Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1888-1897
ตอนที่ 1888
สาบาน!
โดย
Ink Stone_Fantasy
พลังทำลายล้างอันน่ากลัวถูกร่างเงาบัญชาโบราณของหวังหลินต้านทานเอาไว้ รวมถึงร่างกายอันแข็งแกร่งและเกราะธาตุดินรูปทรงมนุษย์อันลึกลับ
แม้กระนั้นหวังหลินยังรู้สึกถึงวิญญาณดั้งเดิมกำลังสั่นเทา เขาถูกดันถอยกลับมาหลายหมื่นฟุตจนกระอักโลหิต พื้นที่บริเวณหน้าอกของเกราะธาตุดินเกิดรอยร้าวขนาดเท่าฝ่ามือแต่เกราะไม่ได้แตกสลาย
‘พวกมันต้องการทำร้ายข้าให้บาดเจ็บเพื่อ…ถ่วงเวลา!’ หวังหลินพยายามใช้บิดมิติ แต่พื้นที่บริเวณนี้โดนปิดผนึกไปแล้ว แม้จะมีเกราะวิญญาณก็ไม่สามารถข้ามผ่านภูเขาลูกนี้ไปได้
ขณะที่หวังหลินล่าถอย ปราณกระบี่ตามเข้ามาอย่างกระชั้นชิด มันสามารถผ่าโลกออกเป็นครึ่งส่วนด้วยกระบวนท่าเดียว
หวังหลินพลันเงยหน้าขึ้น มือขวาชกออกไปใส่กระบี่ การเผชิญกับเงากระบี่และวิชาที่ซับซ้อนแบบนี้ ใช้กำปั้นจะดีกว่า
เงากระบี่สั่นเทาและแตกสลายเสียงดังสนั่น แต่แขนขวาของหวังหลินเกิดอาการด้านชาและเกราะรูปร่างมนุษย์แตกร้าว
ปราณกระบี่พุ่งเข้าไปในร่างหวังหลินและกำลังจะระเบิดออกมาแต่หวังหลินฝืนระงับเอาไว้ เขาพุ่งเขาหาชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนยอดเขา
ชายหนุ่มจ้องหวังหลินด้วยท่าทีเย็นชา เขาคือเมฆาสูญสิ้น!
เมฆาสูญสิ้นยกกระบี่ขึ้นมาส่งกระบวนท่าที่สองออกไปกลายเป็นเงากระบี่ผ่าลงใส่หวังหลิน!
กระบวนท่านี้แข็งแกร่งกว่าของเดิมมากกว่าสามในสิบส่วน หวังหลินโยนกำปั้นออกไปพร้อมเสียงคำราม
ปราณกระบี่ครั้งที่สองพังทลายเสียงดังสนั่น เกราะธาตุดินบนแขนขวาของหวังหลินระเบิดไปพร้อมกัน
แต่หลังจากกระบวนท่าที่สองพังทลาย เมฆาสูญสิ้นปลดปล่อยกระบวนท่าที่สามและสี่ตามมาติดๆ!
ปราณกระบี่มหึมาทั้งสองพุ่งเข้าหาหวังหลิน หวังหลินตอนนี้อยู่ห่างจากเมฆาสูญสิ้นประมาณพันฟุต ใบหน้าเต็มไปด้วยจิตสังหาร
เมฆาสูญสิ้นหน้าซีดเล็กน้อย ตอนที่หวังหลินเข้ามาใกล้ เขากัดปลายลิ้นและพ่นโลหิตออกมา โลหิตเปลี่ยนกลายเป็นสีทองและเปลี่ยนกลายเป็นร่างเงากระบี่พุ่งใส่หวังหลิน
จากนั้นเขายกแขนขวาขึ้นมาทันที กระบี่โบราณเต็มไปด้วยกลิ่นอายสูงศักดิ์พลันปรากฏ เขาคว้าเอาไว้และกระโจนขึ้นสู่อากาศ ปลดปล่อยกระบวนท่าสุดท้ายตามหลังเงากระบี่เก้าเล่ม!
ตอนที่หวังหลินเห็นกระบี่โบราณปลดปล่อยกลิ่นอายทรงอำนาจ เขาสัมผัสถึงร่องรอยพลังมหาชั้นฟ้าออกมาจากมันได้!
กระบี่เล่มนี้เหมือนกับประทับสีทองของเขา มันคือสมบัติที่มหาชั้นฟ้าสร้างขึ้นด้วยการควบแน่นวิชา!
ขณะที่ร่างเงาทั้งเก้ากระบี่เข้ามาใกล้ หวังหลินดวงตาส่องสว่างขึ้นมา เขากำลังจะหนีไป ใครก็ตามที่พยายามขัดขวางจะต้องอดทนต่อความโกรธเกรี้ยว เกราะบนแขนขวาพังทลายแต่เขายังมีแขนซ้าย!
แขนซ้ายกำหมัดและโยนกำปั้นออกไปใส่ร่างเงากระบี่ทั้งเก้า!
“มาดูกันว่ากระบี่เจ้าจะแหลมคมกว่าหรือเป็นกำปั้นข้าที่ทนทานกว่า!”
เสียงดังสนั่นกึกก้องไปทั่วภูเขาจนก่อเกิดเป็นพายุพัดใส่อาณาบริเวณ เงากระบี่ทั้งเก้าพังทลายและปะทะกับแขนซ้ายหวังหลิน ทว่าพอเขาเข้าไปได้จนถึงระยะสองร้อยฟุต เมฆาสูญสิ้นกำลังจะปลดปล่อยกระบวนท่าสุดท้ายออกมา!
“สมบัติที่สร้างขึ้นจากวิชาของมหาชั้นฟ้า ข้าก็มีเช่นกัน!” หวังหลินไม่ได้ใช้แยกราตรี แม้ระดับบ่มเพาะจะเพิ่มขึ้นด้วยเกราะวิญญาณ เขาก็ไม่สามารถใช้ได้ถึงสองครั้งในคราเดียว
เขาต้องใช้ในช่วงวิกฤติที่สุด การต่อสู้กับเมฆาสูญสิ้นดูเหมือนยากแต่ก็ไม่มากพอให้หวังหลินต้องใช้แยกราตรี!
เขามองความคิดของเมฆาสูญสิ้นและผู้ส่งสาส์นทั้งสองออก การต่อสู้เพียงเพื่อถ่วงเวลาเขา
วินาทีที่หวังหลินเอ่ยเสียงดังกึกก้อง แขนขวายื่นออกไปปรากฏประทับสีทอง!
ประทับสีทองปะทะเข้ากับกระบี่โบราณ เกิดเสียงดังกึกก้องจนเมฆาสูญสิ้นกระอักโลหิตและดูอ่อนแรง กระบี่ในมือแตกสลายเป็นเศษเสี้ยวนับไม่ถ้วน เขากระเด็นกลับลงไปบนพื้นดิน
ประทับสีทองของหวังหลินเกิดรอยแตกร้าวลึกแต่ไม่ได้พังทลาย มันหมองหม่นลงและหวังหลินเก็บไป จังหวะที่สมบัติทั้งสองปะทะกัน คุณภาพของสมบัติและเหล่าวิชาไม่สำคัญเลย ปัจจัยสำคัญอยู่ที่จำนวนพลังแห่งศรัทธาที่พวกเขาใช้เพื่อสร้างสมบัติ
การสร้างสิ่งหนึ่งจากความว่างเปล่านับว่าเป็นเรื่องลี้ลับอยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าพลังแห่งศรัทธาจากกระบี่ของเมฆาสูญสิ้นยังด้อยกว่าประทับสีทองของหวังหลินอยู่หลายขุม!
หวังหลินยืนอยู่บนยอดเขาและจ้องมองเมฆาสูญสิ้นที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
โลหิตไหลออกจากปากเมฆาสูญสิ้นอย่างต่อเนื่อง เขามองหวังหลินและดูพ่ายแพ้
“ข้าแพ้…” เขาไม่ได้พูดถึงว่าหวังหลินสวมเกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์หรือพูดถึงสมบัติของมหาชั้นฟ้า แพ้ก็คือแพ้!
“แต่เจ้าก็แพ้เช่นกัน…” เมฆาสูญสิ้นพยายามลุกขึ้นมองหวังหลินด้วยท่าทีซับซ้อน
“เกราะวิญญาณของเจ้าใกล้จะหมดเวลาแล้ว พลังทำลายล้างและความพยายามของข้าเพียงแค่ถ่วงเวลาเจ้าไว้ชั่วครู่…เราไม่คิดว่าเจ้าจะผ่านทางมาที่นี่จริงๆ…”
เพียงแค่เมฆาสูญสิ้นพูดออกมา หวังหลินพุ่งเข้าหาอีกฝั่งของภูเขา เขาไม่ได้ฟังเรื่องไร้สาระ พอพุ่งออกมาจึงสะบัดแขน ลำแสงโลหิตทะลุทะลวงผ่านกลางหน้าผากเมฆาสูญสิ้นที่บาดเจ็บสาหัส
ไร้เสียงกรีดร้องและไม่มีอาการต่อต้าน กระบี่โลหิตแทงทะลุศีรษะของเมฆาสูญสิ้นและกลับมาหาหวังหลิน
เรื่องการตายของเมฆาสูญสิ้น หวังหลินไม่มีเวลาตรวจสอบว่าเป็นร่างดั้งเดิมหรือร่างอวตารหรือไม่ เขารู้สึกว่าเหตุการณ์วิกฤติกำลังคืบคลานเข้ามาและความรู้สึกนี้คล้ายกับตอนที่เจอกับฉุยต้าวครั้งแรก
หวังหลินกำลังมองจากเทือกเขามาที่ทะเลทรายไร้ขอบเขต ซึ่งเป็นพื้นที่ราบที่เห็นได้ทั่วไปในแคว้นเมิ่งตู แคว้นเกือบเจ็ดในสิบส่วนมักจะเป็นเช่นนี้
ลือกันว่าในอดีตเมื่อนานมาแล้ว มีเซียนต่างแดนคนหนึ่งมาที่นี่และพ่ายแพ้ต่อบรรพชนเทพ เซียนคนนั้นถูกผนึกไว้ที่นี่และมีพลังธาตุดินอันน่ากลัว หลังจากนั้นผืนแผ่นดินก็เป็นแบบนี้
คนผู้นั้นลือกันว่าแซ่ “เมิ่ง” พอผ่านไปอีกนานหลายปีจึงกลายเป็นแคว้นเมิ่งตู!
สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของแก่นแท้ปฐพี คล้ายกันกับแคว้นมารเขียวซึ่งเป็นแคว้นที่มีแก่นแท้ปฐพีเช่นกัน แมงป่องมารเขียวนั้นเป็นอสูรดุร้ายที่อาศัยอยู่ในพื้นดิน
อย่างไรก็ตามมันกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายมารจนยากจะสังเกตได้
ข่าวลือเหล่านี้ถูกบันทึกอย่างละเอียดไว้ในกระดองเต่าที่มอบให้แก่หวังหลิน ความคิดหลายอย่างผุดขึ้นอย่างน่าสนใจแต่เขาไม่มีเวลาคิดมากความ หวังหลินหยิบยืมความเร็วของเกราะวิญญาณเพื่อมุ่งหน้าไปสู่แคว้นเมิ่งตู่ขณะที่ยังไม่สามารถใช้บิดมิติได้
ยิ่งเขาเข้าใกล้ขึ้น ระยะห่างนับหมื่นลี้จึงหดลงอย่างรวดเร็ว พอหวังหลินอยู่ห่างเพียงพันลี้ แคว้นเมิ่งตูจึงอยู่ในระยะสายตา!
แต่จังหวะนั้นโลกพลันเปลี่ยนสี แสงพร่าเลือนผุดออกมาจากหกทิศทางที่แตกต่างกันเบื้องหน้าหวังหลิน ระลอกคลื่นส่งเสียงกึกก้อง พวกมันคือสัญญาณว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายกำลังเปิดใช้งาน!
ค่ายกลเคลื่อนย้ายเปิดใช้งานอย่างรวดเร็ว ขณะที่หวังหลินมองเข้าไป ร่างหลายสิบร่างปรากฏขึ้นภายในค่ายกลเคลื่อนย้ายแต่ละแห่ง!
ปรากฏเป็นร่างนับร้อยและมีกลิ่นอายทรงพลังแผ่กระจายออกมา
การเปิดใช้งานค่ายกลทั้งหกแห่งถือเป็นมูลค่ามหาศาลสำหรับแคว้นมารเขียว โดยเฉพาะการที่เคลื่อนย้ายคนจำนวนมาก ยิ่งมีระดับบ่มเพาะสูงขึ้นยิ่งมีมูลค่ามากกว่าเดิม หากเป็นเซียนขั้นที่สาม สิ่งแลกเปลี่ยนยิ่งเกินกว่าคำอธิบายใดๆ
และเซียนหลายร้อยทั้งหมดนี้ล้วนทรงพลัง การเคลื่อนย้ายพวกเขามาได้ทำให้แคว้นมารเขียวสูญเสียทรัพยากรที่เก็บสะสมมานับแสนปี!
เดิมทีคนเหล่านี้ซุ่มโจมตีที่ชายแดนของแคว้นกระทิงสวรรค์เพื่อรอคอยหวังหลิน ทว่าเนื่องจากแต่ละคนคาดการณ์ผิดพลาดจึงต้องฝืนเคลื่อนย้ายผู้คนมาที่นี่ นี่เป็นเพียงแค่ส่วนเดียวและยังมีเซียนอีกเป็นจำนวนมากกำลังมาที่นี่
เซียนทั้งหมดสวมเสื้อผ้าคล้ายกัน แม้สีสันจะแตกต่างแต่มีลวดลายรูปพระจันทร์สีขาวและดำบนเสื้อเหมือนกัน!
หวังหลินเคยเห็นลวดลายนี้บนกระดองเต่า สัญลักษณ์ที่ว่าเป็นของสำนักอันดับหนึ่งในแคว้นมารเขียว สำนักเต๋ามาร!
การขัดขวางและไล่ตามหวังหลินไม่ใช่ทั้งแคว้นมารเขียวแต่เป็นแค่สำนักเต๋ามาร!
แคว้นเมิ่งตูห่างออกไปพันลี้แต่สำนักเต๋ามารเข้ามาหยุดยั้งหวังหลิน ความรู้สึกวิกฤติกำลังย่างกรายเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ!
หวังหลินหรี่ตาแคบ ขณะที่พุ่งทะยานออกไป เหล่าเซียนนับร้อยได้ปรากฏตัวขึ้นจากค่ายกลเคลื่อนย้ายทั้งหกแห่ง ขณะเดียวกันต่างโยนบางอย่างเข้ามาหาหวังหลิน!
“ศีรษะของเซียนจากทุ่งยอดนภาจำนวนเก้าหัว!”
“ศีรษะของเซียนจากทุ่งยอดนภาจำนวนหกหัว!”
“ศีรษะของเซียนไร้สำนักขั้นวิบากดับสูญจากทุ่งยอดนภา!”
“ทุ่งยอดนภา…”
น้ำเสียงเย็นเยียบเหล่านั้นดังกึกก้องและดังถึงหูหวังหลินจนเขามีอาการสั่นเทา หวังหลินมองศีรษะที่มีท่าทีทนทุกข์เหล่านั้น เขาคุ้นหน้าคุ้นตาเพราะเป็นเซียนที่ต่อสู้เคียงข้างกันมาหลายเดือนในเส้นชีพจรแห่งที่สามและอยู่รอดมาด้วยกัน!
หวังหลินไม่รู้จักชื่อของแต่ละคนแต่เขาจดจำใบหน้าได้ ศีรษะนับร้อยเหล่านี้คือคนจำนวนเกือบครึ่งที่รอดชีวิตมาจากทุ่งยอดนภา…
“เจ้าไม่ชอบศีรษะมนุษย์ใช่หรือไม่? เช่นนั้นนี่คือของขวัญแรกของสำนักเต๋ามารที่ข้ามอบให้เจ้า!” น้ำเสียงประสงค์ร้ายดังกึกก้อง
‘สำนักเต๋ามาร…หากวันนี้ข้าออกไปจากที่นี่ได้ ข้าจะกลับมาทำลายล้างพวกเจ้าทั้งสำนัก!!’ หวังหลินเผยแววตาประกายแสงมหึมา เขาสาบานไว้ในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีความต้องการทำลายล้างสำนักบนแผ่นดินเซียนดารารุนแรงขนาดนี้!!
ตอนที่ 1889
จ้าวสำนักเต๋ามาร!
โดย
Ink Stone_Fantasy
“แยกราตรี!” หวังหลินหันกลับมาทันที เขารู้ว่าการหนีออกไปจากที่นี่เป็นเรื่องยากยิ่ง สำนักเต๋ามารยอมทำทุกอย่างเพื่อสังหารเขา!
เหล่าเซียนรอบด้านและศีรษะที่เต็มไปทั่วพื้นดิน มากพอแล้วที่จะอธิบายทุกอย่างได้!
หากเขาต้องการจากไป เขาจะต้องทุ่มให้สุดตัว! เขาจะต้องรวดเร็วไม่เช่นนั้นจะมีเซียนจากสำนักเต๋ามารเข้ามามากขึ้นอีก ถึงจุดหนึ่งหวังหลินจะไม่มีโอกาสหนีรอดไปได้!
ยิ่งเขาอยู่นานเท่าไร ยิ่งมีโอกาสรอดชีวิตต่ำลงเท่านั้น!
