Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1902-1907
ตอนที่ 1902
มองวิบากแก่นแท้จากเบื้องบน
ชายวัยกลางคนทอดสายตาออกไปไกล ผ่านไปสักพักจึงพึมพำกับตัวเอง “ข้าตื่นก่อนหายนะแรกจะมาถึง…” เขาก้มศีรษะลงมองซากปรักหักพังด้านล่างและแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณออกไป สัมผัสวิญญาณทรงพลังและปกคลุมแผ่นดินแห่งนี้ทุกตารางนิ้ว
ทันใดนั้นเขาจดจำได้เลือนลางว่าเมื่อนานมาแล้ว เขาเข้ามาทำลายที่นี่ หลังจากสังหารสิ่งมีชีวิตและดูดซับกลิ่นอายแห่งความตายจึงปิดด่านบ่มเพาะอยู่ตรงนี้
ตามที่เขาคำนวณ เขาควรจะตื่นหลังจากผ่านหายนะไปแล้วห้าครั้ง แต่ตอนนี้เขากลับตื่นก่อนจะมีหายนะแรก
‘กลิ่นอายที่สั่นคลอนจิตใจข้าจากก้นบึ้งวิญญาณและทำให้ข้าตื่นขึ้นมาก่อน มันออกมาจากทิศทางนั้น…มันเป็นกลิ่นอายแบบเดียวกัน…หรือว่ามีตัวตนที่คล้ายกันถือกำเนิดขึ้น…’ เขาขบคิด
ความทรงจำบางส่วนกำลังบอกว่ากลิ่นอายมาจากทิศทางนั้น
‘ที่นั่นควรจะเป็นที่ที่มีองครักษ์อยู่…’ ชายวัยกลางคนคิดขึ้นมาชั่วขณะและค่อยๆ ยืนขึ้น แสงน่ากลัวส่องประกายและปรากฏผ้าคลุมสีดำปกคลุมใบหน้า เหลือไว้แต่เรือนผมยาวโผล่ออกมาผ่านผ้าคลุมด้วยกรรมวิธิพิเศษ
เขาเดินเข้าหาท้องฟ้า เรือนผมยาวด้านหลังดูราวกับมังกรสีดำ ขณะที่เขาค่อยๆ ล่องลอยผ่านท้องฟ้าไป มังกรดำตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นราวกับชายผู้นี้คือมังกรดำ เขาท่องทะยานไปยังทิศทางของแผ่นดินเซียนดาราซึ่งอยู่ห่างไกลจากที่นี่มาก
ด้วยความเร็วระดับนี้ คงใช้เวลาอีกหลายร้อยปีกว่าจะไปถึงแผ่นดินเซียนดารา!
ลึกเข้าไปภายในอารามแมงป่องเขียวในแคว้นมารเขียว หวังหลินมองแก่นแท้นามธรรมทั้งสามเบื้องหน้า ฝ่ามือสร้างผนึกและชี้ออกไป
แก่นแท้นามธรรมทั้งสามเริ่มรวมตัวและผสานอย่างช้าๆ พวกมันไม่ได้เกิดขึ้นจากพลังภายนอกแต่เกิดขึ้นจากเขตแดนและความเข้าใจของเขาเอง
การที่สามแก่นแท้นี้ถือกำเนิดขึ้นมา ได้ให้ผลลัพธ์เป็นเมล็ดพันธุ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการเปลี่ยนผ่านในครั้งแรก จากนั้นเติบโตขึ้นอีกในการเปลี่ยนผ่านครั้งที่สอง และสุดท้ายจึงสมบูรณ์ในการเปลี่ยนผ่านครั้งที่สาม!
ชีวิตและความตาย เวรกรรมและจริงเท็จได้ตอบสนองต่อกันและเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน พวกมันผสานอย่างช้าๆ เบื้องหน้าหวังหลิน
ในแก่นแท้ชีวิตและความตาย หวังหลินเห็นดาวซูซาคุและเห็นตระกูลของต้าหนิวถึงสามรุ่น
ในแก่นแท้แห่งเวรกรรม หวังหลินเห็นหลิวเหมย เห็นหวังผิงและเห็นตัวเองกลายเป็นบิดา
ในแก่นแท้จริงเท็จ เขาเห็นซูต้าว ความฝันหกสิบปีและใบหน้าที่คุ้นเคยหลายคน
สามแก่นแท้นามธรรมนี้ไม่ได้เป็นแค่แก่นแท้สำหรับหวังหลิน พวกมันคือช่วงชีวิตการฝืนลิขิตฟ้าของเขา!
“ข้าใช้แก่นแท้แห่งชีวิตและความตายเพื่อละทิ้งความเป็นมนุษย์ ใช้แก่นแท้เวรกรรมเพื่อได้รับเต๋า ใช้แก่นแท้จริงเท็จเพื่อทำความเข้าใจ”
“ในชีวิตและความตาย ความคิดปั่นป่วนของข้าให้กำเนิดเวรกรรมขึ้นมา ในเวรกรรมนี้ข้าได้พิสูจน์เต๋าอย่างต่อเนื่อง…จนท้ายที่สุดช่วงระหว่างความจริงเท็จ ข้าได้ค้นหาว่าเต๋าของข้าอยู่ที่ไหน…”
“หลังชีวิตและความตายคือเวรกรรม หลังเวรกรรมคือจริงเท็จ หลังจากจริงเท็จ มันคือ…เข้าสู่เต๋า!”
“การผสานสามแก่นแท้นามธรรมไม่ใช่เรื่องยาก พวกมันเกิดขึ้นมาก็เพราะข้า ก่อร่างขึ้นมาก็เพราะข้า และผสานกันก็เพราะข้า!” ขณะที่หวังหลินพึมพำ เขาสะบัดแขนขวาให้สามแก่นแท้เบื้องหน้าเริ่มหมุนและผสานกันเองเร็วขึ้น
ขณะที่ผสาน เขาได้มองแก่นแท้ข้างใน เขาเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่เขาเกิดจวบจนกระทั่งวินาทีนี้
เขาเห็นตัวเองกำลังคุกเข่าเบื้องหน้าหลุมศพของบิดามารดา ร้องคำรามกับท้องฟ้าพร้อมทั้งน้ำตา
เขาเห็นตัวเองกำลังกอดร่างลี่มู่หวานและร้องคำราม ขณะที่ลี่มู่หวานหลับตา หยาดน้ำตาของนางไหลรินตกลงสู่พื้นดิน
เขาเห็นว่าปีต่อมา มีดอกไม้เบ่งบานขึ้นตรงจุดที่น้ำตาไหลรินลงไป
เขาเห็นตัวเองตอนที่รู้ว่าหลิวเหมยให้กำเนิดลูกชาย เขาเห็นตัวเองกำลังมองเด็กคนนั้นที่เต็มไปด้วยความแค้นและความเกลียดชังสุดขั้วหัวใจ
เขาเห็นลี่เฉียนเหมยป้ายโลหิตและหยาดน้ำตาใส่รูปปั้นของเขาตลอดระยะเวลาสิบปี
‘ทั้งชีวิตของข้า…’ หวังหลินถอนหายใจ ใบหน้าดูเหมือนมีอายุมากขึ้นขณะที่แก่นแท้ทั้งสามผสานกัน
เพียงเวลาผ่านไป ขณะที่หวังหลินได้เห็นความทรงจำของตัวเองใหม่ แก่นแท้นามธรรมทั้งสามได้ผสานเข้าด้วยกันอย่างเงียบๆ
การผสานกันนี้ได้เปลี่ยนกลายเป็นเส้นยาวหนึ่งเส้นเต็มไปทั่วความทรงจำของหวังหลิน เส้นนี้กลายเป็นวงแหวนและประทับบนหน้าผากของเขา
วินาทีที่วงแหวนเข้าประทับ แววตาหวนรำลึกจึงหายไปและถูกแทนที่ด้วยแสงสีทอง
ในแสงสีทองนี้ ระดับบ่มเพาะของหวังหลินเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่อระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้น พลังที่ควรจะเป็นของแมงป่องมารเขียวจึงถูกเขาดูดซับเพิ่มไปอีก!
แม้กระทั่งวิญญาณส่วนหนึ่งของแมงป่องมารเขียวที่หวังหลินกลืนกินมาก็ยังถูกวิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินดูดซับไป
แต่นี่ยังไม่มากพอ พลังขนาดนี้ทำให้หวังหลินใกล้เคียงกับขั้นแก่นแท้ระดับสูงสุดเท่านั้น!
ไม่มากพอที่จะทะลวงผ่านและเข้าเผชิญหน้ากับด่านวิบากแก่นแท้ทั้งเก้าเลย!
เขายังต้องการพลังของโลกนี้อีกมาก!
ดวงตาหวังหลินส่องสว่างขึ้นมาและอ้าปากสูดเข้าไปโดยไม่ลังเล พลังสายหนึ่งพวยพุ่งเข้ามาในอารามแมงป่อง แม้แต่สายหมอกด้านนอกยังถูกดึงเข้ามาก่อเกิดเป็นวังวนยักษ์ เป็นปรากฏการณ์แห่งสวรรค์!
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทำให้เซียนทั้งหมดบนแคว้นมารเขียวให้ความสนใจ สงครามระหว่างแคว้นมารเขียวและแคว้นกระทิงสวรรค์ได้มาถึงจุดจบ หลังจากเซียนจำนวนมากตายไป ไม่เหลือเซียนบนแคว้นมารเขียวมากนัก!
ส่วนคนที่เหลือล้วนเป็นเซียนทรงพลัง!
ถึงแม้จะตายไปจำนวนนับไม่ถ้วนแต่สำนักเต๋ามารยังคงเหลืออยู่เกือบสามในสิบส่วน แต่จ้าวสำนักได้ปิดด่านบ่มเพาะมามากกว่าร้อยปีแล้วและยังไม่ออกมา
ยามนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ณ อารามแมงป่องมารเขียวใจกลางแคว้นมารเขียวจนเหล่าเซียนหลายสำนักสัมผัสได้
ใครก็ตามที่รู้สึกได้จะพอรู้มาบ้างจากข่าวลือว่าท่านมารเขียวกำลังฟื้นคืนชีพ ตอนนี้ลำแสงมากกว่าสิบสายพุ่งทะยานเข้ามาหาอารามแมงป่องเขียว มีลำแสงอีกสองสายจากสำนักเต๋ามารได้ออกมาเป็นพยานการฟื้นคืนชีพด้วยเช่นกัน!
ปรากฎการณ์รอบอารามแมงป่องเขียวกินเวลาอยู่หลายเดือน ช่วงระหว่างนี้พลังจำนวนมากได้รวมกันเข้ามาที่นี่อย่างบ้าคลั่งจนเหล่าเซียนที่มาต่างก็ไม่กล้าเข้าใกล้ พวกเขาได้แต่สังเกตอยู่ตรงขอบอย่างห่างๆ พอขอบเขตกว้างขึ้นพวกเขาก็ล่าถอย
พลังทั้งหมดนี้ได้พุ่งเข้าสู่ร่างหวังหลินตลอดหลายเดือน ระดับบ่มเพาะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนวันหนึ่งระดับบ่มเพาะได้ระเบิดออกและส่งเสียงดังกึกก้องภายในร่าง
ระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นจากขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับปลายไปสู่ขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับสูงสุด!!
การเปลี่ยนแปลงระดับบ่มเพาะนี้ถูกซ่อนเอาไว้ใต้พลังที่พรั่งพรูเข้ามา เหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวไม่กล้าแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมาเช่นกันเพราะกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อการชุบชีวิตแมงป่องมารเขียว พวกเขาไม่ต้องการให้แมงป่องมารเขียวโกรธเกรี้ยวดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตอะไรได้
พอหวังหลินบรรลุขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับสูงสุด เขาจึงลืมตาขึ้นมาและเผยสายตาเยือกเย็นจนน่ากลัว แขนขวาสะบัดออกไป ร่างแก่นแท้ห้าธาตุเข้าผสานกับร่างหลัก
เพียงเท่านี้พลังของหวังหลินจึงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า!
จากนั้นไม่นานจึงสะบัดแขนอีกครั้ง ร่างแก่นแท้สายฟ้าเดินเข้ามาหา มันทับซ้อนกับร่างหวังหลินและผสานเข้าด้วยกันกลายเป็นหนึ่งเดียว
จังหวะที่ร่างแก่นแท้สายฟ้ากลับคืนมา ร่างหวังหลินระเบิดกลิ่นอายน่าตกตะลึง เขาสัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งของตัวเองเพิ่มขึ้น ตอนนี้เขาสามารถต่อสู้กับเซียนขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับปลายได้แม้จะไม่มีเกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์!
