Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1880-1887
ตอนที่ 1880
แผนการลับสุดยอด!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ช่วงเวลาเจ็ดวันนี้ วังใต้ดินเงียบสงัดเป็นอย่างยิ่ง คนบางส่วนได้ออกมาจากวังใต้ดินและขึ้นสู่บนพื้น พวกเขามองทุ่งยอดนภาที่ดูเหมือนกลับตาลปัตรและถึงกับตะลึงงัน
พวกเขานึกย้อนไปถึงสามประโยคที่หวังหลินพูดเอาไว้ก่อนจะปิดด่านบ่มเพาะ ตอนนี้จึงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อทุ่งยอดนภาจนเกิดความหวาดหวั่น
แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่หวังหลินพูดเป็นความจริงทั้งหมด
นอกจากนี้บนทุ่งยอดนภาไม่เหลือเซียนจากแคว้นมารเขียวแม้แต่คนเดียว คำพูดของหวังหลินปรากฏขึ้นในใจทุกคน
หยานหลวนออกมาบนพื้นดินเช่นกันและมองไปรอบๆ ด้วยสายตาหวาดกลัวลึกๆ ระดับบ่มเพาะของนางสูงส่งมากดังนั้นจึงมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น จากสายตาของนางแล้ว มีประทับฝ่ามือขนาดใหญ่อยู่ในทุ่งยอดนภา!
อย่างไรก็ตามบางอย่างที่อยู่ในประทับฝ่ามือก็พลาดได้ง่ายๆ
‘มีการสังหารรุนแรงเกิดขึ้นที่นี่เมื่อเจ็ดวันก่อน…’ หยานหลวนขบคิด
ซิ่วตงเต๋อยืนอยู่ข้างหยานหลวนและมองรอบด้านด้วยสายตาซับซ้อน
“ผู้อาวุโสหวังจะต้องพุ่งทะยานไปไกลได้แน่นอน ข้ากลัวว่าอีกไม่กี่ปีเราคงต้องพูดกับเขาด้วยความเคารพเสียแล้ว” ซิ่วตงเต๋อถอนหายใจ
ผ่านไปอีกครึ่งเดือนจึงเกือบครบหนึ่งเดือนที่มีการสังหาร ช่วงเวลานี้มีเซียนบางคนกระจายกันออกไปยังชายขอบทุ่งยอดนภาเพื่อดูว่ามีเซียนจากแคว้นมารเขียวหลงเหลืออยู่หรือไม่
แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่พบสิ่งใด
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นตามที่หวังหลินบอกไว้ก่อนจะปิดด่านบ่มเพาะ หนีไปได้เพียงไม่กี่คน ส่วนที่เหลือล้วนตายกันหมด
เปลวเพลิงแห่งสงครามยังคงคุกรุ่นอยู่บนแคว้นกระทิงสวรรค์ แต่สถานที่สงบเงียบแบบทุ่งยอดนภานั้นหาได้ยากยิ่ง ไม่มีคำสั่งใหม่ออกมาจากสำนักมหาวิญญาณและสำนักกุ้ยยี่ ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถออกไปไหนได้ พวกเขาได้แต่เฝ้าระวังเส้นชีพจรแห่งที่สามเท่านั้น
แม้วันคืนในแต่ละวันจะน่าเบื่อ เซียนคนหนึ่งได้ค้นพบสมบัติที่เสียหายบนทุ่งยอดนภา มีหลายสิ่งหลายอย่างดูน่าสนใจ เหล่าเซียนจึงได้ออกไปตามหาสมบัติและของเหลือจากพวกเซียนที่ตายมากขึ้น
ทว่าส่วนใหญ่ถูกวิชาของหวังหลินทำลายไปเกือบหมด แม้จะมีบางส่วนเหลืออยู่แต่เสียหายไปจนแทบใช้การไม่ได้ แต่กระนั้นก็พอมีค่าอยู่บ้าง
ชีวิตรูปแบบนี้เป็นเรื่องน่าสนุกสำหรับเหล่าเซียน ไม่เกิดการสังหารและไม่ตาย และเพราะพวกเขาต่อสู้ร่วมกันจึงคุ้นเคยกันแม้จะเป็นคนแปลกหน้า
อย่างไรก็ตามบรรยากาศแบบนี้พลันหายไปทันทีเมื่อกลับไปยังวังใต้ดิน ทุกคนที่กลับมาต่างก็เงียบและมองไปยังถ้ำที่ดูธรรมดายิ่งแห่งหนึ่ง ถ้ำแห่งนั้นคือถ้ำที่หวังหลินปิดด่านบ่มเพาะ
เหล่าเซียนรวมถึงกลุ่มของหยานหลวนทั้งหมดต่างก็เงียบอยู่ในวังใต้ดิน ราวกับกลัวว่าจะไปรบกวนหวังหลินเข้า
การต่อสู้ของหวังหลินและสามประโยคของเขาได้ทำให้เหล่าเซียนเกิดความหวาดกลัวและเคารพขึ้นมา
กาลเวลาเริ่มไหลผ่านไปอีกครั้ง หนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน
ชั่วเวลาสามเดือน ทั่วทั้งทุ่งยอดนภาถูกเหล่าเซียนค้นจนทั่วจนไม่เหลืออะไรอีก แต่หวังหลินก็ยังไม่ออกมาจากการปิดด่านบ่มเพาะ
วันหนึ่ง เซียนหลักร้อยบนทุ่งได้สร้างพื้นที่สี่เหลี่ยมขนาดเล็กขึ้นมาเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งที่ค้นพบบนทุ่ง ทันใดนั้นมีเสียงพึมพำดังออกมาไกล
เสียงนี้ทำให้สีหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไปมหาศาล ทั้งหมดยืนขึ้น ความสบายใจที่ผ่านมาสามเดือนได้หายไปและถูกแทนที่ด้วยท่าทีสุขุมและเคร่งขรึม
เสียงพึมพำไม่ได้ออกมาจากทุ่งยอดนภาแต่ห่างออกไปไกลกว่า กระนั้นก็ยังทำให้ที่นี่เคร่งครัดขึ้นมา
เสียงอึกทึกแผ่กระจายอยู่เหนือทุกคนและเปล่งความรู้สึกคล้ายโลหิตและความดุร้ายที่ไม่อาจมองเห็นแต่สัมผัสได้ มันกวาดผ่านมาและแผ่กระจายออกไปไกล
เหล่าเซียนนับร้อยบนพื้นดินถึงกับตกตะลึง พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือทำไมถึงมีเสียงนี้ขึ้นมา บางส่วนเห็นกระทิงสวรรค์ตรงสุดขอบโลก เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตและกำลังส่งเสียงคำรามอย่างโหยหวน
เสียงคำรามที่แผ่กระจายออกมาคือเสียงคำรามของกระทิงสวรรค์ ที่มันส่งเสียงอย่างต่อเนื่องแบบนี้เป็นเพราะกระทิงสวรรค์กำลังหนีอย่างเจ็บปวด
อย่างไรก็ตามมีคนไม่ถึงสิบคนเห็นภาพพร่าเลือนนี้และทั้งหมดต่างก็ไม่ปริปาก
ขณะที่เสียงคำรามกวาดผ่านเข้ามา มันได้ห่อหุ้มไปทั้งทุ่งยอดนภา เหล่าเซียนในวังใต้ดินลืมตาตื่นและมีท่าทีเปลี่ยนไป ทั้งหมดพุ่งทะยานขึ้นสู่พื้นดินและมองไปบนท้องฟ้า จากนั้นจึงตกตะลึง
กลุ่มของหยานหลวนพุ่งทะยานออกมาจากวังและมีสีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน พวกเขามองถ้ำที่หวังหลินอยู่และจากนั้นมุ่งหน้าไปยังพื้นดิน
ทำให้เหลือเพียงหวังหลินคนเดียวที่อยู่ในวังใต้ดิน ช่วงเวลาสามเดือนนี้เขาสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว เขากำลังระงับอาการบาดเจ็บภายในจากการต่อสู้หลายครั้ง ตอนนี้มันสงบลงแล้ว เขาจึงเริ่มฟื้นฟูตัวเอง
ช่วงเวลสามเดือนหวังหลินพาตัวเองให้คุ้นเคยกับเกราะวิญญาณอย่างต่อเนื่อง และย่อยสิ่งที่เข้าใจมาตอนที่ระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้น
ความเข้าใจนี้เป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับเขา เขาจดจำมันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งค่อยๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของเขา ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลเมื่อระดับบ่มเพาะสูงขึ้น
ช่วงเวลาสามเดือนนี้ หวังหลินยังคงศึกษาวิชาแยกราตรีของตัวเอง น่าเสียดายที่ไม่มีเกราะวิญญาณ แยกราตรีจึงไม่ได้เป็นวิชาแห่งศรัทธาอีกต่อไป
วินาทีที่เสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วทุ่งยอดนภา หวังหลินตื่นจากการบ่มเพาะเป็นครั้งแรกในรอบสามเดือน ความเจ็บปวดบาดลึกออกมาจากหน้าอกและแผ่กระจายไปทั่วร่างจนเขาถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบ
รอยสักกระทิงสวรรค์บนใบหน้าด้านขวาเริ่มเผาไหม้และเปล่งความรู้สึกโกรธเกรี้ยวและเศร้าหมอง
ความเศร้าออกมาจากวิญญาณกระทิงสวรรค์!
หวังหลินจิตใจสั่นเทา เขาได้ยินเสียงร้องและจึงมองไปยังพื้นดิน ภาพทัศนวิสัยพร่าเลือนและดูเหมือนจะเห็นภาพบางอย่างได้
มันเป็นเทือกเขามากมายและมีเหล่าเซียนหลายพันคน หลังจากดิ้นรนต่อสู้ไปหลายเดือนเหล่าเซียนพวกนี้จึงตายไปเหลือเพียงหลักร้อย ท่ามกลางพวกเขามีคนหนึ่งสวมชุดเกราะสีดำเต็มยศ และเปล่งกลิ่นอายของวิญญาณกระทิงสวรรค์
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่ได้รับการยอมรับจากกระทิงสวรรค์เหมือนหวังหลินและเป็นคนที่ได้รับงานให้คุ้มครองเส้นชีพจรหนึ่งในเจ็ดแห่ง
หวังหลินเฝ้าดูคนผู้นี้ออกไปสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า ท้ายที่สุดเขาก็ถูกมือสีแดงตกลงมาจากท้องฟ้าใส่คราเดียวถึงเก้าครั้ง เกราะรอบตัวเขาแตกสลายและเขาตายทันที
มือสีแดงสั่นเทาและเปลี่ยนกลายเป็นชายชราผมแดง เขามีท่าทีมืดมนและยืนอยู่ในอากาศราวกับราชาแห่งฟ้าดิน เขาถูกเหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวด้านล่างเทิดทูนทั่วหล้า!
หวังหลินไม่สามารถสัมผัสกลิ่นอายของเขาจากภาพที่เห็นได้ แต่จากที่เห็นนั้นชายชราคนที่สังหารคนสวมเกราะวิญญาณนั้นต้องหมายความว่าระดับบ่มเพาะของเขาสูงลิ่วเป็นแน่!
หลังจากเซียนสวมเกราะวิญญาณตายไป ทั่วทั้งเทือกเขาจึงพังทลายและแตกสลาย เทือกเขามากมายกลายเป็นหลุมแห่งความตาย
ม่านพลังของเจ็ดเส้นชีพจรได้พังทลายไปส่วนหนึ่ง มันจึงไม่สมบูรณ์อีกต่อไป!
ภาพทัศนวิสัยของหวังหลินมืดลงและเขาตื่นขึ้น ขบคิดเงียบๆ ชั่วขณะ สิ่งที่เขาเพิ่งเห็นไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นเห็นได้ มีเพียงคนที่ครอบครองเกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์เท่านั้นที่จะได้เจอ
หนึ่งในเจ็ดเส้นชีพจรกระทิงสวรรค์ได้พังทลายลงแล้ว
ใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าที่เสียงคำรามรุนแรงนี้จะหายออกไปไกล
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ได้ทำให้เซียนทั้งหมดในทุ่งยอดนภารู้สึกว่ามีบางอย่างแย่ๆ กำลังจะเกิดขึ้น หลายคนต่างคาดการณ์เอาไว้แต่ทั้งหมดรู้สึกเช่นกันว่าเรื่องใหญ่กำลังจะเกิด
สองเดือนให้หลัง เหล่าเซียนในทุ่งยอดนภาจึงไม่ผ่อนคลายอีกต่อไปแล้ว เป็นเพราะเสียงคำรามเมื่อสองเดือนก่อนได้เกิดขึ้นอีกสองครั้ง!
เสียงคำรามสามครั้งได้ทำให้เกิดแรงกดดันทับใส่จิตใจทุกคนอย่างมหาศาล
เจ็ดวันถัดมา ลำแสงสายหนึ่งเข้ามาใกล้ทุ่งยอดนภา ลำแสงนี้พุ่งทะยานมาถึงเหนือวังใต้ดินอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนร่างเป็นชายชราชุดดำที่มีสภาพย่ำแย่
เขาไม่ได้มาจากสำนักมหาวิญญาณ เขามาจากสำนักกุ้ยยี่!
“เส้นชีพจรแห่งที่สามของทุ่งยอดนภา จงฟังคำสั่งนี้! ข้าถูกสั่งการมาจากคำสั่งวิญญาณจากสำนักมหาวิญญาณและสำนักกุ้ยยี่ จงออกไปจากที่นี่ทันทีและล่าถอยไปหนึ่งล้านลี้เพื่อรวมตัวกันที่ภูเขาเทียนหลวน จะมีคนอยู่ที่นั่นเพื่อต้อนรับพวกเจ้า จงถือคำสั่งนี้และรีบจากไปให้เร็ว!!”
“ผู้เป็นเจ้าของเกราะวิญญาณของเส้นชีพจรแห่งที่สาม ข้าโอวหยางเจิน ขออนุญาตเข้าพบ!!” ชายชรายืนอยู่บนท้องฟ้าและดูกระวนกระวายแต่ไม่ลืมที่จะทำตัวเคารพ นอกจากนี้คนที่ได้ครอบครองเกราะวิญญาณก็คู่ควรต่อการทำความเคารพ!
ขณะที่เขาคำนับฝ่ามือ หวังหลินพลันลืมตาขึ้นมาในถ้ำ เขาหายวับไปและปรากฏตัวอยู่ด้านนอกเพื่อเจอกับชายชรา
พอชายชราได้เห็นหวังหลินจึงตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คาดคิดว่าคนที่เป็นเจ้าของเกราะวิญญาณจะมีระดับบ่มเพาะเท่านี้ แต่ก็ไม่กล้าประเมินหวังหลินต่ำไป อีกทั้งการสามารถปกป้องที่นี่ได้นั่นหมายความว่าหวังหลินมีบางอย่างพิเศษ
“เส้นชีพจรแห่งแรก แห่งที่สองและแห่งที่เจ็ดได้ถูกแคว้นมารเขียวทำลายแล้ว เจ้าของเกราะวิญญาณทั้งสามคนสิ้นชีพ…โอวหยางมาตามคำสั่งเพื่อรายงานต่อเจ้าของเกราะวิญญาณของเส้นชีพจรแห่งที่สามให้ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายกลับไปยังสำนักกุ้ยยี่ทันทีด้วยเรื่องแผนการลับสุดยอด!!”