หลังจากเอ่ยปากออกมา ชายแดนสู่แคว้นเมิ่งตูพลันเต็มไปด้วยภาพท้องทะเลและถูกความมืดยามค่ำคืนเข้าห่อหุ้ม
หวังหลินใช้วิชาที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาสามารถใช้ได้ในฐานะเซียน ดวงตะวันลอยขึ้นและปลดปล่อยพลังอำนาจฉีกกระชากกลางคืนออกมา
ไม่ว่าจะมีระดับบ่มเพาะอะไร เหล่าเซียนสำนักเต๋ามารหลายร้อยคนต่างส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนภายใต้พลังของวิชาแยกราตรี ร่างกายแต่ละคนพังทลาย วิญญาณดั้งเดิมแตกสลาย
ซึ่งรวมไปถึงคนอีกหลายร้อยที่กำลังเข้ามาผ่านค่ายกลเคลื่อนย้าย พวกเขาตายก่อนที่ร่างกายจะทันปรากฏออกมาเสียอีก
ภายหลังวิชาแยกราตรี โลกได้เปลี่ยนสีสัน นอกจากหวังหลินแล้วไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นเหลืออยู่เลย ใบหน้าหวังหลินซีดเผือด เกราะวิญญาณกำลังหายไป เขาพุ่งทะยานเข้าหาแคว้นเมิ่งตูที่ห่างออกไปพันลี้โดยไม่ลังเล!
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำลายค่ายกลเคลื่อนย้ายทั้งเจ็ดแห่ง แต่ค่ายกลพวกนี้ไม่ใช่ของธรรมดา หลังจากโดนวิชาแยกราตรีเข้าไปมันยังคงสภาพอยู่ได้ แปลว่าเขาไม่สามารถทำลายมันได้ในเวลาอันรวดเร็ว!
หวังหลินข้ามผ่านระยะพันลี้ไปแล้วครึ่งทาง แต่วินาทีนี้ค่ายกลเคลื่อนย้ายทั้งเจ็ดกำลังส่องสว่างอีกครั้ง ความผันผวนรุนแรงโผล่ออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย คลื่นเซียนนับร้อยรอบที่สามกำลังตามหลังหวังหลินเข้ามา
ท่ามกลางคนนับร้อยมีเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางจำนวนสี่คนและระดับปลายอีกหนึ่งคน สำนักเต๋ามารกำลังนำขุมกำลังเกือบทั้งหมดมาไล่ล่าหวังหลิน!
พวกเขาใช้พลังของทั้งสำนักเพื่อฆ่าคนเพียงคนเดียว! การสังหารเช่นนี้เกี่ยวข้องกับความแค้นส่วนตัวแต่คงไม่ได้มีเหตุผลเดียว ไม่มีจ้าวสำนักหรือบรรพชนของเก้าสำนักสิบสามกองกำลังคนใดจะทำเป็นมองไม่เห็นได้!!
หวังหลินดวงตาแดงก่ำ ขณะที่คนนับร้อยกำลังไล่ตามหลังมา เขารู้แล้วว่าการข้ามผ่านระยะทางห้าร้อยลี้คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ วิชาและสมบัติมากมายจากเหล่าเซียนกำลังพุ่งทะยานมาหาเขา ขณะที่เซียนขั้นวิบากดับสูญทั้งห้าคนใกล้เข้ามา หวังหลินยกแขนขวาขึ้น ระเบิดพลังบัญชาโบราณทั้งหมดภายในร่าง ปรากฎร่างเงาบัญชาโบราณขนาดยักษ์ขึ้นด้านหลัง
ร่างเงานี้พร่ามัวเล็กน้อยเนื่องจากได้รับความเสียหายจากการทำลายล้างของผู้ส่งสาส์นมารเขียวก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามมันได้ทำให้หลายคนเกิดแรงกดดันจากก้นบึ้งจิตใจ!
“ขบวนทัพ เทพสะท้าน!”
“วิชาปิศาจ สายลมเปลี่ยนขุนเขา!”
“เต๋ามาร หวนคืนชีวิตและความตาย!”
หวังหลินผลักแขนขวาไปข้างหน้า เหล่าเซียนนับร้อยร่างสั่นสะท้าน เส้นทางการเหาะเหินเกิดการบิดเบือนยกเว้นเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับปลาย พวกเขาเรียงแถวเหมือนกองทัพประจัญหน้าหวังหลิน!
นี่คือขบวนทัพ! พลังอำนาจแห่งเทพสะท้านดังกึกก้องจนเหล่าเซียนกว่าครึ่งมีโลหิตไหลออกจากทวารทั้งเก้า!
หวังหลินเปิดฝ่ามือ ควันลอยขึ้นมาจากศีรษะของเหล่าเซียน มันควบแน่นกลายเป็นภูเขาอยู่เบื้องบนและตกกระแทกลงไป!
ฝ่ามือเปลี่ยนไปเป็นการชี้ ชีวิตและความตายสับเปลี่ยนไปจนเหล่าเซียนส่งเสียงร้องโหยหวน ส่วนใหญ่ร่างแตกสลาย แต่ยังมีเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับปลายที่ไม่ได้เข้ามาใกล้หวังหลิน ตอนนี้หวังหลินกำลังระเบิดพลังเต๋าโบราณไร้เหล่าเทพเต็มกำลัง!
“เทพ มาร ปิศาจ บัญชาโบราณไร้เหล่าเทพ!”
วิชาบัญชาโบราณไร้เหล่าเทพที่ถูกใช้ออกมาภายหลังจากที่ระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นมาถึงขั้นวิบากดับสูญระดับต้นนั้น ช่างเป็นพลังที่อัศจรรย์และถึงจะแตกต่างจากวิชาแยกราตรี พลังทำลายล้างของมันล้วนเหมือนกัน!
เหล่าเซียนตายไปหลายร้อยคนและเกิดระลอกคลื่นสีเทาส่งเสียงดังสนั่น เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับปลายมีสีหน้าเปลี่ยนไปและรีบถอย ทว่าเขาก็ยังโดนระลอกคลื่นสีเทาสัมผัสได้
ชายชราใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีขาวในทันที สองขาเริ่มกลายเป็นหิน เขาใช้มือสัมผัสกับร่างตัวเอง ทุกครั้งที่ทำแบบนั้นจะเป็นการระเบิดพลังเข้าต่อต้านพลังบัญชาโบราณที่กำลังแทรกซึมเข้ามา
นอกจากเขาแล้ว เหล่าเซียนจากสำนักเต๋ามารทั้งหมดที่อยู่ชายแดนของแคว้นมารเขียวต่างก็ตายกันหมด!
หวังหลินมีโลหิตไหลย้อนออกมาจากมุมปาก เขาใช้พลังบัญชาโบราณไปทั้งหมด เกราะรอบตัวเริ่มอ่อนกำลังลง ส่วนหนึ่งเปลี่ยนกลายเป็นเส้นใยไปแล้วและกำลังเลือนหายไป
หวังหลินกัดฟันแน่นและพุ่งทะยานออกไป พริบตาเดียวระยะห้าร้อยลี้ได้เหลือเพียงสองร้อยลี้!
แต่ในจังหวะนั้นค่ายกลเคลื่อนย้ายทั้งเจ็ดส่องสว่างอีกครา กลุ่มเซียนระลอกที่สี่ปรากฏตัวและไล่ตามหวังหลิน
“ประทับวิญญาณสงคราม!”
“หอกสีรุ้ง!”
“จันทรามืด ฟ้ากระจ่าง!”
“ห้วงเวลา!!”
“แก่นแท้ ควบแน่น!!” หวังหลินดวงตาแดงก่ำ เขาร่ายวิชาทั้งหมดออกไปก่อนที่เกราะวิญญาณจะหายไปเพื่อสังหารเหล่าเซียนจากสำนักเต๋ามาร!
ต่อจากวิชาประทับวิญญาณสงคราม ฝ่ามือหกนิ้วขนาดยักษ์กระแทกใส่คนนับร้อย ขณะเดียวกันหอกสีรุ้งร่างที่สามได้ทะยานออกไปด้วย
จันทรามืดฟ้ากระจ่างได้เปลี่ยนกลายเป็นดวงจันทร์สีแดงโลหิต มันเริ่มการสังหารด้วยการเร่งเวลาให้เกิดการสึกกร่อนและระเบิดแก่นแท้ออกไป พอหวังหลินร่ายวิชาทั้งหมดนี้ เสียงดังสนั่นกึกก้องขึ้น เกราะวิญญาณรอบตัวเขากลายเป็นเส้นใยและรวมกันบนใบหน้าด้านขวา
อย่างไรก็ตามภายใต้การโจมตีอันบ้าคลั่งของหวังหลิน เหล่าเซียนในรอบที่สี่ล้วนตายไปเกือบหมด เหลือรอดเพียงแค่สามคน และแต่ละคนต่างก็มองหวังหลินด้วยแววตาหวาดกลัว!
หลังจากโจมตีอย่างต่อเนื่อง ค่ายกลเคลื่อนย้ายได้พังทลายไปในที่สุดสามแห่ง!
หวังหลินกระเด็นถอยกลับไปและอยู่ห่างจากแคว้นเมิ่งตูเพียงแค่ร้อยลี้เท่านั้น แต่นี่ไม่ทำให้ความรู้สึกวิกฤติลดน้อยลงไปเลย มันยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เหลืออยู่สี่แห่งกลับมีพลังแปลกประหลาดเข้าห่อหุ้มจนทำให้พวกมันเคลื่อนที่ด้วยวิธีการบางอย่าง พริบตาเดียวมันปรากฏห่างจากหวังหลินไปเพียงห้าสิบลี้
จังหวะนั้นพวกมันปลดปล่อยแสงพร่าเลือนและมีเซียนระลอกที่ห้าเกือบร้อยคนพุ่งออกมาหาหวังหลินด้วยจิตสังหารแรงกล้า!
พอเหล่าเซียนปรากฏ เซียนขั้นวิบากดับสูญหลายคนที่หลบการโจมตีของหวังหลินได้จึงทะยานเข้าใกล้ พวกเขาโอบล้อมหวังหลินเพื่อไม่ปล่อยให้มีโอกาสหนีไปได้
หวังหลินดวงตาแดงก่ำ เกราะวิญญาณของเขาเหลือเพียงเศษเสี้ยวเดียวที่ไม่ได้สลายไป วิชาของเขาดูเหมือนจะใช้ไปหมดแล้วแต่หวังหลินยังมีกลโกงเหลืออยู่เล็กน้อย!
ร่างแก่นแท้เพลิงปรากฏขึ้นมาและแผ่กระจายทันที มันเข้าห่อหุ้มบริเวณในพริบตา
“เพลิงไร้ลักษณ์ เผาไหม้!!” หวังหลินร้องคำรามเสียงแหบพร่า เหล่าเซียนนับร้อยเต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรง ดังนั้นจึงเป็นเชื้อเพลิงที่ดีที่สุดสำหรับเพลิงไร้ลักษณ์!
เพลิงไร้ลักษณ์เริ่มเผาไหม้เหล่าเซียน เปลวเพลิงส่องประกายและระเบิดเสียงกรีดร้องดังกึกก้อง
“ใครที่ขวางทางข้าจะต้องตาย!!” หวังหลินกัดปลายลิ้นบังคับให้ความอ่อนล้าหายไป เขาพุ่งทะยานไปพร้อมกับส่งเสียงคำราม แสงโลหิตกะพริบวาบปรากฏกระบี่โลหิตขึ้นในมือขวา อีกมือสะบัดออกไปปรากฏใบเรือหน้าผี มันเปลี่ยนกลายเป็นหมอกสีดำซึ่งเปลี่ยนกลายเป็นภูติผีนับไม่ถ้วนพุ่งทะยานออกไปเบื้องหน้าหวังหลิน!
ฉากเหตุการณ์นี้ดูช่างน่าตกตะลึง เหล่าเซียนกำลังโดนเพลิงไร้ลักษณ์เผาไหม้จนตายหรือไม่ก็โดนกระบี่โลหิตของหวังหลินสังหาร ที่เหลือไม่กล้าโจมตีเพราะแค่การเผชิญจิตสังหารมหึมาของหวังหลิน เพียงเข้าไปในระยะก็ตายได้แล้ว
ขณะที่หวังหลินมุ่งหน้าต่อไป เขาข้ามผ่านระยะร้อยลี้ด้วยจิตสังหารเต็มเปี่ยม เหล่าเซียนนับร้อยยิ่งตายมากขึ้นเรื่อยๆ มีหลายคนที่ถอยและมองหวังหลินด้วยความหวาดหวั่น
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยเจอเซียนทรงพลังมาก่อน แต่คนที่โหดเหี้ยมและฆ่าได้ยากแบบหวังหลินนั้นหาได้ยากมาก มูลค่าการสังหารหวังหลินนั้นยิ่งกว่าการเปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่อย่างมหาศาล!
มูลค่านี้เหมือนกับการกวาดล้างทั้งสำนัก! สิ่งที่เสียไปอาจทำให้เก้าสำนักสิบสามกองกำลังเหลือเพียงแค่แปดสำนักสิบสามกองกำลัง!
จังหวะที่หวังหลินก้าวไปบนแคว้นเมิ่งตู่ เกราะวิญญาณที่เหลือบนร่างกายเขาได้กลับเข้าสู่รอยสักกระทิงสวรรค์บนใบหน้า ความรู้สึกอ่อนแรงกระจายไปทั่วร่างกายแต่เขาก็ระงับเอาไว้
ยังมีเกราะธาตุดินรูปร่างมนุษย์อยู่บนร่าง แม้จะพังไปแล้วครึ่งส่วนมันยังมีการป้องกันที่ทรงพลังอยู่
พอยืนอยู่บนแคว้นเมิ่งตู หวังหลินพยายามสะบัดโลหิตจากมุมปากออกและมุ่งหน้าต่อไป เขารู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองเป็นเซียนไร้สำนัก ซึ่งสามารถข้ามผ่านระหว่างสองแคว้นได้ กระนั้นศิษย์สำนักเต๋ามารก็มีจำนวนมากจนยากจะข้ามผ่านไปได้
สำนักเต๋ามารต้องคิดเผื่อเรื่องนี้ไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่สั่งการให้ผู้ส่งสาส์นมารเขียวสองคนทำลายตัวเองและให้เมฆาสูญสิ้นถ่วงเวลาเขาเพื่อให้มั่นใจว่ายังอยู่ในแคว้นมารเขียว หากพวกเขาไม่สนใจเรื่องเหล่านี้คงแค่ไล่ล่าระหว่างทางไปแคว้นเมิ่งตูตามหลังเขาก็ยังได้
ขณะที่หวังหลินคาดเดา เหล่าเซียนจากสำนักเต๋ามารหยุดอยู่นอกแคว้นเมิ่งตู พวกเขาลังเลและไม่ไล่ตามมาอีกต่อไป
แต่จังหวะนั้นค่ายกลเคลื่อนย้ายสี่แห่งส่องประกายอีกครั้ง สามในสี่พาเซียนเกือบสิบคนออกมา ส่วนค่ายกลแห่งที่สี่มีคนออกมาเพียงคนเดียว!
“จ้าวสำนัก!!”
“ขอคารวะ ท่านจ้าวสำนัก!!” พอชายคนนี้ปรากฏ เซียนทั้งหมดจึงโค้งตัว
ตอนที่ 1890
หายนะ? อนาคต?
โดย
Ink Stone_Fantasy
คนที่เดินออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายแห่งที่สี่เป็นชายวัยกลางคน เขาสวมชุดคลุมเต๋าสีขาวสลับดำ ร่างกายสูงและเปล่งกลิ่นอายไม่ธรรมดา รูปร่างหล่อเหลาแต่ริมฝีปากบางจนเปล่งกลิ่นอายเย็นเยียบ
คนผู้นี้โหดเหี้ยมและอำมหิตแน่นอน เขาคงไม่เคยใช้พลังของทั้งสำนักเพียงเพื่อสังหารคนเพียงคนเดียว
วินาทีที่ก้าวออกมาจากค่ายกล กลิ่นอายเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับปลายสูงสุดได้แผ่กระจายออกมา นาทีนั้นโลกพลันเปลี่ยนสีสันราวกับเทพมารนับไม่ถ้วนปรากฏตัวและเริ่มร้องคำราม
เขาห่างจากขั้นวิบากดับสูญระดับสูงสุดเพียงแค่ขั้นเดียว!
เหล่าเซียนสำนักเต๋ามารทั้งหมดคุกเข่าหนึ่งข้างและก้มหน้า
ชายคนนี้เพียงแค่ยืนมองหวังหลินที่กำลังหนีเข้าไปในแคว้นเมิ่งตูด้วยสายตาไม่แยแส
หวังหลินจิตใจสั่นเทา ตอนที่อีกฝ่ายก้าวออกมาจากค่ายกล เขารู้สึกถึงวิกฤติที่ระเบิดออกมาทันที
วิกฤติแห่งชีวิตและความตายนี้มาจากชายวัยกลางคนด้านหลังเขา จ้าวสำนักเต๋ามาร!!
หวังหลินทะยานหนีด้วยความเร็วที่มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้โดยไม่หันกลับไปมอง เขายังไม่สามารถใช้บิดมิติได้ ดังนั้นจึงต้องเคลื่อนร่างเหมือนเงา
เขาสัมผัสได้ว่าเพียงทะยานออกไปอีกนิด พลังปิดผนึกอาณาเขตแห่งนี้ก็จะหายไป จากนั้นเขาก็จะสามารถผสานกับโลกได้
อย่างไรก็ตามจ้าวสำนักเต๋ามารกลับมีทีท่าสงบนิ่ง ก้าวเข้าสู่แคว้นเมิ่งตูโดยไม่ลังเลเหมือนเซียนคนอื่น!
พอเขาเข้ามาได้ จึงลอยตัวมองหวังหลินในอากาศ ค่อยๆ ยกแขนขวาขึ้นมาชี้ไปยังท้องฟ้า
“เต๋า มาร!” เขาเอ่ยขึ้นเพียงแค่สองคำแรก!
