Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1936-1939

 ตอนที่ 1936 ห้าฟุต

โดย

Ink Stone_Fantasy

แม้ใบหน้าด้านนอกจะไม่มีผิวหนังและเป็นแค่ก้อนโลหิต หวังหลินนึกถึงเหตุการณ์ที่บรรพชนเทพผนึกกระทิงสวรรค์ตอนที่เขาทำการดูดซับสายเพลิงปฐพี


ใบหน้าอันเลือนลางนี้คล้ายกับใบหน้าของบรรพชนเทพเป็นอย่างมาก!!


เพียงแค่มันร้องคำรามดุดัน เกิดเป็นระลอกคลื่นกระจายไปบนม่านแสง หวังหลินถอยกลับไปบนพื้นด้วยท่าทีมืดมน ม่านแสงขนาดห้าร้อยฟุตสั่นสะท้านและหดตัวลงอีกครั้ง


มันหดจากห้าร้อยฟุตไปเหลือสามร้อยฟุต ทำให้หวังหลินและไฮ่จื่อเข้ามาใกล้กันมากขึ้น


ร่างเลือนลางกระแทกใส่ม่านแสงไปครึ่งชั่วโมงก่อนจะหยุดลง มันจ้องหวังหลินและไฮ่จื่อไปสักพักก่อนจะถอยกลับเข้าไปในความมืดมิด


ไฮ่จื่อกันริมฝีปากและมองดูม่านแสงเบื้องบน นาทีต่อมานางจึงเอ่ยขึ้น “ม่านแสงคงอยู่ได้อีกไม่นาน…”


หวังหลินขบคิดเงียบๆ สิ่งที่เขาเห็นอย่างเลือนลางนั้นทำให้รู้สึกเหมือนมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ในฝ่ามือ ถ้าไม่ใช่แบบนั้นทำไมบรรพชนเทพถึงปรากฏตัว?


หวังหลินแววตาเป็นประกายและมองมาที่ไฮ่จื่อ “อาจารย์ของเจ้าคือมหาชั้นฟ้าจิ่วตี้ เจ้าได้ยินเรื่องของบรรพชนเทพหรือไม่?”


“บรรพชนเทพ?” นางมองหวังหลิน ตอนที่หวังหลินจำได้ว่าร่างนั้นเป็นบรรพชนเทพ เขาคิดอยู่แต่ไม่ได้พูดออกไปเสียงดังมากนัก ดังนั้นไฮ่จื่อจึงไม่รู้ว่าหวังหลินเห็นอะไร


“ข้าได้ยินอาจารย์พูดถึงเพียงครั้งเดียว ในอดีตเมื่อนานมาแล้วเผ่าเทพมีเพียงแค่แผ่นดินเดียว บรรพชนเทพได้ผนึกสิ่งมีชีวิตที่มาจากนอกแผ่นดินจนสร้างเป็น 72 แคว้นที่เรารู้จักในทุกวันนี้”


“ข้าได้ยินจากอาจารย์ว่าหลังจากผนึกสิ่งมีชีวิตตัวที่ 72 บรรพชนเทพก็หายตัวไป ไม่รู้ว่าไปที่ไหน แม้ลูกหลานจะค้นหาอยู่นานก็ไม่รู้ว่าไปที่ใด”


“แต่ครั้งหนึ่งอาจารย์บังเอิญพึมพำบางอย่างที่ดูเหมือนบรรพชนเทพไม่ได้หายตัวไป…อาจารย์คิดว่าบรรพชนเทพเจอกับอะไรบางอย่าง…ส่วนจะเป็นอะไร อาจารย์ไม่ได้ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องนั้น” ไฮ่จื่อเผยสายตาขบคิด


พอประโยคเหล่านี้ถึงหูหวังหลิน เขาก็เงียบแต่ก็คิดไปด้วย


‘บางทีฝ่ามือแตกหักนี่อาจเป็นของบรรพชนเทพ…หากเป็นแบบนั้น ใครเป็นคนตัดแขนซ้ายของบรรพชนเทพ…ยิ่งมีหลายข่าวลือเรื่องกระบี่ของบรรพชนเทพแตกสลาย หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับฝ่ามือแตกหักนี่…?’


‘แล้วทำไมฝ่ามือถึงอยู่ในผนึกต้นไม้ทะเลขุนเขา? ผนึกยังอยู่มาหลายปี เหล่ามหาชั้นฟ้าคงสังเกตมันได้แต่ทำไมมันเพิ่งมาเคลื่อนไหวตอนนี้…นอกจากนี้ยังเป็นอาณาเขตของมหาชั้นฟ้าต้าวยี่ ด้วยระดับบ่มเพาะแบบมหาชั้นฟ้า เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร?’


‘หรือบางที…’ หวังหลินแววตาเป็นประกายเจิดจ้า


‘เหล่ามหาชั้นฟ้ารวมไปถึงต้าวยี่ได้รู้เรื่องผนึกประหลาดนี้นานแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครลงมือทำอะไรวู่วาม…’ หวังหลินบ่มเพาะและทำการสรุปต่อไป เขาสูดหายใจลึกและสั่นสะท้านจากข้อสรุป


หวังหลินพูดขึ้นด้วยแววตาเปล่งประกายที่ไม่อาจตรวจจับได้ “ผู้สูงส่งไฮ่จื่อ ในเมื่ออาจารย์เจ้าคือมหาชั้นฟ้าจิ่วตี้ ทำไมเจ้าถึงอยู่ไกลจากแคว้นกลางและอาศัยอยู่ในทะเลขุนเขา?”


“เจ้าสงสัยข้า?” ไฮ่จื่อมองหวังหลิน แววตางดงามกำลังเปล่งประกาย


‘ช่างเป็นสตรีที่ฉลาด!’ หวังหลินคิดกับตัวเอง เพียงแค่ประโยคเดียวจากเขา ไฮ่จื่อก็คาดเดาได้หลายอย่างแล้ว


หวังหลินไม่ได้อธิบาย เขาแค่มองไฮ่จื่ออย่างนิ่งเฉย


นางขบคิดและมีท่าทีเปลี่ยนไปราวกับคิดอะไรบางอย่าง ผ่านไปสักพักนางดูเหมือนคิดอะไรได้จึงมองขึ้นไป แววตาเผยแสงประหลาด


นางขมวดคิ้วและเอ่ยกระซิบ “อาจารย์เป็นคนบอกให้ข้ามาที่แผ่นดินทิศใต้และทำทะเลขุนเขาให้เป็นถ้ำของข้า”


หวังหลินยืนยันการคาดเดาของตัวเองได้บางส่วน ถ้าเป็นแบบนี้จริงก็ถือว่าเป็นปัญหาเสียแล้ว


ไฮ่จื่อรีบถาม “เจ้าไปรู้เรื่องต้นไม้ทะเลขุนเขามีจิตวิญญาณต้นไม้มาจากที่ไหน?”


“ข้าได้ยินมาจากผู้สูงส่งชั้นฟ้าที่อยู่ใต้อำนาจมหาชั้นฟ้าหวู่เฟิง เขาบอกว่ามีจิตวิญญาณต้นไม้อยู่ใต้ทะเลขุนเขา…” หวังหลินขบคิดขึ้นไปอีก


“ข้าเคยมาที่ทะเลขุนเขามาก่อนและมันมีถ้ำอยู่ที่นี่ไม่นานนัก เมื่อสองร้อยปีก่อนอาจารย์กลับบอกให้ข้าอาศัยอยู่ที่นี่ไปสักพัก…เจ้าถูกใครบางคนใต้อำนาจมหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงชี้มาที่นี่…และนี่เป็นอาณาเขตของมหาชั้นฟ้าต้าวยี่” ไฮ่จื่อเผยท่าทีมืดมน


หวังหลินยิ้มบางๆ คำพูดของไฮ่จื่อหมายความว่านางเข้าใจถึงกุญแจสำคัญของเรื่องนี้แล้ว


ไฮ่จื่อหลับตาลง ผ่านไปสักพักจึงพูดขึ้นอย่างเงียบงัน “อาจารย์ใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อฝ่ามือให้ออกมาจากผนึกต้นไม้ทะเลขุนเขา!”