ตอนที่ 1881
จีบ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากได้ยินว่าเส้นชีพจรแห่งที่หนึ่ง สองและเจ็ดถูกทำลาย หวังหลินยังมีท่าทีสงบนิ่งเพราะสัมผัสได้ก่อนหน้านี้แล้ว
“แผนการลับสุดยอด?” หวังหลินขมวดคิ้ว
“ข้ามาเพื่อส่งคำสั่งและไม่รู้รายละเอียด ข้าหวังว่าสหายเซียนจะรีบกลับสำนักในทันที คนแบบข้ามีทั้งสิ้นสี่คนที่ถูกส่งออกไปยังเส้นชีพจรแต่ละแห่ง” โอวหยางเจินยื่นมืออกไปหยิบหินหยก เขาโยนให้หวังหลิน
“หินหยกก้อนนี้มีตำแหน่งของค่ายกลเคลื่อนย้ายและสามารเปิดใช้งานค่ายกลได้สามครั้ง หวังว่าสหายเซียนจะรีบไป ข้ายังมีงานอีกอย่างต้องทำและต้องขอตัวลาก่อน!” โอวหยางเจินดูกระวนกระวาย หลังจากคำนับฝ่ามือให้หวังหลิน เขาก็จากไป
โอวหยางเจินไปมาอย่างรวดเร็วแต่หวังหลินสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดของเซียนในแคว้นกระทิงสวรรค์ได้ หลังจากขบคิดเล็กน้อยเขาจึงมองดูหินหยก
บนพื้นดินมีลำแสงหลายเส้นทะยานออกไปและกลายเป็นกลุ่มของหยานหลวน
หลังจากนั้นไม่นาน หวังหลินเก็บหินหยกไปและมองดูกลุ่มของนาง เขาคำนับฝ่ามือให้
“เหล่าสหายเซียน เราอยู่ด้วยกันมาหลายเดือนแต่ถึงเวลาต้องแยกจากกันแล้ว หากโชคชะตาลิขิตอีกครั้ง เราคงมีโอกาสได้ต่อสู้ร่วมกันอีก”
“ลาก่อน!” หวังหลินกวาดสายตาผ่านไปยังหยานหลวน เขาหันตัวกลับโดยไม่รังเล ระลอกคลื่นใต้ฝ่าเท้าดังกึกก้องและร่างกายเลือนหายไป
หวังหลินจากไปโดยไม่ลีลา เขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแคว้นกระทิงสวรรค์ดังนั้นจะมาจะไปก็ได้
กลุ่มของหยานหลวนมองดูตำแหน่งที่หวังหลินจากไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนไปชั่วครึ่งก้านธูป การอยู่ด้วยกันหลายเดือนที่ผ่านมามีเรื่องที่เกิดขึ้นมากมายและมิอาจลืม เป็นสิ่งที่พวกเขาจะจำไปจนวันตาย
วันที่หวังหลินจากไป เหล่าเซียนทั้งหมดจึงไปจากที่นี่พร้อมกับกลุ่มของหยานหยวน พวกเขาออกไปจากทุ่งยอดนภา ละทิ้งที่นี่เพื่อมุ่งหน้าไปสู่ตำแหน่งที่โอวหยางเจินมอบให้
การป้องกันของเส้นชีพจรแห่งที่สามได้จบสิ้นลงแล้ว
สำนักกุ้ยยี่ หนึ่งในสองสำนักที่ทรงพลังที่สุดของแคว้นกระทิงสวรรค์ หนึ่งในเก้าสำนักสิบสามกองกำลังของแผ่นดินฝั่งตะวันออก แม้จะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดแต่ก็ไม่ได้อ่อนแอที่สุดเช่นกัน
ทั้งสำนักกุ้ยยี่ครอบครอบพื้นที่ของแคว้นกระทิงสวรรค์จำนวนมาก ยอดเขานับไม่ถ้วนมีสิ่งก่อสร้างเก่าแก่และเปล่งสัมผัสอันทรงเกียรติอยู่ใต้สายหมอก
สำนักกุ้ยยี่มีโครงสร้างที่เป็นวงแหวนล้อมกันไว้หลายชั้นจนดูเหมือนวังวนยักษ์ปกคลุมพื้นที่กว้างไกลสุดตา
สำนักกุ้ยยี่มีศิษย์จำนวนมากเช่นเดียวกับสำนักมหาวิญญาณ และมีเซียนทรงพลังมากมาย
ห่างจากสำนักกุ้ยยี่ไปหลายหมื่นลี้มีแสงระเบิดขึ้นในท้องฟ้า ทันใดนั้นมันทำให้คนในสำนักเกิดความสนใจขึ้นทันที ลำแสงหลายเส้นลอยทะยานเข้ามาหาค่ายกล
ภายในลำแสงค่ายกล หวังหลินในชุดขาวเริ่มปรากฏตัวขึ้นมา ทว่ามันเป็นเพียงแค่รูปร่างและไม่เห็นใบหน้า จังหวะนั้นลำแสงหลายเส้นได้ล้อมรอบหวังหลินเข้าแล้ว
“เจ้าเป็นใคร? โปรดนำหินระบุตัวตนออกมา!” น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้น คนที่พูดเป็นชายวัยกลางคนระดับขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับกลาง เขาสวมชุดคลุมเต๋าห้าธาตุและจ้องหวังหลินด้วยสายตาเย็นเยียบ
เซียนรอบด้านทั้งหมดต่างก็สวมชุดคลุมเต๋าห้าธาตุและกำลังรอคอยหวังหลินนำหินหยกระบุตัวตนออกมา ตอนนี้เป็นเวลาแห่งสงคราม หากหวังหลินไม่สามารถนำหินหยกออกมาได้พวกเขาจะสังหารทันที
หลังจากร่างหวังหลินเริ่มชัดเจนขึ้นอย่างสมบูรณ์ เหล่าเซียนรอบด้านเห็นรอยสักกระทิงสวรรค์บนใบหน้า ทุกคนต่างมีท่าทีเปลี่ยนไปและถอยไปหลายก้าว
พวกเขาสัมผัสถึงกลิ่นอายของวิญญาณกระทิงสวรรค์ได้ ซึ่งสัมผัสได้ชัดเจนว่ากลิ่นอายนี้มาจากอีกสองคนเมื่อวานก่อนด้วย
“เราทั้งหมดขอต้อนรับผู้ส่งสาส์นกระทิงสวรรค์! ข้าสงสัยว่าท่านผู้ส่งสาส์นมาจากเส้นชีพจรแห่งไหน? สำนักอะไร?” ชายวัยกลางก่อนหน้านี้พลันเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นสุภาพขึ้น เหล่าเซียนรอบด้านรีบคำนับฝ่ามือทันที
พวกเขารู้สึกเคารพยิ่งจากก้นบึ้งจิตใจต่อเหล่าผู้ส่งสาส์นที่สามารถคุ้มกันเส้นชีพจรกระทิงสวรรค์ได้ แม้พวกเขาจะเห็นว่าระดับบ่มเพาะของหวังหลินไม่ได้สูง พวกเขาก็คิดว่าคนที่สามารถป้องกันการโจมตีของแคว้นมารเขียวได้ต้องมีบางอย่างพิเศษเป็นแน่
“หวังหลิน สำนักมหาวิญญาณ เส้นชีพจรกระทิงสวรรค์แห่งที่สาม มาจากทุ่งยอดนภา” หวังหลินคำนับฝ่ามือให้กับทุกคน
“ท่านผู้ส่งสาส์น! จ้าวสำนักมีคำสั่งออกมาว่าผู้ส่งสาส์นทั้งหมดต้องมุ่งหน้าไปที่ห้องโถงหลัก” ชายวัยกลางคนยกมือขึ้นมาต้อนรับหวังหลิน
หวังหลินพยักหน้าและมองสำนักกุ้ยยี่ที่ห่างออกไปไกล นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาที่นี่ ความจริงในโลกถ้ำเขาก็สัมผัสได้ถึงสำนักกุ้ยยี่จากรอยแยกที่อยู่ในแดนสวรรค์วายุแล้ว
ทั้งยังมีสหายเก่าอยู่ที่นี่ด้วย
เขาก้าวออกมาจากค่ายกล ชายวัยกลางคนและเหล่าเซียนรอบด้านพุ่งทะยานไปพร้อมกับเขาเข้าหาสำนักกุ้ยยี่
ทว่าก่อนที่ทุกคนจะทะยานไปได้ไกล ค่ายกลเคลื่อนย้ายพลันเรืองแสงพร่ามัวอีกครั้งกระจายออกไปทั่วสารทิศ
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทำให้หวังหลินและเซียนคนอื่นหันมาสนใจ ชายวัยกลางคนหันมาเย็นเยียบอีกครั้ง จ้องมองค่ายกลด้วยความเคร่งเครียด
ภายในค่ายกลมีร่างสตรีผู้หนึ่งก้าวเดินออกมา รูปลักษณ์ของนางยังมองเห็นได้ไม่ชัดแต่รูปร่างงดงามยิ่ง เพียงแค่มองปราดเดียวก็ทำให้หัวใจสั่นระรัวได้แล้ว
หลังจากนั้นไม่นานร่างของนางก็ชัดเจนขึ้นกลายเป็นสตรีสวมชุดสีม่วง นางดูอ่อนเยาว์และงดงามมาก สัมผัสที่นางแผ่กระจายออกมาดูเยือกเย็นและทำให้นางคล้ายเทพธิดา
ใบหน้าทางด้านขวาของนางมีรอยสักกระทิงสวรรค์เช่นกัน ไม่เพียงแต่รอยสักจะไม่ลดทอนความสวย ทั้งยังทำให้มีกลิ่นอายลี้ลับ
“ถังเจียแห่งสำนักซิ่วเฉิง เส้นชีพจรกระทิงสวรรค์แห่งที่หก เทือกเขาทะเลคราม” นางเอ่ยขึ้นบางเบาพลางกวาดสายตาผ่านคนเบื้องหน้า สายตาหยุดอยู่ตรงหวังหลินชั่วขณะแต่นางยังคงนิ่งเฉย
หลังจากเห็นนาง หวังหลินหรี่ตาแคบลง เขามองใกล้ขึ้นและรู้สึกว่านางดูคุ้นๆ แต่ก็นึกไม่ออกว่าทำไม
ถังเจียขมวดคิ้วเล็กน้อยไปทางหวังหลินและชำเลืองมองไปด้วย
“สหายเซียน ท่านมาจากเส้นชีพจรเส้นไหน?” นางเอ่ยเสียงแจ่มใจและน่ารัก
“เส้นชีพจรกระทิงสวรรค์แห่งที่สาม” หวังหลินเอ่ยขึ้นช้าๆ ทำการสังเกตนางอย่างต่อเนื่อง พยายามค้นหาว่าทำไมนางถึงทำให้รู้สึกคุ้นๆ
เขามั่นใจว่านางไม่ได้เป็นคนจากโลกถ้ำ
ทว่าสายตาของเขานั้นไร้มารยาทสำหรับนางมาก นางขมวดคิ้วและมองหวังหลินแฝงความรังเกียจเล็กน้อย
นางมองดูหวังหลินอย่างเย็นชาและเอ่ยขึ้นเบาๆ “สหายเซียน ท่านเคยเจอข้ามาก่อนหรือไม่?”
“ข้าไม่เคยเจอท่านมาก่อน แต่ข้ารู้สึกเหมือนท่านดูคุ้นหน้าคุ้นตาเล็กน้อย” หวังหลินขบคิดและตระหนักได้ว่าท่าทีของเขานั้นเสียมารยาท เขายิ้มเป็นเชิงขอโทษและถอนสายตาออกมา
หลังจากได้ยินคำพูดของหวังหลิน ถังเจียรู้สึกรังเกียจขึ้น นางได้ยินคำพูดคล้ายกันนี้หลายครั้งมาก่อนและถือว่าหวังหลินกำลังจีบนาง นางไม่พูดอีกและทะยานเข้าหาสำนักกุ้ยยี่
หวังหลินลูบจมูกพลางทะยานเข้าหาสำนักกุ้ยยี่ด้วยสายตาแปลกประหลาดจากชายวัยกลางคน
ไม่นานนักทุกคนจึงได้ทะยานเข้าสู่สำนักกุ้ยยี่และเข้าสู่ค่ายกลโดยมีชายวัยกลางคนนำทาง
แสงสีม่วงกะพริบวาบ แต่ดูเหมือนว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่ถังเจียมาที่สำนุกกั้ยยี่ นางตรงเข้าสู่โถงใหญ่
ครึ่งชั่วโมงต่อมา หวังหลินเห็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่มีนาฬิกายักษ์ห้อยหัวอยู่ในท้องฟ้า มันเปล่งแรงกดดันระเบิดออกมา
ใต้นาฬิกามีเซียนสองคนกำลังนั่งอยู่ คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนใบหน้ามืดมนคล้ายไม่สนใจทุกอย่างรอบตัว ใบหน้าทางด้านขวามีรอยสักกระทิงสวรรค์กะพริบวาบและเปล่งกลิ่นอายวิญญาณกระทิงสวรรค์
อีกคนเป็นชายวัยกลางคนท่าทีดูขี้เกียจ แต่หากมองใกล้ๆ จะเห็นแสงในดวงตา แม้จะดูขี้เกียจแต่เมื่อเขาเคร่งเครียดขึ้นมาจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
บนใบหน้าด้านขวามีรอยสักกระทิงสวรรค์กะพริบวาบอยู่เช่นกัน
ตอนที่ถังเจียมาถึง ชายหนุ่มมองเข้ามาและไม่สนใจอะไรเลย แต่ในจังหวะต่อมาท่าทีของเขาหายไปและเผยอาการตกตะลึง ยืนขึ้นพรวดพราดและจ้องมองถังเจีย
หรืออีกความหมายหนึ่ง เขากำลังจ้องมองด้านหลังถังเจีย! หวังหลินผมขาวผู้กำลังมีเซียนหลายคนชี้ทาง
หวังหลินเองก็เห็นเขาเช่นกัน!
ถังเจียตกตะลึงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของชายหนุ่ม นางรู้จักเขา รู้จักตัวตนและรู้จักชื่อเสียงเขาบนแคว้นกระทิงสวรรค์ ในอดีตนั้นนางเห็นได้เห็นแต่ท่าทีภูมิใจ ทว่าไม่เคยเห็นสีหน้าอาการอย่างตอนนี้
หลังจากตกตะลึงไปชั่วขณะ ถังเจียจึงหันกลับมาโดยไม่รู้ตัวและมองไปที่ร่างชายผู้ที่นางรู้สึกรังเกียจก่อนหน้านี้
ตอนที่ 1882
ไม่ยุติธรรม!
