Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1908-1909
ตอนที่ 1908
หายไปหนึ่ง!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ประตูเดียวกันและแขนเดียวกันที่หวังหลินเคยเจอมาแล้วหลายครั้ง!
เมื่อใดก็ตามที่ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าสมบูรณ์ไปอีกระดับ ประตูนี้จะปรากฏขึ้น ทว่าเมื่อไรก็ตามที่เขาเข้าไปกลับไม่เจออะไรและมีแต่มิติอันว่างเปล่า
แขนสีเขียวมีพลังอันแข็งแกร่งที่หยุดยั้งทุกคนไม่ให้เข้าไป
หวังหลินยืนอยู่นอกประตูอีกครั้ง มองประตูและแขนสีเขียว ขบคิดอย่างเงียบๆ
‘ก่อนวิญญาณแมงป่องตาย เขาพูดว่า…ลูกปัดสีขาว…มันหมายความว่าอะไร…’ หวังหลินคิดอยู่นาน ดวงตาทอประกายจากนั้นก้าวเดินเข้าหาประตู
แขนสีเขียวเกิดการขยับและพุ่งเข้าหาหวังหลินด้วยแรงกดดันทรงพลัง
หวังหลินมีท่าทีเหมือนเดิมและไม่หยุดชะงัก เขาโบกแขนขวาเข้าหาแขนยักษ์ที่กำลังยื่นมาหา
โลกแห่งนี้เกิดการสั่นสะเทือน แขนสีเขียวถูกหวังหลินทำให้กระเด็นออกไปหลายร้อยฟุต
แขนที่เคยทำให้หวังหลินรู้สึกกลัวไม่สามารถหยุดเขาได้อีกแล้วหลังจากบรรลุขั้นวิบากดับสูญมาได้ หวังหลินก้าวเดินเข้าสู่ประตูอย่างสงบนิ่ง
จังหวะของเขาไม่เร็วนัก แต่ทุกก้าวจะทำให้เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง พอห่างจากประตูเพียงเจ็ดก้าว แขนสีเขียวพุ่งเข้ามาหาหวังหลินอีกครั้ง
คราวนี้มีกลิ่นอายน่ากลัวออกมาจากแขน ราวกับไม่ยอมแพ้จนกว่าจะหยุดหวังหลินได้!
หวังหลินขมวดคิ้ว เขาไม่ต้องการทำลายแขนนี้ จึงเงยหน้าขึ้นมาชี้ออกไป
“หยุด!”
แขนสีเขียวยักษ์หยุดชะงักค้างในอากาศ
หวังหลินก้าวเดินต่อไปและยืนอยู่เบื้องหน้าประตูฝืนลิขิตสวรรค์ ยกแขนซ้ายขึ้นมาผลักประตูให้เปิดออก!
ประตูส่งเสียงสั่นเครือและเปิดช่องว่างเล็กๆ ขนาดกว้างหลายสิบฟุต
หวังหลินครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะก้าวเข้าไปในประตู
เขาได้ก้าวเข้าไปในประตูฝืนลิขิตฟ้าโดยสมบูรณ์
ครั้งนี้สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าหวังหลินเป็นโลกที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มีฟ้าดินแต่ไม่มีสัญญาณแห่งชีวิต มีเทือกเขาและมีหอคอยสูงเสียดฟ้า!
หอคอยนี้สลับไปมาระหว่างของจริงและภาพมายา
ที่แห่งนี้ไม่เหมือนกับตอนที่เขาเห็นในช่วงเป็นจ้าวดินแดนปิดผนึก โลกแห่งนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากครั้งล่าสุด
ราวกับทุกอย่างก่อนหน้านี้เป็นเพียงสายหมอก แต่ตอนนี้หมอกได้ถูกลบเลือนออกไปแล้วทำให้หวังหลินเข้าใกล้ความลับจริงๆ ของลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า!