“ข้าเข้าใจได้ อาจารย์ยกระดับข้าและสอนให้เข้าใจถึงวิธีการฝึกฝน แม้ข้าจะเป็นเหยื่อ ข้าก็ไม่ตำหนิ เรื่องประหลาดก็คือทำไมมหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงถึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับเจ้า? ล่อเจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร?” ไฮ่จื่อลืมตาและมองหวังหลิน


หวังหลินมีท่าทีเป็นปกติและส่ายศีรษะ อย่างไรก็ตามเขากลับคาดเดาเรื่องสำคัญนี้ขึ้นมาได้แล้ว!


‘เซียนทั่วไปอาจมองต้นกำเนิดของข้าไม่ออก แม้แต่ผู้สูงส่งชั้นฟ้าก็ยังตรวจสอบได้ยาก แต่สำหรับเหล่ามหาชั้นฟ้ามันไม่ใช่ความลับเลย!’


‘คนที่อยู่ใต้มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงได้ชี้ให้ข้ามาที่นี่เพื่อพิสูจน์ตัวตนของข้าและยังมีเป้าหมายเดียวกับมหาชั้นฟ้าจิ่วตี้!’


‘แม้มหาชั้นฟ้าจิ่วตี้จะใช้ศิษย์ของตัวเองเป็นเหยื่อล่อ วิธีของเขาก็ยังเบากว่าและแค่ปล่อยให้นางอาศัยอยู่ที่นี่เพื่อไปกระตุ้นความสนใจของจิตวิญญาณต้นไม้ แต่ข้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับมหาชั้นฟ้าหวู่เฟิง ดังนั้นเขาจึงไม่สนว่าข้าจะอยู่หรือตาย เขาได้ประโยชน์สองต่อคือยืนยันตัวตนของข้าและล่อฝ่ามือให้ออกมา!’


‘พวกนั้นไม่สนใจว่าข้าออกมาจากโลกถ้ำหรือไม่ แต่ข้าเป็นเซียนเผ่าโบราณ!!’ หวังหลินบ่มเพาะมาเกือบสามพันปี โดยเฉพาะตอนที่อยู่ในโลกถ้ำ เขาแก้ไขสถานการณ์อ้างอิงจากการวิเคราะห์และการสรุปของตัวเอง


หวังหลินสามารถสรุปความจริงจากการรวมเบาะแสเข้าด้วยกันได้!


‘ข้าแค่ไม่รู้ว่ามหาชั้นฟ้าต้าวยี่เล่นอยู่ในเกมนี้เป็นตัวอะไร’ หวังหลินก้มหน้าลง แววตาเย็นเยียบ


‘ในเมื่ออาจารย์กล้าปล่อยให้สำนักกุ้ยยี่รู้ เช่นนั้นข้าก็เชื่อว่าเขามั่นใจมากที่จะไม่มีข้อมูลรั่วไหล จุดอ่อนของเรื่องนี้คือไม่มีใครรู้ว่าข้าเป็นศิษย์คนเดียวของมหาชั้นฟ้าซวนลั่ว!’


‘ตราบใดที่ข้าไม่เผยสถานะของตัวเอง แม้ข้าจะมาจากโลกถ้ำ ทุกอย่างก็ยังดูปกติดี! รอไปอีกสักพัก นอกจากนี้แล้วมันก็แค่การคาดเดาของข้า’ หวังหลินคิดและมองไปที่ไฮ่จื่อ นางหลับตาอยู่และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง


‘หากมหาชั้นฟ้าจิ่วตี้ใช้นางเป็นเหยื่อล่อจริงๆ นางต้องมีบางอย่างแปลกประหลาด!’ หวังหลินคาดเดาเรื่องนี้มาก่อนและยิ่งมั่นใจมากขึ้น แต่เขายังคงสงสัยอยู่ว่าฝ่ามือนี้มีความลับแบบไหนถึงทำให้เหล่ามหาชั้นฟ้าของเผ่าเทพสนใจขนาดนี้!


หวังหลินถอนสายตาและเพ่งสมาธิดูดซับจิตวิญญาณต้นไม้ต่อไป ไม่ว่าตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้น การเพิ่มระดับบ่มเพาะเป็นเรื่องพื้นฐานในการจัดการกับทุกอย่างในอนาคต!


เวลาเริ่มผ่านไปอย่างเงียบงันอีกครั้ง


พริบตาเดียวผ่านไปอีกสามปี! รวมกับปีก่อนหน้านี้ หวังหลินและไฮ่จื่อถูกขังอยู่ที่นี่มาเจ็ดปี!


ช่วงเวลาสามปี ร่างเลือนลางจากฝ่ามือปรากฏขึ้นทั้งหมดเก้าครั้ง แต่ละครั้งร้องคำรามและกระหน่ำใส่ม่านแสงจนมันหดลงเก้าครั้ง


วันนี้เป็นครั้งที่เก้า! ม่านแสงหดลง เกิดเสียงแตกร้าวดังกึกก้องราวกับมันถึงขีดจำกัดแล้ว มันหดลงตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมาจนเหลือขนาดเพียงสามสิบฟุตเท่านั้น!!


ระยะสามสิบฟุตบังคับให้หวังหลินและไฮ่จื่อต้องใกล้กันอย่างมาก หวังหลินถึงกับได้กลิ่นอันหอมหวนของร่างไฮ่จื่อ


สามสิบฟุตไม่กว้างนัก หากหวังหลินนำดาบหยินออกมามันก็ยาวสามสิบฟุตแล้ว นี่แสดงให้เห็นว่าพื้นที่นี้เล็กแค่ไหน


เพราะทั้งสองใกล้กัน ไฮ่จื่อจึงไม่สามารถบ่มเพาะได้อีกแล้ว นางใบหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยและอึดอัด สายตามองมาที่หวังหลินยิ่งซับซ้อนขึ้น


นางยังรู้สึกถึงความร้อนออกมาจากหวังหลินแบบเดียวกับที่หวังหลินได้กลิ่นหอมจากร่างกายของนางเช่นกัน


“พื้นที่…เล็กเกินไป…หากไม่มีวิธีแก้ไข ม่านแสงจะพังทลายในอีกไม่นาน หากมันหดลงอีกครั้ง…” ไฮ่จื่อรู้สึกโกรธและอับอาย


หวังหลินขมวดคิ้วเช่นกัน ในตลอดทั้งชีวิต นอกจากหญิงสาวที่นับนิ้วมือได้ เขาแทบไม่เคยใกล้ชิดกับคนแปลกหน้าเลย หวังหลินเองก็อึดอัดเช่นกันและยังมีกลิ่นหอมจากร่างกายของนางทำให้เขาขมวดคิ้วหนัก


เพิ่มกับความสัมพันธ์เจ็ดปีของทั้งสอง ไฮ่จื่อนั้นงดงามอย่างหมดจดเช่นเดียวกันมู่ปิงเหมย ความรู้สึกนี้ทำให้หวังหลินลอบถอนหายใจ


‘ข้าไม่อาจปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้ต่อไป…’ หวังหลินแววตาเป็นประกาย แต่ตอนนี้ม่านแสงกำลังหดลงและเกิดรอยแตกร้าวเกิดขึ้น ร่างด้านนอกปรากฏอีกครั้ง มันโจมตีม่านแสงอย่างรุนแรง เสียงด้านนอกยิ่งหนักหน่วง รอยแตกบนม่านแสงเริ่มแผ่กระจาย


จากการกระหน่ำโจมตีครั้งนี้ ม่านแสงหดลงอีกครั้ง!


