Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1912-1913
ตอนที่ 1912
ราชโองการมาถึงแล้ว!
โดย
Ink Stone_Fantasy
สองแขนที่สร้างจากหมอกสีแดงดูเหมือนจะมีพลังไม่มีที่สิ้นสุดและได้สังหารเซียนนับไม่ถ้วนเพื่อทำให้เขาโด่งดัง
ทว่าพอเผชิญกับฝ่ามือของหวังหลิน พวกมันก็ถูกทำลายเหมือนไม้เหี่ยวแห้ง!
นาทีที่สองแขนเข้าสัมผัสกับประทับฝ่ามือ มันก็พังทลายในทันที ประทับฝ่ามือแรกตกลงมาอย่างรวดเร็วและเข้าสัมผัสหมอกสีแดง!
สายหมอกแตกสลาย ชายชุดแดงข้างในร้องคำรามและกัดปลายลิ้นพ่นโลหิตออกมา ยกแขนขึ้นเข้าปะทะกับประทับฝ่ามืออีกครั้ง
“ร่างโลหิตเต๋ามาร!” ชายชุดแดงมีท่าทีดุดันและเผยความบ้าคลั่ง โลหิตระเบิดออกมาจากรูขุมขนบนร่างกายทั้ง 36,000 แห่งและทำให้เขาเต็มไปด้วยโลหิต!!
กลิ่นอายเต๋ามารอันบริสุทธิ์กำลังโผล่ออกมาจากร่างโลหิต แขนซ้ายบรรจุเต๋า แขนขวาบรรจุมาร เมื่อสองแขนผลักออกมาจึงทำให้ประทับฝ่ามือแรกพังทลาย!
ชายชุดแดงกระอักโลหิตแต่โลหิตก็ถูกเขาดูดซับไปทันที เขาล่าถอยไปหลายก้าว จังหวะนั้นประทับฝ่ามือที่สองได้ลงมาถึง
ผมเผ้าของชายชุดแดงกระจัดกระจายและดูเหมือนเสียสติไปแล้ว สิ่งเดียวที่ยังอยู่คือการไม่ยอมตายและสัมผัสได้ถึงความบ้าคลั่ง สองขาเริ่มเหี่ยวแห้ง เลือดเนื้อเริ่มเคลื่อนไหวราวกับมารวมกันในสองแขน
ทั้งสองแขนขยายออกไปหลายเท่าจนเป็นภาพอันน่าตกตะลึงยิ่ง!
หวังหลินเคยเห็นหัวโตใช้วิชาแบบนี้มาก่อน แต่มันไม่อัศจรรย์เท่าชายชุดแดง ไม่เพียงแต่สองขาของอีกฝ่ายจะเหี่ยวแห้งแต่ร่างกายก็ตามกันไปด้วย เลือดเนื้อทั้งหมดในร่างรวมกันในสองแขนและกระแทกเข้าใส่ประทับฝ่ามือที่สองในท้องฟ้า!
ประทับฝ่ามือซึ่งสร้างขึ้นจากร่างแก่นแท้ห้าธาตุได้เข้าปะทะกับชายชุดแดงจนเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องไปทั่วบริเวณ ประทับฝ่ามือพังทลาย ร่างชายชุดแดงสั่นสะท้าน เขาถอยหลังไปหลายก้าว แขนซ้ายระเบิดกลายเป็นหมอกโลหิต
ดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง พอฝ่ามือที่สามเข้ามาใกล้ เขาร้องคำรามเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต รู้ตัวแล้วว่าหนีไม่รอดแต่ก็อยากต่อสู้
เขาพุ่งทะยานเข้าสู่ท้องฟ้า เข้าหาประทับฝ่ามือแห่งที่สามในพริบตา ดวงวิญญาณเริ่มเผาไหม้และเปล่งกลิ่นอายทำลายล้าง วินาทีแห่งความเป็นความตายเขาตัดสินใจเผาไหม้พลังชีวิตเพื่อระเบิดพลังที่รุนแรงยิ่งขึ้น!
ขณะที่เผาไหม้พลังชีวิตจึงทำให้ระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากผู้สูงส่งวิบากดับสูญ กระโจนขึ้นไปเป็นผู้สูงส่งชั้นทอง!!
