Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1916-1921
ตอนที่ 1916
รอผู้สูงส่งชั้นฟ้า!
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากกลืนกินจ้าวสำนักเต๋ามาร หวังหลินหลับตาและเกิดเสียงปะทุดังอยู่ในร่าง เขาลบสัมผัสวิญญาณของวิญญาณดั้งเดิมและนำไปใส่ในเส้นชีพจรเซียน หากมีเวลาเขาจะใช้วิญญาณดั้งเดิมดวงนี้เพื่อเพิ่มเส้นชีพจรเซียน
ครู่ต่อมาหวังหลินลืมตาขึ้นและสะบัดแขน พื้นดินสั่นเทา ทะเลสาบและเกาะกลางพังทลาย พอพายุผ่านไปมันจึงถูกทำลายจนหมดสิ้น
สำนักเต๋ามารพังทลาย!
ผู้ส่งสาส์นในแสงสีทองกำลังยืนรอด้วยท่าทีอึดอัด จนกระทั่งหวังหลินลืมตาจึงคำนับฝ่ามือให้หวังหลินด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“สหายเซียนหวังอย่ากล่าวโทษข้าเลย…นี่…ข้าไม่คิดว่าเนื้อหาของราชโองการจะเป็นแบบนี้…หากข้ารู้ก่อน ข้าคงร่วมมือกับสหายเซียนเข้าสังหารคนทรยศนั่นไปแล้ว!”
หวังหลินมองผู้ส่งสาส์นด้วยท่าทีสงบนิ่งแต่ไม่พูดอะไรออกมา เขายังประหลาดใจกับเนื้อหาในราชโองการ โดยเฉพาะบรรทัดสุดท้ายที่พูดถึงเขาตอนที่ช่วยเหลียนต้าวเฟยออกมา
‘เหลียนต้าวเฟย…ตอนที่ข้าเปิดมิติเก็บของ เขาและสตรีชุดเงินสูญหายเข้าไปในรอยแยก…เหลียนต้าวเฟยมักจะเรียกตัวเองว่า ‘ราชา’ และจากที่อาจารย์ซวนลั่วบอกข้า พี่ใหญ่ของเขาคือจักรพรรดิเทพ…’
‘เป็นไปได้ว่าจักรพรรดิไปเจอเหลียนต้าวเฟยเข้า หลังจากตื่นขึ้นมาจึงบอกเรื่องความสัมพันธ์กับข้า…’ หวังหลินขบคิดอยู่ ขณะเดียวกันผู้ส่งสาส์นกำลังรู้สึกกลัว เขาเสียใจมากและกำลังสาปแช่งจ้าวสำนักเต๋ามาร
‘จ้าวสำนักบัดซบนั่น จะตายก็ยังลากข้าเข้าไปอีก หากรู้แบบนี้ข้าคงไม่สนใจหวังหลินและอ่านราชโองการเสียก่อน…หวังหลินคนนี้เป็นใครกันถึงทำให้จักรพรรดิเทพพูดกับเขาเช่นนี้…และการช่วยเหลียนต้าวเฟย…องค์ชายต้าวเฟยที่ตื่นขึ้นเมื่อสามสิบปีก่อน เป็นไปได้ว่า…’ ผู้ส่งสาส์นหรี่ตาแคบลงและปัดความคิดทั้งหมดทั้งไป เขารู้ว่าเรื่องพวกนี้ไม่ควรคาดเดา
‘หวังหลินมีพลังขนาดนี้…เขาต้องได้รับความสนใจจากจักรพรรดิเทพอย่างแน่นอน อ๊าก ข้าต้องแก้ไขสถานการณ์ให้เร็วที่สุด’
“สหายเซียน อย่าดุด่าข้า อย่ากล่าวหาข้าเลย…ก่อนนี้ข้าสับสนจริงๆ จ้าวสำนักเต๋ามารสมควรถูกสังหารแล้ว!” ผู้ส่งสาส์นพูดขึ้น สายตามองหวังหลิน พอเห็นว่าหวังหลินยังคงมีท่าทีมืดมนจิตใจจึงตกวูบ
‘แย่แล้วแบบนี้ เขาต้องคิดว่าข้าลงมือถึงสองครั้ง…หากเขาพูดอะไรเกี่ยวกับข้าแย่ๆ ต่อหน้าจักรพรรดิเทพ เช่นนั้นข้า…ข้า…’ เม็ดเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก มีสายลมพัดผ่านจนรู้สึกเย็นเยียบ
“ฮี่ฮี่…สหายเซียนหวัง ข้ามีอะไรพิเศษจากแคว้นกลาง นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของเรา ดังนั้นได้โปรดรับของขวัญเล็กๆ พวกนี้ไว้ด้วยเถิด” เขานำหินหยกออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ยื่นส่งมันให้หวังหลินพร้อมกับราชโองการ
หวังหลินกำลังคิดถึงเวรกรรม ทันใดนั้นหันไปมองผู้ส่งสาส์น เขารับราชโองการมาแต่ไม่ได้เข้าไปอ่าน ทว่ามองไปที่หินหยกแทน
หวังหลินตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณ แม้จะดูนิ่งเฉยแต่จิตใจกำลังเต้น ข้างในไม่มีข้อมูลอะไรแต่มีมิติเก็บของที่เต็มไปด้วยหินดั้งเดิมจำนวนมาก หินเหล่านี้มีพลังปราณสวรรค์มากมาย
หลังจากเก็บหินหยกไปหวังหลินมองมาที่ผู้ส่งสาส์นด้วยสายตาเย็นชา
ด้วยสายตาแบบนี้ ผู้ส่งสาส์นก่นด่าอยู่ในใจ เขากัดฟันแน่นและโบกมือนำขวดหยกออกมา บีบรอยยิ้มด้วยจิตใจอันเจ็บปวด
“อ้ะ ข้าลืมไป นี่เป็นของพิเศษของแคว้นกลาง มันไม่ได้ล้ำค่าอะไรนัก ดังนั้นสหายเซียนได้โปรดรับไว้ด้วย!” เขายื่นส่งขวดหยกแก่หวังหลิน
หลังจากหวังหลินรับเอาไว้ จึงตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณเบื้องหน้าผู้ส่งสาส์น ภายในมีเม็ดยาอยู่จำนวนมาก ทั้งหมดมีไว้เพื่อฟื้นฟูและหลายอย่างก็ล้ำค่ายิ่ง
การที่เซียนธรรมดาจะได้มาคงเป็นเรื่องยากมาก มีเพียงผู้ส่งสาส์นที่สามารถหาวิธีได้มาในแคว้นกลาง
หลังจากมอบของขวัญทั้งสองไป ผู้ส่งสาส์นเจ็บปวดใจมาก เขามองหวังหลินและเห็นว่าท่าทีเย็นชาน้อยลงจนทำให้เขารู้สึกโล่งอก ทว่าหวังหลินยังส่งสายตาจ้องมองผู้ส่งสาส์นหลังจากได้รับเม็ดยาไป
สายตาแบบนี้ทำให้ผู้ส่งสาส์นดุด่าในใจอย่างขมขื่นอีกครั้ง
‘โลภไปแล้ว…นี่…นี่…’ ผู้ส่งสาส์นฝืนยิ้มบนใบหน้า แขนขวาสั่นเทาและกัดฟัน เขานำหินหยกอีกก้อนออกมาและบีบรอยยิ้ม
“ข้าพอมีที่ทางอยู่บ้างในแคว้นกลาง…” เขายื่นส่งหินหยกให้หวังหลินด้วยจิตใจเจ็บปวดแสนสาหัส
หลังจากรับหินหยกก้อนนี้ไป หวังหลินค่อยๆ ยิ้มออกมา พอผู้ส่งสาส์นเห็นรอยยิ้มนี้จึงโล่งอกครั้งใหญ่
“ท่านผู้ส่งสาส์นไม่ต้องสุภาพเกินไป ในเมื่อของพิเศษจากแคว้นกลางไม่ได้ล้ำค่าอะไรนัก ข้าก็ไม่เกรงใจแล้วกัน”
“ใช่ๆ ไม่มีอะไรล้ำค่าหรอก” ผู้ส่งสาส์นรู้สึกเจ็บปวดในหน้าอกและยิ้มอย่างขมขื่น
หวังหลินค่อยๆ ถามขึ้นมา “ในเมื่อผู้ส่งสาส์นมาที่แคว้นมารเขียว ท่านต้องผ่านแคว้นกระทิงสวรรค์ ข้าอยากสอบถามว่าสงครามที่นั่นเป็นอย่างไร?”
“ราชโองการมีทั้งสิ้นสามฉบับ แคว้นกระทิงสวรรค์และสำนักกุ้ยยี่ต่างได้แห่งละฉบับ สงครามควรจะจบลงแล้ว ดังนั้นทุกคนอาจกำลังกลับมาสำนักของตัวเอง” ผู้ส่งสาส์นไม่เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ
หวังหลินเก็บหินหยกไปและถามอย่างลวกๆ “ต้าวเฟยอยู่ที่เมืองหลวงใช่หรือไม่?”
“องค์ชายต้าวเฟยตื่นแล้วและต้องการออกมาจากเมืองหลวง แต่ท่านก็ถูกท่านจักรพรรดิหยุดเอาไว้” ทั้งหมดนี้เป็นแค่ข่าวลือ ดังนั้นผู้ส่งสาส์นจึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรร้ายแรง
“โอ้ ข้าได้ช่วยต้าวเฟยมาก่อนและเขาก็ช่วยข้าไว้” หวังหลินยิ้ม
ผู้ส่งสาส์นรีบพยักหน้า เขาสังเกตเรื่องนี้ได้ตอนที่อ่านราชโองการและพอรวมกับที่หวังหลินพูด จึงยิ่งมั่นใจขึ้น
“นิสัยของต้าวเฟย…อา ข้าไม่เจอเขามานาน เขายังเหมือนเดิมอยู่หรือไม่?” หวังหลินส่ายศีรษะและถอนหายใจ
“องค์ชายต้าวเฟย…” ผู้ส่งสาส์นลังเล หลังจากพิจารณาถึงเนื้อหาในราชโองการและคำพูดของหวังหลิน เขาจึงพูดต่อไป
“ด้วยตัวตนของข้า ข้าไม่สามารถพบองค์ชายต้าวเฟยได้ แต่ข่าวลือบอกกันว่าหลังจากองค์ชายต้าวเฟยตื่นขึ้นเมื่อสามสิบปีก่อน นิสัยของเขาก็ไม่เหมือนเดิม…แต่บางครั้งก็เหมือนเดิม…” ผู้ส่งสาส์นพูดอย่างลังเล
หวังหลินใจเต้นวาบ เขายิ้มและไม่พูดอะไรต่อ
พอผู้ส่งสาส์นเห็นแบบนี้จึงรู้ว่าถึงเวลาไปแล้ว เขาคำนับฝ่ามือให้กับหวังหลิน
“สหายเซียนหวัง ราชโองการนี้สามารถใช้เคลื่อนย้ายเข้าสู่แคว้นกลางได้ ที่นี่ห่างไกลจากแคว้นกลาง ดังนั้นท่านจะต้องเคลื่อนย้ายถึงแปดครั้ง ข้าจะมุ่งหน้ากลับไปรายงานต่อองค์จักรพรรพิก่อน เมื่อท่านไปถึงเมืองหลวง ข้าจะไปทักทายท่าน” ผู้ส่งสาส์นยิ้มและรีบจากไป เขากลัวว่าจะพูดอะไรที่ทำให้หวังหลินโกรธเคืองและคงต้องเสีย ‘ของที่ไม่มีค่าอะไรนัก’ มากไปกว่านี้
หลังจากผู้ส่งสาส์นจากไปหวังหลินจึงหุบยิ้ม ใบหน้ามืดมน
หวังหลินไม่ได้ออกไปจากสำนักเต๋ามารที่กลายเป็นซากปรักหักพัง แต่กลับนั่งลงบนหินสีเขียวในสำนัก ดวงตาเปล่งประกาย
‘เหลียนต้าวเฟย…ความโลภและความคิดร้ายของเขาถูกเต๋าแห่งสวรรค์กลืนกินไปแล้ว แบบนี้นิสัยของเขาก็น่าจะแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างมาก…’
‘คำพูดของผู้ส่งสาส์นได้บ่งบอกเรื่องนี้ด้วย นิสัยของเขาเปลี่ยนไปแต่มันจะเปลี่ยนเป็นอะไรนั้น…’
หวังหลินขมวดคิ้วและมองท้องฟ้าที่กำลังมืด ครุ่นคิดต่อไป
‘แต่หากเขาเปลี่ยนไปจริง หลังจากเขาตื่นแล้วสามสิบปี ทำไมพี่ชายเขาถึงประกาศออกมาตอนนี้…หากต้องการขอบคุณข้าจริงๆ เมื่อสามสิบปีก่อนตอนที่ข้ากำลังลำบากและรอวาสนาจากอารามแมงป่อง ทำไมถึง…’
‘เนื้อหาในราชโองการค่อนข้างน่าสนใจ…’ หวังหลินสะบัดแขน แววตาเย็นเยียบ สายลมสีดำปรากฏขึ้นมาส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนก่อนจะเงียบลง
หวังหลินโหดเหี้ยมอำมหิต พอตั้งใจว่าจะทำอะไรบางอย่างแล้วก็ต้องโหดเหี้ยมให้สุด ในเมื่อต้องการลบล้างสำนักเต๋ามาร เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ศิษย์สำนักแห่งนี้ในแคว้นกระทิงสวรรค์หนีรอดไปได้
คนที่กลับมาก่อนคงจะเป็นคนที่มีสถานะสูงส่ง พวกเขาคงใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อกลับมา หวังหลินกำลังรอคอยคนพวกนี้!