สามสิบฟุต ยี่สิบฟุต สิบฟุต!!


ห้าฟุต!


พอเหลือเพียงห้าฟุต ไฮ่จื่อแทบอยู่ชิดกับหวังหลินไปแล้ว ทั้งคู่สามารถสัมผัสอารมณ์ของกันและกันได้ทีเดียว


รอบด้านมืดสนิทและฝ่ามือด้านนอกกลับหยุดลงด้วยเหตุผลบางอย่างจนเหลือเพียงแต่ความเงียบ มีเพียงเสียงหายใจของไฮ่จื่อที่สามารถได้ยินอย่างชัดเจนในม่านแสง


“หวัง…หวังหลิน…” ไฮ่จื่อพูดขึ้นเบาๆ ลมหายใจอุ่นของนางรดใส่บนใบหน้าหวังหลิน



ตอนที่ 1937 ปล่อยมหาชั้นฟ้าได้เห็น!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“อย่าพูด!” หวังหลินพูดขึ้นพลางแววตาเป็นประกาย เขามองขึ้นไปที่ม่านแสงและเห็นร่างเงาจ้องกลับมา


“ม่านแสงจะแตกสลายในอีกไม่นาน จงควบคุมค่ายกลให้แตกสลายและใช้พลังทำลายเพื่อผลักดันเราออกไปให้เร็วที่สุด!”


“ตอนที่เราพุ่งออกไป เราทั้งคู่จะใช้วิชาที่แข็งแกร่งที่สุด! ข้าคิดว่าเจ้าเดาได้แล้วว่าอาจารย์ของเจ้าอยู่ที่นี่!” หวังหลินมองร่างเลือนลางนั้นแล้วพลันส่งข้อความไปให้ไฮ่จื่อ


นางขบคิดชั่วขณะและพยักหน้าเบาๆ


หวังหลินสูดหายใจลึกและสูดดมกลิ่นหอมของไฮ่จื่อเข้าไปบางส่วนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เขาไม่มีเวลารู้สึกอึดอัด แววตาหวังหลินเป็นประกายเย็นเยียบ


ไฮ่จื่อสร้างผนึกและชี้ไปที่ม่านแสงเบื้องบน


เพียงเท่านี้ม่านแสงก็ดังกึกก้อง รอยแตกร้าวนับไม่ถ้วนพังทลาย ขณะที่เศษเสี้ยวกระจัดกระจาย พลังที่เหลือได้ผลักดันทั้งสองกระเด็นออกไป


หวังหลินและไฮ่จื่อใช้พลังนี้พุ่งออกไปพร้อมกับม่านแสงพังทลาย อีกทั้งไฮ่จื่อก็ทำตามคำสั่งก่อนหน้านี้ของหวังหลิน นางใช้ฝ่ามือสร้างผนึกและปรากฏผนึกวงรีที่มีวิชา 90 วิชาผสานข้างใน ผนึกเปล่งแสงเป็นประกายเจิดจ้า


ผนึกวงรีอันแรกกระแทกเข้าใส่ร่างเงาและเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องราวกับมิติกำลังเปิดแยกออกมา ร่างเงาถูกผลักดันกลับไป


ตอนนี้มีร่างสามคนลอยอยู่เหนือทะเลขุนเขาและมองลงมา แม้ทั้งสามคนจะอยู่ที่นี่ หากมีเหล่าเซียนผ่านมาคงไม่สามารถสังเกตเห็นพวกเขาได้เลย!


ในสามคนนี้มีหนึ่งคนเป็นชายหนุ่มสวมชุดคลุมเต๋า เรือนผมสีดำ คิ้วเรียวดุจคมดาบและดูอายุราวยี่สิบปี ดวงตาเป็นประกายคล้ายดวงดาวและทำให้คนที่มองเข้ามาหมดสติได้ง่ายๆ


ถึงจะมีภาพลักษณ์เยาว์วัยแต่รอบด้านเจือไปด้วยกลิ่นอายโบราณ เขาดูสงบนิ่งแต่ทุกสิ่งรอบตัวแข็งค้าง ราวกับทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาต้องถูกแช่แข้ง


เขาคือมหาชั้นฟ้าต้าวยี่!


ห่างจากเขาออกไปหลายฟุตเป็นร่างที่สอง เขาเป็นชายวัยกลางคนลำตัวสูงกว่ามหาชั้นฟ้าต้าวยี่ สวมชุดผ้าไหมเรียบง่ายและไพล่มือไปด้านหลัง


ศีรษะไม่ได้มีผมมากนักแต่ไม่ได้ล้านเตียน ท่าทีแข็งกร้าวและไม่ใช่คนหล่อ แววตาเผยกลิ่นอายดุดันจนทำให้โลกใต้ฝ่าเท้าต้องสั่นไหว


ใครที่มองเขาคงลืมตัวตนและจำได้แต่เพียงสายตาอันน่ากลัวนั้น! เขาดูสงบนิ่งและเปล่งกลิ่นอายแห่งอำนาจ!


กลิ่นอายที่ไม่อาจอธิบายได้กำลังกระจายออกมาคล้ายกับเคล็ดการต่อสู้อันสูงสุด ขีดจำกัดของเต๋าเทพ! หากคนผู้นี้บรรลุเต๋าด้วยเคล็ดการต่อสู้ เขาก็คงใช้เคล็ดการต่อสู้เพื่อทะลวงผ่านเข้าสู่ขั้นของมหาชั้นฟ้า!


จากนั้นตอนที่กลายเป็นมหาชั้นฟ้า เขาได้ปิดผนึกเคล็ดการต่อสู้เพื่อใช้สูงสุดคือสู่สามัญและกลายเป็นหนึ่งเดียวกับโลกนี้! นั่นเป็นเหตุผลที่เขาชื่อ หวู่เฟิง! [1]


เดิมทีพื้นที่รอบมหาชั้นฟ้าต้าวยี่ไม่มีอะไรเคลื่อนไหว แต่เส้นผมและเสื้อผ้าของหวู่เฟิงพริ้วสะบัดราวกับมีสายลมอยู่ คล้ายกับกลิ่นอายของต้าวยี่ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับเขา


ร่างสุดท้ายเป็นชายชราสวมชุดคลุมเต๋าและยืนอย่างสงบนิ่ง ตัวเขาไม่มีอะไรพิเศษและดูเหมือนเซียนทั่วไป รูปร่างหน้าตาไม่มีอะไรพิเศษและหลังค่อมเล็กน้อย


ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นและไม่มีประกายในแววตามากนัก เขาดูเจ็บป่วยและเศร้าซึมแต่เขายังอยู่ดีในกลิ่นอายของต้าวยี่ที่แช่แข็งทุกอย่างและเหมือนว่ากลิ่นอายพิเศษของหวู่เฟิงไม่ส่งผลกระทบกับเขาด้วย


“จิ่วตี้ ศิษย์ของเจ้ากำลังเจอปัญหา” ต้าวยี่ยิ้มและมองชายชุดเขียว แม้ชายชราจะดูธรรมดา ต้าวยี่กลับรู้ว่าจิ่วตี้เป็นคนที่แก่ที่สุดในมหาชั้นฟ้าทั้งห้าตอนนี้ ลือกันว่าเขาเป็นเซียนในยุคที่ยังมีบรรพชนเทพเสียด้วย


ชื่อเดิมของเขาคือจิ่ว (เก้า) และรูปร่างหน้าตาหล่อเหลามาก แต่หลังจากผ่านมานานหลายปีและเกิดใหม่ถึงเก้าครั้ง จิ่ว (九 เก้า) จึงกลายเป็นจิ่ว (久 นาน)!


