Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1940-1941

 ตอนที่ 1940 หลอกสวรรค์เพื่อข้ามทะเล

โดย

Ink Stone_Fantasy

‘สำนักตงหลินมักจะลี้ลับอยู่เสมอในเก้าสำนักสิบสามกองกำลัง ข้าสงสัยว่าพวกนั้นจะมีผู้สูงส่งชั้นฟ้าหรือไม่!’ กระดองเต่าและแผนที่หินหยกที่หวังหลินมีนั้นมีข้อมูลเรื่องสำนักตงหลินอยู่น้อยมาก


ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องที่สำนักแทบไม่ส่งคนออกมาด้านนอกเลยและทั้งยังแทบไม่สื่อสารกับคนอื่น


‘ในเมื่อสำนักแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของเก้าสำนักสิบสามกองกำลัง ก็ไม่ควรประมาท แต่ถึงจะมีเซียนผู้สูงส่งชั้นฟ้า ก็ไม่มีปัญหา’ หวังหลินขบคิดและแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมา ขณะที่กำลังจะมุ่งหน้าไปหาสำนักตงหลิน เขาพลันหยุดชะงัก


ขณะที่เขาแผ่สัมผัสวิญญาณออกไป หวังหลินสัมผัสแรงผันผวนอันคุ้นเคยในเมืองของคนธรรมดาที่ห่างออกไปหลายแสนลี้ หวังหลินวางผนึกใส่คนที่มาเกิดใหม่ทั้งหมด ถ้าไกลเกินไปเขาจะตรวจจับไม่ได้ แต่เมื่อเข้าใกล้ได้มากพอก็จะสัมผัสได้


‘ความผันผวนนี้ เป็นใครกันนะ…’ หวังหลินยิ้มและมีท่าทีคาดหวัง เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นใครเหมือนตอนที่พบโจวยี่และฉิงซวง


หวังหลินตรวจจับได้เท่านั้นและระบุตัวตนได้ยาก เว้นแต่จะเห็นด้วยตาตัวเอง


นอกจากนี้ผนึกได้วางใส่ทุกคนพร้อมกัน แต่ละคนจึงไม่มีความแตกต่างมากนัก


หวังหลินเผยรอยยิ้มแห่งความยินดี การได้เจอสหายเก่าในต่างแดนทำให้หวังหลินมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที


พริบตาเดียวเขาเปลี่ยนความคิดที่จะมุ่งหน้าไปสำนักตงหลินและทะยานเข้าหาเมืองธรรมดาที่ห่างออกไปหลายแสนลี้


ด้วยระดับบ่มเพาะของหวังหลินจึงสามารถข้ามผ่านระยะนี้ได้ในพริบตาเดียว ยิ่งเข้าไปใกล้เมืองยิ่งรู้สึกรุนแรงมากขึ้น เขาลอยมาถึงด้านบนเมืองและมองลงไปเห็นชายชราผมขาวมีกลิ่นอายแห่งเทพอยู่ในเมือง หวังหลินเผยท่าทีประหลาดใจ


ชายชราผู้นี้คือต้นตอของผนึกที่ผันผวน!


แม้จะไม่มีความผันผวน หวังหลินก็สามารถจดจำใบหน้าอันคุ้นเคยของชายชราผมขาวคนนี้ได้!


‘หลิวจินเปียว!’ หวังหลินประหลาดใจพลางมีรอยยิ้มประทับบนใบหน้า


‘หลิวจินเปียวรู้แจ้งเต๋าแห่งการหลอกลวง หลังจากเกิดใหม่เขาก็ยังเดินบนเส้นทางเดิม…’ ด้วยความรู้แจ้งและเข้าใจหลิวจินเปียว หวังหลินจึงเข้าใจทันทีว่าทำไมหลิวจินเปียวถึงมีคนเกือบร้อยคนล้อมรอบ


ด้วยสัมผัสความภูมิใจที่ซ่อนอยู่ของหลิวจินเปียวและคนรอบกาย หวังหลินอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างขึ้น แต่รอยยิ้มส่วนหนึ่งเป็นรอยยิ้มขมขื่นจากการปวดหัว


