Xian Ni 1874-1879
ตอนที่ 1874
เกราะวิญญาณจดจำเจ้าของ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ลิ่วเหวินหลานคิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่าจะต้องสังหารหวังหลิน แม้จะเป็นต่อหน้าสายตาของทุกคนที่นี่เขาก็ต้องทำ เขาเสียหน้าไปแล้ว ดังนั้นต้องโจมตีตอนนี้!
พริบตาเดียวก็เข้าไปใกล้หวังหลิน ส่วนหวังหลินถอยกลับไปสามก้าว แขนขวาขยับอย่างรวดเร็วจนวังใต้ดินส่งเสียงดังสนั่น หอกสีรุ้งปรากฏขึ้นมาและตามมาด้วยหอกสีรุ้งเล่มที่สองจากร่างแก่นแท้
หอกสีรุ้งสองเล่มพุ่งเข้าหาลิ่วเหวินหลาน
หวังหลินไม่หยุดถอยเพียงแค่นั้น ขณะที่สองเท้าก้าวถอยหลัง สองมือยกขึ้นมา เส้นชีพจรเซียนในร่างกายหมุนวนอย่างรวดเร็วทำให้ฝ่ามือสามารถร่ายวิชาได้รวดเร็วยิ่ง
ด้วยความเร็วระดับนี้หวังหลินจึงเริ่มโจมตีด้วยวิชาอย่างต่อเนื่องเหมือนดั่งฉวี่เต๋อข่าย
แขนขวาสร้างผนึกปรากฏประทับวิญญาณสงคราม สองประทับฝ่ามือจึงทะยานเข้าหาลิ่วเหวินหลานตามกันไป
พริบตาหลังจากนั้นแขนซ้ายหวังหลินสร้างผนึกขึ้นมาอีก พื้นที่ทั่วบริเวณเปลี่ยนกลายเป็นทะเลเพลิง ปรากฏร่มบรรพกาลเผาดินแดนขึ้นมา ร่มโบราณสองคันโผล่ขึ้นมาติดๆ กันและปลดปล่อยเพลิงมหึมา
หอกสีรุ้งเข้าใกล้ลิ่วเหวินหลานเป็นอันดับแรก เขาสะบัดฝ่ามือและระเบิดระดับบ่มเพาะขั้นวิบากดับสูญระดับกลางอันทรงพลังจนหอกสีรุ้งสองเล่มแตกสลาย ทว่าหลังจากนั้นไม่นานประทับฝ่ามือวิญญาณสงครามจึงเข้าปะทะกับลิ่วเหวินหลาน
ก่อนที่ลิ่วเหวินหลานจะตอบสนองอะไรได้ทัน ร่มบรรพกาลเผาดินแดนสองคันได้ปลดปล่อยเพลิงทำลายเข้าใส่แล้ว
ลิ่วเหวินหลานหรี่ตาแคบ ตอนนี้เขาไม่สงสัยแล้วว่าหวังหลินได้สังหารฉวี่เต๋อข่ายจริงหรือไม่ นอกจากฉวี่เต๋อข่ายแล้วไม่มีใครสามารถร่ายวิชาด้วยความเร็วอันน่ากลัวนี่ได้แน่นอน
มีเพียงการสังหารฉวี่เต๋อข่ายเท่านั้นจึงจะสามารถค้นหาความทรงจำเพื่อเอาวิชามา!
นี่เพียงแค่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น เขายังอยู่ห่างไกล หวังหลินใช้เส้นชีจรเซียนในร่างพลางล่าถอยและสร้างผนึกอย่างรวดเร็ว ภาพท้องทะเลปรากฏขึ้นในวังใต้ดินอย่างรวดเร็ว
ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่หายไปและเปลี่ยนกลายเป็นมหาสมุทร โลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิดแต่นาทีนี้กลับเห็นเส้นขอบฟ้าสีแดงและดวงอาทิตย์กำลังเฉิดฉาย!
“แยกราตรี!” หวังหลินร้องคำรามและสะบัดแขน เส้นสีแดงขยายยืดยาวไร้ที่สิ้นสุดและเปลี่ยนกลายเป็นดวงอาทิตย์สีแดงสว่าง ดวงอาทิตย์ได้ระเบิดออกมาพร้อมกับพลังในการฉีกกระชากกลางคืนให้ขาดสิ้น
อีกด้านหนึ่งของดวงตะวัน ปรากฏดวงอาทิตย์อีกดวงที่กำลังเผาไหม้ มันระเบิดด้วยพลังฉีกกระชากแบบเดียวกัน!
หลังจากนั้นมีประตูยักษ์สองบานปรากฏขึ้นเหนือทะเล กลิ่นอายโบราณปรากฏขึ้นจนทำให้เวลาเริ่มไหลช้าลงและห่อหุ้มจิตใจของลิ่วเหวินหลาน!
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตา หวังหลินไม่เคยใช้วิชามากมายในชั่วเวลาสั้นๆ เช่นนี้มาก่อนในชีวิต
แต่ตอนจบยังคงอีกไกล วินาทีที่เขาใช้วิชาแยกราตรีและกาลเวลาเสร็จสิ้น หวังหลินสะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง เส้นชีพจรเซียนในร่างกายหมุนวนอย่างรวดเร็ว
“เรียกขานสายลม อัญเชิญสายฝน!”
“ไสยเวท!”
“ป่นขุนเขา แผ่นดินทลาย!”
“จันทรามืด ฟ้ากระจ่าง!” ดวงจันทร์ทมิฬสองดวงปรากฏขึ้นพร้อมกับดวงอาทิตย์ส่องสว่างอีกสองดวงจนกลายเป็นเงา ลิ่วเหวินหลานถูกวิชาของสำนักจันทรามืดเข้าครอบคลุมทั้งหมด
ลิ่วเหวินหลานต่อต้านประทับวิญญาณสงครามพร้อมกับถูกร่มบรรพกาลเผาไหม้ไปด้วยและโดนพลังของวิชาแยกราตรีกระแทกใส่ ขณะที่เวลาเริ่มตาลปัตร กลับมีเสียงร้องคำรามออกมาทำให้วิชาทั้งหมดของหวังหลินแตกสลาย
ประทับขนาดยักษ์ทั้งสองเกิดการระเบิด ร่มบรรพกาลสองคันแตกสลาย ท้องฟ้าและทะเลพังทลายไปหมด ท้ายที่สุดดวงจันทร์และประตูหินก็พังทลายไปเช่นกัน
ลิ่วเหวินหลานตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่ เขาสูญเสียแขนไปหนึ่งข้างและบาดเจ็บอยู่แล้ว การต่อต้านวิชาที่หวังหลินกระหน่ำโจมตีออกมาจะต้องใช้พลังทั้งหมด ร่างกายพลันพุ่งทะยานเข้าหาหวังหลินทั้งที่หน้าตาซีดเซียว
แต่เพราะหวังหลินชะลอเวลาได้ หยานหลวนและซิ่วตงเต๋อจึงเข้ามาหยุดเขาได้
“ไปซะ!!” ลิ่วเหวินหลานดวงตาแดงก่ำพร้อมจิตสังหาร ขณะที่หยานหลวนและซิ่วตงเต๋อใกล้เข้ามา เขาสะบัดแขนเสื้อและกระอักโลหิตเปลี่ยนกลายเป็นร่างอวตารสองร่างพุ่งใส่หยานหลวนและซิ่วตงเต๋อ
ส่วนตัวเขาเองพุ่งหาหวังหลินด้วยจิตสังหารเต็มเปี่ยม ไม่สนอาการบาดเจ็บของตัวเอง
“ตายไปซะ!!”
ลิ่วเหวินหลานร้องคำราม ยกแขนขึ้นมาคว้าจับอากาศเปล่า ฟันเฟืองเก้าซี่ปรากฏขึ้นในมือและเขากระแทกเข้าหาหวังหลินอย่างรุนแรง
เสียงหอนน่าขนลุกดังออกมาจากฟันเฟืองเก้าซี่ หวังหลินหรี่ตาลง เขารู้ว่าเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางนั้นทรงพลังแค่ไหน แต่เขาต้องทำลายแผนของลิ่วเหวินหลานในวังใต้ดินแห่งนี้ ไม่เช่นนั้นเมื่อลิ่วเหวินหลานได้รับเกราะวิญญาณไปและเพิ่มระดับบ่มเพาะ เขาคงจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
นี่เป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงไม่อยากพลาดมันไป!
บางครั้งเมื่อมีคนต้องการอะไรบางอย่าง ก็จะต้องแลกมาด้วยสิ่งที่มีค่า ต้องกล้ามากกว่าคนอื่นและต้องเดิมพัน!
สายตาหวังหลินเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เขากล้าเดิมพัน! หวังหลินยังไม่ได้ใช้วิชาสามชีวิตเลย เขาอยากใช้หนึ่งชีวิตเพื่อเดิมพัน หากเขาชนะคงจะโชคดีมหาศาล แต่หากเขาแพ้ยังเหลืออีกสองชีวิตและสามารถหนีได้อย่างรวดเร็ว
ขณะที่ฟันเฟืองเก้าซี่เข้ามาใกล้ หวังหลินสัมผัสได้ถึงความตายทุกขณะ เขายกแขนขึ้นมาคว้าจับอากาศเบื้องหน้าโดยไม่ลังเล
“ผ่าสวรรค์!!” หวังหลินร้องคำราม สองมือฉีกกระชากอากาศออกไปอย่างรุนแรง ฟันเฟืองเก้าซี่จึงปะทะเข้ากับรอยแยกที่เปิดออกมาจนส่งเสียงดังสนั่น ฟันเฟืองแตกสลายไปสี่ซี่ ทว่ายังเหลืออีกห้าซี่คล้ายคมมีดแห่งความตายพุ่งตรงเข้าหาหวังหลิน!
พริบตาเดียวมันอยู่ภายในระยะห่างจากหวังหลินเพียงแค่สามสิบฟุต มันหมุนอย่างรวดเร็วและแหลมคมยิ่ง ราวกับต้องการฉีกกระชากหวังหลินออกเป็นสองส่วน
หวังหลินรู้สึกว่าร่างกายเจ็บปวดรุนแรงราวกับกำลังฉีกขาดเป็นสองท่อน ฟันเฟืองหมุนเข้ามาโดนเขา โลหิตไหลนองออกมาจากทั่วร่าง
ลิ่วเหวินหลานหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาคาดหวังให้หวังหลินตาย ในใจเขากำลังจินตนาการร่างกายหวังหลินถูกขาดออกเป็นสองส่วน วิญญาณดั้งเดิมแตกสลาย!
“เจ้าไม่คู่ควรที่จะเป็นศัตรูของข้า!”
หยานหลวนและซิ่วตงเต๋อด้านหลังนั้นเข้ามาช่วยหวังหลินสายเกินไป ลิ่วเหวินหลานยอมเสี่ยงไม่สนอาการบาดเจ็บเพื่อพ่นโลหิตออกมาสร้างร่างอวตารไปหยุดสองคนนั้น แม้จะกินเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ เขาก็เชื่อว่าหากใช้ระดับบ่มเพาะเต็มที่ก็คงมากพอ!
“ตายไปซะ เมื่อเจ้าตาย เกราะวิญญาณจะเป็นของข้า!!” ลิ่วเหวินหลานร้องคำราม เขาเห็นหวังหลินเอามือเข้าหาฟันเฟืองและกระเด็นกลับมาจนโลหิตสาดกระจาย
เหล่าเซียนทั้งหมดรอบด้านถึงกับตกตะลึงที่เห็นแบบนี้ จิตใจทุกคนหวาดกลัวและตื่นตระหนก ลิ่วเหวินหลานราวกับคนแปลกหน้าในสายตาพวกเขา
“บ้า…เขาบ้าไปแล้ว!!”
