนึกด้วยตัวเองได้หรือไม่’ หวังหลินถอนหายใจ เขาไม่สามารถทนเห็นหลิวจินเปียวทุกข์ทรมานได้ จึงยกนิ้วขึ้นมาชี้ใส่กลางหน้าผากของหลิวจินเปียว


เพียงเท่านั้นเสียงดังกึกก้องในจิตใจหลิวจินเปียวราวกับสายฟ้านับล้านสายระเบิดในคราเดียว


ภาพทัศนวิสัยพร่าเลือนและเห็นชีวิตของตัวเองหลายร้อยปี เขาได้ใช้เต๋าแห่งการหลอกลวงครั้งแล้วครั้งเล่า…


“มหาเทพจินเปียว เทพผู้เป็นอมตะ! ชื่อนี้ยอดเยี่ยม ในอนาคตพวกเจ้าทั้งหมดจะต้องตะโกนแบบนี้ ข้าแซ่หลิว ตั้งแต่นี้ไปข้าจะชื่อหลิวจินเปียว ช่างเป็นชื่อที่มีอำนาจ!”


“เมื่อกลายเป็นเทพ แม้แต่หมูหมากาไก่ก็สามารถไต่เต้าขึ้นสวรรค์ได้! ฮ่าฮ่า ประโยคนี้ข้าสร้างขึ้นมา เพียงเท่านี้ข้าก็จะมีชื่อเสียงทั่วแคว้นมหาปราชญ์!”


“อาห์ การพักอยู่นานเกินไปไม่ใช่เรื่องดี ไปที่แคว้นมหาปราชญ์จะเป็นเรื่องดีที่สุดสำหรับข้า…”


“เทพผู้นี้ได้จุติลงมาแล้วและเป็นธรรมดาที่จะมีรูปร่างเหมือนเด็ก พวกคนธรรมดาแบบเจ้าจะเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างไร?”


“เอ๋ พวกคนธรรมดาช่างน่าสนใจ พวกเจ้าคุกเข่าเบื้องหน้าเทพที่ไม่ใช่เทพ แต่อยากยืมพลังของเทพให้กลายเป็นราชา? เรื่องนี้…ง่ายดายนัก!”


“โถ่ บางทีในชาติก่อนข้าคงไปหลอกลวงใครไว้ครั้งใหญ่ ไม่เช่นนั้นข้าจะไปรู้วิธีหลอกลวงผู้คนตอนที่ข้าเข้าใจโลกรอบตัวได้อย่างไร…”


“เจ้าดูเหมือนโจรและไม่สามารถเป็นคนดีได้ เจ้าชื่ออะไร? อะไรนะ เจ้ารู้สึกว่าควรถูกเรียกว่าฉวี่ลี่กั๋ว? เจ้าคิดว่าเจ้าควรจะชื่อนั้นหรือ? ช่างมันเถอะ เทพคนนี้จะช่วยเจ้าทำนายอนาคต จงไปที่แคว้นกลาง ใช่แล้วแคว้นกลางนั่นแหละ ที่นั่นเจ้าจะได้เจอโชควาสนา”


“นี่เป็นครั้งแรกที่เทพผู้นี้ได้จุติลงมาในโลกมนุษย์ แต่บรรพชนเจ้าเป็นคนมีคุณธรรม ช่างมันเถอะ ข้าจะอาศัยอยู่ที่นี่และช่วยพวกเจ้า”


“ฮึ่มฮึ่ม ข้าแค่อายุเจ็ดปีแต่หลอกลวงได้เกือบทุกคน ดูเหมือนข้าต้องออกไปพัฒนาตัวเองที่ไหนสักแห่งแล้ว…”


“เอ๋ น้องชาย ลูกอมนี่มันยอดเยี่ยมจริงๆ ขอข้ากัดสักหน่อยได้หรือไม่…” ความทรงจำสุดท้ายเป็นตอนที่เขาอายุสี่ขวบและพยายามหลอกลวงลูกอมของเด็กน้อยตระกูลหลิน


ความทรงจำในอดีตแล่นผ่านเข้ามาในใจ สายฟ้าดังสนั่นกึกก้องพร้อมกับมีวังวนเข้ากลืนกินความทรงจำทั้งหมด พอมันยิ่งรุนแรงขึ้นเขาก็ได้เห็นชีวิตอีกด้าน


เขาเห็นตัวเองพยายามดิ้นรนบ่มเพาะและค่อยๆ ค้นพบเต๋าแห่งการหลอกลวง แต่เขาค้นพบสมบัติที่ทำให้ตัวเองสามารถล่องหนได้ ท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้ต่อเซียนชื่อหวังหลิน…


หลังจากผ่านมาหลายปี เขาติดตามคนผู้นั้นจนกระทั่งได้มาเกิดใหม่


เขาจำสหายคนเก่าฉวี่ลี่กั๋วได้ แม้ฉวี่ลี่กั๋วจะทำอะไรหลายอย่างที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัด ทั้งคู่กลับมีนิสัยแย่ๆ เหมือนกัน ดังนั้นจึงเป็นสหายที่ดีต่อกันได้


ความทรงจำของสองชีวิตค่อยๆ ทับซ้อนกันจนทัศนวิสัยของหลิวจินเปียวไม่พร่าเลือนอีกแล้ว เขามองหวังหลินที่กำลังดื่มสุรา หยาดน้ำตาไหลลงเป็นสาย


ทั้งหมดนี้ดูเหมือนภาพลวงตาคล้ายกับเป็นแค่ความฝัน  พอเขาหลับตาเขายังอยู่ในโลกแห่งความฝัน พอเขาลืมตาขึ้นมาราวกับทั้งหมดเสมือนความฝันที่มิอาจลืมเลือนได้ แม้แต่ตอนนี้ที่เขาตื่นยังรู้สึกงุนงง


ทว่าความงุนงงสับสนพลันสลายหายไปหลังจากเขาเห็นหวังหลิน


“นาย…นายท่าน…” หลิวจินเปียวเต็มไปด้วยสายตาตื่นเต้น แม้จะหลอกลวงอะไรหลายอย่าง เขาไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นแบบนี้จากหัวใจมาก่อน


หวังหลินเผยรอยยิ้มมีความสุขเช่นกัน เขาหัวเราะพลางมองหลิวหจินเปียวและมอบสุราในมือให้


“ดื่มสักอึกแก่การพบเจอกันบนแผ่นดินเซียนดารา”


หลิวจินเปียวรับขวดด้วยแขนซ้ายที่กำลังสั่นเทาและดื่มไปอึกใหญ่ สุราเผ็ดร้อนเข้าไปในลำคอและสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย ทำให้เขาตัวสั่นและมีสมาธิขึ้นมา


หลิวจินเปียวมองขวดในมือพลางพึมพำ “เดิมทีข้าคิดว่าเต๋าแห่งการหลอกลวงของข้าบรรลุขั้นสูงสุดของระดับสองไปแล้ว ข้าสามารถหลอกตัวเองเพื่อให้เชื่ออะไรก็ได้ในทันที”


“แต่ความฝันนี้ไม่เหมือนความฝัน การเกิดใหม่ทำให้ข้าเข้าใจว่านี่คือจุดสูงสุดของการหลอกลวงขั้นที่สอง…หากข้าเข้าใจเรื่องนี้ก่อนที่ข้าจะเกิดใหม่ ข้าคงหลอกตัวเองให้กลายเป็นคนดี หลังจากเกิดใหม่ข้าก็คงกลายเป็นคนแบบนั้นต่อไป…” หลิวจินเปียวส่ายศีรษะพลางมองหวังหลิน สายตาตื่นเต้นค่อยๆ หายไปและโค้งคำนับหวังหลิน


“ทำไมถึงคำนับข้า?” หวังหลินยิ้มและมองหลิวจินเปียว


“นายท่านทำให้ข้าได้เกิดใหม่ ดังนั้นข้าต้องคำนับท่าน!”


“นายท่านทำให้ข้าเข้าใจถึงการหลอกลวงที่แท้จริงผ่านการเกิดใหม่ ดังนั้นข้าต้องคำนับท่าน!”


“ข้าไม่ใช่นายของเจ้า ก่อนที่เจ้าได้เกิดใหม่ เจ้าเป็นอิสระ และหลังจากเกิดใหม่ก็ยังเป็นอิสระ” หวังหลินส่ายศีรษะ


“นี่…แผ่นดินเซียนดาราแห่งนี้อันตรายเกินไป การติดตามนายท่านเป็นเรื่องที่ดีกว่า…” หลิวจินเปียวยิ้มอย่างขมขื่น


หวังหลินหัวเราะและมองหลิวจินเปียว เสียงหัวเราะยิ่งมีความสุขมากขึ้น


“ช่างมันเถอะ ติดตามข้า ข้าจะปกป้องเจ้าแน่นอน!” หวังหลินสะบัดแขน สายลมอ่อนโยนพาเขาและหลิวจินเปียวขึ้นสู่ท้องฟ้า


“ไปสำนักตงหลินกับข้า ตอนนี้ความทรงจำของเจ้าฟื้นคืนแล้ว เจ้าจะต้องรีบฟื้นคืนระดับบ่มเพาะให้เร็ว”


ปลิวจินเปียวลังเลและกระซิบ “นายท่าน ความทรงจำในชาตินี้ของข้า ดูเหมือนข้าได้เจอกับ…ฉวี่ลี่กั๋ว”


“โอ้?” หวังหลินหยุดมองหลิวจินเปียว


“เจ้าเจอเขาที่ไหน?”


