Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1922-1923
ตอนที่ 1922 สหายเก่าคนแรก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ราชโองการจากจักรพรรดิเทพได้บอกหวังหลินให้ไปพบเขาที่เมืองหลวง แต่ไม่ได้ระบุวัน ดังนั้นหวังหลินจึงไม่ได้ไปในทันที
วันเวลาผ่านไปสามปีในพริบตา
ช่วงเวลาสามปีหวังหลินได้สร้างถ้ำขึ้นมาข้างใต้ทะเลทรายอันกว้างใหญ่ของแคว้นเมิ่งตู เขานั่งทำความเข้าใจสิ่งที่ได้จากการต่อสู้กับบรรพชนสำนักเต๋ามาร
หลังจากผ่านสามปีใต้ทะเลทรายไป หวังหลินจึงลืมตาเป็นประกายดุจดวงดาว
‘ด้วยระดับบ่มเพาะของข้าที่ไม่ได้ใส่เกราะวิญญาณ อย่างมากกำปั้นข้าก็มีได้แค่เก้าวิชาเท่านั้น’ หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมาเบื้องหน้าและบีบแน่น เสียงดังครืนออกมาจากฝ่ามือ
‘แม้จะเป็นเช่นนั้น กำปั้นของข้าก็ยังแข็งแกร่งกว่าเมื่อสามปีก่อน หากข้าเผชิญกับบรรพชนสำนักเต๋ามารอีกครั้งโดยไม่มีเกราะวิญญาณ ข้าสามารถปะทะกับกำปั้นแรกได้!’
ตอนที่หวังหลินเผชิญหน้ากับกำปั้นแรกของบรรพชนสำนักเต๋ามาร เขาถูกผลักออกไปสามก้าว ตอนนี้ผ่านมาสามปี แม้จะมีระดับบ่มเพาะเท่าเดิมแต่พลังต่อสู้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
‘น่าเสียดายนัก หลังจากสังเกตอยู่สามปี ข้าได้รู้ว่าวิญญาณผู้สูงส่งชั้นทองสามารถทำให้ข้าสร้างเส้นชีพจรเซียนสายที่หกได้ แต่ต้องใช้ถึงเก้าดวง!’ หวังหลินสัมผัสได้ชัดเจนถึงพลังของเคล็ดเร่งความเร็วตอนที่ต่อสู้กับบรรพชน
อย่างไรก็ตามเหตุผลที่วิชานี้ทรงพลังเป็นเพราะเส้นชีพจรเซียนที่หวังหลินสร้างขึ้นมานั้นมีคุณภาพสูงมาก แต่ยิ่งมีคุณภาพสูงก็ยิ่งสร้างเส้นชีพจรสายใหม่ได้ยากขึ้น
วิญญาณดั้งเดิมของจ้าวสำนักเต๋ามารได้เปิดเส้นชีพจรสายที่สี่และห้าขึ้นมา แต่เส้นชีพจรสายที่หกกลับต้องใช้วิญญาณผู้สูงส่งชั้นทองถึงเก้าดวง!
‘การจะสร้างเส้นชีพจรสายใหม่แบบนี้ช่าง…ยากเกินไป เส้นที่หกต้องใช้ผู้สูงส่งชั้นทองถึงเก้าดวง เส้นที่เจ็ดต้องใช้ผู้สูงส่งชั้นฟ้าเก้าดวง เป็นไปได้ว่าเส้นที่แปดต้องใช้ผู้สูงส่งชั้นเทวะถึงเก้าดวงอีก…ถ้าแบบนั้นเส้นที่เก้าไม่ต้องใช้มหาชั้นฟ้าถึงเก้าดวงหรอกหรือ…บางทีเส้นที่เก้าอาจจะแค่ใช้มหาชั้นฟ้าคนเดียว…’ หวังหลินยิ้มอย่างขมขื่น
‘เคล็ดเร่งความเร็วจำเป็นต้องฝึกฝน มันเป็นวิชาที่ทรงพลังมากและทำให้ข้าใช้พลังได้เต็มที่!’