‘หลอกลวงคนธรรมดา…หลิวจินเปียวเป็นคนที่สามารถหลอกได้แม้แต่เซียน ทำไมถึงไปหลอกคนทั่วไป? มีระดับบ่มเพาะผันผวนออกมาจากร่างเขา หลายปีที่ผ่านมาเขาได้บรรลุระดับขั้นแกนลมปราณ’


‘ใช้ระดับบ่มเพาะนี้หลอกลวงคนธรรมดา ข้าสงสัยจริงว่าเขาคิดอะไรอยู่’ หวังหลินขมวดคิ้วพลางเฝ้าดูและขบคิด หวังหลินไม่ได้กระตุ้นความทรงจำของหลิวจินเปียวในทันทีแต่เฝ้าดูว่าเขาจะหลอกลวงอีกฝ่ายอย่างไร


หากหวังหลินไม่ต้องการให้คนอื่นจับสังเกตได้ ก็มีเพียงไม่กี่คนที่มองเห็นเขา


หลิวจินเปียวเข้าไปในเมืองพลันเกิดการสั่นเทาและรู้สึกเหมือนมีบางอย่างแย่ๆ กำลังจะเกิดขึ้น ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นฉับพลันและเขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขามองรอบๆ อย่างละเอียดและมองท้องฟ้า ทั้งยังประหลาดใจมาก


‘น่าประหลาด ทำไมข้ารู้สึกแบบนี้…ข้ารู้สึกเหมือนเด็กที่เจอกับพ่อแม่หลังจากไปทำอะไรแย่ๆมา…น่าประหลาดจริง’ หลิวจินเปียวขมวดคิ้วและระงับความสงสัยเอาไว้ โชคดีที่มันอยู่เพียงแค่ชั่วครู่เดียว


หลังจากเข้ามาในเมือง สามวันก็ผ่านไปในพริบตา ช่วงสามวันนี้มีคนที่มีชื่อเสียงในเมืองพาเหล่าเด็กๆ มาหาหลิวจินเปียว เขามองดูเด็กเหล่านั้นด้วยสายตาเอ็นดูและออกไปจากเมืองในวันที่สี่พร้อมกับเด็กห้าคน


ในห้าคนมีเด็กชายสามคนและเด็กหญิงสองคน คนที่แก่ที่สุดอายุสิบสามปีและเยาว์วัยที่สุดอายุแปดปี


หลิวจินเปียวพาเด็กทั้งห้าคนไปบนเก้าอี้และทะยานขึ้นสู่อากาศพร้อมกับสายตาเคารพและตื่นเต้นของทุกคน


ช่วงสามวันที่ผ่านมาหวังหลินเฝ้าดูการกระทำของหลิวจินเปียวและขมวดคิ้วขึ้นไปอีก


‘หลิวจินเปียวกำลังทำอะไร? เขาไม่ได้หลอกลวงอะไรใคร พาเด็กห้าคนที่มีพรสวรรค์เล็กน้อยไปด้วย…แม้จะมีคุณสมบัติ แต่ไม่มีสำนักใดต้องการ! หากมีเจตนาร้ายอันใด ข้าจะไม่ปล่อยเขาแน่!’ หวังหลินตามหลิวจินเปียวไปอย่างสงบนิ่ง


หลิวจินเปียวนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีมีความสุข สายตากวาดผ่านเด็กทั้งห้าเป็นพักๆ


‘ไม่คิดว่าเมืองนี้จะได้คนที่เหมาะสมถึงห้าคน ฮ่าฮ่า นี่ไม่เลวนัก ข้าได้เยอะแน่นอน!’