แค่นี้ยังไม่ได้ใช้สายฟ้าสังหาร เมื่อเขาเสี่ยงใช้สายฟ้าสังหารสักครั้ง แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดพลังทำลายล้างได้ขนาดไหน…
สายฟ้าสังหารนั่นเขาสร้างขึ้นมาโดยบังเอิญและไม่สามารถควบคุมมันได้!
ความรู้สึกอันทรงพลังนี้ทำให้หวังหลินสัมผัสถึงความเชื่อในตัวเองอย่างรุนแรง และทำให้ทุกคนที่จะเผชิญหน้ากับเขาต้องตกตะลึงก่อนที่หวังหลินจะได้โจมตีเสียอีก!
หวังหลินยืนขึ้นเอามือไพล่หลังและมองออกไป สายตามองทะลุอารามแมงป่องและเห็นท้องฟ้าเบื้องบน สัมผัสวิญญาณแผ่กระจายออกมาและเห็นทั่วทั้งอารามแมงป่อง
กลุ่มของหยุนยี่เฟิงไม่อยู่ที่นี่แล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพักอยู่นานเกินไปและคงไม่กล้าอยู่นานกว่านี้
เรื่องนี้ไม่สำคัญอีกแล้ว สำหรับหวังหลิน ขอบเมฆาก็แค่หมอกควันในอดีต สิ่งที่เขาต้องการเผชิญตอนนี้คือเก้าวิบากแก่นแท้!!
‘หากข้าผ่านด่านเก้าวิบากแก่นแท้ไปรวดเดียวและบรรลุขั้นวิบากดับสูญ ข้าจะทำลายล้างทั้งสำนักเต๋ามาร แม้แต่เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับปลายก็จะต้องโดนทำลายเพื่อชดใช้เวลาของข้าในช่วงร้อยปี!’ แววตาหวังหลินเย็นวาบและเต็มไปด้วยจิตสังหารแรงกล้า
หวังหลินมองขึ้นไป กำลังรอคอย!
รอคอยด่านวิบากแก่นแท้ที่จะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นเซียนขั้นวิบากดับสูญ!
เขาไม่เคยเห็นด่านวิบากแก่นแท้อันใดมาก่อน แต่มั่นใจว่าหยั่งเท้าได้สูงพอจนสามารถเห็นความงดงามของด่านวิบากแก่นแท้ได้!!
นับตั้งแต่ยุคโบราณกาล ใครก็ตามที่มีคุณสมบัติในการเผชิญด่านวิบากแก่นแท้ล้วนเป็นคนที่ระมัดระวังและร้อนรนอย่างมาก แม้กระทั่งเหล่ามหาชั้นฟ้าก่อนที่จะมาถึงระดับนี้ล้วนเหมือนกัน แต่คนแบบหวังหลินนั้นหาได้ยากยิ่ง!
………………………………………………………
ตอนที่ 1903
เบาเกินไป!
ด่านวิบากแก่นแท้เป็นขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านระหว่างขั้นแก่นแท้ดับสูญและขั้นวิบากดับสูญ มันแตกต่างจากทัณฑ์สวรรค์ที่ใช้เพียงก่อกำเนิดสายฟ้าเพียงอย่างเดียว แต่มันกลับใช้วิธีพิเศษเพื่อทำให้เซียนคนนั้นแตกดับไปทีละครั้ง
หากไม่สามารถผ่านด่านวิบากแก่นแท้ได้จะต้องตาย เซียนขั้นแก่นแท้ดับสูญหลายคนหวาดกลัวด่านวิบากแก่นแท้ หลายคนจึงอยู่ในขั้นแก่นแท้ดับสูญแทนที่จะเผชิญกับความน่ากลัวของวิบากแก่นแท้!
เช่นเดียวกับปรมาจารย์เต๋าความฝันที่อยู่ในขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับปลายมาเป็นเวลายาวนานและยังไม่ก้าวเข้าสู่ด่านวิบากแก่นแท้
เมื่อเข้าสู่ด่านวิบากแก่นแท้ มันเหมือนการเผชิญกับสถานการณ์เป็นตายถึงเก้าครั้ง ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความกล้าแบบนี้ เซียนขั้นวิบากแก่นแท้ส่วนใหญ่ได้ใช้เวลาหลายพันปีหรือนานกว่านี้ในการผ่านแต่ละด่าน
พวกเขาไม่มั่นใจมากพอในการผ่านด่านทั้งเก้าในรอบเดียว เมื่อใดก็ตามเหมือนกำลังรู้สึกว่าสถานการณ์กำลังแย่ พวกเขาก็จะฝืนหยุดมันและไม่มองหาโอกาสของตัวเองภายในด่านวิบากแก่นแท้!
ด่านวิบากแก่นแท้เป็นทั้งหายนะแต่ก็เป็นโชควาสนาเช่นกัน
หากผ่านสามด่านในรอบเดียว วิญญาณดั้งเดิมจะเพิ่มขนาดขึ้นเป็นสองเท่า คนที่สามารถผ่านหกด่านในรอบเดียวจะทำให้วิญญาณดั้งเดิมเพิ่มขึ้นสามเท่า ส่วนคนที่ผ่านทั้งหมดเก้าด่านในรอบเดียวคงจะทำให้วิญญาณดั้งเดิมเพิ่มขึ้นหลายเท่า! ส่วนจะได้มากแค่ไหนไม่มีใครรู้ เพราะมีเพียงสองคนที่เคยทำได้และทั้งคู่ก็ได้เป็นมหาชั้นฟ้าในเวลาต่อมา
หากพวกเขาไม่เปิดเผยก็จะไม่มีใครรู้ กระนั้นนี่แสดงให้เห็นว่ามันอันตรายแค่ไหน ลือกันว่าสองมหาชั้นฟ้าก็ยังบาดเจ็บสาหัสหลังจากผ่านด่านวิบากแก่นแท้ทั้งเก้ามาได้และต้องปิดด่านบ่มเพาะอย่างยาวนาน
หากเซียนธรรมดาสามารถผ่านด่านวิบากแก่นแท้ได้หกด่านในรอบเดียว เขาก็จะกลายเป็นเซียนที่ทรงพลังยิ่งในขั้นวิบากดับสูญระดับต้น หากไม่นำสมบัติมาเทียบ พวกเขาจะสามารถต่อสู้กับเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางได้และไม่เพลี่ยงพล้ำ!
แต่ก็นับว่าหายากมากที่จะมีคนโชคดีเช่นนี้ การผ่านเก้าด่านในรอบเดียวและการผ่านเก้าด่านด้วยเวลาหลายพันปีนับเป็นความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
วิบากแก่นแท้นั้นประหลาดยิ่ง คนนอกไม่สามารถช่วยได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับตัวเองเท่านั้น
ตู้ฉิงผ่านได้หลายด่าน แต่เขาผ่านมันทีละด่านซึ่งจะยากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อาจติดอยู่ตรงนี้ไปทั้งชีวิตแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีหวัง เขายังมีเวลาเตรียมตัว ถึงจะไม่มากแต่ก็ดีกว่าการผ่านทั้งหมดในครั้งเดียว
แต่ในเวลาต่อมา ยิ่งมีการทดสอบแห่งความเป็นความตายเข้ามาเรื่อยๆ มันจะยิ่งกลายเป็นฝันร้ายของทุกคน เมื่อเข้าสู่ด่านวิบากแก่นแท้ไปแล้ว แม้ไม่ต้องการผ่านด่านต่อไปก็ยังต้องไปต่อ นั่นจะกลายเป็นสัญญาณแห่งความตาย
บนแผ่นดินเซียนดารา มีคนคำนวณตัวเลขเอาไว้ ถึงแม้จะไม่ได้ตรงนักก็ตามที วิบากแก่นแท้ด่านแรกมีโอกาสตายหนึ่งในสิบส่วน ตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งถึงด่านที่เก้าซึ่งมีโอกาสตายถึงเก้าในสิบส่วน
อ้างอิงจากข้อมูลนี้ การผ่านด่านวิบากแก่นแท้เก้าด่านในครั้งเดียวไม่เพียงแต่ต้องการความแข็งแกร่งเท่านั้น มันยังต้องใช้โชคอย่างมหาศาล
หวังหลินยืนอยู่ในส่วนลึกของอารามแมงป่องด้วยความสงบนิ่ง สองเท้าก้าวออกมาและเลือนหายไป เขาปรากฏตัวอีกครั้งอยู่บนยอดของหางแมงป่อง
เรือนผมสีขาวพริ้วสะบัดราวกับกำลังทะยานไปพร้อมสายลม เขายืนรอการมาถึงของด่านวิบากแก่นแท้ตรงนั้น
‘วิบากแก่นแท้ มันจะมาได้อย่างไร? ข้ากำลังค้นหามันอยู่…’ แววตาหวังหลินเปล่งประกายขึ้นมา เขามั่นใจในการเผชิญหน้ากับวิบากแก่นแท้!
ระดับบ่มเพาะโคจรรวดเร็วยิ่งขึ้นจนกระทั่งร่างกายเปล่งกลิ่นอายขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับสูงสุด กลิ่นอายนี้รวบรวมในร่างกายจนระเบิดออกมาราวกับพายุและยิงขึ้นสู่ท้องฟ้า กลิ่นอายคล้ายกับผสานกับสรวงสวรรค์และก่อตัวเป็นพายุอันน่าตกตะลึง!
พายุได้ก่อเกิดแรงกดดันที่มองไม่เห็นและกวาดใส่หวังหลินที่อยู่ตรงกลาง มันปกคลุมพื้นที่รัศมีหลายร้อยลี้และแผ่กระจายออกไปอย่างต่อเนื่อง
ในพื้นที่หลายร้อยลี้เหล่านี้ สิ่งมีชีวิตทุกตัวถึงกับต้องล่าถอยจากแรงกดดัน พวกมันไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวเข้ามาข้างในได้แม้แต่ครึ่งก้าว!
นี่คือด่านวิบากแก่นแท้ เมื่อเซียนคนใดตัดสินใจจะผ่านด่านวิบากแก่นแท้ จะไม่มีใครรอบด้านให้ความช่วยเหลือได้!
แรงกดดันแผ่กระจายอย่างต่อเนื่องจนมาถึงหลายพันลี้ มันเข้าใกล้เหล่าเซียนหลายสิบคนหรือไม่ก็กลุ่มเซียนแคว้นมารเขียวที่มาดูการฟื้นคืนชีพของแมงป่องมารเขียว
แต่ละคนมีสีหน้าเปลี่ยนไป พวกเขาไม่ได้ใช้สัมผัสวิญญาณจึงไม่รู้ว่ามีคนกำลังจะผ่านด่านวิบากแก่นแท้!!
“วิบากแก่นแท้?!! นี่…แรงกดดันของวิบากแก่นแท้ปรากฏขึ้นที่นี่ได้อย่างไร!?”
“เป็นไปได้ว่าระดับบ่มเพาะของท่านมารเขียวตกลงมาหลังจากการฟื้นคืนชีพ และเพื่อฟื้นตัวจึงต้องผ่านด่านวิบากแก่นแท้?”
“ท่านมารเขียวถูกบรรพชนเทพผนึกด้วยตัวเอง นั่นหมายความว่าระดับบ่มเพาะของเขาสูงยิ่ง แต่เขาถูกผนึกมานานเกินไปและบางทีระดับบ่มเพาะคงตกลงไปอย่างมาก…”
เซียนมากกว่าสิบคนจากแคว้นมารเขียวล้วนมีความคิดเป็นของตัวเองและล่าถอยจากแรงกดดัน พวกเขามองไปทางอารามแต่ไม่สามารถใช้สัมผัสวิญญาณเข้าไปลึกได้ จึงไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นข้างใน
ขณะที่แรงกดดันแผ่กระจายออกมาหลายพันลี้ หวังหลินยืนอยู่ตรงหางแมงป่องและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาเห็นเกล็ดหิมะปรากฏออกมา
เกล็ดหิมะเป็นสีขาว ไม่นานมันจึงปกคลุมท้องฟ้า กลายเป็นม่านห่อหุ้มทั่วบริเวณ
‘หิมะ?’ หวังหลินมองเข้าไป
หิมะจับจองพื้นที่ทั่วทุกแห่งและกลายเป็นสิ่งเดียวที่ลอยอยู่ในท้องฟ้าหลายพันลี้ ขณะที่มันตกลงมา กลิ่นอายเย็นเฉียบแผ่กระจายและมีหิมะปกคลุมพื้นอย่างหนาแน่น
ทันทีที่หิมะปรากฏขึ้นมา เหล่าเซียนนับสิบจากแคว้นมารเขียวจึงรู้สึกหนาวเหน็บ หลายคนเห็นเกล็ดหิมะกำลังลอยอยู่ข้างใน!