หวังหลินมองหอคอยลึกลับไกลๆ พลางก้าวเดินต่อไป เทือกเขากลายเป็นภาพมายาและแตกสลายเบื้องหน้าหวังหลิน ทำให้เขามาถึงหอคอยได้
หอคอยแห่งนี้เป็นสี่เหลี่ยมและไม่ใหญ่มากนัก แต่ละมุมมีโครงกระดูกนั่งอยู่สี่ร่าง
โครงกระดูกทั้งสี่อยู่มานานแค่ไหนแล้วไม่รู้ สองในสี่สวมชุดคลุมสีดำ ส่วนอีกสองสวมชุดสีขาว
พวกมันนั่งอยู่ตรงนั้นและเปล่งกลิ่นอายแห่งความตายออกมา
หวังหลินกวาดสายตาผ่านโครงกระดูกไป มองหอคอยด้วยสายตางุนงง
ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าคืออะไร? คำถามนี้อยู่กับเขามามากกว่าสองพันจนเกือบสามพันปีแล้ว
หวังหลินคลำหาที่ประตูฝืนลิขิตฟ้าอยู่หลายครั้ง แต่มีแค่ครั้งนี้เท่านั้นที่เขาได้เห็นหอคอยและโครงกระดูกทั้งสี่ข้างใต้
หอคอยแห่งนี้ไม่มีประตู!
หวังหลินยืนอยู่นอกหอคอยด้วยแววตาสับสนยิ่งกว่าเดิม ผ่านไปสักพักจึงส่งสัมผัสวิญญาณแผ่กระจายออกไปยังหอคอย พอเข้าสัมผัสจึงเกิดเสียงดังกึกก้องขึ้นในใจ!
เสียงเบาๆ นับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในใจ และเพราะมีหลายเสียงแตกต่างกันจึงเกิดความปั่นป่วนและไม่ได้ยินอะไรชัดเจนเลย!
เขาได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ตอนกำลังเกิด ได้ยินเสียงชายชราถอนหายใจ ได้ยินเสียงความปั่นป่วน เสียงร้องและเสียงพึมพำได้ทำให้หวังหลินรู้สึกเหมือนอยู่ในเมืองใหญ่และได้ยินทุกเสียงในเมืองเวลาเดียวกัน!
ท้ายที่สุดเสียงมากมายได้กลายเป็นเสียงอื้ออึงดังกึกก้องในใจและหูของหวังหลิน หวังหลินหน้าซีดทันที แม้จะมีระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นเขาก็ยังไม่สามารถทนรับไหว
หากอดทนต่อไปร่างกายคงแตกสลาย
ขณะนั้นเสียงร้องของเด็กทารกดังแหลมขึ้นมาในใจหวังหลิน ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นจนต้องก้าวถอยไปสิบก้าว ใบหน้าซีดเซียวเป็นอย่างยิ่ง
จิตใจสั่นสะท้าน เขามองหอคอยอีกครั้งก่อนจะหันตัวกลับและทะยานออกไป ชั่วครู่ต่อมาเขาจึงค้นพบวิญญาณของหวังผิงและภรรยาของหวังผิง
พอเห็นหวังผิงซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง หวังหลินจึงขบคิดเงียบๆ
เสียงเด็กทารกร้องเมื่อครู่ได้ปลุกเขาให้ตื่นช่างเป็นเสียงที่เขาคุ้นเคย เหมือนตอนที่หวังผิงยังเป็นวิญญาณอาฆาต เป็นเสียงแรกที่เขาได้ยินจากหวังผิง
‘หอคอยนั่น มันคืออะไรกันแน่…’ หวังหลินเต็มไปด้วยสายตาสับสนอยู่นาน เขามองวิญญาณหวังผิง ดวงตาจึงอ่อนโยนลงและรู้สึกเศร้า จากนั้นถอนหายใจและจากไป