‘ระดับบ่มเพาะจริงๆ ของข้าเพียงแค่ขั้นวิบากดับสูญระดับต้นเท่านั้น ด้วยข้อจำกัดนี้ อย่างมากกำปั้นข้าก็ผสานวิชาได้แค่เก้าเท่านั้น ข้าต้องได้ธาตุโลหะและธาตุไม้เพื่อสร้างร่างแก่นแท้ จากนั้นห้าธาตุผสานเป็นหนึ่ง ระดับบ่มเพาะของข้าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับกลาง’
‘จากนั้นข้าจะผสานวิชาได้มากขึ้น แค่ไม่รู้ว่าหลังจากผ่านถึงระดับกลางจะผสานได้มากแค่ไหน!’
‘นอกจากนั้น ข้าต้องต่อสู้กับผู้สูงส่งชั้นฟ้าให้มากขึ้นและรวบรวมความสนใจจากมหาชั้นฟ้าที่เหลือ…รวมไปถึงข้าต้องค้นหาข้อมูลเรื่องบททดสอบชั้นฟ้าและดูว่าบรรพชนสำนักเต๋ามารพูดจริงหรือไม่’
แววตาหวังหลินทอประกายและยืนขึ้น
‘ข้าต้องมุ่งหน้าไปบททดสอบชั้นฟ้าและดูว่าข้าจะสามารถทะลวงผ่านไปได้ถึงระดับไหน!’
ร่างหวังหลินปรากฏตัวในทะเลทรายเพียงชั่วพริบตา เขาสะบัดแขนให้มังกรสมุทรปรากฏขึ้นด้านล่าง มันส่งเสียงร้องคำรามและมีท่าทีเคารพ
หวังหลินก้าวไปบนหัวมังกรสมุทร เจ้ามังกรพุ่งทะยานไปข้างหน้าและหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
‘แคว้นเมิ่งตูมีสองสำนัก หนึ่งคือสำนักปฐพีและอีกหนึ่งคือสำนักเมิ่งตู! ทั้งคู่ต่างเป็นส่วนหนึ่งของเก้าสำนักสิบสามกองกำลัง แต่มีผู้สูงส่งชั้นทองเพียงคนเดียว ไม่มีผู้สูงส่งชั้นฟ้า!’ หวังหลินตรวจสอบข้อมูลของแคว้นเมิ่งตูจากกระดองเต่า
‘แม้ข้าจะต้องการวิญญาณดั้งเดิมของเหล่าผู้สูงส่งชั้นทอง ทั้งสองสำนักไม่ได้มีข้อบาดหมางอะไรกับข้า ดังนั้นช่างมันเถอะ!’ หวังหลินส่งข้อความสัมผัสวิญญาณออกไป เจ้ามังกรสมุทรทะยานไปยังแคว้นสวรรค์ที่เชื่อมต่อกับแคว้นเมิ่งตู
กระดองเต่าบ่งชี้ว่าสำนักสวรรค์แห่งแคว้นสวรรค์มีผู้สูงส่งชั้นฟ้า!
‘แต่ถึงแม้แผนที่ในกระดองเต่าจะดูใหญ่มาก มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ข้าจำเป็นต้องมุ่งหน้าไปยังสองสำนักของแคว้นเมิ่งตูเพื่อเอาหินหยกแผนที่มา’
หากหวังหลินเข้าสู่แคว้นเมิ่งตูด้วยระดับบ่มเพาะก่อนหน้านี้ ทั้งสองสำนักคงเป็นช้างยักษ์ที่เขาไม่อยากล่วงเกิน ดังนั้นคงต้องหลีกเลี่ยงอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้มันต่างกัน ในสายตาเขาทั้งสองสำนักเป็นแค่สำนักทั่วไปและไม่มีอะไรที่ทำให้เขาหวาดกลัว
‘ที่นี่ใกล้กับสำนักปฐพี ดังนั้นไปที่นั่นก่อน!’ แผนที่ปรากฏขึ้นในใจหวังหลิน ชั่วครู่ต่อมามังกรสมุทรจึงเปลี่ยนทิศทาง มันทะยานตรงไปทางทิศตะวันออกและหายวับอย่างไร้ร่องรอย