นาทีนั้นเทือกเขาไร้ขอบเขตตรงชายแดนของทั้งสองแคว้นจึงเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แรงสั่นสะเทือนแผ่กระจายจนกลายเป็นเสียงดังสนั่นกึกก้อง
เทือกเขาคล้ายมังกรขนดราวกับโดนพลังที่มองไม่เห็นดึงออกมา ด้านซ้ายสุดของเทือกเขามีพลังรวมตัวกันกลายเป็นร่างยักษ์
ร่างนี้เป็นชายวัยกลางคนผมขาวสวมชุดคลุมสีขาว เขามีกลิ่นอายของความเป็นเทพ สะบัดแขนเสื้อใส่เทือกเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งของเทือกเขามีร่างเงาขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นมา ร่างเงานี้ปกคลุมไปด้วยพลังมารซึ่งเป็นชายหนุ่มท่าทีเย็นชาสวมชุดคลุมสีดำ เปล่งกลิ่นอายที่เต็มไปด้วยจิตสังหารและกระหายโลหิต
พอเขาปรากฏตัวจึงชี้ไปที่เทือกเขาด้านล่าง
ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้เหล่าเซียนสำนักเต๋ามารทั้งหมดเกิดความตกตะลึง พวกเขามองจ้าวสำนักของตัวเองด้วยสายตาหลงใหล
ด้วยวิชาของชายชราชุดขาวและชายหนุ่มชุดดำ เทือกเขาไร้ขอบเขตเกิดเสียงดังสนั่นและถูกยกขึ้นมาจากพื้นดิน!
ลอยขึ้นไปในอากาศ มองไกลๆ ราวกับมังกรทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า!
เพียงแค่จ้าวสำนักเต๋ามารชี้ออกไป กลับทำให้เทือกเขาขนาดหลายหมื่นลี้ทะยานเข้าสู่แคว้นเมิ่งตู ความเร็วของมันไม่อาจจินตนาการได้ มันลอยผ่านหวังหลินในพริบตา
หวังหลินตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาเห็นเทือกเขาลอยผ่านเหนือศีรษะไปและร่อนลงห่างอีกสองพันลี้ในทะเลทรายของแคว้นเมิ่งตู หากเทือกเขานี้นับว่าเป็นชายแดนระหว่างสองแคว้น เช่นนั้นหวังหลินก็ยังคงอยู่ในแคว้นมารเขียว!
ความรู้สึกถึงความเป็นความตายได้เพิ่มพูนขึ้นอย่างบ้าคลั่งจนกลายเป็นเงาขนาดยักษ์เกาะกุมจิตใจหวังหลิน
“แบบนี้ เจ้าก็ยังอยู่ในแคว้นมารเขียว…” จ้าวสำนักเต๋ามารเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ ขณะเดียวกันเขาได้ก้าวออกไปและปรากฏตัวห่างจากหวังหลินไม่เกินพันฟุตเพียงชั่วพริบตา
หวังหลินกัดฟันและพุ่งออกไป เขารู้ว่าการที่จะหนีไปได้ถือว่าเป็นเรื่องยากแต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ!
“ไม่ต้องกลัว ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า ข้าจะใช้เจ้าให้เป็นประโยชน์ที่สุด!” จ้าวสำนักเผยแววตาเป็นแสงประหลาดทั้งยังแฝงท่าทีดูถูกราวกับกำลังมองดูมดแมลง เขาสะบัดแขนเข้าหาหวังหลิน
จ้าวสำนักนั้นทรงพลังเกินไป ตอนนี้เพราะวิญญาณของหวังหลินได้หายไปแล้วและระดับบ่มเพาะกลับคืนสู่ขั้นวิญญาณดับสูญระดับปลาย หลังจากใช้ไปหลายวิชาหวังหลินจึงเหมือนตะเกียงไร้น้ำมัน ระดับบ่มเพาะของทั้งสองถือว่าแตกต่างกันมหาศาลเกินไป เพียงแค่อีกฝ่ายสะบัดแขน หวังหลินได้เผยสายตามุ่งมั่นและหลับตาเพื่อเชื่อมต่อกับร่างอวตารในมิติว่าง
จังหวะที่จ้าวสำนักเต๋ามารสะบัดแขน กลิ่นอายพิเศษได้ปรากฏขึ้นรอบตัวหวังหลิน ดวงตาเขาเปลี่ยนกลายเป็นสีทองและสะบัดแขนกลับมา
ทั่วบริเวณเกิดเสียงดังสนั่น ร่างหวังหลินสั่นเทาอย่างรุนแรง เขากระอักโลหิตและกระเด็นถอยกลับมาหาเทือกเขา คนผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป แม้หวังหลินจะยืมพลังจากร่างอวตารก็ยังไม่ใช่คู่ต่อกร!
การปะทะที่เกิดขึ้นตอนนี้ได้ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสและแทบสลบไป หวังหลินกัดฟันเพื่อฝืนให้ตัวเองตื่น
จ้าวสำนักเต๋ามารอุทานขึ้นเบาๆ ดวงตาเผยแสงแปลกประหลาดพร้อมมองหวังหลินที่กำลังถอยหนีและส่ายศีรษะ
“เป็นจริง…คนที่โชคชะตากำหนด…ถึงตอนนี้ยังต่อต้านการโจมตีจากข้าได้…เยี่ยมมาก แบบนี้ให้ข้าได้แสดงให้เจ้าเห็นถึงพลังที่แท้จริงของฝ่ามือสำนักเต๋ามาร…เจ้าไม่ได้รู้จักมันใช่หรือไม่?” จ้าวสำนักยกแขนขวาขึ้นมาผลักไปยังท้องฟ้า
ท้องฟ้าดูเหมือนพังทลาย ระลอกคลื่นคล้ายเกล็ดปลาผุดขึ้นมา พริบตานั้นชายชราชุดขาวดุจเทพปรากฏตัว เขายืนอยู่ในอากาศเหมือนกำลังมองข้ามทุกชีวิตทั้งหมดและส่งสายตาไปยังหวังหลินที่กำลังหนี เขาพุ่งทะยานลงมาหาหวังหลินจากท้องฟ้า
ขณะนั้นพลันเปลี่ยนกลายเป็นประทับฝ่ามือขนาดยักษ์สีขาว ประทับฝ่ามือนี้ไม่ได้มีห้านิ้วแต่มีถึงเจ็ด!
อีกด้านหนึ่งของชายชราดุจเทพคือชายหนุ่มชุดดำ เขาก้าวออกมาด้วยท่าทีเย็นชาและเปลี่ยนกลายเป็นประทับฝ่ามือเจ็ดนิ้วสีดำขนาดยักษ์พุ่งลงมาหาหวังหลิน!
มองไกลๆ ราวกับโลกได้เปลี่ยนกลายเป็นภาพวาด ประทับฝ่ามือสีดำขาวและกำลังตกจากท้องฟ้าเข้าหาหวังหลิน ไม่นานนักทั้งสองได้ผสานกันเหนือหวังหลินเพียงหมื่นฟุตจนกลายเป็นประทับฝ่ามือเทพมารสีขาวดำ!
โลกบริเวณนี้ดูเหมือนกลับตาลปัตร ทุกสิ่งทุกอย่างพร่าเลือน หวังหลินหยุดวิ่งและมองขึ้นไปยังประทับฝ่ามือเทพมารที่กำลังตกลงมา เขาขบคิดอย่างเงียบๆ
ภายในใจไม่มีความสิ้นหวังหรือโศกเศร้า
หวังหลินเข้าใจดีว่าไม่สามารถรอดพ้นหายนะครั้งนี้ได้แล้ว เขาเสียใจที่ไม่ได้ชุบชีวิตลี่มู่หวานและยังไม่ได้เจอสหายที่อยู่บนแผ่นดินเซียนดารา
หวังหลินหลับตาพลางถอนหายใจ เขาไม่ได้ล้มเลิกความพยายามแต่ทันใดนั้นได้เรียกหาลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าที่อยู่ในวิญญาณ ซึ่งเขาไม่ได้ใช้มันมานานแล้ว!!
ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า!
ประทับฝ่ามือเข้าประชิดหวังหลินในพริบตา วินาทีนั้นจ้าวสำนักเต๋ามารรู้สึกจิตใจเต้นผิดจังหวะ สัมผัสความตกตะลึงซึ่งอธิบายไม่ถูกได้ผสมเข้าไปในใจ เขาสะบัดแขนออกไปโดยไม่ลังเล
คลื่นเสียงแผ่กระจายออกไปทั่วสารทิศ ประทับฝ่ามือคว้าจับหวังหลินเอาไว้แต่ไม่ได้สังหารเขา เพียงเท่านี้ฝ่ามือได้จับหวังหลินให้อยู่ตรงกลางอย่างมั่นคง
จ้าวสำนักเต๋ามารทะยานร่างขึ้นสู่อากาศและผสานกับประทับฝ่ามือ จากนั้นทะยานลงไปในส่วนลึกของแคว้นมารเขียว เหล่าเซียนในสำนักจึงติดตามจ้าวสำนักออกไป
หลังจากทุกคนจากไปแล้ว เทือกเขาจึงค่อยๆ กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม แคว้นเมิ่งตูไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ราวกับพวกเขาบรรลุข้อตกลงกันแล้ว
ลำแสงหลายเส้นเต็มไปทั่วฟ้า จ้าวสำนักเต๋ามารดูสงบนิ่งแต่ในใจเกิดความสงสัย ตอนนี้เขารู้สึกว่าหากพยายามสังหารหวังหลินคงจะทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่
ความรู้สึกเช่นนี้สำหรับเขาถือว่าหายากยิ่ง ดังนั้นจึงไม่สามารถเมินเฉยไปได้!
‘คนผู้นี้…เป็นคนที่ฟ้าลิขิต ดังนั้นจะต้องซ่อนแผนการลึกลับ…เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์มาก หากเราทำตามแผนเดิมคงไม่ได้สูญเสียไปขนาดนี้…’
จ้าวสำนักเต๋ามารเคลื่อนทะยานเข้าสู่ใจกลางแคว้นมารเขียวพร้อมกับครุ่นคิดไปด้วย ตำแหน่งนั้นคืออารามแมงป่องมารเขียว!
‘จองจำเขาไว้ในอารามแมงป่องมารเขียว ใช้ร่างกายเพื่อหล่อเลี้ยงมารเขียวและใช้วิญญาณมันเพื่อชุบชีวิตมารเขียว!!’
ตอนที่ 1891
ยืมสายฟ้าเพื่อลบล้างวิญญาณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลายเดือนต่อมา ณ ใจกลางแคว้นมารเขียว ที่แห่งนี้เป็นหนองบึงขนาดใหญ่สีเขียวและมีฟองจำนวนมากผุดขึ้นไปทั่วจนส่งกลิ่นเน่าเหม็น สถานที่แห่งนี้ปกคลุมด้วยหมอกสีเขียวและมีฟองรวมกันหลายปีแล้ว
ในหนองบึงแห่งนี้มีสิ่งก่อสร้างสูงตระหง่านตั้งอยู่ แค่ชำเลืองมองก็รู้ว่ามันมีรูปร่างเป็นแมงป่องยักษ์!
แมงป่องมีขนาดตัวหลายแสนฟุต นอนอยู่บนบึงและดูเหมือนมีชีวิตจริงๆ! ทั้งยังเปล่งพลังมารทรงพลังจนทำให้เซียนส่วนใหญ่ไม่กล้าเข้าใกล้ เนื่องจากพลังมารนั้นจะเข้าสู่ร่างกายและทำให้บ้าคลั่ง
เซียนสำนักเต๋ามารทั้งหมดกลับมาภายในสำนักยกเว้นจ้าวสำนักที่อยู่ด้านนอกอารามแมงป่องมารเขียวพร้อมกับหวังหลิน
ด้วยระดับบ่มเพาะอันสูงส่งของเขาจึงไม่ได้รับผลกระทบจากพลังมารที่นี่
จ้าวสำนักปรากฏตัวข้างสิ่งก่อสร้างรูปแมงป่องขนาดยักษ์ หลังจากนั้นจึงกระแอมเบาๆ จากด้านล่าง
เสียงกระแอมเบามากแต่ในสภาพแวดล้อมอันเงียบเชียบ กลับได้ยินชัดเจนยิ่ง
มีร่างสามคนค่อยๆ ก้าวออกมาจากปากแมงป่อง
ในสามคนนี้มีอยู่สองคนด้านหลังสวมชุดคลุมเต๋าสีเขียว ทั้งคู่มีสัญลักษณ์แมงป่องอยู่บนเสื้อผ้า ถึงจะดูอายุวัยกลางคนแต่กลับเปล่งกลิ่นอายขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง สีหน้าแต่ละคนเย็นเยียบราวกับไร้อารมณ์ความรู้สึก
ทั้งสองเสมือนเป็นองครักษ์ปกป้องคนตรงหน้าที่สวมชุดคลุมสีเขียวสนิท คนผู้นี้แก่ชรามาก ขณะที่เดินออกมายังกระแอมไปด้วย
เขาหยุดกระแอมและเอ่ยถามเสียงแหบพร่า “เจ้าพาคนกลับมาด้วยหรือไม่…”
จ้าวสำนักเต๋ามารทำตัวสุภาพต่อชายชราชุดเขียวอย่างมาก เขาคำนับฝ่ามือและพยักหน้า
“ข้าพาเขามาที่นี่ โปรดดูเถิดจวี่ซื่อ”
หลังจากเอ่ยปากจึงสะบัดแขนขวา ปรากฏร่างหวังหลินที่ยังคงนั่งหลับตาอยู่นิ่งๆ
“เยี่ยมมาก เขาน่าจะเป็นดาวข่มโชคของแคว้นมารเขียวได้เป็นอย่างดีและทำให้ท่านจ้าวมารเขียวพึงพอใจ…” ชายชรามองขึ้นไป แม้จะมองไม่เห็นใบหน้า แต่ดวงตาชั่วร้ายภายในชุดคลุมได้มองหวังหลินอย่างพอใจ
จ้าวสำนักเต๋ามารเอ่ยขึ้น “การจะจับเขาได้ สำนักเต๋ามารสูญเสียไปมหาศาล”
“เมื่อท่านจ้าวมารเขียวฟื้นคืนชีพ เจ้าจะได้รับรางวัลตามที่สัญญาไว้! แต่การจะข่มคนผู้นี้ ข้ายังต้องใช้กฎเต๋าพญามารของเจ้าด้วย เจ้ารู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไร จงลบล้างวิญญาณดั้งเดิมของเขา ทำลายความคิดและความทรงจำ!” ชายชราเอ่ยเสียงแหบพร่าและมองหวังหลินอย่างตื่นเต้น
“เจตจำนงของคนผู้นี้แข็งแกร่งมาก การทำลายความคิดและความทรงจำของเขาไม่ใช่เรื่องง่าย…” จ้าวสำนักเต๋ามารยิ้มออกมาและไม่ได้เริ่มทันที
“แค่ก…ในอนาคต แคว้นมารเขียวจะมีเพียงสำนักเดียว สำนักเต๋ามาร!” ชายชราชุดเขียวเกิดอาการไออย่างรุนแรงก่อนจะพูดขึ้นมา
“ดี ในเมื่อจวี่ซื่อรักษาคำพูด ข้าจะใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดและใช้กฎเต๋าพญามารเพื่อปลูกฝังเมล็ดพันธุ์เอาไว้ ปล่อยให้เขาทำลายจิตใจตัวเอง!” จ้าวสำนักเต๋ามารหัวเราะและไม่ลังเลอีกต่อไป แขนขวายื่นทะลุแสงและชี้ไปที่จุดกลางหน้าผากของหวังหลิน คว้าแสงสีขาวและดำที่ห่อหุ้มรอบตัวหวังหลินและโยนเข้าไปในสิ่งก่อสร้างรูปร่างแมงป่องขนาดยักษ์
หวังหลินพลันถูกโยนเข้าไปหาแมงป่อง ลอยทะยานเป็นเสียงลมหวีดหวิว เมื่อร่อนไปถึงจึงปรากฏวังวนขนาดยักษ์ขึ้นด้านหลังแมงป่องและถูกดูดเข้าไป
“ในร่างเขามีแก่นแท้หลายอย่าง ทั้งหมดมีอยู่แปดและหนึ่งในนั้นก่อเกิดร่างแก่นแท้ไปแล้ว! ในแปดนั้นมีอยู่หนึ่งแก่นแท้ที่เหมือนกับข้า ซึ่งก็คือแก่นแท้สายฟ้า!”
“ข้าจะใช้แก่นแท้สายฟ้านี้เชื่อมสัมพันธ์เพื่อทำลายจิตใจและความทรงจำ!” จ้าวสำนักเต๋ามารนั่งลง หลับตานิ่งไร้การเคลื่อนไหว
ชายชราชุดเขียวตรงปากแมงป่องจึงหันตัวกลับและเดินเข้าไปข้างใน เขากระแอมเบาลงช้าๆ องครักษ์ทั้งสองไม่พูดอะไรออกมาเลยและหายวับเข้าไปในแมงป่อง
ณ ส่วนที่ลึกที่สุดของแมงป่องคือความว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยแสงสีเขียวไร้ขอบเขต แสงแต่ละเส้นคือดวงวิญญาณแมงป่องเขียวนับไม่ถ้วน พวกมันรวมกันในมิติแห่งนี้และส่งเสียงร้องอย่างต่อเนื่อง
หวังหลินนั่งนิ่งอยู่ในมิติว่างโดยไม่ได้เคลื่อนไหว ทว่าเหล่าแมงป่องเขียวนับไม่ถ้วนได้รวมกันรอบตัวเขาจนเกือบจะปกคลุมทั่วร่าง
เขาไม่ได้เคลื่อนไหวแต่ในดวงตาขวามีสายฟ้ากะพริบถี่ แก่นแท้หนึ่งกำลังเคลื่อนไหวไปทั่วร่างกายอย่างบ้าคลั่ง มันคือแก่นแท้สายฟ้าของเขา!