หวังหลินเข้ามาในพื้นที่ลึกลับเป็นครั้งที่สอง ด้านหน้าหอคอยสี่เหลี่ยม
หวังหลินเงยหน้าขึ้นมองยอดหอคอยแต่กลับพบว่ามันพร่ามัว
ครู่ต่อมาเขากัดฟันแน่นและกระจายสัมผัสวิญญาณพลางก้าวออกไปข้างหน้า คราวนี้เล็บมือขวายืดยาวออกไปราวกับเข็มอันคมกริบ แต่มีม่านแสงอ่อนๆ หนึ่งชั้นป้องกันไม่ให้มันแทงเข้าใส่เนื้อ
อย่างไรก็ตามแสงเบาบางนี้ได้หายไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงแค่สิบลมหายใจแสงก็หายไปอย่างสิ้นเชิง จากนั้นเล็บมือของหวังหลินจึงแทงเข้าสู่เนื้อและเกิดความเจ็บปวด
เวลาเป็นสิ่งสำคัญ หวังหลินแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณเข้าหาหอคอยโดยไม่ลังเล พอสัมผัสได้อีกจึงได้ยินเสียงปะปนเข้ามาในใจหวังหลินอีกครั้ง
ร่างหวังหลินสั่นเทาและรู้สึกเหมือนกำลังหมดสติ เขาถูกเสียงเหล่านั้นล้อมรอบจนเหมือนเรือที่กำลังแล่นบนทะเลอันโกรธเกรี้ยว
เสียงทั้งหมดปนกันกลายเป็นเสียงอื้ออึง พวกมันดังกึกก้องในใจหวังหลินและไม่อาจได้ยินชัดเจน เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ใบหน้าหวังหลินซีดยิ่งขึ้น แววตาเขาเลื่อนลอย แต่ขณะนั้นแสงสีขาวในมือค่อยๆ หายไป จนกระทั่งถึงลมหายใจที่เก้าแสงสีขาวจึงหายไปอย่างสิ้นเชิง เล็บแทงใส่ฝ่ามือและมีหยดโลหิตไหลออกมาส่งความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง
ภายใต้ความเจ็บปวดนี้ หวังหลินเกิดอาการดิ้นรนและเริ่มมีสติ เขาดูเหมือนได้ยินเสียงมืดมนแห่งหนึ่งดังอยู่ในเสียงที่ปะปนกัน
“…หายไปหนึ่ง…”
ตอนที่เขาได้ยินแบบนี้จึงถอยกลับมาถึงพันฟุต ช่วงเวลาสั้นๆ สิบลมหายใจหวังหลินได้เจอกับความเป็นความตาย ถ้าไม่มีเสียงร้องของเด็กทารกในครั้งแรกและเตรียมการในครั้งที่สอง เขาคงหลงทางอยู่ในเสียงพวกนั้นไปแล้ว!
หวังหลินจ้องมองหอคอย เผยแววตาหวาดหวั่นที่หาได้ยากนัก แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าหอคอยที่ปรากฏขึ้นในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้ามันคืออะไรกันแน่!
และเสียงที่เขาได้ยินตอนได้สติมันคืออะไร…
‘หายไปหนึ่ง…หมายความว่าอะไร?’ หวังหลินขบคิด ชั่วขณะต่อมาจึงมองหอคอยและจากไป
ณ แคว้นมารเขียวตรงตำแหน่งที่ตั้งอารามแมงป่อง พื้นที่ตอนนี้ปกคลุมด้วยพายุ ชายหนุ่มผมขาวกำลังยืนอยู่ตรงนั้นและลืมตาขึ้นมาทันที
แววตายังคงมีความหวาดกลัวฝังลึก!
หวังหลินสูดหายใจและมองลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าที่กำลังผสานเข้ากับฝ่ามือ เขาเกิดความรู้สึกซับซ้อนอธิบายไม่ถูก
“เจ้า…เจ้าเป็นอะไรกันแน่…” หวังหลินพึมพำ ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าหายเข้าไปในร่าง ล่องหนอยู่ในวิญญาณดั้งเดิม
‘สัมผัสวิญญาณของข้ายังไม่แข็งแกร่งมากพอ…ยังห่างชั้นอีกไกล สักวันหนึ่งข้าจะสามารถระงับเสียงพวกนั้นได้และได้ยินคำพูดที่ซ่อนอยู่เพื่อเรียนรู้ความลับที่ลึกที่สุดของลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า!!’ หวังหลินมีแววตาเป็นประกายและข่มความสงสัยเอาไว้ เขาอยู่กับลูกปัดมาเกือบสามพันปี และก็แค่อดทนรอต่อไปเพื่อเผยคำตอบทุกอย่าง!
หวังหลินรู้สึกว่าเพราะสามารถมองเห็นหอคอยได้ จึงเข้าใกล้ความลับของลูกปัดมากขึ้น!
ตอนนี้หวังหลินเผยแววตาเย็นเยียบและทอดสายตาออกไปไกล ที่นั่นคือทิศทางของสำนักเต๋ามาร!
‘สำนักเต๋ามาร…ตอนนั้นข้าสัญญากับตัวเองว่าจะทำลายล้างทั้งสำนักเต๋ามาร ไม่ให้แผ่นดินเซียนดารามีชื่อสำนักเต๋ามารอีกต่อไป!’ หวังหลินสะบัดแขนเสื้อ พายุรอบตัวเขาหมุนเร็วขึ้นกลายเป็นทอร์นาโดสีดำ นำพาหวังหลินทะยานออกไปไกล
หายนะของสำนักเต๋ามาร ได้มาถึงแล้ว!
ตอนที่ 1909
ทอง ชั้นฟ้า เทวะ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
สำนักเต๋ามารอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นมารเขียวและตั้งอยู่บนหนองบึงแห่งหนึ่ง สำนักแห่งนี้เป็นหนึ่งในเก้าสำนักสิบสามกองกำลังของแผ่นดินทิศตะวันออก นั่นหมายความว่าพวกเขามีพลังอำนาจของเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับปลายสูงสูด!
ด้วยความแข็งแกร่งระดับนี้จึงสามารถทำให้สำนักมีชื่อเสียงโด่งดังบนแผ่นดินทิศตะวันออกได้!
บนแผ่นดินเซียนดารานั้นใครที่สามารถบรรลุเข้าสู่ขั้นวิบากดับสูญได้ถือว่าสูงส่ง ส่วนคนที่ใกล้จะถึงขั้นวิบากดับสูญระดับสูงสุดแต่ยังไม่สามารถข้ามผ่านช่องว่างของระดับขั้นไปได้จะเรียกว่าเป็นผู้สูงส่งชั้นทอง!!
หากสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นวิบากดับสูญระดับสูงสุดได้ เมื่อนั้นจะถูกเรียกว่าผู้สูงส่งชั้นฟ้า! แม้แต่มหาชั้นฟ้ายังให้ความสนใจเซียนเหล่านี้ ซึ่งไม่เพียงแต่มหาชั้นฟ้าจะมีอัธยาศัยดี พวกเขายังมีข้อเสนอหลายอย่างเพื่อดึงมายังฝั่งตนเอง
เพราะเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าคือกลุ่มคนที่แข็งแกร่งที่สุดรองลงมาจากมหาชั้นฟ้า! ถึงจะเกิดความขัดแย้งกับมหาชั้นฟ้าด้วยกันแต่มหาชั้นฟ้าก็ไม่ลงมือด้วยตัวเอง เพราะหากสู้กันคงเกิดผลกระทบตามมาใหญ่หลวงนัก!
มหาชั้นฟ้าจะไม่ต่อสู้กันเองเว้นแต่จะถึงคราวจำเป็น คราวก่อนต้าวยี่และซวนลั่วต่อสู้กันก็พังทลายไปหลายอาณาเขต!