“เขาสังหารผู้อาวุโสหวังต่อหน้าพวกเรา เขาจะต้องสังหารทุกคนที่นี่เพื่อเก็บความลับแน่นอน!”
“เขาไม่สนใจอะไรเลย หากเขาได้เกราะวิญญาณไป ข้ากลัวว่าเขาจะสังหารเราทุกคนและยกความผิดให้แคว้นมารเขียว!”
เหล่าเซียนนับพันบนพื้นมองลิ่วเหวินหลานด้วยสายตาหวาดระแวง กระทั่งเซียนที่เดิมทีเลือกลิ่วเหวินหลานยังรู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆ
“ตาย ตาย ตาย ตาย!” เสียงหัวเราะของลิ่วเหวินหลานดังกึกก้องไปทั่ววังใต้ดิน แต่ทันใดนั้นมันกลับหยุดลง ไม่เชื่อสายตาตัวเอง
หวังหลินที่กำลังถอยไปไม่ได้ถูกผ่าร่างตามที่เขาจินตนาการ กลับเป็นโลหิตสาดกระจายและมีเสียงเหล็กปะทะกัน ร่างกายอันทรงพลังของหวังหลินทำหน้าที่สำคัญได้เป็นอย่างดี
เหนือศีรษะหวังหลินปรากฏตะเกียงเรืองแสงเบาบาง แสงของตะเกียงห่อหุ้มเขาและทำให้ร่างกายฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
ลิ่วเหวินหลานเผยแววตาจิตสังหารอันบ้าคลั่ง พอเขาเห็นว่าหวังหลินไม่ตายตามที่คาดคิด จึงพุ่งทะยานเข้าหา
“ร่างกายเจ้าแข็งแกร่งแล้วอย่างไร เจ้ามีสมบัติปกป้องร่างกายแล้วอย่างไร? จงตาย ตาย ตายไปซะ!!!” เพียงก้าวครั้งเดียว ลิ่วเหวินหลานจึงอยู่ห่างหวังหลินไม่เกินห้าร้อยฟุต!
ก้าวครั้งที่สอง อยู่ห่างไม่ถึงร้อยฟุต เขายกแขนขึ้นมากำลังจะส่งกระบวนท่าสังหารออกไป จังหวะนี้เกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์ได้เปลี่ยนกลายเป็นเส้นใยสีดำนับไม่ถ้วน มันเคลื่อนผ่านลิ่วเหวินหลานอย่างรวดเร็วไปหาหวังหลิน
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา หวังหลินถูกเส้นใยสีดำนับไม่ถ้วนเข้าห่อหุ้มและระเบิดกลิ่นอายทรงพลังออกมา ยามที่ลิ่วเหวินหลานถูกกลิ่นอายกระแทกใส่เขาถึงกับกระอักโลหิต ดวงตาหวาดกลัวและไม่ยินยอม!
“ไม่นะ!!!”
ตอนที่ 1875
ฆ่าลิ่วเหวินหลาน!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ลิ่วเหวินหลานเห็นกับตาตัวเองว่าเส้นใยสีดำนับไม่ถ้วนกำลังหมุนรอบตัวหวังหลิน กลิ่นอายในร่างกายหวังหลินกำลังทรงพลังขึ้นในระดับที่น่าหวาดกลัว
เรื่องนี้ถึงกับทำให้เขาต้องหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ จิตใจสั่นเทาและเกิดแววตาหวาดกลัวเกินอธิบาย ทั้งยังมีความอิจฉาปนอยู่ด้วย!
ทั้งหมดนี้ควรจะเป็นของเขา กลิ่นอายนี้ควรจะเป็นของเขา ทั้งหมดควรจะเป็นของเขา ลิ่วเหวินหลาน!
หวังหลินซึ่งห่อหุ้มด้วยเส้นใยสีดำนับไม่ถ้วนกำลังกดฝ่ามือลงต้านกับฟันเฟืองจนเกิดรอยแตกและสลายเป็นชิ้นๆ
เส้นใยนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวจนกลายเป็นชุดเกราะสีดำปกคลุมทั้งร่างของหวังหลินตั้งแต่หัวจรดเท้า เว้นว่างไว้เพียงแต่ดวงตากับเรือนผมสีขาว!
ร่างเงากระทิงสวรรค์ตัวยักษ์ปรากฏขึ้นด้านหลังหวังหลิน กระทิงตัวนี้มีกลิ่นอายฝืนลิขิตสวรรค์ ดวงตายังคงหลับใหล
ระดับบ่มเพาะของหวังหลินเพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว เขากำลังใช้พลังอำนาจของเกราะวิญญาณ แม้จะเป็นเพียงชั่วคราวแต่กลับทำให้หวังหลินได้ประโยชน์มหาศาลเกินจินตนาการ
ระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นไปถึงขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับต้นโดยไม่สนว่าเขาขาดแก่นแท้ไปหนึ่งอย่าง!
ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งลมหายใจในขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับต้น ระดับบ่มเพาะของเขาได้เพิ่มไปถึงขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับกลาง!
จากนั้นถัดมาความเร็วได้เพิ่มขึ้นไปอีก กลิ่นอายบรรลุไปที่ขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับปลาย!
ระดับบ่มเพาะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในชั่วพริบตา ไม่เพียงแต่ลิ่วเหวินหลานที่ตกตะลึง แต่หยานหลวน ซิ่วตงเต๋อและเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นสามคนก็ยังอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปทั้งหมด
คงไม่ต้องพูดถึงเหล่าเซียนนับพันด้านล่าง ทั้งหมดจ้องมองหวังหลินอย่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก พวกเขาเป็นพยานรู้เห็นถึงความอัศจรรย์ของคนที่ได้สวมเกราะวิญญาณ!!
‘ข้าไม่ยอมให้เป็นแบบนี้!!’ ลิ่วเหวินหลานรู้สึกกลัว ดวงตาแดงฉานและร้องคำรามอย่างบ้าคลั่ง เขาพุ่งออกไปปรากฏเบื้องหน้าหวังหลิน แขนสร้างผนึกพลางระเบิดระดับบ่มเพาะเข้ากระหน่ำใส่หวังหลิน
แสงจากเหล่าวิชาทำเอาดวงตาพร่าเลือนและเกิดเสียงดังกึกก้อง ทว่าไม่มีวิชาใดส่งผลกระทบต่อหวังหลิน หวังหลินยังคงหลับตาและยอมให้ลิ่วเหวินหลานใช้วิชาหลายอย่างเข้ามาใส่
แค่ชุดเกราะก็มากพอให้หวังหลินไร้เทียมทาน แม้ลิ่วเหวินหลานจะระเบิดตัวเองก็ไม่สามารถทำร้ายหวังหลินได้เลย!
ยิ่งนานยิ่งยิ่งทำให้ลิ่วเหวินหลานเกิดความอิจฉา เขาร้องคำรามและกระหน่ำวิชาใส่อย่างต่อเนื่อง แต่ผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิม!
“มันเป็นของข้า! ไม่ใช่ของเจ้า!”
“หวังหลิน เกราะวิญญาณเป็นของข้า เจ้าขโมยเกราะวิญญาณข้าไป เจ้าจะต้องตายอย่างสาสม!!”
“ข้าจะสังหารเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้า!” ลิ่วเหวินหลานไม่ได้รู้เลยว่าเขาโดนปิศาจภายในเข้าครอบงำไปแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นแต่ทั้งหมดนั้นเพียงเพราะเขาคาดหวังสูงเกินไปและเห็นทั้งหมดหายไปต่อหน้าต่อตา
ทุกอย่างที่เตรียมการมาจนถึงตอนนี้กลับโดนคนอื่นเอาไป! เรื่องแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะยอมรับได้และพอเกิดขึ้นแล้วจึงยากจะปฏิเสธ
การปรากฏตัวของหวังหลินคือตัวการของเรื่องทั้งหมด ความบ้าคลั่งของเขาก็มาจากหวังหลิน! ทว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่คนอื่นมองเห็นจากภายนอก มีเพียงหวังหลินที่รู้ว่าในใจลิ่วเหวินหลานมีร่างสตรีชุดขาวกำลังร้องไห้
ตั้งแต่ที่หวังหลินลงมือ เขาจึงคำนวณผลลัพธ์ทั้งหมดอย่างดีที่สุด วิชามายาทับซ้อนถูกวางเอาไว้อย่างแยบยลโดยที่ลิ่วเหวินหลานไม่ทันสังเกต!
ขณะที่ลิ่วเหวินหลานโจมตีอย่างบ้าคลั่ง กลิ่นอายของหวังหลินเพิ่มขึ้นไปอีกครั้ง ตรงเข้าสู่ขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับสูงสุดและจากนั้นเข้าสู่ขั้นวิบากแก่นแท้!
การเปลี่ยนแปลงนี้เสมือนการโจมตีอันหนักหน่วงเข้าใส่จิตใจลิ่วเหวินหลานจนแทบทำให้เขากระอักโลหิต ดวงตาแดงก่ำและโจมตีอย่างบ้าคลั่ง
“ข้าอยู่ที่ทะเลโอสถและเจ้าก็อยู่ทะเลโอสถเช่นกัน! ทำไมข้าถึงหนีไปแต่เจ้ากลับอยู่เพื่อระเบิดทะเลโอสถจนได้รับความดีความชอบ?! หากเป็นข้า ข้าก็ทำได้เช่นกัน!!”
“ข้าอยู่ที่เส้นชีพจรแห่งที่สามและเจ้าก็อยู่ที่นี่ ระดับบ่มเพาะของข้าสูงส่งกว่าเจ้าและข้าอาวุโสกว่า เกราะวิญญาณนี้คือของข้า เจ้ามีสิทธิ์อะไรขโมยไป?!”
หวังหลินหลับตาและยังคงไม่ตื่น กลิ่นอายหลังจากเข้าสู่ขั้นวิบากแก่นแท้ได้เพิ่มพูนขึ้นอีกครั้ง
วิบากแก่นแท้ด่านแรก ด่านสอง ด่านสาม สี่…แปด เก้า!!!
กลิ่นอายของหวังหลินเปลี่ยนไปถึงเก้าครั้งและเพิ่มถึงเก้าครั้ง ตรงเข้าจากขั้นวิบากแก่นแท้ไปสู่ขั้นวิบากดับสูญ!!
วิบากดับสูญระดับต้น!!
จังหวะที่หวังหลินบรรลุถึงขั้นนี้ได้ เขาพลันลืมตาขึ้นมา ร่างเงากระทิงสวรรค์ด้านหลังลืมตาขึ้นมาเช่นกัน เผยความดุร้ายและดวงตาฝืนลิขิตสวรรค์!
กรรร!!
ร่างเงากระทิงสวรรค์เชิดศีรษะขึ้นมาส่งเสียงร้องคำรามแผ่กระจายผ่านวังใต้ดิน ผ่านไปบนพื้นดิน ทั่วทั้งทุ่งยอดนภาและทั่วแคว้น!
เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางจำนวนหกคนด้านบนพื้นดินได้ยินเสียงคำรามนี้ สีหน้าท่าทางแต่ละคนเปลี่ยนไปมหาศาล!
“เสียงคำรามของกระทิงสวรรค์!!”