แก่นแท้สายฟ้าเคลื่อนไปรอบๆ จนเกิดเสียงปะทุออกมาจากร่างกาย สายฟ้าเส้นโค้งแผ่กระจายไปทั่ว
ตอนนี้หวังหลินตกอยู่ในอาการย่ำแย่ จิตใจและวิญญาณเงียบสนิทไร้สัญญาณการเคลื่อนไหว ทว่าสิ่งที่คนภายนอกไม่สามารถมองเห็น แม้แต่จวี่ซื่อหรือจ้าวสำนักเต๋ามารก็ไม่สามารถเห็นได้นั่นคือลูกปัดเม็ดหนึ่งที่กำลังหมุนอยู่ในวิญญาณหวังหลินอย่างช้าๆ
ทุกครั้งที่หมุนรอบ วิญญาณครบหนึ่งรอบ จิตใจและความทรงจำของหวังหลินจะสั่นเทาเล็กน้อยพร้อมกับได้รับการปกป้องจากแสงเบาบางหนึ่งชั้น
ราวกับตอนนี้เขาแยกออกมาจากร่างกายจนอยู่ในสภาวะแปลกประหลาด แก่นแท้สายฟ้าของเขาได้ทรงพลังยิ่งขึ้นและมีพลังเหนือกว่าแก่นแท้ที่เหลือ แม้จะยังด้อยกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับแก่นแท้เพลิงที่กลายเป็นร่างแก่นแท้ แต่พลังของมันยิ่งใกล้เคียงกันขึ้นเรื่อยๆ
ราวกับมีเส้นทางที่มองไม่เห็นเส้นหนึ่งถูกสร้างขึ้นระหว่างร่างหวังหลินและร่างของจ้าวสำนัก มันค่อยๆผสานเข้ากับแก่นแท้สายฟ้าของเขาที่ยังไม่ได้ก่อเกิดเป็นร่างแก่นแท้
เวลาค่อยๆ ผ่านไปอีกหลายเดือน
ช่วงระหว่างนี้แก่นแท้ของหวังหลินนั้นทรงพลังยิ่งขึ้นและส่งเสียงดังกึกก้องอยู่ในร่างกาย เขาดูดซับแก่นแท้สายฟ้าของจ้าวสำนักเต๋ามารซึ่งมีเจตจำนงเป็นของตัวเองไปเรื่อยๆ
เวลาหลายเดือนที่ผ่านมา จ้าวสำนักเต๋ามารที่นั่งอยู่ด้านนอกถึงกับขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่าแก่นแท้สายฟ้าของหวังหลินได้ดูดซับแก่นแท้สายฟ้าของเขาไปมากขนาดนี้และยังไม่สร้างเจตจำนงของตัวเองขึ้นมาสักที
แผนเดิมนั้นคิดว่าแค่หนึ่งเดือน แก่นแท้สายฟ้าของเขาจะเข้าไปแทนที่สายฟ้าของหวังหลินอย่างสิ้นเชิง เพราะแก่นแท้สายฟ้าของเขามีเจตจำนง เขาเพียงแค่ใช้วิธีนี้ก็จะลบล้างสัมผัสวิญญาณและความทรงจำของหวังหลินได้ตามคำขอของจวี่ซื่อได้อย่างสมบูรณ์
ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นคำขอของจวี่ซื่อ เขาคงใช้วิธีอื่นอีกนับไม่ถ้วนเพื่อลบล้างจิตใจหวังหลิน ทว่าวิธีเหล่านั้นหยาบช้าเกินไปและทำให้เกิดความเสียหายได้ ซึ่งความเสียหายแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถส่งผลกระทบต่อการชุบชีวิตแมงป่องมารเขียวได้ในอนาคต
ในวันหนึ่งของเดือนที่สี่ จ้าวสำนักเต๋ามารทนไม่ได้อีกแล้วและเอ่ยขึ้นมา “จวี่ซื่อ ข้าต้องการให้ท่านช่วย ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ท่านขอไปคงเป็นเรื่องยากมาก”
เขารู้สึกช่วยไม่ได้เพราะถึงแม้แก่นแท้สายฟ้าเกือบทั้งหมดเข้าไปในร่างหวังหลิน มันก็ยังไม่สามารถเข้าไปแทนที่แก่นแท้ของหวังหลินจนสร้างเป็นเจตจำนงของตัวเองได้
เรื่องนี้ประหลาดมาก ราวกับมีวังวนอยู่ในร่างหวังหลินซึ่งกำลังดูดซับเจตจำนงของเขา ความจริงนั้นเป็นตามที่เขาคาดเดาไว้ ทุกครั้งที่ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าหมุนครบหนึ่งรอบ นอกจากการปกป้องหวังหลินแล้วมันยังดูดซับพลังแปลกๆ ในร่างหวังหลินอีกเล็กน้อย
“ข้ามาแล้ว…แค่กๆ…” เสียงแหบพร่าและเก่าแก่ดังออกมาจากภายใน ก่อนที่จะพูดจบกลับมีเสียงไอขึ้นยาวๆ แล้วพูดต่อ
“ข้ามีลูกปัดสายฟ้าจักรพรรดิอยู่สองลูก ข้าได้มาจากแคว้นสายฟ้าจักรพรรดิ เดิมทีวางแผนจะมอบให้กับท่านจ้าวเมื่อเขาตื่นขึ้นมา…ข้าจะมอบให้เจ้าหนึ่งเม็ด…” ประกายสายฟ้าสีเทาส่องแสงออกมา แมงป่องเรืองแสงขึ้นและมีลำแสงหนึ่งสายทะยานเข้าหาจ้าวสำนักเต๋ามาร
มันเปลี่ยนกลายเป็นลูกปัดขนาดเท่ากำปั้น ลูกปัดนี้เต็มไปด้วยสายฟ้านับไม่ถ้วนและมีเงาเป็นรูปราชรถอยู่ข้างใน มีร่างคนอยู่บนราชรถดูราวกับจักรพรรดิแห่งสายฟ้า!
ด้วยระดับบ่มเพาะและความรอบรู้ของจ้าวสำนักเต๋ามาร เขาจึงรู้สึกจิตใจกระสับกระส่าย ดวงตาเผยแสงประหลาด ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาก่อนจะละทิ้งไป นี่คือของขวัญสำหรับแมงป่องเขียวหลังจากมันฟื้นคืนชีพ ดังนั้นเขาคงไม่กล้าเอาไป ถ้าไม่ใช่เพราะต้องลบล้างสัมผัสวิญญาณและความทรงจำของหวังหลิน จวี่ซื่อคงไม่มีวันเอาออกมา
จ้าวสำนักเต๋ามารไม่ลังเลอีกต่อไป เขาอ้าปากและสูดหายใจเข้าไป เส้นใยสายฟ้านับไม่ถ้วนลอยเข้าไปในปากและถูกเขากลืนเข้าไป ก่อนที่เขาจะเก็บมันเอาไว้ ทั้งหมดได้ถูกกฎเต๋าพญามารส่งเข้าไปในร่างหวังหลิน
ลึกเข้าไปในความว่างเปล่าที่อยู่ในแมงป่อง ร่างหวังหลินสั่นเทาอย่างรุนแรง แก่นแท้สายฟ้าในร่างกายพลันเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาลและแสดงทีท่าว่ากำลังก่อเกิดเป็นร่างแก่นแท้สายฟ้า!
ตอนที่ 1892
ฝันกลายเป็นจริง!
โดย
Ink Stone_Fantasy
แก่นแท้สายฟ้าที่เขาดูดซับอย่างต่อเนื่องยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เนื่องด้วยมีลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า จ้าวสำนักเต๋ามารจึงไม่สามารถควบแน่นเจตจำนงของตัวเองและลบล้างจิตใจหวังหลินได้
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ หลังจากจ้าวสำนักเต๋ามารกลืนกินลูกปัดสายฟ้าจักรพรรดิเข้าไป แก่นแท้สายฟ้าจำนวนมากเข้าสู่ร่างเขาและถูกหวังหลินดูดซับอย่างบ้าคลั่ง
ร่างหวังหลินสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เรือนผมยาวพริ้วสะบัดไร้แรงลม สายฟ้าโค้งเคลื่อนไปรอบร่างกายนับไม่ถ้วนและเปล่งอำนาจแห่งสายฟ้าไร้ขอบเขต
อำนาจแห่งสายฟ้านี้สั่นสะเทือนสวรรค์จนทำให้มิติสีเขียวเกิดการสั่นไหว แสงสีเขียวพลันรวมตัวกันก่อเกิดแมงป่องเขียวจำนวนมากและร้องคำรามอย่างเงียบงันใส่หวังหลิน
แต่ขณะที่แก่นแท้สายฟ้าทรงพลังนี้เข้าสู่ร่างหวังหลินและกำลังควบแน่นเจตจำนงของจ้าวสำนักเต๋ามาร ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าหมุนอย่างช้าๆ มันดูดเอาเจตจำนงบางส่วนไป ราวกับน้ำพุที่กำลังพุ่งไปไกลโดนหยุดลง จากนั้นเกิดความสมดุลและน้ำก็เริ่มถดถอย
‘เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร!?’ ณ ด้านนอกอารามแมงป่อง จ้าวสำนักเต๋ามารพลันลืมตาขึ้นและไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขาไม่สามารถมองเห็นลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าในร่างหวังหลินได้ สำหรับเขาแล้วร่างหวังหลินดูปกติและไม่รู้ว่าเจตจำนงของเขาหายไปได้อย่างไร
ไม่ใช่เขาคนเดียวที่สังเกตความผิดปกติได้ ภายในอารามแมงป่อง จวี่ซื่อเองก็ขมวดคิ้ว หลังจากพึมพำเล็กน้อยจึงกระแอมและสะบัดแขน
สายฟ้าอีกสายลอยออกมาจากอารามแมงป่องและเปลี่ยนเป็นลูกปัดสายฟ้าจักรพรรดิ มันทะยานเข้าหาจ้าวสำนักเต๋ามารในทันที
เสียงแหบพร่าและเสียงเก่าแก่ดังออกมาผสานกับเสียงไอ “ลูกปัดสายฟ้าจักรพรรดิเม็ดสุดท้าย แม้แต่แคว้นสายฟ้าจักรพรรดิเองยังเหลืออยู่ไม่ถึงสามเม็ด หากเจ้ายังทำไม่เสร็จ สัญญาทั้งหมดจากก่อนหน้านี้คงต้องถูกยกเลิก!”
จ้าวสำนักเต๋ามารมีท่าทีมืดมน เขาไม่คิดว่ามันจะยากเช่นนี้ สายตาจ้องมองลูกปัดสายฟ้าจักรพรรดิ ใบหน้าปูดโปนไปด้วยเส้นโลหิต จากนั้นอ้าปากและสูดเอาสายฟ้าเข้าไป
พอเขากลืนลูกปัด จ้าวสำนักเต๋ามารสร้างผนึกขึ้นมาแตะใส่กลางหน้าผาก ส่งเสียงคำรามใส่ท้องฟ้า
“แก่นแท้สายฟ้า กระจาย!!” สิ้นเสียงคำราม สายฟ้าทั้งหมดในร่างกายเขาจึงถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่ลังเล ทั้งหมดได้พุ่งเข้าสู่หวังหลิน สายฟ้านี้มีเจตจำนงทั้งหมดของเขา ดังนั้นเขาจะต้องทำให้สำเร็จ!
แก่นแท้สายฟ้ามีพลังสายฟ้าทรงพลังจากลูกปัดสายฟ้าจักรพรรดิเข้าร่วมด้วย มันผลักดันเจตจำนงของจ้าวสำนักเต๋ามารให้พุ่งทะยานหาหวังหลินอย่างรวดเร็ว
ขณะที่แก่นแท้สายฟ้าพุ่งเข้าหา ร่างหวังหลินที่อยู่ในมิติเขียวจึงสั่นสะท้านอีกครั้ง สายฟ้ารอบตัวเขาไหลผ่านมากขึ้นและขยายรัศมีออกไปมากกว่าพันฟุต พื้นที่รอบหวังหลินในตอนนี้กลายเป็นขุมนรกสายฟ้าไปแล้ว!
สายฟ้าเคลื่อนไหวและเปล่งประกายเจิดจ้า หวังหลินเงยศีรษะขึ้นเนื่องจากหลุดจากการควบคุม อักขระสายฟ้าในตาขวาเปล่งกะพริบถึงเก้าครั้งก่อนจะลอยออกมา
อักขระสายฟ้าพุ่งทะยานและเปลี่ยนกลายเป็นอักขระสายฟ้าขนาดยักษ์พันฟุตอยู่เหนือหวังหลิน วินาทีนั้นมันจึงดูดซับสายฟ้ารอบด้านอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่สายฟ้าผสานเข้ากับอักขระ มันได้ปรากฏโครงร่างรูปมนุษย์ขึ้นรอบอักขระสายฟ้า!!!
นี่เป็นเค้าโครงของร่างแก่นแท้ ถึงจะยังไม่ได้สร้างขึ้นมาแต่ตัดสินจากสถานะปัจจุบันแล้ว อีกไม่นานมันก็จะเปลี่ยนเป็นร่างแก่นแท้!!
พริบตาเดียวสายฟ้าทั้งหมดที่นี่จึงถูกดูดซับเข้าไปและมีสายฟ้าระเบิดจากร่างหวังหลินมากขึ้น สายฟ้าโผล่ออกมาจากทุกรูขุมขนในร่างกาย ไม่ใช่เพียงแค่สายฟ้าเพียงสายเดียว แต่รูขุมขนทั้ง 108,000 รูขุมขนมีสายฟ้าออกมาอย่างน้อยสิบสาย
สายฟ้าจำนวนมากขนาดนี้ มากพอที่จะสั่นคลอนโลกได้ทั้งใบ สายฟ้าปกคลุมทั่วทุกมุมพื้นที่และเข้ามาแทนแสงสีเขียวจนเปลี่ยนกลายเป็นอาณาเขตสายฟ้า!
สายฟ้าจำนวนมากพุ่งเข้าไปในโครงร่างมนุษย์ในอักขระสายฟ้า เกิดเสียงดังสนั่นจนได้ยินไปถึงนอกอารามแมงป่อง การผสานสายฟ้าทั้งหมดนี้ได้ทำให้แคว้นมารเขียวส่วนหนึ่งเกิดการสั่นเทา
โครงร่างรูปมนุษย์ได้ทำการดูดซับสายฟ้าและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในเค้าโครงเริ่มก่อตัวเป็นกระดูก กระดูกแต่ละชิ้นสร้างขึ้นมาจากสายฟ้านับไม่ถ้วนที่ยึดโยงกันอย่างเหนียวแน่น พริบตาเดียวได้กลายเป็นโครงกระดูกเต็มตัว
จากนั้นไม่นานได้มีสายฟ้าจำนวนมากเข้ามาอีกครั้ง เส้นบางๆผุดขึ้นมากลายเป็นเส้นประสาท กล้ามเนื้อและโลหิต เมื่อสายฟ้าเส้นสุดท้ายถูกดูดซับไป สิ่งที่ลอยอยู่เหนือหวังหลินซึ่งหมดสติ คือหวังหลินอีกคน!!
ดวงตายังคงหลับใหลและล้อมรอบด้วยสายฟ้า มันถือกำเนิดจากสายฟ้าและเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนี้ก็ทำให้สายฟ้าทั้งหมดในโลกต้องยอมศิโรราบ!
ร่างแก่นแท้สายฟ้า!!
ร่างแก่นแท้สายฟ้าที่หวังหลินฝันเอาไว้ถือกำเนิดด้วยวิธีเช่นนี้ อย่างไรก็ตามร่างแก่นแท้กลับไม่ได้เป็นของหวังหลิน มันเป็นของจ้าวสำนักเต๋ามาร!!
เพราะร่างแก่นแท้มีเจตจำนงของจ้าวสำนักเต๋ามาร!
ภายนอกอารามแมงป่อง จ้าวสำนักเต๋ามารกำลังตัวสั่น เขาสัมผัสได้ถึงตัวตนของร่างแก่นแท้สายฟ้าและเกิดอาการตกตะลึง นี่เขาประเมินหวังหลินต่ำไปอีกครั้ง ไม่คิดว่าความเข้าใจด้านแก่นแท้ของหวังหลินจะล้ำลึกจนสร้างร่างแก่นแท้เพลิงได้ ต่อมายังให้กำเนิดร่างแก่นแท้ที่สองได้อีก!!
ตอนนี้จ้าวสำนักเต๋ามารตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาอยากได้ร่างแก่นแท้สายฟ้ามานาน แต่หากเอาไปคงไม่สามารถทำตามคำขอของจวี่ซื่อได้
ขณะที่ต่อสู้กับความคิดตัวเองอยู่นั้น เสียงไอดังออกมาจากอารามแมงป่อง พอจ้าวสำนักได้ยินจึงเผยสายตามุ่งมั่น
‘เทียบผลประโยชน์ตามสัญญาเมื่อแมงป่องมารเขียวฟื้นคืนชีพแล้ว ถึงแม้ร่างแก่นแท้สายฟ้าจะล้ำค่า แต่จะให้เขาละทิ้งไปไม่ได้!’ จ้าวสำนักรีบสร้างผนึกและชี้ไปที่กลางหน้าผาก เขาหลับตาและเพ่งสมาธิไปที่ร่างแก่นแท้สายฟ้าที่อยู่เหนือหวังหลิน!
ร่างแก่นแท้สายฟ้าเกิดอาการสั่นเทา มันยกแขนขวาขึ้นมากดลงใส่หวังหลินด้านล่าง วินาทีนั้นร่างหวังหลินจึงสั่นสะท้านไปด้วย สายฟ้าเจ็ดสายสุดท้ายลอยออกมาจากศีรษะหวังหลิน!