อย่างไรก็ตามคนอื่นไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก เป็นผลให้ความขัดแย้งระหว่างมหาชั้นฟ้าด้วยกันเองแทบจะนับจำนวนครั้งได้ ทั้งยังมีอำนาจของผู้สูงส่งชั้นฟ้าอยู่ใต้อาณัติอีก
กล่าวได้ว่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าสามารถได้รับตำแหน่งและชื่อเสียงมากมายบนแผ่นดินเซียนดารา ทั้งยังได้รับความสนใจจากมหาชั้นฟ้า
ลือกันว่าที่เรียกผู้สูงส่งชั้นฟ้าก็เพราะมีอีกระดับอยู่คั่นกลางมหาชั้นฟ้า ขั้นนี้ถูกเรียกกันว่าผู้สูงส่งเทวะ เหล่าเซียนในระดับนี้คือคนที่ข้ามผ่านขั้นวิบากดับสูญระดับสูงสุดมาได้และยังไปไม่ถึงมหาชั้นฟ้า!
นับตั้งแต่ยุคโบราณ มีเซียนไม่มากนักที่จะบรรลุถึงผู้สูงส่งชั้นฟ้าได้ การบรรลุถึงผู้สูงส่งเทวะยิ่งน้อยลงมากกว่าเดิม ลือกันว่าลั่วหยุนไฮ่แห่งสำนักมหาวิญญาณเป็นถึงขั้นผู้สูงส่งเทวะและนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงกล้าท้าประลองกับมหาชั้นฟ้าต้าวยี่!
อย่างไรก็ตามเขาก็โอหังเกินไปและเกิดความยัดแย้งกันบางอย่างจนบังคับให้มหาชั้นฟ้าต้าวยี่ลงมือสังหาร กระนั้นมหาชั้นฟ้าต้าวยี่กลับยอมให้วิญญาณกลับมาสำนักเพราะชื่นชมในพรสวรรค์!
นับตั้งแต่ถือกำเนิดแคว้นกระทิงสวรรค์ คนภายนอกรู้แต่เพียงว่ามีผู้สูงส่งเทวะปรากฏขึ้นที่นี่เพียงคนเดียวเท่านั้น!
ผู้สูงส่งชั้นทอง ผู้สูงส่งชั้นฟ้า ผู้สูงส่งขั้นเทวะ มหาชั้นฟ้า สี่ชื่อที่แตกต่างกันนี้คือตัวแทนของพลังอำนาจระดับสูงสุดที่แตกต่างกัน!
สำนักมหาวิญญาณมีบรรพชนกระทิงเขียวและผู้สูงส่งเทวะชื่อลั่วหยุนไฮ่ผู้กล้าท้าประลองกับมหาชั้นฟ้า แม้เรื่องนี้จะเกิดขึ้นนานแล้ว ชื่อเสียงของเขายังอยู่ถึงทุกวันนี้ บรรพชนกระทิงเขียวเป็นผู้สูงส่งชั้นทองและมีร่างแก่นแท้ ด้วยวิชาอันลึกลับของสำนักมหาวิญญาณ สำนักนี้จึงกลายเป็นหนึ่งในเก้าสำนักสิบสามกองกำลังและมีระดับที่สูงยิ่งขึ้น
ส่วนสำนักกุ้ยยี่ พวกเขาไม่มีผู้สูงส่งชั้นทอง แม้แต่จ้าวสำนักก็เป็นเพียงขั้นวิบากดับสูญระดับปลายเท่านั้น ยังมีช่องว่างที่ไม่อาจข้ามผ่านไปสู่ระดับปลายสูงสุดได้
แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่สำนักกุ้ยยี่มีเซียนในขั้นวิบากดับสูญระดับปลายมากกว่าห้าคน และต่างก็ครอบครองตำแหน่งที่สำคัญ
สำนักยังสืบทอดชุดเกราะโบราณที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับปลายสวมเกราะนี้จะสามารถเพิ่มพลังอำนาจได้อย่างมหาศาล หากสังเวยพลังชีวิตตัวเองจะสามารถปลดปล่อยพลังที่ต่อกรกับผู้สูงส่งชั้นทองได้!