แคว้นเมิ่งตูส่วนใหญ่เต็มไปด้วยทะเลทราย ไม่ว่าจะเป็นพายุหรือทรายกองใหญ่พัดขึ้นมาก็สร้างพายุทรายน่าหวาดกลัวได้ทั้งนั้น
พายุทรายเหล่านี้ทั้งรุนแรงและเบาหวิว ระดับเบาคือทำให้คนทั่วไปสั่นเทา แต่พายุทรายระดับรุนแรงอาจทำให้เหล่าเซียนต้องสั่นสะท้านและหลีกเลี่ยง เหตุเป็นเพราะพายุทรายมีพลังแม่เหล็กอันประหลาดที่ส่งผลต่อเหล่าเซียน ทำให้เซียนติดอยู่ข้างในจนแม้แต่วิญญาณดั้งเดิมก็หนีออกไปไม่ได้
โชคดีที่พายุทรายที่มีพลังแม่เหล็กแบบนั้นหาได้ยาก พวกมันขนาดใหญ่และมองเห็นได้แต่ไกลจนพอมีเวลาหลีกเลี่ยง อย่างไรก็ตามทางทิศตะวันออกของแคว้นมีอาณาเขตแห่งหนึ่งปกคลุมไปด้วยพายุทรายตลอดทั้งปี ทุกร้อยปีจะมีพายุทรายระเบิดด้วยพลังเต็มที่จนแทบมองไม่เห็นอะไรรอบด้านเลยในตอนนั้น
ปกติแล้วสถานที่แห่งนี้จะมืดมิดและปกคลุมไปด้วยพายุทราย การเข้าไปเป็นเรื่องยากเว้นแต่จะมีวิธีพิเศษ
ในพายุทรายประหลาดนี้มีสำนักแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงไปทั่วแคว้นเมิ่งตู สำนักปฐพี!
ในแคว้นเมิ่งตูมีสำนักอยู่มากมาย แต่สำนักปฐพีและสำนักเมิ่งตูเป็นหัวเรือสำคัญของแคว้น ไม่มีใครกล้าล่วงเกินสำนักใหญ่ทั้งสองนี้และพวกเขาปกครองทั้งแคว้น
ยามนี้ ภายในพายุทรายที่สำนักปฐพีตั้งอยู่ พื้นที่รอบบริเวณมืดมน มังกรสมุทรตัวใหญ่ยักษ์ปรากฏขึ้นมา หวังหลินนั่งอยู่บนหัวของมัน เกิดเป็นสายลมกรรโชกรุนแรง
แม้สายลมนี้จะรุนแรงเกินปกติ แต่พอมันกระทบใส่หวังหลินกลับไม่สามารถทำให้เส้นผมขยับแม้แต่เส้นเดียว ราวกับร่างหวังหลินเป็นภาพมายาและไม่ใช่ของจริง
ส่วนเจ้ามังกรสมุทรมันไม่สนใจสายลมเลย มันเผยสายตาเย็นเยียบและจ้องมองไปยังส่วนลึกของพายุทราย
สัมผัสในพายุทรายมีทั้งพลังของสายลมและปฐพี หวังหลินให้มังกรสุทรทะยานไปข้างหน้าอย่างสงบนิ่ง สายลมมักรุนแรงเบื้องหน้าแต่เม็ดทรายที่อยู่ใกล้หวังหลินแตกกระจายในทันที
พวกเขาเข้าไปใจกลางพายุทรายอย่างสบายๆ มีแสงสีเหลืองเข้มปกคลุมพื้นที่ระยะหลายหมื่นลี้เพื่อป้องกันพายุทรายพัดเข้ามาข้างใน
ที่นั่นคือตำแหน่งที่ตั้งของสำนักปฐพี
ทั้งสำนักปฐพีเสมือนสวนอีเดน ราวกับข้างในพายุทรายเป็นสิ่งพิเศษยิ่ง มีทั้งภูเขา สายน้ำไหลผ่านและตำหนักอยู่ทุกที่ รวมถึงมีเหล่าศิษย์จำนวนมากทะยานผ่านพื้นที่บริเวณนี้
สำนักปฐพีมีศิษย์ไม่ถึงสามหมื่นคน ซึ่งแตกต่างอย่างมากจากอีกเก้าสำนักสิบสามกองกำลังแห่งอื่น สำนักปฐพีต้องการเพียงศิษย์ที่มีพรสวรรค์เท่านั้น ไม่ต้องการศิษย์ทั่วไป!