ประทับฝ่ามือที่สามเข้าปะทะกับเขาและเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง ประทับฝ่ามือพังทลายแต่นี่เป็นแค่สายฟ้าธรรมดา ไม่ใช่สายฟ้าสังหาร
ชายชุดแดงดูบ้าคลั่งมาก ร่างกายชุ่มไปด้วยโลหิตแต่เขาไม่ตาย เขาจ้องมองหวังหลินและรู้ตัวดีว่ามีชีวิตอยู่ได้แค่สิบลมหายใจ ผ่านสิบลมหายใจนี้ไปเขาจะตาย!
แต่ความคิดเดียวในหัวตอนนี้คือการใช้ความตายแลกกับพลังของผู้สูงส่งชั้นทองเพื่อสังหารหวังหลินในเวลาสิบลมหายใจ
เขาพุ่งเข้าหาหวังหลินโดยไม่ลังเล!
“ตาย!” เขาส่งเสียงคำรามเต็มไปด้วยจิตสังหาร พุ่งเข้าประชิดหวังหลินในลมหายใจที่สอง!
หวังหลินไม่หลบและเพียงแค่มองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา
“เจ้ามีค่าพอให้ข้าใช้พลังถึงเจ็ดในสิบส่วน!” หวังหลินพึมพำ ยกแขนขวาขึ้นมาและถอนดาบหยินกลับไป ดวงตาเปล่งประกายให้ร่างแก่นแท้ห้าธาตุและร่างแก่นแท้สายฟ้าเข้าผสานกับเขา จากนั้นโยนกำปั้นเข้าใส่ชายชุดแดง!
กำปั้นนี้คือพลังเจ็ดในสิบส่วนของหวังหลิน กำปั้นนี้คือการผสานพลังบัญชาโบราณและระดับบ่มเพาะขั้นวิบากดับสูญระดับต้น พร้อมทั้งสายโลหิตเทพที่ปลดปล่อยพลังออกมาถึงเจ็ดในสิบส่วน!
กำปั้นที่ดูธรรมดาแต่กลับทำให้โลกเปลี่ยนสีสันและสั่นสะเทือน อากาศระหว่างทั้งสองเกิดการบิดเบือนและเกิดระลอกคลื่นดังกึกก้อง กำปั้นหวังหลินคล้ายกับข้ามผ่านเวลาและอากาศ ร่อนลงใส่หน้าอกของชายชุดแดง
ร่างระดับผู้สูงส่งชั้นทองถึงกับสั่นเทา เขาเผยรอยยิ้มขมขื่นพร้อมกับร่างระเบิดรุนแรง!
เขายังเหลืออีกเจ็ดลมหายใจแต่กลับไม่มีเวลาใช้!
วินาทีที่เขาตาย ชายชุดแดงจึงรู้ได้ชัดเจนว่าหวังหลินแข็งแกร่งแค่ไหน เขาไม่อาจเทียบเคียงหวังหลินได้เลย! แม้จะเผาไหม้พลังชีวิตและวิญญาณ เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหวังหลิน!
‘นี่คือผู้สูงส่งชั้นทองแล้วใช่หรือไม่…’ แววตาหวังหลินเต็มไปด้วยเจตนาต่อสู้ เขาใช้พลังไปแค่เจ็ดในสิบส่วนเท่านั้นแต่รู้แล้วว่าผู้สูงส่งชั้นทองแข็งแกร่งแค่ไหน
ตอนที่ชายชุดแดงสิ้นลมหายใจ เซียนกว่าสามหมื่นคนและเซียนขั้นที่สามหลายสิบคนต่างก็หลบหนี อย่างไรก็ตามหวังหลินปิดผนึกสำนักเต๋ามารไว้แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงหนีไปไหนไม่ได้
หวังหลินยืนมองไปที่ทะเลสาบใจกลางสำนักและมองเกาะบนนั้นด้วยสายตาเย็นชา
“เจ้ายังไม่เผยตัวเองอีก!” หวังหลินเอ่ยเสียงดังดุจสายฟ้าแต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากทะเลสาบ!