“ต้องเป็นเสียงคำรามของกระทิงสวรรค์แน่นอน! มีเพียงกระทิงสวรรค์เท่านั้นถึงจะทำให้จิตใจข้าสั่นไหวได้!”
“ข้าเคยได้ยินเสียงคล้ายกันแบบนี้มาก่อน มันเป็นเสียงคำรามของมารเขียว นี่ต้องเป็นกระทิงสวรรค์!!” ทั้งหกคนรู้สึกถึงสิ่งแย่ๆ ในใจ
หากพวกเขาเป็นแบบนี้คงไม่ต้องพูดถึงเหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวเกือบสองพันคน ร่างกายแต่ละคนสั่นสะท้านและเกิดความหวาดกลัว เสียงคำรามนั้นแทบทำให้วิญญาณดั้งเดิมของแต่ละคนเกิดการแตกสลาย
ในวังใต้ดิน หวังหลินดวงตาแดงฉานซึ่งไม่ได้มาจากความบ้าคลั่งแต่มาจากเกราะวิญญาณ มาจากความแค้นฝืนชะตาสวรรค์ของกระทิงสวรรค์!
“เจ้าจะมาฆ่าข้า?” หวังหลินไม่เผยอารมณ์อันใดและจ้องมองลิ่วเหวินหลานที่หยุดโจมตีเข้ามา ทั้งยังหน้าซีดเผือดถอยออกไป
“เจ้าจะมาฆ่าข้า?” หวังหลินพึมพำราวกับความทรงจำกลับคืนมาแล้ว เขายกแขนขวาขึ้นมาโบกสะบัด
เพียงเท่านี้โลกจึงส่งเสียงดังสนั่น แขนของหวังหลินเปลี่ยนกลายเป็นกระทิงสวรรค์หนึ่งตัวพุ่งทะยานเข้าหาลิ่วเหวินหลานจนเกิดเสียดดังปัง ร่างของลิ่วเหวินหลานกระเด็นกลับไปเหมือนว่าวสายป่านขาด
หวังหลินพุ่งทะยานไปข้างหน้าพร้อมกับชุดเกราะสีดำที่เห็นเพียงแต่ดวงตาของเขา เพียงก้าวครั้งเดียวพลันปรากฏตัวเบื้องหน้าลิ่วเหวินหลาย เขาไม่ได้ใช้วิชาอันใดและเพียงแค่เตะใส่เท่านั้น!
วินาทีที่หวังหลินยกเท้าขวาขึ้นมา เขากระทิงสวรรค์ปรากฏขึ้นไปด้วย!
ลิ่วเหวินหลานส่งเสียงกรีดร้องพร้อมกับเสียงดังปังรุนแรง ร่างกายแตกสลายเป็นละอองโลหิต วิญญาณดั้งเดิมรีบหนีออกมา เขาไม่บ้าคลั่งอีกแล้ว ความคิดถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัว
ตอนนี้เขาไม่รู้สึกอิจฉาหรือบ้าคลั่งแล้ว ราวกับได้สติมาได้และถอยร่นออกมา
“ข้าเป็นผู้อาวุโสของสำนักมหาวิญญาณ เจ้าฆ่าข้าไม่ได้!!” หวังหลินดวงตาเย็นเยียบและไล่ตามทัน สะบัดแขนขวาออกไป วิญญาณดั้งเดิมของลิ่วเหวินหลานเกิดการระเบิด สูญเสียท่อนล่างไปครึ่งตัว
“ข้าเป็นศิษย์ของบรรพชนกระทิงสวรรค์ หากเจ้าฆ่าข้า อาจารย์จะไม่ปล่อยเจ้าแน่!!” ลิ่วเหวินหลานอ่อนแอลงหลังจากสูญเสียร่างไปครึ่งส่วน เขาถอยด้วยแววตาหวาดกลัวโดยไม่คิดชีวิต
แต่หวังหลินก้าวอีกครั้งและเข้าไปใกล้ได้อีก เขาสะบัดแขนทำให้ร่างของลิ่วเหวินหลานแตกสลายอีกครั้งจนเหลือเพียงศีรษะที่สามารถสูญสลายได้ทุกเมื่อ
“ตำแหน่งของข้าในสำนักมหาวิญญาณนั้นสูงส่งมาก เจ้า…” ศีรษะถอยไปพลางร่ำร้องออกมา ตอนนี้เขากลัวจริงๆ เขาไม่อยากตาย เขาเป็นเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง การฆ่าเขาเป็นเรื่องยากแต่ตอนนี้กลับรู้สึกถึงความตายแบบไม่เคยเป็นมาก่อน
“อย่าฆ่าข้า!” ขณะที่เอ่ยปากออกไป หวังหลินปรากฏตัวด้านข้างที่กำลังสวมชุดเกราะสีดำ หวังหลินมีท่าทีเย็นเยียบและไม่แยแส พลางส่งฝ่ามือลงไปกระแทก
“ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปหรอก!”
ฝ่ามือกระแทกใส่เสียงดังกึกก้อง ศีรษะที่เป็นวิญญาณดั้งเดิมของลิ่วเหวินหลานเกิดการระเบิดและเขาตายในทันที!
นี่คือหวังหลิน เขาไม่สนใจพื้นหลังหรือตัวตนของคนที่เขาสังหาร หากเขาไม่ฆ่าลิ่วเหวินหลานวันนี้ เมื่อผลของชุดเกราะหายไป ลิ่วเหวินหลานคงไม่ปล่อยเขาไปแน่
สถานการณ์อยู่ระหว่างหวังหลินจะตายหรือลิ่วเหวินหลานจะตาย ไม่มีจุดที่หวังหลินจะต้องห่วงเรื่องตัวตน แม้อีกฝ่ายจะเป็นลูกของจักพรรดิเทพ เขาก็ยังต้องสังหาร!
ตอนนี้หวังหลินสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจชัดเจน ทุกจังหวะเต็มไปด้วยพลังที่เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน แก่นแท้ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วเพราะเขาสัมผัสได้ว่าแก่นแท้ของเขาหายไปและกลายเป็นส่วนหนึ่งของสายโลหิต!
ร่างกายถือได้ว่าเป็นร่างที่สร้างขึ้นจากแก่นแท้ โลหิตเขาคือแก่นแท้วารี ดวงตาคือแก่นแท้สายฟ้า ทั่วทั้งตัวถูกสร้างขึ้นจากแก่นแท้!
ความรู้สึกนี้ออกมาจากชุดเกราะบนร่างกายเขา ยามนี้เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่เซียนอีกต่อไปแต่กลับเป็นกระทิงสวรรค์ที่บ่มเพาะในอวกาศอันกว้างใหญ่มานานหลายปี!
หวังหลินเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองด้านบนวังใต้ดิน แววตาผุดจิตสังหารรุนแรง
“จางต้าวจง ข้ามาแล้ว!” หวังหลินผสานกับร่างเงากระทิงสวรรค์ด้านหลังและมุ่งหน้าขึ้นสู่ด้านบน!
ตอนที่ 1876
ปรับเปลี่ยนครั้งที่สามของสีรุ้ง!
โดย
Ink Stone_Fantasy
บนพื้นดินของทุ่งยอดนภา จางต้าวจงและชายชราแซ่จ้าวได้มองไปยังพื้นดินด้วยความสงสัย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสัมผัสกลิ่นอายทรงพลังที่กำลังออกมาจากส่วนลึกได้
แม้จะสัมผัสกลิ่นอายได้เพียงเล็กน้อยแต่ก็มากพอจนลืมหายใจ ราวกับกระทิงสวรรค์ตัวยักษ์ตื่นขึ้นมาและกำลังร้องคำรามใส่ท้องฟ้า
ทั้งสองไม่ใช่กลุ่มเดียวที่สัมผัสเรื่องนี้ได้ ผู้ส่งสาส์นทั้งสี่คนของแคว้นมารเขียวต่างก็จ้องมองพื้นดินด้วยท่าทีเคร่งขรึม
ทั้งสี่คนเป็นกลุ่มเด็กน้อยที่บรรพชนทั้งสามของแคว้นมารเขียวคัดสรรมาเอง แต่ละคนล้วนมีพรสวรรค์สูงลิ่ว เมื่อบรรลุระดับบ่มเพาะถึงระดับหนึ่งได้จะถูกส่งไปในอารามแมงป่องมารเขียวเพื่อกลายเป็นทาสรับใช้ให้แก่แมงป่องมารเขียว
ตลอดหลายปีที่ผ่านมามีผู้ส่งสาส์นแบบพวกเขาหลายคน แต่หลังจากผ่านการคัดเลือกและล้มตายกันจำนวนมากจึงเหลือเพียงแค่เก้าคนที่ได้รับการยอมรับจากมารเขียว!
คนทั้งเก้าคนนี้ล้วนเป็นผู้ส่งสาส์นแห่งแคว้นมารเขียว พวกเขาคือผู้สืบทอดเจตจำนงของแมงป่องมารเขียวที่ถูกผนึกไว้อยู่ใต้แคว้น!
ด้วยเหตุนี้เองพวกเขาจึงรู้สึกได้ชัดเจนยิ่งกว่าจางต้าวจงและคนอื่นๆ พวกเขาสัมผัสกลิ่นอายจากใต้ดินว่ามาจากผู้ส่งสาส์นกระทิงสวรรค์ ซึ่งได้รับการยอมรับจากกระทิงสวรรค์
พื้นดินสั่นสะเทือนรุนแรงยิ่งขึ้นและดังสะเทือน ใบไม้ใบหญ้าแตกสลายเปลี่ยนกลายเป็นผงสีเขียวล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ปกคลุมพื้นที่รอบบริเวณราวกับสายหมอก
จางต้าวจงขนลุกและทะยานขึ้นไปในอากาศเป็นคนแรก ตามมาด้วยชายชราแซ่จ้าว
ผู้ส่งสาส์นมารเขียวทั้งสี่คนล้วนมีสีหน้าเคร่งเครียดแต่ไม่ได้ทะยานขึ้นไปในอากาศ พวกเขารีบกระจายตัวและนั่งลงในทิศทางที่แตกต่างกันสี่แห่ง สองฝ่ามือสร้างผนึกและปล่อยเสียงคำรามออกไป
ด้านหลังปรากฏควันสีเขียวขึ้นจำนวนมากจนกลายเป็นหมอก มันเริ่มปั่นป่วนและก่อตัวเป็นแมงป่องเขียวสี่ตัว!
แมงป่องทั้งสี่ตัวนี้มีลักษณะท่าทางดุร้ายยิ่ง หลังจากปรากฏตัวขึ้นมาจึงส่งเสียงขู่และพุ่งเข้าหาพื้นดิน
หลังจากนั้นทั้งสี่คนจึงกัดปลายลิ้นพ่นโลหิตออกไป สองมือกดทับกับพื้นดิน หลับตาลงพลางปลดปล่อยควันสีเขียวขนาดเท่าแขนให้พุ่งออกมาจากด้านหลัง ควันได้รวมกันในท้องฟ้าก่อเกิดเป็นกระจกสีเขียว!
แม้กระจกจะเป็นภาพมายาแต่มันได้เปล่งกลิ่นอายแห่งมารอันทรงพลัง พอจางต้าวจงและชายชราแซ่จ้าวเห็นกระจก ดวงตาจึงเต็มไปด้วยความเคารพ
ควันสีเขียวผ่านกระจกไปปรากฏแผ่นดินขึ้นมา บนแผ่นดินนี้ไม่ได้มีภูเขามากนักแต่มีหนองบึงมากมาย แม้แต่เมืองบางแห่งยังถูกสร้างขึ้นเหนือบึง ช่างแปลกประหลาดมาก
แผ่นดินแห่งนี้เล็กกว่าแคว้นกระทิงสวรรค์ประมาณ 7 ในสิบส่วน ทว่าการที่มีแต่หนองบึงและหมอกรอบแผ่นดินทำให้มันดูราวกับเป็นความฝัน
โลกข้างในกระจกคือแคว้นมารเขียว!