เด็กห้าคนเริ่มเคร่งเครียดหลังจากโดนเขาชำเลืองสายตามอง แต่ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง พวกเขาต้องการเข้าสำนักและกลายเป็นเทพ นี่ไม่ใช่เพียงแค่ความคิดของแต่ละคนแต่เป็นความฝันของทั้งตระกูลและคนที่พวกเขารักอีกด้วย


หลายวันต่อมาทั้งกลุ่มได้มาถึงนอกเทือกเขาแห่งหนึ่ง หลิวจินเปียวหยุดกลางอากาศและมองคนติดตามของตัวเอง


“ทั้งหมดรอข้ากลับมาที่นี่”


ชายกำยำสี่คนและเด็กทั้งหมดรีบพยักหน้า ชายกำยำทั้งสี่อยู่ในขั้นพื้นฐานลมปราณเท่านั้น ส่วนเด็กๆอยู่ในขั้นรวบรวมลมปราณ ส่วนใหญ่ได้รับการบ่มเพาะจากหลิวจินเปียวและบ่มเพาะด้วยตัวเอง


หลิวจินเปียวพาเด็กทั้งห้าเข้าไปในสายลมสีดำและหายตัวไป


หวังหลินเฝ้าดูหลิวจินเปียวจากท้องฟ้า ท่าทีมืดมนเล็กน้อยพลางติดตามไปด้วย


สายลมสีดำพัดผ่านภูเขาไปชั่วขณะ จากนั้นปรากฏขึ้นในหุบเขาอันห่างไกล หุบเขาแห่งนี้ไม่ใหญ่มากและมีถ้ำที่สร้างขึ้นมาไม่กี่แห่ง หลิวจินเปียวนั่งลงตรงข้ามกับเด็กทั้งห้า


เขาส่งสายตาอันเคร่งเครียดจ้องมองเหล่าเด็ก


เด็กทั้งห้าเคร่งเครียดมากและมองเขาอย่างหน้าซีด ทว่าพวกเขากลับกัดฟันและไม่ได้ร้องไห้


“ไม่เลว ความจริงที่ข้าไม่ได้บอกคือคนที่พวกเจ้ามองอยู่คือคนที่รักพวกเจ้า ความจริงพรสวรรค์นั้นแย่มากและแทบไม่สามารถบ่มเพาะได้ ที่ข้าเลือกมาก็เพราะหัวใจของข้าต้องการ!”


“เหล่าเซียนไม่กลัวว่าพรสวรรค์จะแย่แค่ไหน มีแต่ใจที่มุ่งมั่นเท่านั้นที่สำคัญยิ่ง!”


เด็กทั้งห้าคนมองหลิวจินเปียวอย่างเคร่งเครียดและเงียบงัน


หวังหลินขบคิดไปด้วย ไม่มีใครสังเกตว่าเขากำลังเฝ้าดูหลิวจินเปียวและรอให้พูดต่อไป


‘หลิวจินเปียว ถ้าเจ้าหลอกลวงเหล่าเซียนข้าจะไม่สนใจ แต่หากเจ้าหลอกลวงเด็กเหล่านี้…ข้าคงผิดหวัง!’ หวังหลินคิดเข้าข้างตัวเอง


หลิวจินเปียวพูดขึ้น “ข้าเป็นคนหลอกลวง!”


พอเขาพูดออกมา เหล่าเด็กทั้งห้าถึงกับตกตะลึง แม้แต่หวังหลินก็ตกใจไปด้วย


“ข้าเป็นคนหลอกลวง ข้าโกหกคนที่พวกเจ้ารักและพามาที่นี่! หลิวจินเปียวพูดกับเด็กทั้งห้าโดยไม่มีสี่หน้าเปลี่ยนแปลง”


เด็กทั้งห้าไม่อาจตอบสนองได้ทันท่วงที สายตาจ้องมองหลิวจินเปียวอย่างตกตะลึง


“ทว่า…” หลิวจินเปียวยิ้มพลางมองรอบๆ และพูดต่อไป


“ทว่าข้าอนุญาตให้พวกเจ้าเข้าไปสำนักมหาปราชญ์ได้ แต่เรื่องนี้จำเป็นต้องให้พวกเจ้าตัดสินใจด้วยตัวเอง อันดับแรกพรสวรรค์พวกเจ้าไม่ดีพอที่จะผ่านการทดสอบที่สำนักตั้งเอาไว้ ดังนั้นพวกเจ้าจะไม่ได้รับการยอมรับเป็นศิษย์ แม้จะมีคุณสมบัติได้กลายเป็นเซียน การจะพัฒนาพวกเจ้าก็ยากอยู่ดี”