มันออกมาจากดวงตา หู จมูกและปาก สายฟ้าพุ่งเข้าเทียบกับอวัยวะบนร่างแก่นแท้สายฟ้าทีละส่วน วินาทีที่ทั้งเจ็ดสายเข้าไปในร่างแก่นแท้สายฟ้า มันจึงลืมตาขึ้นมา!
ร่างแก่นแท้เผยสายตามืดมนและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของจ้าวสำนักเต๋ามาร ร่างกายมันสั่นเทา สายฟ้าในโลกสั่นสะท้านไปด้วยพร้อมกัน ด้านนอกอารามแมงป่องปรากฏสายฟ้าขึ้นปกคลุมเกือบทั่วแคว้นมารเขียว
สายฟ้าส่งเสียงดังสนั่นและพุ่งเข้าหาอารามแมงป่องใจกลางแคว้นด้วยความเร็วเหนือจินตนาการ!
ความเร็วของสายฟ้านั้นเกินบรรยายและรวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าใดๆ ราวกับเป็นการบิดมิติ พุ่งทะลุเข้าไปในมิติสีเขียวข้างในอารามแมงป่อง
พริบตานั้นร่างแก่นแท้สายฟ้าได้ถูกสายฟ้าพรั่งพรูเข้ามาก่อเกิดเป็นชุดเกราะรวมถึงมงกุฎบนศีรษะ!!
นี่คือมงกุฎของจักรพรรดิสายฟ้า!!
วินาทีเดียวกันสายฟ้ามากมายที่เข้ามาจึงควบแน่นกลายเป็นราชรถสายฟ้าสงคราม
เวลานี้ร่างแก่นแท้สายฟ้าได้ก่อเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์!
ร่างหวังหลินซึ่งนั่งอยู่ด้านล่างเกิดอาการสั่นเทารุนแรง ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าไม่ได้ซ่อนตัวแต่เปิดใช้งานเพื่อปกป้องวิญญาณดั้งเดิม เขาจึงตื่นขึ้นเนื่องจากจิตใจกำลังสั่นเทา
พอหวังหลินลืมตาขึ้นมาจึงเห็นร่างแก่นแท้สายฟ้าที่ถือกำเนิดอยู่ในท้องฟ้า!!
หวังหลินตัวสั่นไปชั่วขณะ เขายังตกอยู่ในอาการมึนงงแต่ในไม่นานก็เข้าใจทุกอย่างได้!!
เขาตกตะลึงเพราะเหมือนเป็นเหตุการณ์ที่เขาเห็นตอนที่ใช้วิชาเต๋าเนตรวิญญาณเป็นครั้งแรกในสำนักมหาวิญญาณ!
เหตุการณ์นั้นเหมือนกันกับสิ่งที่เห็นในตอนนี้ไม่ผิดเพี้ยน!!
ตอนนั้นหวังหลินเห็นร่างแก่นแท้สายฟ้าของตัวเองกำลังใช้สายฟ้าเข้าข่มเขา เขาไม่เข้าใจว่าร่างแก่นแท้สายฟ้าของเขาจะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร!
เพราะแก่นแท้สายฟ้าสร้างขึ้นมาจากเขาและเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์ สิ่งที่เขาเห็นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่มันกลับเกิดขึ้นจริง!
………………………………………………….
ตอนที่ 1893
แผนของแต่ละคน!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ร่างแก่นแท้สายฟ้าส่งสายตามองหวังหลินอย่างเย็นชา ในบรรยากาศเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง มันเคลื่อนไหวและสะบัดมือใส่หวังหลิน ส่งสายฟ้าขนาดมหึมาพุ่งเข้าใส่และกดทับเขาอย่างรวดเร็ว
หวังหลินนั่งมองดูร่างแก่นแท้กำลังโจมตีเขาอย่างโหดเหี้ยม ตอนนี้หวังหลินตื่นขึ้นมาแล้ว ภาพของจ้าวสำนักเต๋ามารจึงปรากฏขึ้นในใจ
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ต้องเกี่ยวข้องกับจ้าวสำนักเต๋ามาร โดยเฉพาะค่ายกลที่ร่างแก่นแท้ใช้ออกมา หวังหลินกระทั่งรู้สึกเลือนลางว่ากลิ่นอายของจ้าวสำนักได้ออกมาจากร่างแก่นแท้
‘เขาจับข้ามา…ไม่ได้สังหารหรือทำให้บาดเจ็บ…แต่กลับชิงแก่นแท้สายฟ้าของข้าไปและช่วยข้าสร้างร่างแก่นแท้สายฟ้า…เป้าหมายของเขา…ไม่ใช่เพื่อหยุดยั้งข้า แต่เพื่อใช้ร่างแก่นแท้ทำให้จิตใจข้าปั่นป่วนและลบล้างจิตใจ!’
หวังหลินดวงตาส่องสว่าง เพียงชั่วเวลาสั้นๆ จึงได้เกิดความคิดหลายพันอย่าง เขาเคยทำนายเหตุการณ์นี้ไว้เมื่อตอนนั้นและมันทำให้เขาตกตะลึงยิ่ง และได้คิดถึงวิธีรับมือเอาไว้แล้ว!
ในจังหวะเดียวกับที่ร่างแก่นแท้สายฟ้าโจมตีเข้ามา หวังหลินสูดหายใจลึก วิญญาณดั้งเดิมหลับตาลงและเรียกหาลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า
ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าที่อยู่ในวิญญาณพลันเริ่มเคลื่อนไหว วิญญาณดั้งเดิม ความทรงจำและทุกอย่างของหวังหลินเริ่มหดตัวลงตอนที่สายฟ้าเข้ามาถึง
เขาถอยกลับไปชั่วคราวเพื่อปล่อยให้ร่างแก่นแท้เข้ามาควบคุมร่างกาย เมื่อร่างแก่นแท้สายฟ้าผสานเข้ากับร่างได้อย่างสมบูรณ์ นั่นจะเป็นโอกาสโต้กลับ
นี่คือวิธีเดียวที่หวังหลินคิดออกว่าจะต้านทานได้อย่างไรตอนที่เขาเห็นฉากที่ไม่คาดฝันนี้ขึ้นมา
สายฟ้าดังกึกก้องในชั้นบรรยากาศสีเขียว สายฟ้านับไม่ถ้วนแผ่กระจายออกมาจากร่างแก่นแท้ ขณะที่มันพุ่งเข้ามาจึงได้แตกกระจายเป็นเส้นสายฟ้านับไม่ถ้วนและเข้าสู่ร่างหวังหลิน ด้วยเจตจำนงของจ้าวสำนักเต๋ามาร มันจึงต้องการลบล้างจิตใจและทุกอย่างของหวังหลินออกไป
เวลาค่อยๆ ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน สายฟ้ารอบตัวหวังหลินเบาบางลงจนไม่มีเหลืออยู่ เขานั่งนิ่งไร้การเคลื่อนไหว ไม่มีวิญญาณผันผวน แม้แต่พลังชีวิตก็ดูเหมือนจะมอดดับไปราวกับตายทั้งที่ยังมีชีวิต
สัมผัสวิญญาณอันทรงพลังได้กวาดผ่านหวังหลินและจากนั้นก็ออกไปอย่างช้าๆ
ขณะเดียวกันจ้าวสำนักเต๋ามารที่อยู่นอกอารามแมงป่องพลันลืมตาด้วยความเหน็ดเหนื่อย เขามองมาที่อารามและเอ่ยคำพูดเสียงดังกึกก้อง
หลังจากจ้าวสำนักเต๋ามารพูดออกไป เสียงกระแอมดังออกมาจากข้างใน ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวใช้วิธีการบางอย่างเพื่อปรากฏตัวในมิติสีเขียวที่มีหวังหลินอยู่ องครักษ์สองคนตามเขาเข้ามาด้านหลังด้วยเช่นกัน
เขามองหวังหลินด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ จากนั้นยกแขนขึ้นมาประทับกลางหน้าผากของหวังหลิน
แขนขวาของเขาดูน่ากลัวยิ่งและปกคลุมไปด้วยขนสีเขียว มันดูเหมือนไม่ใช่แขนมนุษย์!
จังหวะที่เขากดลงใส่หวังหลิน เศษเสี้ยวความผันผวนหนึ่งผุดออกมาจากจิตใจหวังหลินซึ่งได้รับการปกป้องจากลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า ทว่าภายใต้การปกป้องนี้ คนนอกไม่อาจตรวจเจอได้
‘จ้าวสำนักเต๋ามารไม่ได้จากไปไหน…นี่ไม่ใช่เวลาที่จะต่อต้าน…รอคอยอีกเล็กน้อย!’ จิตใจหวังหลินค่อยๆ สงบนิ่งลง
ผ่านไปสักพัก แขนนั้นยกออกมาจากศีรษะหวังหลิน ชายชราเอ่ยเสียงแหบพร่า
“เจ้าไปได้แล้ว หลังจากท่านมารเขียวฟื้นคืนชีพ เจ้าจะได้ทุกอย่างตามที่สัญญาเอาไว้!”
ภายนอกอารามแมงป่อง จ้าวสำนักเต๋ามารเผยแววตาเป็นแสงประหลาด เขามองอีกครั้งก่อนจะหายวับไปจากที่นี่
จากนั้นชายชราจึงหันกลับมามองหวังหลินด้วยความตื่นเต้น
“ตระกูลข้ารอคอยสิ่งนี้มาเนิ่นนาน…มนุษย์หลายต่อหลายรุ่นได้กลายเป็นจวี่ซื่ออยู่หลายปีจนมีร่างหนึ่งที่มาจากโลกภายนอกปรากฏตัวขึ้นมา คล้ายกับท่านมารเขียว!”
“มีเพียงร่างแบบนี้เท่านั้นที่สามารถทำให้ท่านมารเขียวฟื้นคืนชีพได้!! แต่ว่าเจตจำนงของจ้าวสำนักเต๋ามารจะต้องโดนลบออกไปจากร่างแก่นแท้สายฟ้า…” ชายชราพึมพำกับตัวเองพลางมองหวังหลินด้วยความตื่นเต้น เสียงเขาดังกึกก้องอยู่ในมิติสีเขียวจนเผยให้เห็นถึงความบ้าคลั่งและแปลกประหลาด
จิตใจของหวังหลินยังคงซ่อนอยู่ใต้การปกป้องของลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า เขารู้สึกว่าวิกฤติในตอนนี้ไม่ได้ถึงกับตายแต่เป็นโชควาสนาครั้งใหญ่ที่ทำให้จิตใจสั่นระรัว!
ชายชราชุดเขียวตัวสั่น ตระกูลเขารอคอยมาหลายรุ่นเพียงเพื่อวันนี้ เขาสูดหายใจลึกและกัดปลายลิ้น โลหิตสีเขียวหนึ่งหยดลอยออกมาร่อนลงลางกลางหน้าผากของหวังหลิน
วินาทีนั้นระลอกคลื่นสีเขียวดังสนั่นมันแผ่กระจายออกไปใส่เจตจำนงของจ้าวสำนักเต๋ามารหรือพูดให้ถูกคือลบล้างเจตจำนงไปอย่างสิ้นเชิง
ร่างแก่นแท้สายฟ้าไม่มีเจตจำนงของคนอื่นอีกต่อไป หากหวังหลินต้องการก็จะสามารถครอบครองได้จากภายใน แต่เพราะรอคอยโชควาสนาอันยิ่งใหญ่กว่านี้ เขาจึงจำเป็นต้องอดทนต่อไป
ผ่านไปสักพัก ชายชราชุดเขียวได้เผยแววตาเป็นประกายแห่งปัญญา เขาไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าหวังหลิน ทั้งหมดคือการทดสอบ!
เรื่องที่เขาใช้ร่างคนเข้ามารับตำแหน่งจวี่ซื่อของอารามแมงป่องมารเขียวนั่นหมายความว่าเขาเป็นคนที่มีสติปัญญาสูงล้ำ เขาไม่ได้เชื่อจากที่ตัวเองเห็นง่ายๆ และตั้งคำถามต่อทุกอย่าง
แรกเริ่มใช้คำพูดของตัวเอง จากนั้นลบล้างเจตจำนงของจ้าวสำนักเต๋ามารออกไปจากแก่นแท้สายฟ้า เขากำลังหลอกล่อหวังหลินว่าจิตใจเขาจะถูกลบล้างไปอย่างสมบูรณ์หรือไม่
หลังจากรอไปสักพัก ร่างแก่นแท้ยังไม่ถูกหวังหลินครอบงำ เช่นนั้นชายชราจึงผ่อนคลายเล็กน้อยและรู้สึกโล่งอก เขาไม่สามารถตรวจจับลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าได้ดังนั้นจึงพึมพำกับตัวเอง
“ร่างนี้ยอดเยี่ยมมาก ขั้นต่อไปก็ให้ท่านมารเขียวครอบงำ…” ขณะที่เขาเอ่ยขึ้นมา ดวงตาหรี่ลงและถอยกลับ พอห่างไปได้หลายร้อยฟุตจึงร้องออกไปด้วยเสียงแหบพร่า
“องครักษ์มารเขียว สังหารเขา! จิตใจเขายังอยู่ จงเปิดค่ายกลมารเขียว เราจะไม่ยอมให้เขาหนีไปไหนได้!” หลังจากนั้นจึงรีบถอยแต่ดวงตาเผยแสงแปลกประหลาดและจ้องมองหวังหลิน
สิ้นเสียงคำราม องครักษ์มารเขียวด้านข้างเผยสายตาดุดันและพุ่งทะยานเข้าหาหวังหลินจากทางซ้ายและขวา สองมือสร้างผนึก ระเบิดระดับบ่มเพาะขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง แมงป่องเขียวขนาดยักษ์สองตัวปรากฏขึ้นมาขู่เสียงดังฟ่อ พร้อมทั้งพุ่งเข้าหาหวังหลิน
นี่ดูไม่เหมือนการทดสอบเลย ดูเหมือนพวกเขากำลังจะสังหารหวังหลินจริงๆ ตอนนี้หวังหลินมีตัวเลือกเดียวคือการแผ่กระจายจิตใจเข้าไปในร่างแก่นแท้สายฟ้า ทิ้งเจตจำนงเอาไว้และเปิดใช้งานเกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์เพื่อสังหารทั้งสามคนก่อนจะหนีออกไปจากที่นี่
ชายชราชุดเขียวพูดขึ้นมาฉับพลัน หากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่หวังหลินคงจะลงมือไปแล้ว แต่จิตใจหวังหลินขยับเพียงชั่วขณะและสงบลงใทันที เขาเสมือนเป็นแอ่งน้ำเก่าแก่ จิตใจไม่สะทกสะท้านเลย
หวังหลินไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะสามารถตรวจจับลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าได้อย่างแน่นอน นี่เป็นการประลองปัญญา!
ทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตา วิชาจากผู้ส่งสาส์นเข้ามาใกล้หวังหลินและอยู่ห่างไม่เกินเจ็ดนิ้ว แต่ร่างหวังหลินไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย มันใกล้เข้ามาหกนิ้ว ห้านิ้ว สามนิ้ว หนึ่งนิ้ว!!
วิกฤติแห่งชีวิตและความตายของหวังหลินผุดขึ้นมาในใจ แม้จะมุ่งมั่นแต่ก็สั่นคลอน ทว่าเขายังคงไร้การเคลื่อนไหว
ปัง!
วิชาทั้งสองจากองครักษ์ร่อนลงใส่ร่างหวังหลิน ทว่าตอนที่วิชากระทบลงไป ม่านแสงสีเขียวเกิดระลอกขึ้นมาและสะท้อนทั้งสองวิชากลับไป
ระลอกคลื่นสีเขียวนี้ถูกสร้างขึ้นจากโลหิตของจวี่ซื่อ โลหิตของเขาได้สลายเจตจำนงของจ้าวสำนักมารเขียวและดูเหมือนจะหายไปแล้ว แต่ความจริงเป็นไพ่ตายที่เอาไว้ทดสอบหวังหลิน!!