เหล่าศิษย์มีลำดับขั้นอันเข้มงวดและมีระดับความแตกต่างถึงเก้าระดับ ขณะเดียวกันทรัพยากรที่ศิษย์แต่ละคนจะได้รับก็มากกว่าสำนักอื่นเพราะพวกเขามีแค่สามหมื่นคน!
แต่ละคนต่างใช้ทรัพยากรไปกับการฝึกฝนศิษย์สามหมื่นคน โดยเฉพาะคนที่มีพรสวรรค์มากกว่าคนอื่น สำนักปฐพียังรวบรวมทรัพยาจำนวนมากมาให้จนเกินจินตนาการ
ในสำนักปฐพี ศิษย์ลำดับหนึ่งมีจำนวนน้อยมากไม่ถึงร้อยคน ส่วนศิษย์ลำดับเก้ามีจำนวนมากที่สุดคือมากกว่าสองหมื่นคน
เวลานี้ตรงจุดที่เป็นที่ตั้งของศิษย์ลำดับห้า มีตำหนักงดงามอยู่แห่งหนึ่ง ศิษย์สองคนกำลังนั่งอยู่ข้างใน
หนึ่งเป็นบุรุษและอีกหนึ่งเป็นสตรี บุรุษอายุราวสามสิบปี ใบหน้าคมคายแต่เปล่งกลิ่นอายเยือกเย็น ระดับบ่มเพาะไม่สูงนัก เพียงแค่ขั้นที่สองในระดับส่องสวรรค์เท่านั้น
สตรีด้านข้างกำลังมองดูบุรุษด้วยสายตาอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรัก
ทว่าในจังหวะนั้นชายที่กำลังนั่งเกิดอาการสั่นเทารุนแรง ใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับเจ็บปวดและส่งเสียงคำรามอู้อี้ในลำคอ
ท่าทีเปลี่ยนไปนี้ทำให้สตรีมีสีหน้าเปลี่ยน นางวางแขนไว้บนหน้าอกของบุรุษและใส่ระดับบ่มเพาะของตัวเองเข้าไปในร่างเขา
ครู่ต่อมาใบหน้าเจ็บปวดก็ทุเลาลงและเขาลืมตาตื่น เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อ
นางเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากอีกฝ่ายพลางกัดริมฝีปากและเอ่ยขึ้น “ท่าน…ท่านลองมาแล้วหลายครั้ง อย่าพยายามอีกเลย…ความฝันนั่น สำคัญขนาดนั้นจริงๆหรือ?”
บุรุษขบคิดและมองออกไปนอกหน้าต่าง ผ่านไปสักพักจึงสงบลงได้
“ความฝันนั่นสำคัญมาก!!”
“สำคัญมากกว่าข้า?” นางกัดริมฝีปากจนโลหิตซึม
สายตาบุรุษเกิดความสับสน
“ความฝันนี้อยู่กับข้ามาเกือบสองร้อยปี…มีคนผู้หนึ่งในความฝันนั้น ข้าไม่เห็นรูปลักษณ์ของนางชัดเจน แต่ข้ารู้สึกเหมือนข้าอยู่เพื่อนาง…ดูเหมือนนางคือภรรยาข้าในชาติก่อน…”
“มันก็แค่ความฝัน ฉิง มันก็แค่ความฝัน!!” แววตาของนางมีคราบน้ำตา นางมองบรุษที่นางรักใคร่มากกว่าร้อยปี
“มันแค่ความฝันใช่หรือไม่…” บุรุษชื่อฉิงยิ่งสงสัยมากขึ้น
“มันก็แค่ความฝัน…” นางร้องไห้พลางกอดบุรุษเหมือนกลัวว่าจะสูญเสียเขาไป นางพูดคำเดิมกับเขาอย่างต่อเนื่อง
“มันเป็นแค่ความฝันจริงๆ ใช่หรือไม่…” เขาหลับตา
วินาทีที่บุรุษกำลังสับสน หวังหลินทะยานผ่านม่านแสงไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง หวังหลินผ่านพายุทรายและรู้สึกถึงพลังแม่เหล็กข้างในแต่ก็เมินเฉย