“เอ่อ…ตอนนั้นข้าไม่มีความทรงจำกลับคืนมา ข้าอยู่ในแคว้นวารีสวรรค์ในแผ่นดินทิศตะวันออก ข้าเห็นโจรภูเขาหัวรุนแรงที่บอกตัวเองว่าควรจะชื่อฉวี่ลี่กั๋ว ตอนนั้นข้ามีชื่อเสียงหลายแห่ง…เอ่อ ไม่มีชื่อเสียงแบบนั้นหรอก”


“เขาชวนข้าขึ้นภูเขาและรอให้ข้าชี้แนะ ข้าก็ชี้แนะสุ่มๆ ให้และบอกให้ไปแคว้นกลาง…” พอหลิวจินเปียวพูดขึ้น เขายิ่งละอาย


หลิวจินเปียวเสริม “เรื่องนี้มันหลายร้อยปีก่อนแล้ว…”


หวังหลินขบคิดชั่วขณะ ภาพฉวี่ลี่กั๋วพยายามเลียแข้งเลียขาได้ปรากฏขึ้นในใจ หวังหลินเผยรอยยิ้มบนใบหน้า


“ด้วยนิสัยของฉวี่ลี่กั๋ว เขาจะไม่ทุกข์ยากอะไรนักหรอก หากยังอยู่แถวนี้คงได้เจอโชควาสนา หลังจากนี้ข้าจะไปที่แคว้นกลาง หากเป็นไปได้เราอาจได้เจอเขา”


“หากข้าได้เจอเขาจริงๆ ข้าสงสัยนักว่าตอนเห็นข้าจะมีสีหน้าอย่างไร” หวังหลินยิ้มกว้าง


หลิวจินเปียวหัวเราะเบาๆ และลอบคิดว่าเขาเป็นคนแรกที่ได้ติดตามนายท่านหลังจากมาเกิดใหม่ ตอนนี้ฉวี่ลี่กั๋วเป็นอันดับสองแล้ว เขาจะต้องใช้ข้อได้เปรียบที่คืนความทรงจำก่อน เพื่อตอบแทนกับเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกถ้ำ…


“ใครจะปล่อยให้เขาใช้เรื่องที่ติดตามนายท่านคนแรกมากลั่นแกล้งข้า?” พอหลิวจินเปียวคิดแบบนี้ก็ยิ่งตื่นเต้น


หลิวจินเปียวและซือถูหนานไม่ได้คุ้นเคยกันนัก ภายในความทรงจำส่วนลึกเขาได้หลอกเจ้าคนที่อยากกลายเป็นราชา แต่ก็ลืมเลือนไปนานแล้ว…


หวังหลินทะยานเข้าหาสำนักตงหลินพร้อมกับหลิวจินเปียว


สำนักตงหลิน สำนักอันดับหนึ่งแห่งแคว้นมหาปราชญ์และเป็นหนึ่งในเก้าสำนักสิบสามกองกำลัง ซึ่งเป็นสำนักลึกลับอยู่เสมอ คนนอกแทบไม่รู้เลยว่าสำนักนี้ซ่อนความลึกลับมากแค่ไหน


หวังหลินเคยไปสำนักตงหลินในโลกถ้ำมาก่อน ตอนนี้เขาได้เข้าใกล้สำนักตงหลินขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่มองพื้นด้านล่าง ภูเขาของสำนักตงหลิงยิ่งดูคุ้นเคยอย่างเลือนลาง


ตำแหน่งของสำนักตงหลินนั้นธรรมดามาก ค่ายกลป้องกันสำนักไม่สามารถหยุดยั้งหวังหลินได้เลย


หวังหลินเข้าสำนักตงหลินพร้อมกับหลิวจินเปียว เขาไม่ได้เข้าบ่อน้ำตงหลินทันทีแต่ไปยังที่ที่ซูต้าว อดีตราชันย์เทพสีรุ้งเคยพักอาศัย


ใต้ภูเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง หวังหลินได้ยินเสียงสายน้ำไหลเอื่อยและเห็นแม่น้ำใสกระจ่าง มีปลาจำนวนมากอยู่ในแม่น้ำและมีเด็กกำลังตักน้ำอยู่คนหนึ่ง


หวังหลินก้าวเดินขึ้นภูเขาไปทีละขั้นและมีหลิวจินเปียวติดตามมา มีเซียนหลายคนเดินผ่านไปแต่ไม่มีใครสังเกตทั้งสองได้เลย ราวกับไม่ได้อยู่ในมิติเดียวกัน


พอหวังหลินก้าวไปบนยอดเขา ก้อนเมฆสีดำปรากฏขึ้นในท้องฟ้าและสายฝนก็เริ่มตกลงมา สายฝนไหลลงหลังคาของอารามตรงหน้า


สายฝนทำให้น้ำกระฉอกไปบนพื้นหินสีเขียว หยดน้ำคล้ายกับกระเด็นขึ้นไปแต่มันกลับหายกลางอากาศ


ฉากเหตุการณ์นี้คล้ายกับภาพมายาเมื่อตอนนั้น…หวังหลินรู้สึกพูดไม่ออกราวกับมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ภายใต้สายฝนนี้


ขณะที่หวังหลินยืนอยู่ใต้สายฝน เขาหลับตาและสงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหว


……………………………………………………..



ตอนที่ 1944 ความฝันขัดขวางการเกิดใหม่

โดย

Ink Stone_Fantasy

หวังหลินยืนอยู่ตรงจุดเดิมในเวลาและสถานที่ที่แตกต่างกัน ช่างเป็นจังหวะที่หาได้ยากยิ่งและหวังหลินไม่รู้ว่าคนอื่นได้พบเจอเรื่องนี้หรือไม่ แต่เขากำลังพบเจออยู่ในตอนนี้


หวังหลินยืนเหมือนตอนที่เข้าไปในความฝันบนดาวซูซาคุ เขาตกอยู่ในสภาวะรู้แจ้งท่ามกลางสายฝน แม้ดวงตาจะหลับใหลแต่ในใจมีอีกโลกหนึ่ง


ราวกับเด็กที่ออกมาจากบ้าน ผ่านไปหลายสิบปีเขาได้เห็นบางสิ่งที่ดูคุ้นเคย ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเหน็ดเหนื่อยสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถลืมความรู้สึกอันคุ้นเคยที่ตัวเองจากมาได้


หวังหลินหลับตาและเชื่อมความรู้สึกนี้เข้ากับเหตุการณ์ในโลกถ้ำ ร่างกายเขากลายเป็นสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโลกถ้ำกับแผ่นดินเซียนดาราเอาไว้


“สายฝนนี่ช่างคุ้นเคย…เสียงสายฝนกระทบพื้นหินสีเขียวก็ดูคุ้นตา…” หวังหลินพึมพำกับตัวเอง ผ่านไปสักพักจึงลืมตาขึ้นมาและมองภูเขา อาราม ลานกว้างและเตาหลอมที่อยู่บนลาน ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้เขาเข้าใจบางอย่างได้เลือนลาง


‘ชีวิตเหมือนความฝัน ความฝันเหมือนชีวิต…ข้าเข้าใจเต๋าแห่งความฝันบนดาวซูซาคุ…ข้ารู้ว่านี่มันยังไม่จบ…’ หวังหลินยืนนิ่งและไม่สะทกสะท้าน


หลิวจินเปียวยืนอยู่ด้านหลังหวังหลิน สายตาเต็มไปด้วยความสับสน หวังหลินไม่ได้คิดอยู่เงียบๆ แต่ออกเสียงตามความคิดของตัวเองด้วย พอหลิวจินเปียวได้ยินจึงคล้ายกับเข้าใจอะไรบางอย่าง


“ข้าใช้แขนซ้ายเป็นชีวิต แขนขวาเป็นความตาย…เปิดฝ่ามือเป็นเหตุแห่งกรรม ปิดฝ่ามือคือผลแห่งกรรม…ลืมตาคือความจริง หลับตาคือความเท็จ ข้าใช้สามสิ่งนี้เพื่อสร้างโลกของตัวเอง…โลกแห่งความฝัน…”


“ในภาพมายา ข้าเห็นสายฝนที่อยู่ตำแหน่งเดียวกัน ในโลกความจริงแห่งนี้ ข้าได้ยืนที่นี่และเห็นสายฝนเช่นกัน…”


“โลกที่สายตาข้ากำลังมองเห็น…เพราะข้าเห็นมัน มันดำรงอยู่…” สายฝนทำให้ทุกอย่างพร่ามัว ศิษย์บางคนรีบทะยานลงจากภูเขาและเดินผ่านหวังหลิน สายฝนมาเร็วเกินไปทำให้ศิษย์ส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมตัว


ทว่าพวกเขาดูเหมือนไม่สามารถมองเห็นหวังหลินและหลิวจินเปียว ราวกับทั้งสองไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น


“ข้าใช้ดวงตาของข้าเพื่อมองโลก ต้นไม้ใบหญ้าสะท้อนในตาข้า ข้าคิดว่าเพียงแค่ข้าลืมตา โลกนั้นคือความจริง หากข้าหลับตา ทุกอย่างคือเรื่องเท็จ…นี่คือความจริงและเท็จ ข้าคิดว่าหลังจากข้าหลับตา ต้นไม้ใบหญ้าก็คงจะหายไป…แต่มันจะหายไปจริงๆ หรือไม่…”


“อะไรดำรงอยู่และอะไรไม่ดำรงอยู่ ข้ามองโลกด้วยสายตาของข้าและโลกก็หันกลับมามองที่ข้า…พอข้าหลับตา ทุกอย่างกลายเป็นเท็จ แต่หากโลกหลับตาของมัน…มันจะกลายเป็นเท็จด้วยหรือไม่…” หวังหลินมองสายฝนที่กำลังตกลงมาจากท้องฟ้า


“ข้าไม่เข้าใจว่านายท่านพูดอะไร แต่ข้ารู้สึกว่าการเกิดใหม่ทำให้ข้าเข้าใจเต๋าแห่งการหลอกลวงขั้นที่สอง เมื่อท่านเชื่อมัน การหลอกตัวเองไม่ใช่จุดจบ ท่านต้องทำให้โลกเชื่อด้วย…”


“การหลอกตัวเจ้าเองนั้น ความเป็นจริงคือการหลอกวัฎจักรแห่งการเกิดใหม่! ในเมื่อข้าหลอกลวงการเกิดใหม่ได้ ข้าก็สามารถทำอะไรได้ตามที่ต้องการ สรวงสวรรค์ไม่สามารถต่อต้านเจตนาของข้าได้ วัฎจักรแห่งการเกิดใหม่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งวิญญาณข้าได้ หลอกลวงโลก หลอกลวงเวลา…”


“ข้าไม่เข้าใจเรื่องนี้มาก่อน แต่หลังจากตื่นขึ้นจากการเกิดใหม่ ข้าจึงเข้าใจ…” หลิวจินเปียวพึมพำด้านหลังหวังหลิน


“ใครเป็นคนกำหนดว่ามีสุดยอดเต๋าทั้งสิ้นสามพันรูปแบบ? ใครเป็นคนเลือก? เต๋าแห่งการหลอกลวงถูกผู้คนปฏิเสธเพราะความละอาย แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเต๋าแห่งการหลอกลวงเป็นหนึ่งในสุดยอดเต๋าทั้งสามพัน!” ความฝันของหลิวจินเปียวสามารถทำให้เต๋าแห่งการหลอกลวงกลายเป็นหนึ่งในสุดยอดเต๋าได้!