ชายชราชุดเขียวเอ่ยขึ้น “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสองคน ศิษย์ของข้าคงหนีมาได้นานแล้ว”


“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้า ข้าแค่ประทับใจหวังหลิน” ต้าวยี่ยิ้มและส่ายศีรษะ


“ข้าก็ประทับใจเขาเช่นกัน แต่ยังมีต้นกำเนิดของเขาที่ทำให้ข้าจำเป็นต้องทดสอบที่นี่!” คนที่พูดคือหวู่เฟิง


“ตอนนั้นซวนลั่วก็มาที่เผ่าเทพ ตราบใดที่เขาไม่เกี่ยวข้องกับซวนลั่ว นั่นก็ถือว่าดี” ต้าวยี่มองทะเลขุนเขาด้านล่าง


อย่างไรก็ตามต้าวยี่กลับอุทานขึ้นมาเบาๆ ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นแต่หวู่เฟิงก็มองเข้ามาด้วยสายตาเคร่งเครียด ชายชราเองก็ประหลาดใจเช่นกัน


ทะเลขุนเขาด้านล่างปกคลุมไปด้วยน้ำหมึกหนึ่งชั้น ด้านล่างน้ำหมึกคือทะเลอันไร้ขอบเขตและตรงก้นทะเลคือหลุมดำ ข้างในหลุมดำคือต้นไม้ทะเลขุนเขาซึ่งมีเสียงดังสนั่นออกมาจากผนึกหลายชั้น


เป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้าไฮ่จื่อที่โจมตี ผนึกวงรีปะทะกับฝ่ามือ แต่หลังจากฝ่ามือพังทลายมันก็สร้างขึ้นมาใหม่ หวังหลินยกแขนขึ้นมา รอยสักกระทิงสวรรค์บนใบหน้ากะพริบวาบ เกราะวิญญาณปกคลุมทั่วร่างและใช้วิชาที่แข็งแกร่งที่สุด!!


‘ต้องมีมหาชั้นฟ้าอยู่ด้านนอก ไม่ว่าจะเป็นหวู่เฟิง ต้าวยี่หรือจิ่วตี้ ในเมื่อต้องการเห็นต้นกำเนิดและความแข็งแกร่งของข้า ข้าก็จะให้ทั้งหมดได้เห็นชัดเต็มสองตา!’


หวังหลินพุ่งออกไปพลางยกแขนโบกสะบัด


โลกพลันเปลี่ยนสีสัน คลื่นเสียงดังกึกก้องออกมาจากในความมืด ปรากฏทะเลขึ้นมาและตรงชายขอบทะเลมีโครงร่างอาทิตย์สีทองกำลังพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว!!


ขณะที่ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นมา แสงสีทองไร้ขอบเขตแผ่กระจายออกไปทุกทิศทาง มันมีพลังฉีกกระชากความมืดมิดและทำให้ความมืดต้องถูกดันถอยไป


ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในดวงอาทิตย์ ร่างนั้นคือหวังหลิน!


เขาหลับตาและลอยอยู่ในดวงอาทิตย์ ขณะที่แสงสีทองขับไล่ความมืดมิด หวังหลินพลันลืมตา


แสงสีทองไร้ขอบเขตที่ปลดปล่อยออกมาจากดวงอาทิตย์มีร่องรอยแห่งศรัทธา มันคือศรัทธาของหวังหลิน เป็นศรัทธาอันล้ำค่าจนทำให้วิชาแยกราตรีกลายเป็นวิชาแห่งศรัทธา!


‘หากต้องการเห็นข้า ข้าก็จะให้เจ้าดู!’ หวังหลินมีแววตาเป็นประกายเจิดจ้า


“ข้าเชื่อว่าความมืดมิดทั้งหมดจะต้องสูญสลาย!”


“ข้าเชื่อว่าแสงจะแทงทะลุท้องฟ้าอันมืดมิดและส่องประกายไปบนผืนปฐพี!”


“ข้าเชื่อว่าศัตรูทั้งหมดของข้าจะต้องแตกสลาย!!”


เพียงแค่หวังหลินพึมพำออกไป แสงอาทิตย์ก็ขับไล่ความมืดและแทงทะลุร่างเงาฝ่ามือไป ร่างเงาเริ่มควบแน่นแต่ก็แตกสลายในทันทีกลายเป็นละอองนับไม่ถ้วนจนเริ่มหมองหม่น พวกมันไม่ได้แตกสลายแต่ถูกดันกลับไปและเผยสัญญาณก่อตัวขึ้นมาใหม่


ทว่าจากสีของมัน เงาฝ่ามือไม่ได้ถอยหนีวิชาที่ทรงพลังที่สุดของหวังหลิน


แสงอาทิตย์แผ่กระจายออกไปอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่แทงทะลุความมืดแต่ยังโดนไปถึงต้นไม้ทะเลขุนเขาด้วย ราวกับมีดวงอาทิตย์อยู่ในต้นไม้!!


แสงอาทิตย์ส่องประกายผ่านตอไม้ของต้นไม้ทะเลขุนเขาและแทงทะลุผนึกออกมา มันไม่สนใจหลุมดำและลอดตรงผ่านก้นทะเลขึ้นมา ความมืดมิดในทะเลจางหายไปเนื่องจากมีแสงอาทิตย์ส่องประกาย


มันแทงผ่านชั้นน้ำหมึกของผิวทะเลและเข้าสู่ดวงตาของต้าวยี่ หวู่เฟิงและจิ่วตี้!!


“วิชาแห่งศรัทธา!” มหาชั้นฟ้าต้าวยี่แววตาเปล่งประกาย


“เขาเป็นเซียนผู้สูงส่งชั้นฟ้าแต่กลับมีพลังแห่งศรัทธาขนาดนี้!” มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงเผยสายตาอันทรงพลังและส่องประกาย


มีเพียงชายชราที่ขมวดคิ้ว เขายกแขนขวาขึ้นมาชี้ใส่น้ำด้านล่าง ราวกับเป็นท่าทางธรรมดาที่คนทั่วไปก็ทำได้


ขณะที่ทะเลถูกแสงอาทิตย์แทงทะลุออกมา เกิดเป็นเสียงดังสนั่นกึกก้อง ท้องทะเลเริ่มเดือดราวกับปั่นป่วนและมีนิ้วยักษ์ผลักลงด้านล่าง!


หวังหลินพุ่งออกมาจากทะเลด้านล่างโดยไม่ลังเล เขารีบทะยานออกไปราวกับไม่เห็นมหาชั้นฟ้าทั้งสามคน


ด้านหลังมีผู้สูงส่งชั้นฟ้าไฮ่จื่อกำลังขมวดคิ้ว แต่ทะเลด้านล่างกลายเป็นวังวน ฝ่ามือยักษ์กำลังไล่ตามหลังนางเข้ามา


ทว่าขณะที่ฝ่ามือเข้าใกล้ ดัชนีที่เกิดจากสายน้ำก็เข้ามาถึงและปะทะกับฝ่ามือแตกหัก


เกิดเป็นเสียงดังคะนองและฝ่ามือหยุดชะงักไปหนึ่งจังหวะ ไฮ่จื่อถึงกับหน้าซีดพลางหลบหนีออกมาจากทะเล!


กรรรร!!


ฝ่ามือแตกหักถูกดัชนีผลักดันลงไป แต่เกิดเสียงคำรามดุร้ายดังกึกก้อง ฝ่ามือได้เปลี่ยนกลายเป็นร่างเงาและคำรามใส่ท้องฟ้า ดวงตาของมันยิ่งบ้าคลั่งมากขึ้นและมองเห็นมหาชั้นฟ้าทั้งสามคนในท้องฟ้า มันไม่สนไฮจื่อแล้วและพุ่งเข้าหาทั้งสามคน


ราวกับไม่มีใครสามารถเหยียบย่ำอำนาจของมันได้!