มังกรสมุทรหยุดลง ทว่าสายตาจ้องมองสำนักปฐพีตรงหน้าอย่างเย็นเยียบ
“จ้าวสำนักปฐพี เหล่าบรรพชน รีบออกมา!” หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกไปดุจสายฟ้าแล่นผ่านไปทั่วสำนักปฐพี มันส่งเสียงดังกึกก้องในใจเซียนทุกคนรวมถึงชายที่กำลังสับสน
………………………………………………………
ตอนที่ 1923 พบเจอ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เสียงของหวังหลินดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ แม้แต่พายุทรายรอบสำนักปฐพียังถูกเสียงเขากดดัน ทุกอย่างดูเหมือนถูกแช่แข็งเบื้องหน้าเสียงของหวังหลิน
แม้กระนั้นสัมผัสวิญญาณของเขาได้ทำให้เกิดพายุสั่นสะเทือนถึงจิตวิญญาณของเซียนทุกคนในสำนักปฐพี
ยิ่งคนที่มีระดับบ่มเพาะสูงขึ้นยิ่งสัมผัสได้อย่างรุนแรง บรรพชนของสำนักปฐพีอยู่ในขั้นผู้สูงส่งชั้นทองเท่านั้น แม้แต่จ้าวสำนักก็ไม่บรรลุผู้สูงส่งชั้นทอง เขายังอยู่ในขั้นวิบากดับสูญระดับปลาย
ทั้งสองคนนี้เป็นเซียนที่ทรงพลังที่สุดในสำนักปฐพีแล้ว
ตอนนี้จ้าวสำนักกำลังดุด่าศิษย์สามคน เขามีท่าทีเคร่งเครียดและกำลังโกรธเกรี้ยวใส่หนึ่งในนั้น คำพูดของเขาเกิดแรงกดดันจนศิษย์ตัวสั่น
แต่ตอนที่หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกมา เขาไม่ต้องการทำร้ายใคร ดังนั้นศิษย์ระดับต่ำสามคนจึงต่อต้านได้แต่สีหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไปและสัมผัสได้ว่ามีสายลมพัดผ่าน
กระนั้นสีหน้าของจ้าวสำนักปฐพีได้เปลี่ยนไปมหาศาล เขารู้สึกเหมือนมีสายฟ้านับแสนเส้นระเบิดอยู่ในหัว โลกกำลังพังทลายอยู่เบื้องหน้า ร่างกายสั่นเทาและพุ่งออกมาจากสำนักโดยไม่ลังเล
เขาไม่กล้าที่จะไม่ออกมา ไม่กล้าที่จะไม่เชื่อฟัง!
รวมถึงบรรพชนระดับผู้สูงส่งชั้นทองของสำนักปฐพี เขาปิดด่านบ่มเพาะตลอดปีและไม่ออกมาง่ายๆ วินาทีนี้จิตใจส่งเสียงดังคะนอง สัมผัสวิญญาณของหวังหลินทะลุสิ่งกีดขวางทั้งหมดเข้ามาดังกึกก้องในใจเขา
บรรพชนผู้สูงส่งชั้นทองของสำนักปฐพีพลันลืมตาเต็มไปด้วยความตกตะลึงและหวาดกลัว
‘ผู้สูงส่งชั้นฟ้า!’ ผู้สูงส่งชั้นทองรู้สึกราวกับโลกเบื้องหน้าพังทลาย รู้สึกว่าแค่เศษหินพุ่งเข้าหาเขาก็ทำให้ร่วงหล่นได้แล้ว
ความรู้สึกกลัวเต็มไปทั่วจิตใจ บรรพชนพลันเคลื่อนย้ายพริบตาออกมานอกสำนักปฐพีในทันที
นอกจากทั้งสอง ด้านตำหนักในเขตชั้นห้า ชายชื่อฉิงรู้สึกถึงสัมผัสวิญญาณนี้ได้เป็นอย่างดี ร่างกายสั่นเทาและเขายิ่งสับสนมากกว่าเดิม