“เจ้ากำลังทะลวงระดับใช่หรือไม่? เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสเจ้า!” หวังหลินสะบัดแขนเสื้อและปรากฏตัวด้านข้างเซียนขั้นที่สามคนหนึ่งของสำนักเต๋ามาร วาดนิ้วผ่านไปตัดศีรษะออกจากบ่า
“พวกเจ้าไม่ควรเข้าร่วมสำนักเต๋ามาร…” หวังหลินหันกลับมาและก้าวออกไป ปรากฏตัวเบื้องหน้าเซียนขั้นที่สามอีกคน ดัชนีแทงทะลุหน้าผากของอีกฝ่าย
ขณะเดียวกันผนึกรอบสำนักเต๋ามารส่งเสียงดังสนั่น ผนึกกำลังหดตัวลงอย่างรวดเร็ว เซียนสำนักเต๋ามารคนใดที่สัมผัสกับผนึกจะตายทันที
ในเมื่อหวังหลินพูดว่าจะทำลายสำนัก เขาก็จะทำลายสำนัก ไม่ปล่อยให้ศิษย์คนใดหลบหนีไปได้อย่างเด็ดขาด!
หวังหลินเคลื่อนร่างสังหารเซียนขั้นที่สามทีละคน เขายืนอยู่ขอบทะเลสาบและมองไปยังเกาะกลาง เสียงกรีดร้องอย่างต่อเนื่องจากเซียนกว่าสามหมื่นคนที่กำลังตายไปเรื่อยๆ
เสียงกรีดร้องดังเข้าหูหวังหลินและเข้าสู่จิตใจของจ้าวสำนักเต๋ามารที่ยังปิดด่านบ่มเพาะอยู่ด้วย
จ้าวสำนักเต๋ามารมีสีหน้าบิดเบี้ยว ดวงตาแดงก่ำแต่ก็ต้องอดทนต่อไป เขา…เขาไม่กล้าออกไป!
เขาไม่กล้าเลย เขาเฝ้าดูหวังหลินสังหารชายชราชุดทองและเห็นชายชุดแดงสังเวยชีวิตของตัวเองบรรลุระดับผู้สูงส่งชั้นทอง แต่สิ่งที่ทำให้เขาสั่นสะท้านคือกำปั้นของหวังหลิน!!
กำปั้นเรียบง่ายนั้นกลับสังหารผู้สูงส่งชั้นทองได้ในพริบตา!! จ้าวสำนักเต๋ามารได้พยากรณ์หลายครั้งเพื่อหาว่าเขาสามารถรอดชีวิตจากกำปั้นได้หรือไม่!
หลังจากพยากรณ์ไปมากกว่าพันครั้ง เขามีโอกาสตายถึงหนึ่งในสอง! อย่างไรก็ตามนี่เป็นพลังของหวังหลินแค่เจ็ดในสิบส่วนเท่านั้น เมื่อหวังหลินใช้พลังเต็มที่…ผลลัพธ์ที่ตามมาก็ชัดเจนอยู่แล้ว!
ยิ่งไปกว่านั้นจ้าวสำนักเต๋ามารรู้ดีว่าหวังหลินยังมีเกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์!! และหวังหลินยังไม่ได้ใช้เกราะนั้นเลย!!
‘ข้าออกไปไม่ได้!! ข้ารายงานเรื่องที่นี่ให้แก่บรรพแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะรีบกลับมาได้หรือไม่…’ เสียงกรีดร้องที่ดังจากข้างนอกทำให้จิตใจเขาเจ็บปวด แต่ไม่นานท่าทีของเขาก็เย็นลง
‘พวกมันตายแล้วอย่างไร? ถึงแม้ทั้งสำนักเต๋ามารจะตายกันหมด ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิต มันก็สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ ยิ่งมีการตายและการทำลายล้างมากขึ้นยิ่งทำให้บรรพชนโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม!!’
‘และข้ายังมีแผนสำนรอง เป็นข้อตกลงระหว่างข้าและบรรพชนกระทิงเขียวของสำนักมหาวิญญาณ ศึกสุดท้ายต้องเริ่มขึ้นแล้วตอนนี้…’
‘สองแคว้นแสดงละครนี้มาเป็นหมื่นปีแล้ว เมื่อร้อยปีก่อนเราได้ตกลงกันว่าจะสังเวยเซียนจำนวนมากไปจริงๆ!’
‘ด้วยความสูญเสียนี้…เราต้องได้รับความสนใจจากราชวงศ์!! จักรพรรดิเทพที่ออกมาจากการปิดด่านบ่มเพาะเมื่อร้อยปีก่อนต้องสังเกตได้…และส่งราชโองการออกมา!!’