“ด้วยความรู้หลายสำนักของข้าในแคว้นมหาปราชญ์ พวกเขาจะไม่รับเจ้าหรือไม่เสียเวลาด้วย ข้าไม่ได้โกหก”


หลิวจินเปียวหยุดพูดพอถึงจุดนี้


หวังหลินเฝ้าดูและขบคิด เขารู้ว่าหลิวจินเปียวพูดถูกต้อง ด้วยพรสวรรค์ของเด็กเหล่านี้การจะเป็นที่สนใจของสำนักนั้นยากมาก


“แต่ข้ามีวิธีที่ทำให้พวกเจ้าหลอกคนพวกนั้นจนรับเข้าไปในสำนักได้ ทำได้แม้กระทั่งทำให้พรสวรรค์ดูยอดเยี่ยม!”


“แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งนั้น หากหลังจากเข้าสำนักไปแล้วความสามารถย่ำแย่ พวกเจ้าก็จะโดนแฉ พวกเจ้าจะไม่เจออันตรายคุกคามใดในชีวิตและอาจไม่โดนขับไล่ออกจากสำนัก แต่จะถูกลืมแทน”


“นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงบอกว่าพรสวรรค์นั้นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือหัวใจอันมุ่งมั่น!”


หลิวจินเปียวพูดต่อไปพลางมองเด็กห้าคนตรงหน้า


“และเพราะว่าพรสวรรค์ของพวกเจ้าค่อนข้างดี ข้าสามารถแลกเปลี่ยนพวกเจ้ากับวัตถุดิบที่ข้าต้องการจากสำนักได้ ยิ่งเจ้ามีพรสวรรค์ดี ยิ่งได้การดูแลเริ่มต้นดีขึ้นและข้ายิ่งจะได้รับรางวัลที่ดีไปอีก แต่คนที่มีพรสวรรค์มากจะยิ่งมีโอกาสโดนเปิดเผยสูง”


“ข้าสามารถช่วยพวกเจ้าหลอกสวรรค์เพื่อข้ามทะเลจนเข้าสู่สำนักได้ ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับตัวพวกเจ้าเอง และรายได้จากข้าก็แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”


“กระนั้นพวกเจ้าก็ควรระมัดระวังตัวให้ดี หากไม่ตกลง ข้าจะลบความทรงจำและส่งกลับไปหาครอบครัว หากตกลง ก็จงเลือกพรสวรรค์ที่ต้องการเข้าสำนัก จะเอายอดเยี่ยม ดี หรือธรรมดา มีอยู่สามตัวเลือก!”


“ข้าขอแนะนำให้เลือกธรรมดาตอนที่เข้าสำนัก! นอกจากนี้ข้ายังวางแผนทำธุรกิจระยะยาวและไม่อยากเผยตัวตนมากเกินไปจนโดนไล่ล่า!”


หลังจากหลิวจินเปียวพูดขึ้น เขาก็ตบกระเป๋าข้างเอวนำถั่วออกมาส่วนหนึ่งและเริ่มปอกกิน


หวังหลินยิ้มอย่างขมขื่นพอเห็นแบบนี้ หลิวจินเปียวในอดีตเป็นคนหลอกลวงและในชีวิตนี้เขาก็ยังมีวิชาหลอกลวงที่ดูเหมือนดีขึ้นกว่าเดิมไปอีก


ท่ามกลางเด็กทั้งห้าคนมีอยู่สามคนหวาดกลัวและเลือกกลับบ้าน อย่างไรก็ตามมีหนึ่งหญิงหนึ่งชายที่เผยสีหน้ามุ่งมั่น เด็กหญิงเลือกพรสวรรค์ธรรมดา ส่วนเด็กชายเลือกพรสวรรค์ค่อนข้างดี


หลิวจินเปียวมองเด็กชายที่เลือกพรสวรรค์ค่อนข้างดีด้วยสายตาล้ำลึก ท่ามกลางทั้งห้าคนนั้นเด็กชายมีพรสวรรค์ดีที่สุดและมีจิตใจที่มุ่งมั่น ครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยแต่ธรรมดา หลิวจินเปียวรู้เรื่องนี้ด้วยความบังเอิญ