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น แต่สตรีด้านข้างก็สั่นสะท้านไปด้วย แววตาของนางเกิดความสับสน
ศิษย์กว่าสามหมื่นคนของทั้งสำนักต่างก็รู้สึกจิตใจสั่นสะท้านแต่ก็กลัวเกรง มีเพียงหนึ่งหญิงหนึ่งชายที่เกิดความสับสน
แต่ทั้งสองกลับไม่รู้ว่าในขณะนั้นพวกเขาดูคุ้นหน้าคุ้นตายิ่งนัก
ด้านนอกสำนักปฐพี หวังหลินยืนอยู่บนหัวมังกรสมุทรอย่างสงบนิ่งและมองพายุทรายเบื้องหน้า บรรพชนของสำนักปฐพีปรากฏตัวขึ้นก่อน ตามมาด้วยลำแสงของจ้าวสำนัก
พอบรรพชนผู้สูงส่งชั้นทองปรากฏ เขาเห็นมังกรสมุทรอยู่ใต้หวังหลิน วินาทีนั้นจิตใจสั่นรัว เจ้ามังกรสมุทรตัวนี้เทียบเท่ากับเซียนผู้สูงส่งชั้นทองและด้วยพลังอำนาจของมันยังแข็งแกร่งกว่าจ้าวสำนักเต๋ามารอีกเล็กน้อย
‘มังกรสมุทรระดับผู้สูงส่งชั้นทองเป็นพาหนะ…’ ชายชรารู้สึกเหงื่อท่วมหน้าผาก เขามองหวังหลินที่กำลังยืนอยู่อย่างสงบนิ่ง พอสบสายตาหวังหลินจึงจิตใจสั่นเทา เขารีบคำนับฝ่ามือและโค้งตัวด้วยความเคารพ
“เจิ้งเทียนหลินแห่งสำนักปฐพี ขอคารวะผู้อาวุโส”
พอเขาพูดขึ้นจ้าวสำนักก็มาถึง แต่เพียงแค่ชำเลืองมองก็หน้าซีดแล้ว เขาตกตะลึงกับพาหนะอันหรูหราของหวังหลิน เขายืนข้างบรรพชนอย่างเชื่อฟัง โค้งคำนับให้หวังหลินอย่างหวั่นเกรง
“ผู้น้อยไม่ได้สังเกตว่าผู้อาวุโสมาถึงที่นี่ ผู้น้อยหวังว่าผู้อาวุโสจะยกโทษ หากผู้อาวุโสไม่สนใจ โปรดให้ผู้น้อยได้ต้อนรับท่านเข้าสำนักปฐพีเพื่อเป็นการไถ่โทษ” เจิ้งเทียนหลินพูดจาอย่างเคารพและไม่กล้าเสียมารยาท เขากลัวว่าจะไปล่วงเกินผู้สูงส่งชั้นฟ้าคนนี้
เขาไม่กล้าแม้แต่จะกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาตรวจสอบระดับบ่มเพาะของหวังหลิน มันเสียมารยาทเกินไปที่เซียนต่ำต้อยจะแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมาตรวจสอบเซียนที่แข็งแกร่ง
ด้วยสัมผัสวิญญาณอันน่ากลัวขนาดนั้น เขาตัดสินได้อย่างชัดเจนว่าคนตรงหน้าคือผู้สูงส่งชั้นฟ้า ทั้งมังกรสมุทรยังทำให้จิตใจเขาสั่นไหวเช่นกัน
‘ข้าเคยเจอผู้สูงส่งชั้นฟ้าเพียงแค่สองครั้ง แต่ละคนทำให้แคว้นสั่นสะเทือนได้ทุกคน…คนผู้นี้ปรากฏเบื้องหน้าสำนักฉับพลัน หรือจะมีคนในสำนักไปล่วงเกินเขา?’
หวังหลินยิ้มและกล่าวกับชายชรา “ไม่จำเป็นต้องเข้าไปในสำนักหรอก ข้าแค่ผ่านแคว้นเมิ่งตูมาและแค่ต้องการแผนที่สมบูรณ์ที่สุดที่สำนักมีเท่านั้น เจ้าให้ข้าสักแผ่นได้หรือไม่?”