แม้ในชีวิตนี้เขาก็ยังทำได้เหมือนเดิม


“ฟ้าดินสร้างแก่นแท้ขึ้นมา เซียนแบบเราบ่มเพาะแก่นแท้ นายท่านเคยบอกครั้งหนึ่งว่าเมื่อท่านได้แก่นแท้มา ท่านจะสามารถบรรลุขั้นที่สามได้! ในความคิดข้า เต๋าแห่งการหลอกลวงมีอยู่สามขั้น ขั้นแรกคือหลอกลวงคนอื่น ขั้นที่สองคือหลอกตัวเอง และขั้นที่สามคือคืนสู่สามัญเพื่อกลืนกินตัวเองที่ไปหลอกคนอื่น!”


“คนอื่นที่ว่าเป็นเพียงแค่ชื่อเรียกแต่ความจริงมันมีทั้งฟ้าดิน เวลา การเกิดใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่าง! เพื่อหลอกลวงโลก หลอกลวงกาลเวลา หลอกลวงสุดยอดเต๋าในโลกนี้!!”


“แม้กระทั่งเต๋าก็สามารถหลอกลวงได้ และข้าจะกลายเป็นเทพ!”


“เต๋าทั้งหมดกลับคืนสู่จุดกำเนิดเดียวกัน ขั้นที่สามของการคืนสู่ต้นกำเนิดก็เหมือนกับที่นายท่านพูดก่อนหน้านี้ หากท่านหลับตา ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวจะหายไปหรือไม่? หากสวรรค์หลับตาของมัน ท่านและข้าจะไม่มีตัวตนหรือไม่?” หลิวจินเปียวพึมพำ สายตาสับสนค่อยๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น ราวกับสายฟ้าได้จุดประกายในความมืดมิด


คำพูดเขาเข้าไปถึงหูของหวังหลินและทำให้จิตใจหวังหลินสั่นเทา ค่อยๆ เข้าใจอย่างเลือนลาง


ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือหลิวจินเปียว ทั้งคู่ต่างก็สั่นเทาจากการพิสูจน์เต๋าของตัวเอง เส้นทางแห่งเต๋านั้นโดดเดี่ยว แต่หากได้เห็นอีกคนกำลังดิ้นรน เส้นทางนั้นจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป และสามารถพิสูจน์เต๋าของตัวเองได้!


“เจ้าได้ข้อสรุปว่าใช้เต๋าเพื่อหลอกลวงโลก ข้าใช้ชีวิตข้าเป็นเต๋าเพื่อฝืนชะตากรรม…ความจริงเราทั้งคู่ต่างก็กำลังบ่มเพาะจิตใจของเราเอง…” หวังหลินหลับตา


“ในสายตาข้า โลกมีรูปร่างแบบข้า…หากข้าหลับตา โลกก็จะไม่คงอยู่อีกต่อไป…หากโลกหลับตา ข้าก็ยังอยู่! หากข้าสามารถไปถึงสภาวะที่ข้าลืมตาและโลกหลับตาได้ โลกก็จะอยู่นิ่งตราบนานเท่าที่ข้ามีชีวิต จากนั้นข้าจะก้าวข้ามขึ้นไป” หวังหลินสูดหายใจลึกและลืมตา


“ข้าพบเจอเรื่องราวความเป็นความตาย ข้ามผ่านเวรกรรมและค้นหาความจริงเท็จเพื่อตัวข้าที่จมอยู่ในทะเล…หากจะมีแก่นแท้นามธรรมที่สี่ขึ้นมา มันก็คงเป็นการเกิดใหม่…”


“การเกิดใหม่นี้ไม่ใช่วัฏจักรแห่งชีวิตและความตาย แต่เป็นวัฏจักรของโลก ไร้วิญญาณที่มีแต่เต๋า…เป็นการเกิดใหม่ของทุกสิ่งทุกอย่าง…” หวังหลินสูดหายใจลึกพลางยกเท้าและเดินไปข้างหน้าท่ามกลางสายฝน


“ยับยั้งเต๋าแห่งสวรรค์ วิญญาณทั้งหมดใต้อำนาจสวรรค์จะต้องทนทุกข์กับทัณฑ์สวรรค์ ใช้ความเชื่อมั่นของตัวเองเดินผ่านเส้นทางแห่งการทำลายล้างและก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งเต๋าที่แท้จริง!”


“เผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้จักอย่างไร้ขอบเขต วิญญาณทั้งหมดต้องขจัดคำถามในชีวิตและทะลวงจนเป็นอิสระจากแผนการแห่งสวรรค์ จนได้รับเส้นทางแห่งชีวิตและเดินบนเส้นทางแห่งเต๋าที่แท้จริง!”


“กักขังโชควาสนาและผนึกโลกเบื้องล่าง คนที่ไม่บรรลุเต๋าที่แท้จริงจะจมเข้าไปในทะเลแห่งความทุกข์ทรมานและหลงทางแห่งเต๋าที่แท้จริงไปตลอดกาล จงเดินบนเส้นทางแห่งเต๋าที่แท้จริง!”


เขาเข้าใจแล้ว


ประโยคเต๋านี้ซับซ้อนมากและเขาตอนนั้นแทบไม่เข้าใจ ตอนนี้พอมาที่นี่ ใต้สายฝนบนภูเขาสำนักตงหลิน เขาจึงเข้าใจความหมายของมัน


“คนที่ไม่บรรลุเต๋าที่แท้จริงจะจมลงไปในทะเลแห่งความทุกข์ทรมานและหลงทางแห่งเต๋าที่แท้จริงไปตลอดกาล…”


“วิญญาณทั้งหมดใต้อำนาจสวรรค์จะต้องทนทุกข์กับทัณฑ์สวรรค์ ใช้ความเชื่อมั่นของตัวเองเดินผ่านเส้นทางแห่งการทำลายล้าง…”


“ข้ารู้แจ้งชีวิตและความตาย มันคือเชือกเส้นหนึ่ง ปลายหนึ่งคือชีวิตและปลายอีกด้านคือความตาย เชื่อมต่อกันกลายเป็นวงกลม”


“ข้ารู้แจ้งเวรกรรม เวรกรรมเสมือนตาข่าย มันเกิดขึ้นจากชีวิตและความตายมากมายจนกลายเป็นตาข่ายยักษ์ ทุกชีวิตข้างในต่างก็พบว่าทะลวงออกมาเป็นอิสระได้ยากมาก”


“ข้ารู้แจ้งจริงเท็จ จริงเท็จเสมือนม่านแห่งความฝัน ทุกคนมีม่านแห่งความฝันอยู่ในใจ พอคิดว่าตัวเองตื่นก็จะไม่รู้สึกตัวว่าโลกที่อยู่เป็นเพียงแค่ความฝัน…”


“ทุกอย่างรอบตัวเจ้าเป็นแค่ส่วนหนึ่งของความฝัน…ทุกคนล้วนมีความฝันของตัวเองที่ไม่สามารถปลุกให้ตื่นได้ มันเหมือนวงกลมหนึ่งชั้นรอบตัวเจ้า พอคิดว่าเจ้าตื่นขึ้นมาและเดินออกมาจากวงกลม เจ้าก็แค่อยู่ในวงกลมอีกวง”


“นี่คือสิ่งที่ข้าตอบสามคำถามกับลี่เฉียนเหมย…”


“ข้าเชื่อมชีวิตและความตายให้กลายเป็นตาข่ายเวรกรรมขนาดใหญ่ ข้าลืมตาในความฝัน ใช้จริงเท็จเพื่อโยนตาข่ายเข้าไปในความฝันและจับปลา…ปลาตัวนั้นคือข้าเอง!” หวังหลินมีสายตาเปล่งประกายและเดินต่อไปข้างหน้า


เขาเข้าใจว่านี่เกี่ยวข้องกับหลิวจินเปียว ถ้าไม่ใช่เพราะเต๋าแห่งการหลอกลวง หวังหลินก็ยังคงสับสนและคงไม่สามารถมองทะลุแก่นแท้นามธรรมทั้งสามของเขาได้อย่างสมบูรณ์


หลิวจินเปียวติดตามเขามาและดูเหมือนจะเกิดความรู้แจ้ง ตอนที่เขามองหวังหลิน เขารู้สึกว่าหวังหลินนั้นแตกต่าง แต่ไม่รู้ว่าทำไม


ราวกับมีชั้นหมอกหนึ่งชั้นรอบตัวหวังหลิน หมอกนี้มองไม่เห็นแต่เขารู้สึกเหมือนมาจากความฝันที่ดูสมจริง


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หากหวังหลินตื่นจากความฝัน ทุกอย่างก็จะชัดเจน


“สำนักตงหลินเป็นสำนักที่ลึกลับสำหรับข้ามาก ศิษย์ส่วนใหญ่แทบไม่เคยออกไปไหนและบ่มเพาะในสำนักเท่านั้น…ข้าคิดว่านี่คือกฎระเบียบที่สำนักจัดตั้งขึ้นมา…”


“แต่หลังจากข้าเข้ามาที่นี่ ข้ารู้สึกถึงบางอย่างอันคุ้นเคยและได้เข้าใจเกี่ยวกับเต๋าของตัวเอง ทั้งยังเกี่ยวข้องกับสภาวะจิตใจของข้าด้วย!”