‘บรรพชนของสำนักเต๋ามารน่าจะอยู่ระหว่างทาง เขาเป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้า การจะกวาดล้างสำนักเต๋ามาร เขาต้องตาย! แม้ข้าจะไม่ค้นหาเขา เขาก็จะยังออกมาค้นหาข้าอยู่ดี!’
‘มหาชั้นฟ้า…สงสัยจริงว่าหากข้าสวมเกราะวิญญาณจะเทียบกับมหาชั้นฟ้าได้หรือไม่!’ หวังหลินนั่งอยู่บนก้อนหินและทอดสายตามองออกไป
‘หลังจากจัดการเรื่องสำนักเต๋ามาร ข้ามีสองตัวเลือกคือไปสำนักตงหลินและเข้าบ่อน้ำตงหลินเพื่อดูว่ามันจะช่วยแก่นแท้อื่นควบแน่นเป็นร่างแก่นแท้ได้หรือไม่…’
‘หรืออีกทางเลือกคือมุ่งหน้าไปแคว้นกลางเพื่อดูว่าในถ้ำเป็นเสือหมอบมังกรซ่อนแบบไหน ข้าอยากรู้ว่าเหลียนต้าวเฟยจำข้าได้หรือไม่และพี่ใหญ่จักรพรรดิเทพของเขาเก็บอะไรไว้…’
‘แต่ครั้งหนึ่งอาจารย์บอกว่ามีมหาชั้นฟ้าอยู่ห้าคนและจักรพรรดิเทพเหลียนต้าวเจินเป็นหนึ่งในนั้น! หากข้าไปที่นั่นอาจจะเจออันตรายจำนวนมาก…’ หวังหลินหลับตาและขบคิดในความมืด
ห่างออกไปจากแคว้นมารเขียวถึงห้าแคว้น ลำแสงสายหนึ่งท่องทะยานผ่านน่านฟ้า ภายในลำแสงเป็นชายชราเรือนผมสีแดง ใบหน้าสงบนิ่งแต่ในแววตาซ่อนความโกรธเกรี้ยวเอาไว้!
พริบตาเดียวเขาได้หายวับเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายแห่งหนึ่ง เขาข้ามผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายอีกหลายแห่งไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม!
เขาคือบรรพชนของสำนักเต๋ามาร ผู้อยู่ภายใต้มหาชั้นฟ้าต้าวยี่!!
ตอนที่ 1917
มหาชั้นฟ้าของเผ่าเทพ
โดย
Ink Stone_Fantasy
‘เมืองหลวงนั้นข้าต้องไปอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะต้องขอบคุณแต่ข้าได้สาบานกับเหลียนต้าวเฟย! ข้าต้องฟื้นคืนความทรงจำของต้าวเฟยเพื่อตอบแทนทุกอย่างที่เขาทำให้ข้า!’ หวังหลินความตั้งมั่นออกมา
เขาจดจำความเมตตาที่คนอื่นมอบให้เป็นอย่างดี!
ตอนนั้นเหลียนต้าวเฟยมีเมตตากับเขาเหลือเกิน ตอนนี้หวังหลินจึงต้องไปเมืองหลวงเพื่อดูว่าเหลียนต้าวเฟยฟื้นคืนกำลังได้เต็มที่หรือไม่ จากนั้นเขาก็ไม่เสียใจและไม่มีอะไรติดค้างในใจแล้ว
‘ไม่ว่านิสัยเขาจะเป็นอย่างไร จะเปลี่ยนไปหรือไม่ หรือคิดกับข้าอีกแบบ ข้าก็ต้องไปดูให้เห็นด้วยตาตัวเอง!’ หวังหลินขบคิดแต่แววตาแฝงความเศร้าลึกๆ
เขาไม่รู้ว่าเหลียนต้าวเฟยตอนนี้เป็นอย่างไร ไม่รู้ว่ายังคงร้องคำรามและโวยวายอยู่เป็นประจำ หรือไม่
“ข้าจะบอกให้เจ้าฟัง ข้าเป็นราชาที่ทรงพลัง!”
“เจ้า เจ้า เจ้า…ราชาผู้นี้จะกัดเจ้าให้ตาย กัดเจ้าให้ตายเชียวนะ!!”
“บัดซบ เจ้ากล้าแกล้งตายต่อหน้าต่อตาราชาผู้นี้ได้อย่างไร?”
“ฝนตก…เอ๋ น้องแดง มาๆ นวดไหล่ข้าหน่อย…”
“บอกพี่ใหญ่ว่าข้าเหนื่อยแล้ว วันนี้ข้าจะไม่บ่มเพาะและจะออกไปเล่น…บอกเขาว่าไม่ต้องออกมาตามหาข้า พอข้าเล่นเสร็จแล้วจะกลับไปเอง หากเขากล้าพาข้ากลับไปเหมือนเมื่อก่อน ข้าจะตัดความสัมพันธ์!”
“โลหิตของราชานี่มันเยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม…เอ๊ะ ข้าคิดว่าสาวน้อยเฟยเฟยกำลังให้ข้ากินอะไรนะ…”
เสียงของเหลียนต้าวเฟยดังก้องในสองหู ความมืดมิดในสำนักเต๋ามารทำให้หวังหลินถอนหายใจ เขานึกถึงตอนที่เหลียนต้าวเฟยปรากฏตัวในช่วงเวลาคับขันและช่วยชีวิตหวังหลินไว้จากกระบวนท่ารุนแรงครั้งนั้น
เขายังจำได้ถึงความฝันครั้งที่สาม ตอนที่เขากลายเป็นเซียน ตอนที่เขาและเหลียนต้าวเฟยลอยอยู่ในอากาศ ในเต๋าความฝันเขาได้เจอกับเหลียนต้าวเฟยและใช้ชีวิตร่วมกัน
‘ข้าหวังว่าเขาจะไม่เปลี่ยนไปมากนัก…’ หวังหลินถอนหายใจยาว เขาไม่มีสหายมากมายนักและเหลียนต้าวเฟยนับว่าเป็นสหายเขาคนหนึ่ง
ความจริงเขาไม่ได้ตอบแทนเหลียนต้าวเฟยมากนัก เป็นเหลียนต้าวเฟยที่ช่วยหวังหลินไว้มหาศาล!
‘ข้าต้องไปเมืองหลวง แต่มันอันตรายและต้องเตรียมตัวก่อนไป…’ หวังหลินขบคิดและตัดสินใจ
‘มหาชั้นฟ้าทั้งห้าของเผ่าเทพ…’ หวังหลินสะบัดแขนขวาปรากฏกระดองเต่าที่บรรพชนกระทิงเขียวมอบให้ นอกจากแผนที่แล้วยังมีข้อมูลบางส่วนของมหาชั้นฟ้า ซวนลั่วยังบอกข้อมูลบางส่วนตอนที่หวังหลินอยู่ในโลกถ้ำอีกด้วย
‘จักรพรรดิเทพแห่งแคว้นกลางสืบทอดแปดสุดยอดเต๋าของบรรพชนเทพและ เขาคือมหาชั้นฟ้าแปดสุดขั้ว!’
‘สำนักตะวันม่วงแห่งแผ่นดินทิศตะวันออกเป็นบ้านของมหาชั้นฟ้าชวงจื่อ แข็งแกร่งที่สุดในเก้าสำนักสิบสามกองกำลัง!’
‘สำนักต้าวยี่แห่งแผ่นดินทิศใต้มีมหาชั้นฟ้าต้าวยี่!’
‘สำนักจักรวาลแห่งแผ่นดินทิศเหนือมีมหาชั้นฟ้าหวู่เฟิง!’
‘ในแคว้นกลางมีมหาชั้นฟ้าอีกคนนอกจากจักรพรรดิเทพ และเขาคือมหาชั้นฟ้าจิ่วตี้’
ทั้งห้าคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดทั่วทั้ง 72 แคว้นเทพ เป็นห้าตะวัน ห้ามหาชั้นฟ้า!
แววตาหวังหลินทอประกายและวิเคราะห์มหาชั้นฟ้าทั้งห้าคน เมื่อพวกเขารับรู้ความแข็งแกร่งของหวังหลิน คงต้องเชิญชวนแน่นอน
พอมีเบื้องหลังเป็นมหาชั้นฟ้า อันตรายในการเดินทางสู่เมืองหลวงก็จะลดลงไปมาก นอกจากนี้ถึงแม้มหาชั้นฟ้าต้องการสังหารผู้สูงส่งชั้นฟ้าอีกคนที่อยู่ใต้อำนาจมหาชั้นฟ้า ก็ยังต้องอธิบายเหตุผล! เพราะเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าอยู่เหนือผู้สูงส่งชั้นทองและหาได้ยากยิ่งบนแผ่นดินเซียนดารา!
อย่างมากมหาชั้นฟ้าอาจมีผู้สูงส่งชั้นฟ้าได้ถึงร้อยคน! ทั้งแผ่นดินเซียนดารานั้นมีผู้สูงส่งชั้นฟ้าไม่ถึงพันคนด้วยซ้ำ!
หากแค่การสังหารผู้สูงส่งชั้นฟ้า นั่นยังพอเข้าใจ แต่หากเป้าหมายเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะ เมื่อนั้นไม่มีมหาชั้นฟ้าคนใดยอมแน่!
เพราะเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะนั้นหายากยิ่งกว่ายาก ทั้งแผ่นดินเซียนดารามีแค่ 48 คนเท่านั้น!!!
ส่วนใหญ่พวกเขาต่างก็ซ่อนตัวปิดด่านบ่มเพาะ อยู่ใต้อำนาจมหาชั้นฟ้าไม่ถึงสามในสิบส่วน
คนเหล่านี้มักจะเป็นที่เคารพของเหล่ามหาชั้นฟ้า เพราะพวกเขาคือกลุ่มคนที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้มหาชั้นฟ้า! หากไม่ต้องการติดตามมหาชั้นฟ้า มหาชั้นฟ้าก็จะไม่บังคับ เว้นแต่จะเหมือนลั่วหยุนไฮ่แห่งสำนักมหาวิญญาณที่ได้ท้าประลองกับมหาชั้นฟ้า
เมื่อผู้สูงส่งชั้นเทวะเลือกที่จะติดตามมหาชั้นฟ้าแล้ว เขาจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีและเป็นส่วนสำคัญ นั่นเพราะผู้สูงส่งชั้นเทวะคือองครักษ์ที่ดีที่สุดระหว่างที่มหาชั้นฟ้ากำลังผ่านกระบวนการเกิดใหม่!!