เพียงเท่านี้ชายชราชุดเขียวจึงผ่อนคลายได้อย่างสิ้นเชิงและเริ่มหัวเราะเสียงดัง แต่ตอนที่หัวเราะก็ยังไออย่างรุนแรง
“ไม่มีปัญหาแล้ว ร่างนี้ไม่มีความคิดและสติอีกต่อไป แต่…มันยังอ่อนแอเกินไป…ยังต้องบ่มเพาะอีกเล็กน้อยเพื่อให้ทนรับเชื้อสายของท่านมารเขียวได้…”
“แม้เขาจะมีแปดแก่นแท้ เขาไม่มีธาตุดิน…แก่นแท้ของท่านมารเขียวคือธาตุดิน…ข้าจะต้องเติมเข้าไป…”
“ร่างนี้มีแปดแก่นแท้ และด้วยแก่นแท้ธาตุดินก็จะกลายเป็นเก้า…เก้าแก่นแท้ร่วมกันสร้างร่างแก่นแท้ เป็นการจับคู่การกลับมาของท่านมารเขียวได้อย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อท่านมารเขียวฟื้นคืนชีพและครอบครองร่างนี้ ข้าถือว่าได้ทำภารกิจของตระกูลเสร็จสิ้น จากนั้นข้าจะสามารถกลับไปสู่แคว้นกลางและนำโชควาสนาไปสู่ตระกูลข้าในอนาคต…”
“เรื่องนี้สำคัญเกินไป ข้าจำเป็นต้องเตรียมการอีกเล็กน้อย…”
ชายชราไอออกมาและจากไปอย่างช้าๆ
ตอนที่ 1894
ต่อสู้ด้วยเวลา
โดย
Ink Stone_Fantasy
จังหวะที่ชายชราชุดเขียวและองครักษ์ทั้งสองจากไป หวังหลินยังคงไร้การเคลื่อนไหว ละอองแสงสีเขียวนับไม่ถ้วนกำลังกะพริบอย่างต่อเนื่อง
แสงทุกสายมีร่างเงาแมงป่องเขียวและเต็มไปทั่วชั้นบรรยากาศ
เวลาสามเดือนผ่านไปอย่างเชื่องช้า ช่วงระหว่างนี้หวังหลินยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ไม่มีการเคลื่อนไหวหรือพลังชีวิตรั่วไหลออกมา ร่ายกายปกคลุมด้วยแสงสีเขียว หากมองใกล้ๆ คงจะเห็นแมงป่องเขียวนับไม่ถ้วนแผ่กระจายออกไปรอบร่าง
วิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินกำลังรอคอยจังหวะพร้อมกับได้รับการปกป้องจากลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าไปด้วย เขามีความอดทนมากพอเพื่อโชควาสนาครั้งใหญ่
ชายชราชุดเขียวเป็นคนขี้ระแวงมาก หวังหลินไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะปักใจเชื่อว่าเขาหายไปแล้วง่ายๆ สิ่งที่หวังหลินกำลังรออยู่จึงเหมือนการทดสอบจนกว่าชายชราจะรู้สึกพอใจ
แม้หวังหลินจะไม่สามารถเดาว่าจะมีการทดสอบแบบไหนอีกในอนาคต เขาก็ต้องเตรียมการ จิตใจกำลังรอคอยด้วยความสงบนิ่ง
แผนของหวังหลินคือไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เขายอมให้แมงป่องเขียวปกคลุมทั่วร่าง บางส่วนเข้าไปในปากและจมูกแต่เขาก็ไม่ต่อต้าน
เวลาเริ่มจะผ่านพ้นไปอีกครั้ง สามเดือน สามเดือน สามเดือน…ไม่นานนักหวังหลินจึงใช้เวลาหนึ่งปีอยู่ในมิติสีเขียวแห่งนี้ตั้งแต่ที่ชายชราจากไป
หลังจากบรรลุระดับบ่มเพาะในปัจจุบัน ร่างกายจะไม่เน่าเปื่อยไปอีกหลายหมื่นปี ร่างกายในปีนี้จึงไม่เปลี่ยนแปลงแต่มีแมงป่องเขียวปกคลุมร่างมากขึ้น
ภายในมิติเขียวแห่งนี้ เหล่าแมงป่องถือว่าหวังหลินกลายเป็นส่วนหนึ่งกับพวกมันแล้ว สถานที่แห่งนี้เสมือนห้องใต้ดินและเปล่งกลิ่นอายมืดมนออกมา
หากใครก็ตามมาเห็นฉากเหตุการณ์นี้คงต้องตกตะลึงแน่นอน
หวังหลินไม่มีอยู่แล้ว สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คล้ายก้อนดินรูปร่างมนุษย์
วิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินสงบนิ่งดุจบ่อน้ำและไม่เผยความผันผวนอันใดข้างในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า
ช่วงเวลานี้ชายชราชุดเขียวไม่ปรากฏตัวขึ้นอีกเลย ราวกับหลงลืมหวังหลินไปแล้วและไม่มีร่องรอยใครเลยภายในอารามแมงป่อง
กลิ่นอายประหลาดจึงเกิดขึ้นในความเงียบงัน
หนึ่งปี สองปี สามปี…
ปีที่สี่เข้ามาถึงอย่างช้าๆ ภายในมิติสีเขียวข้างในอารามแมงป่อง ดวงวิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินเกิดอาการดิ้นรน เขารอคอยอยู่ที่นี่มาถึงสี่ปี!
ช่วงสี่ปีนี้ชายชราชุดเขียวไม่ปรากฏตัวขึ้นเลย ร่างกายเขาผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างประหลาดเนื่องจากเหล่าแมงป่องเขียวปกคลุมทั่วร่าง การเปลี่ยนแปลงนี้คือเหตุที่เขาต้องดิ้นรน!
แสงสีเขียวรูปไข่ปรากฏขึ้นในรูขุมขนทั้ง 108,000 รูขุมขน แสงพวกนี้ปรากฏขึ้นมาเมื่อสองปีก่อนและพอแสงแตกออก พวกมันจึงดูดซับเลือดเนื้อของหวังหลินจนก่อเกิดเป็นแมงป่องเล็ก!
เหล่าแมงป่องใช้ร่างของหวังหลินเป็นพื้นที่ทำรังและเป็นสารอาหาร ผ่านไปสี่ปีจำนวนของแมงป่องในมิติแห่งนี้เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า ไม่เพียงแต่จะปกคลุมร่างหวังหลิน พวกมันยังปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่จนเป็นภาพที่เห็นแล้วต้องตกตะลึง
เหล่าแมงป่องเล็กเหล่านี้ได้ทำให้ร่างหวังหลินเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นราวกับโดนดูดสารอาหารออกไป
ด้วยพัฒนาการเช่นนี้ หวังหลินรู้สึกรุนแรงว่าหากไม่เข้ามาควบคุมร่างกาย อีกไม่นานเขาจะไม่มีวันได้ออกไปตลอดกาล
เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมชายชราถึงไม่ปรากฏตัวและไม่ทำการทดสอบอีก นั่นเพราะเวลาคือการทดสอบที่ดีที่สุด!
ไม่มีเครื่องมือใดที่สามารถมองทะลุและค้นหาความจริงได้ดีกว่ากาลเวลา
หวังหลินเดาว่าชายชรากำลังใช้เวลาเพื่อเริ่มบททดสอบอันโหดเหี้ยมแก่หวังหลิน มีเพียงการทดสอบนี้เท่านั้นจึงจะทำให้เขาพอใจเมื่อแผนเดิมสำเร็จลุล่วง
หวังหลินไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากผลทดสอบนี้ไม่เป็นที่น่าพอใจ
หากไม่มีปัญหาและร่างกายไม่แห้งเหี่ยว หวังหลินสามารรอได้เป็นสิบปีหรือพันปีก็ยังได้ หากเขาต้องการรอจริงๆ ด้วยความมุ่งมั่นและเด็ดขาดของหวังหลินก็สามารถอดทนได้อยู่แล้ว
แต่ตอนนี้ร่างกายกำลังเหี่ยวเฉาทำให้หวังหลินเก็บอาการไม่อยู่ ความมั่นคงกำลังสั่นคลอนเพราะทุกอย่างเป็นเพียงแค่การคาดการณ์ เขาไม่มีหลักฐานจะพิสูจน์สิ่งที่คิดเอาไว้ได้
หากเขาคิดผิดและไม่ได้จากไปตอนนี้ ร่างกายจะแห้งเหี่ยวอย่างสมบูรณ์และคงพลาดโอกาสไปจริงๆ เขาจะไม่เหลือสิ่งใดอยู่ที่นี่อีกเลย!
เช่นเดียวกันหากเขาตัดสินใจผิดพลาด เขาก็คงสูญเสียโชควาสนาครั้งใหญ่!
นี่เป็นตัวเลือก ตัวเลือกที่ทำให้หวังหลินต้องฝ่าฟัน!
อาการดิ้นรนคงอยู่ไปหนึ่งปี พอถึงปีที่ห้าก็หายไป หวังหลินตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะทิ้งความคิดอื่นทั้งหมด ด้วยความเชื่ออันบ้าคลั่งในสิ่งที่ตัวเองคาดการณ์ จึงรอคอยอย่างสงบ
ปีที่หก ปีที่เจ็ด ปีที่แปด…ร่างกายเหี่ยวแห้งไปเกือบทั่วร่าง แต่จิตใจยังคงไม่สั่นคลอน!!
ปีที่เก้า ปีที่สิบ…ร่างกายถูกแมงป่องจำนวนมากครอบคลุมและดูเหมือนโครงกระดูกไร้สารอาหาร ราวกับแค่โดนลมพัดก็แตกสลายได้แล้ว แต่หวังหลินยังคงรอคอย!!
สิบปี!! เขารออยู่ในมิติสีเขียวแห่งนี้มาสิบปี หวังหลินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ระหว่างแคว้นมารเขียวกับแคว้นกระทิงสวรรค์ มันกำลังดำเนินอยู่หรือจบไปแล้วหรือไม่
ช่วงสิบปีนี้วิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินไม่ได้เข้าไปควบคุมร่างกาย มันซ่อนตัวอยู่ภายใต้การป้องกันของลูกปัดอย่างเงียบงัน เขากำลังใช้ความอดทนอย่างมหาศาลเพื่อเดิมพัน!!
สิ่งที่ช่วยหนุนความเชื่อของเขาคือการวิเคราะห์และการตัดสินใจ เห็นได้ชัดว่าชายชราชุดเขียวเป็นคนธรรมดาแต่หวังหลินสัมผัสถึงความน่ากลัวออกมาได้ ชายชราสามารถทำให้จ้าวสำนักเต๋ามารพูดจาอย่างสุภาพ ดังนั้นหวังหลินจึงไม่ทำอะไรวู่วามและเผชิญหน้ากับอันตรายครั้งใหญ่
มีความลับอีกหลายอย่างที่เขาไม่รู้อยู่ในอารามแมงป่องเขียว สิ่งสำคัญที่สุดเพราะชายชรานั้นเป็นคนธรรมดา อายุขัยจึงไม่นานมากนัก
การแข่งขันด้านเวลานับเป็นความอดทนของแต่ละฝ่าย!
กระนั้นด้วยสิ่งที่หวังหลินคาดการณ์นับว่าถูกต้อง!
ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าในอารามแมงป่องมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่งตรงส่วนหัว ข้างในมีชายชราชุดเขียวกำลังนั่งมองกระจกตรงหน้า กระจกบานนี้สะท้อนทุกอย่างข้างในมิติสีเขียวที่หวังหลินอยู่
ช่วงเวลาสิบปี หวังหลินไม่ใช่คนเดียวที่กำลังรอคอย ชายชราชุดเขียวก็กำลังรอคอยเช่นกัน
อายุขัยของเขามีจำกัด แม้จะมีวิชาลับทำให้มีอายุยืนยาว แต่จวี่ซื่อทุกรุ่นมีอายุได้อย่างมากก็สามพันปีเท่านั้น
เขามีอายุมากกว่า 2,800 ปีและใกล้จะตายเต็มทีแล้ว
‘เวลาคือวิธีที่ดีที่สุดในการมองทะลุความจริง…แม้สิ่งที่ข้าทำจะเกินไปเล็กน้อย ข้าต้องรับประกันว่าท่านมารเขียวจะปลอดภัย…ข้าอยากเห็นว่าเขาสูญเสียจิตใจจริงๆ หรือแค่กำลังหลอก…’
เขาไม่ได้หมดความอดทน เนื่องจากอาศัยอยู่ในอารามแมงป่องมามากกว่าสองพันปีและคุ้นเคยกับเวลาที่ผ่านไป มันจึงกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา
สองปี สามปี สี่ปี…อีกสิบปีได้ผ่านไปในขณะที่ทั้งสองกำลังรอคอยอีกฝ่าย นี่ถือเป็นการต่อสู้อันโหดเหี้ยมยิ่งกว่าการต่อสู้ระหว่างเซียนด้วยกันเองตามปกติ เพราะพวกเขากำลังใช้เวลาเข้าต่อสู้!
การต่อสู้กับเวลานั้นเงียบสนิทไร้ความขัดแย้งอันใดแต่เต็มไปด้วยอันตราย ตระกูลของชายชราชุดเขียวเตรียมการมานานหลายปี พวกเขาไม่สามารถแพ้ได้…
หวังหลินก็ไม่สามารถแพ้ได้เช่นกัน ตอนนี้แม้แต่กระดูกก็ยังเริ่มอ่อนแอลง หากร่างกายไม่ใช่เผ่าบัญชาโบราณ มันคงสูญสิ้นไปหลายปีก่อนแล้ว
ตอนนี้มิติสีเขียวมีแมงป่องเขียวปกคลุมเกือบทั่วทั้งพื้นที่ พวกมันเคลื่อนไหวและปลดปล่อยแสงสีเขียวไปด้วย
ตลอดระยะเวลายี่สิบปี หวังหลินไม่ได้เคลื่อนไหวเลย เขาเชื่อมั่นในศรัทธาของตัวเอง นับว่าหาได้ยากมากที่เขาจะเดิมพันชีวิต
‘ข้าจะไม่มีวันแพ้…’ ประโยคนี้ช่วยย้ำเตือนหวังหลินมาเกือบยี่สิบปี
บางครั้งเวลาก็ไหลอย่างเชื่องช้าแต่มันเหมือนใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง มันตกลงมาจากท้องฟ้า ให้ความรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงฤดู แต่ความจริงมันเป็นเพียงแค่การเดินทางสั้นๆ
พริบตาเดียวอีกยี่สิบปีได้ผ่านพ้นไป หวังหลินตั้งมั่นอยู่ที่เดียวมาสี่สิบปี เขาละทิ้งร่างกายไปแล้ว วิญญาณดั้งเดิมเหมือนตายด้าน
แม้กระทั่งร่างบัญชาโบราณยังแสดงสัญญาณถึงการตายโดยสมบูรณ์เมื่อผ่านมาถึงสี่สิบปี
ชายชราชุดเขียวยังคงรอคอย ในสี่สิบปีที่ผ่านมานอกจากความต้องการประจำวันแล้ว เขาใช้เวลาทั้งหมดมองดูกระจกและรอคอยอย่างเงียบงัน
สี่สิบปี สี่สิบปี…หลังจากหวังหลินคุ้นชิน เวลาได้ผ่านไปทั้งสิ้นแปดสิบปี!
ในปีที่แปดสิบ วันนี้เองที่ชายชราชุดเขียวเผยอาการลังเล เขาไม่เชื่อว่าจะมีคนที่มีสติจะสามารถอดทนมาได้ถึงแปดสิบปี!
และสิ่งสำคัญที่สุดคือเขาไม่มีอายุขัยเหลืออยู่มากแล้ว…
ตัวเลือกเบื้องหน้าเขาจึงเหมือนกับหวังหลินที่เผชิญเมื่อคราวก่อน ว่าจะรอหรือไม่รอ!
ตอนที่ 1895
แก่นแท้ที่เก้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
เขาตัดสินใจที่จะรอ อายุขัยยังเหลืออยู่เกือบหกสิบปี เขาไม่ต้องการละทิ้งเครื่องบรรณาการที่ตระกูลเตรียมการไว้หลายรุ่นเพียงเพื่อความคิดลังเล
เวลาแปดสิบปีนั้นมากเท่าทั้งชีวิตของคนผู้หนึ่ง แต่กับหวังหลินคือเวลาที่เขาอยู่ในอารามแมงป่องเขียว
ช่วงแปดสิบปีนี้เขาไม่สามารถดูดซับพลังงานอันใดหรือบ่มเพาะได้ เขาทำได้แค่เพียงรอคอยอยู่ใต้พลังป้องกันของลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าเท่านั้น ขณะที่รอคอยไปเงียบๆ เขาจึงเหมือนกับชายชรา ความทรงจำและหลายสิ่งหลายอย่างกลายเป็นภาพพร่ามัว
ราวกับมีม่านหมอกทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน หรือกล่าวให้ถูกก็คือความทรงจำกำลังโดนปิดผนึก
เขาลืมเลือนหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นแคว้นกระทิงสวรรค์หรือโลกถ้ำ ลืมเรื่องอันตรายข้างใน ตกอยู่ในสภาวะที่คล้ายกับการผสานเข้ากับโลกแต่ไม่เหมือนกับวิชาบิดมิติ
ทว่าในใจยังมีร่างหลายคนที่เขาไม่สามารถลืมได้และไม่ต้องการลืม…ในร่างเหล่านั้นมีครอบครัวของเขาและหญิงสาวที่กำลังเล่นพิณด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน…
บางคนยุ่งยากวุ่นวายกับชีวิตและหลงลืมเป้าหมายของการไปเกิดใหม่…
บางคนมีชีวิตธรรมดา มีแค่ก่อนตายจึงมองไปบนท้องฟ้าและจำได้ว่าสูญเสียเป้าหมายของตัวเอง…
บางคนยอมทิ้งโลกทั้งใบเพียงเพื่อตามหาคนคนหนึ่ง…แม้อาจเป็นแค่สิ่งที่คิดไปเอง เขาก็กำลังจะฝืนลิขิตมัน…
เวลาผ่านไปอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่สี่สิบปีแต่เป็นอีกสามสิบปี…หลังจากหวังหลินอดทนด้วยความมุ่งมั่นมา 110 ปี ชายชราชุดเขียวจึงตัดสินใจได้!
เขารอไม่ได้อีกแล้ว อายุขัยเหลืออยู่ไม่ถึงสามสิบปีและไม่ต้องการทดสอบหวังหลินอีกต่อไป เขาไม่เชื่อว่าจะมีคนที่สามารถรอแบบนี้ได้ถึง 110 ปี นี่ไม่ใช่การฝึกฝนแต่เป็นการเดินเข้าหาความตาย!!
เขาเห็นร่างหวังหลินใช้การไม่ได้โดยสมบูรณ์ หากมีวิญญาณดั้งเดิมอยู่ เมื่อร่างกายหยาบถูกทำลาย วิญญาณคงจะโดนรุมและโดนแมงป่องกลืนกิน เขาไม่เชื่อว่าจะมีคนอดทนรอความตายมาได้ถึงขนาดนี้!