“ด่านวิบากแก่นแท้แรกคือหิมะ! นี่ช่างหายาก…”
“ทั้งหมดมีเก้าวิบากแก่นแท้ สามด่านแรกคือพลังภายนอก สามด่านถัดมาคือพลังภายใน และสามด่านสุดท้ายคือวิญญาณ!”
“มาดูกันว่าท่านมารเขียวจะผ่านวิบากแก่นแท้ด่านหิมะนี้ได้อย่างไร!”
หวังหลินมองหิมะด้วยสายตาสงบนิ่ง เขาไม่ได้ลงมือทันทีแต่เฝ้าดูหิมะให้ตกลงมา
มันหนาแน่นมากขึ้นและหนาวเย็นมากขึ้น ไม่นานจากนั้นหิมะก็ได้รวมตัวกันราวกับแช่แข็งกาลเวลา
เกล็ดหิมะนับไม่ถ้วนกลายเป็นคมมีดหิมะพุ่งเข้าหาหวังหลินจากทุกทิศทาง!
‘นี่คือวิบากแก่นแท้ด่านแรกหรือ…’ หวังหลินส่ายศีรษะ แววตาเกิดความผิดหวัง ยกแขนขวาขึ้นมาสะบัดใส่หิมะที่กำลังถาโถมเข้ามา
ร่างแก่นแท้ห้าธาตุเคลื่อนไหว เกิดเป็นร่างเงาทับซ้อนและเดินออกมาจากร่างหวังหลิน
จากนั้นหวังหลินนั่งลงบนหางแมงป่อง สะบัดแขนขวานำขวดสุราออกมาถือไว้ในมือ ขวดสุรานี้ได้มาจากเมืองแห่งหนึ่งในแคว้นกระทิงสวรรค์ เขายกดื่มไปอึกใหญ่
เขานั่งลงพร้อมกับปล่อยผมสีขาวห้อยลงมา ร่างกายเผยสัมผัสความเยือกเย็น ท่าทางยังคล้ายกับชายวัยกลางคนชุดดำที่นั่งอยู่บนรูปปั้นแตกหักอันห่างไกลจากแผ่นดินเซียนดารา
โดดเดี่ยว เยือกเย็นและไม่แยแส
ร่างแก่นแท้ห้าธาตุก้าวเดินออกมาและปลดปล่อยทะเลเพลิงมหึมา ทะเลเพลิงเปลี่ยนกลายเป็นมังกรเพลิง 99 ตัวพุ่งออกมาปะทะกับเกล็ดหิมะอันมหาศาล พริบตาเดียวจึงเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
แม้เกล็ดหิมะจะหนาวเย็นและแหลมคม มันไม่มีอะไรพิเศษเบื้องหน้าร่างแก่นแท้ห้าธาตุของหวังหลิน! เกล็ดหิมะหลอมละลายจนมีควันสีขาวพวยพุ่ง พริบตาเดียวมันจึงเต็มไปทั่วพื้นที่ มังกรเพลิง 99 ตัวได้รวมกันเป็นมังกรเพลิงตัวเดียว มันปลดปล่อยเปลวเพลิงและความร้อนรุนแรงพลางทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ดุจคมกระบี่แทงทะลุท้องฟ้าและเผาไหม้สรวงสวรรค์!
เพียงเท่านี้วิบากแก่นแท้ด่านแรกก็พังทลายไปตรงๆ!
หวังหลินจิบสุรา ส่ายศีรษะพลางพึมพำ “เบาเกินไป…”
ท้องฟ้าพลันสั่นเทาอย่างรุนแรง สายลมโหยหวนทรงพลังและมีพายุอันน่าตกตะลึงปรากฏขึ้นในท้องฟ้า!
พายุทั้งเก้าคือพายุทอร์นาโดซึ่งพัดผ่านท้องฟ้าจนทะลเพลิงแตกกระจายและบางเบา จากนั้นเหลือเพียงพายุทั้งเก้า
พลังอันแข็งแกร่งโผล่ออกมาจากทอร์นาโดทั้งเก้า ตามมาด้วยเสียงสายลมหวนเข้าบดบังเสียงทุกอย่างในโลกนี้!
ทอร์นาโดทั้งเก้าลูกพุ่งทะยานเข้ามาหาหวังหลิน มีพลังฉีกกระชากราวกับต้องการฉีกร่างหวังหลินออกเป็นชิ้นๆ!
พริบตาเดียวทอร์นาโดแรกก็เข้ามาประชิด!
ร่างแก่นแท้ห้าธาตุไม่เคลื่อนไหว มันเพียงแค่จ้องมองอย่างเยือกเย็นอยู่ด้านหลังหวังหลิน มันเฝ้าดูทอร์นาโดเข้าใกล้และห่อหุ้มร่างหวังหลินเอาไว้
สายลมโอบล้อมรอบหวังหลินและหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ทว่าหวังหลินยังคงนั่งอยู่ปลายหางแมงป่องพลางดื่มสุราทั้งที่เสื้อผ้าและเรือนผมพริ้วสะบัดในสายลม สีหน้าท่าทางเขายังคงเหมือนดื่ม
เขาดื่มสุราต่อไปจนกระทั่งพายุลูกที่สอง สาม สี่…ไปถึงลูกที่เก้ารวมกันเป็นพายุทอร์นาโดยักษ์สูงเทียมฟ้า ตอนนี้หวังหลินจึงเงยศีรษะขึ้น
“ยัง…เบาเกินไป!”
…………………………………………………..
ตอนที่ 1904
มาดูกันว่าวิบากแก่นแท้จะเหลืออะไร!
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังหลินส่ายศีรษะ เขาไม่รู้ว่าคนอื่นผ่านด่านวิบากแก่นแท้กันอย่างไร แต่หิมะนี้ไม่สามารถทะลุทะลวงผ่านร่างแก่นแท้ของเขาไปได้และสายลมก็ไม่สามารถเอาชนะความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาได้เช่นกัน
แม้สายลมนี้จะพัดมาใส่สักร้อยปี มันก็ไม่สามารถฉีกกระชากร่างของเขาเป็นชิ้นๆ ได้เลย
ร่างกายหวังหลินไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ หลังจากได้รับการเสริมพลังจากชายชราชุดเขียว ร่างกายจึงแข็งแกร่งและยืดหยุ่นยิ่งขึ้น ความแข็งแกร่งและความทนทานแบบนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากสายลมเลย!
หวังหลินยกแขนซ้ายยื่นเข้าหาพายุทอร์นาโดรอบร่างกาย เขาดึงมันออกอย่างลวกๆ! เกิดเป็นเสียงดังกึกก้อง พายุทอร์นาโดแตกสลายจากชั้นแรกตรงไปสู่ชั้นที่เก้า มันระเบิดทั้งหมดและหายไปทันที
สายลมแตกกระเจิง หวังหลินยังคงนั่งดื่มสุราต่อไป ร่างแก่นแท้ห้าธาตุยืนอยู่ด้านหลัง จ้องมองท้องฟ้าอย่างเยือกเย็น
ท้องฟ้ามืดครึ้มราวกับใบหน้าอันหมองหม่น ไม่นานนักก้อนเมฆหายนะเต็มไปทั่วท้องฟ้า มันมีสายฟ้าแล่นผ่านและส่องสว่างจนถึงพื้นปฐพีด้านล่าง
เหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวซึ่งอยู่ห่างไกลไปหลายพันลี้ได้เป็นสักขีพยานหายนะแห่งหิมะและสายลม ตอนนี้พวกเขากลับเงียบสนิท
เสียงสายฟ้าดังรุนแรงมากยิ่งขึ้นและมีก้อนเมฆหายนะก่อตัวปกคลุมท้องฟ้ายิ่งกว่าเดิม พวกมันกดทับลงมาและมีสายฟ้าแล่นผ่านอยู่ภายใน ก้อนเมฆได้เผยความบ้าคลั่งและรุนแรง
ทว่ากลับไม่มีอะไรทำให้หวังหลินต้องลงมือ เขาดื่มสุราอย่างนิ่งเฉย จ้องมองก้อนเมฆและสายฟ้าในท้องฟ้า พลางหัวเราะขึ้น
“สายฟ้า?” หวังหลินมองก้อนเมฆและสายฟ้าในท้องฟ้าอีกครั้ง ส่ายศีรษะและดื่มไปอีกจิบ
เพียงแค่เขาส่ายศีรษะ ก้อนเมฆก็ส่งเสียงดังลั่น พวกมันเคลื่อนไหวไปพร้อมกับสายฟ้า กระหน่ำเทลงมาหาหวังหลิน สายฟ้านี้มีพลังอันน่าตกตะลึง พริบตาเดียวมันก็เข้าประชิดเพื่อจะสังหารหวังหลิน!
“เจ้ากล้าหรือ!?” หวังหลินพลันเงยหน้าและร้องคำราม!
เสียงคำรามเหนือล้ำกว่าเสียงแห่งสายฟ้าและกดทับเสียงดังสนั่นจากก้อนเมฆ เจตจำนงแห่งสายฟ้าระเบิดออกมาจากร่างหวังหลิน มันคือเจตจำนงของจ้าวแห่งสายฟ้า!!
สายฟ้าที่กำลังตกลงมาพลันหยุดชะงักและล่าถอยห่างจากหวังหลินไปพันฟุต ไม่เพียงแต่จะไม่โจมตีหวังหลิน มันพุ่งทะยานกลับเข้าไปยังก้อนเมฆหายนะ!
“ตั้งแต่ที่แก่นแท้สายฟ้าของข้าบรรลุความสมบูรณ์ มีเพียงข้าเท่านั้นที่สามารถใช้สายฟ้าใส่คนอื่น!” หวังหลินยกแขนซ้ายขึ้นมาและยื่นหาก้อนเมฆ ก้อนเมฆสั่นสะท้านและส่งเสียงคำรามราวกับไม่สามารถทนต่อแรงกดดันได้ สายฟ้าทั้งหมดข้างในไหลออกมาหาหวังหลิน
สายฟ้ามหาศาลรวมกันเบื้องหน้าแขนซ้ายและก่อเกิดเป็นก้อนสายฟ้า หวังหลินสะบัดแขนส่งก้อนสายฟ้าเข้าไปในท้องฟ้าและปะทะกับก้อนเมฆหายนะ
ก้อนเมฆหายนะพังทลายโดยไร้อาการต่อต้าน ความมืดมิดที่ปกคลุมโลกพลันหายวับไปทันที!
วิบากแก่นแท้ด่านที่สามพังทลายไปเรียบร้อย!
ห่างออกไปหลายพันลี้ เหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวมากกว่าสิบคนไม่สามารถมองเห็นหวังหลินได้ แต่พวกเขารู้สึกได้ถึงการผ่านด่านวิบากแก่นแท้ทั้งสามด่านอย่างง่ายๆ นี้ มันเหนือล้ำเกินกว่าจะเชื่อ!
พลังของด่านวิบากแก่นแท้ทั้งสามนั้นนับว่าธรรมดา มีเซียนที่ใจกล้าพอก็จะผ่านไปได้ ทว่ายังต้องใช้เวลาอยู่บ้างและคงต้องใช้พลังงานจำนวนมากเพื่อผ่านด่านทั้งสามในรอบเดียวเพื่อให้ได้รางวัลเพิ่มขนาดวิญญาณดั้งเดิมขึ้นสองเท่า
แต่หายากนักที่จะมีคนผ่านมันได้ง่ายๆ!
“ต้องเป็นท่านมารเขียว! ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางที่จะมีใครทำได้แบบนี้!”
“ด้วยระดับบ่มเพาะของท่านมารเขียวที่เขาเคยผ่านด่านวิบากแก่นแท้มาแล้ว คราวนี้จึงเผชิญพวกมันอีกครั้งอย่างสบายๆ!”
เหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวเผยความเคารพ พวกเขามองเข้าไปในพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยแรงกดดันวิบากแก่นแท้ รอคอยให้ท่านมารเขียวก้าวเดินออกมา
หวังหลินยังคงนั่งบนหางแมงป่องและมองออกไปยังท้องฟ้า ด่านวิบากแก่นแท้ทั้งสามที่ผ่านมาทำให้เขาผิดหวัง ตอนนี้เขากำลังรอคอยด่านที่สี่และอยากเห็นว่ามันจะน่าดูแค่ไหน
หวังหลินใช้ความสงบนิ่งเพื่อเฝ้าดูความงดงามของด่านวิบากแก่นแท้
‘ด่านวิบากแก่นแท้ที่สี่จะออกมาเป็นแบบไหนกัน…’ หวังหลินดื่มไปหนึ่งจิบ
จังหวะนี้เองเกิดระลอกคลื่นนับไม่ถ้วนขึ้นในท้องฟ้า ระลอกคลื่นแผ่กระจายและไม่นานก็ปกคลุมท้องฟ้าทั้งหมด
จากนั้นแรงกดดันหนึ่งแผ่กระจายและห่อหุ้มทั่วบริเวณ กลองยักษ์ขนาดหมื่นฟุตตกลงมาจากท้องฟ้า
กลองทั้งสองฝั่งสร้างขึ้นจากวัตถุดิบบางอย่าง ตอนที่ตกลงมามันไม่เกิดเสียงแต่เปล่งกลิ่นอายเก่าแก่
หวังหลินมองเข้าไปและถือขวดสุราเอาไว้
“น่าสนใจขึ้นมาหน่อย…” เพียงแค่เขาพึมพำ แววตาทอประกายวูบวาบ
ขณะเดียวกันเสียงกลองดังกึกก้องราวกับพลังที่มองไม่เห็นเข้าปะทะใส่ ราวกับมีคนับไม่ถ้วนกำลังตีกลองจากทิศทางที่แตกต่างกัน กลายเป็นคลื่นเสียง
วินาทีนั้นโลหิต เลือด กระดูกและเส้นชีพจรทั้งหมดของหวังหลินเกิดอาการสั่นเทา เขาสัมผัสได้ว่าเสียงกลองไม่ได้ออกมาจากหน้ากลอง แต่เป็นร่างของเขาเอง!
สิ่งนี้ทำให้แววตาหวังหลินทอประกายแสงรุนแรงยิ่งขึ้น เขารู้สึกถึงความรู้สึกคันๆ แล่นกระจายไปทั่วร่าง วินาทีนี้ร่างกายไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เนื่องจากมีแรงสั่นสะเทือนจากเสียงกลอง!
สายหมอกจำนวนมากก่อตัวขึ้นมากลายเป็นหมอกกระบี่ยักษ์ กระบี่เล่มนี้ดูราวกับภาพมายา ราวกับไม่มีอยู่จริง แต่วินาทีนั้นมันกลับปลดปล่อยจิตสังหารมหึมา
เพียงแค่กระบี่ยกขึ้นไปในอากาศ จิตสังหารจึงยิ่งแผ่กระจายอย่างรุนแรง จากนั้นฟาดฟันตรงเข้าสู่ศีรษะของหวังหลิน!
กระบี่เล่มนี้ไม่ได้กำลังจะผ่าร่างหวังหลินหรือวิญญาณดั้งเดิม มันกำลังจะตัดการเชื่อมต่อระหว่างร่างกายและวิญญาณ เมื่อตัดขาด วิญญาณและวิญญาณดั้งเดิมจะไม่สามารถกลับเข้าสู่ร่างได้อีกครั้ง กระบี่เล่มนี้ส่งผลต่อสายโลหิตซึ่งจะทำให้ร่างกายและวิญญาณเป็นเสมือนน้ำกับไฟ!
มันจะบังคับให้วิญญาณและวิญญาณดั้งเดิมอยู่นอกร่างกายไปตลอดกาล!
นี่คือหายนะภายในด่านแรก หายนะแห่งการแยก! กลองคือกุญแจสำคัญ ทันทีที่มันปรากฏขึ้นมา เป็นตัวชี้วัดว่าด่านวิบากแก่นแท้หายนะภายในได้เริ่มขึ้นแล้ว!
หายนะนี้ประหลาดมาก นับตั้งแต่ยุคโบราณมีเซียนหลายคนตายไปมากมาย เมื่อวิญญาณดั้งเดิมและวิญญาณถูกบังคับให้ออกมา ร่างกายจะแตกสลายไปเพราะเสียงกลอง จากนั้นวิญญาณและวิญญาณดั้งเดิมจะแตกสลายตามมาติดๆ
หมอกกระบี่เงียบเชียบแต่มีจิตสังหารพรั่งพรูออกมาราวกับควันสีดำพุ่งทะยานหาหวังหลิน ตลอดหลายชั่วอายุคนมีเซียนนับไม่ถ้วนถูกกระบี่เล่มนี้ฟาดฟันใส่ วิญญาณและร่างกายแยกขาดจากกันอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้กระบี่ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งและฟาดฟันใส่หวังหลิน!
หวังหลินไม่รู้ว่าเซียนส่วนที่ผ่านด่านวิบากแก่นแท้ภายในทั้งสามต้องเตรียมการมานานก่อนที่จะกล้าลองของ ทั้งหมดต่างก็ผ่านแต่ละด่านไปด้วยการค้นหาโอกาสรอดชีวิตอันน้อยนิดอย่างระมัดระวัง!
วินาทีนี้เสียงกลองมาถึงขีดจำกัดในร่างหวังหลิน แต่ไม่สามารถหยุดการเต้นหัวใจได้ เขาไม่รู้ว่าคนอื่นเผชิญหน้ามันอย่างไร แต่หวังหลินมีวิธีของตัวเอง อัตราเต้นหัวใจเพิ่มความเร็วขึ้นและเสียงดังดุจสายฟ้า เสียงหัวใจเต้นปะทะกับเสียงกลอง ทำให้เขาได้กลับมามีพลังเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ชั่วจังหวะที่เขาสามารถเคลื่อนไหวได้ หมอกกระบี่กำลังเข้าประชิด หวังหลินปล่อยขวดสุราในมือขวา ยกฝ่ามือขึ้นมาและพลันปรากฏดาบหยินขึ้นในทันที ตัวดาบเปล่งกลิ่นอายเย็นเยียบราวกับโผล่ออกมาจากขุมนรก!
“ดี เข้ามา!” หวังหลินยิ้มและไม่ได้ลุกขึ้น เขาใช้ดาบหยินฟาดฟันเข้าใส่หมอกกระบี่
ดาบและกระบี่เข้าปะทะกันในทันทีจนเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง หมอกกระบี่สั่นเทาอย่างรุนแรง จากนั้นเกิดรอยแตกร้าวและแตกสลายไป จิตสังหารจากกระบี่ไม่ยอมถอยและพุ่งเข้ามากลืนกินหวังหลิน วินาทีนี้ภายในร่างหวังหลินมีจิตสังหารทรงพลังยิ่งกว่าที่มาจากหมอกกระบี่ได้ระเบิดออกมา มันเข้าไปกลืนกินจิตสังหารจากหมอกกระบี่และพุ่งเข้าสู่ท้องฟ้า
จิตสังหารนี้คล้ายกับมีจิตวิญญาณ มันแตกสลายและล่าถอยราวกับไม่กล้าสู้กับจิตสังหารของหวังหลิน จากนั้นมันจึงแตกสลายไปอย่างรวดเร็ว
ด่านวิบากแก่นแท้ภายใน ด่านแรกได้พังทลาย! ขณะที่จิตสังหารแตกสลาย เสียงกลองดังออกมาจากท้องฟ้าอีกครั้ง!
เสียงนี้รุนแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนหลายเท่าและเกิดคลื่นเสียงแผ่กระจาย ราวกับกลองสงครามกำลังเพิ่มเสียงเข้าทำลายล้างโลก!
นาทีที่เสียงดังออกมา หวังหลินยืนขึ้นเป็นครั้งแรก แขนซ้ายคว้าจับขวดสุราที่ปล่อยออกมาจากมือขวาและดื่มไปหนึ่งอึก จากนั้นพุ่งทะยานเข้าสู่ท้องฟ้า!
“ข้าจะทำลายกลองนี้ มาดูกันว่าด่านวิบากแก่นแท้จะเหลืออะไรหลังจากนี้!”
ตอนที่ 1905
วิบากวิญญาณทั้งสาม!
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังหลินกระโจนออกไปจากอารามแมงป่องและพุ่งเข้าหากลองในท้องฟ้า ดาบหยินในมือปลดปล่อยกลิ่นอายเย็นเยียบราวกับสามารถแช่แข็งทุกอย่างได้
เสียงกลองดังระทึกและกึกก้องอยู่ในกระดูกของหวังหลิน ร่างเงาหลายร่างโผล่ออกมาจากระลอกคลื่นที่เกิดจากเสียงกลอง
ร่างเงาทุกตัวสวมเกราะสีแดงดุจทหารเทพโลหิต พวกมันปรากฏตัวนับพันและพุ่งเข้าหาหวังหลินด้วยจิตสังหารทรงพลัง
นี่คือวิบากแก่นแท้ภายในอันดับต่อมา วิบากเงาโลหิต!
ร่างเงาโลหิตที่เกิดขึ้นจากวิบากครั้งนี้ไม่อ่อนแอไปกว่าเซียนขั้นแก่นแท้ดับสูญและไม่มีวันตาย ถึงจะถูกทำลายก็นสามารถเกิดออกมาจากระลอกคลื่นได้อีกครั้ง วงจรไม่มีที่สิ้นสุดนี้กลายเป็นฝันร้ายสำหรับทุกคนที่กำลังผ่านด่านวิบาก!
สิ่งสำคัญที่สุดคือทุกครั้งที่มีร่างเงาตายไปหนึ่ง ความแข็งแกร่งของมันจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หากใช้เวลานานเกินไป การจะผ่านด่านวิบากครั้งนี้ยิ่งยากขึ้นไปอีก!
เดิมการที่จะมีเซียนเผชิญหน้ากับวิบากแก่นแท้ภายในติดต่อกันนับว่าหาได้ยากนัก คนส่วนใหญ่เมื่อผ่านวิบากแก่นแท้ภายในด่านแรกไปแล้วจะฝืนออกไป จากนั้นเมื่อเตรียมตัวได้แล้วก็จะเข้ามาลองวิบากเงาโลหิต!
ส่วนที่น่ากลัวของวิบากครั้งนี้คือมันไม่สามารถโดนทำลายได้ ดังนั้นจึงมีคนผ่านไปไม่มากนัก!
หวังหลินไม่รู้ว่าคนอื่นผ่านด่านวิบากเงาโลหิตไปได้อย่างไร แต่เขามีวิธีของตัวเอง ขณะที่ร่างเงาโลหิตนับพันกำลังใกล้เข้ามา หวังหลินลอยตัวอยู่ในท้องฟ้า แววตาเปล่งประกายสีทองแวววาว
ภายใต้แสงสีทองนี้ หวังหลินได้เปล่งพลังข่มเหงอันทรงพลัง พลังนี้มาจากเศษกระบี่ที่ชายชราชุดเขียวผสานเข้าไปในตาเขา แม้แต่วิญญาณแมงป่องยังถูกสายตานี้ข่มได้ คงไม่ต้องพูดถึงเหล่าเงาโลหิตพวกนี้เลย!
หวังหลินกวาดสายตาผ่านท้องฟ้า ร่างเงาโลหิตทั้งหมดที่โดนสายตานี้กวาดใส่ถึงกับร่างสั่นเทาและไม่กล้าเคลื่อนไหว พวกมันรู้สึกกลัวราวกับสวรรค์กำลังกดทับใส่พวกมันเอง แรงกดดันที่มองไม่เห็นนี้ทำให้พวกมันรู้สึกเหมือนหากก้าวเข้าไปเพียงครึ่งก้าวอาจจะโดนทำลายอย่างโหดเหี้ยม!
หลังจากหวังหลินกวาดสายตา จึงเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ไปซะ!”
น้ำเสียงไม่ได้ดังมากนัก แต่พอถึงร่างเงาโลหิตนับพัน ราวกับเป็นอำนาจแห่งสวรรค์ พวกมันสั่นสะท้านและถอยร่นโดยไม่รู้ตัว
พวกมันคือภาพมายาที่เกิดขึ้นจากด่านวิบากแก่นแท้ภายใน ดังนั้นจึงไม่มีสติปัญญามากนักแต่รู้สึกกลัวตามสัญชาตญาณ พวกมันถอยไปหลายพันฟุตและหายกลับเข้าไปในระลอกคลื่น
ผู้คนมากมายต่างใช้วิธีการหลายอย่างในการผ่านด่านวิบากนี้ แต่ไม่เคยมีใครที่ไม่ต้องทำอะไรทว่ายังให้พวกเงาโลหิตกลัวจนถึงจุดที่ไม่กล้าก้าวเข้ามาข้างหน้าได้เลย!