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พี่หวัง!” ท่าทีขี้เกียจของชายหนุ่มเลือนหายไป กลิ่นอายเปลี่ยนไปทันที ระเบิดระดับบ่มเพาะรุนแรงออกมาและหัวเราะเสียงดัง
เขาพุ่งทะยานมาข้างหน้าและเข้าประชิดหวังหลินทันที
มือขวายกขึ้นดุจคมกระบี่ แสงสีทองระเบิดออกมาจากมือและเปลี่ยนกลายเป็นกระบี่สีทองฟาดฟันเข้าใส่หวังหลิน!
กระบี่เล่มนี้มีพลังอำนาจมากพอจะแยกสวรรค์และทำให้โลกเปลี่ยนสีสัน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงสีทอง พลังปราณสวรรค์บริเวณใกล้เคียงทั้งหมดรวมตัวกันราวกับกระบี่ทองเล่มนี้มีพลังอำนาจใจการกลืนกินโลกแห่งนี้
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทำให้เซียนที่ติดตามหวังหลินรวมถึงชายวัยกลางต้องมีท่าทีเปลี่ยนไปครั้งใหญ่ พวกเขาถอยหนีออกมาด้านข้างหวังหลินโดยไม่ลังเล
ถังเจียหรี่ตาพลางจ้องมองร่างของชายหนุ่มที่มีแขนขวาเป็นคมกระบี่ ร่างนั้นทับซ้อนกับร่างในความทรงจำของนางทันที
“หากข้าไม่ใช้งานเกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์ ข้าคงไม่สามารถต้านทานกระบวนท่านั้นได้!” ถังเจียเป็นเพียงเซียนขั้นวิบากแก่นแท้ด่านที่แปด เมื่อนางสามารถผ่านด่านที่เก้าไปได้ นางจะสามารถกลายเป็นเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นได้อย่างแท้จริง!
ยังมีชายชราที่นั่งอยู่ใต้นาฬิกา เขาพลันลืมตาขึ้นมามอง ระดับบ่มเพาะลึกล้ำและเปล่งกลิ่นอายของเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางออกมา เขาใกล้เคียงกับราชันย์เทพสีรุ้งในตอนที่มีพลังเต็มเปี่ยม!
หวังหลินมีท่าทีเช่นเดิม เมื่อกระบี่ทองอยู่ห่างไม่เกินร้อยฟุต ดวงตาพลันเปล่งประกายและจ้องมองชายวัยกลางคน เขายกแขนขวาขึ้นมาชี้ไปข้างหน้า
เพียงแค่การชี้ ทั่วทั้งโลกหยุดชะงักราวกับพลังประหลาดทำให้โลกเป็นหินซึ่งรวมถึงกฎ พลังปราณรอบกระบี่สีทอง และทุกจังหวะของชายหนุ่ม!
กระบี่ทองเสมือนโดนแผ่นดินถล่มใส่และแตกหักโดยไม่ได้โจมตีหวังหลินเลยแม้แต่น้อย! ชั่วจังหวะที่ชายหนุ่มแข็งค้าง หวังหลินยืนอยู่บนพื้นที่จัตุรัสด้านล่างนาฬิกาอย่างสงบนิ่ง
ถังเจียเห็นแบบนี้จึงทำให้จิตใจสั่นเทา นางมองไปยังหวังหลิน ดวงตาเผยแสงประกายลี้ลับ
ส่วนชายชราขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง เขาขมวดคิ้วและชำเลืองมองหวังหลิน
วิชายับยั้งอยู่ได้เพียงไม่นาน ชายหนุ่มฟื้นคืนการเคลื่อนไหวของตัวเองออกมา เผยรอยยิ้มขมขื่นพลางแสงสีทองรอบตัวเขาหายไป เขามองหวังหลินด้วยสายตาซับซ้อนและเผยรอยยิ้มจริงใจ
“เราไม่ได้เจอกันมาหลายปี พี่หวังไม่ทำให้ผิดหวัง…ข้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน”
ชายหนุ่มผู้นี้คือหยุนยี่เฟิงแห่งสำนักกุ้ยยี่!
“เจ้าสามารถเปลี่ยนวิธีการทักทายข้าในอนาคตได้หรือไม่?” หวังหลินขมวดคิ้วและมองหยุนยี่เฟิง
หยุนยี่เฟิงร่อนลงมาข้างหวังหลินและหัวเราะ พอเห็นหวังหลินเขาจึงรู้สึกมีความสุข ย้อนกลับไปยังเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกถ้ำ ทั้งสองเป็นทั้งศัตรูและสหาย มันดูซับซ้อนและทำให้เขารู้สึกสะเทือนอารมณ์
นอกจากนี้แล้ว ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาอยู่ในโลกถ้ำไปหลายหมื่นปี
“พี่หวัง หลังจากข้าออกมาจากถ้ำ ข้าได้ใช้พลังของสำนักเพื่อค้นหาท่านทันที แต่ข้ากลับไม่พบอะไรเลย ข้าไม่คาดคิดว่าท่านจะปรากฏตัวทันทีแบบนี้ ข้ามีความสุขมากและต้องการสานต่อการต่อสู้ของเราเป็นธรรมดา” หยุนยี่เฟิงกล่าวอย่างจริงใจพลางอ้าแขนไปหาหวังหลิน
หวังหลินหยุดชะงักและมองหยุนยี่เฟิง จากนั้นสักพักจึงเดินเข้าไปกอด
หยุนยี่เฟิงมีความสุขมาก เขาดึงหวังหลินมาด้านข้างและพูดกันต่อไป
ทว่าจังหวะนั้นมีน้ำเสียงทรงอำนาจดังกึกก้องออกมาจากโถงใหญ่เบื้องหน้า
“ทุกคนอยู่ที่นี่กันแล้ว…”
หยุนยี่เฟิงหยุดลงมองดูหวังหลิน สีหน้าท่าทางพลันเคร่งเครียดและยืนตรงอย่างเคารพทันที
“คนที่พูดอยู่คือจ้าวสำนักของสำนักกุ้ยยี่ ขั้นวิบากดับสูญระดับปลาย”
หวังหลินได้ยินเสียงของหยุนยี่เฟิง เขาไม่ได้ทำเสียงเอะอะอันใดพลางมองโถงใหญ่ที่ดูเหมือนอสูรตัวยักษ์
“พวกเจ้าสามคน จงเอ่ยนามให้ข้า” น้ำเสียงทรงอำนาจดังกึกก้องอีกครั้ง
ถังเจียมีท่าทีเคร่งขรึมและเอ่ยขึ้นเบาๆ “ถังเจีย สำนักซิ่วเฉิน!”
“ขอบเมฆา เซียนไร้สำนัก!” ชายชรายืนขึ้นและคำนับฝ่ามือไปทางโถงใหญ่
“หวังหลิน สำนักมหาวิญญาณ!” หวังหลินเอ่ยขึ้นก่อนจะมองไปรอบๆ เขาสังเกตได้ว่าตอนที่เอ่ยเสียงดังกึกก้องเบื้องหน้า มีเขตอาคมที่มองไม่เห็นเข้าห่อหุ้มบริเวณเพื่อไม่ให้มีใครด้านนอกได้ยิน
สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงคือการเปลี่ยนแปลงในโลกแห่งนี้ถูกขัดขวางไปด้วยจนไม่สามารถทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นที่นี่ได้ นี่ไม่ใช่เขตอาคมเฉพาะตัวแต่เป็นส่วนหนึ่งของค่ายกลปกป้องทั้งสำนัก
“เส้นชีพจรกระทิงสวรรค์สามในเจ็ดแห่งถูกทำลายไปแล้วและผู้ส่งสาส์นกระทิงสวรรค์เสียชีวิตไปสามคน…พวกเจ้าสี่คนป้องกันเส้นชีพจรและทำความดีความชอบไว้อย่างใหญ่หลวง!”
“หลังจากพูดคุยกับสำนักมหาวิญญาณ คนที่ทำผลงานได้ดีควรจะได้รับรางวัล!” น้ำเสียงทรงอำนาจเปล่งกลิ่นอายเก่าแก่ราวกับมีชีวิตอยู่มานานจนหลงลืมเวลา
“ขอบเมฆา!” น้ำเสียงดังกึกก้อง
“ขอรับ!” ชายชราชื่อขอบเมฆาพลันก้าวออกมา
“เจ้าป้องกันเส้นชีพจรแห่งที่สี่และทำผลงานได้เป็นอย่างดี ข้าจะให้เจ้าเป็นผู้อาวุโสของกองกำลังโลหะและมอบสมบัติเกราะธาตุโลหะให้เจ้า!” น้ำเสียงทรงอำนาจดังกึกก้องและมีลำแสงสีทองพุ่งออกมา มันเปล่งจิตสังหารรุนแรงห่อหุ้มบริเวณนี้
แสงสีทองหยุดลงด้านข้างชายชราและเปลี่ยนกลายเป็นชุดเกราะสีทองเปล่งแรงกดดันน่ากลัว ขอบเมฆาไม่สงบนิ่งอีกแล้วและตื่นเต้นมาก
“ขอบคุณท่านจ้าวสำนัก!” ขอบเมฆาสูดหายใจลึกและคำนับฝ่ามือให้กับห้องโถงใหญ่ ชั่วจังหวะที่เขาโค้งตัว แสงสีทองเปลี่ยนกลายเป็นเส้นใยสีทองเข้าไปในร่างกาย
“ถังเจีย!” น้ำเสียงทรงอำนาจดังกึกก้องอีกครั้ง
“เจ้าคุ้มกันเส้นชีพจรแห่งที่หกและทำผลงานได้เป็นอย่างดี ข้าจะยอมให้สำนักซิ่วเฉินของเจ้าขยายตัวออกไปได้สามเท่า เปิดรับศิษย์เพิ่มมากขึ้นสามเท่าและได้ทรัพยาการบ่มเพาะเพิ่มขึ้นสามเท่า ข้าจะมอบสมบัติเป็นเกราะธาตุวารีของสำนักกุ้ยยี่ให้เจ้าด้วย!”
ลำแสงสีฟ้าลอยออกมาจากโถงหลักและเปลี่ยนกลายเป็นทะเลทั่วพื้นที่ มันกวาดเข้ามาห่อหุ้มถังเจีย เข้าไปในร่างกายนางผ่านรูขุมขน ร่างถังเจียสั่นเทา แววตาสงบนิ่งเกิดระลอกคลื่นขึ้นมา
นางโค้งตัวและเอ่ยอย่างเคารพ “ขอบคุณ ท่านจ้าวสำนัก”
“หยุนยี่เฟิง!”
หยุนยี่เฟิงเคร่งเครียดและก้าวทะยานออกมาโค้งตัว
“เจ้าคุ้มกันเส้นชีพจรแห่งที่สี่และทำผลงานได้เป็นอย่างดี เพราะเจ้ามีเกราะธาตุของสำนักอยู่แล้ว ข้าจะสอนหนึ่งในสี่วิชาของข้าให้เจ้าและมอบสมบัติสวรรค์ของข้าให้ด้วย มีดล่าวิญญาณ!” เพียงแค่เขาเอ่ยเสียงดังกึกก้อง ลำแสงสองสายทะยานออกมาจากโถงหลัก หนึ่งนั้นคือหินหยกและอีกหนึ่งคือมีดที่ดูแปลกประหลาด มันมีหนามเก้าแห่งเปล่งกลิ่นอายน่าหวาดกลัว
“ขอบคุณ ท่านจ้าวสำนัก!” หยุนยี่เฟิงตื่นเต้นพลางรับของทั้งสองชิ้นและโค้งคำนับให้กับห้องโถงหลัก
“หวังหลิน!” น้ำเสียงทรงอำนาจหยุดกึกชั่วขณะก่อนจะเอ่ยดังขึ้นอีกครั้ง
หวังหลินมองโถงหลักด้วยความสงบนิ่งและก้าวเดินออกไป
“เจ้าคุ้มกันเส้นชีพจรแห่งที่สามและทำผลงานได้เป็นอย่างดี…ข้าจะมอบเกราะธาตุเพลิงให้เจ้า!” ลำแสงเพลิงทะยานออกมาจากห้องโถงหลักผ่านอากาศและเปลี่ยนกลายเป็นชุดเกราะพุ่งใส่หวังหลิน
“รางวัลได้ตอบแทนไปแล้ว ตอนนี้ข้าจะอธิบายภารกิจลับสุดยอด!” น้ำเสียงดังกึกก้อง หยุนยี่เฟิงต้องการพูดอะไรบางอย่างแต่หลังจากมองห้องโถงแล้วเขาจึงขบคิดเงียบๆ
ทั้งสามคนได้สองรางวัล แต่มีเพียงหวังหลินที่ได้เพียงรางวัลเดียว
หยุนยี่เฟิงไม่ใช่คนเดียวที่เกิดความสงสัย ถังเจียและชายชราต่างก็มองหวังหลินและสังเกตเห็นปัญหานี้ได้
ขอบเมฆามีระดับบ่มเพาะสูงส่งและมีนิสัยมืดมน ในเมื่อไม่เกี่ยวข้องกับเขาจึงไม่สนใจ เขาถอนสายตาและไม่ตั้งคำถามอีก
ถังเจียมีความประทับใจแย่ๆกับหวังหลินและไม่สนใจอยู่แล้ว
“ภารกิจของเจ้าคือ…” น้ำเสียงดังกึกก้อง แต่ก่อนที่จะพูดจบนั้น แววตาหวังหลินกะพริบเย็นเยียบ
“เดี๋ยว!” หวังหลินจ้องมองโถงหลักและก้าวออกไป ขัดขวางการอธิบายของจ้าวสำนักกุ้ยยี่
พอหวังหลินพูดออกมา หยุนยี่เฟิงมีท่าทีเปลี่ยนไปและส่งสัญญาณให้หวังหลิน ถังเจียเองก็มองหวังหลินเช่นกัน นางไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูดขึ้นมาตอนนี้
แม้แต่ขอบเมฆาก็ยังหันมามองหวังหลิน
“ภารกิจของเจ้าคือมุ่งหน้าไปที่แคว้นมารเขียว ลอบเข้าไปในอารามมารเขียวและทำลายรูปปั้นมารเขียวเพื่อให้วิญญาณมารเขียวบาดเจ็บสาหัส เมื่อเสร็จสิ้น พวกเจ้าสี่คนจะถือว่าทำคุณงามความดีครั้งใหญ่ให้แก่แคว้นกระทิงสวรรค์!” เสียงนั้นไม่สนใจคำพูดหวังหลินอย่างสิ้นเชิงและอธิบายภารกิจลับต่อไป
หลังจากเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ขอบเมฆาและถังเจียมีท่าทีเปลี่ยนไป ดูเหมือนว่านี่เป็นครั้งแรกที่หยุนยี่เฟิงได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน
การเข้าไปแคว้นมารเขียวเป็นเรื่องอันตรายเกินไป หากทำอะไรผิดพลาดเพียงนิดเดียวอาจไม่ได้กลับมาอีกเลย
“โดยพื้นฐานแล้วแคว้นมารเขียวในตอนนี้แทบจะว่างเปล่า ส่วนเหล่าบรรพชนของแคว้นมารเขียว จะมีคนไปยับยั้งพวกเขาให้เอง…ตอนนี้ภารกิจได้ชี้แจงแล้ว หวังหลินเจ้ามีอะไรอยากพูดหรือไม่?” น้ำเสียงยังคงสงบนิ่งและเชื่องช้าราวกับมีไม่กี่เรื่องที่สามารถสั่นคลอนได้
ตอนที่ 1883
ทรยศแคว้นกระทิงสวรรค์!