ขณะที่เหล่าผู้ส่งสาส์นทั้งสี่คนร้องคำราม กระจกจึงหดตัวลงอย่างช้าๆ ห่อหุ้มพื้นที่ระหว่างคนทั้งสี่คน ด้วยตำแหน่งนี้แล้วมันจึงปกคลุมได้ทั่วทั้งทุ่งยอดนภา
ลึกเข้าไปใต้ดิน หวังหลินผสานเข้ากับกระทิงสวรรค์และกำลังพุ่งออกมา ด้านหลังเขาคือวังใต้ดิน เขาไม่ได้ตั้งใจจะเป็นผู้กล้า เขาไม่ได้ทำเพื่อแคว้นกระทิงสวรรค์ แต่เพื่อเงื่อนไขทั้งสามของตัวเอง
แต่หวังหลินเข้าใจเหตุผลเป็นอย่างดี เกราะวิญญาณของเขามีระดับบ่มเพาะและโลหิตของเซียนนับพันที่อยู่ในวังใต้ดิน เขาไม่สามารถหนีไปเองได้ อย่างน้อยก็ต้องมั่นใจว่าแต่ละคนจะออกมาได้อย่างปลอดภัย
ตอนนี้เขากำลังจะออกไปจากพื้นดินเพื่อสังหารเซียนเฒ่าขั้นวิบากดับสูญระดับกลางทั้งสามคนและจบงานที่บรรพชนกระทิงเขียวมอบให้เขาให้เสร็จสิ้น!
เพียงหวังหลินพุ่งทะยาน ใบหน้าที่ปกคลุมไปด้วยเกราะสีดำได้เผยแววตาเย็นเยียบและเรือนผมสีขาวหิมะ เขารวดเร็วมากจนทะยานผ่านระยะหลายพันฟุตในชั่วพริบตา
แต่วินาทีนั้นหวังหลินกลับหรี่ตาแคบลง สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่าขยะแขยงแต่คุ้นเคยยิ่งปรากฏขึ้นมาและพุ่งหาเขา
เขาเห็นแมงป่องเขียวสี่ตัวกำลังพุ่งมาใส่
หวังหลินสัมผัสกลิ่นอายน่าสะอิดสะเอียนได้และเกิดความเกลียดชังขึ้นมาในใจต่อพวกแมงป่อง เขารู้ว่านี่ไม่ได้มาจากตัวเขาเองแต่มาจากวิญญาณของกระทิงสวรรค์!
เห็นได้ชัดว่าในอดีตนั้นก่อนที่กระทิงสวรรค์และแมงป่องจะโดนบรรพชนเทพผนึก ทั้งสองตัวต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี!
หรืออีกความหมายหนึ่ง พวกมันเคยเป็นศัตรูกันมาก่อน!!
หวังหลินดวงตาส่องสว่างและหยุดชะงักทันที ร่างเงากระทิงสวรรค์ควบแน่นในร่างกายและหายวับไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงหวังหลินคนเดียวที่อยู่ที่นี่
หวังหลินยกเท้าขึ้นมาโดยไม่ลังเล เขาไม่ได้พุ่งขึ้นด้านบนแต่ไปทางตะวันตกแทน เพียงจังหวะเดียวก็เคลื่อนไหวดุจประกายสายฟ้าและหายตัวไป เขาปรากฏตัวอีกครั้งมีควันสีเขียวอยู่ตรงหน้า แมงป่องเขียวดุร้ายกำลังพุ่งมาหาเขา
ก่อนที่แมงป่องจะเข้าใกล้ มันกวัดแกว่งหางฟาดเข้าใส่หวังหลินดุจแส้ หวังหลินเผยแววตาเย็นเยียบและไม่สนใจการโจมตีของมัน เขายกสองแขนขึ้นมาคว้าพื้นดินเบื้องหน้า
“ผ่าสวรรค์!!” ระดับบ่มเพาะขั้นวิบากดับสูญระดับต้นผสานกับพลังบัญชาโบราณ!
ขณะที่สองมือหวังหลินแยกพื้นดินออกมาและปรากฏรอยแยกขนาดยักษ์ขึ้นเบื้องหน้า มันได้ยืดออกไปเข้าหาแมงป่องที่กำลังเข้าใกล้!
รอยแยกยืดยาวออกไปเกินกว่าจะวัดได้และปะทะเข้ากับหางของแมงป่องจนเกิดเสียงดังสนั่น หางของมันสั่นเทาและแตกสลายทันที ขณะเดียวกันรอยแยกขนาดยักษ์ได้ผ่านร่างแมงป่องเขียวไปจนถึงพื้นดินด้านบน
ทุ่งยอดนภาสั่นเทา ด้านตะวันตกมีพื้นดินระเบิดออกมาทันทีจนกลายเป็นรอยแตกร้าวใหญ่กว่าแสนฟุต!
พื้นดินสั่นไหว ควันสีเขียวโผล่ขึ้นมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องก่อนจะเลือนหายไป
ผู้ส่งสาส์นมารเขียวหนึ่งในสี่คนถึงกับหน้าซีดและกระอักโลหิต
ผ่าสวรรค์ครั้งเดียวสังหารวิญญาณแมงป่องเขียวได้ทันที หวังหลินมองดูแมงป่องและหันกลับไปเห็นก้อนควันสีเขียวกำลังพุ่งมาหาเขา พวกมันเผยตัวเองออกมาเป็นแมงป่องแบบเดียวกันและพุ่งใส่หวังหลินอย่างดุร้าย
‘ชักสงสัยเสียแล้วว่าด้วยระดับบ่มเพาะเท่านี้ หากข้าใช้หอกสีรุ้งจะทำให้มีพลังของดวงอาทิตย์เหมือนตอนที่ราชันย์เทพสีรุ้งใช้ยามที่มีพลังเต็มที่หรือไม่?’ หวังหลินมองแมงป่องทั้งสามที่กำลังเข้ามา
เขาก้าวทะยานไปข้างหน้า เมื่อฝ่าเท้าก้าวลงไป พื้นดินสั่นสะเทือนราวกับไม่สามารถประคองเท้าของเขาได้ มือขวาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและใช้วิชาหอกสีรุ้ง!
แม้ความเร็วของเขาจะไม่ได้เพิ่มสูงมากนักก่อนที่จะได้สวมเกราะ แต่เขาก็รวดเร็วกว่าเซียนธรรมดาหลายเท่าแล้ว!
เพียงสบัดแขน แสงสีรุ้งส่องสว่างไปทั่วและปรากฏหอกสีรุ้งขึ้นในเวลาไม่นาน หอกเปล่งกลิ่นอายทำลายล้าง มันไม่มั่นคงราวกับสามารถแตกสลายได้ทุกเมื่อ
แสงสีรุ้งของหอกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและควบแน่นกลายเป็นสีดำสนิท!
ก่อนหน้านี้ในแสงสีรุ้งไม่มีสีดำ!
ทว่าตอนนี้หอกกลายเป็นสีดำและเต็มไปด้วยจิตสังหารทรงพลัง นี่คือหอกสีรุ้งของจริง เมื่อผู้ใช้บรรลุระดับบ่มเพาะถึงระดับหนึ่งแล้วจะสามารถทำให้หอกเปลี่ยนแปลงครั้งแรกได้!
หวังหลินยกแขนขึ้นมาคว้าหอก วินาทีที่เขาจับมัน มันถึงกับสั่นเทา แสงสีดำเปลี่ยนอีกครั้งกลายเป็นสีขาว!
นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองของหอกสีรุ้ง!
หวังหลินถือหอกและโยนมันออกไปด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารรุนแรง หอกทะยานเข้าหาแมงป่องหนึ่งในสามตัวนั้นด้วยเสียงกังสนั่นกึกก้อง!
ขณะที่หอกสีขาวพุ่งทะยานออกไป สีสันของมันเปลี่ยนอีกครั้งจากสีขาวเป็นสีเทา!
นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สามของหอกสีรุ้ง! เป็นการเปลี่ยนแปลงที่แข็งแกร่งที่สุดที่ราชันย์เทพสีรุ้งสามารถใช้ออกมาได้!
หอกสีเทาพุ่งเข้าใกล้แมงป่อง เจ้าแมงป่องส่งเสียงขู่และพ่นควันสีเขียวจำนวนมากออกมาปะทะกับหอกไปด้วย
พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องและเกิดการระเบิดพุ่งออกมาจากใต้ดิน จนทุ่งยอดนภาเกิดการพังทลายครั้งใหญ่ พื้นดินและใบไม้ใบหญ้าจำนวนมากทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
“น่าเสียดายนัก เกราะวิญญาณเพิ่มแต่เพียงระดับบ่มเพาะของข้าเท่านั้น มันไม่ได้เพิ่มระดับบ่มเพาะขึ้นอยู่กับร่างกายข้าแต่ขึ้นอยู่กับกลิ่นอายของกระทิงสวรรค์ หากอยู่ระดับบ่มเพาะขั้นวิบากดับสูญระดับต้น ข้าคงทำให้เก้าแก่นแท้สมบูรณ์ไปแล้ว หากข้ามีร่างแก่นแท้เก้าร่าง จนเกิดเป็นหอกเก้าเล่ม ข้าคงมั่นใจว่าจะสามารถทำลายแมงป่องทั้งสามตัวในครั้งเดียว!” หวังหลินลอบส่ายศีรษะ เกราะวิญญาณนี้คือสิ่งของนอกกาย แม้จะทรงพลังแต่ก็ไม่ใช่ของเขา
‘ยังเหลือแมงป่องอีกสองตัว ข้าสามารถทดสอบวิชาอื่นของข้าได้เพื่อดูว่ายังต้องฝึกฝนมันให้เชี่ยวชาญต่อไปอีกหรือไม่!’
ตอนที่ 1877
การเปลี่ยนแปลงของแยกราตรี!
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังหลินคิดขึ้นในใจและหันกลับไปทันที แมงป่องเขียวสองตัวเบื้องหน้าเขาดูมืดมนแฝงความหวาดกลัว พวกมันไม่พุ่งเข้าหาเขาอีกต่อไปแต่กลับล่าถอยไปบนพื้นดินอย่างรวดเร็ว
ความแข็งแกร่งของหวังหลินเหนือกว่าที่ผู้ส่งสาส์นมารเขียวคาดการณ์เอาไว้ พวกเขาไม่คิดว่าหวังหลินจะแข็งแกร่งได้ขนาดนี้หลังจากได้รับการยอมรับจากกระทิงสวรรค์ นี่มันมีพลังอำนาจมากพอจะกำจัดเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางได้ในทันทีและใกล้เคียงระดับปลายมากแล้ว!