พอร่างเงาโลหิตหายไป หวังหลินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเข้าหากลองยักษ์ กลองนี้กำลังจะส่งเสียงเป็นครั้งที่สาม
หวังหลินเข้าประชิด ยกดาบหยินขึ้นมาฟันลงใส่กลองยักษ์!
ร่างเงาห้าธาตุและร่างเงาหลายร่างทับซ้อนขึ้นมา พวกมันยกแขนขวาและมีดาบหยินปรากฏ เป็นการโจมตีตามหลังหวังหลินติดต่อกันถึงสามครั้ง!
ยามที่ดาบหยินของหวังหลินกระแทกใส่กลอง เสียงครั้งที่สามดังออกมา แต่มันกลับถูกเสียงดาบและเสียงการปะทะกลบจนมิดจนไม่ได้ยินเลย
นาทีนี้ดาบสามเล่มจากร่างห้าธาตุของหวังหลินร่อนลงใส่กลอง
มองไกลๆ ราวกับคมมีดแยกสวรรค์สี่เล่มผ่าลงใส่กลองยักษ์ ส่งเสียงดังกึกก้องพร้อมกับเกิดรอยแตกร้าวบนหน้ากลองและแตกสลายในทันที!
กลองแตกสลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย กลายเป็นพายุอันทรงพลัง
วิบากแก่นแท้ภายในด่านที่สามไม่ได้โผล่ออกมาเพราะหวังหลินทำลายรากฐานของด่านวิบากแก่นแท้ภายใน!
หลังจากผ่านไปหกด่านวิบากแก่นแท้ หวังหลินมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นและไม่มีท่าทีสบายเหมือนก่อนหน้านี้ ด่านวิบากแก่นแท้ภายในทั้งสามด่านทรงพลังยิ่งกว่าสามด่านแรก หวังหลินยังต้องใช้สายตาข่มเหงและดาบหยินเพื่อผ่านด่าน!
จากการวิเคราะห์ของเขา สามด่านสุดท้ายคงจะทรงพลังยิ่งกว่าด่านวิบากภายในอีกหลายเท่า มันคือช่องว่างที่ขวางกั้นเซียนไม่ให้บรรลุขั้นวิบากดับสูญ!
หวังหลินร่อนลงบนหางแมงป่องและเก็บดาบหยินเข้าไปในแขน เขามองท้องฟ้าและรอคอยสามด่านสุดท้ายให้มาถึง
ชายชราชุดเขียวไม่เพียงแต่ให้สายตาข่มแหงและดาบหยินแก่หวังหลิน เขายังมอบเส้นชีพจรเทพที่สร้างจากเส้นผมของบรรพชนเทพอีกด้วย!
เส้นชีพจรนี้ทำให้หวังหลินสามารถผสานพลังเทพและพลังโบราณได้ในระดับหนึ่ง! เส้นผมที่มีพลังเทพหนาแน่นจะกลายเป็นสายโลหิตเทพของหวังหลิน!
แม้เส้นผมนี้ไม่สามารถทำให้หวังหลินผสานพลังทั้งสองแบบได้อย่างสมบูรณ์ แต่มันก็มีผลบางอย่าง อย่างน้อยๆ ก็สามารถทำให้พลังปราณสวรรค์อันบริสุทธิ์สามารถไหลเวียนผ่านเส้นผมเส้นนี้ได้!
พลังปราณสวรรค์ที่ว่าคือพลังเทพที่ทำให้หวังหลินสามารถใช้สมบัติและทำให้เขาเกือบไร้เทียมทานในโลกถ้ำ!
สมบัตินี้สามารถคุกคามเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นได้อย่างแท้จริง!
หวังหลินขบคิดพลางมองไปยังท้องฟ้าและยังคงไม่เคลื่อนไหว
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ก้อนเมฆกระจัดกระจายแต่วินาทีต่อมาพลันมีแสงน่ากลัวโผล่ออกมาจากท้องฟ้า แสงน่ากลัวนี้ให้ความรู้สึกแปลกประหลาด ไม่นานนักมันรวมตัวกันกลายเป็นผนึกขนาดยักษ์!
ผนึกมีรูปร่างน่ากลัวแต่เปล่งกลิ่นอายกฎแห่งโลก ราวกับมันเป็นส่วนหนึ่งในการควบคุมว่าโลกนี้จะดำเนินไปอย่างไร
หวังหลินจ้องมองผนึกพลางหรี่ตาแคบ ตอนที่ผนึกปรากฏมันทำให้เขารู้สึกวิกฤติบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าวิกฤตินี้จะเผยตัวออกมาเอง
‘นี่คือวิบากด่านที่เจ็ด…’ หวังหลินขมวดคิ้วและพ่นลมหายใจ เขากำลังจะสบัดแขนเพื่อสลายวิบากนี้แต่ทันใดนั้นสีหน้าเปลี่ยนไป รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในวิญญาณดั้งเดิม!
เดิมทีวิญญาณดั้งเดิมของเขาทรงพลังมากและนั่งอยู่ในร่าง แต่ตอนนี้มันกลับแสดงสัญญาณกำลังอ่อนกำลัง
วิญญาณดั้งเดิมกำลังเหี่ยวแห้งอย่างรวดเร็วภายในเวลาหนึ่งลมหายใจ ด้วยความเร็วระดับนี้คงใช้เวลาแค่เจ็ดลมหายใจ วิญญาณดั้งเดิมก็จะแตกสลายและทำให้เขาตาย!!
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้สั่นคลอนจิตใจหวังหลิน เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าใจถึงความน่ากลัวของด่านวิบากแก่นแท้อย่างลึกซึ้ง!
หากต้องการชะลอวิญญาณดั้งเดิม เขาจะต้องกลืนกินพลังจำนวนมาก เวลาเป็นสิ่งสำคัญ หวังหลินดวงตาวูบวาบและอ้าปากสูดเข้าไป พลังในโลกหมุนรอบตัวเขาแต่ไม่สามารถกลืนกินมันได้
พื้นที่รอบบริเวณถูกพลังลึกลับจากวิบากแก่นแท้เข้าห่อหุ้ม อย่างอื่นไม่สามารถเข้ามาได้ แม้แต่พลังในโลกก็ไม่สามารถผ่านมาได้เช่นกัน!
ลมหายใจที่สองผ่านมาแล้ว วิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินเหี่ยวแห้งเร็วยิ่งขึ้น!
‘วิบากด่านที่เจ็ดช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!’ หวังหลินเงยศีรษะขึ้นและพุ่งเข้าหาผนึกในท้องฟ้า ยกแขนขวาขึ้นมาโยนกำปั้นเข้าใส่!
ร่างเงาบัญชาโบราณปรากฏขึ้นด้านหลังหวังหลินและโยนกำปั้นออกไปด้วยเช่นกัน ทว่ากำปั้นนี้ได้ทะลุผ่านผนึกและไม่สร้างความเสียหายเลย ผนึกดูเหมือนจะเป็นภาพมายา มันไม่สามารถสัมผัสได้!
จากการกระทำนี้ ลมหายใจที่สามมาถึงแล้ว วิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินอ่อนแอลงอีกครั้ง มันลดขนาดลงมาเกือบครึ่ง!
หวังหลินมีท่าทีมืดมนทันที
วิบากด่านที่เจ็ดนี้คือหนึ่งในสามวิบากวิญญาณ ซึ่งเรียกกันว่าวิบากวิญญาณสิบลมหายใจ! ตลอดหลายปีที่ผ่านมามีเซียนหลายคนตายในด่านนี้นับไม่ถ้วน วิญญาณดั้งเดิมจะเหี่ยวเฉาหลังจากผ่านไปถึงลมหายใจที่เจ็ด จากนั้นก็จะเข้าสู่ความตาย!
วิบากด่านนี้เป็นการสังหารอย่างเงียบงัน ซึ่งทำให้มันน่าหวาดกลัวยิ่ง! ผนึกในท้องฟ้าเป็นกุญแจสำคัญแต่ไม่สามารถโดนทำลายได้ มันจะอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งเซียนได้ตายไปแล้ว มันถึงจะหายไป!
หวังหลินจ้องมองผนึกในท้องฟ้า ความคิดหลายอย่างแล่นวาบอยู่ในหัว
‘ข้าประเมินวิบากแก่นแท้นี้ต่ำไป…ช่างน่าสนใจ…มันทำลายวิญญาณดั้งเดิมข้า พลังทั้งหมดในโลกถูกผนึกจนข้าไม่สามารถดูดซับมาเติมเต็มได้…เช่นนั้นก็มีหนทางเดียว!’
หวังหลินดวงตาเปล่งประกาย เขาไม่สามารถดูดซับพลังภายในบริเวณได้แต่มีพลังอีกแห่งอันบริสุทธิ์ยิ่งที่นี่ นั่นคือวิญญาณแมงป่อง!
พอลมหายใจที่สี่มาถึงหวังหลินจึงเคลื่อนไหวโดยไม่ลังเล ยกแขนขึ้นมาและประทับลงใส่อารามแมงป่อง
อารามแมงป่องสั่นเทา แขนทั้งสองของหวังหลินดูเหมือนจะมีพลังดึงดูดอันทรงพลัง เสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากในอาราม
พอลมหายใจที่ห้าเข้ามาถึง หมอกวิญญาณกระจายออกมาจากอารามและพุ่งเข้าสู่แขนของหวังหลิน มันเปลี่ยนกลายเป็นพลังงานและถูกดูดซับเข้าไปในร่างกาย
วิญญาณแมงป่องถูกหวังหลินตัดออกเป็นหกส่วน เขาดูดซับไปสี่ส่วนเพื่อบรรลุขั้นแก่นแท้ดับสูญ อีกสองส่วนสุดท้ายถูกซ่อนไว้ในอารามแมงป่อง
ปกติแล้วหวังหลินคงจะตามหาได้ยาก แต่เพราะมีระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นและได้ดูดซับไปสี่ส่วนก่อนหน้านี้ เขาจึงเชื่อมต่อกับแมงป่อง ด้วยสายใยการเชื่อมต่อจึงค้นหาอีกสองส่วนที่เหลือได้ง่ายๆ และดึงมันออกมา
ตอนที่ 1906
วิบากดับสูญ
โดย
Ink Stone_Fantasy
วิญญาณแมงป่องประกอบไปด้วยพลังของโลกอันหนาแน่น พอหวังหลินดูดซับเข้ามา วิญญาณดั้งเดิมจึงฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว!
ลมหายใจที่หกมาถึงแล้ว วิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินทรุดลงอีกครั้ง ทว่าด้วยพลังจากวิญญาณแมงป่องมันจึงสมดุลแต่คงอยู่ได้ไม่นานนัก พอเวลาผ่านไปก็จะพังทลายอีกรอบ
เว้นแต่หวังหลินจะหาพลังเข้ามาเติมเต็มมากขึ้นกว่าเดิม
เซียนส่วนใหญ่รอดผ่านวิบากด่านนี้ด้วยการกลืนกินเม็ดยาและใช้สิ่งของเพื่อต่อต้านพลังทำลาย หากสามารถรอดชีวิตในเจ็ดลมหายใจแรกไปได้ ยังต้องอดทนอีกสามลมหายใจต่อมาเพื่อให้ครบสิบลมหายใจ!
อย่างไรก็ตามสามลมหายใจสุดท้ายจะยิ่งน่ากลัวมากกว่าเจ็ดลมหายใจแรก แม้แต่เซียนที่รวยที่สุดยังเอาชีวิตรอดได้ยากมาก เป็นเพราะการทำลายของมันรวดเร็วยิ่งกว่าอัตราการย่อยเม็ดยา ก่อนที่จะดูดซับเม็ดยาได้มากพอ วิญญาณดั้งเดิมคงจะถูกทำลายโดยไม่เหลืออะไรแล้ว!