หากผู้สูงส่งชั้นเทวะถูกมหาชั้นฟ้าสังหาร ถ้าอยู่ตัวคนเดียวก็คงไม่เป็นไร แต่หากอยู่ใต้อำนาจของมหาชั้นฟ้าคนอื่น มหาชั้นฟ้าคนนั้นคงไม่มีวันยอมแน่!
เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับชื่อเสียง เกี่ยวข้องกับคนที่พวกเขาจะทาบทามในอนาคต เกี่ยวข้องกับองครักษ์คุ้มกันกระบวนการเกิดใหม่ ไม่มีมหาชั้นฟ้าคนใดมองดูผู้สูงส่งชั้นเทวะตายไปต่อหน้าโดยไม่ทำอะไร
ทั้งยังมีผู้สูงส่งชั้นเทวะอยู่น้อยเกินไปด้วยซ้ำ!
‘หากอยู่ในเผ่าโบราณ คงไม่ต้องคิดอะไร เพียงแค่มีอาจารย์…’ หวังหลินเข้าใจว่าถึงแม้เขาจะเป็นศิษย์คนเดียวของซวนลั่ว เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้ฝั่งดินแดนเทพรู้ได้ ไม่เช่นนั้นคงถูกเหล่ามหาชั้นฟ้าไล่ล่า
เผ่าเทพคงไม่ยอมรับให้มีเซียนแบบเขาปรากฏตัวในเผ่าโบราณแน่นอน!
‘แม้แต่เหลียนต้าวเฟยยังไม่รู้เรื่องอาจารย์ มีเพียงสำนักกุ้ยยี่ที่รู้เรื่อง ในเมื่ออาจารย์ยอมให้สำนักกุ้ยยี่รู้เรื่องนี้และไม่สังหารในโลกถ้ำ แปลว่าเขามั่นใจว่าพวกนั้นจะไม่พูดอะไร…ส่วนเรื่องเหตุผล แม้ข้าจะไม่รู้แต่ข้าเชื่อในตัวอาจารย์!’
‘เหล่ามหาชั้นฟ้าคงไม่คิดว่าข้าจะมีร่างบัญชาโบราณและบ่มเพาะแบบเทพเป็นแน่ ตราบใดที่พวกนั้นไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์กับข้าและอาจารย์ซวนลั่ว!’
หวังหลินอยู่บนแผ่นดินเซียนดารามาสักพัก และพอเข้าใจได้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นสายโลหิตโบราณและโลหิตเทพได้ปะปนกัน จึงมีเหล่าเซียนเทพที่มีร่างเผ่าโบราณ แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากอารามโบราณ
ทำให้ถึงแม้ร่างบัญชาโบราณของหวังหลินอาจจะทำให้เซียนธรรมดาตกตะลึง แต่ก็ไม่มากมายอะไรต่อมหาชั้นฟ้า
หวังหลินยังรู้ด้วยว่ามีบางเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนไว้ เช่นเรื่องที่เขามาจากโลกถ้ำอาจจะซ่อนคนอื่นได้แต่ไม่สามารถซ่อนมหาชั้นฟ้าได้ พวกนั้นคงมีวิธีการของตัวเอง ทั้งยังเป็นสิ่งดีอีกเนื่องจากสามารถยืนยันต้นกำเนิดของหวังหลินได้!
แม้ว่าเรื่องที่มีเซียนในโลกถ้ำสามารถทะลวงออกมาได้จะเป็นเรื่องน่าตกตะลึงยิ่ง หากเทียบกับระดับบ่มเพาะของหวังหลิน มันไม่ได้สำคัญเลย สิ่งสำคัญที่สุดคือการตัดสินใจของหวังหลินต่างหาก
‘การจะทำให้เหล่ามหาชั้นฟ้าสนใจ ข้าต้องแสดงพลังของตัวเองออกมา ด้วยระดับบ่มเพาะที่สามารถสังหารผู้สูงส่งชั้นฟ้าได้! จากนั้นข้าจะสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการในเผ่าเทพ!’
‘หากมีชื่อเสียงมากพอ มหาชั้นฟ้าจะออกมาตามหาข้าด้วยตัวเอง!’ แววตาหวังหลินเป็นประกายและมุ่งมั่นยิ่งขึ้น
‘จากมหาชั้นฟ้าทั้งห้าคน จักรพรรดิเทพไม่มีปัญหา ส่วนอีกสี่คน…ข้าไม่รู้เรื่องมหาชั้นฟ้าต้าวยี่ มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงหรือมหาชั้นฟ้าจิ่วตี้มากนัก ข้าเคยเจอเพียงมหาชั้นฟ้าชวงจื่อของสำนักตะวันม่วงเท่านั้น…’ หวังหลินนึกถึงตอนที่เจอทันหลางในโลกถ้ำและเจอสองสาวน้อยชื่อหวาหวาและฮานฮาน
‘ข้าต้องทำให้เหล่ามหาชั้นฟ้าสนใจและทำให้ออกมาตามหาข้าด้วยตัวเอง นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุด!’ แววตาหวังหลินเป็นประกายและค่อยๆ หลับตาลง
เขากำลังรอให้บรรพชนผู้สูงส่งชั้นฟ้าของสำนักเต๋ามารให้มาถึง หวังหลินกำลังประคองตัวเองให้อยู่ระดับสูงสุดเพื่อดูว่าสามารถขยายพลังไปได้แค่ไหน
ผู้สูงส่งชั้นทองไม่สามารถใช้วัดความแข็งแกร่งของหวังหลินได้อีกต่อไป มีเพียงเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าเท่านั้นที่ช่วยเขาได้
ขณะที่รอคอย วิญญาณดั้งเดิมของจ้าวสำนักเต๋ามารกำลังโดนเขาดูดซับอย่างโหดเหี้ยม อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถควบแน่นเส้นชีพจรแห่งที่สองได้ ดังนั้นจึงนำวิญญาณดั้งเดิมของเซียนขั้นที่สามออกมาหลายสิบคน จับขั้นต่ำกว่าวิบากแก่นแท้ออกมาห้าคนและกลืนกินเพื่อสร้างเส้นชีพจรแห่งที่สอง
หลายชั่วโมงต่อมา ท้องฟ้าเริ่มส่องสว่าง หวังหลินกลืนกินวิญญาณดั้งเดิมที่ต่ำกว่าขั้นวิบากแก่นแท้ไปเก้าดวง วังวนที่สองควบแน่นในทันที!
พอปรากฏเส้นชีพจรเซียนสายที่สอง หวังหลินพลันลืมตาและรู้สึกได้ว่าสามารถร่ายวิชาได้รวดเร็วยิ่งกว่าเดิม!
‘เส้นชีพจรแห่งที่สามต้องมาแล้ว!’ หวังหลินสะบัดแขนเสื้อและหยิบวิญญาณดั้งเดิมที่สูงกว่าขั้นวิบากแก่นแท้ด่านที่ห้าออกมาเจ็ดดวง แต่เพราะไม่มากพอจึงกลืนกินวิญญาณของเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นเข้าไปด้วย ร่างกายหวังหลินส่งเสียงดังลั่นและปรากฏเส้นชีพจรเซียนแห่งที่สาม!
หวังหลินสามารถร่ายวิชาจำนวนมากมายได้ในครั้งเดียว แม้แต่ความเร็วของร่างบัญชาโบราณยังเปลี่ยนไปมหาศาล
นี่ช่างแตกต่างจากเซียนที่หวังหลินได้เรียนรู้วิชามา เขาสามารถเพิ่มได้เพียงแต่ความเร็วในการร่ายวิชาเท่านั้น มันไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย นั่นเป็นเพราะวิญญาณดวงแรกที่เขากลืนกินเป็นของเซียนขั้นสวรรค์ดับสูญ ขณะที่หวังหลินกลืนกินวิญญาณดวงแรกคือขั้นแก่นแท้ดับสูญ!
วิญญาณดั้งเดิมกว่าครึ่งที่ถูกหวังหลินกลืนกินไปกำลังจะใช้เพื่อเรื่องอื่น
‘ข้าสงสัยว่าวิญญาณดั้งเดิมของจ้าวสำนักเต๋ามารจะสร้างเส้นชีพจรเซียนได้กี่สาย…’ หวังหลินหลับตาและเริ่มสร้างทันที
ยามนี้ท้องฟ้าส่องสว่าง แสงอาทิตย์กำลังเจิดจ้า ลำแสงสายหนึ่งข้ามผ่านชายแดนแคว้นเมิ่งตูเข้ามาที่แคว้นมารเขียว เหล่าเซียนต่างสั่นไหวกับลำแสงนี้และไม่มีใครกล้าโผล่หัวออกมาด้านนอก
ชายแดนระหว่างแคว้นได้ถูกเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าเมินเฉยไปอย่างสิ้นเชิง!
ตอนที่ 1918
ร่างกายคือเต๋า!
โดย
Ink Stone_Fantasy
วิชาค้นวิญญาณเป็นวิชาที่ทรงพลังมาก แต่สำหรับผู้สูงส่งชั้นทอง แม้วิญญาณดั้งเดิมจะสูญเสียเจตจำนงทั้งหมดไป ยังมีระดับบ่มเพาะอันแข็งแกร่งสร้างม่านพลังป้องกันไปได้หลายปี การค้นวิญญาณจึงเป็นเรื่องยากมาก
ถึงจะบังคับค้นวิญญาณก็อาจได้เพียงแค่เศษเสี้ยวความทรงจำ ไม่ได้ทุกสิ่งกลับมา บางทีจนกว่าระดับบ่มเพาะต้องเหนือล้ำกว่าผู้สูงส่งชั้นทองจึงจะได้ความทรงจำมาอย่างครบถ้วน
แม้หวังหลินสามารถเอาชนะผู้สูงส่งชั้นทองได้ นั่นเป็นเพราะใช้การผสานร่างบัญชาโบราณและระดับบ่มเพาะ ทำให้เขาสามารถมีความแข็งแกร่งระดับนั้นได้ ความจริงระดับบ่มเพาะหวังหลินเพียงแค่ขั้นวิบากดับสูญระดับต้นเท่านั้น
ขณะที่วิญญาณดั้งเดิมของจ้าวสำนักเต๋ามารกำลังถูกหลอมเป็นเส้นชีพจรเซียนในร่างหวังหลิน หวังหลินก็พยายามค้นวิญญาณไปด้วย แต่เขาไม่เจอทรงความทรงจำสำคัญอันใดเช่นความลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสงครามกับแคว้นกระทิงสวรรค์ หวังหลินพบแต่ความคิดบางส่วนที่เกี่ยวกับบรรพชนผู้สูงส่งชั้นฟ้าเท่านั้น
‘บรรพชนผู้สูงส่งชั้นฟ้าของสำนักเต๋ามาร เป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้าใต้อำนาจมหาชั้นฟ้าต้าวยี่…’ ดวงตะวันกำลังห้อยอยู่กลางท้องฟ้าและส่องกระทบพื้น หวังหลินลืมตาเป็นประกาย
ในร่างเขาปรากฏเส้นชีพจรสายที่สี่และสายที่ห้า!
ระดับผู้สูงส่งชั้นทองถึงกับสร้างเส้นชีพจรเซียนได้สองสาย! หวังหลินสะบัดแขนเล็กน้อยปรากฏร่างเงา หวังหลินรู้สึกว่าไม่เพียงแต่ความเร็วการร่ายจะเพิ่มขึ้นแต่ความแข็งแกร่งทางร่างกายยังเพิ่มขึ้นจนน่าหวาดกลัว
นี่คือกุญแจสำคัญของเคล็ดเร่งความเร็ว เป็นสิ่งที่หวังหลินสนใจ!