เป็นเพราะมีเกราะเช่นนี้อยู่จึงทำให้สำนักอยู่ในตำแหน่งไม่ดีไม่แย่ เนื่องจากเกราะนี้จำเป็นต้องสังเวยพลังชีวิตจึงทำให้ไม่สามารถสวมเกราะได้มากกว่าสามครั้ง หลังจากใช้ไปสามครั้งจะทำให้เสียชีวิตได้ อย่างไรก็ตามสำนักกุ้ยยี่มีห้าคนที่สามารถสวมเกราะได้ ทำให้พวกเขามีคุณสมบัติพอที่จะกลายเป็นหนึ่งในเก้าสำนักสิบสามกองกำลัง
ส่วนสำนักเต๋ามาร จ้าวสำนักเป็นผู้สูงส่งชั้นทองที่มีระดับบ่มเพาะขั้นวิบากดับสูญระดับปลายสูงสุด ระดับบ่มเพาะอันทรงพลังของเขาได้ทำให้มีชื่อเสียงไปทั่วแผ่นดินฝั่งตะวันออก! แต่เมื่อเทียบกับบรรพชนกระทิงเขียวแล้ว ถึงแม้ทั้งคู่จะเป็นผู้สูงส่งชั้นทอง แต่เขามีร่างแก่นแท้ ดังนั้นจ้าวสำนักเต๋ามารจึงไม่อาจเทียบกันได้!
กระนั้นสำนักเต๋ามารก็ไม่ได้อ่อนแอในเก้าสำนักสิบสามกองกำลัง นอกจากจ้าวสำนักที่เป็นผู้สูงส่งชั้นทองแล้ว พวกเขายังเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับปลายถึงสี่คน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกเขายังมีบรรพชนอยู่นอกสำนัก!!
บรรพชนของสำนักเต๋ามารคือผู้สูงส่งชั้นฟ้า!! เขาไม่สนใจใยดีเรื่องสำนักและไม่เคารพต่ออารามแมงป่องมารเขียว เขาสนใจแต่การบ่มเพาะของตัวเอง เมื่อหนึ่งหมื่นสามพันปีก่อนเขาถูกมหาชั้นฟ้าต้าวยี่คัดเลือกไป!
พอมีบรรพชนแบบนี้ สำนักเต๋ามารจึงมีชื่อเสียงไปทั่วแผ่นดินทิศตะวันออกและได้รับตำแหน่งหัวเรือหลักของแคว้นมารเขียว!
แต่ด้วยความภักดีของบรรพชนที่มีต่อสำนักเต๋ามารซึ่งลดลงไปเรื่อยๆ เขาคงไม่สนใจเรื่องการต่อสู้น้อยใหญ่และไม่สนใจว่าจะมีคนตายไปกี่คน ตราบใดที่รากฐานแห่งเต๋าของสำนักยังคงอยู่
หากมีคนต้องการทำลายรากฐานแห่งเต๋าของสำนักเต๋ามาร เมื่อนั้นเขาจะลงมือและไล่ตามเรื่องนี้เอง!