หวังหลินปรากฏตัวบนยอดตำหนัก ยืนให้สายลมพัดเรือนผมและเสื้อผ้า เขามองลงมาจนเห็นสำนักตงหลินได้มากกว่าครึ่งสำนัก


จากมุมมองของหวังหลิน ทั้งสำนักตงหลินนั้นกว้างใหญ่มาก เขาเห็นศิษย์ในสำนักทะยานผ่านสายฝนและมีเซียนหลายคนบ่มเพาะในที่พักของตัวเอง


เขายังเห็นความงดงามของภูเขาภายใต้สายฝนและต้นไม้ที่มีชีวิตชีวา…


พอมองออกไป หวังหลินเกิดแววตาเศร้าหมอง


‘ซูต้าว…ไม่รู้ว่าที่นี่เหมือนตอนที่ท่านอยู่หรือไม่…แต่ตอนนี้สำนักตงหลิน…เป็นสำนักไร้ชีวิตไปแล้ว!’


‘ทั้งหมดต่างก็ตกอยู่ในความฝัน…มิน่าเล่าสำนักตงหลินจึงลึกลับและศิษย์แต่ละคนแทบไม่ออกมาเลย…’ หวังหลินถอนหายใจและค่อยๆหลับตา


เขาเห็นสำนักตงหลินที่คนนอกมิอาจมองเห็น!


…………………………………



ตอนที่ 1945 สำนักไร้ชีวิต

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภูเขาสีเขียวไม่มีอยู่แล้ว…มันกลายเป็นภูเขาตายซาก


น้ำไม่กระจ่างสดใสและยังมีกลิ่นเหม็น


แม้แต่สายลมที่พัดผ่านยังเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและกลิ่นเน่าเปื่อย


ตำหนักตั้งเรียงกันอย่างซับซ้อนเต็มไปด้วยฝุ่น พวกมันดูเหมือนทรุดโทรมมาก


ชั้นหินที่นำทางขึ้นสู่ภูเขาได้รับความเสียหายมาก สายลมโหยหวนบรรเลงเพลงเศร้า


ศิษย์สำนักตงหลินที่หวังหลินเห็นว่าเดินผ่านสำนักนั้นกลายเป็นโครงกระดูกกระจายไปทั่วลานกว้าง ตำหนักและขั้นบันได พวกเขาเน่าเปื่อยไปนานแล้วและเหลือเพียงแค่โครงกระดูก


ศิษย์สำนักตงหลินข้างในตำหนักที่กำลังบ่มเพาะอยู่ทั้งหมดก็เหมือนกัน พวกเขาเป็นแค่โครงกระดูก…


นี่มันสำนักไร้ชีวิต!


ไม่มีร่องรอยพลังชีวิตและเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายที่รุนแรง…


แต่มีความฝันที่เกิดขึ้นทับกับกลิ่นอายแห่งความตายแห่งนี้ เป็นความฝันที่มีภาพมายาของผู้คนมากมายที่ตายที่นี่ ราวกับศิษย์สำนักตงหลินไม่รู้ว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว…


พวกเขายังคงฝึกฝนในความฝันแห่งนั้น


นี่คือเหตุผลว่าทำไมตอนที่หวังหลินและหลิวจินเปียวยืนอยู่ที่นี่ ศิษย์สำนักตงหลินทั้งหมดจึงแค่เดินผ่านพวกเขาไป ไม่ใช่ว่าหวังหลินไม่มีตัวตน แต่เป็นพวกเขาที่ไม่มีตัวตนอยู่แล้ว


คงไม่เหมาะสมนักที่จะเรียกพวกเขาว่าผี เพราะหวังหลินเห็นว่าไม่ใช่ผีแต่เป็นเพียงความฝันที่ไม่รู้ว่าตัวเองตาย…ในความฝันนี้แม้คนนอกจะเข้ามาก็ยังยากที่จะสังเกตเห็น ราวกับพวกเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความฝันและร่วมเข้าไปด้วย


สถานที่แห่งนี้ถูกทำลายไปนานหลายปีแล้ว เขาไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหน…แต่เข้าใจว่าคนที่เข้ามาโดยไม่รู้ว่าที่นี่เป็นสำนักไร้ชีวิตก็แค่มาพักเป็นแขกและจากนั้นก็จากไป…


กระนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเป็นคนแรกที่มองทะลุที่นี่ออก!


เพราะเขาเห็นอารามขนาดใหญ่อยู่ใจกลางสำนักตงหลิน มีพลังชีวิตอันแข็งแกร่งเต็มไปด้วยความเศร้าได้คงอยู่ที่นั่นอย่างเงียบเชียบ


พลังชีวิตนั้นเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวและเศร้าโศก ราวกับเด็กน้อยที่พลัดพรากจากตระกูลและญาติมิตรทั้งหมด หลังจากร้องไห้อยู่ในซากปรักหักพังมานาน เด็กคนนั้นก็คุ้มครองที่นี่เงียบๆ


ไม่มีใครอยู่กับเขา ทั้งหมดได้ทิ้งซากปรักหักพังและร่างศพที่ตายเอาไว้ ในความโดดเดี่ยวและเศร้าหมองนั้นความฝันก็ได้ก่อตัวขึ้น ในความฝันนี้ภูเขาสีเขียว สายน้ำกระจ่างสดใส สำนักตงหลินมีแต่ศิษย์ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา…


หากหวังหลินมาที่นี่ก่อนที่จะเข้าใจแก่นแท้นามธรรมของตัวเอง เขาคงไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ แต่ตอนนี้เขามองออกและหลับตาถอนหายใจ


พอสายลมผ่านไปหวังหลินจึงลืมตา กลิ่นอายแห่งความตายและเน่าเปื่อยได้สลายหายไปจากสำนักตงหลิน ที่นี่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและเหล่าศิษย์นับไม่ถ้วนกำลังเคลื่อนกาย


“ไปกันเถอะ” หวังหลินพูดขึ้นจากนั้นก้าวเดินต่อไป หลิวจินเปียวไม่สามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่นี่ได้แต่เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงติดตามหวังหลินต่อไป


พอเคลื่อนทะยานไปข้างหน้าจึงเกิดระลอกคลื่นรอบตัวหวังหลิน คนอื่นไม่สามารถมองเห็นระลอกคลื่นนี้ได้ มันเป็นระลอกคลื่นทำให้หวังหลินกลายเป็นส่วนหนึ่งของความฝันแห่งนี้


พอเขาและหลิวจินเปียวร่อนลงมาถึง ลำแสงสองสายทะยานผ่านเข้ามา เผยเป็นเซียนสองคน หนึ่งชายหนึ่งหญิง


เซียนทั้งสองเยาว์วัยมาก ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลารีบเผยความเคารพ สตรีด้านข้างก็งดงามยิ่งและมองหวังหลินด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น


“ผู้อาวุโส ผู้น้อยมาตามคำสั่งจากบรรพชนให้เชิญชวนผู้อาวุโสไปที่อารามตงหลิน” ชายหนุ่มยิ้มและคำนับฝ่ามือ วาจาและท่าทีดูเคารพ


สตรีด้านข้างเขาก็คำนับฝ่ามือเช่นกัน สายตากวาดผ่านหวังหลินเข้ามา


หวังหลินมองศิษย์สำนักตงหลินทั้งสองเบื้องหน้า เขาถอนหายใจอยู่ในใจพลางเผยท่าทีอ่อนโยนและพยักหน้า


ภายใต้การชี้ทางของศิษย์สำนักตงหลิน หวังหลินได้ทะยานเข้าสู่ใจกลางสำนัก สำนักตงหลินมีขนาดใหญ่มาก ระหว่างทางหวังหลินได้เห็นสำนักที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา


เขายังเห็นกระเรียนหลายตัวทะยานอยู่ในท้องฟ้า บนพื้นไม่ว่าจะเป็นลานหลอมยาหรือที่พักอาศัยต่างก็มีศิษย์นั่งอยู่ตรงนั้น บ่มเพาะหรือไม่ก็พูดคุยกัน


พอสายลมพัดผ่าน มันกลับเต็มไปด้วยพลังปราณสวรรค์หนาแน่น ราวกับเป็นสรวงสวรรค์ก็มิปาน


ระหว่างทางหวังหลินได้เห็นศิษย์สำนักตงหลินที่ผ่านเขาไปได้แนะนำตัวเองและคำนับฝ่ามือมาให้


ผู้คนของสำนักตงหลินช่างสุภาพและอ่อนโยน ราวกับหวังหลินเป็นแขกผู้มีเกียรติ


พอพวกเขาเข้าใกล้อารามตงหลินที่อยู่กลางสำนัก ลำแสงสองสายเข้ามาใกล้เบื้องหน้าหวังหลิน เปล่งเสียงหัวเราะสดใส


“ตงคุน เสี่ยวหยาน เจ้าสองคนไปได้แล้ว” ลำแสงทั้งสองสายเผยตัวเองออกมา ผู้พูดเป็นชายชรา ด้านข้างเป็นชายวัยกลางคนกำลังยิ้มและคำนับฝ่ามือให้หวังหลิน


ทั้งสองคนเป็นระดับผู้สูงส่งชั้นทอง ชายชราผู้มีเสียงหัวเราะสดใสได้คำนับฝ่ามือให้หวังหลิน


“ข้าชื่อซิ่วเทียนเนี่ยน หัวหน้าผู้อาวุโสของสำนักตงหลิน ข้าเองที่ใช้อำนาจของบรรพชนเพื่อเชิญชวนผู้อาวุโสมาที่อารามตงหลิน”


“ผู้น้อยชื่อเหอต้าว เป็นจ้าวสำนักตงหลิน ขอคารวะผู้อาวุโส” ชายวัยกลางคนยิ้มและกล่าวอย่างสุภาพ


พอมองทั้งสองคน หวังหลินเต็มไปด้วยแววตาโศกเศร้า ต้องโดดเดี่ยวแบบไหนกันถึงทำให้คนสร้างความฝันมาอยู่ด้วยกันได้…


หวังหลินถอนหายใจและพูดกับทั้งสอง “ไปกันเถอะ”


ผู้สูงส่งชั้นทองสองคนได้พาหวังหลินไปและแสดงความเคารพที่คู่ควรต่อตำแหน่ง พวกเขามาที่ใจกลางสำนักตงหลินซึ่งเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของสำนัก นั่นคืออารามตงหลิน!