‘มาดูกันว่าร่างกายของข้ารวดเร็วแค่ไหน!’ หวังหลินมองขึ้นไปและขยับร่าง เขายังอยู่ใต้ดวงอาทิตย์แต่แสงอาทิตย์กลับบิดเบือน หวังหลินร่างที่สองปรากฏห่างออกไปสามสิบฟุต
หวังหลินร่างที่สองยืนยิ้ม ขณะที่เขาก้าวเดินออกไป แสงอาทิตย์บิดเบือนอีกครั้ง หวังหลินร่างที่สามปรากฏห่างออกไปร้อยฟุต
หวังหลินร่างที่สามขมวดคิ้วและมองไปยังท้องฟ้า ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
ไม่นานนักแสงอาทิตย์ได้บิดเบือนเป็นครั้งที่สี่ ห้า หก…จนกระทั่งเกิดร่างแยกอีก 98 ร่าง! บางร่างกำลังนั่ง บางร่างกำลังเหาะเหิน ก้าวเดิน กำลังร่ายวิชาหรือกระทั่งชกกำปั้น แต่ละร่างมีท่าทางแตกต่างกัน เพียงแค่ชำเลืองช่างเป็นภาพที่น่าตกตะลึง
ร่างที่ 98 นั่งอยู่ข้างกับร่างแรก ทั้งสองดูเหมือนกัน มีเพียงสีหน้าที่แตกต่าง
“98 ร่างก็ถึงขีดจำกัดแล้ว” ร่างสุดท้ายพึมพำพร้อมกับร่างแรกที่หายไป จากนั้นร่างที่สองจนกระทั่งร่างที่ 97 ได้เลือนหายไปทันที
ทุกอย่างคือร่างอวตารร่างเดียว นี่คือภาพติดตาที่เกิดจากความเร็วของร่างกายล้วนๆ แปลว่าความเร็วของเขามันเกินระดับที่น่าตกตะลึงไปแล้ว
การใช้วิชาเข้าช่วยจนได้ความเร็วระดับนี้ถือว่าเป็นเรื่องง่าย แต่การใช้ร่างกายอย่างเดียวนับว่าไม่ธรรมดา!
‘ข้ามีเส้นชีพจรเซียนถึงหกสายแล้ว เคล็ดเร่งความเร็วสามารถสร้างได้ถึงเก้าสาย แต่ไม่ได้บอกว่าเก้าคือขีดจำกัด ตอนที่ข้าได้เก้าสายอาจจะมีการเปลี่ยนแปลง…’
‘วิชานี้ทรงพลังมาก ดังนั้นข้าต้องเพ่งสมาธิ!’ หวังหลินมองลงไป ดวงตาเปล่งประกาย เส้นทางข้างหน้ากำหนดเอาไว้แล้วและตอนนี้เขากำลังทุ่มสุดตัวเดินสู่เส้นทางนั้น
‘หลังจากจัดการเรื่องที่เผ่าเทพ ข้าจะไปหาอาจารย์และบ่มเพาะที่นั่น เมื่อข้าทรงพลังขึ้น ข้าสามารถไปที่ไหนก็ได้ที่ต้องการเพื่อค้นหาวิญญาณของหวานเอ๋อร์!’
‘พลังต่อสู้ของข้าตอนนี้สูงมาก แต่ยังห่างจากเหล่าเซียนเฒ่าพวกนั้น’
‘เก้าแก่นแท้ของข้าผสานกลายเป็นสาม ตามความเข้าใจของข้าแล้วหากข้าสามารถสร้างอีกสองธาตุให้กับร่างแก่นแท้ห้าธาตุ ข้าน่าจะบรรลุขั้นวิบากดับสูญระดับกลางได้!’
‘เช่นเดียวกัน หากข้าสามารถเพิ่มแก่นแท้พิเศษอีกสองอย่างเข้าสู่ร่างแก่นแท้สายฟ้า ข้าน่าจะบรรลุขั้นวิบากดับสูญระดับปลายได้ นั่นคือผู้สูงส่งชั้นทอง!’
‘สุดท้ายที่ยากที่สุดคงจะเป็นแก่นแท้นามธรรม หากข้าสามารถรู้แจ้งอีกสองแก่นแท้นามธรรมและรวมเป็นห้า ข้าน่าจะบรรลุขั้นวิบากดับสูญระดับปลายสูงสุด นั่นคือผู้สูงส่งชั้นฟ้า!’
‘หลังจากนั้นหากแก่นแท้ทั้งหมดของข้าสร้างร่างแก่นแท้ของตัวเองได้ และรวมกับสามร่างแก่นแท้ที่มีอยู่ตอนนี้ ระดับบ่มเพาะของข้าจะเกินกว่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าและบรรลุไปถึงจุดที่ห่างจากมหาชั้นฟ้าเพียงแค่ขั้นเดียว!’
‘แม้ข้าจะไม่รู้วิธีการกลายเป็นมหาชั้นฟ้า อาจารย์บอกว่ามันต้องใช้โชคอย่างมหาศาลและรอให้แดนเทพบรรพกาลเปิดออก…’
‘แต่หากข้าสามารถผสานร่างแก่นแท้ทั้งสามให้เป็นหนึ่งได้ บางทีข้าอาจได้เป็นมหาชั้นฟ้า!’ หวังหลินดวงตาเป็นประกาย นี่คือการวิเคราะห์ทั้งหมดของเขาและจำเป็นต้องใช้เวลาพิสูจน์
‘หากการวิเคราะห์ของข้าถูกต้อง จะต้องมีระดับที่เหนือกว่ามหาชั้นฟ้า! บางทีระดับนี้คือขั้นที่สี่ หรือบางทีอาจไม่ใช่…ระดับนั้นจำเป็นต้องให้ร่างแก่นแท้ทั้งสามของข้ากลายเป็นหนึ่งและบรรลุระดับวิญญาณที่แท้จริง!!’
‘ระดับนี้น่าจะเป็นสิ่งที่แม้แต่มหาชั้นฟ้าก็ยังไปไม่ถึง เป็นสิ่งที่พวกเขากำลังแสวงหาอยู่! หรือบางทีมันอาจเป็นระดับของบรรพชนเทพและบรรพชนโบราณ!!’ ความคิดหวังหลินกระจ่างชัดในตอนนี้ แม้จะเป็นการตัดสินและคาดการณ์ของตัวเอง แต่มันก็เป็นเส้นทางที่เขาต้องก้าวไปในอนาคต
ไม่ว่าจะถูกหรือไม่ เมื่อไปถึงจุดนั้นจะรู้เอง!
‘แก่นแท้พิเศษและแก่นแท้นามธรรมไม่ใช่เรื่องที่ได้มาง่ายๆ แต่ธาตุโลหะและธาตุไม้น่าจะง่ายกว่า’ อาทิตย์ยามบ่ายกำลังส่องประกายในท้องฟ้า แต่มีเสียงดังครืนดังออกมาไกล
หวังหลินเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าไกลและยืนขึ้นช้าๆ สายลมพัดเรือนผมและเสื้อผ้าจนกระพือ ด้วยซากปรักหักพังด้านหลังทำให้หวังหลินเปล่งอารมณ์ความรู้สึกแปลกปะรหลาด
‘เขามาแล้ว!’ แววตาหวังหลินเต็มไปด้วยเจตนาต่อสู้ทันที!
‘ทำให้เหล่ามหาชั้นฟ้าสนใจ!’
‘มีชื่อเสียงไปทั่ว 72 แคว้นเผ่าเทพ!’
‘การต่อสู้กำลังเริ่มต้น!!’
เพียงเสียงดังคะนองในท้องฟ้าดังกระจายและครอบคลุมทั่วบริเวณ จิตสังหารอันทรงพลังแผ่กระจายไปพร้อมกับลำแสงสายหนึ่งพุ่งทะยานเข้าหาแคว้นมารเขียว
ข้างในลำแสงเป็นชายผมแดง!
เสี้ยวพริบตาเดียวเสียงดังคะนองได้หายไป นาทีนั้นทุกอย่างเงียบสนิท
ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหวังหลินไปพันฟุต!
ชายชราเรือนผมสีแดงกำลังสวมชุดคลุมสีม่วง ตรงปลายและมุมขวาปักษ์ลวดลายไท้เก๊ก ลวดลายนี้เป็นสีแดงเพลิงราวกับตัวแทนแห่งเต๋า!
ชายชราผมแดงยืนอยู่ตรงนั้นสักพัก เขามองหวังหลินและพูดขึ้น “เจ้าใช่หรือไม่ที่ทำลายสำนักเต๋ามารของข้า?” เขาสงบนิ่งและไม่เผยอารมณ์ความรู้สึกเลย ทว่าเสียงกลับดังกึกก้องจนรุนแรง ท้ายที่สุดท้องฟ้าสั่นไหว แผ่นดินดังคำรามและเกิดคลื่นเสียงโจมตีใส่ร่างหวังหลิน
หวังหลินยืนอย่างสงบนิ่ง หรี่ตาเล็กน้อยและเอ่ยตอบ “ใช่!”
“หลังจากทำลายสำนักเต๋ามารของข้า เจ้ายังรออยู่ที่นี่ เจ้าจะท้าประลองกับข้าใช่หรือไม่?” หลังจากชายชราเห็นท่าทางสงบนิ่งของหวังหลิน แววตาจึงดุดันขึ้น
หวังหลินมองชายชราผมแดงและเอ่ยตอบ “ใช่!”
“ดี!” บรรพชนสำนักเต๋ามารไม่เผยความรู้สึกและไม่แสดงความโกรธเกรี้ยว ด้วยระดับบ่มเพาะของเขา อารมณ์ความปั่นป่วนทั้งหมดได้หายไปจากร่างกาย เขาเป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้าใต้อำนาจมหาชั้นฟ้าต้าวยี่ แม้จะไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดแต่ก็อยู่แนวหน้าของเผ่าเทพ
“ข้าจะให้โอกาสเจ้า หากเจ้าสามารถทนกำปั้นข้าได้สามครั้ง ข้าจะลืมเรื่องที่เจ้าทำลายสำนักเต๋ามาร!” บรรพชนสำนักเต๋ามารสะบัดแขนเสื้อและโยนกำปั้นใส่หวังหลิน
กำปั้นนี้ถึงกับทำให้โลกเปลี่ยนสี ซากปรักหักพังของสำนักเต๋ามารเกิดการบิดเบือน ทุกอย่างเปลี่ยนไป ราวกับมิติแห่งนี้ได้แยกออกมาเป็นอีกแห่ง
ภายในความบิดเบือนนี้ พลังทั้งหมดในโลกถูกกำปั้นของชายชราผมแดงดูดซับไป และไม่มีพลังในโลกเหลืออยู่ในมิติ
“ในขั้นผู้สูงส่งชั้นฟ้า ไม่จำเป็นต้องร่ายวิชา ร่างกายของเซียนคือรากฐาน ไม่จำเป็นต้องมีร่างกายที่ทรงพลังยิ่ง เพียงแค่วางเต๋าไว้ในร่างกาย ทำให้ร่างกายเป็นเต๋า!”
“ด้วยร่างกายที่เป็นเต๋า แม้แต่กำปั้นธรรมดาที่มีเต๋าก็สามารถทำลายทุกอย่างได้!” นี่คือสิ่งที่มหาชั้นฟ้าต้าวยี่บอกชายชราผมแดง
กำปั้นนี้ทำให้หวังหลินต้องหรี่ตา เรือนผมสีขาวสะบัดพริ้วโดยไม่มีแรงลม ดวงตาทอประกายแสงเจิดจ้า เขารู้สึกกลัวกำปั้นนี้ แม้จะดูธรรมดาแต่กลับทำให้โลกคล้อยตามไปด้วย!
กำปั้นนี้ยังแฝงวิชาที่แตกต่างกันถึงเก้าแบบ วิชาเหล่านี้ไม่ต้องใช้ผนึกหรือสัมผัสวิญญษณ เป็นเพียงแค่กำปั้นล้วนๆ จนปรากฏเป็นวิชา!