จ้าวสำนักเต๋ามารกำลังอดทนต่อเสียงกรีดร้องจากด้านนอก ส่วนหวังหลินกำลังมองมาที่ทะลสาบและเห็นร่างเงากำลังเคลื่อนอยู่ใต้น้ำ
ผนึกที่หวังหลินวางเอาไว้ได้สังหารเซียนส่วนใหญ่ของสำนักเต๋ามารไป ทำลายสิ่งก่อสร้างจำนวนมากและทำให้สำนักตกอยู่ในซากปรักหักพัง มันกำลังมุ่งหน้าเข้ามาใจกลางทะเลสาบ!
เวลานี้บนแคว้นกระทิงสวรรค์กำลังเกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่!!
สำนักกุ้ยยี่ถูกเซียนจากแคว้นมารเขียวล้อมเอาไว้นับไม่ถ้วน พวกเขาเริ่มไล่ฆ่าสังหารอย่างบ้าคลั่งเพื่อพยายามทะลวงค่ายกลป้องกันสำนัก ทั้งสองฝั่งมีอัจฉริยะที่โดดเด่นถึงแปดคน สองกองทัพกำลังต่อสู้โดยไม่กลัวตาย
เซียนขั้นวิบากดับสูญทั้งหมดรวมถึงจ้าวสำนักและจากฝั่งแคว้นมารเขียว ทุกคนล้วนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า!
ท้องฟ้ายามนี้ปกคลุมไปด้วยแสงสีทองมหึมา เซียนทั้งหมดตั้งแต่ข้างในและข้างนอกสำนักกุ้ยยี่ต่างก็หยุดต่อสู้และมองท้องฟ้าด้วยความหวาดกลัว
คลื่นแรงกดดันมหาศาลโผล่ออกมาจากท้องฟ้าและตกลงมา ร่างสีทองยืนอยู่ในแสงสีทอง มองลงมาด้วยความสงบนิ่ง!
“แคว้นกระทิงสวรรค์ แคว้นมารเขียว ทุกคนของเผ่าเทพ จงรับราชโองการนี้!!”
มีร่างแบบเดียวกันอีกสองคนปรากฏขึ้น หนึ่งนั้นปรากฏตัวนอกสำนักมหาวิญญาณและอีกหนึ่งเคลื่อนร่างเข้าหาแคว้นมารเขียวด้วยความเร็วเกินคาดคิด!
ตอนที่ 1913
มังกรสมุทรของบรรพชน!
โดย
Ink Stone_Fantasy
คำพูดอันทรงพลังดังออกมาจากร่างสีทองในท้องฟ้า เหล่าเซียนทั้งในและนอกสำนักกุ้ยยี่ต่างเงียบกริบ ทั้งหมดมองขึ้นมาด้วยความตกตะลึง!
ราชวงศ์!!
จักรพรรดิเทพ!!
ราชโองการ!!
ราชโองการของจักรพรรดิเทพนั้นหาได้ยากยิ่งและไม่ปรากฏขึ้นบ่อยนัก บางทีหมื่นปีจะมีสักครั้ง โองการนี้เป็นตัวแทนสารจากจักรพรรดิเทพแห่งแคว้นกลาง หากเรียกว่าอำนาจแห่งสวรรค์คงกล่าวไม่ผิดหนัก!
ณ แผ่นดินเซียนดารา จักรพรรดิเทพคือผู้มีสายโลหิตของบรรพชนเทพและเป็นตัวตนที่เหนือล้ำท่ามกลางเหล่าเทพ แม้จะเป็นเพียงผู้ปกครองเหล่าเทพทั้งหมดตามชื่อ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่แค่สำนัก กองกำลังหรือแคว้นใดจะต่อต้านได้
เพราะแต่ละคนมีสายโลหิตเทพ พวกเขาไม่เพียงแต่เป็นจักรพรรดิแค่ในนามแต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าเทพทั้งหมด ทุกคนจะต้องรับฟังราชโองการเว้นแต่จะวางแผนทรยศต่อเผ่าเทพ!
สิ่งสำคัญที่สุดคือจักรพรรดิองค์นี้เป็นหนึ่งในเก้าตะวันมหาชั้นฟ้า ด้วยความแข็งแกร่งทรงพลังและตำแหน่งขนาดนี้จึงทำให้พลังอำนาจของราชวงศ์รุ่นนี้สูงส่งถึงขีดสุด!