ด้วยรอยยิ้มนั้น ผู้สูงส่งชั้นทองจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก เขากลัวว่าจะมีคนในสำนักไปล่วงเกินผู้สูงส่งชั้นฟ้า ต้องกล่าวว่ามีผู้สูงส่งชั้นฟ้าอยู่ราวๆ พันคนเท่านั้น ส่วนใหญ่อยู่ที่แคว้นกลาง บางคนติดตามมหาชั้นฟ้า ส่วนที่เหลืออยู่ในสำนักในฐานะบรรพชน
หลังจากได้ยินว่าหวังหลินมาที่นี่เพียงเรื่องแผนที่ เจิ้งเทียนหลินจึงรีบพยักหน้า
“ผู้อาวุโสสุภาพเกินไป ผู้น้อยมีแผนที่ที่สมบูรณ์ที่สุด มันมีทั้งแผ่นดินทิศตะวันออกไปและกว้างออกไป แม้แต่แคว้นทิศใต้ส่วนหนึ่งด้วย” เขาพูดขึ้นพลันสะบัดแขนปรากฏหินหยกสีทองขึ้นมา ยื่นส่งให้หวังหลินอย่างเคารพ
หวังหบินรับหินหยกไว้และตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณ แผนที่นี้กว้างกว่าในกระดองเต่าและค่อนข้างมีรายละเอียด
‘มีทั้งแผนที่ของแผ่นดินทิศใต้’ หวังหลินยิ้มและมองเจิ้งเทียนหลิน
พอเห็นว่าหวังหลินพึงพอใจมาก เจิ้งเทียนหลินจึงผ่อนคลาย
“ตอนที่ผู้น้อยกลายเป็นผู้สูงส่งชั้นทอง ได้ออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ผู้น้อยออกไปทางทิศใต้และบันทึกทุกอย่างที่ได้เห็นระหว่างทางและทิ้งไว้ในหินหยกนี้ หากผู้อาวุโสต้องการ ไม่ต้องคัดลอกหรอก เอาไปเถิด ผู้น้อยคัดลอกไว้แล้ว”
หลังจากเก็บหินหยกไป หวังหลินต้องการตอบแทนแต่เขาเพิ่งบรรลุระดับผู้สูงส่งชั้นฟ้า ทั้งยังอยู่ในอารามแมงป่องไปร้อยกว่าปี ดังนั้นจึงไม่ได้หยิบอะไรมีค่าออกมา
ต้องกล่าวว่าหยกแผนที่เป็นของที่ไม่มอบให้กันง่ายๆ มันถูกส่งต่อมาจากสำนักหลายต่อหลายรุ่น
หลังจากขบคิดเล็กน้อย หวังหลินยื่นแขนขวาออกไปและรวบรวมเปลวเพลิงในฝ่ามือ เปลวเพลิงเปลี่ยนกลายเป็นเมล็ดเพลิงอมตะซึ่งมีแก่นแท้เพลิงอยู่บางส่วน
“ข้าจะไม่เอาแผนที่ของสำนักเจ้าโดยไม่ให้อะไรตอบแทน สิ่งนี้มีแก่นแท้เพลิงแฝงเอาไว้ หากมีใครในสำนักเจ้าสัมผัสมันได้ มันจะช่วยเพิ่มโอกาสการสร้างแก่นแท้เพลิง” หวังหลินสะบัดแขนขวาและส่งมันให้ชายชรา
ชายชราเผยใบหน้าปิติยินดี เขารีบรับเอาไว้และเก็บไว้ในมิติเก็บของ โค้งคำนับให้หวังหลินแต่ก็ลอบถอนหายใจ ผู้สูงส่งชั้นฟ้าที่เขาพบเจอช่างขี้เหนียวมาก สองคนที่เขาเจอก่อนหน้านี้ก็เช่นกันและคนที่สามตรงหน้าก็เหมือนกัน
หลังจากมอบเมล็ดเพลิงและเก็บหินหยกไป หวังหลินหันตัวกลับ เขาแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมาผ่านสำนักอย่างลวกๆ ซึ่งเป็นการกระทำตามจิตใต้สำนึกจากความระมัดระวังของเขา มังกรสมุทรพลันทะยานขึ้นไปพันฟุต
“ลาก่อน ผู้อาวุโส!” เจิ้งเทียนหลินสบายใจขึ้นมากและคำนับฝ่ามือ
จ้าวสำนักปฐพีอยู่กับเขาตลอดแต่ไม่มีสิทธิ์ได้พูด เขาคำนับฝ่ามือด้วยเช่นกัน
แต่วินาทีนั้นหวังหลินพลันหยุดกึกและหันกลับมา จ้องมองสำนักปฐพี ในใจเกิดคลื่นครั้งใหญ่
วินาทีนั้นเขาส่งสัมผัสวิญญาณออกไปและสัมผัสกลิ่นอายวิญญาณที่ทำให้จิตใจเขาสั่นสะท้าน!!