ดังนั้นคุณภาพของเม็ดยาจึงสำคัญมาก แม้แต่เม็ดยาที่ดีที่สุดก็ยังเอาชีวิตรอดในด่านวิบากนี้ได้ยากยิ่ง เม็ดยาที่ดีขึ้นจะทำให้คนมีความมั่นใจมากขึ้น
ด่านวิบากนี้ทำให้เซียนตกอยู่ในสภาวะจองจำ พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้แต่ต้องอดทนต่อไป ตั้งแต่ยุคโบราณมาทุกคนทำได้แค่อดทนเท่านั้น!
แม้แต่มหาชั้นฟ้าก็ยังต้องอดทนทำได้แค่ใช้เม็ดยาจำนวนมากและเกิดความหวาดกลัวในใจเท่านั้น!
แม้แต่มหาชั้นฟ้าสองคนในตำนานที่ผ่านเก้าวิบากแก่นแท้ในคราเดียวก็ยังต้องอดทน เมื่อผ่านสิบลมหายใจไปได้ วิบากนี้จะสูญสลายไปเอง
เมื่อลมหายใจที่เจ็ดอันโหดเหี้ยมเข้ามาถึง ความสมดุลในวิญญาณดั้งเดิมจึงหายไป วิญญาณหวังหลินทรุดลงอีกครั้งแต่สีหน้าท่าทางไม่เปลี่ยนไป ช่วงเวลานี้เขาต้องคิดหาหนทางทะลวงผ่านด่านนี้ไปให้ได้!
‘หากข้าต้องอดทนต่อไป ข้าต้องรีบหาวิญญาณที่แท้จริงของแมงป่องมารเขียว ด้วยวิญญาณของมันจะทำให้ผ่านด่านวิบากนี้ไปได้ง่ายๆ!’
‘แต่…การดูดซับวิญญาณที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องง่ายและยังต้องใช้เวลา ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน…’ หวังหลินดวงตาเป็นประกาย
‘วิบากก็เป็นโชคด้วยเช่นกัน…ข้ายังเชื่อแบบนี้ ถึงแม้จะดูประหลาด มันก็แค่วิบากด่านเดียว! ทำให้วิญญาณดั้งเดิมข้าทรุดลง…ข้าอยากเห็นเสียจริงว่าพลังเสื่อมโทรมของด่านวิบากนี้จะแข็งแกร่งกว่าศรัทธาของข้าหรือไม่!’ หวังหลินเงยหน้า ดวงตาเผยประกายแสงแห่งศรัทธาอันทรงพลัง!
ด้วยปัญญาของหวังหลินจึงมองเห็นกุญแจการผ่านด่านวิบากแห่งนี้และรู้ว่าคนอื่นรอดชีวิตไปได้อย่างไร วิธีนี้คือการอยู่เฉยๆ ยอมให้ตัวเองโดนด่านวิบากควบคุมและรอดชีวิตไปเหมือนสุนัขจนตรอก
หวังหลินไม่ต้องการตัวเลือกนี้เลย!
‘ข้ามีศรัทธามากพอ วิญญาณดั้งเดิมข้าก็มีศรัทธาของข้าเช่นกัน ข้าอยากเห็นว่าด่านวิบากนี้จะทำลายข้าด้วยศรัทธาได้อย่างไร!’ หวังหลินมองผนึกในท้องฟ้าด้วยความมุ่งมั่น
เขาเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์มาหลายครั้งในชีวิตและไม่รู้สึกหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว หวังหลินมีแต่ความรู้สึกมุ่งมั่นที่จะเหนือกว่าสวรรค์!
พอลมหายใจที่แปดมาถึง หวังหลินเงยหน้าขึ้น วิญญาณดั้งเดิมทรุดโทรมลงจนเหลือเพียงแค่เศษเสี้ยว ทว่าเศษเสี้ยวนี้มีพลังศรัทธาของเขาที่ไม่มีวันยอมแพ้และมุ่งมั่นที่จะฟื้นคืนชีพลี่มู่หวาน!
เศษเสี้ยววิญญาณดั้งเดิมไม่แตกดับไปในลมหายใจที่แปด มันคงอยู่ต่อไปเหมือนความมุ่งมั่นของหวังหลิน!
‘ข้าเชื่อว่าวิญญาณดั้งเดิมของข้าเป็นอมตะ!’
‘ข้าเชื่อว่าตัวตนของข้าไม่มีวันถูกลบล้าง!’
‘ข้าเชื่อว่าชีวิตข้าอยู่ในมือของตัวเอง!’
ลมหายใจที่เก้าผ่านเข้ามา ร่างกายสั่นสะท้านแต่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ลมหายใจที่เก้ามีพลังในการทำให้วิญญาณดั้งเดิมเหี่ยวเฉาและทำลายล้างเขา แต่เศษเสี้ยววิญญาณดั้งเดิมยังคงเหลืออยู่จนผ่านลมหายใจที่เก้าไปได้!
นี่ไม่ใช่วิญญาณดั้งเดิมอีกแล้วแต่เป็นพลังแห่งศรัทธา ฟ้าดินสามารถลบล้างวิญญาณดั้งเดิมได้ทั้งหมดแต่ไม่สามารถทำลายศรัทธาของผู้คนได้ หากไม่มีศรัทธาหลงเหลืออยู่ ชีวิตของคนผู้นั้นก็คงอยู่ในมือของฟ้าดิน แม้จะดุด่าสวรรค์แต่ท้ายที่สุดมาจากการกระทำของตัวเอง!
เพราะพวกเขายอมละทิ้งศรัทธาของตัวเองไปแล้ว!
แต่หวังหลินไม่ใช่ ศรัทธาของเขาเสมือนเปลวเพลิงที่กำลังโหมกระหน่ำ เขามองผนึกในท้องฟ้าด้วยสายตาสั่นคลอนสรวงสวรรค์!
‘ข้าเชื่อว่าด่านวิบากนี้จะหายไป!’
‘ข้าเชื่อว่า ข้าสามารถฟื้นคืนชีพหวานเอ๋อร์ได้’
‘ข้าเชื่อว่า ข้าสามารถก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของโลกแห่งนี้ได้!!’ หวังหลินร้องคำรามใส่ท้องฟ้า ศรัทธาของเขากำลังสั่นสะเทือนสรวงสวรรค์!
ลมหายใจที่สิบลงมาด้วยพลังในการทำลายศรัทธาของหวังหลิน มันเหมือนคลื่นอันโกรธเกรี้ยวที่กำลังพุ่งเข้าทำลายศรัทธาเขา!
แต่ท้ายที่สุดแล้ว แม้จะผ่านพ้นลมหายใจที่สิบไป วิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินยังมีศรัทธาหลงเหลืออยู่! ไม่เพียงแต่มันจะยังอยู่ มันยังระเบิดออกมาทันที!
‘อำนาจแห่งฟ้าดินสามารถทำลายร่างกายข้า ทำลายวิญญาณดั้งเดิมของข้า ทำลายวิญญาณข้า แต่ไม่สามารถทำลายศรัทธาของข้าได้!’ หวังหลินร้องคำรามและก้าวเข้าสู่ท้องฟ้า เทียบกับโลกแห่งนี้เขาเสมือนกับมดแมลงแต่มีกลิ่นอายเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ระเบิดออกมาจากร่างกาย เขามุ่งหน้าไปที่ผนึกในท้องฟ้า ยกแขนขึ้นมาฉีกผนึกมายา!
ผนึกมายาได้รับผลกระทบจากศรัทธาของหวังหลินและเผยสัญญาณกลายเป็นของที่จับต้องได้ ด้วยการฉีกกระชากของหวังหลินนี้เองมันจึงพังทลาย!
เมื่อผนึกพังทลาย วิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินจึงฟื้นคืนในพริบตา มันเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดและใหญ่ยิ่งกว่าเดิม!
วิบากด่านที่เจ็ด วิบากวิญญาณสิบลมหายใจ พังทลายเบื้องหน้าหวังหลิน!!
เมื่อวิบากด่านที่เจ็ดพังทลาย โลกจึงเปลี่ยนไปมหาศาล แสงส่องประกายและมีผนึกที่สองปรากฏขึ้นในท้องฟ้า
ผนึกที่สองแตกต่างจากผนึกแรกโดยสิ้นเชิง มันซับซ้อนยิ่งกว่าและเปล่งกลิ่นอายเก่าแก่ วิบากด่านที่แปด วิบากวิญญาณชีวิตปรากฏขึ้นมาแล้ว!
วิบากวิญญาณชีวิตสิบลมหายใจ ด่านที่สองในวิบากแก่นแท้วิญญาณ มันไม่ได้ทำความเสียหายต่อวิญญาณดั้งเดิมแต่เป็นการลดอายุขัย!
วิบากด่านนี้จะเปลี่ยนการไหลเวียนของเวลา อายุขัยของเซียนนับว่ามากมายมหาศาล มันใช้เวลาเพียงชั่วครู่แต่ทำให้เวลาเปลี่ยนไปหลายล้านหรือหลายร้อยปีได้!
เมื่อวิญญาณกลับคืนมาก็คงตายไปแล้ว! เวลาหนึ่งล้านปีในพริบตา ด่านวิบากนี้แปลกประหลาดยิ่งกว่าอันก่อนหน้า มันไม่ได้เข้ามาสังหารเซียน เป้าหมายของมันคือการทำให้เซียนสังเวยอายุขัยด้วยความสมัครใจ!
วิบากด่านนี้สัมพันธ์อย่างยิ่งกับด่านที่เก้า หากมีคนสามารถสละอายุขัยหนึ่งแสนปีได้ เช่นนั้นด่านที่เก้าก็จะง่ายดายและผ่านได้สบาย! ทว่ามีเซียนน้อยคนมากในขั้นแก่นแท้ดับสูญที่มีอายุขัยเหลือมากกว่าแสนปี
หากไม่สังเวยอายุขัย อัตราการรอดชีวิตในด่านที่เก้าจะเหลือเพียงหนึ่งในสิบส่วน!
ในวิบากด่านที่แปดนี้ เซียนผู้นั้นจะต้องตัดสินใจว่าจะสังเวยอายุขัยกี่ปี! โดยปกติแล้วคนที่กล้าเข้าสู่ด่านที่แปดจะมีแผนของตัวเอง พวกเขาคำนวณไว้แล้วว่าจะต้องบ่มเพาะไปอีกกี่ปีและจากนั้นสังเวยที่เหลือเพื่อเอาไปเพิ่มโอกาสในการผ่านด่านที่เก้า
เพราะการบรรลุขั้นวิบากดับสูญจะไม่ทำให้อายุขัยเพิ่มขึ้น ยกเว้นแต่จะกลายเป็นมหาชั้นฟ้า
เว้นแต่จะพบเจอโชควาสนาบางอย่าง ไม่เช่นนั้นจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้
หวังหลินมองผนึกที่สองในท้องฟ้า หลังจากเห็นผนึกแล้วจึงเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาในหัว ความคิดเหล่านี้ทำให้หวังหลินเข้าใจด่านวิบากที่แปดได้ผ่านวิธีการลึกลับบางอย่าง
หลังจากเข้าใจด่านที่แปดแล้ว หวังหลินเกิดความคิดหลายอย่าง เขาไม่รู้ว่าราชันย์เทพสีรุ้งผ่านด่านนี้ได้อย่างไร แต่เหมือนจะได้พบเจอโชควาสนาอีกทางหนึ่ง
เขาเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่คิดไว้ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องผิดพลาด เซียนหลายคนที่เขาพบเจอส่วนใหญ่ต่างก็ติดอยู่ในวิบากแก่นแท้ด่านที่แปด
ด่านวิบากนี้ไม่จำเป็นต้องผ่าน ตราบใดที่สังเวยชีวิตเข้าไปก็สามารถดึงออกมาได้ แม้จะสังเวยแค่ปีเดียวก็จบสิ้นด่านที่แปดนี้ได้เช่นกัน!
แต่การผ่านด่านที่เก้าจะยิ่งยากขึ้นกว่าเดิม!
หวังหลินขบคิดอยู่นาน ดวงตาส่องสว่างขึ้นมา เขาพุ่งทะยานเข้าหาผนึกในท้องฟ้า ประทับฝ่ามือเข้าใส่
“ข้าสังเวยหนึ่งปี!”
เพียงที่คำพูดเอ่ยเสียงดังกึกก้อง ร่างกายสั่นสะท้าน ผนึกเบื้องหน้าเขาค่อยๆ หายไป
วิบากด่านที่แปดหายไปแล้ว
พอด่านที่แปดสลายไปแล้ว หวังหลินสามารถเลือกที่จะออกไปจากที่นี่ได้แต่เขาไม่ไปไหน เขามองท้องฟ้า รอคอยวิบากด่านสุดท้ายปรากฏขึ้นมา!