นี่คือพลังที่แท้จริงของผู้สูงส่งชั้นฟ้า กำปั้นที่ทำให้เหล่าผู้สูงส่งชั้นทองต้องสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว กำปั้นนี้มากพอที่จะสังหารพวกเขาได้ถึงร้อยครั้ง!
นี่คือผลลัพธ์ของการผสานเต๋าเข้ากับร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ ร่างกายคือเต๋า กำปั้นคือเต๋า!
โลกเกิดการบิดเบือน เรือนผมหวังหลินพริ้วสะบัด เขาไม่ได้ล่าถอยแต่ก้าวไปข้างหน้าและส่งกำปั้นจากแขนขวาออกไป!
หวังหลินไม่ได้สวมเกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์ในทันทีแต่พยายามใช้พลังของตัวเอง เขาต้องการเห็นว่าสามารถต่อสู้กับผู้สูงส่งชั้นฟ้าโดยไม่ได้ใช้เกราะวิญญาณ!
ถึงตอนนี้ เสียงดังเริ่มทำลายความเงียบ พื้นปฐพีเริ่มทลายไปทีละชั้นจากการปะทะกำปั้น ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายแต่การบิดเบือนนี้ป้องกันไม่ให้มันพังทลายออกไปไกลและสามารถเหาะเหินในอากาศได้เท่านั้น!
ตอนที่ 1919
สวมเกราะวิญญาณ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายในพายุมีเสียงดังคะนองกึกก้องเบื้องหน้าหวังหลินและเขาถอนกำปั้นกลับมา ร่างกายสั่นสะท้านและถอยไปสามก้าว ก้าวแรกทิ้งเป็นรอยเท้าสีแดงเพลิง
ก้าวที่สองเป็นรอยเท้าสีเขียวเต็มไปด้วยป่าไม้ ก้าวที่สามทำให้พื้นปฐพีกลายเป็นโลหะคล้ายกับรอยเท้าโลหะ
หวังหลินเงยหน้าขึ้นมองบรรพชนสำนักเต๋ามาร
พายุค่อยๆ หายไป บรรพชนสำนักเต๋ามารก้าวเดินออกมาและมองมาที่หวังหลิน
“ไม่ตายหรือบาดเจ็บจากกำปั้นของข้า ก้าวสามครั้งถอนสามวิชาที่เข้าไปในร่าง เขามีพลังพอที่จะทำลายสำนักเต๋ามาร!”
หวังหลินมองบรรพชนของสำนักเต๋ามารด้วยท่าทีสุขุม กำปั้นนั้นมีวิชาถึงเก้าอย่างแต่เขาป้องกันได้แค่หกเท่านั้น สามก้าวสุดท้ายคือการต่อกรกับวิชาทั้งสามที่ตกค้างเอาไว้
‘นี่คือพลังอำนาจของมหาชั้นฟ้า? แข็งแกร่งมาก!’ หวังหลินแววตาเปล่งประกาย เขาต้องการต่อสู้กับผู้สูงส่งชั้นฟ้า!
‘เช่นนั้นผู้สูงส่งชั้นฟ้าก็ต่อสู้กันแบบนี้…’ หวังหลินนึกย้อนถึงกำปั้นของบรรพชนของสำนักเต๋ามาร
เขากำลังเรียนรู้!
“นี่คือกำปั้นที่สอง!” บรรพชนสำนักเต๋ามารก้าวมาข้างหน้า เรือนผมพริ้วไหว แววตาเผยประกายแสงประหลาด ขณะที่ยกแขนขวาขึ้นมา ทั้งร่างเปลี่ยนไปมาระหว่างภาพจริงและมายา!
นาทีที่กำปั้นครั้งที่สองปรากฏขึ้นมา ทั้งสำนักเต๋ามารสั่นสะท้าน ราวกับมีพลังที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นมาและถูกฟ้าดินฉีกกระชากจนพื้นที่รอบตัวหวังหลินกลายเป็นความว่างเปล่า!
มันคือความว่างเปล่าไม่มีที่สิ้นสุด ในความมืดมิดแห่งนี้หวังหลินมองไม่เห็นท้องฟ้าหรือพื้นดิน ราวกับเขาอยู่ในโลกอีกใบ มีสิ่งเดียวในนี้คือกำปั้น!
กำปั้นที่มีวิชาถึง 18 อย่าง
หากผู้สูงส่งชั้นทองเห็นกำปั้นนี้คงรู้สึกสิ้นหวังและหวาดกลัวที่ไม่สามารถต้านทานได้ แม้แต่ผู้สูงส่งชั้นทองสิบคนก็ไม่สามารถชะลอกำปั้นนี้ได้เพียงแค่หนึ่งลมหายใจ
จำนวนไม่มีความแตกต่างกันอีกแล้ว แต่แตกต่างด้านคุณภาพ!!
เหล่าผู้สูงส่งชั้นทองยังสามารถใช้วิชาเข้าต่อสู้ได้ แต่เหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้ากลับใช้เต๋าผสานและผสานเข้ากับร่างกายในทุกจังหวะ กลายเป็นระดับบ่มเพาะที่สูงส่งยิ่งขึ้น!
‘ข้างในกำปั้นมีวิชาถึง 18 อย่าง…แข็งแกร่งมาก! ผสานเต๋าเข้ากับร่างกาย ข้ายังทำแบบนั้นไม่ได้!’ หวังหลินยกแขนขวาด้วยแววตาทอประกาย หวังหลินส่งกำปั้นเข้าหากำปั้นของอีกฝ่ายเช่นกัน!
‘ข้าไม่สามารถผสานเต๋าเข้ากับร่างกายและใช้วิชาเพียงแค่เคลื่อนไหวร่างกายได้ กำปั้นนี้มีการผสานพลังเทพและพลังบัญชาโบราณเอาไว้ มันไม่มีวิชาแต่มีพลังศรัทธาและพลังแห่งเจตจำนงของข้า!’ หวังหลินเต็มไปด้วยเจตนาต่อสู้ เขาก้าวไปร้องคำราม ปะทะกันด้วยกำปั้น!
เสียงดังสนั่นรุนแรงยิ่งขึ้น ความว่างเปล่าเริ่มเผยสัญญาณพังทลาย พริบตานั้นมันก็ฉีกขาดและกลายเป็นวงกว้างขึ้น
ท้องฟ้ายังคงเป็นท้องฟ้าของแคว้นมารเขียว พื้นดินยังเป็นสำนักเต๋ามาร หวังหลินยืนอยู่ที่เดิม ห่างจากบรรพชนสำนักเต๋ามารหนึ่งพันฟุต
โลหิตไหลออกจากมุมปาก หวังหลินรู้สึกเหมือนมีพลังกระแทกรุนแรงดังขึ้นทั่วร่างกาย ร่างกระเด็นกลับไปเจ็ดก้าว วางแขนขวาที่กำลังสั่นลง โลหิตไหลลงบนพื้น
‘กำปั้นที่สองทรงพลังมาก สิบแปดวิชาผสานเป็นกำปั้น เพียงแค่กำปั้นเดียวสามารถแยกมิติออกมาจากโลกได้’ หวังหลินมองขึ้นไปและปาดโลหิตจากมุมปาก หันมองบรรพชนสำนักเต๋ามาร
“ระดับบ่มเพาะของเจ้าไม่สูงอะไรนักแต่กลับมีพลังต่อสู้เกือบถึงผู้สูงส่งชั้นฟ้า แต่เจ้าคงไม่รู้สิว่าเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าต่อสู้กันอย่างไร ข้าเชื่อว่าข้าน่าจะเป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้าคนแรกที่เจ้าต่อสู้ด้วย” บรรพชนของสำนักเต๋ามารพูดขึ้นพลางก้าวเดิน สายตามองหวังหลินอย่างเคร่งขรึม
‘เซียนที่ไม่รู้จักการต่อสู้ของผู้สูงส่งชั้นฟ้ากลับสามารถรับกำปั้นจากข้าได้ถึงสองหมัด เขาไม่ธรรมดา!’
หลังจากก้าวออกไปสิบก้าว บรรพชนมีดวงตาที่เปล่งประกายราวกับตกอยู่ในโลกแห่งจิตวิญญาณ เขามองหวังหลินพลันยกแขนขวาขึ้นมาเป็นครั้งที่สาม
บรรพชนของสำนักเต๋ามารพูดขึ้น “หากเจ้ารับกำปั้นสุดท้ายของข้าได้ ข้าจะไม่ถือสาเรื่องที่เจ้าทำลายสำนักเต๋ามาร! กำปั้นนี้มีพลังทั้งหมดของข้า หากไม่สามารถฆ่าเจ้าได้ ข้าก็ไม่สามารถฆ่าเจ้าได้จริงๆ! เจ้าต้องมีเหตุผลว่าทำไมถึงทำลายสำนักเต๋ามาร แต่ข้าจะไม่ถามว่ามันคืออะไร กำปั้นนี้จะจบสิ้นทุกอย่าง!”
“กำปั้นมีวิชาทั้งสิ้น 27 อย่าง เจ้าจะรับได้แค่ไหน?” บรรพชนของสำนักเต๋ามารพูดขึ้นพลางยกแขนขวา
หวังหลินรู้ได้ชัดทันทีว่าหากไม่สวมเกราะวิญญาณ เขาไม่สามารถรับได้แน่ กำปั้นนั้นทรงพลังมากพอที่จะฆ่าเขาได้อย่างสมบูรณ์ แม้แต่ร่างบัญชาโบราณก็ไม่สามารถรอดชีวิตได้และถูกทำลายแน่นอน!
‘เหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้า คู่ควรที่อยู่ใต้ผู้สูงส่งชั้นเทวะจริงๆ!’ หวังหลินหลับตา รอยสักกระทิงสวรรค์บนใบหน้าเริ่มแผ่กระจาย ขณะเดียวกันระดับบ่มเพาะของหวังหลินได้เพิ่มสูงขึ้นทันที
กลิ่นอายแผ่กระจายออกมาจากวิญญาณกระทิงสวรรค์และเข้าสู่ร่างหวังหลินอย่างบ้าคลั่ง มันเข้าไปในวิญญาณและวิญญาณดั้งเดิม ทำให้ระดับบ่มเพาะเพิ่มสูงขึ้นถึงขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง แต่นี่ยังไม่จบ มันขึ้นไปถึงระดับปลายจนหวังหลินบรรลุผู้สูงส่งชั้นทองแล้วถึงจะหยุด
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้บรรพชนของสำนักเต๋ามารหรี่ตาเป็นครั้งแรก
“หยิบยืมพลังวิญญาณ? นี่คือพลังวิญญาณของกระทิงสวรรค์ เช่นนั้นเจ้าก็ได้รับการยอมรับจากกระทิงสวรรค์!! ยกระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นจนได้ยินเสียงของกระทิงสวรรค์!” บรรพชนของสำนักเต๋ามารได้เปลี่ยนท่าทีเป็นครั้งแรก!
เขารู้ดีว่าวิญญาณทั้ง 72 ดวงถูกผนึกไว้ในแต่ละแคว้น แม้จะโดนผนึกแต่พลังผนึกแต่ละแคว้นก็แตกต่างกันอีก ซึ่งนั่นคือความแข็งแกร่งของวิญญาณแต่ละดวง
บางดวงวิญญาณได้ตายไปแล้ว หรือมีชีวิตอยู่แค่ครึ่งเดียว ตัวอย่างก็คือวิญญาณแมงป่องเขียว เดิมทีมันทรงพลังมากแต่ผนึกแข็งแกร่งและโดนผนึกมานาน วิญญาณของมันจึงอ่อนแอ
วิญญาณของกระทิงสวรรค์นั้นต่างกัน ใน 72 แคว้นทั้งหมด กระทิงสวรรค์ได้เข้าร่วมทีหลัง ดังนั้นผนึกของมันจึงมีเวลาสั้นกว่า กระทิงสวรรค์ยังทรงพลังอีกจนติดลำดับสิบแปดใน 72 วิญญาณ
การได้รับการยอมรับจากวิญญาณไม่ใช่เรื่องพิเศษ แคว้นใดที่มีวิญญาณที่มีชีวิตมักจะมีผู้ส่งสาส์นแบบนี้ แต่การได้รับการยอมรับเป็นแค่ส่วนเริ่มต้น แม้จะมีพลังวิญญาณ อย่างมากก็ไปได้แค่ขั้นวิบากดับสูญระดับปลาย ไม่ได้ถึงผู้สูงส่งชั้นทอง!
สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้คนใฝ่หากันมาหลายต่อหลายปี แต่มีน้อยคนที่ได้ยินเสียงคำรามของวิญญาณและได้รับการยอมรับในระดับที่สูงกว่าจนบรรลุถึงผู้สูงส่งชั้นทอง
แต่ผู้สูงส่งชั้นทองเป็นขีดจำกัดแล้วและไม่สามารถข้ามผ่านไปได้ หากเป็นวิญญาณอันดับหนึ่งที่ผนึกอยู่ใต้เมืองหลวงอาจจะพอเป็นไปได้ที่ได้รับการยอมรับระดับสูง แต่สำหรับวิญญาณดวงอื่นเรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลย
สิ่งสำคัญคือจำนวนเซียนที่สามารถบรรลุผู้สูงส่งชั้นทองด้วยเกราะวิญญาณนั้นมีน้อยกว่าจำนวนผู้สูงส่งชั้นฟ้าจนแทบเท่ากับจำนวนผู้สูงส่งชั้นเทวะ เพราะอย่างมากก็มีแค่สองคนในแต่ละแคว้น
บรรพชนของสำนักเต๋ามารไม่เคยได้ยินว่ามีใครที่กลายเป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้ามาก่อนและไม่เคยได้ยินว่าได้รับการยอมรับระดับสูงจากวิญญาณในแคว้นด้วย
ในมุมมองเขา โอกาสแบบนี้มีน้อยยิ่งกว่าคนที่กลายเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะเสียอีกและอาจน้อยเท่าการเป็นมหาชั้นฟ้าคนใหม่อีกด้วย
‘ทนรับสองกำปั้นจากข้าได้พิสูจน์แล้วว่าเขามีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้า กระทั่งการได้รับการยอมรับในระดับสูงจากกระทิงสวรรค์ด้วย…นี่…’ บรรพชนของสำนักเต๋ามารเผยอารมณ์ไม่เปิดเผยมานาน
‘มหาชั้นฟ้าคนใดที่เจอคนผู้นี้คงต้องการรับเขาอยู่ใต้อำนาจ…ข้าเพียงแค่ไม่รู้ว่าเขาใช้เกราะวิญญาณจนบรรลุระดับบ่มเพาะอะไร!’ บรรพชนสำนักเต๋ามารมีแววตาส่องสว่าง ยกแขนขวาส่งกำปั้นที่สามออกไป
นาทีนั้นกำปั้นที่มีวิชาถึง 27 อย่างได้ก่อเกิดหลุมดำขนาดยักษ์ระหว่างเขาและหวังหลิน หลุมดำนี้ดูเหมือนกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงสำนักเต๋ามารเข้าไปด้วย
แม้แต่ท้องฟ้ายังดูเหมือนพังทลาย มันบิดเบือนและโค้งงอราวกับกำลังโดนหลุมดำกลืนเข้าไป
พื้นดินเปลี่ยนกลายเป็นครึ่งวงกลมจากพลังรุนแรงของหลุมดำ
หลุมดำปลดปล่อยเสียงร้องประหลาดพุ่งเข้าหาหวังหลิน!
หวังหลินลืมตา พลังผู้สูงส่งชั้นทองเต็มไปทั่วร่าง เขาสัมผัสถึงความแข็งแกร่งชัดเจนและพลังที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนกำลังไหลผ่านร่างกาย ร่างกายสั่นสะท้านและปรากฏร่างที่สองขึ้นมา
ร่างที่สองก้าวเท้า จากนั้นเป็นร่างที่สาม สี่ ห้า…จนกระทั่งร่างที่ 98 ปรากฏขึ้นมา ทั้งหมดคือภาพติดตาและมีจริงแค่หนึ่งร่าง
‘ข้าไม่สามารถผสานเต๋าเข้ากับร่างกายและใช้วิชาเพียงแค่เคลื่อนไหวร่างกายได้ แต่ข้าสามารถใช้เคล็ดเร่งความเร็วเพื่อใช้วิชา 98 อย่างในครั้งเดียวต่อสู้กับผู้สูงส่งชั้นฟ้าได้!!’
ตอนที่ 1920
หลังจากผสานเต๋าเข้ากับร่างกาย การออกหมัดหรือการเตะสามารถสร้างวิชาขึ้นมาได้จำนวนหนึ่ง นี่คือวิธีการแสดงพลังอำนาจของผู้สูงส่งชั้นฟ้าที่แข็งแกร่งที่สุด บรรพชนของสำนักเต๋ามารสามารถผสาน 27 วิชาได้ภายในกำปั้นนี้ มันมากพอที่ทำลายเซียนทุกคนที่มีระดับต่ำกว่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าได้
กุญแจสำคัญคือจำนวนของวิชาที่สามารถผสานเข้าไปได้ ไม่ใช่จำนวนความแตกต่างในวิชา ผู้สูงส่งชั้นฟ้าบางคนอาจไม่มีวิชาถึงหลักสิบแต่สามารถผสานวิชาเดียวกันได้มากมายจนเพิ่มพลังต่อสู้ได้เหมือนกัน
หัวใจหลักคือจำนวน!
หลังจากเคล็ดเร่งความเร็วทำให้หวังหลินมีเส้นชีพจรเซียนถึงหกสายและสร้างภาพติดตาได้ 97 ร่าง ความเร็วของหวังหลินจึงเกินระดับจนน่ากลัว หวังหลินสามารถใช้เคล็ดนี้เพื่อร่ายวิชา 98 อย่างได้ทันที
เขาสามารถทำแบบนี้ได้เพราะพลังต่อสู้ในปัจจุบันสามารถไปถึงผู้สูงส่งชั้นฟ้าได้ หากมาไม่ถึงระดับนี้ แม้จะมีเส้นชีพจรเซียนถึงเก้าสาย มีภาพติดตาหลายร้อยร่างและสามารถร่ายวิชาได้หลายร้อย ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้สูงส่งชั้นฟ้า
แม้ผู้สูงส่งชั้นฟ้าจะเรียนรู้เคล็ดเร่งความเร็วได้ก็สามารถใช้ได้แค่ 27 วิชาเท่านั้น แม้ภาพติดตาจะสามารถใช้วิชาได้ก็ยังแสดงพลังได้ใกล้เคียง 27 วิชาที่ร่างดั้งเดิมแสดงออกมาได้เท่านั้น
เพราะขีดจำกัดคือ 27 วิชา มันจึงไม่สามารถเหนือไปกว่านี้ได้ เหมือนขวดน้ำ ไม่ว่าจะเติมน้ำไปแค่ไหนก็ได้เท่ากำลังของมันเท่านั้น
แต่หวังหลินนั้นแตกต่าง พลังต่อสู้ที่แท้จริงของเขาแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร้ขีดจำกัดเพราะมีร่างบัญชาโบราณและโลหิตวิญญาณ ซึ่งโลหิตวิญญาณถือว่ามีหน้าที่สำคัญมาก
ดังนั้นด้วยระดับบ่มเพาะที่เพิ่มขึ้นมาจนถึงขั้นผู้สูงส่งชั้นทอง ระดับพลังต่อสู้ของเขาสามารถแสดงออกมาได้มากกว่าเดิมอย่างมหาศาล
นี่คือเหตุผลว่าทำไมหวังหลินถึงสามารถต่อสู้กับคนที่มีระดับบ่มเพาะสูงกว่าได้หลังจากผสานพลังเทพและพลังโบราณเข้าด้วยกัน! อีกเหตุผลที่หวังหลินแข็งแกร่งได้เป็นเพราะร่างอวตารที่แข็งแกร่งที่สุดในมิติว่าง!
ด้วยพลังทั้งสามแบบเข้าผสานกันจึงกลายเป็นเหตุผลว่าทำไมหวังหลินถึงมีพลังต่อสู้ระดับนี้ได้!
ร่างกายเขาคือขวด ระดับบ่มเพาะคือน้ำ ร่างอวตารที่แข็งแกร่งที่สุดคือสิ่งที่ทำให้ขวดยืดหยุ่นและขยายออกไปได้เรื่อยๆ
ด้วยโลหิตวิญญาณทำให้หวังหลินเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอีก ปกติการเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่เผยออกมาแต่มันคือหนึ่งในเหตุผลที่หวังหลินแข็งแกร่ง เป็นความแตกต่างที่ทำให้คนในเผ่าโบราณคนอื่นไม่สามารถเทียบกับหวังหลินได้
โชควาสนาทั้งหมดนี้หากแยกกันดูเหมือนไม่สำคัญ แต่พอมันทับซ้อนกันกลายเป็นผลลัพธ์ที่น่าตกตะลึง!
ขณะหลุมดำเข้าใกล้ หวังหลิน 98 ร่างปรากฏขึ้นมา เขาไม่ได้ใช้วิชาที่แตกต่างกันแต่กลับเป็นวิชาเดียวกันทั้งหมด!
หวังหลินใช้วิชากระทิงขวิดที่ได้เรียนรู้มาจากเศษเสี้ยวความทรงจำหลังจากใช้เกราะวิญญาณถึง 98 ครั้ง!
วิชากระทิงขวิดสามารถแสดงพลังที่หยิบยืมมาได้อย่างสมบูรณ์
ร่างทั้ง 98 ร่างยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมา บนศีรษะมีเขาโผล่ เสียงคำรามดังกึกก้องอย่างต่อเนื่อง พวกมันพุ่งทะยานไปข้างหน้า!
พื้นดินสั่นสะเทือน ท้องฟ้ากลายเป็นความว่างเปล่า ดวงอาทิตย์หายไป สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในโลกนี้คือบรรพชน หลุมดำและหวังหลินทั้ง 98 ร่าง!
หวังหลินทั้ง 98 ร่างพลันหายไปจนเหลือเพียงร่างเดียว ส่งเสียงคำรามสั่นสะเทือนสวรรค์!
ร่างเงากระทิงสวรรค์ขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นมา ร่างเงาดูสมจริงราวกับกระทิงสวรรค์หนีออกมาได้ มันส่งเสียงคำรามจากกระทิงสวรรค์ไปด้วย!
ร่างเงากระทิงสวรรค์เป็นสีเขียวล้วนและเปล่งกลิ่นอายเก่าแก่ มันมีกลิ่นอายที่ไม่ย่อท้อและยกหัวขึ้นมา เงาสีดำขนาดใหญ่สองข้างพุ่งทะยานออกไป
กระทิงขวิด!
มองไกลๆ ร่างเงากระทิงสวรรค์เข้าปกคลุมร่างหวังหลิน มันใช้สองเขาเข้ากระแทกใส่หลุมดำ
ฉากเหตุการณ์ดุจภาพวาดแปะผนัง มันกลายเป็นสมบัติอันงดงามบนผืนแผ่นดินเซียนดารา
ตึงตัง ตึงตัง ตึงตัง ตึงตัง!!
วิชา 27 อย่างภายในหลุมดำถูกทำลาย หลุมดำเกิดการสั่นเทาและแตกสลายจากแรงกระแทก!
กระทิงสวรรค์ชะงักศีรษะไปชั่วจังหวะหนึ่งแต่มันไม่หยุดแค่นั้น กระทิงสวรรค์มุ่งหน้าเข้าหาบรรพชนสำนักเต๋ามาร
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมาก ชั่ววินาทีที่หลุมดำพังทลายไป เขากระทิงสวรรค์ก็มาถึงเบื้องหน้าบรรพชนสำนักเต๋ามารเรียบร้อย
ชายชราผมแดงมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แววตาเผยอาการตกตะลึงและรีบถอย
‘การผสานวิชาทั้ง 98 ครั้ง เขาไม่สามารถผสานเต๋าเข้ากับร่างกายได้แต่ใช้วิธีนี้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์คล้ายกัน หากสามารถเพิ่มไปอีกหนึ่งวิชาได้ ไม่ใช่ว่าเขาแข็งแกร่งกว่าหรอกหรือ!?’