เจ้ามังกรสมุทรรู้สึกถึงสัมผัสวิญญาณของหวังหลินได้จึงร้องคำรามใส่ท้องฟ้า จากนั้นเปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าสำนักปฐพี
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นฉับพลัน เจิ้งเทียนหลินไม่คาดคิดมาก่อน เขาหันกลับมาและสีหน้าเปลี่ยนไป มังกรสมุทรทะยานเหนือศีรษะเข้าสู่สำนักปฐพี
“ผู้อาวุโส!!” เจิ้งเทียนหลินมีสีหน้าเคร่งเครียดและหันกลับไปมองจ้าวสำนักปฐพีที่กำลังตกตะลึง ทั้งสองเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงและติดตามหวังหลินไปติดๆ
เสียงคำรามของมังกรสมุทรดังกึกก้องไปทั่วฟ้า ทำให้ศิษย์สามหมื่นคนเกิดอาการสั่นเทา พวกเขารู้สึกเหมือนภาพลวงตาอำนาจแห่งสวรรค์กำลังตกลงมา
มังกรสมุทรลอยอยู่เหนือพื้นที่ของศิษย์อันดับห้า หวังหลินยืนมองลงไปและตกอยู่ในภวังค์
จ้าวสำนักและบรรพชนตามมาทันอย่างรวดเร็ว จ้าวสำนักหน้าซีด เขาไม่รู้ว่าทำไมหวังหลินถึงมาที่นี่ พอมองหวังหลิน หัวใจจึงเต้นถี่รัว
“ผู้อาวุโส ที่นี่คือกลุ่มศิษย์อันดับห้าของสำนัก…” เจิ้งเทียนหลินรู้สึกขมขื่น เขาสูดหายใจลึกและรีบอธิบาย
“ศิษย์อันดับห้า จงฟังคำสั่งข้า ทุกคนออกมาต้อนรับผู้อาวุโส!” เจิ้งเทียนหลินเปลี่ยนความคิดและเดาได้ว่าเหตุผลที่ผู้สูงส่งชั้นฟ้าพุ่งมาที่นี่เป็นเพราะมีศิษย์อันดับห้าคนหนึ่งทำให้เขาไม่พอใจหรือไม่ก็เป็นลูกหลานของศัตรู
‘โชคดีที่เป็นแค่ศิษย์อันดับห้า ถึงจะตายกันหมด เราก็ไม่สามารถล่วงเกินผู้สูงส่งชั้นฟ้าคนนี้ได้!’ เจิ้งเทียนหลินตัดสินใจทันที ศิษย์อันดับห้าทั้งหมดก้าวออกมาด้วยใบหน้าซีดเผือด ทุกคนคุกเข่าต่อหน้าหวังหลินและกำลังโค้งตัว
ท่ามกลางฝูงชนมีชายหนุ่มแซ่ฉิงและหญิงสาวด้านข้าง
ทั้งสองกำลังโค้งคำนับแต่หวังหลินดวงตาเปล่งประกาย เขาเคลื่อนตัวในพริบตาและสะบัดแขนเสื้อ ส่งพลังอ่อนโยนออกไปและหยุดไม่ให้ทั้งสองคุกเข่า
พอมองชายหนุ่ม หวังหลินเผยใบหน้าอ่อนโยนขึ้น
“พี่ใหญ่โจว…”
…………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น