‘สมควรแล้วที่เป็นแผ่นดินเซียนดารา…หากข้าอยู่ในโลกถ้ำ ไม่ว่าจะเป็นเซียนเต๋าสีรุ้งหรือผีเฒ่าจางก็ไม่สามารถเทียบกับข้าได้…’ หวังหลินรู้สึกเห็นด้วย
‘แผ่นดินเซียนดาราต้องมีหนทางปลุกหวานเอ๋อร์แน่นอน!’ หวังหลินเผยสายตามุ่งมั่นพลางมองไปยังแมงป่องสองตัว เขาเผยรอยยิ้มเยือกเย็นและไล่ตามพวกมันไป
แมงป่องสองตัวเคลื่อนไหวรวดเร็วแต่หวังหลินเร็วกว่า เพียงจังหวะเดียวพื้นดินก็สั่นสะเทือนและเขาประชิดได้ในทันที มือขวายกขึ้นเผยแววตาเป็นแสงประหลาด
“ประทับวิญญาณสงคราม!” หวังหลินชี้ออกไปข้างหน้าพร้อมกับเอ่ยเสียงดังกึกก้อง
เพียงเท่านี้ท้องฟ้าเหนือทุ่งยอดนภาจึงพลันเปลี่ยนไป ก้อนเมฆทั้งหมดแตกกระเจิง แม้แต่แสงสว่างยังแตกสลาย ประทับฝ่ามือใหญ่ยักษ์จนปกคลุมได้ทั้งทุ่งยอดนภากำลังปรากฏตัวขึ้นมา
ฝ่ามือตกลงใส่พื้นดินอย่างรวดเร็ว มันปิดบังดวงอาทิตย์และท้องฟ้าไว้จนหมด ราวกับมียักษ์เปิดฝ่ามือออกมาและประทับลงใส่พื้นดิน
หลังจากมันลงมาได้ครึ่งทาง แผ่นหลังฝ่ามือยังไม่อาจมองเห็น ฝ่ามือนี้ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง!
แต่น่าประหลาดยิ่งที่ฝ่ามือดูธรรมดานี้ ตรงลายนิ้วมือเริ่มจะผลัดเปลี่ยนผิวคล้ายกับมันเคยมีผนึกห่อหุ้มเอาไว้ ตอนนี้ถึงจุดที่ผนึกกำลังคลายตัวออก
หลังจากผนึกแตกสลาย ประทับฝ่ามือที่ปรากฏในท้องฟ้ายังคงมีขนาดเท่าเดิมแต่รูปร่างของมันแตกต่างยิ่ง!
ประทับฝ่ามือนี้ไม่ได้มีห้านิ้ว แต่มีหกนิ้ว!! นิ้วที่หกเป็นสีแดงและมีเล็บยาวจนน่าตกใจ มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากอีกห้านิ้ว เพราะห้านิ้วที่เหลือกับฝ่ามือเป็นสีดำ กลายเป็นว่านิ้วสีแดงสว่างตัดกับส่วนอื่นอย่างเห็นได้ชัด!
ประทับฝ่ามือดูเหมือนผสานกับเต๋าและมารเอาไว้ นิ้วที่หกราวกับนิ้วของมาร!
ณ ทุ่งยอดนภา เซียนจากแคว้นมารเขียวที่เหลือกว่าพันคนถึงกับเกิดความหวาดกลัว ขณะที่พวกเขาจ้องมองท้องฟ้า ร่างแต่ละคนสั่นเทา จิตใจเกิดความสิ้นหวัง
ในนี้มีเซียนสตรีขั้นวิบากดับสูญระดับต้นอยู่สองคน ทั้งสองจิตใจสั่นสะท้านตอนที่ได้เห็นประทับฝ่ามือและนำสมบัติและวิชาป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองออกมาโดยไม่ลังเล
ตอนนี้ทั้งสองไม่มีเวลาให้ความสนใจคนอื่น ความคิดเดียวตอนนี้คือช่วยเหลือตัวเองจากประทับฝ่ามือน่ากลัวนี้
จางต้าวจงตกตะลึง จ้องมองประทับฝ่ามือยักษ์ด้วยสายตาไม่เชื่อ!
‘ยอดฝ่ามือเต๋ามาร!! นี่มันยอดฝ่ามือเต๋ามาร!! ทั้งยังเป็นยอดฝ่ามือเต๋ามารหกนิ้ว!!! วิชาที่ทรงพลังที่สุดของสำนักเต๋ามาร วิชาลับที่ไม่ถ่ายทอดให้กับคนอื่น!!’
‘มีเพียงจ้าวสำนักในแต่ละรุ่นเท่านั้นที่สามารถเรียนรู้วิชานี้ได้ คนอื่นไม่มีสิทธิ์เรียนรู้ ยิ่งเป็นคนนอกสำนักด้วยแล้ว! หวังหลินคนนี้…เขา…เขารู้วิชานี้ได้อย่างไร!?’
ชายชราแซ่จ้าวเองก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน เขาสะบัดแขนโดยไม่ลังเล ร่างกายถูกห่อหุ้มจนพร่ามัว ฝ่ามือสร้างผนึกรวดเร็วเพื่อร่ายวิชาป้องกัน
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นชั่วพริบตา หลังจากฝ่ามือเปลี่ยนรูปร่างมันได้ตกลงใส่ทุ่งยอดนภาในทันที เหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวกว่าพันคนไม่สามารถต่อต้านได้และตายกันไปก่อน!
วิญญาณดั้งเดิมถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง!
ฝ่ามือเดียวสังหารคนนับพัน พลังอันน่ากลัวเช่นนี้แม้แต่หวังหลินยังตกตะลึง
นี่ยังไม่จบ เซียนสตรีขั้นวิบากดับสูญระดับต้นทั้งสองคนใช้วิชาและสมบัติของตัวเองไปก่อนที่ฝ่ามือจะตกลงมา ทั้งสองนางต่างกระอักโลหิตและดูอ่อนแอ แม้จะไม่ตายแต่ก็บาดเจ็บสาหัส อวัยวะแต่ละส่วนระเบิดออกจนหายใจรวยริน! ทว่านี่ยังไม่จบ ร่างกายระเบิดออกจนเหลือแต่เพียงวิญญาณดั้งเดิม!
จางต้าวจงและชายชราแซ่จ้าวกระอักโลหิตเช่นกัน ตรงหน้าเขากำลังเจอฝ่ามือ ด้านล่างนั้นผู้ส่งสาส์นมารเขียวตัวสั่นสะท้านและโลหิตไหลออกจากมุมปาก ทว่าเพราะมีกระจกเขียวอยู่ด้านบน อาการบาดเจ็บจึงไม่หนักหนาสาหัส!
อย่างไรก็ตามแมงป่องเขียวสองตัวใต้ดินด้านล่างกลับไม่สามารถทนไหว เมื่อฝ่ามือกระทบบนพื้นดิน จึงมีแรงสั่นสะเทือนทรงพลังส่งผ่านออกไป แมงป่องทั้งสองตัวส่งเสียงคำรามและระเบิดอยู่เบื้องหน้าหวังหลิน
‘นี่สิคือประทับวิญญาณสงครามของจริง!’ หวังหลินดวงตาเปล่งประกายและพุ่งทะยานไปบนพื้นดินจนทำให้ทุ่งยอดนภาสั่นไหว
พอเห็นว่าหวังหลินกำลังจะออกมา สี่ผู้ส่งสาส์นมารเขียวถึงกับมีใบหน้าหวาดกลัว
“เราไม่สามารถปล่อยให้เขาออกมาได้!” ทั้งสี่คนแทบพูดออกมาในจังหวะเดียวกัน ในฐานะผู้ส่งสาส์นมารเขียว จิตใจแต่ละคนเชื่อมประสานกัน เพราะทั้งหมดหวาดกลัวจึงวางฝ่ามือบนพื้นดิน ใช้หน้าผากแตะลงไปด้วย
ลักษณะท่าทางคล้ายกำลังก้มกราบ!
ทว่าการทำเช่นนี้ได้ทำให้กระจกเขียวส่งเสียงร้องแหลมออกมาและร่อนลงบนพื้นดิน กระจกขยายยืดยาวออกไปไร้ที่สิ้นสุดและห่อหุ้มทั่วทั้งทุ่งยอดนภา
“เราขออัญเชิญวิญญาณแมงป่องมารเขียวออกมา!!”
ทั้งสี่คนพูดขึ้นมาพร้อมกัน น้ำเสียงผสานกันดังกึกก้องบนพื้นดิน ทุ่งยอดนภาเปลี่ยนแปลงไปและพื้นที่ราบหายไปทันที พื้นดินเปลี่ยนกลายเป็นหนองบึงไร้ขอบเขต กระทั่งภูเขาทั้งหมดโดยรอบยังหายไป
ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่กลายเป็นโลกของแคว้นมารเขียว!
ไม่ว่ามันจะเป็นภาพมายาหรือของจริง กล่าวได้ว่าทุ่งยอดนภาได้หายไปจากแคว้นมารเขียว แม้ไม่ได้หายไปจริงๆ แต่มันถูกภาพของทั้งแคว้นมารเขียวทับซ้อนเอาไว้!
ภาพทับซ้อนนี้กลายเป็นการข่มและกดดัน!
ด้านจางต้าวจง ชายชราแซ่จ้าวและวิญญาณดั้งเดิมของเซียนสตรีสาวสองคน พวกเขาแทบเอาชีวิตไม่รอดจากประทับวิญญาณสงครามและตอนนี้กำลังทะยานลงมาอย่างหมดท่า ทั้งสี่ใช้ระดับบ่มเพาะของตัวเองเข้าช่วยผู้ส่งสาส์นมารเขียวด้วย!
พวกเขาเข้าใจดีว่าหากไม่สามารถข่มหวังหลินที่ได้รับการยอมรับจากกระทิงสวรรค์ได้ พวกเขาจะต้องเจอกับชะตากรรมอันน่าขนลุก!!
“ผู้ส่งสาส์นกระทิงสวรรค์แตกต่างจากเรา พวกมันสามารถได้รับพลังสูงสุดได้แต่เพียงแค่ชั่วคราว แม้ข้าจะไม่รู้ว่านานแค่ไหนแต่ก็คงไม่นานเกินไป ตราบใดที่เราสามารถข่มเขาเอาไว้ได้ พอเวลาสิ้นสุดลง เราจะสามารถสังหารเขาได้แน่นอน!” หนึ่งในผู้ส่งสาส์นมารเขียวร้องคำรามขึ้น
กลุ่มของจางต้าวจงคล้ายกับเต็มไปด้วยพลังอันไร้ขีดจำกัดและต่างก็คาดหวัง
พื้นดินสั่นเทาและส่งเสียงดังกึกก้อง ทุกเสียงสะท้อนทำให้ใบหน้าทุกคนซีดเผือดขึ้นเรื่อยๆ
หวังหลินกระหน่ำโจมตีจากด้านล่างอย่างต่อเนื่อง เขากำลังทำลายการป้องกันและพุ่งออกไป!
“ร่มบรรพกาลเผาดินแดน!” หวังหลินใช้ฝ่ามือสร้างผนึกเขตอาคมขึ้นมานับไม่ถ้วน ร่มเพลิงขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นในท้องฟ้าเหนือภาพฉายแคว้นมารเขียว!
ร่มเปิดออกในชั่วจังหวะนั้นและมีเปลวเพลิงมหึมาพวยพุ่งลงมาเผาภาพทับซ้อนและโลกด้านล่าง วินาทีนั้นวิญญาณดั้งเดิมของเซียนสตรีขั้นวิบากดับสูญทั้งสองคนถึงกับร่ำร้องแต่พวกนางก็กัดฟันแน่นและสังเวยสมบัติช่วยชีวิตของตัวเอง เสริมพลังเข้าไปเพื่อต่อต้านเปลวเพลิง!