“ขอคารวะ จักรพรรดิเทพ!” เหล่าเซียนทั้งหมดโค้งตัวและคำนับฝ่ามือ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือมีระดับบ่มเพาะอะไร ทั้งหมดต่างก็โค้งตัวด้วยความเคารพจากหัวใจอย่างลึกซึ้ง
ร่างสีทองในท้องฟ้าไม่ใช่จักรพรรดิเทพแต่ถือราชโองการเอาไว้นั่นหมายความว่าเขาเป็นตัวแทนของจักรพรรดิเทพ!
เผ่าเทพไม่จำเป็นต้องคุกเข่าเบื้องหน้าจักรพรรดิและต้องโค้งคำนับเท่านั้น นี่คือกฎที่จักรพรรดิเทพตั้งไว้เพราะเชื่อว่าเหล่าเทพคือคนที่ฝืนลิขิตสวรรค์ แล้วพวกเขาจะคุกเข่าให้คนอื่นง่ายๆ ได้อย่างไร?
เหตุผลที่ทางราชวงศ์มักจะนิ่งเฉยและไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกก็เพราะเกี่ยวเนื่องจากเจตจำนงของบรรพชนเทพ เหล่าเทพไม่ควรโดนผูกมัดและหากถูกผูกมัดก็ไม่คู่ควรต่อการถูกเรียกว่าเหล่าเทพ!
ส่งผลให้แม้แต่มหาชั้นฟ้าอีกสี่คนยังให้ความเคารพต่อราชวงศ์เทพ
ขณะที่เหล่าเซียนทั้งในและนอกสำนักกุ้ยยี่โค้งคำนับ ร่างสีทองในท้องฟ้าส่งสายตามองลงด้านล่าง
“มีราชโองการสามอย่าง หนึ่งอยู่ที่นี่ อีกหนึ่งอยู่ที่สำนักมหาวิญญาณและสุดท้ายอยู่ที่สำนักเต๋ามารแห่งแคว้นมารเขียว!”
เพียงสะบัดแขนขวา แสงสีทองเปล่งประกายอีกครั้ง ราชโองการที่สร้างขึ้นจากวัตถุดิบบางอย่างพลันถูกเปิดออก
“สายโลหิตเทพดำรงอยู่มาตั้งแต่ยุคโบราณ เหล่าเซียนจากแคว้นกระทิงสวรรค์และแคว้นมารเขียวจงหยุดสงครามนี้ทันที! หยุนยี่เฟิง ถังเจีย ขอบเมฆา โจวไฮ่ จ้าวตงฉิง…ทั้งแปดคนนี้จะต้องเข้าราชวังและเข้ารับการทดสอบในอารามบรรพชน!!”
ร่างสีทองพูดอย่างช้าๆ แต่ละคำดุจสายฟ้าฟาด เซียนทั้งหมดที่เขาเอ่ยชื่อต่างก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ทั้งแปดชื่อต่างเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ถูกจับตามองที่สุดสิบหกคนในสงครามนี้ ณ สำนักกุ้ยยี่!
จ้าวสำนักกุ้ยยี่สูดหายใจลึกและเผยรอยยิ้ม สงครามครั้งนี้ดูเหมือนซับซ้อนแต่เรียบง่ายมาก การรบระหว่างสองแคว้นเป็นการแสดงพลังของคนรุ่นใหม่ให้จักรพรรดิเทพสนใจและพาไปอารามบรรพชน!!
จ้าวสำนักกุ้ยยี่ไม่ใช่คนเดียวที่ยิ้ม ผู้สูงส่งวิบากดับสูญจากแคว้นมารเขียวเองก็ยิ้มเช่นกัน ทั้งหมดคำนับฝ่ามือและโค้งตัวอีกครั้งหลังจากโองการจบลง
“เราทั้งหมดจะเชื่อฟังคำสั่งท่านจักรพรรดิ!!”