มหาชั้นฟ้าจิ่วตี้มีแววตาเปล่งประกายและก้าวเท้าท่องทะยานลงไปคั่นกลางไฮ่จื่อและฝ่ามือ เขายกแขนขวาขึ้นทันที


“อาจารย์…” ไฮ่จื่อมองดูชายชรา นางขบคิดและอดไม่ได้ที่จะมองดูว่าหวังหลินหายไปไหน นางถอนหายใจพลางเกิดความรู้สึกอันซับซ้อน


…………………………………………………………….


1. หวู่แปลว่าเคล็ดวิชา เฟิงแปลว่าผนึก



ตอนที่ 1938 ไม่มีวันเสียใจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หวังหลินปรากฏร่างขึ้นตรงชายขอบทะเลขุนเขาในทันที เขาผสานเข้ากับโลกและหายวับไปเพียงก้าวเดียว


พอหวังหลินอยู่ห่างจากแคว้นทะเลขุนเขาได้แล้ว เขาปรากฏตัวขึ้นในป่าสนโบราณของแคว้นป่าทะเลขุนเขา จากนั้นลอยตัวอยู่เหนือป่าและมองไปด้านหลัง


ก่อนหน้านี้เขาใช้แยกราตรีเพื่อทะลวงฝ่ามือออกมา จากนั้นหนีโดยไม่ต้องคิดมากความ พอออกมาได้กลับรู้สึกถึงกลิ่นอายทรงพลังที่สามารถทำลายล้างโลกได้ปรากฏอยู่ตรงนั้น พอรวมกับข้อสงสัยก่อนหน้านี้ก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าทั้งสามเป็นใคร


หวังหลินนั่งอยู่บนยอดต้นสนและสูดหายใจลึก พื้นที่บริเวณนี้กว้างใหญ่และสบายใจยิ่งกว่าอยู่ในม่านแสงมากมาย


‘ฝ่ามือนั่นต้องมีความลับอะไรบางอย่าง ข้าได้อะไรเยอะมากระหว่างการเดินทางมาต้นไม้ทะเลขุนเขา นอกจากจิตวิญญาณแล้วข้ายังได้เศษกระบี่ของบรรพชนเทพอีก!’ หวังหลินดวงตาเป็นประกาย ในมือมีแสงสีทองเล็กๆ


‘ข้าไม่สามารถดูดซับมันในม่านแสงของไฮ่จื่อได้ ตอนนี้ข้าเป็นอิสระแล้ว ข้าจะผสานมันกับเศษชิ้นส่วนในตาข้าให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้!’ หวังหลินคิดว่าเหล่ามหาชั้นฟ้าคงถามเขา แต่ในเมื่อปล่อยเขาออกมาแล้วนั่นหมายความว่าหวังหลินได้ผ่านการทดสอบของแต่ละคนไปบ้าง


พริบตาเดียวร่างหวังหลินก็พร่าเลือนและค่อยๆ ผสานกับต้นสนด้านล่าง หวังหลินนั่งลงและนำจิตวิญญาณต้นไม้ทะเลขุนเขาที่เหลืออีกสองดวงออกมา


“ช่วงหลายปีที่ผ่านมา แก่นแท้ไม้ของข้าบรรลุไปหนึ่งระดับและข้าสามารถสัมผัสถึงแก่นแท้ไม้ในโลกรอบตัวข้าได้ ข้าเหลือจิตวิญญาณอยู่สองดวงแต่ไม่รู้ว่าข้าจะสร้างร่างแก่นแท้ขึ้นมาหลังจากดูดซับมันได้หรือไม่!”


‘แต่แก่นแท้ค่อนข้างแปลกประหลาด หลังจากผสานกับร่างกายข้า การดูดซับยิ่งช้าลงเรื่อยๆ ช่างน่าสงสัยว่าเมื่อใดมันจะกลายเป็นของข้า’ หวังหลินนำจิตวิญญาณสองดวงออกมาและผสานเข้ากับร่างกายทันทีเพื่อดูดซับและหลอมรวม


‘เรื่องนี้ไม่ต้องเร่งรีบและมันยังต้องใช้เวลาดูดซับอยู่บ้าง ข้าต้องเพ่งสมาธิดูดซับเศษกระบี่ จากนั้นค่อยคิดถึงสิ่งที่ต้องทำต่อไป’ หวังหลินเลื่อนแขนขวา เศษกระบี่ที่เขาเสี่ยงชีวิตพลันปรากฏขึ้นในมือ มันเปล่งแสงสีทองอย่างไร้ขอบเขต


เศษกระบี่มีขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้นและขอบของมันก็ไม่เป็นระเบียบแต่เปล่งกลิ่นอายแหลมคมราวกับสามารถตัดขาดทุกอย่างได้ในโลก


หวังหลินจ้องมองเศษกระบี่ในมือ ดวงตาเปล่งแสงสีทองออกมาเช่นกัน ภายในดวงตาปรากฏเงาของเศษกระบี่ขึ้นเช่นกัน


แสงสีทองจากดวงตาคล้ายกับตัดผ่านแสงสีทองของเศษกระบี่ในมือ พลังดึงดูดอันแปลกประหลาดแผ่กระจายออกมาจากจิตใจหวังหลินราวกับมีบางอย่างกำลังเรียกหาเขาในใจ


ขณะที่ความรู้สึกรุนแรงขึ้น เศษกระบี่ได้เปลี่ยนกลายเป็นเส้นสายสีทองนับไม่ถ้วน มันหลอมละลายและลอยเข้าสู่ดวงตาของหวังหลิน


เมื่อแสงสีทองเส้นสุดท้ายเข้าไปแล้ว แสงสีทองจากต้นสนได้หายไปอย่างสิ้นเชิง ทุกอย่างมืดลงอีกครั้ง หวังหลินนั่งบ่มเพาะอย่างสงบนิ่ง


วันเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์สับเปลี่ยนกันไปมาจนผ่านไปถึงเจ็ดวัน เวลานี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง เสียงในสายลมราวกับมีคนกำลังปรบมืออยู่เต็มไปหมด


ใบสนกระจัดกระจายไปกับสายลมราวกับเด็กที่กำลังออกจากบ้าน ไม่รู้ว่าพวกมันจะไปที่ใด เจ็ดวันที่ผ่านมามีเซียนผ่านไปหลายคน แต่ไม่มีใครรู้ว่ามีเซียนคนหนึ่งอยู่ในป่าสนเหล่านี้


ช่วงเวลาเจ็ดวันหวังหลินนิ่งเงียบไม่เคลื่อนไหว แต่แสงสีทองใต้เปลือกตากลับน่าตื่นตะลึง เจ็ดวันนี้ในใจเขากลับผ่านไปนานหลายปี


ภายในใจมีเศษกระบี่สองส่วนที่กำลังผสานกัน ทั้งคู่ล้วนมีขนาดเท่าฝ่ามือและมีรูปทรงขรุขระ แต่ช่วงเจ็ดวันพวกมันกลับผสานเข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์


ด้วยการผสานกันนี้ กระบี่เล็กสีทองขนาดยาวหนึ่งฟุตพลันปรากฏขึ้นมา มันแหลมมากและมีแรงกดดันมหาศาล หลังจากก่อตัวขึ้นมันยิ่งดูเป็นรูปร่างภายในใจหวังหลิน


พอถึงวันที่แปด หวังหลินจึงลืมตาและมีแสงสีทองมหึมาโผล่ขึ้นมาด้วย แสงสีทองนี้ทรงพลังยิ่งกว่าเดิมหลายเท่าและมีพลังสะกดข่มจนเกิดเป็นรูปร่าง ราวกับกระบี่ได้ลอยออกมาฟาดฟันใส่บริเวณนี้ ต้นสนที่หวังหลินอยู่ข้างในกำลังเต็มไปด้วยแสงสีทอง


แต่ไม่นานนักแสงสีทองจากดวงตาหวังหลินก็ลดลงไปทีละนิ้ว ผ่านไปหลายชั่วโมงแสงทั้งหมดได้ถูกควบแน่นในตาหวังหลินจนไม่มีแสงเล็ดลอดออกมา แม้แต่ดวงตายังกระจ่างใสและดูปกติ


ทว่าความกระจ่างสดใสนี้กลับแฝงความแข็งแกร่งและบารมีเอาไว้ หากสบสายตาคู่นี้อาจทำให้จิตใจสั่นสะเทือนและต้องถอยร่นก่อนจะได้สู้กันเสียอีก


มันคือพลังสะกดข่ม! ใช้กระบี่ของบรรพชนเทพเพื่อข่มทุกชีวิต!