ชายชราคำนับฝ่ามือให้และกล่าวอย่างเคารพ “บรรพชนอยู่ข้างใน เราไม่ได้ถูกเรียกดังนั้นจึงเข้าไปด้วยไม่ได้ ผู้อาวุโสโปรดเดินทางด้วยตัวเอง”


หวังหลินพยักหน้าและมองประตูของสำนักตงหลิน ความจริงนั้นหลังจากเขามองทะลุความฝันนี้ออก หวังหลินสามารถมาที่นี่ด้วยตัวเองได้และเดินผ่านซากปรักหักพังไปได้เช่นกัน


เขาไม่จำเป็นต้องไปพูดคุยกับภาพมายาในความฝันเลย


แต่เขาไม่ทำแบบนั้นเนื่องจากรู้สึกถึงความเศร้าและโดดเดี่ยว หวังหลินเคารพบรรพชนของสำนักตงหลินและเขาก็ได้รับความเคารพมาเช่นกัน


“จินเปียว รอข้าข้างนอก” หวังหลินพูดขึ้นเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าหาอารามตงหลิน


จินเปียวพยักหน้าอย่างเคารพและมองไปรอบๆ โดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกว่าที่นี่มีบางอย่างแปลกประหลาดแต่ก็บอกไม่ได้ว่าเป็นอะไร


หวังหลินค่อยๆ ก้าวเดินเข้าหาอารามตงหลิน เมื่อเข้าไปในอารามแล้ว น้ำเสียงแก่ชราเต็มไปด้วยความเศร้าและโดดเดี่ยวจึงดังกึกก้องขึ้นข้างใน


“เจ้าเข้ามา…”


ตรงหน้าหวังหลินมีรูปปั้นขนาดใหญ่สามรูปเป็นสองบุรุษและหนึ่งสตรี ทั้งหมดล้วนมองไปทางทิศตะวันออกด้วยรอยยิ้มผสานกับกลิ่นอายแห่งความภูมิใจ


ข้างใต้รูปปั้นมีชายชราผู้หนึ่งสวมชุดคลุมสีเทา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยจุดด่างดำราวกับอยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต สีหน้าท่าทางดูน่าเวทนาและเต็มไปด้วยความเศร้า


นอกจากความเศร้ายังมีกลิ่นอายทรงพลังฝังลึกอยู่ในร่างกาย กลิ่นอายนี้เหนือล้ำกว่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าคนใดที่หวังหลินเคยพบ


“ข้าอยู่นี่แล้ว…” หวังหลินถอนหายใจและเดินไปหาชายชรา เขานั่งลงและสะบัดแขนนำสุราออกมาขวดหนึ่ง


“ท่านต้องการด้วยหรือไม่?” หวังหลินยื่นขวดสุราไปให้ชายชรา


ชายชราขบคิดอยู่สักพัก จากนั้นนำมาดื่มไปหนึ่งจิบ


“ข้ารู้สึกถึงกลิ่นอายคุ้นเคยจากเจ้า น่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้ามาที่นี่” ชายชรามองมาที่หวังหลิน


“ข้าเคยมาในความฝัน” หวังหลินนำสุราขวดที่สองออกมาดื่ม


ชายชรามองดูอารามห่างออกไปไกลและเอ่ยขึ้น “บางที…ข้าก็นั่งอยู่ที่นี่มานานเกินไป บางทีที่เจ้าเคยมาที่นี่ในความฝันอาจจะเป็นของจริง”


ชายชราเอ่ยถามเบาๆ “สำนักตงหลินในความฝันของเจ้าเหมือนกับตอนนี้หรือไม่?”


“เหมือนกัน” พอหวังหลินมองชายชรา เขาจึงรู้สึกถึงความเศร้าได้


“ขอบคุณ…” ชายชราหลับตา หยาดน้ำตาสองสายไหลลงบนแก้ม ด้วยระดับบ่มเพาะของเขาไม่น่าจะมีน้ำตาแล้ว แต่พอหวังหลินพูดว่า “เหมือนกัน” หยาดน้ำตาก็ไหลรินลงมา


“ข้านั่งอยู่ที่นี่มานาน เจ้าเป็นคนเดียวที่ทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคย…ที่นี่คือบ้านข้า…ข้าจากไปเมื่อนานมากแล้ว พอข้าได้กลายเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะและกลับมาบ้าน มันก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว…” ชายชราลืมตาและเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและเศร้าโศก


หวังหลินครุ่นคิดเงียบๆ


“ข้าไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ…ข้าไม่เจอเบาะแสอะไรเลย แม้แต่มหาชั้นฟ้าก็ไม่รู้…ข้าได้แต่นั่งอยู่ที่นี่และสร้างความฝันจากความทรงจำโดยทำให้ความฝันนี้อยู่กับข้าและมีสำนักตงหลินอยู่ตลอดไป…จนกระทั่งถึงวันที่ข้าตาย…” ชายชราพูดกระซิบ น้ำเสียงแหบพร่า


หวังหลินมองชายชราและไม่พูดอะไร


ต้องมีอารมณ์ความรู้สึกแบบไหนถึงทำให้คนกลายเป็นแบบนี้? ต้องมีความเศร้าแบบไหนถึงทำให้คนผู้หนึ่งหลอกตัวเองด้วยความฝัน? ต้องโดดเดี่ยวแค่ไหนถึงทำให้คนสร้างภาพมายาขึ้นมาอยู่ด้วยกัน?


‘หากหวานเอ๋อร์ไม่สามารถชุบชีวิตได้…หากผิงเอ๋อร์ไม่สามารถลืมตาได้…หากดาวซูซาคุถูกทำลาย…บางทีข้าคงเป็นแบบเขา คนที่นั่งอยู่ในความว่างเปล่าในดาวเคราะห์ของตัวเอง จมดิ่งตัวเองไปในความฝัน โลกแห่งนั้นคงจะมีครอบครัวข้า ตัวข้า หวานเอ๋อร์ ผิงเอ๋อร์ และใบหน้าทุกคนที่ข้ารู้จัก…’


‘หากวันนั้นมาถึงจริงๆ บางทีข้าก็คงทำแบบเดียวกัน…’


ชายชราพลันพูดขึ้นมา สิ่งที่เขาพูดทำให้จิตใจหวังหลินสั่นเทา “กักขังโชควาสนาและผนึกโลกเบื้องล่าง คนที่ไม่บรรลุเต๋าที่แท้จริงจะจมเข้าไปในทะเลแห่งความทุกข์ทรมานและหลงทางแห่งเต๋าที่แท้จริงไปตลอดกาล จงเดินบนเส้นทางแห่งเต๋าที่แท้จริง!”


“นี่คือข้อความบนแผ่นหินจารึกที่เขียนด้วยโลหิตของคนที่ทำร้ายสำนักตงหลิน…”


………………………………………



ตอนที่ 1946 กลิ่นอายของเทียนหยุน!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าได้ศึกษาประโยคนี้ ข้าต้องการรู้ว่าใครทำลายสำนักตงหลินของข้าและคิดสิ่งใด!”


“สำนักตงหลินไม่เคยขัดแย้งกับโลกภายนอกและมักมีกฎสำนักที่เข้มงวดเสมอ แทบไม่มีศิษย์คนไหนออกไปนอกสำนัก ถึงจะขัดแย้งกับคนอื่นก็เป็นเรื่องส่วนตัว แม้แต่ข้าก็มีสหายจำนวนมากและเพ่งสมาธิไปที่การฝึกฝนแต่เพียงอย่างเดียว”


“ถึงกระนั้น สำนักตงหลิน บ้านของข้า…ก็ถูกทำลาย…ข้าเข้าพบมหาชั้นฟ้าคนหนึ่งเพื่อให้ช่วยพยากรณ์เหตุการณ์ แม้แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำนายได้ว่าสำนักถูกทำลายด้วยเหตุใด…”


“ข้าเข้าพบมหาชั้นฟ้าทั้งห้าคนรวมไปถึงราชครู แต่ไม่มีใครค้นพบคำตอบ มีเพียงราชครูที่กระอักโลหิตออกมาระหว่างการทำนายและแววตาหวาดกลัว…แต่ความหวาดกลัวนั้นคงอยู่เพียงครู่เดียวและเกิดความสับสนขึ้นมาแทน…”


“เขาสับสนไปสามวัน ข้าเฝ้าดูเขาตลอดสามวัน พอเขากลับมามีสติจึงลืมการทำนายไป ราวกับมีพลังที่มองไม่เห็นลบความทรงจำตลอดสามวันนั้น…” ชายชราพึมพำ แววตาเศร้าๆ นั้นเผยความเกลียดชังและบ้าคลั่ง


“ข้าไม่เข้าใจแผ่นหินจารึกนั่น…แต่ข้าประทับลายมือนั้นเข้าไปในจิตวิญญาณของข้า มันเป็นเบาะแสเดียวในการตามหาคนคนนั้น”