‘ขีดจำกัดของผู้สูงส่งชั้นฟ้าคือ 99 และมากกว่านั้นจะถือว่าเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะ! พอยืมพลังจากเกราะวิญญาณ เขาจึงทรงพลังมาก!!’ ชายชราผมแดงยกแขนขึ้นมา ส่งเสียงคำรามโจมตีไปหลายครั้ง
‘นี่มันเกือบเทียบกับผู้สูงส่งชั้นเทวะได้แล้ว!! เขาไม่ได้ผสานเต๋าเข้ากับร่างกายและวิชาทั้ง 98 นี้ก็ไม่ใช่ทั้งหมด พวกมันถูกฝืนผสานเข้าไปและไม่สมบูรณ์แบบ แต่ข้าแทบจะต้านทานไม่ได้!’
ทุกกำปั้นเกิดจากการผสานวิชา 27 อย่าง ทั้งหมดปะทะกับกระทิงสวรรค์ซึ่งทำให้วิชาภายในกระทิงสวรรค์พังทลายไปทีละชั้น
การปะทะกับหลุมดำก่อนหน้านี้ทำให้วิชาพังทลายไปสี่สิบวิชา ตอนนี้ชายชราผมแดงโจมตีอีกครั้งทำให้หายไปอีกสี่สิบวิชา
แต่ยังเหลือวิชาอีกสิบกว่ายังไม่แตกสลายไป ทั้งหมดกระแทกเข้าใส่ชายชราผมแดง เขากระอักโลหิตและกระเด็นกลับไป ขณะเดียวกันหวังหลินสร้างภาพติดตาอีกครั้ง ส่งเสียงคำรามใช้กระทิงขวิดเป็นครั้งที่สอง!
ร่างกระทิงสวรรค์ปรากฏขึ้นอีกตัวในท้องฟ้าและพุ่งทะยานออกไป
‘ความเร็วและความแข็งแกร่งอะไรกัน ข้ายังไม่ได้ต้านทานรอบแรก รอบที่สองก็มาถึงแล้ว! ร่างกายเขาต้องทรงพลังยิ่งถึงสามารถต้านทานการร่ายอย่างต่อเนื่องได้แบบนี้!!’
ชายชราผมแดงพลันล่าถอย ร่างเงากระทิงสวรรค์ร่างที่สองพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง กลิ่นอายมหาชั้นฟ้าพลันระเบิดออกมาจากชุดคลุมเต๋าที่เขาสวมใส่อยู่
ชุดคลุมเต๋านี้คือของขวัญที่มหาชั้นฟ้าต้าวยี่มอบให้ ในช่วงเวลาสำคัญมันสามารถช่วยชีวิตเขาได้!
เมื่อกลิ่นอายมหาชั้นฟ้าปรากฏ ร่างเงาหนึ่งโผล่ขึ้นเบื้องหน้าบรรพชนของสำนักเต๋ามาร เงานี้ถูกสร้างขึ้นจากเศษเสี้ยวสัมผัสวิญญาณของมหาชั้นฟ้าต้าวยี่
ร่างเงาโผล่ขึ้นมาขัดขวางกระทิงขวิด จากนั้นหันกลับมาโยนกำปั้นใส่กระทิง!
กำปั้นดูธรรมดาเหมือนคนทั่วไปที่กำลังชกออกไป แม้แต่โลกก็ยังสงบนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่กระทิงสวรรค์ได้พังทลายทันที วิชาทั้ง 98 อย่างข้างในถูกทำลายไปหมด
หวังหลินกระเด็นกลับไปและหน้าซีด แต่สายตาดุดัน
‘มหาชั้นฟ้าต้าวยี่!!’
“ขอคารวะ มหาชั้นฟ้าต้าวยี่!!” เบื้องหลังร่างเงา บรรพชนของสำนักเต๋ามารพลันคำนับฝ่ามือและโค้งตัวให้แก่ร่างเงา
เดิมทีร่างเงาพร่าเลือน แต่ไม่นานมันก็ชัดเจนจนเผยร่างข้างใน
ร่างนี้เป็นชายหนุ่มชุดคลุมเต๋า เขาดูอายุราวยี่สิบปี เรือนผมสีดำและคิ้วเรียวแหลมดูหล่อเหลามาก ดวงตาดุจประกายดวงดาว มองไปอาจทำให้ตกอยู่ในภวังค์ได้
เขาสวมชุดคลุมเต๋าเรียบง่ายและดูธรรมดามาก อย่างไรก็ตามฟ้าดินไม่เคลื่อนไหว สายลมไม่คล้อยตาม ไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว! แม้แต่โองการแห่งฟ้าดินดูเหมือนหยุดชะงักไปอย่างสิ้นเชิง
เบื้องหน้ายังมีฝุ่นผงบางส่วนลอยอยู่ ฝุ่นนั้นลอยขึ้นสู่อากาศเนื่องจากเกิดการต่อสู้และควรจะตกลงมา แต่ตอนนี้มันกลับแข็งค้างในอากาศ
ผิวพื้นดินบางส่วนที่ถูกคลื่นการต่อสู้กระแทกใส่ ตอนนี้มันแช่แข็งไปอย่างสมบูรณ์
ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้หวังหลินต้องหรี่ตาแคบ กระทั่งรู้สึกว่าจิตใจเต้นช้าลงเพราะกลิ่นอายประหลาดนี้ ราวกับมันกำลังจะหยุดทุกสิ่งทุกอย่าง
เรื่องน่าตกตะลึงก็คือโลหิตที่บรรพชนของสำนักเต๋ามารกระอักออกมา มันควรจะตกลงพื้นแต่กลับลอยอยู่ตรงนั้น
“นี่คือพลังของมหาชั้นฟ้า…เป็นแค่เศษเสี้ยวสัมผัสวิญญาณบนผ้าคลุม…เพียงแค่เศษเสี้ยวกลับสามารถสร้างแรงกดดันจนโลกและทุกสิ่งทุกอย่างไม่กล้าเคลื่อนไหว!”
หวังหลินมองไปข้างหน้า ไม่ใช่ว่าทุกอย่างถูกแช่แข็ง แต่ทุกอย่างไม่กล้าเคลื่อนไหวหลังจากมหาชั้นฟ้าต้าวยี่ปรากฏตัว
“เจ้ามีคุณสมบัติที่จะติดตามข้า เหล่าคนที่ติดตามข้าจะไม่ตาย ตราบใดที่ข้าไม่ตาย!” ชายหนุ่มเรือนผมสีดำกล่าวขึ้นมาพลางมองดูหวังหลิน แววตาเต็มไปด้วยประกายแสงแห่งปัญญา
…………………………………………………….
ตอนที่ 1921
ชายหนุ่ผมดำคือมหาชั้นฟ้าต้าวยี่ เขามองหวังหลินและเอ่ยคำพูดแฝงพลังองอาจที่ทำให้ใครก็ตามรู้สึกกลัวเกรงและเชื่อมั่น
ราวกับคำพูดเขาคือคำสัญญากับสวรรค์
หากข้าไม่ตาย เจ้าก็ไม่ตาย!
นี่คือพันธสัญญาที่มหาชั้นฟ้าต้าวยี่ให้ไว้เพื่อเชิญชวนหวังหลิน แม้จะดูสงบนิ่งและเรียบง่าย แต่สัญญานี้มีน้ำหนักยิ่ง!
พอบรรชนสำนักเต๋ามารได้ยินคำสัญญาจากมหาชั้นฟ้าต้าวยี่ สีหน้าพลันเปลี่ยนไป คลื่นอารมณ์ในใจดังสนั่น มองหวังหลินด้วยท่าทีซับซ้อนบอกไม่ถูก
เขาติดตามมหาชั้นฟ้าต้าวยี่มามากกว่าหมื่นปีและพอเข้าใจตัวตนของมหาชั้นฟ้าอยู่บ้าง พันธสัญญาแบบนี้จากเขานับว่าหาได้ยาก!
ต้องกล่าวว่าตอนที่มหาชั้นฟ้าต้าวยี่เชิญชวนเขา เพียงแค่พูดว่า “หากข้าไม่ตาย เจ้าจะไม่ตายไปแสนปี!”
แต่ตอนนี้บรรพชนสังเกตว่าไม่มีเวลาต่อท้ายคำพูดของมหาชั้นฟ้าต้าวยี่ เป็นคำจริงๆว่า “หากข้าไม่ตาย เจ้าจะไม่ตาย!”
นั่นหมายความว่าประโยคนี้มีค่าอย่างใหญ่หลวง!!
‘คนผู้นี้ได้รับการยอมรับระดับสูงจากวิญญาณกระทิงสวรรค์และมีพลังใกล้เคียงผู้สูงส่งชั้นฟ้า หลังสวมเกราะวิญญาณ ระดับบ่มเพาะยังใกล้เคียงขั้นผู้สูงส่งชั้นเทวะ คนผู้นี้…มิน่าเล่ามหาชั้นฟ้าต้าวยี่ถึงให้คุณค่าเขามากมายนัก’ บรรพชนสำนักเต๋ามารถอนหายใจ
หวังหลินกำลังขบคิด มหาชั้นฟ้าต้าวยี่เป็นมหาชั้นฟ้าคนแรกที่เขาพบ
“ท่านมหาชั้นฟ้า เรื่องนี้สำคัญกับข้าเป็นอย่างยิ่ง ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้ทันทีและต้องการพิจารณาเสียก่อน” หวังหลินคำนับฝ่ามือและโค้งตัวให้แก่มหาชั้นฟ้าต้าวยี่
หวังหลินไม่ต้องการตัดสินใจเพียงแค่พบมหาชั้นฟ้าคนเดียว อีกทั้งหลังจากต่อสู้กับบรรพชนสำนักเต๋ามาร เขาได้ค้นพบหนทางของผู้สูงส่งชั้นฟ้า หวังหลินรู้ว่าไม่มีชื่อเสียงมากพอ ดังนั้นจึงต้องการชื่อเสียงเพิ่มขึ้น!
หลังจากมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้นแล้ว การเลือกติดตามมหาชั้นฟ้าก็คงจะทำให้อันตรายในการเข้าเมืองหลวงลดน้อยลง
ชายหนุ่มผมดำมองมาที่หวังหลิน สายตาเต็มไปด้วยปัญญาคล้ายกับมองทะลุความคิดหวังหลินออก พลันเผยรอยยิ้ม
“ข้าจะให้เวลาเจ้า ด้วยพลังของเจ้านั้นสามารถเข้าไปลองบททดสอบชั้นฟ้าได้ หากเจ้าสามารถทะลวงผ่านถึงระดับเก้า ข้าจะมาเจอเจ้าอีกครั้ง” เพียงเท่านั้นเขาก็หันกลับไปหาบรรพชนสำนักเต๋ามารและเปลี่ยนกลับเป็นชุดคลุมเต๋าตามเดิม
หลังจากมหาชั้นฟ้าต้าวยี่หายไป ทุกอย่างที่ถูกแช่แข็งจึงเคลื่อนไหวอีกครั้ง พวกมันกลับคืนสู่วงโคจรเดิม ฝุ่นและสายลมพัดปลิวผ่านไป
เมื่อรอบด้านฟื้นคืน แรงกดดันที่ทำให้หวังหลินตกตะลึงก็หายไปด้วย ราวกับทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น
บรรพชนแห่งสำนักเต๋ามารถอนหายใจและคำนับฝ่ามือให้หวังหลิน
“เรื่องเกี่ยวกับสำนักเต๋ามารก็จบแล้ว…แต่เจ้าพลาดโอกาสติดตามมหาชั้นฟ้าต้าวยี่ในทันที…เฮ้อ” คนแข็งแกร่งมักจะเคารพกันเสมอ การต่อสู้อันรุนแรงของทั้งสองได้ทำให้ชายชราผมแดงเคารพหวังหลิน
หลังจากพูดจบแล้ว ชายชราผมแดงกำลังจะจากไป
“สหายเซียน รอเดี๋ยว เหตุผลที่ข้าทำลายสำนักเต๋ามารนั่นก็เพราะทั้งสำนักใช้พลังทั้งหมดผลักดันข้าให้ตกอยู่ในสถานการณ์ความเป็นความตาย ไม่ใช่ด้วยคนเพียงคนเดียว” หวังหลินพูดขึ้นมา เขาไม่ค่อยอธิบายให้ใครฟังนักแต่บรรพชนสำนักเต๋ามารก็ทำให้หวังหลินเคารพเช่นกัน
ชายชราผมแดงหยุดลงและขบคิดเล็กน้อย
“ช่างมันเถอะ โลกนี้หมุนไปด้วยวัฏจักรแห่งเวรกรรม เจ้าทำลายสำนักเต๋ามารนั่นคือหายนะของสำนัก แต่ก็ได้ตัดข้าออกจากเรื่องยุ่งเหยิงไปด้วย ตั้งแต่นี้ไปข้าสามารถใช้สมาธิเพื่อค้นหาเต๋าได้อย่างเต็มที่” ชายชราผมแดงถอนหายใจและมองหวังหลิน
“มหาชั้นฟ้าต้าวยี่ค่อนข้างเอนเอียงไปที่คนของตัวเองมากกว่ามหาชั้นฟ้าคนอื่น ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าตอนนี้ การเลือกติดตามมหาชั้นฟ้าต้าวยี่คงเป็นตัวเลือกที่ดีมาก”
“ท่ามกลางเหล่ามหาชั้นฟ้า มหาชั้นฟ้าจักรพรรดิเทพแปดสุดขั้วเป็นคนอหังการมากที่สุด มหาชั้นฟ้าจิ่วตี้แห่งแคว้นกลางเป็นคนเอาแต่ใจมากที่สุด มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงแห่งทิศเหนือเป็นคนพิถีพิถันมากที่สุด นอกจากเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะ เขาแทบไม่ค่อยชวนผู้สูงส่งชั้นฟ้าเลย”
“และมหาชั้นฟ้าชวงจื่อ(คนคู่)แห่งสำนักตะวันม่วงของทิศตะวันออก…เดิมทีทรงพลังที่สุด แต่ระหว่างการเกิดใหม่ครั้งล่าสุด วิญญาณของนางได้แบ่งออกเป็นสองส่วนและเปลี่ยนกลายเป็นสองคน นางไม่สามารถฟื้นคืนได้ในชีวิตนี้ แม้จะถูกลือกันว่านิสัยของนางอ่อนโยนแต่นางคงไม่ใช่ตัวเลือกของข้า” ชายชราผมแดงรู้ว่าหากเทียบกับผู้สูงส่งชั้นฟ้า สำนักเต๋ามารเป็นแค่มดแมลง ไม่คู่ควรที่จะนำสำนักไปทำเรื่องแย่ๆ
สิ่งสำคัญที่สุด ผู้สูงส่งชั้นฟ้านั้นทรงพลังยิ่ง! พอเขาพูดเรื่องที่ผู้สูงส่งชั้นฟ้าควรจะรู้เพื่อลบความไม่สบายใจออกไป
หวังหลินไม่รู้ว่าเรื่องนี้สำคัญมาก่อน แม้จะดูเหมือนไม่คล้อยตามแต่หลังจากได้ยินก็เอนเอียงอยู่บ้าง
“ขอบคุณสหายเซียนสำหรับข้อมูลนี้” หวังหลินคำนับฝ่ามือ
“เรื่องบททดสอบชั้นฟ้า…ในเมื่อข้าเป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้าคนแรกที่เจ้าต่อสู้ เจ้าคงไม่รู้เรื่องบททดสอบชั้นฟ้าแน่ มันเป็นสถานที่ประหลาดที่บรรพชนเทพได้สร้างเอาไว้ เป็นมิติแยกออกไปจากโลกนี้ซึ่งเป็นที่ที่เหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าสามารถวัดพลังของตัวเองได้อย่างแม่นยำ”
เขาพูดต่อ “บทสอบชั้นฟ้ามีทั้งสิ้นสิบเก้าชั้นและมีเพียงเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าที่เข้าไปได้ เมื่อห้าร้อยปีข้าลองเข้าไปหนึ่งครั้ง แต่ผ่านได้เพียงแค่ชั้นที่สามเท่านั้น ชั้นที่สี่ข้าล้มเหลว”
“บททดสอบชั้นฟ้า?” หวังหลินหรี่ตาแคบลง เขาได้ยินสิ่งที่มหาชั้นฟ้าต้าวยี่พูดไว้ก่อนหน้านี้แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร หลังจากได้ยินชายชราผมแดงพูดขึ้นจึงเข้าใจขึ้นมาบ้าง
“ข้าได้ยินจากมหาชั้นฟ้าต้าวยี่ว่าบททดสอบชั้นฟ้าถูกสร้างขึ้นจากบรรพชนเทพและคัดลอกมาจากดินแดนเทพบรรพกาล หากเจ้าสามารถทะลวงชั้นที่สิบเก้าได้ หลังจากเข้าสู่แดนเทพบรรพกาล เจ้าจะมีโอกาสกลายเป็นมหาชั้นฟ้ามากกว่าคนอื่น!”
“ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงทะลวงผ่านชั้นที่สิบเก้าไป จากนั้นช่วงที่เปิดแดนเทพบรรพกาล เขาก็โชคดีและได้กลายเป็นมหาชั้นฟ้า!” ชายชราผมแดงไม่เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แม้เขาไม่อธิบายเรื่องนี้ หวังหลินก็คงรู้เมื่อเจอกับผู้สูงส่งชั้นฟ้าคนอื่น เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับ
หวังหลินถามขึ้นทันที “ข้าจะเข้าบททดสอบชั้นฟ้าได้อย่างไร?”
ชายชราผมแดงมองไปยังท้องฟ้าและเอ่ยตอบ “ง่ายมาก ตราบใดที่เจ้าได้รับการยอมรับจากกฎแห่งเซียนดาราในฐานะผู้สูงส่งชั้นฟ้า เจ้าเพียงแค่หาสถานที่ปลอดภัยในแดนเทพ จากนั้นใช้วิญญาณดั้งเดิมทะยานเข้าสู่ท้องฟ้าให้เร็วที่สุด ผ่านไปหกสิบลมหายใจเจ้าจะสามารถเข้าสู่บททดสอบชั้นฟ้าที่บรรพชนเทพสร้างไว้ได้”
“ลือกันว่าในดินแดนของเผ่าโบราณ บรรพชนโบราณได้คัดลอกแดนเทพบรรพกาลเอาไว้เช่นกันและสร้างเป็นสนามฝึกฝนที่เหมาะสมสำหรับเผ่าโบราณ”
“กระทั่งลือกันอีกว่าเหนือกว่าบททดสอบทั้งสองนี้คือบททดสอบมหาชั้นฟ้าที่บรรพชนทั้งสองเผ่าร่วมมือสร้างขึ้นมาด้วยกัน แต่นี่เป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น ข้าไม่รู้อะไรมากนัก” ชายชราผมแดงพูดจบและคำนับฝ่ามือให้หวังหลิน
“สหายเซียน ข้าได้บอกสิ่งที่เจ้าควรรู้ไปแล้ว ลาก่อน!” ชายชราผมแดงไม่แม้แต่จะหันไปมองสำนักเต๋ามารที่กลายเป็นซากปรักหักพัง พริบตาเดียวเขาเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงและหายตัวไป
หวังหลินยังคงยืนอยู่ตรงนั้นและมองตรงไปข้างหน้า เขาตัดสินใจปฏิเสธคำชวนของมหาชั้นฟ้าต้าวยี่และถึงจะได้โอกาสอยู่ เขาก็ไม่เสียใจ
‘ในห้ามหาชั้นฟ้า นอกจากจักรพรรดิเทพและต้าวยี่ ยังมีอีกสามคน…ด้วยความแข็งแกร่งของข้า ข้าพอเข้าใจขึ้นบ้างหลังจากต่อสู้กับผู้สูงส่งชั้นฟ้าคนแรก ยิ่งข้าต่อสู้กับผู้สูงส่งชั้นฟ้ามากขึ้น ข้ายิ่งมีชื่อเสียงมากขึ้นตาม!’
‘รวมถึงเรื่องบททดสอบชั้นฟ้า…ไม่คิดว่าจะมีสถานที่แบบนั้นบนแผ่นดินเซียนดารา ไม่รู้ว่าสิ่งที่บรรพชนสำนักเต๋ามารพูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่’
หวังหลินนั่งลงและขบคิด เขาย้อนภาพเหตุการณ์ที่ต่อสู้กับบรรพชนสำนักเต๋ามารและกำปั้นจากมหาชั้นฟ้าต้าวยี่ในใจ
กำปั้นปรากฏขึ้นในใจอย่างต่อเนื่องจนแทนที่ทุกสิ่งทุกอย่าง หวังหลินจมความคิดทั้งหมดไว้ในกำปั้นจากมหาชั้นฟ้า
กำปั้นดูเบามากแต่กลับแฝงพลังที่หวังหลินไม่อาจเข้าใจ
กระทั่งเวลาผ่านไปหลายเดือนในพริบตา
ช่วงเวลานี้หวังหลินนั่งนิ่งอยู่ที่นี่แต่กลับมีม่านพลังป้องกันรอบตัวเพื่อไม่ให้มีใครเข้าใกล้ได้
เหล่าเซียนสำนักเต๋ามารได้กลับมาทีละคนจนต่างก็เห็นสำนักกลายเป็นซาก ยิ่งเห็นหวังหลินและจำได้จึงทำให้จิตใจสั่นไหว
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถเข้าใกล้ม่านพลังป้องกันได้ ผ่านไปสักพักจึงรีบแยกย้ายด้วยความหวาดกลัว บางส่วนไม่ได้จากไป พวกเขาพักอยู่ห่างๆ และไม่ได้เข้าใกล้
หวังหลินนั่งอยู่ตรงนั้นมาหนึ่งปี
เวลาหนึ่งปีสำหรับเขาเพียงแค่ชั่วพริบตา วันหนึ่งหวังหลินได้ลืมตาขึ้นมามองดูท้องฟ้า สายตาเปล่งประกายเจิดจ้า
‘กำปั้นนั้น ข้าคำนวณทุกวิถีทางต่อต้าน จำลองมาหลายล้านครั้ง แต่ข้าไม่สามารถต้านได้สักครั้ง…นั่นแค่เศษเสี้ยวสัมผัสวิญญาณของมหาชั้นฟ้าต้าวยี่…’ หวังหลินถอนหายใจ
ความสุขจากการเพิ่มระดับบ่มเพาะได้ลดน้อยลง เทียบกับมหาชั้นฟ้าแล้วเขาช่างอ่อนแอและห่างไกลเกินไป
‘อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นแบบนั้น ข้าก็ยังได้ความเข้าใจมาอย่างลึกซึ้ง โดยเพาะการต่อสู้กับบรรพชนสำนักเต๋ามาร ผสานเต๋าเข้าไปในร่างกายและกำปั้นที่มีวิชาถึง 27 อย่าง…ข้าสามารถเลียนแบบและเรียนรู้มันได้!’ การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เขาเข้าใจขึ้นอย่างมหาศาล
‘ข้าต้องหาสถานที่ทำความเข้าใจอยู่สักพัก’ ด้วยระดับบ่มเพาะของหวังหลิน เขาสามารถไปที่ไหนก็ได้ในแดนเทพ
หวังหลินยืนขึ้นและมองรอบด้าน เขาสัมผัสได้ว่าสมาชิกของสำนักเต๋ามารได้กลับมาจากแคว้นกระทิงสวรรค์กันแล้ว
‘ช่างมันเถอะ’ หวังหลินก้าวเดินและหายตัวไปทันที
……………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น