หลิวจินเปียวพยักหน้าและลบความทรงจำของเด็กอีกสามคน เด็กทั้งสามถูกส่งออกไปนอกถ้ำเพื่อออกไปนอกภูเขาตรงที่มีผู้ติดตาม เขาส่งข้อความออกไปหาผู้ติดตามเพื่อให้พาเด็กลับเมืองไปรายงานต่อครอบครัวว่าพวกเขาล้มเหลวในการเข้าสำนัก



ตอนที่ 1941 นายท่านของข้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

หวังหลินมองดูหลิวจินเปียวนำสมุนไพรสีม่วงออกมาสองต้น พวกมันมีสีสันคล้ายกันแต่มีต้นหนึ่งเข้มกว่าอีกต้น


เขาวางสมุนไพรเอาไว้กลางหน้าผากของเด็กทั้งสอง สมุนไพรเปล่งกลิ่นประหลาดและดูพิเศษ มันแผ่กระจายจากหน้าผากลงไปสู่ผิวหนังคล้ายกับตาข่าย


พอจ้องมองสมุนไพรเขากลับสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่ออกมาจากภายใน แม้จะเบาบางแต่บริสุทธิ์มาก หากหวังหลินดูดซับก็จะทำให้เขาฟื้นฟูพลังได้


แต่พลังชีวิตในสมุนไพรมีน้อยเกินไป หากใช้เพื่อฟื้นกำลังคงต้องใช้มากกว่าหมื่นต้น


เหตุที่มีพลังชีวิตบริสุทธิ์เพราะมีพลังปราณสวรรค์ออกมาจากสมุนไพร พลังชีวิตที่ออกมามีพลังปราณสวรรค์จำนวนหนึ่ง แม้จะเบาบางแต่ก็ทำให้หวังหลินต้องขมวดสายตา


เขาเคยเห็นสมุนไพรแบบนี้มาก่อน ตอนที่อยู่บนแผ่นดินเซียนดาราเขาก็เจออะไรหลายอย่าง หวังหลินกระทั่งได้พบเจอกับหินหยกจำนวนมากเกี่ยวกับเรื่องสมุนไพร กระนั้นเขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับสมุนไพรนี้ด้วยหรือ


แต่หวังหลินสัมผัสได้ว่าสมุนไพรสองต้นไม่ทำอันตรายเด็กทั้งสองและสามารถทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก หลังจากหวังหลินสังเกตการณ์อีกเล็กน้อย เขาเห็นว่าหลังจากผสานเข้ากับสมุนไพร พรสวรรค์ของเด็กทั้งสองได้เปลี่ยนไปจริงๆ!


สมุนไพรสีเข้มได้กลายเป็นตาข่ายในร่างของเด็กชาย รวมถึงซ่อนพรสวรรค์ที่แท้จริงเอาไว้อย่างสิ้นเชิง จากนั้นสมุนไพรเปลี่ยนกลายเป็นพรสวรรค์ระดับดีเพื่อปกคลุมพรสวรรค์อันเดิมเอาไว้


ด้วยระดับบ่มเพาะของหวังหลินจึงสามารถมองทะลุมันได้ แต่หากเป็นเซียนขั้นที่สองยังค้นเจอได้ยาก มีเพียงเซียนขั้นที่สามที่พอจะเห็นเบาะแสเพราะมีตาข่ายสมุนไพรผสานเข้ากับเด็กชายอย่างสมบูรณ์ ยิ่งมีพลังปราณสวรรค์ในร่างยิ่งสามารถซ่อนสวรรค์ข้ามทะเลได้จริงๆ


เรื่องนี้ทำให้หวังหลินประหลาดใจมาก เขามองเด็กสาวและเกิดเรื่องแบบเดียวขึ้น นางได้รับพรสวรรค์ธรรมดาที่ดีกว่าพรสวรรค์ของตัวเอง