ผ่านไปสักพักเขาจึงเอ่ยเสียงแหบพร่า “เจ้าต้องการดูแผ่นหินจารึกหรือไม่…”


หวังหลินพยักหน้าอย่างสงบนิ่ง


ชายชราที่หลับตาอยู่คล้ายกับสังเกตได้ว่าหวังหลินพยักหน้า เขายกแขนขวาและโบกสะบัด เพียงเท่านั้นกลิ่นอายแห่งความตายจึงเต็มไปทั่วอาราม ราวกับอารามแห่งนี้อยู่มานานมากตั้งแต่ช่วงที่รุ่งโรจน์จนถึงช่วงที่ดับสลาย


อารามเต็มไปด้วยฝุ่นผงและมีรอยแตกร้าวบนเสา แม้แต่รูปปั้นทั้งสามด้านหลังชายชรายังเปลี่ยนไปและเริ่มแตกหัก


บนพื้นเกิดรอยแตกร้าวข้างใต้ชายชราจนเผยสัญญาณการผุผัง สายลมเหม็นแผ่กระจายออกมาทั่วสำนักตงหลินโดยมีอารามอยู่ตรงกลาง


ด้านนอกอาราม ลานกว้างแตกหักและมีความเน่าเปื่อยแผ่กระจาย ภูเขาไม่ได้เป็นสีเขียวอีกแล้วและไร้ชีวิตชีวา สายน้ำเหือดแห้งจนน้ำที่เหลือเปล่งกลิ่นเหม็น


ศิษย์สำนักตงหลิน รวมถึงเซียนผู้สูงส่งชั้นทองทั้งสองคนได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งสำนักตงหลินกลายเป็นดินแดนแห่งความตาย


มีเพียงโครงกระดูกเต็มไปทั่วทั้งสำนัก…


หลิวจินเปียวยืนอยู่นอกอารามและจ้องมองทุกอย่างเบื้องหน้าด้วยสายตาตกตะลึง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงเกิดความรู้สึกแปลกประหลาด ด้านข้างเขาคือโครงกระดูกที่กำลังมองมาหรือไม่ก็มองบนท้องฟ้า…


แผ่นหินจารึกขนาดใหญ่ด้านนอกอารามตงหลินถูกสายลมเหม็นพัดผ่าน มันสูงมากกว่าพันฟุตและคล้ายกับปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า!


มีประโยคเขียนด้วยโลหิตอยู่บนแผ่นหินจารึก!


“กักขังโชควาสนาและผนึกโลกเบื้องล่าง คนที่ไม่บรรลุเต๋าที่แท้จริงจะจมลงไปในทะเลแห่งความทุกข์ทรมานและหลงทางแห่งเต๋าไปตลอดกาล จงเดินบนเส้นทางแห่งเต๋าที่แท้จริง!”


ประโยคที่ถูกเขียนด้วยโลหิตไม่ได้มีสีแดงสว่างอีกต่อไปแต่มันแห้งจนกลายเป็นสีน้ำตาลคล้ำ กลิ่นอายแห่งความน่ากลัวแผ่กระจายออกมาจากแผ่นหินและห่อหุ้มทั่วทั้งสำนัก ท้องฟ้ามืดมนราวกับมีฝ่ามือขนาดใหญ่ปกคลุมท้องฟ้าเหนือสำนักตงหลิน


ราวกับมันเป็นพลังที่สามารถบิดเบือนสวรรค์ด้วยตัวเอง!


“นี่คือแผ่นดินจารึก…” ชายชราจ้องมองแผ่นหินจารึกด้านนอกอาราม


หวังหลินหันกลับมามองแผ่นหิน พอเขาเห็นแผ่นหินนี้จึงเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องขึ้นในจิตใจ


เขาเคยเห็นแผ่นหินนี้มาก่อน! เขาเห็นมันในดินแดนสีรุ้งในโลกถ้ำ!


เดิมทีหวังหลินคิดว่าแผ่นหินจารึกในดินแดนสีรุ้งนั้นราชันย์เป็นคนวางเอาไว้ แต่ดูเหมือนนี่จะแตกต่างจากสิ่งที่เขาคิดไว้อย่างสิ้นเชิง!!


ที่หวังหลินตกตะลึงคือลายมือของประโยคบนแผ่นหิน ยิ่งมองดูยิ่งคุ้นเคย ราวกับเขาเคยเห็นคนเขียนมันด้วยตาตัวเอง!!


ลายมือสามารถลอกเลียนได้ แต่กลิ่นอายจากลายมือกลับยากจะลอกเลียน หวังหลินไม่เพียงแต่จะคุ้นเคยกับลายมือ เขายังคุ้นเคยกลิ่นอายของลายมือนั้นด้วย!!


“เทียน…เทียนหยุน…” หวังหลินตกตะลึง เขาจะลืมกลิ่นอายนี้ได้อย่างไร? เทียนหยุนคือคนที่เขาหวาดกลัวยิ่งในโลกถ้ำ


เทียนหยุนเป็นส่วนหนึ่งของเต๋าแห่งสวรรค์ และเขาถูกหวังหลินทำลายไปแล้ว แต่หวังหลินไม่คิดว่าเทียนหยุนยังไม่ตาย!!


ลายมือและกลิ่นอายที่นี่ไม่เหมือนกับแผ่นหินที่อยู่ในดินแดนสีรุ้ง แต่รูปร่างของแผ่นหินได้ทำให้ความเข้าใจต่อโลกถ้ำของหวังหลินกลายเป็นพร่ามัว


‘โลกถ้ำ…แผ่นดินเซียนดารา…สำนักตงหลิน…ทั้งสามอย่างมีสิ่งเชื่อมต่อกันคือราชันย์เทพสีรุ้ง!! แต่วิญญาณเขาถูกแบ่งออกเป็นสามและถูกข้าผนึกไปแล้ว…วิญญาณดวงที่สามคือซูต้าว…แม้แต่ข้าก็ยังไปสำนักตงหลินที่อยู่ในโลกถ้ำ…’


‘แต่ทำไม…ทำไมประโยคนี้ถึงปรากฏขึ้นที่นี่? แผ่นหินจารึกนี้ ทำไมโลกถ้ำถึงมือแผ่นหินด้วย? เกิดอะไรขึ้นกันแน่…’ หวังหลินมองแผ่นหิน แววตาเกิดความสับสน


‘ใครเป็นคนทำลายสำนักตงหลินและทิ้งแผ่นหินจารึกไว้ที่นี่?’


‘ลายมือและกลิ่นอายเป็นของเทียนหยุน แต่เขาออกมาที่แผ่นดินเซียนดาราได้อย่างไรและทำไมถึงทำลายสำนักตงหลิน!?’


‘รวมไปถึงราชันย์เทพสีรุ้ง ข้าคิดว่าเขาตายไปแล้ว แต่…เขาตายจริงหรือไม่…’


‘โลกถ้ำไม่ใช่สิ่งธรรมดาแน่นอน มีความลับแบบไหนซ่อนอยู่กันแน่!?’


‘ตอนนั้นข้าคิดว่าข้ารู้ทุกอย่างแล้ว แต่ข้ารู้แค่ชายขอบของความลับใช่หรือไม่? ข้ายืนอยู่บนยอดเขาและคิดว่าข้ามองเห็นโลกเบื้องล่าง แต่ข้ากลับไม่รู้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งในท้องฟ้าซ่อนอยู่ใต้ภูเขา กำลังมองมาที่โลกของข้า!’ หวังหลินพลันรู้สึกเสียววาบ


“หากเจ้าเคยเห็นลายมือและกลิ่นอายนี้ในชีวิตเจ้า โปรดช่วยบอกข้า…” น้ำเสียงของชายชราแหบแพร่าและเศร้าหมองดังกึกก้องด้านหลังหวังหลิน


“เจ้าต้องบอกข้ามา หากข้าสามารถแก้แค้นได้ คนที่ชี้เบาะแสให้ข้า ข้าจะยอมเป็นทาสรับใช้จนกว่าข้าจะตาย…” ชายชราพูดขึ้นช้าๆ คำพูดเต็มไปด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่น


หลังจากพูดขึ้นมาเขาก็สะบัดแขนขวา สายลมเย็นพัดผ่าน อารามกลับคืนรูปลักษณ์เดิม ภูเขายังคงเป็นสีเขียว สายน้ำสดใส เสียงวิหคร่ำร้องและมีกลิ่นดอกไม้เต็มไปทั่วสำนัก เหล่าศิษย์ที่ไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้วต่างก็มีความสุขในสำนักตงหลิน


แผ่นหินจารึกด้านนอกอารามได้หายไปและมองไม่เห็นซากโครงกระดูกอีกแล้ว หลิวจินเปียวมองมาที่ตำแหน่งของแผ่นหินจารึก เส้นผมลุกขึ้นตั้งในทันที


‘นี่…นี่มันเป็นสถานที่แบบไหนกัน…’ หลิวจินเปียวรู้สึกจิตใจเต้นไม่เป็นจังหวะพลางมองไปรอบๆ พอมองไปที่ศิษย์ของสำนักตงหลิน จึงเกิดความรู้สึกกลัวอย่างรุนแรง


ภายในอาราม หวังหลินไม่เผยความตกตะลึงในใจออกมาและตอบอย่างสงบนิ่ง “ข้าจะบอก”


ชายชรามองหวังหลิน ผ่านไปสักพักจึงก้มหน้าและซ่อนความโศกเศร้าและความโดดเดี่ยวเอาไว้ อย่างไรก็ตามแม้จะก้มหน้าลงก็ไม่สามารถขับไล่ความเศร้าไปได้เลย


ชายชราพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้าแค่ผ่านสำนักตงหลินมาหรือมาด้วยจุดประสงค์อะไร…”


“ข้าต้องการยืมบ่อน้ำตงหลิน!” หวังหลินข่มจิตใจตัวเองเอาไว้ เรื่องหลายอย่างทำให้เขารู้สึกประหลาดและตกตะลึงในเวลาเดียวกัน