หลังจากสูดหายใจลึก หวังหลินค่อยๆ หลับตาลงและลืมตาขึ้นมาหลังจากนั้น ครั้งนี้แม้แต่สัมผัสความแข็งแกร่งและบารมีก็หายไป ราวกับเขาได้บรรลุระดับสูงสุดคืนสู่สามัญ


‘กระบี่ของบรรพชนเทพ แก่นแท้โลหะสูงสุด ข้าไม่คิดว่าการผสานเศษกระบี่ทั้งสองจะทำให้แก่นแท้สุดท้าย แก่นแท้โลหะ ปรากฏขึ้นมาได้!’ หวังหลินดูสงบนิ่ง แม้จะเกิดขึ้นฉับพลันแต่เขาได้เกิดความเข้าใจขึ้นมาบ้างหลังจากทำการหลอมถึงเจ็ดวัน


‘เศษกระบี่หนึ่งชิ้นเทียบเท่ากับการดูดซับจิตวิญญาณต้นไม้ทะเลขุนเขาไปหลายปี…’ หวังหลินยกแขนขึ้นมาโบกสะบัด ภาพติดตาทั้งหมดปรากฏขึ้น 98 ร่างและผสานเข้ากับฝ่ามือกลายเป็นกำปั้น


คลื่นเสียงแตกร้าวดังออกมาจากฝ่ามือ เป็นเสียงแตกแต่มีกลิ่นอายทำลายล้าง วังวนทั้งเก้าปรากฏขึ้นในกำปั้น แต่ละวังวนมีหนึ่งวิชาผสานกับร่างเขา


ก่อนหน้าที่หวังหลินเข้าไปในทะเลขุนเขา เขาสามารถผสานเก้าวิชาเข้าไปในการโจมตีได้ ตอนนี้หวังหลินจ้องมองแขนขวาและเฝ้าดูเก้าวังวนอยู่รอบกำปั้น เสียงแตกร้าวดังขึ้นมาพร้อมกับวังวนที่สิบปรากฏขึ้น


‘น่าจะได้มากกว่าสิบ!’ หวังหลินลดแขนขวาลงและคว้าจับอีกครั้ง เสียงอึกทึกดังสนั่นพลางปรากฏวังวนที่ 11 ขึ้นมา!


วังวนที่สิบเอ็ดนั่นหมายความว่าหวังหลินสามารถผสาน 11 วิชาเข้าไปในการโจมตีได้ด้วยร่างดั้งเดิม เมื่อร่างแก่นแท้ของเขาปรากฏขึ้น การโจมตีของหวังหลินจะมีถึง 44 วิชา!


ร่างแก่นแท้ห้าธาตุสามารถคัดลอกร่างดั้งเดิมได้และทำให้วิชาเขาเพิ่มมาสองเท่า จากนั้นร่างแก่นแท้สายฟ้าก็ทำให้เป็นสามเท่า ท้ายที่สุดยังมีแก่นแท้นามธรรม แม้เขาไม่ได้สร้างร่างแก่นแท้ให้พวกมัน เพราะแก่นแท้นามธรรมมักจะลึกลับอยู่เสมอ หากสามแก่นแท้นามธรรมของหวังหลินผสานเข้าด้วยกันก็อาจทำให้เกิดร่างแก่นแท้ขึ้นมาได้


การเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณนี้เป็นวิถีการต่อสู้ที่เขาค่อยๆ ทำความเข้าใจด้วยตัวเองจากการต่อสู้กับคนอื่นตลอดห้าสิบปี


“ข้าน่าจะทำได้มากกว่านี้…” หวังหลินพึมพำพลางยกแขนซ้ายชี้ใส่ฝ่ามือขวา เพียงเท่านี้ร่างกายก็สั่นเทาและส่งเสียงคำรามออกมา


ปรากฏวังวนที่สิบสองขึ้นรอบมือขวาในทันที ตามมาด้วยวังวนที่สิบสาม


ลมหายใจของหวังหลินเริ่มจะถี่เร็วขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกว่าตัวเองมาถึงขีดจำกัดแล้ว!


‘สิบสามวิชา แม้ไม่มีเกราะวิญญาณ หากข้าใช้แก่นแท้เข้าร่วมด้วยก็สามารถต่อสู้กับผู้สูงส่งชั้นฟ้าที่ผสาน 52 วิชาได้!’


‘อยากรู้เสียแล้วว่าข้าจะผ่านบททดสอบชั้นฟ้าระดับห้าไปได้หรือไม่! มันน่าจะเพียงพอแล้ว!’ หวังหลินยิ้ม


อย่างไรก็ตามเขาไม่มีความตั้งใจจะไปทดสอบอีกครั้งในตอนนี้ หวังหลินคิดขึ้นมาว่าครั้งต่อไปเขาจะทำให้ทุกคนที่นั่นต้องตกตะลึง!


‘จะได้ความสนใจจากมหาชั้นฟ้าทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับการลองบททดสอบชั้นฟ้าครั้งที่สองของข้า! ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องไปประลองกับผู้สูงส่งชั้นฟ้าคนอื่นแล้ว ข้าจะต้องมุ่งหน้าไปที่แผ่นดินทิศตะวันออก ไปที่สำนักตงหลินและดูว่าบ่อน้ำตงหลินจะเหมือนกับที่ข้าเห็นในภาพมายาของโลกถ้ำหรือไม่ หรือว่ามันอาจจะต่างกัน!’ หวังหลินยืนขึ้น ดวงตาเปล่งประกาย


‘ข้าจะมุ่งหน้าไปที่สำนักตงหลิน จากนั้นเข้าไปทดสอบในบททดสอบชั้นฟ้าครั้งที่สองเพื่อดูว่าข้าผ่านไปได้ถึงระดับไหน! จากนั้นข้าจะเลือกมหาชั้นฟ้า แล้วมุ่งหน้าสู่เป้าหมายสุดท้ายในเผ่าเทพ นั่นคือเมืองหลวงในแคว้นกลาง!!’


‘หลังจากแก้ไขปัญหาในเมืองหลวงแล้ว ข้าจะออกไปจากเผ่าเทพและมุ่งหน้าสู่แคว้นโบราณ ข้าจะไปตามหาอาจารย์ซวนลั่ว ตามสัญญา!’ หวังหลินสูดหายใจลึกและหายตัวไปจากต้นสน เปลี่ยนร่างเป็นลำแสงล่องลอยออกไปยังแผ่นดินทิศตะวันออก


‘ข้ารู้สึกว่าตัวเองกำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หวานเอ๋อร์ เมื่อข้ากลายเป็นมหาชั้นฟ้า จะเป็นวันที่ข้าชุบชีวิตภรรยาด้วยตัวเอง!’


‘วันนั้นอยู่ห่างไปอีกไม่ไกล มันใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ…หวานเอ๋อร์ มันใกล้ขึ้นมาแล้ว’ หวังหลินพุ่งทะยานตรงไป เผยสายตาอบอุ่นอันหาได้ยาก เป็นสายตาแห่งความพากเพียรไม่ย่อท้อตลอดหลายพันปี


………………………………………………………..



ตอนที่ 1939 มหาเทพจิน!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทางตอนเหนือของแผ่นดินทิศตะวันออกมีแคว้นแห่งหนึ่งเรียกกันว่า แคว้นมหาปราชญ์!