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ผู้น้อยไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนได้รางวัลสองอย่างและข้าได้เกราะธาตุเพลิงเพียงอย่างเดียว!” หวังหลินไม่ได้เสียมารยาทเลย เขาไม่ใช่ตัวคนเดียว เขาเป็นถึงผู้อาวุโสของสำนักมหาวิญญาณ
ทำให้เขายอมรับไม่ได้ แม้อีกคนจะเป็นถึงจ้าวสำนักกุ้ยยี่ เขาก็ยังคงตั้งคำถามได้
“ระดับบ่มเพาะของเจ้าต่ำที่สุด ดังนั้นแค่เกราะชิ้นเดียวก็พอแล้ว การตัดสินนี้ร่วมกันกับทั้งสำนักกุ้ยยี่และสำนักมหาวิญญาณ เจ้าไม่ต้องเข้าใจ แต่เจ้าต้องยอมรับ หากเจ้าไม่ชอบเกราะธาตุเพลิง ข้าจะริบมันคืน” น้ำเสียงทรงอำนาจดังกึกก้องอีกครั้ง เกราะเพลิงที่ลอยอยู่เปลี่ยนกลายเป็นทะเลเพลิงและกลับคืนสู่โถงหลัก
หวังหลินมองไปที่โถงหลักและเอ่ยขึ้น “ในเมื่อนี่เป็นการตัดสินจากทั้งสองสำนัก ท่านมีอะไรพิสูจน์หรือไม่?”
หลังจากหวังหลินเอ่ยขึ้นมา ลำแสงน่ากลัวสายหนึ่งโผล่ออกมาจากโถงหลัก ภายในมีเรือนผมสีขาวระเบิดออกมาปรากฏเป็นร่างผู้หนึ่ง
ร่างคนผู้นี้คือบรรพชนกระทิงเขียว!
“เรื่องของรางวัลมันมีเหตุผลของมันอยู่ ข้าจะไม่เปลี่ยนแปลง หากหวังหลินไม่รีบตอบตกลง ข้าถือเป็นข้อพิสูจน์!”
หวังหลินจ้องมองภาพฉายของบรรพชนกระทิงเขียว เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ร่างอวตารแต่เป็นประทับสัมผัสวิญญาณ
“ข้อพิสูจน์ได้ให้เจ้าแล้ว ก้าวถอยกลับไป!” จ้าวสำนักกุ้ยยี่เอ่ยเสียงเย็นเยียบออกมาจากโถงหลัก
หวังหลินเผยท่าทีนิ่งเฉย หากเรื่องนี้เป็นการตัดสินใจระหว่างสำนักกุ้ยยี่และสำนักมหาวิญญาณจริง เช่นนั้นมันก็เป็นการตัดสินที่ไม่ยุติธรรมมาก หวังหลินคงไม่ต้องกังวลเรื่องข้อตกลงของบรรพชนกระทิงเขียว
หวังหลินขบคิดอย่างเงียบๆและไม่พูดขึ้นอีกพลางยืนอยู่ตรงนั้น เขาทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่รู้สึกเจ็บปวดใจอันใดที่เกราะธาตุเพลิงถูกริบคืนไป
“ข้าจะเปิดใช้งานค่ายกลที่ไม่ได้เปิดมานานเพื่อส่งเจ้าไปยังแคว้นมารเขียว ก่อนที่พวกเจ้าจะจากไป จงทิ้งวิญญาณชีวิตส่วนหนึ่งเอาไว้ เมื่อทำผลงานให้เสร็จสิ้น ข้าจะเคลื่อนย้ายพวกเจ้ากลับมา!”
หลังจากได้ยินเรื่องวิญญาณชีวิต หวังหลินหรี่ตาแคบ ข้อดีคือการสามารถเคลื่อนย้ายกลับมาได้ ข้อเสียคือเขาจะไม่เป็นอิสระ คนอื่นคงรู้หมดว่าเขาอยู่ไหน
หยุนยี่เฟิงเป็นศิษย์ของสำนักกุ้ยยี่ ดังนั้นจึงใช้มือแตะกลางหน้าผากโดยไม่ลังเล ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย วิญญาณขนาดหนึ่งกำมือโผล่ออกมากลายเป็นก้อนทรงกลมทะยานเข้าหาโถงหลัก
ขอบเมฆาลังเลอยู่ชั่วขณะแต่ก็ไม่ปฏิเสธ เขาแยกวิญญาณชีวิตออกมาและส่งไปที่โถงหลักเช่นกัน
ส่วนถังเจีย นางขบคิดเล็กน้อยและกัดฟันแน่น นางไม่ยอมเสียการพัฒนาสำนักของนางไปอย่างเด็ดขาด คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องจำเป็นนี้ ไม่เช่นนั้นนางคงไม่สามารถเคลื่อนย้ายกลับมาจากแคว้นมารเขียวได้
ทั้งสามคนส่งวิญญาณชีวิตออกไป เหลือเพียงแต่หวังหลินเท่านั้น
หวังหลินครุ่นคิดเงียบๆ อยู่นาน เขามองโถงหลักและพูดขึ้น
“ข้าขอปฏิเสธที่จะทำเรื่องนี้ ข้าต้องกลับไปสำนักมหาวิญญาณเพื่อเจอกับบรรพชนก่อนที่จะตัดสินใจ! ลาก่อน!” หวังหลินพูดขึ้นมา ก้าวถอยไปช้าๆ และกำลังจะจากไป
“เจ้าจะไปก็ได้ แต่จงทิ้งเกราะวิญญาณเอาไว้!” น้ำเสียงทรงอำนาจดังกึกก้อง ควันสีดำปกคลุมทั่วฟ้าจนกลายเป็นมือยักษ์พุ่งเข้ามาหาหวังหลิน
แววตาหวังหลินเย็นเยียบ ความคิดหลายอย่างแล่นผ่านในหัว ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจว่าอะไรเป็นต้นเหตุ
ท่าทีที่เปลี่ยนไปของบรรพชนกระทิงสวรรค์และสำนักกุ้ยยี่ทำให้เขาเข้าใจได้ยาก มีบางอย่างที่หวังหลินไม่รู้กำลังจะเกิดขึ้น
เขารู้สึกว่าถึงแม้จะส่งเกราะวิญญาณให้ไป การจะออกไปจากสำนักกุ้ยยี่คงเป็นเรื่องยาก หากไม่เพิ่มระดับบ่มเพาะจากเกราะวิญญาณ หวังหลินคงตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
ความรู้สึกนี้รุนแรงมาก ความจริงแล้วหวังหลินไม่ได้ต้องการเก็บเกราะวิญญาณไว้กับตัวเอง แผนการเดิมของเขาคือการทำเงื่อนไขสามอย่างให้สำเร็จลุล่วงเพื่อตอบแทนของขวัญทั้งสามอย่าง จากนั้นก็ทิ้งเกราะวิญญาณและจากไปคนเดียวได้
เพราะของชิ้นนี้ไม่ได้เป็นของเขา แต่เป็นของแคว้นกระทิงสวรรค์
อย่างไรก็ตาม เหตุการเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาดนี้ทำให้หวังหลินระมัดระวังอย่างยิ่ง เขาไม่รู้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นในแคว้นกระทิงสวรรค์ช่วงครึ่งปีที่เขาอยู่ในทุ่งยอดนภา!
เมื่อไม่มีข้อมูล เขาจึงไม่ยอมให้เอาเกราะวิญญาณไปได้ ด้วยเกราะวิญญาณชุดนี้เขายังมีพลังเล็กน้อยพอจะเอาชีวิตรอดได้ แต่หากไม่มีมัน เขารู้สึกเหมือนตกลงไปในขุมนรก!
‘เรื่องนี้เริ่มตอนที่ข้ามาที่สำนักกุ้ยยี่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตัดสินไม่ยุติธรรม หากข้าพูดขึ้นมา ข้าคงตกลงไปในกับดัก หากข้าเงียบก็จะมีเรื่องวิญญาณชีวิต…พวกมันบังคับให้ข้าต้องปฏิบัติตาม!’
‘ท้ายที่สุด ทุกอย่างในวันนี้มุ่งเป้ามาที่ข้า!’
‘ที่นี่มีปัญหา!! สำนักกุ้ยยี่รู้ตัวตนของข้า รู้ว่าข้ามาจากโลกถ้ำและรู้ว่าข้าเกี่ยวข้องกับซวนลั่ว พวกเขาก็ยัง…’ หวังหลินไม่เข้าใจและไม่มีเวลาทำความเข้าใจ ระหว่างการทิ้งชุดเกราะไปและเผชิญกับเรื่องอะไรไม่รู้ข้างหน้า หรือการเก็บชุดเกราะไว้และเข้าต่อสู้ เขาเลือกอย่างหลังโดยไม่ลังเล!
วินาทีที่ฝ่ามือเข้ามาใกล้ รอยสักกระทิงสวรรค์บนใบหน้าด้านขวาของหวังหลินจึงปลดปล่อยแสงสีดำมากมายทำให้หยุนยี่เฟิง ถังเจียและขอบเมฆาถึงกับตกตะลึง แสงสีดำเข้าห่อหุ้มทั่วร่างหวังหลินและเปลี่ยนกลายเป็นเส้นใย พวกมันก่อตัวเป็นชุดเกราะที่เผยแต่เพียงดวงตาและเรือนผมสีขาวเท่านั้น
ระดับบ่มเพาะของหวังหลินเพิ่มขึ้นจากขั้นวิญญาณดับสูญระดับปลายไปสู่ขั้นวิบากดับสูญระดับต้น เขายกแขนขวาขึ้นมาใช้วิชาประทับวิญญาณสงคราม ฝ่ามือมารยักษ์หกนิ้วปรากฏขึ้นมา มันเข้าปะทะกับมือสีดำขนาดยักษ์ตรงๆ
พื้นที่จัตุรัสของสำนักกุ้ยยี่เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง ฝ่ามือมารยักษ์หกนิ้วพังทลาย มือสีดำสั่นเทาและแตกสลายไปครึ่งส่วนแต่ที่เหลือยังคงไปหาหวังหลิน
ด้วยระดับบ่มเพาะของหวังหลินตอนนี้ หลังจากโดนฝ่ามือสีดำที่เหลือกระแทกใส่ ใบหน้าเขาซีดเผือด โลหิตไหลออกมาจากมุมปากพลันถอยหนีอย่างรวดเร็ว
“หวังหลินทรยศแคว้นกระทิงสวรรค์ ส่งคำสั่งวิญญาณออกไป เหล่าเซียนทั้งหมดของแคว้นกระทิงสวรรค์หากเห็นเขาเมื่อใดจงสังหารได้ทันที! ใครก็ตามที่สังหารเขาได้จะได้รับรางวัลเป็นเกราะธาตุเพลิง ใบเรือหน้าผีระดับสูงของสำนักมหาวิญญาณและลูกปัดกระทิงสวรรค์!”
เมื่อหวังหลินกระเด็นกลับมาเขาจึงได้ยิน จากนั้นกัดฟันแน่นและรู้สึกอารมณ์ปั่นป่วนอธิบายไม่ถูก เขารู้สึกว่าของทั้งสามอย่างนั้นเดิมทีเป็นรางวัลของเขา…
หลังจากคำพูดทั้งสามดังกึกก้องออกไป ขอบเมฆามีท่าทีเปลี่ยนไปและเผยอาการไม่เชื่อ รอยสักกระทิงสวรรค์บนใบหน้าด้านขวาส่องสว่างขึ้นและห่อหุ้มทั่วร่างกาย ก่อเกิดเป็นเกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์แบบเดียวกับที่หวังหลินมี ระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นมหาศาล ทะลวงผ่านขั้นวิบากดับสูญระดับกลางไปสู่ระดับปลาย พริบตาเดียวจึงไล่ตามหลังหวังหลิน!
เหตุผลที่เขาตัดสินใจเช่นนี้เป็นเพราะลูกปัดกระทิงสวรรค์!
ลูกปัดกระทิงสวรรค์นั้นถูกทางสำนักกุ้ยยี่และสำนักมหาวิญญาณค้นพบตอนที่ตั้งถิ่นฐานในแคว้นกระทิงสวรรค์ พวกมันมีอยู่เพียงเจ็ดลูกเท่านั้นและมีวิธีใช้หลากหลายอย่างทั้งการสร้างสมบัติ ส่งผลด้านเวลาจนทำให้เซียนสามารถเข้าไปบ่มเพาะข้างในได้
อย่างไรก็ตามเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่วิธีใช้ที่สำคัญที่สุด วิธีใช้ที่สำคัญที่สุดคือลูกปัดสามารถกักเก็บวิญญาณของกระทิงสวรรค์ได้ ทำให้คนที่มีเกราะวิญญาณสามารถแยกตัวตนและไม่สูญเสียความสามารถเมื่อออกห่างจากแคว้นกระทิงสวรรค์ไกลเกินไป
ด้วยลูกปัดกระทิงสวรรค์จะสามารถสวมเกราะวิญญาณที่ไหนก็ได้ในแผ่นดินเซียนดารา แม้แต่ในแคว้นโบราณก็ตาม เพราะลูกปัดนี้คือวิญญาณของกระทิงสวรรค์!
หวังหลินไม่เคยได้ยินลูกปัดกระทิงสวรรค์มาก่อน ไม่เช่นนั้นเขาคงตกตะลึงที่ค้นพบเรื่องน่าประหลาดใจนี้กับสิ่งที่ควรจะเป็นของเขาเอง!
ลูกปัดกระทิงสวรรค์ทั้งเจ็ดลูก สำนักกุ้ยยี่ครอบครองอยู่สาม สำนักมหาวิญญาณครอบครองสี่ ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยนำออกมาเป็นรางวัลและใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างดินแดนบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ทั้งสองสำนัก
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้จะสมบูรณ์แบบได้เมื่อลูกปัดสามลูกอยู่ด้วยกัน ซึ่งทำให้ลูกปัดนี้ไม่ใช่ของสำนักกุ้ยยี่ มีเพียงสำนักมหาวิญญาณที่แบ่งอออกมาได้หนึ่งลูก เพราะพวกเขาเกินมาหนึ่ง!