“บ่อน้ำตงหลิน…” ชายชราขบคิดเล็กน้อยและค่อยๆ พยักหน้า


“น้ำในบ่อน้ำตงหลินเชื่อมต่อกับวิญญาณที่ปิดผนึกในแคว้นมหาปราชญ์…วิญญาณปิดผนึกที่นี่ไม่ใช่อสูร แต่เป็นเซียนต่างแดน…”


“เขาพ่ายแพ้ต่อบรรพชนเทพและถูกผนึกไว้ที่นี่ เขาตายมานานแล้วแต่วิญญาณไม่หายไปไหน กลับผสานเข้ากับแม่น้ำใต้ดินในแคว้น บ่อน้ำตงหลินจึงเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่น้ำไหลออกมา…”


“เซียนคนหนึ่งสามารถเข้าบ่อน้ำตงหลินได้เพียงสองครั้งเท่านั้น เมื่อเข้าไปครั้งที่สาม เจ้าจะตายทันที มีคนนอกไม่กี่คนที่รู้ว่าสำนักตงหลินมีบ่อน้ำตงหลิน คนที่รู้ก็ต้องแลกด้วยสิ่งมีค่ามหาศาลเพื่อให้เข้าไปในบ่อน้ำตงหลินได้”


“ข่าวลือทั้งด้านนอกและด้านในสำนักต่างก็พูดกันว่าบ่อน้ำตงหลินสามารถช่วยสร้างร่างแก่นแท้ขึ้นมาได้ แต่นั่นเป็นเรื่องโกหก…หากเป็นแบบนั้นจริง สำนักตงหลินคงกลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งในเผ่าเทพไปแล้ว เราคงไม่สามารถรักษาไว้ได้และบ่อน้ำตงหลินก็คงถูกมหาชั้นฟ้าเอาไป”


“แม้จะเป็นเช่นนั้นก็เกิดข้อสงสัยจำนวนมาก แต่ชื่อเสียงของบรรพชนรุ่นแรกแห่งสำนักตงหลินคือมหาชั้นฟ้าตงหลิน จึงทำให้บ่อน้ำไม่ถูกเคลื่อนย้ายไป และยิ่งผลลัพธ์อ่อนแอลงไปตามกาลเวลา จึงไม่มีใครเข้ามาขโมยมัน”


“มหาชั้นฟ้าตงหลิน?” หวังหลินหรี่ตาแคบ เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อนี้


“มหาชั้นฟ้าทั้งห้าแห่งเผ่าเทพไม่ได้อยู่ไปชั่วนิรันดร์ มีบางส่วนที่ตาย…บรรพชนรุ่นแรกแห่งสำนักตงหลินคือมหาชั้นฟ้า แต่เขาก็ตาย…ไม่มีใครรู้ว่าร่างเขาไปอยู่ไหน…หลายคนค้นหาร่างเขา รวมไปถึงมหาชั้นฟ้ารุ่นหลัง แต่ก็ไม่มีใครหาเจอ…”


“ลือกันว่าหากมีคนพบเจอร่างของบรรพชน อาจทำให้กลายเป็นมหาชั้นฟ้าได้โดยไม่ต้องผ่านบททดสอบในแดนเทพบรรพกาล…แต่นี่ก็แค่ข่าวลือ” ชายชราพูดอย่างสงบนิ่ง


หวังหลินสูดหายใจลึก ไม่คิดว่าสำนักตงหลินจะมีพื้นหลังเช่นนี้ และก่อนหน้าก็ยังมีมหาชั้นฟ้าเกิดขึ้นในสำนัก!


“ตอนนี้ผลลัพธ์ของบ่อน้ำตงหลินอ่อนแอลงไปมาก ข่าวลือที่ว่ามันสามารถช่วยเจ้าสร้างร่างแก่นแท้ได้ แต่ผลลัพธ์จริงของมันคือทำให้เจ้าเข้าไปสู่สภาวะแปลกประหลาด จากนั้นเจ้าจะได้รับโอกาสในการเข้าใจแก่นแท้พิเศษที่เป็นของเซียนต่างแดนคนนั้น!”


“หากล้มเหลว มันก็ทำให้แก่นแท้ของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นอีกเล็กน้อยเท่านั้น”


………………………………………



ตอนที่ 1947 ฟองสบู่แห่งการทำลายล้าง

โดย

Ink Stone_Fantasy

สำนักตงหลินในภาพมายาช่างเป็นภาพที่สวยงามใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า แสงส่องลงมายังสำนักและทำให้ภาพเงาที่อยู่นอกอารามตงหลินค่อยๆ หดลง


ศิษย์สำนักตงหลินกำลังบ่มเพาะอย่างเงียบๆ ทั้งหมดกำลังดูดซับพลังจากโลกเพื่อบ่มเพาะเข้าสู่ร่างกาย


ทั้งสำนักตงหลินเสมือนฟองสบู่ที่เด็กน้อยเป่าเล่น มันส่องประกายแต่ก็เปราะบางเช่นกัน ราวกับแค่เอามือสัมผัสก็แตกสลายได้แล้ว


ยิ่งสวยงามเท่าไร ยิ่งเลือนลางมากเท่านั้น


เบื้องหลังภูเขาของภาพมายานี้ เสียงนกร้องและกลิ่นหอมของดอกไม้ลอยผ่านไป เสียงสัตว์ตัวน้อยร้องเจื้อยแจ้วและมีแท่นพิธีทรงอำนาจสร้างขึ้นที่นี่


แท่นพิธีแห่งนี้เหมือนหอคอย มันกว้างหมื่นฟุตและสูงหนึ่งพันฟุต สร้างขึ้นจากหินสีฟ้าและเปล่งสัมผัสความเย็นอย่างชัดเจน


เหนือแท่นขึ้นไปมีลานกว้างพันฟุตและมีบ่อน้ำขนาดเล็กอยู่ตรงกลาง บ่อน้ำเหือดแห้งแต่ยังมีน้ำที่ดูไม่ลึกมากอยู่ เพียงสายลมพัดผ่านไปจึงเกิดเป็นระลอกคลื่น


พืชพันธุ์บางส่วนลอยอยู่บนผิวน้ำและเคลื่อนไปตามระลอกคลื่น


หวังหลินยืนอยู่นอกบ่อน้ำและมองดูด้วยสายตาสับสน หลิวจินเปียวยืนอยู่ด้านหลังหวังหลิน สายตามองไปรอบตัวด้วยความหวาดกลัว


‘ที่บัดซบนี่อาจไม่เหมือนที่เห็นด้วยตาตอนนี้ บางทีอาจจะมีโครงกระดูกอยู่ใต้ฝ่าเท้าข้า…บ่อน้ำนั่นดูใสก็จริงแต่มันอาจจะเป็นน้ำเหม็นที่มีซากศพจมอยู่ข้างใต้…’ ยิ่งหลิวจินเปียวจินตนาการยิ่งหวาดหวั่นมากขึ้น


เขาไม่ได้กลัวซากศพ แต่หวาดกลัวเรื่องที่ไม่รู้


ขณะนั้นเขาไม่สังเกตเห็นว่าแววตาสับสนของหวังหลินยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น หวังหลินมองบ่อน้ำและครุ่นคิดอยู่นานมาก


‘ทำไมถึงเป็นแบบนี้…’ หวังหลินหลับตา ปรากฏภาพสำนักตงหลินและบ่อน้ำตงหลินที่เขาเห็นในความฝัน!


‘ทำไมบ่อน้ำตงหลินถึงแตกต่างจากดินแดนแห่งความฝันที่ราชันย์เทพสีรุ้งสร้างขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง!?!’


‘บ่อน้ำตงหลินในความทรงจำของราชันย์เทพสีรุ้งก็อยู่ที่นี่เช่นกัน แต่ไม่มีแท่นพิธีและเป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ แต่ว่าที่นี่…อันไหนคือของจริง อันไหนคือของปลอม…’ หวังหลินลืมตามองไปรอบๆ ด้วยสายตาที่สามารถทำลายภาพมายาได้ทั้งหมด


สิ่งที่เขาเห็นแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างมหาศาล พอเขามองแท่นพิธี มันกลับโบราณและเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว ทั้งยังมีคราบโลหิตแห้งเป็นจุดอยู่ทุกที่


ด้วยสายตานี้ พื้นที่รอบบริเวณจึงห่อหุ้มด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย พอเขามองบ่อน้ำ สายตาจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย บ่อน้ำไม่ได้เปลี่ยนไป


นอกจากบ่อน้ำแล้ว ทุกอย่างโดยรอบได้เปลี่ยนไปหมด


‘นี่น่าจะเป็นบ่อน้ำตงหลินของจริง…ดูจากแท่นพิธี มันมีมานานแล้ว ถึงกระนั้นทำไมมันถึงแตกต่างจากความทรงจำของราชันย์เทพสีรุ้ง…’


‘ถ้าหากที่นี่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย เช่นนั้นสิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือราชันย์เทพสีรุ้ง!’ หวังหลินขบคิดเงียบๆ


ตอนที่เขาเข้ามาสำนักตงหลินในแผ่นดินเซียนดาราเป็นครั้งแรกและไม่ได้อยู่ในความฝัน หมอกหนึ่งชั้นปรากฏขึ้นในใจเขา เขาเริ่มตั้งคำถามถึงความเข้าใจในโลกถ้ำ


‘ข้าควบคุมทุกอย่างในโลกถ้ำได้จริงหรือไม่…กลิ่นอายของเทียนหยุน แผ่นหินจารึกเหล่านั้น…ความทรงจำลวงหลอกของราชันย์เทพสีรุ้ง…ความลับแบบไหนกันที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้?’