วันนี้ของปีที่ 110 ชายชราชุดเขียวพลันยืนขึ้น ก้าวเดินเข้าหามิติที่มีหวังหลินอยู่ข้างในพร้อมกับองครักษ์สองคน
จากนั้นไม่นาน เสียงกระแอมดังเบาๆ ขึ้นในอารามแมงป่อง
ณ มิติสีเขียว ชายชราร่างกายอ่อนแอก้าวเดินออกมาจากระลอกคลื่น เขามองร่างหวังหลินที่มีแมงป่องจำนวนมากปกคลุมและขบคิดอยู่สักพัก
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าได้ยินข้าหรือไม่ หากเจ้าได้ยินข้า ข้าเองก็ขอชื่นชมความอดทนของเจ้า…การจะอดทนได้มากกว่าร้อยปีด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่สามารถทนได้…”
“จากที่ผู้ส่งสาส์นมารเขียวสัมผัสได้ การต่อสู้ระหว่างแคว้นมารเขียวและแคว้นกระทิงสวรรค์มาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว …” ชายชราชุดเขียวหยุดพูดไปช่วงหนึ่ง
ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยเสียงดังกึกก้องอีกครั้ง
“หากเจ้าได้ยินข้า หากเจ้าอดทนอยู่จริงๆ เช่นนั้นข้าก็หวังว่าหลังจากเจ้าได้รับโชคอันยิ่งใหญ่นี้ เจ้าจะไม่ทำให้แคว้นมารเขียวลำบากเกินไป…หากเจ้าทำมันได้ ถึงแม้ยังมีจิตใจอยู่ ข้าจะมอบโชควาสนานี้กับเจ้าโดยไม่ลังเล!!”
ชายชราชุดเขียวพึมพำ คำพูดของเขาเผยความเหนื่อยล้า
“ข้าแก่แล้วและจะตายในอีกไม่กี่สิบปี ข้าเหนื่อยมามากตลอดหลายปี…ภารกิจของตระกูลข้าคือการคุ้มกันที่นี่…”
“หลังจากข้าตาย ข้าหวังว่าเจ้าจะให้สัญญากับข้าว่าจะพาเถ้าธุลีที่ฝังอยู่ที่นี่กลับไปยังแคว้นกลาง เพราะนั่นคือบ้านของตระกูลข้า…” คำพูดของชายชราเหมือนคำพูดสุดท้ายก่อนตาย ทั้งหมดทั้งมวลเผยความรู้สึกจริงใจ
แต่!!
มือขวาที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้ามีหินหยกอยู่หนึ่งก้อน หินหยกก้อนนี้สีเขียวและไม่ได้ใช้เพื่อบ่มเพาะ จวี่ซื่อแต่ละรุ่นสามารถใช้ได้เท่านั้น หน้าที่หลักของมันนอกจากการทำลายแล้วคือการตรวจจับจิตใจที่ผันผวนอยู่ใกล้ๆ
หากจิตใจหวังหลินไม่นิ่งพอ เขาจะใช้หินหยกสังหารโดยไม่ลังเลและไม่ได้จิตใจดีเหมือนคำพูด!
นี่คือบททดสอบสุดท้าย!
หลังจากพูดจบไปสักพัก หินหยกในมือไม่เกิดปฏิกิริยาอะไรเลย ชายชราชุดเขียวผ่อนคลายลง เก็บหินหยกไปและมองดูเหล่าแมงป่องจำนวนมากตรงหน้า จากนั้นกัดปลายลิ้นและพ่นโลหิต
โลหิตกระจายใส่พื้นที่ด้านล่าง เหล่าแมงป่องทั้งหมดส่งเสียงฝ่อและถอยอย่างรวดเร็ว ร่างเหี่ยวแห้งของหวังหลินที่จมอยู่ด้านล่างจึงเผยออกมา
“แปดแก่นแท้ ยังขาดอยู่หนึ่ง…” ชายชราพึมพำ จากนั้นยกแขนขวาขึ้นมา เสื้อคลุมสะบัดพริ้วเผยให้เห็นแขนข้างขวาที่มีเส้นขนสีเขียวเต็มไปหมด แขนนั้นเหี่ยวแห้งและมีกลิ่นเน่าเหม็น
เส้นขนสีเขียวทั้งหมดหลุดออก แสงสีเขียวเข้ามาล้อมรอบแขนขวา จากนั้นแขนก็หลอมละลายกลายเป็นลูกปัดสีเหลืองน้ำตาลลอยออกมา
“ด้วยลูกปัดเมิ่งตูทั้งสามก้อนนี้ เจ้าน่าจะสามารถถือกำเนิดแก่นแท้ปฐพีได้!” ชายชราหายใจถี่พลางสะบัดแขนซ้ายส่งลูกปัดทั้งสามไปหาหวังหลิน หนึ่งนั้นพุ่งไปตรงกลางหน้าผาก อีกหนึ่งพุ่งเข้าสู่หน้าอกและเม็ดสุดท้ายเข้าสู่ตรงจุดตันเถียน
พอลูกปัดทั้งสามเข้าสู่ร่างหวังหลินจึงเกิดอาการสั่นสะท้าน แสงสีเหลืองเข้มแพรวพราวโผล่ออกมาจากร่างกายทันที
เหล่าแมงป่องรอบด้านส่งเสียงขู่และล่าถอย พวกมันดูเหมือนมีความรู้สึกไวต่อแสง แสงนี้กะพริบอยู่หลายชั่วโมงและจากนั้นมีชั้นพื้นดินปกคลุมหวังหลิน
หวังหลินกลายเป็นมนุษย์โคลนและยังคงแน่นิ่ง
เวลาดำเนินผ่านไปอีกครั้ง ชายชราชุดเขียวไม่ได้จากไปแต่นั่งลงมองหวังหลินด้วยท่าทีจริงจัง ความฝันของตระกูลกำลังจะบรรลุ นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก
สามวันต่อมา ชั้นพื้นดินบนร่างหวังหลินไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย ทำให้ชายชราประหลาดใจ
‘ลูกปัดเมิ่งตูสามเม็ดยังไม่พอ…จะให้พอได้ต้องทำให้บรรลุร่างแก่นแท้ปฐพี…’ ชายชราขมวดคิ้วและกดแขนซ้ายไว้กลางหน้าผากตัวเอง เขาใช้วิธีพิเศษบางอย่างเพื่อดึงเม็ดทรายออกมาสามเม็ด!
เม็ดทรายทั้งสามเป็นสีแดงเข้ม ราวกับชุ่มไปด้วยโลหิต
พอมองเม็ดทรายในมือ ชายชราจึงถอนหายใจ ตระกูลเขาใช้ความพยายามอย่างมากและใช้เวลาหลายปีเพื่อรวบรวมเม็ดทรายทั้งสามนี้ ลือกันว่าตอนที่บรรพชนเทพสร้างแคว้นขึ้นมา มันคือสามในเก้าเม็ดทรายที่เต็มไปด้วยแก่นแท้ปฐพี!
นอกจากทรายทั้งสามเม็ดนี้แล้ว อีกห้าเม็ดถูกคนอื่นดูดซับไปเพื่อเอาแก่นแท้ปฐพี เม็ดสุดท้ายถูกเปลี่ยนกลายเป็นผืนปฐพีที่ตั้งของเมืองหลวง!
ของชิ้นนี้มีคุณค่ามหาศาลและมีไม่กี่คนที่ได้เห็นมัน ชายชราโยนหนึ่งเม็ดไปหาหวังหลินโดยไม่ลังเล
พอเม็ดทรายเข้าสู่ร่างหวังหลิน เสียงระเบิดดังสนั่น ชั้นดินเบาบางรอบร่างพลันขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็วถึงเก้าสิบฟุต
ก้อนดินปลดปล่อยแก่นแท้ปฐพีอันทรงพลังยิ่งและคงอยู่แบบนี้ไปเก้าวันก่อนจะหดลงจนหายไป จากนั้นแผ่กระจายออกมาจากร่างหวังหลินอีกครั้งและทำแบบเดิมแปดรอบจนสูญเสียประสิทธิภาพ
แต่ก่อนที่จะสูญเสียประสิทธิภาพจนหมด ชายชราชุดเขียวโยนเม็ดทรายที่สองออกไป เสียงจากร่างหวังหลินดังสนั่นอีกครั้ง แก่นแท้ปฐพีเริ่มโคจรอีกรอบ
คราวนี้มันโคจรเก้าครั้งจนสมบูรณ์ แก่นแท้ปฐพีจำนวนมหาศาลพรั่งพรูออกจากร่างหวังหลิน ภายในร่างเขาได้มีแก่นแท้ที่เก้าเพิ่มขึ้นมาแล้ว!!
แต่มันยังไม่จบ ต่อจากเรื่องแก่นแท้ที่เก้า พลังอำนาจของแก่นแท้ปฐพียังไม่หมดลง มันเพิ่มขึ้นจนกำลังจะสร้างร่างแก่นแท้อย่างรวดเร็ว
ชายชราชุดเขียวยืนขึ้นอย่างตื่นเต้นและสะบัดแขนซ้าย ส่งเม็ดทรายเม็ดที่สามออกไปหาหวังหลิน ร่างกายที่เหี่ยวแห้งของหวังหลินเกิดการฟื้นตัว อาการบาดเจ็บทั้งหมดหายเป็นปลิดทิ้ง
แก่นแท้ปฐพีขยายตัวออกทันทีและดูดซับแก่นแท้ปฐพีจากเม็ดทรายที่สาม จากนั้นร่างแก่นแท้ร่างที่สามเผยสัญญาณการปรากฏตัว
แต่เมื่อไม่มีเจตจำนงของหวังหลิน ร่างแก่นแท้จึงไม่สามารถสร้างขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ หากวิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินโผล่ออกมาจากการป้องกันของลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า เขาสามารถครอบครองร่างแก่นแท้สายฟ้าและปฐพีได้ เขาจะกลายเป็นเซียนที่มีร่างแก่นแท้สามร่างในทันที!
ด้วยร่างแก่นแท้ทั้งสามนี้ แม้จะอยู่ในขั้นวิญญาณดับสูญระดับปลาย ความแข็งแกร่งก็ยังคงเพิ่มขึ้นหลายเท่า!
นอกเหนือจากนั้นตอนนี้หวังหลินมีเก้าแก่นแท้ไปแล้ว พอให้วิญญาณดั้งเดิมออกมา เขาจะสามารถใช้เก้าแก่นแท้เพื่อทะลวงเข้าสู่ขั้นแก่นแท้ดับสูญได้เลย!!!
‘ร่างเขามีสามแก่นแท้นามธรรมและมีสองแก่นแท้พิเศษ ที่เหลืออีกสี่ล้วนเป็นรูปธรรมทั้งหมด…ข้าไม่มีวิธีอะไรในการสร้างร่างแก่นแท้ให้แก่นแท้นามธรรมและแก่นแท้พิเศษ แต่ข้ามีวิธีสำหรับแก่นแท้รูปธรรมชนิดที่สี่!’ ชายชราชุดเขียวกำลังตื่นเต้น
ตอนที่ 1896
โชควาสนาครั้งใหญ่!
โดย
Ink Stone_Fantasy
‘ในที่สุดทุกอย่างที่ตระกูลเตรียมการไว้ก็ได้ใช้!’ ชายชราดวงตาส่องสว่างและใช้แขนซ้ายตีกับหลายส่วนบนร่างกาย
ทุกครั้งที่เอามือตีใส่จะมีของลึกลับลอยออกมาจากร่าง เรืองแสงแพรวพราว ร่างกายเขาเหมือนกระเป๋าเก็บของที่เก็บสิ่งของจำนวนมากของตระกูลเอาไว้
ของทั้งหมดเตรียมการมาเพื่อฟื้นคืนชีพแมงป่องมารเขียว พวกมันถูกผนึกใส่จวี่ซื่อแต่ละรุ่นด้วยกรรมวิธีพิเศษ ไม่มีใครเอาของพวกนี้ออกมาได้เว้นแต่จะมีความยินยอม บางทีคงมีแต่มหาชั้นฟ้าที่ทำได้
‘เห็นได้ชัดว่าร่างของเขามาจากเผ่าบัญชาโบราณ แต่ถึงร่างกายจะแข็งแกร่งก็ยังขาดความยืดหยุ่น ข้าจะใช้กิ่งต้นไม้เทพอายุเก้าหมื่นปีเพื่อทำให้ร่างนี้ยากเกินทำลาย!’ ชายชรายกแขนซ้ายยื่นออกไปคว้ากิ่งไม้สีดำเปล่งกลิ่นอายเก่าแก่ออกมา
กิ่งไม้นี้หาได้ยากยิ่งบนแผ่นดินเซียนดารา ตระกูลของเขาต้องทุ่มไปหลายอย่างเพื่อแลกมันมา เขาโยนกิ่งไม้ที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจของโลกใบนี้เข้าสู่ร่างหวังหลิน
พอเข้าไปใกล้ กิ่งไม้จึงระเบิดเป็นผุยผงและห่อหุ้มร่างหวังหลินเอาไว้ พลังของมันแผ่กระจายออกมาราวกับมีชีวิตและเกิดเป็นเส้นลวดเข้าสู่รูขุมขน พวกมันเชื่อมต่อประสานกันข้างในร่างและกลายเป็นตาข่ายหนาแน่น
ถัดมาพลังของมันจึงเชื่อมต่อกับเลือดเนื้อของหวังหลิน มันฝังลึกลงไปภายในจนตลอดทั้งร่างกายส่งเสียงดังปะทุ ร่างเขาเปล่งความรู้สึกแข็งแรงบึกบึนอย่างประหลาดและเหนือกว่าร่างบัญชาโบราณไปแล้ว ไม่เพียงแต่จะแข็งแกร่งแต่ยังยืดหยุ่นไปด้วย
‘ดวงตาไม่แหลมคมพอที่จะข่มคนอื่น แม้ร่างกายจะแข็งแกร่งแต่ยังขาดกลิ่นอายสะกดข่มโลกได้ทั้งใบ ข้าจะใช้เศษกระบี่เทพของท่านมารเขียวเพื่อสร้างกลิ่นอายทรงอำนาจให้แก่ร่างนี้!!’
‘ตั้งแต่วันนี้ไป สายตาจากร่างนี้จะสามารถสะกดข่มเซียนได้ทุกคน!!’ ชายชราเต็มไปด้วยสายตาบ้าคลั่ง เขาสะบัดแขนซ้ายส่งเศษเหล็กขนาดเท่าฝ่ามือไปหาหวังหลิน
เศษเหล็กนี้สร้างขึ้นจากวัตถุดิบที่ไม่รู้จัก มันเป็นเหล็กที่เหมือนกับไม้และเป็นไม้ที่เหมือนกับเหล็ก มีตัวอักษรสีดำก่อตัวอยู่หลายบรรทัด ชั่วขณะที่ปรากฏขึ้นมามันถึงกับทำให้มิติสีเขียวแห่งนี้เต็มไปด้วยปราณกระบี่ไร้ขอบเขต
ปราณกระบี่ส่งเสียงร้องและกวาดผ่านไปทั่วอาณาเขต แสงสีเขียวทั้งหมดพังทลาย เหล่าแมงป่องขู่เสียงดังราวกับหวาดกลัวเศษเหล็กชิ้นนี้
เศษเหล็กเข้าไปในร่างหวังหลินทันที มันหลอมละลายและเปลี่ยนกลายเป็นกลิ่นอายสีทองแผ่กระจายออกมาจากทุกส่วนของร่างกาย
เสี้ยวพริบตานั้น แรงกดดันทรงพลังระเบิดออกมาจากร่างหวังหลินจนรู้สึกถึงตัวตน ชายชราร่างสั่นเทา ตอนนี้วิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินไม่ได้ควบคุมร่างกาย ไม่เช่นนั้นแรงกดดันรวมกับระดับบ่มเพาะคงเพิ่มขึ้นจนน่าตกตะลึง!
องครักษ์ทั้งสองคนมีท่าทีเปลี่ยนไป พวกเขามองร่างหวังหลินด้วยท่าทีเคร่งเครียดยิ่ง
“แม้ร่างนี้จะเป็นเผ่าบัญชาโบราณ ร่างกายของท่านมารเขียวแข็งแกร่งกว่าของเผ่าบัญชาโบราณ ระดับบ่มเพาะทรงพลังกว่าของเผ่าเทพ แต่ร่างตรงหน้าก็ยังไม่แข็งแกร่งมากพอ…”
“แม้ข้าไม่สามารถทำให้พลังโบราณและพลังเทพผสานกันได้ ยิ่งสายโลหิตบริสุทธิ์มากเท่าไร ยิ่งทำให้พลังเทพต่อต้านมากเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อต้าน ข้าต้องสร้างเส้นชีพจรแยกออกมาตอนที่ท่านมารเขียวลงมาจุติ จากนั้นจะสามารถบรรลุระดับบ่มเพาะสูงสุด!” ชายชราพึมพำ แววตาบ้าคลั่งรุนแรงยิ่งขึ้น เขาสะบัดแขนส่งใบไม้จำนวนสี่ใบ เม็ดยาหกเม็ดที่มีกลิ่นคาวโลหิต เส้นโลหิตสีแดงและหินสีเทาสามก้อนไปหาหวังหลิน
ของแต่ละอย่างล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง หากนำออกมาในที่สาธารณะ อาจทำให้เซียนนับไม่ถ้วนต่อสู้แย่งชิงกัน ชายชรากลับใช้พวกมันใส่ลงในร่างหวังหลินโดยไม่ลังเลเลย ของทั้งหมดแตกสลายเป็นละอองเข้าสู่ร่างหวังหลิน ท่ามกลางของเหล่านี้เส้นโลหิตมีมูลค่ามากที่สุด ลือกันว่ามันคือเส้นผมของบรรพชนเทพ!
ถึงจะดูธรรมดาแต่กลับมีของแค่ไม่กี่อย่างในโลกจะตัดมันขาดได้ หลังจากเข้าไปในร่างหวังหลิน มันโคจรอยู่เก้าครั้ง ส่วนหัวและส่วนปลายกลายเป็นเส้นโลหิตสายที่สองในร่างหวังหลิน!
หากวิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินโผล่ออกมาจากลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า เขาจะสามารถใช้ประโยชน์ของพลังบัญชาโบราณและพลังเทพได้อีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน!
แม้หวังหลินจะมีความมุ่งมั่นมากมายก็ยังตกตะลึงกับความมุ่งมั่นของชายชรา แต่นี่ยังไม่จบแค่นี้ ชายชราไม่ได้เตรียมการไว้แค่ของไม่กี่อย่างเท่านั้น
‘เมื่อท่านมารเขียวฟื้นคืนชีพ เขาจำเป็นต้องใช้สมบัติอันคมกริบที่สามารถผ่าโลกได้ทั้งใบ คงไม่ดีแน่ถ้าจะเป็นของภายนอก มันควรจะเป็นสมบัติภายในเพื่อทำให้ท่านมารเขียวประทับใจ’
‘ตลอดหลายปีที่ผ่านมาตระกูลของข้าได้ค้นไปทั่วโลกเพื่อรวบรวมวัตถุดิบรูปแบบหยินมากกว่าเก้าหมื่นแบบ เรายังแลกสิ่งที่มีค่าไปหลายอย่างเพื่อให้ได้เศษเสี้ยววิญญาณจากวิญญาณผนึกของแคว้นฝั่งตะวันออกกว่ายี่สิบแห่งจนหลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นดาบหยินเล่มนี้!’
‘ดาบหยินเล่มนี้ไม่ได้ผ่านพิธีหายนะเซียนดารา เมื่อมันผ่านหายนะแล้วจะกลายเป็นสมบัติที่แม้แต่มหาชั้นฟ้ายังต้องการ!’ ชายชราชุดเขียวเผยแววตาเป็นแสงเปล่งประกายและสะบัดแขนซ้าย หมอกเยือกเย็นห่อหุ้มรอบร่างกายและพุ่งเข้าหาหวังหลิน คล้ายกับมีดาบที่มองไม่เห็นซ่อนตัวอยู่ในหมอก!!
ตัวดาบเป็นเกลียวโค้งดูน่าตื่นตะลึง!
‘สมบัติชิ้นนี้ไม่สามารถเก็บใส่มิติเก็บของได้ มันสามารถอยู่ในร่างกายได้เท่านั้น ร่างตรงนี้ถูกลิขิตให้เป็นของท่านมารเขียวอยู่แล้ว ดังนั้นข้าจะฝังดาบหยินเล่มนี้ไว้ในแขนขวา!!’
‘ซักวันหนึ่งดาบเล่มนี้จะมีชื่อเสียงทั่วแผ่นดินเซียนดารา!’
ชายชราชุดเขียวท่าทีดูบ้าคลั่งพลางให้สายหมอกรวมตัวกันภายในร่างหวังหลิน มันพุ่งเข้าไปในแขนขวาจนแขนทั้งท่อนเปลี่ยนกลายเป็นสีดำ ราวกับถูกแช่แข็งไม่มีวันละลาย!
ดาบยาวเก้านิ้วโผล่ออกมาจากฝ่ามือพร้อมกับเสียงปริแตก!
ตอนที่ 1897
เตาหลอมมารเขียว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชั่วจังหวะที่ดาบปรากฏ เกิดเป็นพายุพัดขึ้นในมิติสีเขียว เสียงแตกร้าวดังกึกก้องและมีน้ำแข็งเต็มไปทั่วพื้นที่ ชุดคลุมของชายชราสร้างขึ้นมาจากวัตถุดิบอะไรไม่ทราบ เพียงสายลมเย็นเข้ามาใกล้ได้ไม่นานมันก็ถูกป้องกันได้หมด
แต่องครักษ์ทั้งสองคนด้านหลังไม่ได้มีสมบัติลึกลับเช่นนั้น พอพลังงานเย็นเข้ามาใกล้ สีหน้าแต่ละคนจึงเปลี่ยนไปและล่าถอย ร่างกายถูกน้ำแข็งเข้าปกคลุม แม้แต่คิ้วทั้งสองข้างยังกลายเป็นน้ำแข็ง
แต่ละคนใบหน้าซีดเผือด ส่งเสียงคำรามเพื่อกระตุ้นระดับบ่มเพาะเข้าต่อต้านอากาศอันหนาวเย็น
เป็นเพราะดาบหยินเล่มนี้ไม่มีเจ้าของ หากหวังหลินใช้วิญญาณดั้งเดิมประทับอักขระเอาไว้ เขาจะสามารถใช้ระดับบ่มเพาะที่เพิ่มขึ้นจากเกราะวิญญาณและดาบหยินเล่มนี้จนมีพลังมากพอที่จะสั่นคลอนโลก ทำให้เหล่าเทพและภูติผีปิศาจต้องร่ำร้อง!
สามารถทำได้แม้กระทั่งอัญเชิญวิญญาณจาก 29 แคว้นเพื่อสร้างแรงกดดันอันน่าตื่นตะลึง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมองครักษ์ทั้งสองถึงได้ต่อต้านอากาศเยือกเย็นได้ยากขนาดนี้!
เพราะดาบหยินสามารถต่อสู้กับเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับปลายได้และไม่เพลี่ยงพล้ำ!
‘มีแค่คนแบบท่านมารเขียวเท่านั้นที่จะคู่ควรต่อดาบหยิน!’ ชายชราชุดเขียวซ่อนแววตาสีแดงประหลาด สายตาจ้องมองดาบในมือหวังหลินด้วยความตื่นเต้นและเห็นมันหายกลับเข้าไปในร่างกายอย่างไร้ร่องรอย เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
พอเริ่มส่งเสียงหัวเราะดังจึงได้กระอักโลหิต เขาแก่มากและแทบสิ้นอายุขัยแล้ว
‘ตอนนี้ร่างกายมีแก่นแท้ที่เก้าเรียบร้อย ทั้งยังยืดหยุ่นกว่าเดิม ดวงตาได้รับอำนาจสะกดข่ม มีเส้นโลหิตที่สร้างจากเส้นผมของบรรพชนเทพ แขนขวามีดาบหยิน! ร่างกายนี้แทบสมบูรณ์ไร้ที่ติ!’
‘แต่มีร่างแก่นแท้แค่สามร่างเท่านั้นและยังขาดร่างแก่นแท้วารี ข้าจะใช้สิ่งที่ตระกูลของข้าเตรียมการมานานหลายปีเพื่อสร้างร่างแก่นแท้ที่สี่ให้กับร่างนี้!!’
ชายชราสะบัดแขนซ้าย ของรอบตัวเขาเปล่งประกายเจิดจ้า
“วิญญาณเทพสมุทรมารดา!” ก้อนแสงน่ากลัวปรากฏขึ้นมา มันมีแก่นแท้วารีอันบริสุทธิ์โผล่ออกมาจากก้อนแสงและไม่อาจมองเห็นข้างในได้ แต่กลิ่นอายนั้นทรงพลังจนเกิดเป็นระลอกคลื่นน้ำขึ้นมาหลายชั้นในมิติแห่งนี้
ของชิ้นนี้ตระกูลเขาได้แย่งชิงมาจากการของที่ใช้ทำสงคราม เพื่อเอาไว้ช่วยฟื้นฟูแมงป่องมารเขียว
แต่ตอนนี้ชายชรากลับนำออกมาโดยไม่ลังเลเพื่อทำให้ร่างกายของหวังหลินสมบูรณ์แบบ
“วารีฝันสลาย!” ชายชราสะบัดแขนและนำของชิ้นที่สองออกมา มันเป็นเครื่องลายครามสีดำและมีหยดน้ำข้างในเพียงหนึ่งหยด
ของชิ้นนี้ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง ชายชราวางแผนจะปลูกฝังหยดน้ำข้างในไว้ในความฝันของเหล่าผู้คนนับไม่ถ้วน หลังจากนั้นอีกหลายปีเขาจะเก็บเกี่ยวมันออกมาจากความฝัน ซึ่งหยดความฝันนี้คือภาพมายาและมีพลังของแก่นแท้วารีอย่างมหาศาล
“หยดน้ำละลายจิตใจ!”
“โลหิตเทพวารี!”
“ต้นกำเนิดวารีแห่งฟ้าดิน!”
ของหลายอย่างรอบตัวเขาลอยออกไป พอเข้าไปใกล้หวังหลินจึงเกิดการระเบิดและเข้าไปในร่างซึ่งโลหิตของหวังหลินยังจับตัวกันแน่น พวกมันปลดปล่อยกลิ่นอายแก่นแท้วารีอย่างรุนแรงจนแก่นแท้วารีในร่างหวังหลินเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
การเพิ่มพลังความแข็งแกร่งนี้หวังหลินเคยเห็นแต่เพียงในบ่อน้ำตงหลินที่อยู่ในภาพมายาของโลกถ้ำเท่านั้น เป็นความรู้สึกอธิบายไม่ถูกเหมือนกำลังเห็นร่างแก่นแท้วารีเข้าใกล้ความสมบูรณ์!
ของที่ทำให้พลังแก่นแท้วารีเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นนับว่าหาได้ยากยิ่ง หากหวังหลินต้องการได้มาคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยพันปี บางส่วนก็หายากจนหวังหลินไม่รู้ว่าจะไปหามาได้อย่างไร
ทว่าในตอนนี้ ช่วงจังหวะรับโชควาสนาครั้งใหญ่ พวกมันกลับปรากฏขึ้นมาและเข้าสู่ร่างกาย
ร่างแก่นแท้วารีพลันก่อเกิดเป็นเค้าโครงและเริ่มก่อตัว แต่มันยังห่างจากการสร้างร่างแก่นแท้อยู่เล็กน้อย กระนั้นในเมื่อชายชรามั่นใจในการสร้างแก่นแท้ที่สี่ของหวังหลิน เขาก็ต้องมั่นใจในระดับหนึ่ง
เขาพลันกัดปลายลิ้นและพ่นโลหิตออกมา จากนั้นร่างกายที่ซ่อนอยู่ในชุดคลุมจึงเกิดอาการสั่นเทา โลหิตนี้มีพลังลึกลับของตระกูลเขาอยู่ด้วย
โลหิตครั้งนี้มีอายุขัยของเขาถึงแปดปี หมอกโลหิตปกคลุมทั่วร่างหวังหลิน
แต่ทว่าชายชรายังไม่หยุดแค่นั้น เขากัดฟันและกระอักโลหิตอีกครั้ง ใช้พลังชีวิตอีกแปดปี!
โลหิตทั้งสองคำมีมรดกและพลังชีวิตของตระกูลอยู่ด้วย ร่างหวังหลินถึงกับสั่นเทา แก่นแท้วารีรวมตัวอย่างบ้าคลั่ง โลหิตในร่างเริ่มไหลเวียนอย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียวเวลาผ่านไปอีกหลายเดือน กลิ่นอายแก่นแท้วารีพุ่งออกมาจากร่างหวังหลินและควบแน่นในร่างกายจนกลายเป็นร่างแก่นแท้ที่สี่!
เป็นร่างแก่นแท้วารี!!
ร่างแก่นแท้ดูเหมือนหลับไหลและไม่มีเจตจำนงเหลืออยู่ ซึ่งตราบใดที่หวังหลินต้องการ เขาสามารถควบคุมได้ทันที!!
แต่หวังหลินก็ยังรอคอยอยู่!
เขาต่อสู้กับเวลาจนชนะมาได้แล้ว หากต้องการชนะต่อไปจะต้องรอคอยไปอีก เขาจะไม่ถูกสิ่งใดล่อลวงและต้องต่อสู้จนกว่าจะจบ!
ของนับไม่ถ้วนที่ตระกูลของชายชรารวมกันมาแทบเป็นถูกใช้กับหวังหลินไปเกือบหมด มีเพียงสี่ถึงห้าชิ้นที่ยังเหลืออยู่ แต่ละอันเรืองแสงอ่อนโยน
แต่ชายชราเต็มไปด้วยใบหน้าตื่นเต้น เขาดูเหมือนลืมไปว่าเวลาในชีวิตมีไม่ถึงสิบห้าปี ลืมไปว่ามอบสิ่งที่มีค่าให้ไปขนาดไหนและเหนื่อยเพียงใด สิ่งเดียวในความคิดตอนนี้คือการเฝ้าเห็นท่านมารเขียวมาถึงและเห็นแมงป่องมารเขียวได้รับการชุบชีวิต!
“ร่างกายนี้สมบูรณ์แบบแล้ว ท่านมารเขียวจะต้องชอบมัน ตอนนี้เราต้องเตรียมการขั้นสุดท้าย เปลี่ยนร่างให้เป็นร่างแมงป่องเพื่อเหมาะสมกับท่านมารเขียว!” ชายชราสะบัดแขน วัตถุดิบที่เหลืออยู่ลอยเข้าหาหวังหลิน มันแตกสลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยและเข้าห่อหุ้มหวังหลิน
มิติสีเขียวแห่งนี้เริ่มสั่นเทา เหล่าแมงป่องนับไม่ถ้วนแตกสลาย พวกมันเปลี่ยนกลายเป็นแสงสีเขียวลอยเข้าหาหวังหลิน มิติรอบด้านหดลงเข้าหาหวังหลินราวกับกลายเป็นบ่อน้ำจนในที่สุดได้กลายเป็นเตาหลอมสีเขียวขนาดยักษ์!!
เตาหลอมนี้สูงราวหมื่นฟุต ราวกับเตาหลอมแห่งสวรรค์ มันเป็นสีเขียวล้วนและปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายของแมงป่องเขียว ทั้งยังมีของหายากที่ชายชราให้ออกมาเพื่อเข้าไปเปลี่ยนร่างหวังหลิน!!
“ผู้ส่งสาส์นมารเขียว จงเปลี่ยนระดับบ่มเพาะเจ้าให้กลายเป็นเชื้อเพลิงให้กับเตาหลอม!” ชายชราไอแค้กๆออกมา ส่งเสียงแหบพร่าแต่กลับตื่นเต้น
องครักษ์ทั้งสองก้าวออกไปข้างหน้าโดยไม่ลังเลและนั่งถัดกับเตาหลอมสีเขียว สองฝ่ามือสร้างผนึกส่งวิญญาณดั้งเดิมของตัวเองออกไป จากนั้นพ่นแกนดั้งเดิมออกมาจำนวนมากเพื่อเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงให้กับเตาหลอม!
จังหวะที่เตาหลอมอยู่รอบร่างหวังหลิน ร่างเขาจึงสั่นสะท้านและมีเสียงปะทุปล่อยออกมา ขณะเดียวกันควันสีเขียวได้โผล่ออกมาจากเตาหลอมเข้าสู่ร่างหวังหลิน ควันทุกสายมีพลังงานรุนแรงของโลกแห่งนี้!
นี่ไม่ใช่กลิ่นอายของเผ่าบัญชาโบราณหรือเผ่าเทพ แต่เป็นพลังที่เป็นของโลกนี้ พลังที่เป็นของแมงป่องมารเขียว แต่เป็นของหวังหลินด้วยเช่นกัน!
เส้นใยพลังงานไร้ขอบเขตเหล่านี้เข้าสู่ร่างหวังหลินอย่างบ้าคลั่งและรวมตัวกันภายใน ร่างหวังหลินเหมือนหลุมไร้ก้นบึ้งที่ดูดซับพลังงานนี้ไปอย่างต่อเนื่อง
วิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินกำลังจ้องมองพลังของโลกแห่งนี้อยู่ใต้การป้องกันของลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า ดวงตาตื่นเต้นยิ่งขึ้นแต่ก็อดทนเอาไว้และไม่ดูดซับมัน
เวลานี้เพียงแค่คิดก็สามารถเข้าครอบครองร่างกายและดูดซับพลังของโลกเพื่อทำให้ระดับบ่มเพาะเพิ่มพูนได้แล้ว แต่เขายังคงรอคอย รอคอยให้พลังงานรวมกันในร่างกายให้มากกว่านี้
เขารอคอยโชควาสนาครั้งนี้มามากกว่าร้อยปี หากวิญญาณดั้งเดิมปรากฏขึ้นมาก่อนและภายนอกสังเกตได้ โชควาสนาของเขาจะตกลงไปอย่างมหาศาล
ยิ่งเวลาผ่านไป พลังของโลกแห่งนี้จึงเข้าสูร่างกายเขามากขึ้น ท้ายที่สุดมันได้ปกคลุมและซ้อนทับแทบทุดส่วนของร่างหวังหลิน แต่เขาก็ยังคงรออยู่ต่อไป
หนึ่งปี สองปี สามปี…
พริบตาเดียวผ่านไปอีกสิบปี!!
ช่วงเวลาสิบปีนั้นชายชราชุดเขียวเพียงแค่นั่งอยู่ด้านนอกเตาหลอม สายตาจ้องมองจนแดงก่ำ เขาใช้พลังชีวิตไปมากและไม่เหลือเวลามากมาย ร่างกายอ่อนแอแต่ก็ต้องการอยู่เพื่อเห็นแมงป่องมารเขียวฟื้นคืนชีพ!
แม้จะมีลำแสงอีกสามสายทะยานเข้ามาผ่านสายหมอกที่ไม่มีใครเข้ามาเลยในรอบร้อยปี ชายชราก็ยังไม่สนใจเลย
ลำแสงทั้งสามเส้นเข้ามาใกล้ด้วยความระมัดระวัง หวังหลินคุ้นเคยกับทั้งสามคนนี้เพราะเป็นสามคนที่ได้ครอบครองเกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์!
แผนการของจ้าวสำนักกุ้ยยี่ได้ล่าช้าไปร้อยปีด้วยเหตุผลบางอย่างและเพิ่งจะเริ่ม!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น