หากสามารถผ่านวิบากด่านสุดท้ายไปได้ เขาจะทะลวงผ่านขั้นแก่นแท้ดับสูญและกลายเป็นขั้นวิบากดับสูญ!
หวังหลินสูดหายใจลึกและเผยท่าทีสุขุม เขาผ่านด่านวิบากแก่นแท้ทั้งแปดในรอบเดียว กำลังจะเผชิญหน้ากับด่านที่เก้าซึ่งเป็นด่านสุดท้าย!
หวังหลินยกแขนซ้ายขึ้นมายื่นเข้าหาความว่างเปล่า แสงสีทองส่องประกาย คันศรลี่กวงที่ไม่ปรากฏออกมายาวนานพลันปรากฏขึ้นในแขนซ้าย!
แขนขวารั้งสายคันศรจนกลายเป็นรูปดวงจันทร์เต็มดวง พริบตาเดียวลูกศรลี่กวงจึงปรากฏขึ้น!
หวังหลินเงยหน้ามองดูท้องฟ้า แววตาผุดจิตสังหารอย่างเต็มเปี่ยม! ร่างแก่นแท้ห้าธาตุด้านหลังยกแขนขึ้นมาและปรากฏภาพลวงตาเป็นคันศรและลูกศรลี่กวงขึ้นมาด้วยเช่นกัน!
กลางหน้าผากหวังหลินมีสายฟ้ากะพริบวูบวาบ ร่างแก่นแท้สายฟ้าแฝงกลิ่นอายทำลายล้างปรากฏขึ้นด้านหลังร่างแก่นแท้ห้าธาตุ มันยกแขนซ้ายขึ้นและรั้งแขนขวา ปรากฏภาพมายาเป็นคันศรและลูกศรลี่กวงขึ้นในมือด้วยเช่นกัน!
ตอนที่เขาสังเวยชีวิตหนึ่งปีเพื่อด่านแก่นแท้ที่แปดนี้ หวังหลินตัดสินใจแล้ว เขาจะไม่ผ่านด่านที่แปด เขาจะทำลายมัน!
ไม่ว่าวิบากนี้จะทรงพลังแค่ไหน เขาไม่สนใจมันแล้วเพราะเขาจะทำลายมัน! การผ่านด่านถึงแปดครั้งยังไม่เพียงพอ การต่อต้านด่านสุดท้ายไม่ใช่นิสัยของเขา หวังหลินเกลียดชังหายนะจากสวรรค์เหล่านี้ที่แม้แต่เขาก็ไม่เข้าใจตัวเอง!
ความเกลียดชังได้ประกาศออกมาช่วงระหว่างที่เขาเผชิญกับมันในชีวิตหลายต่อหลายครั้ง!
หากมองถึงต้นตอของความเกลียดชัง มันเริ่มตั้งแต่บนดาวซูซาคุในโลกถ้ำ ตอนที่เขาโอบกอดลี่มู่หวาน ร้องคำรามออกไปด้วยความโกรธแค้นและสิ้นหวังต่อสวรรค์!
ขณะที่หวังหลินรั้งคันศรลี่กวง พลังเทพจากสายโลหิตได้พุ่งเข้าสู่คันศร ทำให้คันศรเปล่งประกายเจิดจ้าและมีแสงสีทองห่อหุ้มรอบร่างหวังหลินเอาไว้
แสงสีทองดูเหมือนกลายเป็นมังกรทอง มันร้องคำรามใส่ท้องฟ้าและกำลังจะพุ่งเข้าสู่ท้องฟ้าเพื่อทำลายโลกแห่งนี้!
ขณะเดียวกันมีแสงสีฟ้า แดงและเหลืองโผล่ออกมาจากคันศรลี่กวงในมือของร่างแก่นแท้ห้าธาตุ แสงทั้งสามคือแก่นแท้ธาตุวารี เพลิงและปฐพี สามแสงที่แตกต่างกันกลายเป็นมังกรหลากสีสามตัว!
ทางด้านขวาของหวังหลิน ร่างแก่นแท้สายฟ้ายืนนิ่งอย่างเยือกเย็น สายฟ้าเข้าปกคลุมคันศรลี่กวง ส่องสว่างขึ้นในโลกและปรากฏเป็นมังกรตัวที่ห้า!
มังกรที่ปรากฏขึ้นมาเป็นมังกรสายฟ้าที่เปล่งกลิ่นอายทำลายล้าง กลิ่นอายนี้สะกดข่มร่างแก่นแท้ห้าธาตุและข่มได้แม้แต่ร่างดั้งเดิมของหวังหลิน!
มองไกลๆ ช่างเป็นฉากที่น่าตกตะลึงยิ่ง มังกรทั้งห้ากำลังร้องคำราม!
ผนึกสุดท้ายปรากฏขึ้นในท้องฟ้า นี่คือวิบากแก่นแท้ด่านที่เก้า! วิบากด่านนี้มีชื่อว่าการเกิดใหม่! เป็นประตูสุดท้ายที่ป้องกันไม่ให้เซียนได้บรรลุขั้นวิบากดับสูญ!
นาทีที่ผนึกปรากฏ แรงกดดันทรงพลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้พลันปรากฏขึ้น ผู้คนมากมายต่างก็หลงทางอยู่ในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ ไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้ก่อนจะตายอยู่ในนั้น!
“ทำลายล้างวิบาก!” หวังหลินร้องคำราม น้ำเสียงทะลุผ่านแสงสีทองและแผ่กระจายออกไปทั่วทิศทาง เข้าถึงหูของเซียนทั้งหมดรอบด้านและทำให้พวกเขาเป็นพยานรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความตกตะลึง
“ทำลายล้างวิบาก!”
“เขา…เขาผ่านแปดวิบากแก่นแท้ในรอบเดียว ส่วนด่านที่เก้า เขาก็ไม่เผชิญหน้ากับมันแต่เลือกที่จะทำลาย!!”
“ความโอหังแบบนี้ นี่…นี่มีแต่ท่านมารเขียวเท่านั้นที่ทำได้!”
ใบหน้าแต่ละคนซีดเผือด จิตใจสั่นไหวจากคำพูดนั้น ภายในแสงสีทองหวังหลินได้ปล่อยสายธนูที่รั้งไว้ออกไป!
พลังปราณสวรรค์หนาหน่นกระแทกเข้าใส่ลูกศรจนยิงออกไปพร้อมกับเสียงหวีดดังรุนแรง!
ลูกศรพุ่งทะยานออกไป!
มองไกลๆ มันไม่ใช่ลูกศรอีกแล้วแต่เป็นมังกรทอง เสียงหวีดคือเสียงคำรามของมังกร ลูกศรสีทองคือร่างของมังกร!!
โลกพลันเปลี่ยนสีสัน สรวงสวรรค์ล่าถอย ทุกชีวิตตื่นตัว!
มังกรทองนำพากลิ่นอายที่อธิบายไม่ได้พุ่งเข้าสู่ท้องฟ้า! ด้านหลังมันเป็นร่างแก่นแท้ห้าธาตุขยับแขนขวา ส่งมังกรสีฟ้า แดงและเหลืองตามมังกรทองไปติดๆ!
ไม่ใช่แค่หนึ่งตัวแต่ทั้งหมดมีสี่ตัว ลูกศรทั้งสี่พุ่งทะยานเข้าสู่ท้องฟ้า!
กระนั้นไม่ใช่แค่สี่ตัวแต่มีถึงห้า! ร่างแก่นแท้สายฟ้าของหวังหลินปล่อยแขนขวาไปด้วยเช่นกัน เสียงดีดผึงดังกึกก้องและมีมังกรสายฟ้าพุ่งทะยานเข้าสู่ท้องฟ้า!
มังกรตัวนี้มีกลิ่นอายทำลายล้าง กลิ่นอายแห่งเขตอาคมและสายฟ้าสวรรค์ผสานเข้าด้วยกันกลายเป็นพลังทำลายล้างได้ทุกชีวิต!!
ห้ามังกรฉีกกระชากสวรรค์!
ห้าลูกศรมุ่งสู่ผนึกชะตาสวรรค์!
ลูกศรสีทองของหวังหลินเข้ากระแทกใส่ผนึกเกิดใหม่ของวิบากแก่นแท้ด่านที่เก้าและระเบิดพลังเต็มที่ ผนึกสั่นสะเทือนราวกับกำลังพังทลาย
จากนั้นไม่นานลูกศรอีกสามดอกได้มาถึง ทั้งสามดอกกระแทกเข้าใส่และยังคงดังกึกก้อง ผนึกในท้องฟ้าเผยสัญญาณพังทลายและเกิดรอยแตกร้าวขึ้นจำนวนมาก!
ลูกศรเหล่านี้ควรจะไม่มีอยู่จริงแต่ด้วยพลังแห่งศรัทธาของหวังหลิน ความเกลียดชังต่อสวรรค์และความเชื่อในการทำลายสวรรค์!
ศรัทธาของเขาจึงทำให้การโจมตีนี้ใกล้เคียงกับวิชาแห่งศรัทธาของมหาชั้นฟ้า ดังนั้นจึงสามารถเปลี่ยนสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงให้มีขึ้นมาได้!
ลูกศรดอกสุดท้ายคือลูกศรสายฟ้าที่มีพลังทำลายล้างอยู่ด้วย มันไม่ใช่ลูกศรแล้วแต่เป็นสายฟ้าที่เป็นลูกศร พอเข้าไปใกล้ผนึกเกิดใหม่จึงระเบิดพลังทำลายล้างออกมา
ลูกศรยังเปล่งสายฟ้าสังหารแต่เพียงแค่เศษเสี้ยวของมันก็มากพอจะสั่นคลอนสวรรค์ได้แล้ว!
ผนึกเกิดใหม่สั่นสะท้านและแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ท้องฟ้าดูเหมือนพังทลายไปพร้อมกับมันด้วย!
สิ่งที่แตกสลายไปด้วยคืออารามแมงป่องด้านล่างหวังหลิน อารามไม่สามารถทนรับแรงสั่นสะเทือนระดับนี้ได้มันจึงพังทลายเป็นเศษเสี้ยวกระจายไปทั่วสารทิศ
อารามแมงป่องเขียวแตกสลาย!
ฝุ่นผงพุ่งขึ้นสู่อากาศและซ่อนร่างหวังหลินเอาไว้ กลิ่นอายขั้นวิบากดับสูญจนทำให้โลกต้องสั่นสะท้านกำลังโผล่ออกมาจากภายในเมฆฝุ่น!!
กลิ่นอายขั้นวิบากดับสูญนี้ทรงพลังยิ่งและก่อเกิดเป็นวังวน วังวนที่ทำให้ท้องฟ้าพังทลาย ผืนแผ่นดินแตกสลาย พลังทำลายล้างเข้าสู่วิบากแก่นแท้ วังวนนี้อยู่ใจกลางแคว้นมารเขียวที่มีอารามมารเขียวตั้งอยู่!!
เหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวนับสิบคนเผยความหวาดกลัว พอแรงกดดันจากขั้นแก่นแท้ดับสูญหายไป พวกเขาจึงรีบเข้ามาใกล้
“ขอคารวะ ท่านมารเขียว!”
“ขอแสดงความยินดีต่อการฟื้นคืนชีพ ท่านมารเขียว!”
ตอนที่ 1907
ประตูฝืนลิขิตสวรรค์!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหล่าเซียนทั้งหมดที่อยู่รายล้อมต่างก็โค้งคำนับอย่างเคารพต่ออารามแมงป่องที่ตอนนี้แรงกดดันวิบากแก่นแท้หายไปแล้ว
กลิ่นอายขั้นวิบากดับสูญข้างในพายุกำลังโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง เพียงแค่กลิ่นอายกระจายออกมา โลกก็เปลี่ยนสีสันราวกับสวรรค์กำลังหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า
ภายในพายุมีร่างหนึ่งผอมเพรียว เรือนผมยาวสะบัดพริ้วในพายุ รูปร่างลักษณะไม่อาจเห็นได้ชัดเจนแต่เขาปลดปล่อยกลิ่นอายขั้นวิบากดับสูญอันทรงพลัง
แม้จะเป็นเพียงแรงกดดันของเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้น มันกลับทำให้จิตใจของเซียนบริเวณนี้เกิดการสั่นเทา ราวกับพวกเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้น แต่เป็นขั้นวิบากดับสูญระดับสูงสุด!