ร่มบรรพกาลเผาดินแดนไม่ได้เปลี่ยนรูปร่างเหมือนหอกสีรุ้งและประทับวิญญาณสงคราม มันยังคงเหมือนเดิมเพียงแต่แข็งแกร่งขึ้น แต่ยังคงด้อยกว่าอีกสองวิชาที่ใช้ออกมาก่อนหน้านี้
‘วิชานี้ดูเหมือนทรงพลังมาก แต่ความจริงนั้นแม้แต่เหลียนต้าวเฟยยังเข้าใจเพียงแค่ผิวเผน แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถแสดงพลังที่แท้จริงของมันออกมาได้…หรือเป็นไปได้ว่าวิชานี้ไม่ได้ทรงพลังเหมือนที่ข้าคิดและนี่คือขีดจำกัดแล้ว’ หวังหลินคิดกับตัวเอง
‘เช่นนั้นข้าอยากลองวิชาถัดไปของข้า!’ หวังหลินมองขึ้นไปด้วยแววตาเป็นแสงประหลาด เขายกแขนขวาขึ้นมาโบกสะบัด
พื้นดินเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนเป็นพร่ามัวและถูกแทนที่ด้วยทะเลคลั่ง ภาพนี้ปรากฏขึ้นในสายตาของผู้ส่งสาส์นมารเขียวด้วยเช่นกัน ท้องทะเลแผ่กระจายอย่างบ้าคลั่ง ร่มในท้องฟ้าพลันหายไปและถูกแทนที่ด้วยความมืดมิด
ความมืดมิดปลดปล่อยความเย็นเยียบไม่มีที่สิ้นสุด สายลมเย็นพัดผ่านมาใส่กลุ่มของจางต้าวจง
ทางด้านตะวันออกมีแสงสีทองเหลืองอร่าม ดวงอาทิตย์ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้นมา ทั้งยังมีพลังของกฎแห่งต้นกำเนิดอันทรงพลังยิ่ง!
พลังนี้สามารถฉีกกระชากความมืดมิดได้ทั้งหมดและทำให้กลางคืนแตกสลาย! ตอนที่หวังหลินสร้างวิชานี้ขึ้นมา เขาไม่ได้เข้าใจมันอย่างถ่องแท้และเกิดขึ้นโดยบังเอิญ จนกระทั่งตอนนี้เขาจึงได้เห็นฉากอัศจรรย์ข้างในดวงอาทิตย์
ฉากนี้ทำให้เขาถึงกับตกตะลึง!
ตอนที่ 1878
วิชาแห่งศรัทธา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ดวงอาทิตย์ในความมืดได้เปล่งพลังอำนาจแห่งกฎต้นกำเนิด พลังในการกระชากกลางคืนนั้นมีกลิ่นอายลึกลับจนอธิบายไม่ได้ กลิ่นอายนี้เป็นของหวังหลินเพราะเขาเป็นผู้สร้างวิชาขึ้นมาเอง
แต่ถึงแม้จะเป็นของหวังหลิน เขาก็ไม่อาจเข้าใจว่ามันเป็นกลิ่นอายอะไร! เขาเพียงรู้สึกว่ากลิ่นอายนี้คือรากฐานของวิชาแยกราตรีและเป็นรากฐานของกฎแห่งต้นกำเนิดด้วย มันถูกสร้างขึ้นมาจากความเชื่อของหวังหลิน!
ความเชื่อนี้เป็นความเชื่อในการกระชากกลางคืนอันมิดมิดและทะลวงออกไปจากความธรรมดา มันยังเป็นเจตจำนงฝืนลิขิตสวรรค์ด้วยเช่นกัน!
ราวกับกลางคืนอันมืดมิดได้พันธนาการร่างกายเอาไว้ ราวกับมันเป็นกฎเกณฑ์ที่ทำให้มนุษย์เทียบได้กับมดแมลง ราวกับเป็นภูเขานับไม่ถ้วนที่ตกลงใส่หวังหลิน
จากนั้นพลังแห่งการกระชากกลางคืนอันมืดมิดนั้นคือเจตจำนงฝืนชะตาสวรรค์ที่แท้จริงของเขา!
หลายคนไม่สามารถสร้างวิชาแบบนี้ขึ้นมาได้เว้นแต่จะมีเจตจำนงฝืนลิขิตสวรรค์ หากไม่มีมันการสร้างวิชาแบบนี้ขึ้นมาถือเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้!
เริ่มแรกหวังหลินไม่ได้เข้าใจ แต่หลังจากเห็นกลิ่นอายภายในดวงอาทิตย์ เขาจึงเข้าใจได้เลือนลางว่าทำไมถึงสามารถสร้างวิชาแยกราตรีขึ้นมาได้!
เพราะเขาไม่ยอมละทิ้งลี่มู่หวาน เขาเลือกที่จะฉีกกระชากกลางคืนอันมืดมิดเพื่อลี่มู่หวาน เขาไม่ยอมให้กลางคืนส่งผลต่อสายตาของเขา!
นี่คือวิชาแยกราตรี!
เป็นวิชาที่หวังหลินสร้างขึ้นเพื่อลี่มู่หวาน! แม้วิชานี้จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับลี่มู่หวาน จิตใจของหวังหลิน เจตจำนง ความมุ่งมั่น ความหมั่นเพียรพยายามทั้งหมดได้แสดงให้เห็นชัดเจนตอนที่เขาสร้างวิชาแรกนี้ขึ้นมา
เขาคิดถึงหวานเอ๋อร์ในช่วงเวลาที่อยู่ในดวงอาทิตย์
ต่อสู้กับผู้คน ต่อสู้กับเหล่าอสูร ต่อสู้กับพื้นดิน ต่อสู้กับสวรรค์ ต่อสู้กับอวกาศ ต่อสู้กับทุกอย่าง ต่อสู้กับแผ่นดินเซียนดารา ทั้งหมดนี้คือความมืดมิดและทุกสิ่งทุกอย่างที่หวังหลินทำลงไปมีเป้าหมายเดียว!
เพื่อเปิดม่านแห่งความมืดมิดที่ปิดบังสายตาเขาและค้นหาแสงหลังม่านแห่งความมืดมิดนั้น!
นี่คือความหมายของวิชาแยกราตรี!
ก่อนหน้านี้หวังหลินไม่เข้าใจและสับสนตัวเอง ทว่าตอนนี้ด้วยการใช้เกราะวิญญาณและระดับบ่มเพาะที่เพิ่มขึ้นเข้าช่วยเหลือ เขาจึงเข้าใจมันเพิ่มอีกเล็กน้อยจากการใช้วิชาแยกราตรี
มันเป็นวิชาแรกที่เขาสร้างขึ้นมาและเป็นวิชาเดียวที่มีศรัทธาของตัวเขาอยู่ด้วย เป็นจิตวิญญาณที่ไม่ย่อท้อจนกลายเป็นวิชาสำหรับข่มวิชาเต๋า!
วิชานี้ได้ผสานเข้ากับร่างเขา ชีวิตเขา ศรัทธาเขาอย่างสมบูรณ์ หวังหลินไม่รู้ว่าวิชาแบบนี้เรียกว่าอะไรแต่กลุ่มของจางต้าวจงรู้จักดี
วินาทีที่ทะเลผุดขึ้นมาและมีดวงอาทิตย์ปรากฏ สายตาทุกคนจับจ้องไปยังแสงเดียวในความมืดมิด
ดวงอาทิตย์เปล่งกลิ่นอายลี้ลับจนจางต้าวจงมีท่าทีเปลี่ยนไปมหาศาล ร่างกายสั่นเทา ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ การปรากฏตัวของดวงอาทิตย์พร้อมกับกลิ่นอายลี้ลับได้ทำให้จิตใจเขาสั่นไหวราวกับสายฟ้านับล้านระเบิดอยู่ภายใน!
“นี่มัน…กลิ่นอายนี่มัน…” จางต้าวจงหน้าซีดจนขาวและหวาดกลัวสุดขีด
ด้านชายชราแซ่จ้าว เขาจ้องมองดวงอาทิตย์และสัมผัสกลิ่นอายเบาบางแต่เหนียวแน่นข้างในได้ จนเขาลืมหายใจ หากมีคนบอกเขาว่าเซียนทั้งหมดบนแคว้นกระทิงสวรรค์กำลังจะตายในชั่วข้ามคืน เขาก็คงไม่ตกตะลึงและหวาดกลัวเช่นตอนนี้
“มันไม่น่า…เป็นไปไม่ได้…เว้นแต่เขาจะกลับมาเกิดใหม่…”
เซียนสตรีขั้นวิบากดับสูญระดับต้นทั้งสองคนสัมผัสถึงกลิ่นอายน่าขนลุกได้แต่ไม่ได้เสียสติเพราะไม่เข้าใจว่ากลิ่นอายนั้นคืออะไร
พวกเขาไม่เข้าใจแต่ทางด้านผู้ส่งสาส์นมารเขียวทั้งสี่คนที่เห็นดวงอาทิตย์ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดน่ากลัว ทั้งในใจยังหวาดกลัวยิ่ง
“นี่มันคือวิชาแห่งศรัทธา…เหนือล้ำกว่าเหล่าวิชาเซียนและวิชาเต๋า วิชาแห่งศรัทธานั้นมีเพียงเหล่ามหาชั้นฟ้าที่สามารถใช้ได้!!”
“นี่มันคือวิชาแห่งศรัทธาแน่นอน!! เมื่อดวงอาทิตย์มีศรัทธามากพอ มันจะเปลี่ยนกลายเป็นวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดจนเรียนรู้ได้ยากยิ่งกว่าวิชาเต๋า!”
“มีเพียงเหล่ามหาชั้นฟ้าทั้งเก้าที่สามารถใช้วิชาแห่งศรัทธาได้ ลือกันว่าวิชาแห่งศรัทธาไม่สามารถสืบทอดได้ ทุกวิชานั้นถูกสร้างขึ้นโดยเหล่ามหาชั้นฟ้าเอง!!”
“เขาเป็นใครกัน!? เขาใช้วิชาแห่งศรัทธาได้อย่างไร? แม้วิชาไม่ได้ทรงพลังแต่มันมีอยู่จริง!!”
วิชาแห่งศรัทธานั้นเหนือกว่าวิชาเต๋าและมีพลังจนไม่สามารถอธิบายออกมาได้ วิชาพวกนี้จำเป็นต้องมีศรัทธา มันไม่ได้ใช้เจตจำนงเหมือนแก่นแท้เพลิง แต่มาจากประสบการณ์และความอุตสาหะของผู้ใช้ เรียกได้ว่ามันเป็นขั้นสุดท้ายของวิชาเขตแดน
เจตจำนงและศรัทธานั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงราวกับฟ้าดิน คนผู้นั้นจะต้องมีเจตจำนงแข็งแกร่งมากพอจนกลายเป็นศรัทธาได้!! ศรัทธาอันเด็ดเดี่ยวจนไม่มีวันหวนกลับมา!
ศรัทธานี้ไม่ใช่เพลิงนรกานต์แต่เป็นความเชื่อในตัวเอง ความเชื่อที่แข็งแกร่งจนทำสิ่งใดได้สำเร็จและก้าวหน้าต่อไป
เขตแดน แก่นแท้ ศรัทธา!
เมื่อเขตแดนมาถึงจุดสูงสุดของมันจะปรากฏเป็นแก่นแท้ เมื่อแก่นแท้บรรลุจุดสูงสุดจะกลายเป็นร่างแก่นแท้ หากร่างแก่นแท้มีเจตจำนง เช่นนั้นมันจะเปลี่ยนกลายเป็นวิญญาณที่แท้จริง!