แคว้นมหาปราชญ์นั้นอยู่ห่างไกลและอ้างว้างยิ่งกว่าแคว้นกระทิงสวรรค์ มีคนธรรมดาจำนวนมากบนแคว้นนี้และพื้นดินก็อุดมสมบูรณ์จนปลูกอะไรก็ได้ผลิตผลงอกงาม คนทั่วไปบนแคว้นมหาปราชญ์จึงมีชีวิตที่ดี


ลือกันว่าเหล่าเทพได้จุติลงมาผ่านคนทั่วไปเป็นเวลานานหลายปี ดังนั้นแทบทุกคนจึงเทิดทูนเหล่าเทพและทั้งหมดก็ต้องการเป็นเทพ


แต่สำนักบนแคว้นแห่งนี้ไม่ค่อยออกไปไหน บางทีเพราะความลึกลับของสำนักตงหลินซึ่งเป็นสำนักอันดับหนึ่งของแคว้นนี้ เหล่าสำนักอื่นทั้งหมดจึงต้องทำตาม พวกเขาปกคลุมตัวเองด้วยชั้นหมอกหลายชั้น แต่เพราะเป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้เหล่าคนธรรมดายิ่งโหยหาความเป็นเทพมากขึ้นไปอีก


ความลึกลับของสำนักตงหลินทำให้พวกเขามีสถานะต่ำมากท่ามกลางเก้าสำนักสิบสามกองกำลัง ศิษย์แต่ละคนแทบไม่ค่อยออกมาและส่วนใหญ่ต่างก็บ่มเพาะอยู่ในสำนัก


บนท้องฟ้าของแคว้นมหาปราชญ์มีก้อนเมฆสีขาวจำนวนมาก ก้อนเมฆนี้ปกคลุมท้องฟ้าตลอดทั้งปีราวกับเป็นส่วนหนึ่งของมัน หากมีช่วงที่ไม่มีก้อนเมฆ เหล่าคนธรรมดาคงประหลาดใจ


ยามนี้ในแคว้นมหาปราชญ์ ด้านนอกเมืองธรรมดาแห่งหนึ่งมีคนยืนอยู่เกือบร้อยคน นำหน้าโดยคนชราสามถึงสี่คนที่ดูอ่อนแอแต่กลับเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ คนรับใช้แต่ละคนกำลังช่วยเหลือและพวกเขารอมาสองชั่วโมงแล้ว


คนที่เหลือทั้งหมดต่างก็อดทนอย่างมากราวกับการเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ช่างมีเกียรติ ทั้งหมดทอดสายตามองออกไปไกลราวกับกำลังรอคอยบางอย่าง


แต่ดูเหมือนพวกเขารอคอยมานานเกินไป ผ่านไปอีกชั่วโมงก็เป็นยามบ่าย ดวงอาทิตย์อันร้อนระอุส่องกระทบบนพื้นดิน แม้แต่สายลมยังร้อนแรง


คนบางส่วนไม่อาจทนได้อีก แม้จะมีจิตใจแข็งแกร่งแต่ความร้อนจากดวงอาทิตย์ก็ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนจะเป็นลม ชายวัยกลางคนหนึ่งในนั้นสวมชุดคลุมสุภาพรับเศษน้ำแข็งจากคนรับใช้ วางไว้บนหน้าผากและอดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำ


“ท่านมหาเทพลืมมาที่นี่หรืออย่างไร…เรารออยู่เกือบสามชั่วโมง ตอนนี้ก็เวลาบ่ายที่เป็นช่วงที่ร้อนที่สุด เราต้องรอไปอีกนานแค่ไหน…”


ชายชราด้านหน้าชายวัยกลางคนพลันหันกลับมาจ้อง “หุบปาก! แม้ท่านมหาเทพจะไม่มา ก็เป็นเรื่องของท่าน หากเจ้าไม่อยากรอก็ไม่มีใครบังคับเจ้า!”


หลังจากโดนชายชราดุด่า ชายวัยกลางคนเผยรอยยิ้มล้อเลียนและกำลังอธิบาย


“ฮึ่ม ท่านมหาเทพจะต้องมาที่นี่หลังจากข้าและสหายอ้อนวอนอยู่นาน แม้ข้าอายุปูนนี้แล้ว ข้าก็รอโดยไม่กล้าเผยความไม่เคารพเหมือนคนที่ไม่อยากรอเช่นเจ้า หากท่านมหาเทพขุ่นเคือง ทั้งตระกูลของเจ้าอาจถูกขับไล่ออกจากเมือง!” ชายชราจ้องชายวัยกลางคนอย่างดุดัน เขารับผ้าเช็ดหน้าจากคนรับใช้มาปาดเหงื่อบนหน้าผาก


“ท่านมหาเทพเป็นคนใจดีและยอมเสียเวลาบ่มเพาะเพื่อเดินทางมาที่แคว้นมหาปราชญ์ ใครจะไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเขากันเล่า? ข้าได้ยินมาว่าเมืองหลินได้เชิญชวนท่านมหาเทพและมีเด็กเจ็ดคนถูกคัดเลือก แม้จะมีสามคนถูกส่งกลับมา แต่อีกสี่คนได้เข้าสำนักเทพ พอเขาเหล่านั้นกลายเป็นเทพ แม้แต่หมูหมากาไก่ยังสามารถไต่เต้าขึ้นสวรรค์ได้!”


“ท่านเทพได้พูดว่า เมื่อกลายเป็นเทพแล้ว แม้แต่หมูหมากาไก่ก็สามารถขึ้นสวรรค์ได้! หากหลานชายข้าสามารถเข้าสำนักเทพได้ ข้าจะยอมทิ้งความมั่งคั่งทั้งหมดของข้าเลย!” ชายชราอีกคนพึมพำด้วยท่าทีตื่นเต้น


“ถูกต้องแล้ว ลี่หยวนว่ายแห่งเมืองหลินเป็นสหายข้า ท่านมหาเทพพักที่บ้านเขาและไปเจอหลานสาวที่อายุยี่สิบปีแล้ว ตามข่าวลือนั้นการที่นางจะเข้าสำนักถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่เพราะลี่หยวนว่ายร้องรอ ท่านมหาเทพจึงพานางไปด้วย!”


“ข้าก็ได้ยินเช่นกันที่ท่านมหาเทพบอกว่า เมื่อได้กลายเป็นเทพ แม้แต่หมูหมากาไก่ก็สามารถขึ้นสวรรค์ได้! คำพูดนี้โด่งดังมากในแคว้นมหาปราชญ์…”


คนรอบด้านเริ่มพูดคุยกันและดูเหมือนจะอิจฉาคนที่โชคดี


ขณะที่ทุกคนพูดอย่างตื่นเต้นและลืมความร้อนไปชั่ววูบ สายลมวูบหนึ่งได้พัดผ่านเข้ามาทำให้คนนับร้อยรู้สึกเย็นสบาย ทุกคนต่างก็มองขึ้นไป


ห่างออกไปมีร่มสีแดงกางออกมาขนาดกว้างหลายร้อยฟุต ด้านล่างเป็นเก้าอี้ไม้ไผ่สีม่วง มีชายร่างกำยำสวมชุดคลุมสีทองจำนวนสี่คนกำลังแบกหามเก้าอี้


รอบชายกำยำสี่คนมีเด็กอยู่หลายสิบคน พวกเด็กต่างก็ถือขวดสมบัติ พู่กันหรือไม่ก็หินหยกส่องประกายเดินนำที่ข้างหน้า


ใจกลางเก้าอี้มีชายชราผมขาวนั่งอยู่ เขาเปล่งกลิ่นอายแห่งความเป็นเทพและดูเหมือนเทพจริงๆ!


เขาแตกต่างจากคนธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด สวมชุดคลุมสีขาวและถึงแม้เรือนผมทั้งหมดจะเป็นสีขาว ผิวกายกลับเนียนละเอียดดุจทารก เวลานี้ดวงตาพลันหรี่แคบลงและเปล่งแสงออกมา


“ท่านเทพ!”