ทั้งหมดนี้ถูกบันทึกไว้ในแผนที่กระดองเต่าที่บรรพชนกระทิงเขียวมอบให้หวังหลิน
‘ในแผ่นดินทิศตะวันออก มีผู้สูงส่งชั้นฟ้าเหลืออยู่เจ็ดคนเท่านั้น! ข้าสงสัยว่าด้วยระดับบ่มเพาะตอนนี้ หากข้าใช้เกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์ ข้าจะบรรลุไปถึงระดับไหน…’ พายุพัดออกไปข้างหน้า หวังหลินยืนเอามือไพล่หลัง ดวงตาเปล่งประกาย
‘ข้าทำเป็นไม่สนใจผู้สูงส่งชั้นทอง ผู้สูงส่งชั้นฟ้าได้ …ข้าไม่ได้ต่อสู้อะไรนักแต่ก็อยากลองดูจริงๆ!’ เรือนผมสีขาวของหวังหลินพัดพริ้ว เขาสะบัดแขนเสื้อให้เสื้อผ้าปกคลุมศีรษะ
มองไกลๆ ดูเหมือนหวังหลินกำลังสวมชุดคลุมสีขาวปกคลุมใบหน้าจนถึงเรือนผม เปล่งกลิ่นอายลึกลับและโบราณ
สำนักเต๋ามารเต็มไปด้วยหมอกหนาแน่นจนมองไม่เห็นข้างใน สำนักเต๋ามารมีศิษย์มากกว่าแสนคน
อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านสงครามไปร้อยปีจึงเหลือคนอยู่เพียงสามหมื่นคนเท่านั้น แต่ระดับบ่มเพาะไม่ได้ลดลงมากนัก ยังมีเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับปลายที่มีชีวิตอยู่ถึงสี่คน สองคนอยู่ที่แคว้นกระทิงสวรรค์ จัดการการรบ ส่วนที่เหลืออีกสองคนเอาไว้คุ้มกันสำนัก
จ้าวสำนักหายไปปิดด่านบ่มเพาะเมื่อร้อยปีก่อน เขาดูเหมือนพยายามบรรลุระดับผู้สูงส่งชั้นฟ้าและยังไม่ออกมา
เนื่องจากสำนักเต๋ามารขาดเซียนไปมาก ค่ายกลสำนักจึงยังเปิดใช้งานเพื่อปกป้องสำนักและป้องกันเหตุที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน
ทั่วทั้งสำนักเต๋ามารตกอยู่ในสายหมอกและสร้างขึ้นบนหนองบึงขนาดใหญ่ พวกเขาเติมหนองบึงด้วยภูเขามากมายจนกลายเป็นภูเขาเทพ!
หลายคนเปลี่ยนก้อนหินกลายเป็นพื้นดิน วางมันไว้บนหนองบึงเพื่อให้ศิษย์สามารถเดินได้อย่างเรียบง่าย
สำนักเต๋ามารกว้างใหญ่มากจนไม่อาจมองเห็นขอบเขตได้ชัดเจน ภูเขาและตำแหน่งก่อตัวเป็นค่ายกลล้อมรอบแกนกลางของสำนัก
ใจกลางสำนักไม่ใช่บึงแต่เป็นทะเลสาบ ทะเลสาบแห่งนี้ชัดมากจนมองเห็นก้นทะเลสาบ ภายในมีระลอกคลื่นราวกับมีอสูรเทพอาศัยอยู่
ใจกลางทะเลสาบมีเกาะเล็กๆอยู่แห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนี้คือตำแหน่งที่จ้าวสำนักปิดด่านบ่มเพาะและเป็นที่ที่สำนักกักเก็บวิชาเอาไว้!