‘สำนักตงหลินไม่ใช่สถานที่ธรรมดาอีกแล้ว มหาชั้นฟ้าตงหลินเกิดขึ้นและตายที่นี่ แม้แต่ร่างกายก็หาไม่พบ…’


‘ใครกันที่ทำลายทั้งสำนักตงหลิน…ใช่เทียนหยุนหรือไม่? หรือจะเป็นราชันย์เทพสีรุ้ง? หรือเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ลึกล้ำกับโลกถ้ำที่ข้าพลาดไป…’ หวังหลินขบคิดเงียบๆ


หวังหลินมองบ่อน้ำตงหลินอยู่พักใหญ่ก่อนจะสูดหายใจลึกและเดินเข้าหา เขามองลงมาที่ผิวน้ำและเห็นภาพสะท้อนของตัวเอง


พอเห็นตัวเองที่มีเรือนผมสีขาวและเสื้อผ้าสีขาว ร่างกายจึงสั่นเทา เสียงดังสนั่นกึกก้องขึ้นในใจและคล้ายกับจะจำอะไรได้บางอย่าง


‘มีเรื่องหนึ่งที่ประหลาดมาก ข้าเคยคาดเดาเอาไว้…เรื่องลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าของข้า ทำไมราชันย์เทพสีรุ้งถึงสามารถชิงลูกปัดฝืนลิขิตฟ้ามาจากมหาชั้นฟ้าต้าวยี่และอาจารย์ได้โดยไม่ให้ผิดสังเกต…’


‘ทำไมในโลกถ้ำ ปรมาจารย์เต๋าความฝันและคนอื่นรวมถึงเซียนเต๋าสีรุ้งถึงมองเห็นว่าข้ามีลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า…แต่บนแผ่นดินเซียนดารา แม้แต่ตอนนี้ก็ไม่มีใครสังเกตมันได้…’


‘ทำไมแม้แต่อาจารย์ซวนลั่วก็ไม่สามารถมองออกแม้เขาจะเข้ามาในโลกถ้ำ? บางทีเขาอาจจะมองออกแต่ไม่พูดเช่นนั้นหรือ?’


‘หากเป็นแบบนั้นจริง ข้าที่ได้พบเจอมหาชั้นฟ้าต้าวยี่แล้ว ทำไมเขาถึงไม่พูดอะไรหรือขโมยมันไป…ข้ายิ่งมั่นใจว่าพวกเขาหาไม่พบ!’


‘ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าคืออะไรกันแน่? ใครสร้างเข็มทิศสำหรับลูกปัดฝืนลิขิตฟ้ากันและมันใช้ทำอะไร…ทำไมถึงมีคนบางส่วนในโลกถ้ำที่มองเห็นว่าข้ามีลูกปัด แต่ไม่มีใครในแผ่นดินเซียนดารามองเห็น…’


‘ตอนที่ข้าดูดซับวิญญาณแมงป่อง แมงป่องพูดว่า ‘ลูกปัดสีขาว…’ ลูกปัดสีขาว…หมายความว่ามันมีลูกปัดสีดำด้วยหรือ? มีอะไรอยู่ข้างใน?’


‘หากข้าสามารถเชื่อมเรื่องนี้เข้ากับการทำลายล้างสำนักตงหลินได้ บางทีข้าอาจจะรู้ความลับที่ซ่อนอยู่ในโลกถ้ำ!’ หวังหลินมองรอบตัวด้วยสีหน้าเปลี่ยนไป


“ความจริงข้ามีอีกวิธีในการหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับสำนักตงหลิน ใครที่เป็นคนทำลาย…แต่แม้กระทั่งมหาชั้นฟ้าก็ไม่สามารถทำนายได้ ส่วนราชครูก็ยังสับสนไปสามวันและสูญเสียความทรงจำไป ข้า…ข้าทำได้หรือไม่…”


หวังหลินลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่ไม่นานสายตากลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ไม่ใช่แค่เกี่ยวกับสำนักตงหลิน มันยังเกี่ยวกับเขาด้วย อีกทั้งเขาก็มาจากโลกถ้ำและมีลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า


เดิมทีหวังหลินคิดว่าเขาได้ลบม่านบังตาออกหมดแล้ว แต่เขาเพียงแค่เปิดมุมหนึ่งเท่านั้น มันยังปิดบังดวงตา ตอนนี้เขากำลังจะแงะมือที่บังตาเอาไว้และพาตัวเองมองทะลุผ่านช่องว่างออกไป!


หวังหลินสูดหายใจลึก นั่งลงข้างบ่อน้ำ เขาไม่ได้มองบ่อน้ำตงหลินแต่มองอารามตงหลินที่อยู่ห่างไกล กลิ่นอายหวังหลินคล้ายจะหายไปและเข้าสู่สภาวะแปลกประหลาด


หลิวจินเปียวอยู่ข้างหวังหลินและพลันหันตัวกลับมา หวังหลินได้หายไปจากสัมผัส แต่พอมองกลับไปก็ยังเห็นด้วยตาตัวเอง อย่างไรก็ตามเขากลับรู้สึกว่าหวังหลินไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ ราวกับโลกนี้ได้ปฏิเสธตัวตนของหวังหลิน


‘ด้วยร่างที่ผสานกับโลกนี้…ด้วยสัมผัสวิญญาณที่หลอมรวมกับมิติว่าง…ด้วยวิญญาณข้า จงสร้างโลกด้วยความฝัน ฝันที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา…’ เต๋าแห่งความฝันและวิชาห้วงเวลาของหวังหลินได้สร้างพลังลึกลับที่ทำให้เขากลับคืนสู่อดีตราวกับอยู่ในโลกถ้ำ!


หวังหลินไม่รู้ว่าคนอื่นทำแบบนี้ได้หรือไม่ แต่คนทั้งหมดที่เขาเคยเจอ มีแต่หวังหลินที่ทำได้เท่านั้นและเขาก็ต้องยืมพลังจากใบเรือหน้าผีของสำนักมหาวิญญาณ!


พอหวังหลินจมดิ่งไปในเต๋าแห่งความฝัน เขาเลื่อนมือขวาขึ้นมาเงียบๆ และโบกสะบัดปรากฏใบเรือหน้าผีและหมุนรอบตัวเขา


ความฝันนับพันปี…


ในความฝันของหวังหลิน กาลเวลาย้อนกลับไปหนึ่งพันปี หนึ่งพันปี หนึ่งพัน…จนกระทั่งเขาลืมไปแล้วว่าย้อนไปไกลแค่ไหน สำนักตงหลินยังคงเป็นสำนักตงหลิน…


ภูเขายังคงเหมือนเดิม สายน้ำยังคงกระจ่างใส ศิษย์นับไม่ถ้วนในสำนักตงหลินยังคงบ่มเพาะในตอนเช้าเหมือนเดิม ทำให้ทั้งสำนักตงหลินปกคลุมไปด้วยหมอกควัน


สถานการณ์สงบนิ่งและสงบสุข มีเสียงบรรยายเต๋าดังออกมาจากโถงหลักซึ่งมีศิษย์หลายคนกำลังฟังอยู่


ห่างออกไปไกลมีลำแสงหลายสายทะยานข้ามผ่านภูเขาและมีกระเรียนเทพจำนวนมากบินอยู่ในอากาศ…บนพื้นดินมีสัตว์ตัวเล็กส่งเสียงร่ำร้อง หญิงสาวน่ารักคนหนึ่งกำลังให้เม็ดยาสัตว์ตัวน้อยด้วยรอยยิ้ม


แม้แต่สวนสมุนไพรในสำนักตงหลินที่อยู่ห่างออกไปไกล เหล่าศิษย์ก็กำลังดูแลสมุนไพรตามคำสั่งของอาจารย์


มีศิษย์หลายคนกำลังเดินขึ้นเดินลงเหยียบแผ่นหินบนภูเขา พอพวกเขาเจอกันก็จะโค้งคำนับราวกับเป็นผู้อาวุโส ตรงตีนเขามีศิษย์นอกสำนักกำลังหัวเราะพลางแบกถังน้ำ แต่ละคนต่างก็ปาดเหงื่อบนหน้าผาก


สำนักตงหลินอันเงียบสงบแห่งนี้ทำให้หวังหลินรู้สึกคุ้นเคย ราวกับฟองสบู่ที่กำลังเปล่งแสงเจิดจ้า…


พริบตาถัดไปท้องฟ้าก็มืดลง แต่ไม่ได้ทำให้ศิษย์สำนักตงหลินเกิดความสนใจอันใด ทว่าจังหวะต่อมาศิษย์หลายคนที่กำลังแบกถังน้ำได้เกิดอาการสั่นเทาและฟุบลงกับพื้น


สหายร่วมสำนักที่กำลังทักทายกันต่างก็กรีดร้องโหยหวน ร่างกายเริ่มปั่นป่วนและกลายเป็นซากศพ…ในท้องฟ้า สวนสมุนไพร สัตว์ตัวน้อยและการบรรยายเต๋า มีแต่เสียงกรีดร้องดังระงม


ทั้งสำนักตงหลินเสมือนฟองสบู่ แต่ตอนนี้เหมือนมีมือมาแตะฟองสบู่จนทำให้ฟองสบู่สวยงามแตกโป๊ะ…เพียงไม่นานนัก ชีวิตข้างในจึงสูญสิ้นไปทั้งหมด!


ขณะที่ผู้คนในสำนักตงหลินตายไป ร่างพร่าเลือนร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในท้องฟ้าใต้แสงอาทิตย์ ร่างนี้มีแสงอาทิตย์ส่องอยู่ด้านหลังจนทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน…


หวังหลินเงยหน้าขึ้นในความฝันเพื่อให้ได้เห็นรูปร่างลักษณะของร่างตรงหน้า ทว่าเขาเห็นแต่เพียงภาพพร่ามัวจากนั้นในศีรษะเกิดความเจ็บปวดรุนแรง ความเจ็บปวดนี้เขาไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิตและรุนแรงยิ่งกว่าสิ่งใดที่เขาเคยรู้สึก!


………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)