“มหาเทพ!”


“นั่นมหาเทพจิน!!” พอเห็นแบบนี้เหล่าคนนับร้อยด้านนอกเมืองต่างก็ดูตื่นเต้นและเผยท่าทีเคารพ เหล่าคนแก่ที่มีคนรับใช้ได้ผลักคนรับใช้ของตัวเองออกห่าง พวกเขาคุกเข่าลงและเริ่มกราบไหว้อย่างตื่นเต้น


“ท่านมหาเทพจินเปียว ช่วยข้ากลายเป็นเทพด้วยเถิด! ท่านมหาเทพจินเปียว นำลูกหลานของเราให้กลายเป็นเทพด้วยเถิด!” ชายชราสี่คนถือเก้าอี้ยกขึ้นร้องตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน


เสียงแต่ละคนดูเหมือนผสานกันเป็นหนึ่ง ราวกับซักซ้อมกันมาหลายครั้ง ทว่าในยามนี้กลับมีเสียงจากท้องฟ้าแผ่กระจายออกไปราวกับเสียงเพลงลงสู่ด้านล่าง


“มหาเทพจินเปียว เทพผู้เป็นอมตะ! มหาเทพจินเปียว ดุจดั่งขุนเขาแห่งโลกา!”


“มหาเทพจินเปียว จอมปราชญ์ปรากฏตัวอีกครั้งแล้ว!” ขณะที่ชายกำยำทั้งสี่คนร้องคำราม พวกเด็กรอบๆ ก็ร้องตะโกนไปทีละคน จนเสียงดังกึกก้อง


ชายชราบนเก้าอี้เผยใบหน้าเมตตา แต่ความเมตตามีสัมผัสแห่งความมีอำนาจมองลงมายังคนที่คุกเข่าด้านล่าง เขายกแขนขวาขึ้นมาโบกสะบัด


เพียงเท่านี้โลกก็เปลี่ยนสีสัน ก้อนเมฆในท้องฟ้ากระจัดกระจาย พื้นที่ภายในบริเวณหมื่นลี้กลายเป็นท้องฟ้าสดใสไร้ก้อนเมฆ!


การเปลี่ยนแปลงในท้องฟ้าได้ทำให้คนธรรมดาด้านล่างตกตะลึงอย่างสิ้นเชิงและทำให้รู้สึกยิ่งหวาดกลัวและตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก


ชายชราผมขาวเผยความรู้สึกพึงพอใจที่มิอาจตรวจจับได้ เขาหลอกลวงได้แม้แต่เหล่าเทพจริงๆ และยังหลอกลวงคนธรรมดาได้จำนวนมาก


แต่ถึงแม้จะภูมิใจ เขาก็ยังต้องทำในสิ่งที่ควรทำให้สมบูรณ์แบบ นี่เป็นความต้องการอันเข้มงวดกับตัวเอง เขายกแขนซ้ายขึ้นและโบกสะบัดอีกครั้ง


ตำหนักอันสวยงามและเลอค่าพลันปรากฏขึ้นในท้องฟ้าสดใส แม้จะเป็นเพียงภาพมายาแต่ภายใต้แสงตะวันยามบ่ายนี้กลับทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามันคือตำหนักเทพ


มีแม้กระทั่งกระเรียนเทพบินออกมาจากตำหนัก พวกมันบินรอบท้องฟ้าและพัดสายลมรุนแรงลงสู่พื้นดิน


ผู้คนด้านล่างทั้งหมดจับจ้องฉากเหตุการณ์อันแปลกประหลาดเบื้องบน พวกเขาอยู่ห่างไกลมากจนมองไม่เห็นหยาดเหงื่อบนใบหน้าชายชรา ซึ่งดูเหมือนวิชานี้จะสร้างภาระให้เขาอย่างใหญ่หลวง


พออารมณ์ความรู้สึกมาถึงขีดสุด ชายชราก็ยืนขึ้นโบกสะบัดแขนและส่งเสียงดังดุจฟ้าร้อง “เมื่อได้กลายเป็นเทพ แม้แต่หมูหมากาไก่ก็สามารถไต่เต้าขึ้นสวรรค์ได้!”


เพียงน้ำเสียงเอ่ยดังกึกก้อง เหล่าคนธรรมดาที่กำลังคุกเข่าด้านล่างจึงตื่นเต้นและพึมพำไปพร้อมกับชายชรา


“เมื่อได้กลายเป็นเทพ แม้แต่หมูหมากาไก่ก็สามารถไต่เต้าขึ้นสวรรค์ได้!”


เก้าอี้ค่อยๆ ลอยลงมาจากท้องฟ้า ชายชราผมขาวยิ้มอย่างอ่อนโยน ผู้คนด้านหน้าลุกขึ้นและมองชายชราอย่างตื่นเต้น


“ยินดีต้อนรับ ท่านมหาเทพจินเปียว!”


“ยินดีต้อนรับ ท่านมหาเทพจินเปียว!!”


“เอาหล่ะ ข้ามักจะทำตัวง่ายๆ เวลาของข้ามีจำกัด ดังนั้นข้าจะพักอยู่ที่นี่สามวันเท่านั้น ภายในสามวันจงนำพาเด็กของพวกเจ้ามาหาข้าเพื่อดูว่ามีชะตาได้กลายเป็นเทพหรือไม่ และข้าจะพาพวกเขาไปด้วย” ชายชราผมขาวยิ้มและพูดจาสุภาพ แต่ยิ่งเขาทำแบบนี้ยิ่งเปล่งกลิ่นอายแห่งเทพออกมา


ชายชราผมขาวดูเหมือนคุ้นชินกับท่าทีตื่นเต้นของผู้คน เขายิ้มและรู้สึกภูมิใจเล็กๆ อยู่ในใจ


‘ข้า จินเปียวจื่อ ออกมาจากหมู่บ้านตั้งแต่อายุหกถึงเจ็ดปี หลอกล่อผู้คนมาระหว่างทาง ดังนั้นผ่านมาหลายปีข้าจึงหลอกลวงคนไปจำนวนมาก ข้าจินเปียวจื่อถือกำเนิดแตกต่างจากคนอื่น ไม่เพียงแต่ข้าจะมีพรสวรรค์ แม้จะไม่มีสำนักหรืออาจารย์ ข้าก็เรียนรู้การบ่มเพาะด้วยตัวเองได้!’


‘คนแบบข้าหาได้ยากมาก! คุ้มแล้วที่ได้หลอกลวงคนเพื่อส่งข้ามาที่แคว้นมหาปราชญ์ คนที่นี่หลอกง่ายและอยากกลายเป็นเทพ ยิ่งทำให้ที่นี่กลายเป็นขุมทรัพย์สำหรับคนแบบข้า!!’


‘สิ่งสำคัญที่สุด ไม่มีคู่แข่งแบบเดียวกับข้า ที่ข้าทำก็แค่พูดประโยคเดียว ‘เมื่อได้กลายเป็นเทพ แม้แต่หมูหมากาไก่ก็สามารถไต่เต้าขึ้นสวรรค์ได้ เส้นทางของข้าช่างลื่นไหลเสียจริง!’ ชายชรายิ้มพลางถูกผู้คนในเมืองทักทายอย่างเคารพและเข้าไปในเมือง!


เวลานี้ในแคว้นมหาปราชญ์ ห่างจากเมืองนี้ออกไปหลายหมื่นลี้ ระลอกคลื่นดังกึกก้องในท้องฟ้าและปรากฏหวังหลินขึ้นมา เขามองรอบๆ พร้อมกับแววตาเป็นประกาย


‘ที่นี่คือแคว้นมหาปราชญ์! สำนักตงหลินตั้งอยู่ที่ไหน?’


…………………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)