“ของแห่งอนาคตนั้นไม่อาจคาดเดาได้จริงๆ…” หวังหลินขบคิด สมุนไพรสีม่วงนี้พิเศษมาก


‘แต่หากหลิวจินเปียวทำแบบนี้ เมื่อถูกพบจะโดนไล่ล่าในทันที…’ หวังหลินลอบส่ายศีรษะ มีสำนักหลายแห่งบนแผ่นดินเซียนดาราและมีเซียนขั้นที่สามอยู่มากมาย หลิวจินเปียวจะถูกพบก่อนหนีออกไปจากสำนักมหาปราชญ์ได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชควาสนา


‘เขาระมัดระวังมากและไม่บังคับเหล่าเด็กๆ ด้วยความโลภ หากทำแบบนั้นความเสี่ยงที่จะถูกเปิดโปงยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามจำนวนของเด็กๆ’ หวังหลินมองหลิวจินเปียวและเผยรอยยิ้มขมขื่น


หลังจากเด็กสองคนผสานกับสมุนไพร เขาเผยท่าทีภูมิใจ มองเด็กตรงหน้าและแววตาแทบเปล่งประกาย


จากนั้นจึงยืนขึ้นและทะยานออกไปจากถ้ำพร้อมกับนำเด็กทั้งสองคนไปทางทิศใต้


ไม่นานนักภูเขาปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหลิวจินเปียว ภูเขานี้เงียบสงัดและแทบไม่มีเสียงสัตว์คำรามออกมาเลย


หลิวจินเปียวมองภูเขาตรงหน้าและคิดกับตัวเอง ‘ข้ามาที่สำนักมหาปราชญ์ได้สักพักแล้วและส่งให้กับสำนักอื่นอีกมากมาย ถึงเวลาต้องจากไปแล้ว หลังจากเสร็จครั้งนี้แม้จะไม่มีใครดูออก ข้าก็ควรจะเปลี่ยนใบหน้า ออกไปจากแคว้นมหาปราชญ์และไปที่อื่น’


‘เม็ดยาและวิชาจำนวนมากที่ข้าได้มาน่าจะทำให้ข้าบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดได้ จากนั้นข้าจะไปแคว้นอื่นและเข้าสำนักเล็กๆ ข้าจะเป็นศิษย์ไปสักพันปีก่อนจะออกไปทำธุรกิจอีกครั้ง’ หลิวจินเปียสูดหายใจลึกและพาเด็กสองคนไปยอดเขา


หวังหลินยังคงติดตามหลิวจินเปียว เฝ้าดูเขาทะยานไปรอบภูเขาอย่างชำนาญก่อนจะออกมาตัวคนเดียว สายตาแทบไม่อาจซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ได้


หลังจากออกมาจากภูเขา หลิวจินเปียวรีบจากไปโดยไม่ลังเล หวังหลินชำเลืองสายตาและมองขึ้นไป เขาเห็นระลอกคลื่นดังกึกก้องขึ้นในท้องฟ้า จากนั้นมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


เซียนธรรมดาไม่อาจตรวจจับได้แต่หวังหลินมองเห็นชัดเจน มีคนกำลังใช้วิชาทำนาย จึงทำให้โลกเปลี่ยนไป


และหลิวจินเปียวก็อยู่ใจกลาง


‘มีคนกำลังค้นหาตำแหน่งของหลิวจินเปียว!’ หวังหลินมีแววตาเย็นเยียบ เขามองระลอกคลื่นและส่งสายตาทะลุผ่านไป ใช้พลังการทำนายของอีกฝั่งจนเห็นพระราชวังอันหรูหราซึ่งมีเซียนขั้นที่สองประมาณเจ็ดถึงแปดคนกำลังยืนอย่างเคารพ ด้านหลังมีเด็กชายคนหนึ่งหลับตาและมีชายชราเอามือวางบนศีรษะเด็กชาย มืออีกข้างกำลังสร้างผนึก


ชั่วขณะต่อมา ชายชราพลันลืมตาและเผยความเย็นเยียบ


“ข้าพบจินเปียวจื่อแล้ว เขาอยู่ห่างออกไปหลายแสนลี้ พวกเจ้าทั้งหมดรีบใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายไปจับมันมา จำไว้ว่าห้ามทำลายวิญญาณดั้งเดิม ข้าจะค้นวิญญาณมัน!” ชายชราพูดขึ้นก่อนจะโยนหินหยกออกไป