ที่เรียกว่าวิญญาณที่แท้จริงเป็นเพราะถึงแม้จะมีเจตจำนงแต่การเปลี่ยนแปลงอีกครั้งนับว่ายากยิ่ง เมื่อมันมาถึงจุดสมบูรณ์แล้วจะให้กำเนิดเป็นศรัทธา!
วิชาเซียน วิชาเต๋า วิชาศรัทธา!
สามรูปแบบวิชาที่แตกต่างกันนั้นสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงเขตแดนทั้งสองครั้ง เหล่าวิชาเซียนเกี่ยวข้องกับเขตแดน วิชาเต๋าเกี่ยวข้องกับแก่นแท้ วิชาแห่งศรัทธาเกี่ยวข้องกับศรัทธา!
ทว่าในระดับสุดท้ายนี้เป็นสิ่งที่มีเพียงเก้ามหาชั้นฟ้าเท่านั้นที่ไปถึง! คนอื่นทำได้แค่เพียงมองดูจากด้านล่าง!
วิชาแยกราตรีเป็นวิชาที่หวังหลินสร้างขึ้น มันมีชีวิตเขาในการกระชากความมืดมิดให้ขาดออกจากกัน!
เหตุผลที่เหล่ามหาชั้นฟ้าสามารถเปลี่ยนแปลงวิชาให้เป็นรูปธรรมได้เป็นเพราะศรัทธาอันทรงพลังของแต่ละคนสามารถสร้างบางอย่างขึ้นมาจากความว่างเปล่าได้!
การสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมาจากความว่างเปล่าเป็นรากฐานวิชาทั้งหมดของเหล่ามหาชั้นฟ้า!
หวังหลินหลับตาอยู่ใต้ดิน แต่เขาสามารถมองเห็นทุกอย่างด้านนอกได้ ตอนนี้ราวกับเขาได้ไปเกิดใหม่อยู่ในดวงอาทิตย์ เขามองไปที่ทะเลด้านล่างและเห็นสายตาหวาดกลัวของทุกคน
“ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของค่ำคืนนี้…”
“ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งใดก็ตามที่พยายามหยุดข้า…”
“ข้าเชื่อว่าเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้า พวกเจ้าจะหายไปพร้อมกับกลางคืน…”
“ข้าเชื่อว่าหลังผ่านค่ำคืนมืดนี้ไป จะมีแสงที่ข้าค้นหามาหลายพันปี…”
“ข้าเชื่อว่าแสงนั้นมีตัวตนอยู่แน่นอน…ข้าเชื่อ!”
“เรือนผมข้าไม่ได้เป็นสีดำอีกแล้ว กลางคืนทำให้ผมข้าเป็นสีดำ แต่ข้าเป็นตัวแทนแห่งแสงสว่าง…”
“ดวงตาของข้าไม่ได้เป็นสีดำอีกแล้ว มันมีเปลวเพลิงและสายฟ้า พร้อมกับเขตอาคมคล้ายกฎ…กลางคืนทำให้ดวงตาข้ากลายเป็นสีดำ แต่เปลวเพลิงจะเผาไหม้ค่ำคืน สายฟ้าจะส่องสว่างขึ้น เขตอาคมจะทำลายกฎ ข้าจะใช้ดวงตาของข้าเพื่อมองเห็นแสงสว่าง!”
น้ำเสียงดังกึกก้องของหวังหลินกระจายไปทั่วทะเลที่สร้างขึ้นจากวิชาแยกราตรี คำพูดเหล่านี้ตกกระทบหูของเหล่าผู้ส่งสาส์นมารเขียว จางต้าวจง ชายชราแซ่จ้าวและเซียนสตรีขั้นวิบากดับสูญอีกสองคน คำพูดเขาเสมือนคัมภีร์เต๋าอันเก่าแก่ แต่ตอนนี้มันกลับมีศรัทธาของหวังหลินอยู่ด้วย!
หวังหลินลืมตาขึ้นมา ดวงอาทิตย์สุดขอบทะเลจึงปลดปล่อยแสงพร่าเลือน แสงนี้แผ่กระจายออกไปไร้ที่สิ้นสุดและมีศรัทธาอันแรงกล้าของหวังหลิน มันขับไล่ความมืดและค้นหาแสงแห่งศรัทธา!
ศรัทธาแห่งการฝืนชะตาสวรรค์ ฉีกกระชากค่ำคืนอันมืดมิดเพื่อชุบชีวิตลี่มู่หวาน ราวกับชีวิตเขาเป็นวิญญาณที่ไม่ย่อท้อ!
นี่คือวิชาแห่งศรัทธา!!
ความมืดในท้องฟ้าหายไปอย่างไร้ร่องรอย ท้องทะเลได้หายไปด้วยเช่นกัน วิญญาณดั้งเดิมของเซียนสตรีขั้นวิบากดับสูญระดับต้นทั้งสองคนได้หายไป ไม่มีเสียงร้องคร่ำครวญ ราวกับโดนศรัทธาของหวังหลินเข้าแทรกซึมและได้รับการปลดปล่อย ทั้งสองนางยิ้มออกมาพร้อมกับวิญญาณโดนทำลาย!
ชายชราแซ่จ้าวตัวสั่นเทา ร่างกายฉีกขาดไปพร้อมกับความมืด วิญญาณดั้งเดิมสั่นสะท้าน ปล่อยเสียงร้องคำรามไปพร้อมกับดิ้นรนกับความมืด
เขาไม่ยอมตายแบบนี้ในฐานะเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง แม้เขาจะมีร่างอวตารที่แยกออกมาอยู่ในแคว้นมารเขียว ซึ่งป้องกันไม่ให้เขาตายจริงๆ จากการสังหารร่างดั้งเดิม แต่เขาก็ยังไม่ยินยอม!
แต่ภายใต้วิชาแห่งศรัทธา เขาดิ้นรนเพียงไม่นานก่อนจะยิ้มออกมา หลับตาและสูญสลายไป
ด้านจางต้าวจงที่มีระดับบ่มเพาะสูงกว่าชายชราแซ่จ้าวเพียงเล็กน้อย ร่างกายแตกสลาย วิญญาณดั้งเดิมล่าถอยไปพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้อง เขาพ่นหินหยกออกมาเปล่งแสงเบาบาง มันปกป้องเขาได้ชั่วขณะก่อนจะแตกสลาย
จางต้าวจงเต็มไปด้วยแววตาสิ้นหวัง เขาไม่เคยสร้างร่างอวตารแต่กลั้นหายใจเอาไว้ วิญญาณดั้งเดิมเริ่มแตกสลายภายใต้วิชาแห่งศรัทธาของหวังหลิน ทว่ามันกลับไม่โดนทำลาย เขาควบแน่นกลายเป็นก้อนแสงและทะยานออกไป ค่อยๆ สูญเสียสติและเกือบหลบหนีไปไม่ได้
เสียงกระจกแตกร้าวดังกึกก้อง กระจกมารเขียวของเหล่าผู้ส่งสาส์นทั้งสี่คนได้แตกสลาย ภาพทับซ้อนของแคว้นมารเขียวเลือนหายไป!
พื้นดินสั่นเทา ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติและมันยังคงเป็นทุ่งยอดนภา ผู้ส่งสาส์นทั้งสี่คนพลันกระอักโลหิตและรีบถอย วินาทีนั้นหวังหลินสวมเกราะสีดำก้าวเดินออกมาจากพื้นดิน!
เรือนผมสีขาวพริ้วไสวในสายลม กลิ่นอายน่าขนลุกห่อหุ้มรอบร่างกาย
ตอนที่ 1879
เกราะวิญญาณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผู้ส่งสาส์นมารเขียวทั้งสี่คนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หลังจากหนีขึ้นไปบนอากาศ ทั้งสี่มองหน้ากันเองและหลบหนีกันไปคนละทิศคนละทางโดยไม่ลังเล
ขณะที่กระจายกันไป ทั้งสี่วิธีที่ต่างกัน สองในสี่นำสมบัติออกมา หนึ่งนั้นคือกระเรียนกระดาษสีเขียว อีกคนเป็นพู่กันสีขาว
ทั้งสองนั้นยืนอยู่บนสมบัติของตัวเองและทะยานออกไปด้วยความเร็วสูงสุด ส่วนอีกสองคนที่เหลือ หนึ่งในนั้นกัดปลายลิ้นพ่นโลหิตออกมา แสงสีเขียวห่อหุ้มรอบกาย เขาผสานเข้ากับโลหิตและเคลื่อนที่ออกไปในพริบตาถึงหมื่นลี้
คนสุดท้ายสร้างผนึก ร่างกายเริ่มหมุนกลายเป็นพายุทอร์นาโดสูงจรดฟ้าดิน เขารีบทะยานออกไปไกล
ทั้งสี่คนใช้วิธีที่แตกต่างกันแต่รวดเร็วยิ่ง ชั่วจังหวะที่หวังหลินปรากฏตัวบนพื้นดิน ทั้งสี่ได้หายวับไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย
แต่หวังหลินจะปล่อยให้หนีไปได้อย่างไร? เขาจะทำเงื่อนไขที่บรรพชนกระทิงเขียวมอบให้เขาไว้ให้เสร็จสิ้นด้วยคนทั้งสี่คนนี้ ตอนนี้แววตาหวังหลินกะพริบวูบวาบและก้าวทะยานออกไป
ใต้ฝ่าเท้าเกิดระลอกคลื่นส่งเสียงดังกึกก้องและเขาหายวับในทันที
หวังหลินปรากฏตัวอีกครั้งเบื้องหน้าผู้ส่งสาส์นที่เปลี่ยนร่างเป็นพายุทอร์นาโด เขาสะบัดแขนขวาโจมตีด้วยสายฟ้า!
เพียงการโจมตีนี้ โลกดังสนั่น ฝ่ามือหวังหลินกลายเป็นสายฟ้าพร่าเลือนและก่อเกิดก้อนสายฟ้าขนาดยักษ์ ตรงขอบสายฟ้ามีลวดลายจำนวนมากดูน่าตกตะลึง
ก้อนสายฟ้าเข้ากระแทกใส่ผู้ส่งสาส์นมารเขียวที่เปลี่ยนกลายเป็นพายุทอร์นาโดอย่างรวดเร็ว
ทอร์นาโดพังทลายทันทีที่ปะทะกับสายฟ้า ลวดลายของสายฟ้าได้กลายเป็นตาข่ายห่อหุ้มผู้ส่งสาส์นมารเขียวที่หวาดกลัวคนนั้นไป
เสียงสายฟ้าดังแตกร้าวกึกก้อง ผู้ส่งสาส์นมารเขียวกระอักโลหิตและร้องไห้ เขาถูกตาข่ายสายฟ้าห่อหุ้มและฟุบลงบนพื้น
ฉากเหตุการณ์นี้มองไกลๆ ช่างดูน่าตกตะลึง ตาข่ายสายฟ้าเสมือนใยแมงมุมห่อหุ้มรอบผู้ส่งสาส์นมารเขียวเอาไว้และปิดผนึกเขาอย่างสิ้นเชิง
หลังจากหวังหลินใช้ตาข่ายสายฟ้า ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย กลิ่นอายจากร่างกายเริ่มไม่มั่นคง หวังหลินเข้าใจดีว่านั่นเป็นสัญญาณว่าเกราะวิญญาณกำลังสูญเสียความสามารถของมัน
ผู้ส่งสาส์นมารเขียวถูกปิดผนึกด้วยตาข่ายสายฟ้าจนไม่มีทางที่เขาจะทะลวงออกไปได้ หวังหลินก้าวต่อไปทางตะวันตกโดยไม่ลังเล
พริบตาเดียวเขาก็หายตัวไป
ทางด้านตะวันตกของทุ่งยอดนภา ผู้ส่งสาส์นมารเขียวอีกคนกำลังนั่งอยู่บนกระเรียนกระดาษพร้อมกับใบหน้าซีดเผือด เขาใช้ความเร็วสูงสุดหนีไปอย่างบ้าคลั่ง
จากมุมมองเขานั้นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นช่างน่าหวาดกลัวเกินไป พวกเขามาที่นี่เพื่อทำงานที่บรรพชนมอบให้สำเร็จ นั่นคือการสังหารหวังหลิน
แต่ถึงจะเกิดเรื่องบังเอิญและหวังหลินได้เกราะวิญญาณมาครอบครอง พวกเขาก็ไม่กลัว อีกทั้งก็ได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับเกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์อยู่บ้างว่ามันมีเวลาจำกัด
แต่ตอนที่เขาเห็นหวังหลินใช้วิชาแห่งศรัทธา เขาจึงเข้าใจได้ทันทีว่าหวังหลินไม่ใช่ง่ายอย่างที่คิด!