ร่างในพายุค่อยๆ ก้าวเดินออกมาและชัดเจนขึ้น หวังหลินมองท้องฟ้าอย่างสงบนิ่ง
เขารู้สึกว่าหลังจากทำลายวิบากแก่นแท้ด่านที่เก้าไปแล้ว ม่านที่กดดันระดับบ่มเพาะของเขาจึงหายไป ทำให้ระดับบ่มเพาะเพิ่มพูนขึ้นจนบรรลุขั้นวิบากดับสูญ!
‘วิบากดับสูญ…’ หวังหลินหลับตา ในร่างกายมีวังวนขนาดยักษ์ที่กำลังหมุนอย่างรวดเร็ว มันปลดปล่อยกลิ่นอายน่ากลัวออกมา หวังหลินรู้สึกว่าแค่เปิดฝ่ามือก็ครอบครองโลกได้แล้ว
เป็นความรู้สึกอันพิเศษ
วินาที่ต่อมาขณะที่พายุหายไปจากด้านหลัง เขาจึงลืมตาขึ้น กำหมัดขวาจนส่งเสียงดังปะทุ พลังอันน่ากลัวเหนือล้ำกว่าขั้นวิบากดับสูญระดับต้นได้รวมกันอยู่ในมือ
พื้นดินด้านล่างเขาเกิดเสียงสั่นสะเทือนและเกิดรอยแตกร้าวแผ่กระจาย แรงกดดันแผ่กระจายออกไปทันที เหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวต่างก็ล่าถอยและมองหวังหลินด้วยความสงสัย
พอไม่อาจสัมผัสกลิ่นอายแมงป่องมารเขียวจากหวังหลินได้ แต่ละคนจึงมีท่าทีเปลี่ยนไป
‘ความรู้สึกของขั้นวิบากดับสูญ…’ หวังหลินก้มหน้ามองไปที่มือตัวเอง ตอนที่เขากำลังจะจากไป สีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันทีเพราะหลังจากบรรลุขั้นวิบากดับสูญมาได้ ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าในร่างก็เริ่มเคลื่อนไหวด้วยพลังเต็มที่ พลังดึงดูดกำลังแผ่กระจายออกมาจากร่างและพุ่งไปถึงพื้นด้านล่าง
เป็นครั้งแรกที่หวังหลินรู้สึกชัดเจนถึงความปั่นป่วนจากลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า ความปั่นป่วนนี้เต็มไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า!
เป็นความปั่นป่วนที่หวังหลินไม่สามารถสัมผัสได้ชัดเจนก่อนจะบรรลุขั้นวิบากดับสูญ หลังจากระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นดูเหมือนลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าจะแตกต่างจากก่อนหน้านี้
แววตาหวังหลินเป็นประกายเย็นเยียบ หลังจากขบคิดเล็กน้อยจึงยกมือขวาขึ้นมาโยนกำปั้นลงใส่พื้นปฐพีด้านล่าง!
พอกำปั้นลงไป มันเปลี่ยนกลายเป็นฝ่ามือลงกระแทกพื้นจนเกิดรอยแตกร้าวนับไม่ถ้วนและผิวพื้นดินแตกกระจาย
พลังทำลายล้างระเบิดออกมาและเข้าสู่พื้นดิน เกิดเป็นหลุมยักษ์กว้างหลายหมื่นฟุต พริบตาเดียวมันก็ลงเข้าสู่ส่วนลึก!
ด้านล่างอารามแมงป่องเป็นจุดที่แมงป่องมารเขียวถูกผนึกเอาไว้! ตอนนี้หวังหลินได้ทำลายพื้นดินและเปิดเส้นทางเข้าสู่ตำแหน่งที่วิญญาณแมงป่องถูกผนึกเอาไว้
วินาทีที่พื้นดินถูกเปิดออกมา มีเสียงคำรามดังออกมาจากในหลุม เสียงคำรามรุนแรงและเต็มไปด้วยความแค้นสะสมมหาศาล
สายหมอกสีเขียวจำนวนมากพุ่งออกมาจากหลุมลึก หมอกราวกับเสาพุ่งทะลุขึ้นสู่อากาศและก่อเกิดเป็นแมงป่องเขียวขนาดยักษ์ในท้องฟ้า!!
แมงป่องขนาดร้อยฟุตและมีร่างเงาขนาดใหญ่อยู่ด้านล่างพื้นดิน พอเหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวเห็นเช่นนี้จึงเผยความหวาดกลัวออกมา!!
“ท่านมารเขียว!!”
“นี่…มันเกิดอะไรขึ้น? วิญญาณของท่านมารเขียวปรากฏตัว เช่นนั้นคนผู้นี้เป็นใคร!?”
“หรือว่าเขาไม่ใช่ท่านมารเขียวที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา!?” เหล่าเซียนสงสัยอยู่ในใจ หลังจากเห็นหมอกสีเขียวเปลี่ยนกลายเป็นแมงป่องยักษ์ พลันเกิดความคิดขึ้นในใจจนแทบไม่อยากเชื่อ!
“หวังหลิน!! เขาคือหวังหลินแห่งแคว้นกระทิงสวรรค์!” หนึ่งในเซียนจากสำนักเต๋ามารพูดขึ้น เมื่อร้อยปีก่อนเขาอยู่ชายแดนของแคว้นมารเขียวและแคว้นเมิ่งตู เข้าร่วมการไล่ล่าหวังหลินด้วยเช่นกัน!
ในใจเกิดความลังเลบางอย่าง ตอนนี้พอจดจำหวังหลินได้จึงเกิดเสียงดังสั่นสะเทือน!!
วิญญาณแมงป่องมารเขียวที่โผล่ออกมาจากหลุมลึกได้ส่งเสียงฟ่อ ร่างใหญ่ยักษ์พลิกตัวอยู่กลางอากาศและจ้องมองหวังหลิน บนร่างมีผนึกอยู่สี่แห่งคือหัว หาง ด้านหน้าและด้านหลัง
ผนึกทั้งสี่นี้ถูกสร้างขึ้นจากบรรพชนเทพเพื่อผนึกวิญญาณและทำให้กลายเป็นพลังของแคว้นมารเขียว!
ร่างหวังหลินดูเล็กมากเบื้องหน้าแมงป่องเขียว ทว่าเขายืนด้วยสายตาเยือกเย็นและเปล่งกลิ่นอายข่มเหงวิญญาณแมงป่อง
เรือนผมสีขาวปกคลุมหัวไหล่ ขณะที่วิญญาณแมงป่องร้องคำราม เขายกแขนขึ้นมาและโยนกำปั้นออกไป กำปั้นนี้มีทั้งพลังบัญชาโบราณและระดับขั้นวิบากดับสูญ กลายเป็นพลังฉีกกระชากสวรรค์พุ่งเข้าหาวิญญาณแมงป่อง
ร่างของวิญญาณแมงป่องเกิดการสั่นเทาและมีเสียงดังสนั่น มันถูกดันกลับไปราวกับโดนสายลมรุนแรงตีเข้าใส่ วิญญาณแมงป่องดูเหมือนกำลังจะมอดดับแต่วินาทีนี้มีผนึกทั้งสี่เรืองแสงวูบวาบและรับพลังจากกำปั้นของหวังหลินเข้าแทน หลังจากโดนผลักออกไปหมื่นฟุต ร่างของมันยังคงอยู่เหมือนเดิม!
กรรร!!
วิญญาณแมงป่องสั่นสะท้านและพุ่งเข้าหาหวังหลินอีกครั้ง คราวนี้มีสัมผัสวิญญาณดังออกมาอย่างมืดหม่น!
“เซียนแคว้นมารเขียวทั้งหมด สังหารมัน!!”
สีหน้าท่าทางของเซียนจากแคว้นมารเขียวมากกว่าสิบคนล้วนเปลี่ยนไป พวกเขามองหวังหลินและพุ่งทะยานเข้าหา
‘ผนึกของบรรพชนเทพยังคงทรงพลังแม้จะผ่านมาแล้วหลายปี แสดงให้เห็นว่าตอนนั้นบรรพชนเทพทรงพลังแค่ไหน…’
หวังหลินมองวิญญาณแมงป่องที่กำลังเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีเย็นชา ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าหมุนด้วยความเร็วสูงสุดจนถึงขีดจำกัด ความต้องการของมันยิ่งรุนแรง
หวังหลินมีแววตาเป็นประกายและยกแขนขวาขึ้นมาสะบัดใส่แมงป่องมารเขียว แสงสีขาวกะพริบออกมาจากฝ่ามือ ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าปรากฏขึ้นมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่มาถึงแผ่นดินเซียนดารา!
พอลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าปรากฏตัว มันปลดปล่อยแสงสีขาวมหาศาลและทำให้บริเวณแห่งนี้ส่องสว่าง ทันทีที่วิญญาณแมงป่องได้เห็นลูกปัดฝืนลิขิตฟ้ามันจึงชะงักไปชั่วจังหวะ จากนั้นเกิดแววตาหวาดกลัวและหวาดหวั่นขึ้นทันที มันส่งเสียงคำราม ร่างกายหยุดเคลื่อนไหวและถอยอย่างบ้าคลั่ง!
“แสงขาว…นี่มัน…นี่มันลูกปัดขาว!!”
มันดูหวาดกลัวและการถอยกลับไปได้ทำให้เหล่าเซียนที่กำลังมุ่งเข้ามาต้องตกตะลึง สายตาแต่ละคนรวมกันไปที่ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าทันที!
แม้วิญญาณแมงป่องจะล่าถอยอย่างรวดเร็วมันก็ไม่เร็วเท่าลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า ลูกปัดทะยานออกไปด้วยความเร็วเหนือจินตนาการและเข้าไปใกล้วิญญาณของแมงป่องเขียว ผนึกทั้งสี่เรืองแสงวูบวาบแต่ลูกปัดก็ทะลุเข้าไปได้และตรงเข้าสู่วิญญาณแมงป่อง!
วินาทีที่มันเข้าไป ลูกปัดส่งพลังดึงดูดอันน่ากลัวออกมา วิญญาณแมงป่องซึ่งมีขนาดหลายแสนฟุตกำลังหดขนาดลงต่อหน้าต่อตาทุกคน
หนึ่งลมหายใจ สองลมหายใจ สามลมหายใจ!!
เพียงแค่เวลาสามลมหายใจ วิญญาณแมงป่องยักษ์ได้หดลงอย่างบ้าคลั่งจนถูกลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าดูดซับไปทั้งหมด เหลือไว้เพียงผนึกทั้งสี่ของบรรพชนเทพ พอไม่ได้กักขังแมงป่องแล้วผนึกจึงเปลี่ยนกลายเป็นสีเทาและสูญสลายไป
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้แทบทำให้เซียนรอบด้านต้องจนปัญญา สำหรับพวกเขาแล้วหวังหลินเสมือนฝันร้าย พวกเขากระจายตัวออกไปและใช้วิชาของตัวเองหลบหนีให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
หวังหลินไม่ได้ไล่ตามแต่ยืนอยู่ตรงนั้น มองลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าที่ได้ดูดซับวิญญาณแมงป่องเข้าไป ดวงตาหวังหลินทอประกาย ยกแขนขวายื่นออกไป
ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าลอยเข้าสู่ฝ่ามือหวังหลินทันที
พอหวังหลินจับลูกปัดได้ ร่างกายจึงสั่นเทาและสัมผัสได้ว่าลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าได้บรรลุอีกระดับหนึ่ง มันกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าตกตะลึง
หลังจากขบคิดเพียงเล็กน้อย หวังหลินโบกสะบัดแขนซ้ายให้พายุเข้ามาห่อหุ้มรอบตัว พายุนี้กว้างถึงพันลี้และเปล่งกลิ่นอายน่ากลัวหยุดยั้งสิ่งมีชีวิตทุกอย่างไม่ให้เข้ามา
หลังจากวางการป้องกันได้แล้ว หวังหลินส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า เขาต้องการดูว่ามันเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างหลังจากบรรลุความสำเร็จไปอีกระดับ!
ทันทีที่หวังหลินส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไป ภาพทัศนวิสัยจึงพร่าเลือน เมื่อได้สติได้เขาอยู่ในมิติว่างไร้ขอบเขต มีประตูยักษ์คล้ายกับเชื่อมต่อกับฟ้าดินอยู่ที่นี่!
มีแขนสีเขียวข้างหนึ่งบนประตูที่กำลังเปล่งกลิ่นอายทำลายล้าง!
ประตูฝืนลิขิตสวรรค์!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น