ร่างสีทองสะบัดแขนขวาส่งโองการสีทองลอยออกไป มันเปล่งแสงสีทองเบาบางอยู่เบื้องหน้าสำนักกุ้ยยี่
ร่างสีทองไม่พูดอะไรอีกและหายตัวไปจากท้องฟ้า แสงสีทองในท้องฟ้าค่อยๆ เลือนหายไปและกลับคืนสู่สภาพปกติ
ขณะเดียวกันด้านนอกสำนักมหาวิญญาณ การต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายมาถึงช่วงเวลาสำคัญ เมฆาสูญสิ้นและอัจฉริยะจากสำนักมหาวิญญาณกำลังต่อสู้กัน ทันใดนั้นมีร่างสีทองคนที่สองปรากฏขึ้น
ฉากแบบเดียวกันเกิดขึ้นเหนือสำนักมหาวิญญาณ
เหล่าเซียนทั้งหมดโค้งคำนับ แม้กระทั่งราชโองการก็ยังมีความหมายเหมือนกันเพียงแต่ชื่อทั้งแปดได้เปลี่ยนไปเป็นเมฆาสูญสิ้นและคนอื่นๆ!
หลังจากร่างสีทองจากไป ทั้งในและนอกสำนักมหาวิญญาณต่างก็เงียบสนิท
บรรพชนกระทิงเขียวส่งสายตามองไปยังท้องฟ้าหลังจากแสงสีทองหายไป เขาเผยท่าทีซับซ้อนและถอนหายใจ มีเซียนตายในสงครามระหว่างสองแคว้นมากมายเกินไป แต่เพื่อโอกาสนี้เขาจึงจำเป็นต้องทำ!
นั่นคือโอกาสในการเข้าอารามบรรพชน!
‘แม้การทำนายของบรรพชนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย สุดท้ายมันแทบจะเหมือนกัน…แต่ข้าไม่เคยบอกเหตุผลกับหวังหลิน…’ ชายชราส่ายศีรษะและถอนหายใจ จากนั้นเข้าไปปิดด่านบ่มเพาะ
สงครามที่กินเวลามากกว่าร้อยปีได้จบลงเพราะราชโองการทั้งสอง เหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวค่อยๆ ถอยกลับสู่บ้านของตัวเองในแคว้นมารเขียว
แคว้นกระทิงสวรรค์เผชิญกับความเสียหายอย่างหนัก แต่แคว้นมารเขียวเสียหายหนักยิ่งกว่า!
ณ สำนักเต๋ามารในแคว้นมารเขียว ขณะที่ผนึกหดตัวลงเรื่อยๆ คนที่สัมผัสมันได้ตายอย่างทรมาน แม้แต่สิ่งก่อสร้างยังถูกเปลี่ยนกลายเป็นซากปรักหักพัง
เพียงเวลาไม่ถึงสามสิบลมหายใจ ผนึกเข้าทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง สังหารเซียนทั้งหมด หดเข้ามารวมตัวรอบทะเลสาบข้างใต้ฝ่าเท้าของหวังหลิน
ขณะเดียวกัน เซียนมากกว่าสามหมื่นคนส่วนมากถูกทำลายวิญญาณดั้งเดิม มีเพียงวิญญาณของเซียนขั้นที่สามจำนวนสิบกว่าคนเท่านั้นที่ยังถูกขังอยู่ในผนึก ทั้งหมดต่างถูกหวังหลินจับตัวเอาไว้
วิญญาณดั้งเดิมเหล่านี้สำคัญต่อวิชาเร่งความเร็วเนื่องจากเขามีเส้นชีพจรเซียนเพียงหนึ่งเท่านั้น หากกลืนกินวิญญาณดั้งเดิมมากขึ้น เขาจะสามารถร่ายวิชาได้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก!
เนื่องจากเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับปลายทั้งสองคน หนึ่งในนั้นวิญญาณดั้งเดิมถูกทำลาย ส่วนอีกคนถูกเผาไหม้จนตาย ดังนั้นหวังหลินจึงไม่ได้เก็บมา เหตุผลหลักก็เพราะหวังหลินต้องการพิสูจน์ว่าตอนนี้เขาทรงพลังแค่ไหน
ในสถานการณ์แบบนี้ หากเขามัวแต่สนใจประคองวิญญาณดั้งเดิมเอาไว้ หวังหลินคงไม่สามารถพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวเองได้อย่างแม่นยำ
ในภายภาคหน้า การที่เขาจะได้วิญญาณดั้งเดิมขั้นวิบากดับสูญคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่สำหรับเซียนขั้นที่สามหลายสิบคนเหล่านี้หวังหลินเก็บวิญญาณดั้งเดิมมาโดยไม่ลังเล จากนั้นใส่ไว้ในมิติเก็บของ
หวังหลินไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในแคว้นกระทิงสวรรค์ เขาเพียงแค่จ้องมองทะเลสาบด้านล่าง เสียงเหล่าเซียนที่กำลังตายได้หายไปและตอนนี้กำลังเงียบสนิท
“สำนักเต๋ามารถูกทำลาย ทุกคนตายไปแล้ว หากจะมีเหลืออยู่ก็คงอยู่บนแคว้นมารเขียว แต่เจ้าก็ยังไม่ออกมาอีก!” หวังหลินเอ่ยอย่างเย็นเยียบ สะบัดแขนใส่ทะเลสาบด้านล่าง
วินาทีที่สะบัดแขนใส่ ผนึกรอบทะเลสาบส่องประกายเจิดจ้า เสียงดังอึกทึกขึ้นไปทั่วสำนัก ผนึกเริ่มหดตัวลงอย่างรวดเร็ว
น้ำในทะเลสาบเริ่มเกิดเป็นระลอกคลื่นและมีหยดน้ำลอยออกมา บ่งบอกว่าทะเลสาบแห่งนี้กำลังพังทลาย!