ณ ภายนอกสำนักเต๋ามาร หวังหลินยังคงยืนสงบนิ่งอยู่ในท้องฟ้า ชุดคลุมสีขาวเข้าปกคลุมใบหน้าแต่ไม่สามารถปิดบังดวงตาเย็นเยียบได้ เขาจ้องมองสำนักเต๋ามาร แววตาเปลี่ยนกลายเป็นจิตสังหาร
“ข้าตั้งใจนานแล้วว่าจะทำลายรากฐานแห่งเต๋าและกวาดล้างทั้งสำนักออกไป…” หวังหลินพึมพำ
แม้หวังหลินจะใช้ชีวิตอยู่ในการสังหาร เขาก็ไม่ชอบการสังหาร ความจริงขณะที่ระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นเขาแทบไม่ได้สังหารใครเลยเว้นแต่จะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายหรือถูกบังคับให้ต้องทำ
แต่ตอนนี้เขามีจิตสังหารเต็มเปี่ยม ครั้งแรกที่ชายแดนของแคว้นเมิ่งตู ทั้งสำนักเต๋ามารได้ออกมาหยุดหวังหลินไม่ให้จากไปอย่างสงบ ทุกคนล้วนพุ่งเข้าหาเขาอย่างบ้าคลั่ง
ขณะที่พวกนั้นไล่ล่า แต่ละคนต่างโยนศีรษะออกมา ถึงแม้หวังหลินจะไม่มีความสัมพันธ์กับเหล่าศีรษะพวกนั้น แต่พวกเขาก็เป็นเซียนที่ได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันกับเขาในทุ่งยอดนภา
พวกเขาตายเพราะหวังหลิน พอเห็นว่าสำนักเต๋ามารโยนศีรษะแต่ละหัวเข้ามาใส่ หวังหลินจึงหลับตา เขามองเห็นท่าทางโหยหวนและแววตาสิ้นหวังจากศีรษะเหล่านั้นได้
และยังได้ยินเสียงร้องโหดเหี้ยมดังกึกก้อง
“เจ้าไม่ชอบหัวมนุษย์หรือ? นี่คือของขวัญชิ้นแรกที่สำนักเต๋ามารจะมอบให้เจ้า!”
‘ข้าชอบหัวมนุษย์…ข้าชอบพวกเขาจริงๆ…’ หวังหลินลืมตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารมหึมา
การถูกจ้าวสำนักเต๋ามารจับไปและทนทุกข์อยู่ในอารามแมงป่องไม่สามารถชดใช้คืนได้ด้วยการสังหารคนเพียงคนเดียว ในเมื่อทั้งสำนักเต๋ามารออกมาหยุดเขาเมื่อคราวนั้น วันนี้เขาจะทำลายทั้งสำนัก!
‘ไม่ว่าจะมีระดับบ่มเพาะอะไร ไม่มีใครจะหนีรอดไปได้! หากต้องการโทษ ก็จงโทษที่เป็นส่วนหนึ่งของสำนักเต๋ามารเสียเถอะ!’ หวังหลินมีจิตสังหารมหึมาแต่ไม่ได้เผยออกมาง่ายๆ ถึงกระนั้นเมื่อเขาเผยออกมามันจะสั่นคลอนไปทั้งสวรรค์!
หวังหลินยกแขนขึ้นมาสะบัดเข้าใส่สำนักเต๋ามารห่างออกไปไกล ปรากฏทะเลเพลิงขึ้นและเปลี่ยนกลายเป็นมังกรเพลิง 99 ตัว พวกมันโคจรรอบสำนักเต๋ามารและผนึกไว้อย่างสิ้นเชิง
จากนั้นต่อมามีสายฟ้าปรากฏขึ้นและกลายเป็นตาข่าย มันเข้าสู่ผนึกเปลวเพลิงเพื่อทำให้ม่านพลังเหนียวแน่นยิ่งขึ้น
จากนั้นมีเขตอาคมจำนวนมากปรากฏ ทำให้สายฟ้าและเปลวเพลิงผสานเข้าด้วยกันก่อเกิดเป็นพลังผนึกและแรงกดดันอันทรงพลัง
พอทำทุกอย่างเสร็จแล้ว หวังหลินเงยศีรษะขึ้นและก้าวเข้าหาสำนักเต๋ามาร
แต่ละก้าวส่งเสียงดังกึกก้องออกไป ร่างหวังหลินปลดปล่อยจิตสังหารมหึมาและเข้าไปใกล้สำนักเต๋ามาร!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น