ใบเรือหน้าผีของสำนักมหาวิญญาณเป็นความลับสุดยอดของสำนัก ธงระดับสูงสามารถปลดปล่อยพลังอำนาจได้กว้างไกลมหาศาล
สองชิ้นนี้ก็มากพอที่จะทำให้หลายคนบ้าคลั่งได้แล้ว! นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมขอบเมฆาถึงได้ตัดสินใจตามหวังหลินรวดเร็วเพียงนั้น
ถังเจียสั่นเทา หลังจากขบคิดเล็กน้อยนางจึงกัดฟันและมีแสงห่อหุ้มรอบกาย เกราะวิญญาณปรากฏขึ้นมา ระดับบ่มเพาะบรรลุไปถึงขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง จากนั้นนางก็ไล่ตามไปด้วย
มีเพียงหยุนยี่เฟิงที่ยังคงสงบนิ่งและมีท่าทีมืดมน เขาไม่ได้ไล่ตามแต่ในตอนที่ถังเจียพุ่งออกไป เขาอ้าปากและส่งข้อความสัมผัสวิญญาณไปให้นางด้วย
ถังเจียตัวสั่นเทาหลังจากได้ยินข้อความของหยุนยี่เฟิง นางหันกลับมามองหยุนยี่เฟิง
“นี่เป็นเรื่องจริงหรือ?”
หยุนยี่เฟิงมองถังเจียและพยักหน้า
ถังเจียมีท่าทีซับซ้อนและไล่ตามอีกครั้ง คราวนี้ความคิดนางเปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
หลังจากถังเจียจากไป หยุนยี่เฟิงจึงหันกลับมาคุกเข่าหนึ่งข้างไปยังโถงใหญ่
“ท่านจ้าวสำนัก ท่านต้องอธิบายเรื่องนี้กับศิษย์! ศิษย์ได้รายงานท่านแล้วเรื่องตัวตนของหวังหลินและความเกี่ยวข้องกับมหาชั้นฟ้าซวนลั่ว…”
ห้องโถงใหญ่เงียบเสียงไปนานและจากนั้นจึงเกิดเสียงถอนหายใจยาว
หวังหลินรีบทะยานผ่านสำนักกุ้ยยี่ ท่าทีมืดมนและแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมา แต่ไม่นานจึงสังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทั่วทั้งสำนักกุ้ยยี่เงียบสงัดและไม่มีคนอยู่รอบๆ เลยแม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งค่ายกลป้องกันสำนักยังไม่เปิดใช้งานในตอนนี้
ตอนที่ 1884
เขากระทิงสวรรค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ความเงียบงันนี้ดูเหมือนเตรียมการให้เขาจากไปโดยเฉพาะ หวังหลินดวงตาส่องสว่างในทันที ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินกว่าเขาจะเข้าใจแต่ก็สายเกินกว่าจะมาคิดในตอนนี้ เขารีบทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว
หวังหลินทะยานออกไปจากสำนักกุ้ยยี่ด้วยความเร็วสูงที่สุด ด้านหลังเขามีขอบเมฆาเผยแววตาเป็นแสงแปลกประหลาดพลางไล่ตามหลังหวังหลินด้วยระดับบ่มเพาะขั้นวิบากดับสูญระดับปลาย
ทั้งสองคนท่องทะยานผ่านสำนักกุ้ยยี่อย่างรวดเร็วและออกไปนอกสำนัก วินาทีต่อมาลำแสงสีม่วงอีกสายทะยานออกไปจากสำนักเช่นเดียวกัน จากนั้นค่ายกลสำนักจึงเปิดใช้งานและกลับเป็นปกติ
หวังหลินทะยานออกมาไกลจากสำนักกุ้ยยี่หลายพันลี้ พื้นที่บริเวณนี้ไม่สามารถใช้วิชาบิดมิติได้เพราะมีค่ายกลสำนักเข้าแทรกแซง
หลังจากหวังหลินออกมาจากพื้นที่และกำลังจะใช้บิดมิติ ขอบเมฆาจึงไล่ตามทัน ดวงตาเย็นเยียบและยกมือขึ้นมาทันที ท้องฟ้าเปลี่ยนสีสันและปรากฏดาวขึ้นมาเจ็ดดวง ดวงดาวทั้งเจ็ดส่องสว่างราวกับเป็นเวลากลางคืน
“พิฆาตเจ็ดดารา!” ขอบเมฆาต้องการสังหารหวังหลินเพราะอยากได้รางวัล แม้เขาจะสัมผัสว่ามีบางอย่างผิดปกติแต่ก็ไม่สนใจ เขาลงมือเหมือนทำตามคำสั่งวิญญาณให้ตามล่าหวังหลินทันทีที่พบ
‘หลังจากตัดหัวหวังหลินได้ ข้าจะขอรางวัลกับสำนักกุ้ยยี่ แม้จะมีปัญหาอยู่บ้าง ข้าก็บอกไว่าทำตามคำสั่งของจ้าวสำนักกุ้ยยี่ สำนักมหาวิญญาณไม่อาจพูดอะไรได้ อีกทั้งหวังหลินก็ทรยศก่อน ข้าเพียงแค่สังหารคนทรยศ!’ ขอบเมฆาบรรลุขั้นวิบากดับสูญระดับกลางในฐานะเซียนไร้สำนัก การได้รับการยอมรับจากกระทิงสวรรค์แสดงให้เห็นว่าเขามีบางอย่างพิเศษ เพียงพริบตาเดียวก็ตัดสินใจได้แล้ว
ขณะที่ขอบเมฆายกแขนขึ้นมา ดาวเจ็ดดวงเปล่งแสงเจิดจ้าราวกับมีพลังโบราณรวมกันในท้องฟ้า ดาวเจ็ดดวงตกลงมาจากท้องฟ้าพร้อมกับเสียงดังครืนทรงพลัง
เสียงคล้ายกับผ่าท้องฟ้าให้เปิดออกและกลายเป็นพลังที่มิอาจอธิบายได้ ใต้ฝ่าเท้าหวังหลินเกิดระลอกคลื่นเสียงดังและกำลังจะจากไป ทว่าเขาหันไปมองท้องฟ้า
แสงสีดำคล้ายอุกกาบาตจำนวนเจ็ดลูกกำลังตกลงมาจากท้องฟ้าด้วยความเร็วสูดสุดเกินบรรยาย ตรงปลายลำแสงมีดาวสีดำขนาดเท่ากำปั้นกำลังพุ่งเข้ามาด้วย
เนื่องจากอยู่ไกลจึงมองเห็นดาวขนาดเท่ากำปั้น แต่หากอยู่ใกล้มันคงมีขนาดมหึมายิ่ง
เพียงหวังหลินมองเข้าไป ดาวขนาดเท่ากำปั้นเปลี่ยนกลายเป็นขนาดเท่าชามข้าวและขยายออกอย่างรวดเร็ว มันขยายออกไปถึงพันลี้และทำให้ทุกอย่างในระยะพันลี้กลายเป็นซาก!
ขอบเมฆาสามารถร่ายวิชานี้ขึ้นมาได้ตอนที่ระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นจากเกราะวิญญาณเท่านั้น
ขณะที่หวังหลินกำลังจะจากไปกลับมีระลอกคลื่นใต้ฝ่าเท้ามากยิ่งขึ้น ขอบเมฆาไม่รู้แน่ชัดว่าหวังหลินกำลังจะใช้วิชาอะไร แต่ถึงจะทรงพลังแค่ไหนก็ไม่สามารถต้านทานพลังของเขาได้
ทว่าในจังหวะนั้นลำแสงสีม่วงสายหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังขอบเมฆา ถังเจียมองหวังหลินด้วยท่าทีซับซ้อนและเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว นางเข้าไปใกล้ขอบเมฆาและดูเหมือนกำลังจะผ่านเขาไป
“ผู้อาวุโสขอบเมฆา ข้าจะช่วยท่าน ของรางวัลที่ข้าต้องการคือเกราะธาตุเพลิงเท่านั้น!” ถังเจียเอ่ยเสียงดังกึกก้อง นางเข้าไปภายในระยะพันฟุตใกล้ขอบเมฆาโดยไม่รอให้เขาตอลกลับ
ขอบเมฆาขมวดคิ้วและไม่พูดอะไรแต่หวังหลินหยุดชะงักกึกทันที เขาเห็นถังเจียเข้าใกล้ขอบเมฆาและพอเข้าไปใกล้มากขึ้นดูเหมือนจะเกิดเรื่องบางอย่าง
“เจ้ากำลังทำอะไร!?” ขอบเมฆาสังเกตความผิดปกติได้เช่นกัน ดวงตาส่องสว่างและสะบัดแขนถอยออกมา สายลมสีดำห่อหุ้มรอบตัวเองก่อตัวเป็นม่านพลังป้องกัน ถังเจียเผยแววตาเรืองแสงสีทองและยกเรียวแขนละเอียดดุจหินหยกขึ้นมา ประตูสีทองแปดแห่งปรากฏขึ้นรอบขอบเมฆา
“ผนึกแปดประตู!”
ประตูทั้งแปดเปล่งแสงสีทองอร่าม หลังจากนั้นพวกมันจึงบีบเข้าไปใกล้ขอบเมฆาในทันที
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้หวังหลินต้องหรี่ตามอง เพียงชั่วเวลาสั้นๆจึงเกิดความคิดหลายอย่างในหัว เขาหยุดลังเลและเลิกวิ่งหนี เปลี่ยนกลายเป็นลำแสงน่ากลัวพุ่งทะยานเข้าหาขอบเมฆาที่โดนผนึกแทน
หวังหลินมีนิสัยเป็นเช่นนี้เสมอ หากคนอื่นไม่ล่วงเกินเขา เขาก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวเว้นแต่จะเป็นเหตุจำเป็น แต่ตอนนี้ขอบเมฆาพยายามจะสังหารเขา ดังนั้นจึงต้องหาโอกาสสู้กลับ
พอเขาเห็นถังเจียใช้ประตูทอง จึงรู้ได้ว่าทำไมนางถึงให้ความรู้สึกคุ้นเคย กลิ่นอายและรูปลักษณ์ของนางคล้ายกับนางสนมลำดับสาม ถังซาน!
หลังจากปะติดปะต่อชื่อได้ หวังหลินจึงคิดได้ว่าถังเจียกับถังซานต้องมีความสัมพันธ์อะไรกันบางอย่าง
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ขอบเมฆาลดความระมัดระวังลง ดาวเจ็ดดวงในท้องฟ้าได้หายไปสามดวงเนื่องจากสูญเสียการควบคุม ส่วนที่เหลือสี่ดวงตกลงมาอย่างต่อเนื่องและดูเหมือนจะร่อนลงถึงในอีกไม่นาน
เปลวเพลิงทมิฬเริ่มเผาไหม้ดวงดาว ก่อนที่พวกมันจะได้ร่อนลงมามีคลื่นความร้อนแผ่กระจายคล้ายกับมีพลังอำนาจในการพลิกฟ้าดิน
หวังหลินไม่สนใจดวงดาวที่กำลังตกลงมา เขาเข้าประชิดขอบเมฆาในทันที ยกแขนขวาขึ้นและสะบัด
ปรากฏหอกสีรุ้งขึ้นเป็นเสียงดังกึกก้อง มันเปลี่ยนสีสันอยู่สามครั้งและกลายร่างเป็นหอกสีรุ้งร่างที่สาม
จากนั้นไม่นานหวังหลินใช้เคล็ดเร่งความเร็วเพื่อสร้างผนึกก่อเกิดเป็นประทับฝ่ามือมารหกนิ้วพุ่งเข้าใส่ขอบเมฆา
แค่สองวิชานี้ยังไม่มากพอที่จะทำให้ขอบเมฆาบาดเจ็บสาหัส หวังหลินกัดฟันสร้างผนึกและชี้ใส่ท้องฟ้าอีกครั้ง
รอบด้านแต่ละคนดังสนั่นพร้อมกับกลายเป็นทะเล ทุกอย่างมืดดำ แสงอาทิตย์ปรากฏขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้า
นี่ถือว่าเป็นครั้งที่สองนับตั้งแต่ที่หวังหลินใช้แยกราตรีตอนที่สวมเกราะวิญญาณ
ในเมื่อถังเจียตัดสินใจช่วยเหลือ นางจึงไม่ลังเลอีกต่อไป ฝ่ามือสร้างผนึกปรากฏแส้สีทองขนาดยักษ์ขึ้นมาในท้องฟ้ามืดมิด
แส้ฟาดออกไปพร้อมกลิ่นอายทลายสวรรค์ พุ่งเข้าไปหาขอบเมฆา แต่เนื่องจากนางไม่สามารถร่ายวิชาได้รวดเร็วเท่าหวังหลิน จังหวะนี้หวังหลินใช้ออกไปสามวิชา นางใช้ออกไปได้แค่หนึ่งวิชาเท่านั้น
ขอบเมฆามีท่าทีเปลี่ยนไปรวดเร็ว ตอนนี้เขาถูกแปดประตูผนึกเอาไว้ ประตูทั้งแปดเป็นวิชาที่ทรงพลังที่สุดของถังเจียและนางใช้ออกมาด้วยระดับบ่มเพาะขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง พลังผนึกของมันมากพอที่จะทำให้ขอบเมฆาเผยแววตาที่เต็มไปด้วยไอสังหารสีแดงสด ตอนนี้เขาไม่สนใจเรื่องอื่นอีกแล้ว พลันกัดปลายลิ้นพ่นโลหิตออกมาเปลี่ยนกลายเป็นภูติผีสีโลหิตร้องโหยหวนพุ่งทะยานเข้าหาประตู
ปัง!
แปดประตูพังทลาย ขณะที่ขอบเมฆากำลังจะฟื้นคืนได้เขากลับต้องมาเผชิญหน้ากับหอกสีรุ้งร่างที่สาม เขาไม่สามารถหนีไปไหนได้จึงสบัดแขนเสื้อปรากฏโล่สีขาวขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมา มันปะทะกับหอกสีรุ้งในพริบตา
หอกพังทลายเสียงดังกึกก้องแต่บนโล่ก็เกิดรอยแตกร้าวนับไม่ถ้วน จากนั้นประทับฝ่ามือมารหกนิ้วของหวังหลินได้หดขนาดลงจนเหลือเพียงร้อยฟุตและร่อนลงใส่โล่เล็ก
โล่สีขาวไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไปและแตกสลาย ประทับฝ่ามือจึงร่อนต่อไปเบื้องหน้าขอบเมฆา
ขอบเมฆาหน้าซีดพลางกระเด็นกลับไปด้วยอาการตกตะลึง เขาชี้กลางหน้าผากตัวเองและร้องคำราม
ขณะที่ร้องคำราม ภาพกระทิงสวรรค์ปรากฏขึ้นมาร้องคำรามเช่นกัน ประทับฝ่ามือมารหกนิ้วแตกสลายแต่หวังหลินร่ายวิชาถึงสามวิชา พอประทับฝ่ามือแตกสลาย แยกราตรีจึงห่อหุ้มทั่วบริเวณ ดวงอาทิตย์กำลังทอแสงขึ้นมาและระเบิดพลังฉีกกระชากกลางคืน!