ผนึกของหวังหลินมีพลังทำลายล้างอันทรงพลัง พอเจอเข้ากับน้ำจึงเกิดการพังทลาย ทะเลสาบแตกสลายเหลือเพียงแสงสายหนึ่งพุ่งเข้าหาเกาะกลาง
อย่างไรก็ตามผนึกเข้าไปได้ครึ่งทางกลับมีเสียงคำรามดังออกมาจากในทะเลสาบ มังกรสมุทรสีน้ำเงินเข้มพุ่งทออกมาจากทะเลสาบ!!
มันเป็นมังกรสมุทรสีน้ำเงินทั่วทั้งตัวซึ่งมีความยาวหลายแสนฟุต!! มังกรสมุทรตัวนี้คืออสูรเทพบนแผ่นดินเซียนดารา มันดูดุร้ายและเปล่งพลังปราณสวรรค์หนาแน่น!
มังกรตัวนี้มีชีวิตอยู่มานานจึงเปล่งกลิ่นอายเก่าแก่และมีศีรษะต่างจากมังกรแบบอื่น บนหลังมีหนามเรียงเป็นแถวดูน่าตกตะลึง!
มังกรตัวนี้ไม่มีกรงเล็บ มันดูเหมือนอสรพิษขนาดใหญ่มากกว่าแต่มีพลังเทียบเท่ากับมังกร! ร่างกายสมส่วนแต่มีความหนาหลายร้อยฟุต บนศีรษะมีครีบขนาดใหญ่เชื่อมต่อกันเหมือนใบพัด
ขณะที่มังกรสมุทรทะยานขึ้นสู่อากาศ หยดน้ำจำนวนมากไหลลงจากเกล็ด ระดับน้ำในทะเลสาบลดลงจำนวนมาก!
กรรร!!
วินาทีนั้น ดวงตาสีแดงยักษ์ของมังกรสมุทรพลันจ้องหวังหลินและส่งเสียงคำรามดุดัน พอมันส่งเสียงมีดวงตาอีกสองดวงปรากฏขึ้นมา ความจริงแล้วเจ้ามังกรตัวนี้มีดวงตาถึงสี่ข้าง!
มังกรสมุทรควรจะอาศัยอยู่ในทะเลแต่นี่กลับอาศัยอยู่ในทะเลสาบ วินาทีนั้นแรงกดดันของมันแผ่กระจายออกมาจากร่าง
จากนั้นแสงสีเหลืองเข้มโผล่ออกมาจากเกาะ กลายเป็นม่านป้องกันเพื่อปกป้องเกาะกลางจากผนึก
ไม่นานนักมังกรสมุทรพลันเคลื่อนไหว มันอ้าปากและพุ่งเข้าหาหวังหลินหมายจะกลืนกิน หนามทั้งหมดบนหลังตั้งตรงและเปล่งกลิ่นอายเย็นเยียบ
มังกรสมุทรตัวนี้มีพลังไม่ด้อยไปกว่าผู้สูงส่งชั้นทอง!!
มันติดตามผู้สูงส่งชั้นฟ้ามานาน ตอนที่เขาจากไปได้ทิ้งมังกรสมุทรไว้ที่สำนักเต๋ามาร เขามั่นใจว่าด้วยมังกรตัวนี้และพลังอำนาจของสำนักเต๋ามาร สำนักจะอยู่รอดปลอดภัยไปอีกหลายปี!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น