‘วิชาแห่งศรัทธาที่มหาชั้นฟ้าสามารถใช้ได้ เขา…เขาสามารถใช้ได้ด้วย…เรื่องนี้สำคัญมาก ข้าต้องหนีไปรายงานแก่บรรพชนให้ได้!’
แต่ขณะที่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่ รูม่านตาพลันหรี่แคบ เบื้องหน้ามีระลอกคลื่นส่งเสียงดังกึกก้อง หวังหลินสวมเกราะดำก้าวเดินออกมา
“อยู่นี่!” หวังหลินเผยแววตาเย็นเยียบ หลังจากก้าวออกมา แก่นแท้ทั้งแปดได้เปลี่ยนไปเป็นเส้นแปดสายรวมกันในฝ่ามือจนกลายเป็นก้อนขนาดเท่ากำปั้น
เขากำลังใช้ระดับบ่มเพาะขั้นวิบากดับสูญระดับต้นเพื่อบังคับแก่นแท้ด้วยกำลังและโยนแก่นแท้เข้าใส่ผู้ส่งสาส์นมารเขียว
ก้อนเล็กๆ ที่สร้างจากแปดแก่นแท้พุ่งทะยานเข้าหาผู้ส่งสาส์นมารเขียวอย่างเงียบเชียบ
สีหน้าผู้ส่งสาส์นมารเขียวพลันเปลี่ยนไป ฝ่ามือรีบสร้างผนึกขึ้นมาต้านกับท้องฟ้า!
“มารเขียวแทรกร่าง!” น้ำเสียงแหลมเล็กและน่าขนลุก แสงสีเขียวโผล่ออกมาจากร่างและปะทะกับก้อนแก่นแท้
หวังหลินเคลื่อนทะยานไปข้างหน้า แสงโลหิตกะพริบวาบ เขาฟาดกระบี่โลหิตลงไปด้วยระดับบ่มเพาะสูงสุด!
แสงสีเขียวรอบผู้ส่งสาส์นถึงกับพังทลาย แสงโลหิตปรากฏขึ้นกลางหน้าผาก ร่างกายถูกผ่าเป็นสองส่วน วิญญาณดั้งเดิมถูกทำลายไปพร้อมกับร่างกาย
กระบี่โลหิตในมือหวังหลินสั่นเทาอย่างต่อเนื่อง เพียงแค่การฟาดฟันนี้กระบี่โลหิตได้ดูดซับโลหิตส่วนหนึ่งมาจากผู้ส่งสาส์นและมันถึงกับส่งเสียงหึ่งๆ
มันสังหารเหล่าเทพไปมากมายหลายคนแล้ว นับตั้งแต่ที่มันตกไปอยู่ในมือหวังหลิน นี่คือระดับบ่มเพาะสูงที่สุดที่มันได้สังหาร!
วินาทีที่ผู้ส่งสาส์นมารเขียวตาย ภาพมายาของกระทิงสวรรค์ปรากฏขึ้นรอบตัวหวังหลิน มันส่งเสียงคำรามอย่างตื่นเต้นราวกับกำลังดีใจที่หวังหลินสังหารผู้ส่งสาส์นมารเขียวได้
พอวิญญาณกระทิงสวรรค์ปรากฏขึ้น มันสูดอากาศเข้า ควันสีเขียวจำนวนหนึ่งโผล่ออกมาจากร่างของผู้ส่งสาส์น มันเปลี่ยนกลายเป็นรูปร่างแมงป่องและพยายามดิ้นรนอยู่เล็กน้อยก่อนจะโดนกระทิงสวรรค์กลืนกิน
หวังหลินตกตะลึงแต่ไม่ได้หยุดชะงักเพียงจังหวะเดียว เขายกเท้าขึ้นและเลือนหายไป
ตรงไปทางเหนือ ผู้ส่งสาส์นที่กำลังหนีด้วยวิชาหลบหนีโลหิตกำลังกระอักโลหิตอย่างต่อเนื่อง เขารวดเร็วยิ่งจนพร่ามัว พริบตาเดียวก็ไม่เห็นร่องรอยเขาแล้ว
จังหวะที่หวังหลินปรากฏตัว เขาเห็นแต่เพียงภาพพร่ามัวและจากนั้นหายไปจากสายตา เมื่อหันกลับมา ผู้ส่งสาส์นเปลี่ยนกลายเป็นจุดสีเขียวที่กำลังเลือนหายไป
ระดับบ่มเพาะขั้นวิบากดับสูญของหวังหลินเริ่มไม่มั่นคงมากขึ้น มันกำลังส่งสัญญาณว่ากำลังกลับไปยังขั้นวิบากแก่นแท้
หวังหลินดวงตาส่องสว่างพลันจ้องมองทิศทางที่ผู้ส่งสาส์นคนที่สามหนีไป เขายกแขนขวาขึ้นมาชี้ไปทางนั้น
“หยุด!”
เสียงคำรามดังออกมาจากปากหวังหลิน เพียงเท่านี้โลกจึงมืดลงราวกับพลังลึกลับได้พุ่งเข้ามาแช่แข็งทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งรวมถึงผู้ส่งสาส์นคนที่สามที่ได้หนีหวังหลินไปไกลแล้ว
ร่างกายเขาสั่นเทาและหยุดชะงักอยู่ที่หนึ่ง
นาทีที่เขาหยุดลง แสงโลหิตกะพริบวาบและมีกระบี่โลหิตผ่านเข้าไป
ปัง!
ร่างผู้ส่งสาส์นแตกสลาย วิญญาณกระทิงสวรรค์ปรากฏขึ้นรอบตัวหวังหลินเพื่อกลืนกินควันสีเขียวที่ผู้ส่งสาส์นปลดปล่อยออกมา
เขาผนึกไปหนึ่งคน สังหารไปสองคน กลิ่นอายของหวังหลินตกลงมาสู่ขั้นวิบากแก่นแท้ด่านที่สามถึงสี่อย่างรวดเร็ว หวังหลินมองไปยังทิศใต้ที่ผู้ส่งสาส์นคนสุดท้ายหนีไป หลังจากขบคิดเพียงเล็กน้อย เขาจึงยอมละทิ้งการไล่ล่าคนสุดท้าย พุ่งไปหาผู้ส่งสาส์นคนแรกที่โดนผนึกแทน
ครู่ต่อมา กระทิงสวรรค์ส่งเสียงคำรามอย่างตื่นเต้นเนื่องจากมันไปถึงผู้ส่งสาส์นคนแรกที่โดนผนึก มันกลืนกินควันสีเขียวจากผู้ส่งสาส์นทั้งสามคนและดูเหมือนควันสีเขียวนั้นเป็นอาหารหล่อเลี้ยงมันอย่างมหาศาล
แสงจากกระบี่โลหิตยิ่งส่องสว่างมากยิ่งขึ้นหลังจากสังหารผู้ส่งสาส์นขั้นวิบากดับสูญระดับกลางทั้งสามคนไป อักขระโบราณจึงเริ่มปรากฏขึ้นบนด้ามกระบี่หลายตัวอักษร
อักขระตัวอักษรไม่ใช่สำหรับเซียนแต่เป็นเหล่าบัญชาโบราณ!
ระดับบ่มเพาะของหวังหลินตกลงมาสู่ขั้นแก่นแท้ระดับปลาย หวังหลินก้าวทะยานไปข้างหน้าด้วยความเหน็ดเหนื่อยและมุ่งหน้าเข้าสู่วังใต้ดิน
ระหว่างทางระดับบ่มเพาะของเขาตกลงอีกครั้งไปที่แก่นแท้ดับสูญระดับกลาง พอถึงทางเข้าสู่วังใต้ดิน ระดับบ่มเพาะจึงกลับสู่ปกติ ขั้นวิญญาณดับสูญระดับปลาย
เกราะกระทิงสวรรค์ดูเหมือนหลอมละลายและเปลี่ยนกลับเป็นเส้นใยสีดำนับไม่ถ้วนห่อหุ้มรอบกาย ท้ายที่สุดมันได้รวมตัวกันอยู่ทางขวาของใบหน้าจนกลายเป็นรอยสักกระทิงสวรรค์สีดำ
รอยสักกะพริบวูบวาบทำให้หวังหลินดูแปลกประหลาดมาก
วินาทีที่เขาเข้ามาในวังใต้ดิน ฝ่าเท้าสั่นสะท้าน ความรู้สึกอ่อนแอผุดขึ้นออกมาจากร่างกายราวกับเขาสูญเสียระดับบ่มเพาะและกลายเป็นคนธรรมดา
เหล่าเซียนนับพันรวมถึงกลุ่มของหยานหลวนได้มองเข้ามาด้วยสายตากระวนกระวาย พวกเขาไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอก จึงได้รอคอยผลลัพธ์อยู่ที่นี่
“พวกเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางจำนวนหกคน หนีไปได้สองและตายไปสาม…” หวังหลินไม่รู้ว่าชายชราแซ่จ้าวมีร่างอวตารหรือไม่ เพราะหวังหลินไม่ได้เข้าไปใกล้มากพอ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เอ่ยถึง
“เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้น ตายไปสองคน!”
“นอกจากนั้นแล้วพวกเซียนจากแคว้นมารเขียวตายไปทั้งหมด!” หวังหลินกล่าวประโยคสุดท้ายก่อนจะหน้าซีดเผือดและทะยานกลับสู่ถ้ำของตัวเอง เขาอัญเชิญหุ่นเชิดเย่ซื่อออกมาและปิดผนึกถ้ำด้วยเขตอาคมอย่างสมบูรณ์ จากนั้นนั่งลงและกระอักโลหิต
เขาไม่สนใจเสียงเงียบที่เกิดขึ้นหลังจากพูดออกไป เหล่าเซียนทั้งหมดต่างขบคิดพลางมองมายังถ้ำของหวังหลินด้วยความตกตะลึงปนอึ้ง
“เกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์…ช่างทรงพลัง…”
“นี่คือพลังอำนาจของเกราะวิญญาณ…”
ไม่เกิดความโกลาหลขึ้นมา ทุกคนขบคิดอย่างเงียบๆ และจากนั้นกระจายตัวออกไป กลุ่มของหยานหลวนมองมาที่ถ้ำของหวังหลินด้วยสายตาซับซ้อนเช่นกันก่อนจะกลับสู่ถ้ำของตัวเองเพื่อเริ่มฟื้นฟู เพราะพวกเขาบาดเจ็บในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ด้วยเช่นกัน
พริบตาเดียวเวลาได้ผ่านไปเจ็ดวัน!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น