“ศรัทธา…วิชาแห่งศรัทธา!!” หลังจากโดนหลายวิชากระหน่ำโจมตีใส่ ขอบเมฆาจึงมองเห็นปัญหาเป็นครั้งแรก ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวสุดขีดและรีบถอยหนี
แต่ขณะที่ถอยไปนั้น แส้สีทองของถังเจียจึงเข้าประชิด ทะลวงผ่านความมืดมิดและมาถึงเบื้องหน้าขอบเมฆาในทันที
ขอบเมฆากระอักโลหิตออกมาและตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่ ความคิดเดียวในตอนนี้คือถอยหนีออกไปนอกระยะ
แต่เขาช้าเกินไป ดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้า พลังฉีกกระชากแผ่กระจายอย่างบ้าคลั่ง ขอบเมฆากระอักโลหิตอีกครั้ง ดวงตาแดงก่ำ ตอนนี้เขารู้สึกถึงอันตรายและตัดสินใจได้แล้ว
เขาหยุดกึกและเอามือแตะกับหน้าผาก เอนหลังไปเล็กน้อยและโยนบางอย่างออกไปข้างหน้าอย่างรุนแรง
กระทิงสวรรค์โผล่เท้าหน้าขึ้นมา เขากระทิงชี้ขึ้นฟ้าและพุ่งเข้าหาดวงอาทิตย์อยู่จริงๆ!
ตอนที่ 1885
ประโยคนั่น!
โดย
Ink Stone_Fantasy
กระทิงสวรรค์พุ่งเข้าหาดวงอาทิตย์อย่างบ้าคลั่ง ขอบเมฆามีระดับบ่มเพาะสูงมากจากเกราะวิญญาณ แต่หลังจากกระทิงสวรรค์พุ่งเข้าใส่ดวงอาทิตย์ ระดับบ่มเพาะของเขาลดลงอย่างรวดเร็ว มันตกลงมาจากขั้นวิบากดับสูญระดับปลายสู่ระดับกลาง
เขาใช้วิชาออกไปโดยสละเกราะวิญญาณเพื่อทำลายวิชาแยกราตรี!
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในพริบตา กระทิงสวรรค์ปะทะเข้ากับดวงอาทิตย์และเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องอย่างรวดเร็ว หวังหลินกระอักโลหิต เมื่อแยกราตรีพังทลาย เขาจึงกระเด็นกลับมาหลายพันฟุต
ส่วนขอบเมฆานั้นดูเหมือนบ่มเพาะมาหลายพันปีและล่าถอยพร้อมกับโลหิตไหลจากมุมปากเท่านั้น ทว่าหวังหลินจะปล่อยเขาไปได้อย่างไร? หวังหลินไม่สนอาการบาดเจ็บของตัวเองและพุ่งเข้าหาขอบเมฆา เขาจะใช้โอกาสที่เกราะวิญญาณของอีกฝ่ายหายไปเพื่อสังหารขอบเมฆา
ถังเจียขบคิดเงียบๆ และไม่โจมตีอีก นางช่วยแทนน้องสาวเท่านั้น ตอนนี้นางมองหวังหลินด้วยท่าทีซับซ้อนอธิบายไม่ถูก จากนั้นจึงหายวับออกไปไกล
หวังหลินพุ่งเข้าประชิดขอบเมฆาด้วยจิตสังหารเต็มเปี่ยม เขายกแขนขวาขึ้นมาชกใส่ขอบเมฆาด้วยพลังบัญชาโบราณ ทำให้ขอบเมฆากระเด็นกลับไปและกระอักโลหิต
หวังหลินร่างสั่นเทาไปเช่นกันแต่กัดฟันแน่นและพุ่งทะยานอีกครั้ง
ทั้งสองโจมตีหลายครั้ง ขอบเมฆาเกิดแววตาหวาดกลัวขึ้นมา เขาเคยเจอคนบ้ามาก่อนแต่ไม่เคยเจอคนบ้าแบบหวังหลินที่ทำทุกอย่างเพื่อสังหารอีกฝ่ายโดยไม่สนใจตัวเอง
ขณะที่หวังหลินและขอบเมฆากำลังต่อสู้กัน ห่างออกไปอีกหลายพันฟุตมีมือยักษ์สีดำข้างหนึ่งปรากฏขึ้นและยื่นเข้ามาหาที่นี่
หวังหลินมีท่าทีเปลี่ยนและล้มเลิกการสังหารขอบเมฆา ใต้ฝ่าเท้าเกิดระลอกคลื่นเสียงดังกึกก้องและผสานเข้ากับโลกจนหายตัวไป
ฝ่ามือยักษ์สีดำเข้ามาใกล้และดึงขอบเมฆากลับเข้าสู่สำนักกุ้ยยี่
การต่อสู้ครั้งนี้ไม่นานนัก พื้นที่ระยะพันลี้ทั่วบริเวณเกิดเสียงดังสนั่น ฝุ่นผงปกคลุมจำนวนมาก เหลือทิ้งไว้แต่เพียงเศษก้อนหินสีดำมีควันลอยอย่างต่อเนื่อง
ห่างออกไประยะทางสองเดือนเหนือภูเขาแห่งหนึ่งมีระลอกคลื่นส่งเสียงดังกึกก้อง หวังหลินก้าวออกมาด้วยใบหน้าซีดเผือด เขายืนขบคิดอยู่ตรงนั้นอยู่สักพัก
ชั่วขณะต่อมาจึงหันไปรอบๆ ท่าทีดูมืดมัว
‘แคว้นกระทิงสวรรค์ ถึงเวลาต้องไปแล้ว…’ หวังหลินถอนหายใจ มองลงไปและตกตะลึง
เขาคุ้นเคยกับที่นี่เหมือนเคยมาครั้งก่อน ที่นี่คือตำแหน่งที่ตั้งของสำนักเจ็ดเต๋า
หวังหลินเดินทางมาโดยไม่ได้ตั้งใจและไม่ได้กำหนดสถานที่ แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะมาที่นี่
พอมองสายหมอกสีดำรอบๆภูเขาด้านล่าง หวังหลินจึงถอนหายใจ พุ่งทะลุเข้าไปในสายหมอกและตรงเช้าหาสำนักเจ็ดเต๋า
ไม่นานนักหวังหลินจึงเห็นตำหนักส่วนหนึ่งที่เปล่งกลิ่นอายทรุดโทรมในภูเขา หวังหลินร่อนลงใจกลางลานกว้างด้านนอกห้องโถงหลัก หินส่วนใหญ่ที่นี่ได้รับความเสียหายและเต็มไปด้วยใบหญ้า เขานั่งลงมองสำนักเจ็ดเต๋า ความรู้สึกมืดมนในใจค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่น
อีกความรู้สึกหนึ่ง ที่นี่คือบ้านเขา
หวังหลินหลับตาและนั่งฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ เขาเก็บเกราะวิญญาณไปนานแล้ว เนื่องด้วยสภาวะอ่อนแอตอนนี้จึงปลดปล่อยหุ่นเชิดเย่ซื่ออกมาคุ้มกัน
เวลาสามวันผ่านไปในพริบตา หวังหลินลืมตาขึ้นมามองสำนักเจ็ดเต๋า ครั้งแรกที่เขามาเพียงแค่กวาดตามองเท่านั้น นี่เป็นครั้งที่สองและเขาเกิดความรู้สึกซับซ้อนเรื่องการออกไปจากแคว้นกระทิงสวรรค์ หวังหลินจึงได้เดินเข้าไปในสำนักเจ็ดเต๋า
เขาเดินผ่าสิ่งก่อสร้างทุกแห่งและทุกที่ที่เคยมีศิษย์ในสำนักอาศัยอยู่
ท้ายที่สุดเขาก็ได้เดินเข้าไปในโถงหลักของสำนักเจ็ดเต๋า ตรงนั้นมีบัลลังก์ขนาดยักษ์ตั้งอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นของราชันย์เทพสีรุ้ง
พอมองห้องโถงอันเงียบสงัด โต๊ะและเก้าอี้ที่เต็มไปด้วยฝุ่นผง มันจึงให้ความรู้สึกกำลังบุบสลาย
หวังหลินยืนจ้องมองอยู่นาน เขาหลับตาคล้ายกับสัมผัสตัวตนของโลกถ้ำ ทันใดนั้นเกิดความรู้สึกคิดถึงบ้านขึ้นมา
เขาคิดถึงโลกถ้ำ คิดถึงทุกคนที่นั่น
ราวกับสามารถมองเข้าไปในโลกถ้ำได้ มองเห็นสตรีงดงามเรือนผมยาวกำลังยืนอยู่บนหน้าผา มองมาที่ท้องฟ้าสีดำราวกับมองดวงตาหนึ่งคู่ตรงนั้น
ผ่านไปสักพักหวังหลินจึงลืมตาและก้าวเดินออกไปจากอาราม เขายืนอยู่ในสำนักเจ็ดเต๋าคนเดียว ท่าทีของหวังหลินค่อยๆ หมองหม่น
เขายังต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้าย
‘ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแคว้นกระทิงสวรรค์ช่วงสามเดือนนี้! การเปลี่ยนแปลงนั้นอาจส่งผลให้เปลี่ยนของรางวัลของข้า…หรือบังคับให้ข้าหนีไป…แต่พวกเขาก็ให้ข้าหนีมาได้…’
‘ส่วนสำนักมหาวิญญาณ…’ หวังหลินดวงตาส่องสว่างคล้ายกับจะเข้าใจได้แล้วแต่ไม่ชัดเจน เขายกแขนขวาขึ้นมาเปิดฝ่ามือ เจ้าคนตัวเล็กขนาดสามนิ้วปรากฏขึ้นมา
จากนั้นมันก็คุกเข่าลงและคำนับหวังหลินสามครั้ง!
หวังหลินจิตใจสั่นเทาและปิดฝ่ามือ การทำนายของเขาพร่ามัวและไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้ แต่มีประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ
“เรื่องของรางวัลมันมีเหตุผลในตัวเอง ข้าจะไม่เปลี่ยนแปลง หากหวังหลินไม่รีบตกลง นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าข้าได้ออกไปแล้ว!”
ประโยคนี้มาจากเส้นผมของบรรพชนกระทิงสวรรค์ที่ได้ทิ้งไว้ให้กับจ้าวสำนักกุ้ยยี่
หวังหลินคิดประโยคนี้อย่างละเอียด วิชาเต๋าเนตรวิญญาณเกิดความพร่ามัวและมีแค่ประโยคนี้ขึ้นมาเท่านั้น ต้องมีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่ข้างใน
หวังหลินพึมพำอยู่หลายครั้ง ร่างกายพลันสั่นเทารุนแรงทันที เขามองขึ้นไปและดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า
“เรื่องของรางวัลมันมีเหตุผลในตัวเอง ข้าจะไม่เปลี่ยนแปลง หากหวังหลินไม่รีบตกลง นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าข้าได้ออกไปแล้ว!”
‘คำสุดท้ายของแต่วรรคคือ มี เปลี่ยนแปลง รีบ ไป!’
‘มีการเปลี่ยนแปลง รีบจากไป!’ หวังหลินสูดหายใจลึก ประโยคคือการแจ้งเตือนอย่างลับๆ ไม่สำคัญว่ามันอธิบายได้อย่างไรแต่นี่คือวิธีที่บรรพชนกระทิงสวรรค์ได้บอกให้หวังหลินหนีไป!
‘แม้แต่บรรพชนกระทิงเขียวยังต้องบอกเป็นนัย เขากังวลว่าข้าจะไม่เข้าใจจึงร่วมมือกับจ้าวสำนักกุ้ยยี่เพื่อให้ข้าได้รางวัลที่ไม่ยุติธรรมจนบังคับข้าออกมาจากแคว้นกระทิงสวรรค์…’
‘เมื่อข้าจากมา นั่นหมายความว่าข้าไม่สามารถพักอยู่ในแคว้นกระทิงสวรรค์ได้และจะต้องจากไปให้เร็วที่สุด…’ หวังหลินขบคิดเงียบๆ เขารู้สึกว่ามีความลับยิ่งใหญ่กำลังปกคลุมแคว้นกระทิงสวรรค์และนี่คือเหตุผลที่มีการเปลี่ยนแปลงฉับพลัน
ขณะเดียวกันหวังหลินก็คาดการณ์ว่าความลึกลับนี้เหมือนจะโยงใยกับแคว้นมารเขียว เขาสงสัยมาตลอดเวลาทั้งสองแคว้นทำสงครามกันด้วยเหตุผลอะไร…
หวังหลินคิดไปหลายอย่างแต่ก็เป็นแค่การคาดเดา หลังจากนั้นหวังหลินจึงมองออกไปไกลและเผยสายตามุ่งมั่น
“ช่างมันเถอะ ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้วจะคิดไปก็ไร้ประโยชน์ ถึงเวลาต้องออกไปจากแคว้นกระทิงสวรรค์…”
“อย่างไรก็ตามข้ากลัวว่าการออกไปจะไม่ใช่เรื่องง่าย ดูเหมือนจะมีอุปสรรคอยู่…หากข้าเดาถูก ส่วนใหญ่มาจากแคว้นมารเขียว!” หวังหลินพึมพำกับตัวเอง เขากำลังจะจากไปแต่ทันใดนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปและมองไปยังภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ พริบตาเดียวหวังหลินหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากหวังหลินหายตัวไป หมอกเกิดการปั่นป่วนและมีร่างหนึ่งทะยานเข้ามาจากด้านนอก ร่างนี้ระมัดระวังมากและมองไปรอบๆ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครตามเขามาจึงรู้สึกโล่งอก เขาร่อนลงใจกลางสำนักเจ็ดเต๋า
“บัดซบ ข้าเจอปัญหาระหว่างทางและมาถึงช้าไปหลายวัน หวังว่าไม่ได้ล่าช้าเกินไปตามที่บรรพชนบอกเอาไว้…” ร่างนั้นมองไปรอบๆอย่างเคร่งเครียด จากนั้นเขาก็พบมุมหนึ่งและกำลังจะนั่งลง
อย่างไรก็ตามจังหวะเดียวกันมีเสียงหนึ่งดังลอดออกมา
“ตู้ฉิง!”
เขาคือตู้ฉิง หลังจากได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกจึงทะยานขึ้นสู่อากาศด้วยความตื่นตระหนก แต่ไม่นานความตระหนกนั้นเปลี่ยนเป็นความสุข!
“สหายเซียนหวังหลิน!” เขาได้ยินเสียงหวังหลิน
หวังหลินขมวดคิ้วและปรากฏตัว เขามองไปที่ตู้ฉิงที่ไม่ได้เจอมาแล้วสักพักและจึงเอ่ยขึ้นถาม
“ใครบอกให้เจ้ามาที่นี่?”
“ผู้อาวุโสหวัง เป็นบรรพชนกระทิงเขียวของสำนักมหาวิญญาณได้พบข้าเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เขาบอกให้ข้ามาส่งบางอย่างให้ท่านตั้งแต่สามวันที่แล้ว” ตู้ฉิงรีบมาถึงเบื้องหน้าหวังหลินและยื่นมืออกไป ก้อนหินสีดำก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ
ก้อนหินนี้ดูธรรมดามาก ตู้ฉิงใช้เวลาตลอดทางเพื่อนค้นหาเบาะแสจากมันแต่ก็ไม่พบอะไร แต่เขาจำได้ว่าบรรพชนกระทิงเขียวมีท่าทีเคร่งเครียดแค่ไหนจนเขารู้สึกว่ามันคือสมบัติแน่นอน
หวังหลินดวงตาส่องสว่างพลางนำหินสีดำมาดู รูม่านตาหรี่เล็กลง เขาสัมผัสกลิ่นอายวิชาเต๋าเนตรวิญญาณจากมันได้
ตอนที่ 1886
หวังหลินถือก้อนหินสีดำขึ้นมา นี่ไม่ใช่หินมิติ เขามองตู้ฉิงและคำนับฝ่ามือ
“ขอบคุณมากน้องตู้!”