“ถือหินหยกนี้เอาไว้จะทำให้ค้นหาจินเปียวจื่อได้ ส่วนศิษย์คนนี้…เตะมันไปนอกสำนัก ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของตัวเอง”


หวังหลินแววตาเป็นประกายและถอนสัมผัสวิญญาณออกมาจากระลอกคลื่น เขามองหลิวจินเปียวที่ไม่รับรู้อะไรและจึงส่ายศีรษะถอนหายใจ


‘ช่างมันเถอะ ถ้าเขาไม่เจออะไรเสียบ้างก็คงไม่รู้จักบทเรียน’


ครึ่งชั่วโมงผ่านไปไม่นาน ขณะที่หลิวจินเปียวกำลังเหาะเหิน มีร่างสี่คนปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เซียนทั้งสี่คือคนที่หวังหลินเห็นในสำนัก พวกเขาถูกส่องออกมาจับหลิวจินเปียว


ทั้งสี่คนใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายผ่านเข้ามาและตามหาหลิวจินเปียวโดยการใช้หินหยก ตอนนี้เข้ามาใกล้มากแล้ว


พอหลิวจินเปียวเห็นแบบนี้ สีหน้าท่าทางพลันเปลี่ยนไปครั้งใหญ่ เขารู้ว่ามีบางอย่างผิดพลาดแต่ก็ไม่รีบหนีในทันที เพราะรู้ว่าระดับบ่มเพาะของแต่ละคนทรงพลังและไม่สามารถหลบหนีได้เลย


สายตาเขาเปลี่ยนไปและทะยานไปด้านข้างราวกับกำลังหาทาง แต่ลำแสงสี่สายล้อมรอบเขา เซียนทั้งสี่จ้องมองหลิวจินเปียวอย่างเยือกเย็น


หลิวจินเปียวเคร่งเครียดมากแต่ก็ไม่เผยออกมาทางสีหน้า เขาขมวดคิ้วและมองทั้งสี่คนอย่างเย็นเยียบแทน


“ผู้อาวุโสทั้งสี่ ข้าสงสัยเสียจริงว่าทำไมพวกท่านถึงขัดขวางเส้นทางของผู้น้อย…” เขาสงบนิ่งจนเมื่อเซียนทั้งสี่ที่มาจับถึงกับอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง


“จับเขา!” คนที่นำหน้ามองหลิวจินเปียวอย่างละเอียดและสะบัดแขน เซียนขั้นที่สองผู้หนึ่งก้าวออกมา เซียนขั้นแกนลมปราณแบบหลิวจินเปียวไม่สามารถต่อต้านได้เลย


หลิวจินเปียวยังคงสงบนิ่งแต่ยิ้มอย่างเยือกเย็น เขาลอบตื่นตระหนกอยู่ภายในแต่รีบคิดหาทางออก สำนักบางแห่งต้องสังเกตสิ่งผิดปกติได้แล้วแน่ๆ


หลิวจินเปียวลืมตาและเอ่ยขึ้น “โอหัง! ไม่ต้องทำอะไรข้า ข้าจะตามไปโดยดี!”


ยิ่งเขาสงบนิ่งยิ่งทำให้สี่คนรู้สึกประหลาดมากขึ้น คนที่เข้ามาใกล้เขาไม่ได้โจมตีแต่ยืนอยู่ด้านหลังหลิวจินเปียว เขาผลักหลิวจินเปียว จากนั้นทั้งสี่คนก็พาเขาไป


“พวกสำนักเล็กๆ แบบเจ้ากล้ามาจับข้า? หากข้าบาดเจ็บ นายท่านจะทำลายล้างทั้งสำนักของพวกเจ้าแน่นอน!” หลิวจินเปียวเยาะเย้ยและไม่เผยอาการหวาดกลัวอันใด เขาตามเซียนทั้งสี่คนอย่างสงบนิ่งและหายวับออกไปไกล