ตู้ฉิงรีบส่ายศีรษะ เขากระพริบตาและถามเบาๆ “อะไรอยู่ข้างในกัน?”
หวังหลินยิ้มบางๆ และส่ายศีรษะโดยไม่ได้ตอบกลับไป เขามองไปยังท้องฟ้าและเอ่ยขึ้น
“ข้าจะไม่พูดอะไรมากนัก น้องตู้ หากมีโอกาสขอให้เราได้เจอกันอีกครั้ง ลาก่อน!” หวังหลินถอนหายใจและหายวับเข้าไปในท้องฟ้า
ตู้ฉิงมองร่างหวังหลินที่กำลังจากไป เขาลอบถอนหายใจและส่ายศีรษะ จากนั้นเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงมุ่งหน้ากลับไปยังสำนักมหาวิญญาณเพื่อบอกบรรพชนกระทิงเขียวว่าทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว
หวังหลินผสานเข้ากับโลกและออกไปจากสำนักเจ็ดเต๋า เขาปรากฏตัวในทะเลทรายแห่งหนึ่งซึ่งไม่ได้เจอได้ทั่วไปในแคว้นกระทิงสวรรค์
ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน สายลมที่พัดผ่านทะเลทรายช่างเยือกเย็นเสียดกระดูกและอาจทำให้คนธรรมดาแข็งค้าง เหล่าเซียนสามารถต้านทานได้แต่สำหรับเซียนขั้นที่สามแบบหวังหลินมันเหมือนกับลมเบาๆ
หวังหลินยังถือก้อนหินสีดำในมือ เขาก้มหน้ามองก้อนหิน ไม่รู้ว่าควรจะเปิดมันออกมาดีหรือไม่
แม้จะไม่รู้ว่ามันมีอะไรข้างใน แต่กลิ่นอายของวิชาเต๋าเนตรวิญญาณได้บอกวิธีการเปิดแก่หวังหลินอย่างลับๆ
ครู่ต่อมาหวังหลินจึงเผยแววตาตัดสินใจ เขาแบมือพลันปรากฏคนตัวเล็กขนาดสามนิ้วขึ้นข้างๆ ก้อนหิน พริบตาเดียวมันก็เข้าไปในหิน
เสียงแตกร้าวดังขึ้นมากลางค่ำคืนในทะเลทราย หลังจากคนตัวเล็กเข้าไป บนก้อนหินจึงเผยรอยแตก ภายในเวลาไม่ถึงสามลมหายใจมันจึงแตกละเอียดอย่างสิ้นเชิง
ก้อนแสงทั้งสี่ก้อนพลันลอยออกมา!
หลังจากเห็นก้อนแสงทั้งสี่ จิตใจหวังหลินสั่นเทาและตกตะลึง
ก้อนแสงก้อนแรกมีมนุษย์ดินขนาดเท่ากำปั้น มันนั่งลง ไม่มีใบหน้าแต่ร่างกายสับเปลี่ยนระหว่างชุดเกราะและรูปร่างมนุษย์
กลิ่นอายธาตุดินพวยพุ่งออกมาจากมัน ดูคล้ายกับผสานเข้ากับทรายที่นี่จนทำให้ผืนทรายเคลื่อนไหวรุนแรง
หวังหลินไม่รู้เรื่องชุดเกราะจากสำนักกุ้ยยี่มากนักแต่เขาเคยเห็นมาบ้างในโลกถ้ำและมีคนของสำนักกุ้ยยี่ได้มอบให้แก่ผู้ส่งสาส์น
ทว่าชุดเกราะพวกนั้นไม่สามารถเปรียบเทียบในแง่รูปลักษณ์หรือกลิ่นอายกับเกราะมนุษย์ข้างในก้อนแสงนี้ได้! แม้หวังหลินจะไม่ได้รู้อะไรมากนักแต่ก็พอบอกได้ว่าพวกมันไม่ได้มีระดับเดียวกัน
เกราะรูปร่างมนุษย์นี้แม้แต่ในสำนักกุ้ยยี่ก็ยังเป็นสิ่งหายาก! หวังหลินไม่รู้ว่าบรรพชนกระทิงเขียวต้องแลกกับอะไรมาถึงสามารถเอามาให้หวังหลินได้
หวังหลินขบคิดเงียบๆ
ภายในก้อนแสงที่สองเป็นใบเรือสีดำขนาดเล็ก พูดให้ถูกคือมันเป็นใบเรือหน้าผี กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาทำให้ผู้คนต้องหลงทางอยู่ในความฝัน
หวังหลินสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของใบเรือหน้าผีที่ถูกใช้เป็นค่ายกลป้องกันสำนักมหาวิญญาณ หากหวังหลินเดาถูก เช่นนั้นนี่คือใบเรือหน้าผีระดับสูงที่เป็นส่วนหนึ่งในรางวัลสำหรับการสังหารหวังหลิน!!
พอมองใบเรือหน้าผีอันเล็กนี้แล้ว หวังหลินรู้สึกอธิบายไม่ถูก
ใบเรือหน้าผีป้องกันสำนักนั้นสำคัญยิ่งต่อสำนักมหาวิญญาณ แต่บรรพชนกระทิงเขียวกลับมอบให้เขาอย่างไม่คาดคิด
หวังหลินได้แต่ขบคิดต่อไป
ภายในแสงสีเขียวก้อนที่สามมีลูกปัดสีน้ำตาล ลูกปัดนี้มีขนาดเท่ากับลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า แม้แต่กลิ่นอายยังคล้ายคลึงกัน หลังจากมองดูแล้วหวังหลินเกิดภาพเลือนลางเหมือนกำลังมองดูลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าที่ผสานเข้ากับวิญญาณเขา
‘นี่มัน…’ หวังหลินตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาค้นพบว่ามันเหมือนกับลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าแต่ไม่ใช่ทั้งหมด
แม้จะคล้ายกันแต่ก็เหมือนการเทียบหิ่งห้อยกับดวงจันทร์ ฝั่งหนึ่งเป็นดวงอาทิตย์ส่วนอีกฝั่งเป็นได้แค่ดาวอับแสง
หวังหลินสัมผัสกลิ่นอายกระทิงสวรรค์จากลูกปัดนี้ได้ แม้จะไม่รู้ว่ามันคืออะไรเขาก็พอจะเดาได้บ้าง มันเกี่ยวข้องกับกระทิงสวรรค์อย่างล้ำลึก
สิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับกระทิงสวรรค์ล้วนเป็นสมบัติสำคัญต่อแคว้นกระทิงสวรรค์ มันคงไม่มอบให้ใครง่ายๆ หรือคงไม่อนุญาตให้นำออกไปจากแคว้นกระทิงสวรรค์ ทว่าลูกปัดนี้ถูกส่งมาหาหวังหลิน แม้จะมีน้ำหนักเบาแต่กลับส่งผลต่อจิตใจหวังหลินอย่างใหญ่หลวง
ก้อนแสงที่นี่มีกระดองเต่าแตกหักที่เต็มไปด้วยลวดลายบางอย่าง พอมองดูด้วยตาเปล่าจะพร่ามัว แต่เมื่อใช้สัมผัสวิญญาณมองดูหวังหลินจึงหันกลับไปที่สำนักมหาวิญญาณทันที
ดูเหมือนเขาได้เห็นชายชราคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในภูเขาฟ้าเขียวของสำนักมหาวิญญาณ ชายชราคนนั้นกำลังยิ้มมาให้เขา ยกแขนขวาขึ้นมาราวกับกำลังกล่าวลาหวังหลิน
กระดองเต่านี้มีแผนที่ของทั้งแผ่นดินฝั่งตะวันออก มันไม่ได้มีรายละเอียดมากนักและยิ่งห่างไกลจากแคว้นกระทิงสวรรค์ก็ยิ่งจะพร่ามัว ส่วนใหญ่เป็นเค้าโครงหยาบๆและอธิบายง่ายๆ
แต่แผนที่นี้สำคัญต่อหวังหลินที่สุด!
ภายในกระดองเต่า นอกจากแผนที่แล้วยังมีคำอธิบายลูกปัดกระทิงสวรรค์อย่างละเอียดจนหวังหลินเกิดความเข้าใจมหาศาล
บรรพชนกระทิงเขียวทิ้งประโยคหนึ่งเอาไว้ มันไม่ใช่ข้อความสัมผัสวิญญาณแต่ถูกสลักเอาไว้ในกระดองเต่า
“ขอให้เดินทางปลอดภัย…อีกสามร้อยปี กลับมาเจอกันที่สำนักมหาวิญญาณ…” ไม่มีคำอธิบายและไม่ได้พูดถึงสามเงื่อนไข จบเวรกรรมของหวังหลินกับแคว้นกระทิงสวรรค์ด้วยประโยคเดียว
หวังหลินเผยท่าทีซับซ้อน ผ่านไปสักพักจึงเก็บใบเรือหน้าผีและเกราะรูปร่างมนุษย์เอาไว้ เขาถือลูกปัดกระทิงสวรรค์และเก็บวิญญาณกระทิงสวรรค์ไว้ข้างใน ตอนนี้เขาสามารถพามันไปทุกที่ที่เขาต้องการได้แล้ว
สุดท้ายหวังหลินจึงเก็บกระดองเต่าด้วยความระมัดระวังและมองไปทางสำนักมหาวิญญาณ เขาคำนับฝ่ามือและโค้งตัว
“ข้าจะกลับมา…” หวังหลินพึมพำก่อนจะหันตัวกลับ ทะยานเข้าสู่ท้องฟ้า เข้าหาชายแดนตามแผนที่ เขากำลังจะไปสำนักตงหลิน!
สำนักตงหลินอยู่ทางทิศเหนือของแผ่นดินฝั่งตะวันออกซึ่งอยู่ในแคว้นมหาปราชญ์ มันห่างจากแคว้นกระทิงสวรรค์ถึงห้าแคว้น! ซึ่งอยู่ไกลมากและการเดินทางยังต้องใช้เวลาหลายปี แม้จะมีวิชาบิดมิติแต่หวังหลินไม่สามารถใช้ได้ถี่ๆ อาจทำให้เขาต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองปีกว่าจะไปถึง
การมุ่งหน้าสู่สำนักตงหลินยังต้องผ่านที่หนึ่งนั่นคือแคว้นมารเขียว! หากเขาอ้อมไปคงเสียเวลามากกว่านี้ ไม่ใช่เพียงแค่ห้าแคว้นและอาจมีอันตรายอีกมาก
หลังจากขบคิดเพียงชั่วขณะ หวังหลินดวงตาส่องสว่างขึ้นมา เขาคาดเดาว่าการเปลี่ยนแปลงในสำนักมหาวิญญาณและสำนักกุ้ยยี่นั้นเกี่ยวข้องกับแคว้นมารเขียว เขาไม่รู้ว่าเขาเดาถูกหรือผิด แต่หากเดาถูกต้อง คงอาจจะมีคนรอเขาอยู่ที่ชายแดนของแคว้นกระทิงสวรรค์
แม้การเข้าไปยังแคว้นมารเขียวจะดูอันตราย แต่ตอนนี้แทบจะว่างเปล่า บางทีสถานที่ที่อันตรายที่สุดอาจเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด
นอกจากนี้คงมีน้อยคนมากที่จะคิดว่าหวังหลินกล้ามุ่งหน้าไปยังแคว้นกระทิงสวรรค์ตัวคนเดียว…
หลังจากตัดสินใจได้ หวังหลินจึงเปลี่ยนทิศทางและใช้วิชาบิดมิติเข้าสู่ทะเลโอสถ เขาพุ่งทะยานไปด้วยความระมัดระวัง
เมื่อถึงตอนที่ไม่สามารถใช้บิดมิติได้ เขาก็ไม่ได้เหาะเหินผ่านอากาศ ตอนนี้ทุกคนในแคว้นกระทิงสวรรค์เป็นศัตรูกับเขา ไม่ว่าจะเป็นเซียนจากแคว้นมารเขียวหรือแคว้นกระทิงสวรรค์ ตราบใดที่พวกนั้นจดจำเขาได้ก็จะเป็นการไล่สังหารแน่นอน
เซียนทั่วไปในแคว้นกระทิงสวรรค์รู้แต่เพียงสาส์นวิญญาณ ไม่ได้รู้รายละเอียด
แต่หวังหลินไม่อยากสังหารเซียนจากแคว้นกระทิงสวรรค์ ดังนั้นแล้วเมื่อเขาไม่สามารถใช้บิดมิติได้ก็จะมุดดินเข้าไป พอเวลาผ่านไปสักพักก็จะพุ่งออกมาอีกครั้ง
ทำให้การเดินทางของเขาค่อนข้างช้าลงไปมาก เมื่อหวังหลินเคลื่อนที่ผ่านทุ่งยอดนภาและใช้บิดมิติมาถึงทะเลโอสถ เวลาก็ผ่านไปหลายเดือนแล้ว
พื้นที่แถบนี้ของแคว้นกระทิงสวรรค์เป็นฤดูหนาว หิมะกำลังตกลงมาจากท้องฟ้าและเกิดพายุหิมะกินระยะทางหลายหมื่นลี้
ยังต้องใช้เวลาครึ่งเดือนกว่าที่หวังหลินจะใช้บิดมิติได้อีกครั้ง เขาใช้เวลานี้ปิดด่านบ่มเพาะและฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ สองขาก้าวไปบนหิมะและเผชิญหน้ากับสายลมหนาว
ห่างจากเขาไปไม่ไกลนักมีเมืองธรรมดาปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนทอประกาย กลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ผสมผสานกับหิมะทำให้ดูงดงามและสงบเงียบ
นี่เป็นครั้งแรกที่หวังหลินกำลังเข้าไปในโลกของคนธรรมดาในแผ่นดินเซียนดารา แม้ที่นี่ยังคงห่างจากทะเลโอสถ ถึงจะอยู่ในระแวกเดียวกันแต่มันไม่ได้ถูกทำลายไปตอนที่ทะเลโอสถพังทลาย
ไม่ควรมีคนธรรมดาคนใดตายเนื่องจากการพังทลายของทะเลโอสถ ตามตำนานของทะเลโอสถที่คงอยู่มาช้านาน ไม่ว่าจะเป็นแคว้นมารเขียวหรือแคว้นกระทิงสวรรค์ พวกเขาได้ทำให้พื้นที่รอบทะเลโอสถกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับเหล่าคนธรรมดา
แต่หากเม็ดยาสวรรค์ระเบิดอยู่ใกล้แคว้นกระทิงสวรรค์มากกว่านี้ เมืองเบื้องหน้าหวังหลินคงหายวับไปในพริบตา
พายุหิมะเริ่มรุนแรงยิ่งขึ้น
สายลมหวนราวกับวิญญาณปิศาจกำลังร่ำร้องอยู่ในท้องฟ้า ควันที่กำลังพวยพุ่งพลันแตกสลายก่อนจะรวมตัวกัน ผู้คนในเมืองทั้งหมดสวมชุดผ้าฝ้ายและรีบเดินก้มหน้ากลับบ้านของตัวเอง
เวลานี้หวังหลินได้เดินเข้าไปในเมือง…