หวังหลินปรากฏตัวขึ้นมาหลังจากพวกนั้นไปแล้ว เขาทอดสายตามองและส่ายศีรษะเล็กน้อย


‘หลังจากโดนจับ เขาก็ยังพยายามโกหกอีก หลิวจินเปียว…นายท่านที่ว่านั้นพูดถึงใครกัน?’ หวังหลินวางท่าทีประหลาดและติดตามไป เหล่าเซียนแค่ต้องใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายแต่สำหรับหวังหลินนั้นระยะทางไม่กี่แสนนี้แค่ใช้บิดมิติครั้งเดียวก็ถึงแล้ว


ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ทางเหนือของแคว้นมหาปราชญ์มีหุบเขาอยู่แห่งหนึ่งและมีตำหนักหลายแห่งรวมถึงค่ายกลปกป้องที่นี่ มันเป็นแค่สำนักทั่วไปของแคว้นมหาปราชญ์


หลิวจินเปียวถูกจับมาที่นี่ แม้จิตใจยังคงสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว สีหน้าท่าทางยังคงสงบนิ่ง ทั้งยังมีรอยยิ้มเยือกเย็นประดับบนมุมปาก


เบื้องหน้ามีชายชรากำลังนั่งอยู่ เขาคือคนที่ทำนายตำแหน่งของหลิวจินเปียว


สายตามองหลิวจินเปียวด้วยความเย็นชา


“เจ้ากล้าหลอกลวงสำนักเมฆาของข้า” ชายชราพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา


“ข้าหลอกลวงแล้วอย่างไร? สำนักเมฆาก็แค่สำนักเล็กๆ บนแคว้นมหาปราชญ์แต่ยังกล้าจับกุมข้า? พวกเจ้ากล้าดีทีเดียว!!” หลิวจินเปียวมองชายชราด้วยสายตาไม่หวั่นไหว


ชายชราขมวดคิ้ว


“หากข้าบาดเจ็บ นายท่านของข้าจะมาทันที ลืมสำนักเมฆาเล็กๆ ของเจ้าไปได้เลย แม้แต่สำนักตงหลินแห่งแคว้นมหาปราชญ์ยังต้องเคารพนายท่านของข้า” หลิวจินเปียวพูดอย่างเยาะเย้ย คำพูดแฝงความมั่นใจและท่าทีน่าเชื่อถือ


หลังจากชายชราได้ยินแบบนี้เขาก็เริ่มหัวเราะ แต่เสียงหัวเราะกลับเย็นเยียบมากกว่าเดิม


“โอ้? แล้วเจ้านายเจ้าเป็นใคร?”


หลิวจินเปียวพูดขึ้นด้วยท่าทีภูมิใจ “ผู้สูงส่งชั้นฟ้ากุ้ยหยา ผู้ติดตามมหาชั้นฟ้าชวงจื่อ!”


ท่าทีสงบนิ่งและพูดอย่างมั่นใจทำให้ชายชราตกตะลึง


“ช่างน่าขัน หากเจ้าเป็นคนรับใช้ของผู้สูงส่งชั้นฟ้ากุ้ยหยาตัวจริง เจ้าคงไม่หลอกลวงผู้คนที่นี่และคงไม่เป็นแค่เซียนขั้นแกนลมปราณหรอก!” ชายชราไม่เชื่อเลย


หลิวจินเปียวสะบัดแขนเสื้อและพูดอย่างเยือกเย็น “เต๋าแห่งการหลอกลวงคือเขตแดนของข้า ส่วนระดับบ่มเพาะข้า จงลืมตาแก่ๆ ของเจ้าซะและจงดูให้เต็มตา ระดับบ่มเพาะของข้าเป็นแค่ขั้นแกนลมปราณจริงหรือไม่?!”


อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาหวาดกลัวอยู่ในใจ แต่เขาได้หลอกลวงผู้คนมาหลายปีจนบรรลุเต๋าแห่งการหลอกลวงขั้นที่สองคือการหลอกตัวเอง ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่กลัวว่าคนอื่นจะไม่เชื่อ!


หวังหลินนั่งอยู่ในตำหนักและไม่กลัวว่าจะมีใครสังเกตเห็น หวังหลินยิ้มอย่างขมขื่นแต่ก็นึกย้อนถึงอดีตเช่นกัน


……………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)