ตอนที่ 1887
หิมะและสายลมหนาวเย็นพัดผ่านในค่ำคืน หลังจากตรวจพบว่ามีเมืองอยู่ หวังหลินก้าวเดินเข้าเมืองโดยไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงต้องการมาที่นี่
‘บางทีข้าอาจกำลังค้นหาความรู้สึกของการเป็นคนธรรมดา…’ หวังหลินก้าวเดินเข้าไปในหิมะจนเกิดเสียง เกล็ดหิมะอันหนาวเย็นหล่นลงกระทบใบหน้า
เขาเดินจากเมืองด้านหนึ่งไปสู่อีกด้านหนึ่ง ทิ้งรอยเท้าเอาไว้แต่มันก็ถูกหิมะปกคลุมอย่างรวดเร็ว
พอถึงอีกด้านของเมือง หวังหลินมองกลับมา ระหว่างทางเขาเห็นทั้งเมืองมีแสงนับหมื่นแห่งส่องสว่างจากทุกมุมบ้าน
อย่างไรก็ตามกลับไม่มีความรู้สึกอบอุ่น เขาเสมือนรอยเท้าที่โดนหิมะปกคลุม เขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งกับที่นี่
ถือว่าเป็นครั้งแรกที่หวังหลินเกิดความรู้สึกอธิบายไม่ได้เช่นนี้ เขาเข้าใจอย่างหนึ่งว่าในขณะที่ระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นจะค่อยๆ สูญเสียฟางเส้นสุดท้ายของการเป็นคนธรรมดา
หวังหลินรู้มาว่าการเปลี่ยนตัวเองกลับเป็นคนธรรมดานั้นมีขีดจำกัดอยู่ที่สามครั้ง หลังจากผ่านครั้งที่สามไปจึงถือเวลาต้องตัดออก! มันเป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ เขาต้องการพักผ่อนในเมืองและเฝ้าดูชีวิตของคนธรรมดาแต่กลับไม่สามารถเอาจิตใจลงไปเต็มที่ได้อีกแล้ว
“จิตใจข้าไม่สงบนิ่งอีกแล้วใช่หรือไม่…” หวังหลินมองไปยังหิมะในท้องฟ้า ยืนอยู่ข้างประตูอย่างโดดเดี่ยว ปากยังคงพึมพำกับตัวเอง
“ตอนนี้ข้ามีแปดแก่นแท้…อีกแค่หนึ่งแก่นแท้ก็จะบรรลุขั้นแก่นแท้ดับสูญ หลังจากนั้นข้ามั่นใจว่าจะสามารถผ่านด่านวิบากแก่นแท้ทั้งเก้าได้อย่างรวดเร็ว…บางทีจิตใจข้าอาจไม่สงบนิ่ง แต่ข้ารู้ว่าสักวันหนึ่งมันจะสงบนิ่งและข้าจะสามารถรู้แจ้งได้…”
หวังหลินเข้ามาแต่จากไปด้วยความรู้สึกทุกข์ ราวกับเขาได้สูญเสียบางอย่างและไม่สามารถค้นหามันเจอ
‘นี่คือราคา…ราคาของความแข็งแกร่ง…’ หวังหลินก้าวเดินผ่านประตูเมืองอย่างเงียบงัน ใบหน้าเผชิญกับสายลมจนเขาเดินห่างออกไปจากเมืองช้าๆ
แสงนับหมื่นส่องอยู่ด้านหลังเขาและเปล่งความอบอุ่น หวังหลินรู้สึกถึงความอบอุ่นแต่ไม่สามารถแตะต้องมันได้
เสียลมหวีดดังลอดผ่านหิมะจนค่อยๆ กลายเป็นเสียงเพลงแห่งสายลมและหิมะที่อยู่กับร่างดันโดดเดี่ยวของหวังหลิน
ไม่กี่เดือนต่อมาในทะเลโอสถซึ่งพังทลายไปแล้ว ที่นี่กลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่ไม่มีอะไรอยู่ ไม่มีร่องรอยแห่งชีวิต มีเพียงความอ้างว้างและความตาย
หวังหลินปรากฏตัวอยู่ในท้องฟ้าเหนือทะเลโอสถ นี่เป็นครั้งที่สองที่เขามาที่นี่
ขณะที่หวังหลินก้าวเดินผ่านทะเลโอสถ เขาส่งสัมผัสวิญญาณออกไป ยิ่งไปใกล้แคว้นมารเขียวมากขึ้นยิ่งระมัดระวังมากกว่าเดิม ผ่านไปหนึ่งเดือนหวังหลินจึงได้ก้าวเข้าสู่แคว้นมารเขียว เขาสัมผัสกลิ่นอายมืดมนที่กำลังห่อหุ้มทั่วทั้งแคว้นได้
กลิ่นอายนี้มีความกระหายเลือดและเย็นเยียบรั่วไหลออกมา แม้แต่เซียน อสูรหรือคนธรรมดาที่เกิดขึ้นบนแคว้นแห่งนี้ยังแฝงความชั่วร้ายตามธรรมชาติ
แผ่นดินของแคว้นมารเขียวแตกต่างอย่างมากจากแคว้นกระทิงสวรรค์ มีภูเขาเพียงไม่กี่ลูก ส่วนใหญ่พื้นที่มีแต่หนองบึงกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตราวกับมีตำนานน่ากลัวอยู่หลายเรื่อง แค่เดินเข้ามาก็ทำให้ขนลุกขนพองได้แล้ว
หวังหลินไม่ชอบแคว้นมารเขียวอย่างมาก
ในแคว้นมารเขียวไม่ได้มีเซียนทรงพลังเหลืออยู่มากนัก ที่มีอยู่ส่วนใหญ่เป็นเซียนอ่อนแอที่ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อหวังหลิน อย่างไรก็ตามเขายังคงประคองจังหวะเช่นเดิมเพื่อให้ใช้บิดมิติผ่านแคว้นมารเขียวต่อไป
เขาสัมผัสได้ว่าส่วนลึกภายในแคว้นมารเขียวมีพลังลึกลับสายหนึ่ง พลังนี้เต็มไปด้วยพลังมารอันมหึมา ตามแผนที่บนกระดองเต่า ที่นั่นคือตำแหน่งของอารามแมงป่องมารเขียว
แคว้นกระทิงสวรรค์ไม่ได้มีอารามกระทิงสวรรค์ อารามแบบนี้จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากจักรพรรดิ หากไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้
พลังมารรุนแรงมากพอที่จะส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้คน หวังหลินไม่ได้เข้าไปที่นั่นแต่เดินทางอ้อมไปยังชายแดนของแคว้นเมิ่งตู
เวลาผ่านไปหลายเดือนอย่างช้าๆ ช่วงระหว่างนี้หวังหลินเจอกับเซียนอยู่บ้างแต่ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้ ผ่านไปอีกหลายเดือนหวังหลินจึงปรากฏตัวที่ชายแดนของแคว้นมารเขียว
ตรงชายแดนสู่แคว้นเมิ่งตูมีเทือกเขาแห่งหนึ่งที่หาได้ยากในแคว้นมารเขียว มันทอดยาวและคล้ายจะเชื่อมต่อกับฟ้าดิน ผ่านเทือกเขานี้ไปเขาจะอยู่บนแผ่นดินของแคว้นเมิ่งตู
หวังหลินยืนอยู่ใต้เทือกเขา จ้องมองภูเขาที่สูงตระหง่านด้วยท่าทีสงบนิ่ง เขาสัมผัสถึงต้นตอพลังมารอันมหึมาตรงยอดเขาซึ่งควบแน่นเป็นแมงป่องสองตัว
พวกนั้นคือผู้ส่งสาส์นมารเขียวทั้งสองคน!!
ด้านหลังพลังมารทั้งสองมีปราณกระบี่ขนาดมหึมาตรงยอดเขา พอหวังหลินมาถึง พลังปราณกระบี่โบราณจึงได้ปลดปล่อยกลิ่นอายทำลายล้างฟ้าดินพลางลอยตัวอยู่บนยอดเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่หวังหลินได้เผชิญกับพลังอำนาจที่สามารถหยุดเขาได้ในแคว้นมารเขียว เขาสัมผัสกลิ่นอายคุ้นเคยออกมาจากกระบี่เล่มนั้นได้
นั่นหมายความว่าหวังหลินตัดสินใจออกมาผ่านแคว้นมารเขียวเป็นเรื่องที่ถูกต้อง หากเขาไปทิศทางอื่นคงเจอกับอุปสรรคมากกว่านี้
“สามคน…ประเมินข้าไว้สูงมาก” หวังหลินก้าวเดินเข้าสู่ภูเขา วินาทีที่ก้าวเท้าออกไป กลิ่นอายมารเขียวทั้งสองจึงพุ่งออกมา พวกเขาเหมือนแมงป่องมารเขียวดุร้ายสองตัวที่กำลังพุ่งลงมาจากยอดเขาเข้าหาหวังหลิน
หลังจากนั้นไม่นาน เงากระบี่โบราณตรงยอดเขาส่งเสียงหึ่งอย่างรุนแรง มันกวาดออกไปและฟันลงมาตามร่างเงาเบื้องหน้า
โลกสั่นสะเทือนไปทั่ว พลังอำนาจของกระบี่เล่มนี้ดุจเข้ามาแทนที่แสงทุกอย่างในโลก ราวกับเป็นแสงในอวกาศ
หวังหลินกะพริบตาเย็นเยียบ รอยสักบนใบหน้าด้านขวาเรืองแสงขึ้นมา เปลี่ยนกลายเป็นเส้นด้ายสีดำนับไม่ถ้วนเข้าห่อหุ้มหวังหลินและเปลี่ยนกลายเป็นชุดเกราะห่อหุ้มจนเหลือเพียงเรือนผมสีขาวและดวงตาเย็นเยียบ
หลังจากหวังหลินสวมเกราะวิญญาณ กลิ่นอายจึงระเบิดออกมาบรรลุขั้นวิบากดับสูญระดับต้นในทันที เขาก้าวออกไปประชิดแมงป่องมารเขียวตัวแรก
ก่อนที่หวังหลินจะได้โจมตี ผู้ส่งสาส์นมารเขียวเผยใบหน้าบ้าคลั่ง เขาไม่ได้ใช้วิชาอันใดออกมา ทันทีที่หวังหลินมาถึง ฝ่ามือกลับสร้างผนึกและชี้ตรงกลางหน้าผากตัวเอง
จากนั้นไม่นานมีกลิ่นอายน่าขนลุกโผล่ออกมาทั่วร่าง ผู้ส่งสาส์นขั้นวิบากดับสูญระดับกลางกลับเลือกทำลายตัวเอง!!
นี่เป็นการทำลายตัวเองโดยไม่ลังเล และเขาระเบิดร่างทันที!
การทำลายตัวเองของเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางนั้นทรงพลังมากพอจนสั่นคลอนได้ทั้งแคว้นมารเขียว พลังนี้แม้แต่เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับปลายยังต้องขมวดคิ้ว
ไม่รู้ว่ากินดีหมีหรือกินอะไรมา หลังจากผู้ส่งสาส์นคนแรกระเบิด อีกคนด้านหลังเขาก็เลือกทำลายตัวเองเช่นเดียวกัน!
การทำลายตัวเองของเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางสองคนนั้นสามารถทำให้เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับปลายล่าถอยได้แล้ว!
พอผู้ส่งสาส์นระเบิดตัวเองไปสองคน หวังหลินดวงตาส่องสว่างและเกิดวิกฤติอันรุนแรงขึ้นทันที วิกฤตินี้ไม่ได้มาจากพลังทำลายล้างตัวเอง แต่เป็นเหตุผลว่าทำไมทั้งสองถึงตัดสินใจระเบิดตัวเอง!!
การต่อสู้ยังไม่ได้เริ่มต้นแต่กลับเลือกระเบิดตัวเองเช่นนี้ มันประหลาดเกินไป อีกทั้งด้านหลังทั้งสองคือเมฆาสูญสิ้นที่ควบคุมพลังปราณกระบี่ทรงพลัง ทั้งสามสามารถต่อสู้กับหวังหลินได้ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องทำลายตัวเองเลย!
มีบางอย่างผิดปกติ!
การจะสังเวยชีวิตของผู้ส่งสาส์นมารเขียวขั้นวิบากดับสูญระดับกลางจำนวนสองคน แคว้นมารเขียวต้องเกิดเรื่องบางอย่างและไม่อยากปล่อยหวังหลินออกไปจากที่นี่ง่ายๆ
เสียงดังสนั่นกึกก้อง หวังหลินดวงตาส่องสว่างขึ้นมา แขนขวายื่นออกไปดึงเกราะธาตุดินรูปร่างมนุษย์ เพียงสะบัดแขนจึงเกิดแสงสีเหลืองน้ำตาลเข้าห่อหุ้มร่างกาย
หลังจากนั้นไม่นานหวังหลินจึงระเบิดระดับบ่มเพาะเต็มกำลังและไม่ซ่อนกลิ่นอายบัญชาโบราณอีกต่อไป เมื่อกลิ่นอายบัญชาโบราณปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ ร่างใหญ่ยักษ์ที่สามารถค้ำจุนโลกได้จึงปรากฏขึ้นมา
วินาทีที่ร่างนี้ปรากฏ ทุกคนภายในระยะหมื่นลี้จึงมองเห็นและเกิดเป็นพลังบัญชาโบราณแผ่กระจายออกเป็นระลอกคลื่น
ร่างเงาบัญชาโบราณส่งเสียงคำรามสู่ท้องฟ้า ห่อหุ้มร่างหวังหลินจากพลังทำลายล้างของผู้ส่งสาส์นทั้งสองคน
พลังทำลายล้างระลอกแรกพุ่งกระแทกใส่ร่างเงาบัญชาโบราณจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ร่างเงาสั่นเทาและเผยทีท่าว่ากำลังพังทลาย ตอนนั้นพลังทำลายล้างระลอกที่สองก็มาถึงแล้ว
เสียงดังกึกก้องสั่นสะเทือนสวรรค์ ร่างเงาบัญชาโบราณที่เพิ่มพูนพลังด้วยระดับบ่มเพาะขั้นวิบากดับสูญระดับต้นของหวังหลินกลับพลังทลายในทันที!
พอร่างเงาพังทลาย พลังทำลายล้างส่วนหนึ่งยังคงเหลืออยู่ พวกมันตกกระทบใส่เกราะชั้นแรกของหวังหลินซึ่งเป็นเกราะธาตุดินรูปร่างมนุษย์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น