Xian Ni 1867-1871

 ตอนที่ 1867

 

เคล็ดเร่งความเร็ว!

โดย

Ink Stone_Fantasy

แสงโลหิตกระพริบวาบ กระบวนท่านี้ใช้ระดับบ่มเพาะของหวังหลินทั้งหมดและใช้พลังบัญชาโบราณโดยไม่ออมแรงเลยแม้แต่น้อย


ในฝั่งแดนเทพของแผ่นดินเซียนดารา หวังหลินระมัดระวังในการใช้พลังบัญชาโบราณมาก เขาไม่ต้องการให้คนจดจำเขามากเกินไปเพราะจะทำให้เคลื่อนไหวที่นี่ได้ยากขึ้น


อีกทั้งเขาก็เป็นบัญชาโบราณตั้งแต่ต้นและไม่ใช่คนของฝั่งเทพ เขาจะต้องระมัดระวังขณะที่อยู่ในแดนเทพไปด้วย


แต่ในหินมิติ หวังหลินไม่ต้องกังวลมากเกินไปนัก เพียงกระบี่ฟันลงไป ร่างเงาบัญชาโบราณขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นด้านหลัง ร่างเงาสวมชุดเกราะและเปล่งกลิ่นอายโบราณ


แสงโลหิตฟาดฟันตัดผ่านช่องว่างระหว่างตะเกียงและศีรษะของฉวี่เต๋อข่าย วิญญาณดั้งเดิมของฉวี่เต๋อข่ายกระอักแก่นต้นกำเนิดออกมา วิญญาณดั้งเดิมเหี่ยวเฉา ตะเกียงเหนือศีรษะถูกพลังรุนแรงโจมตีใส่จนกระเด็นถอยออกไป เปลวเพลิงข้างในมอดดับทันที


“ข้าไม่ยอม!!” ฉวี่เต๋อข่ายส่งเสียงคำรามเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่หวังหลินจะสะบัดแขนเสื้อส่งกระบวนท่าโจมตีอันรุนแรง จากนั้นหวังหลินก็เก็บวิญญาณของฉวี่เต๋อข่ายกลับเข้าไปในมิติเก็บของ


หลังจากเสร็จทั้งหมดนี้ หวังหลินร่างสั่นสะท้านและกระอักโลหิต ร่วงลงจากท้องฟ้าและนั่งหลับตาเพื่อประคองตัวเองทันที


ราชายุงบินวนรอบพื้นที่และคอยคุ้มกัน ส่วนหุ่นเชิดเย่ซื่อเคลื่อนไหวด้วยท่าทางประหลาดและพุ่งออกไปไกล มันกลับมาพร้อมกับถือแขนข้างหนึ่งไว้


แขนข้างนี้ชุ่มไปด้วยโลหิต มันคือแขนของฉวี่เต๋อข่าย พอจ้องแขนข้างนี้เจ้าหุ่นเชิดเย่ซื่อเต็มไปด้วยดวงตาสับสน แต่ไม่นานนักสายหมอกโผล่ออกมาจากร่างกายมันและห่อหุ้มเอาไว้


เวลาผ่านไปสามวันในพริบตาเดียว ช่วงระหว่างนี้เจ้าราชายุงคุ้มกันหวังหลินโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ทุกอย่างนิ่งเงียบไร้สิ่งใดแปรปรวน


พอใกล้จบวันที่สาม หวังหลินลืมตาขึ้นมาอย่างเหนื่อยอ่อน เขาสังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นไปสองคนในช่วงเวลาสั้นๆ ดังนั้นจึงเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก


‘ตอนนี้สองแล้ว ยังเหลืออีกแปด…’ หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมาคว้าไปยังอากาศว่างเปล่า ศีรษะหนึ่งลอยเข้าสู่มือเขาอย่างรวดเร็ว ศีรษะนี้เป็นของฉวี่เต๋อข่าย ดวงตาไร้วิญญาณนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง


หลังจากจ้องมองศีรษะของฉวี่เต๋อข่ายเพียงชั่วครู่ หวังหลินจึงเก็บไปพร้อมกับศีรษะของหลิวจื่อหยวน


‘สมบัติตะเกียงนั้นประหลาดมาก…’ หวังหลินขบคิดพลางมองออกไปไกลและสะบัดแขนเสื้อ ตะเกียงไร้แสงลอยเข้าหาเขา


หวังหลินพ่นแกนพลังงานไปล้อมรอบตะเกียงและค่อยๆ หลอมมันอย่างช้าๆ เปลวเพลิงข้างในตะเกียงถูกจุดขึ้นอีกครั้งและเรืองแสงอ่อนๆ


ด้วยแก่นแท้เขตอาคมของหวังหลินจึงมองทะลุสมบัติชิ้นนี้ได้อย่างสมบูรณ์ สมบัติป้องกันชิ้นนี้เรียบง่าย มันไม่มีพลังในการโจมตีแต่การป้องกันนับว่าแข็งแกร่ง


ตราบใดที่เปลวเพลิงข้างในตะเกียงไม่ดับไป วิญญาณดั้งเดิมของผู้ใช้จะไม่ตาย! ซึ่งสามารถหล่อเลี้ยงวิญญาณดั้งเดิมไปด้วยเหมือนกับการเติมยาเข้าไปในวิญญาณดั้งเดิม มันจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างช้าๆ


หากหลอมเข้าไปในร่างกายและทำให้เป็นเครื่องมือป้องกันวิญญาณดั้งเดิม แสงอ่อนๆ สามารถห่อหุ้มร่างกายและทำให้ร่างกายมีการป้องกันเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชั้น


‘ถ้าไม่มีสิ่งนี้ ฉวี่เต๋อข่ายคงเอาชีวิตรอดในการโจมตีรอบสองได้ยากมาก…’ หวังหลินอ้าปากและสูดเอาตะเกียงเข้าไป ตะเกียงเข้าไปปรากฏข้างวิญญาณดั้งเดิม จากนั้นร่างกายหวังหลินจึงถูกห่อหุ้มด้วยแสงของตะเกียงแบบอ่อนๆ


ความรู้สึกอบอุ่นปรากฏขึ้นในใจหวังหลิน เขาสูดหายใจลึกและเผยแววตาตื่นเต้น


“การต่อสู้ครั้งนี้คุ้มค่า! สิ่งสำคัญที่สุดคือความลับเรื่องการร่ายวิชาได้อย่างรวดเร็ว หากข้าทำความเข้าใจได้ พลังของข้าจะเพิ่มพูนขึ้นมหาศาล!” หวังหลินต่อสู้กับฉวี่เต๋อข่ายจึงรู้ว่าการร่ายวิชาได้อย่างรวดเร็วนั้นน่ากลัวแค่ไหน ด้วยความเร็วระดับนั้นตราบใดที่มีโอกาส เขาสามารถทำให้ศัตรูเสียเปรียบได้อย่างสิ้นเชิง อีกฝ่ายคงโดนวิชาโจมตีโดยไม่มีโอกาสตอบโต้


ดวงตาหวังหลินถึงกับส่องสว่างและสะบัดแขนขวา วิญญาณดั้งเดิมของฉวี่เต๋อข่ายที่อ่อนแอยิ่งและบาดเจ็บสาหัสพลันปรากฏขึ้นในฝ่ามือ


ดวงวิญญาณดั้งเดิมหลับตาอยู่ราวกับตกอยู่ในอาการสาหัส มันหดขนาดลงเหลือเพียงแค่สามนิ้ว นอนอยู่บนฝ่ามือหวังหลินอย่างเงียบเชียบ


หวังหลินจ้องมองวิญญาณดั้งเดิมและบีบอย่างรุนแรง! เขาใช้วิชาค้นวิญญาณซึ่งปกติแล้วการค้นเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องยากเนื่องจากความแตกต่างด้านระดับบ่มเพาะ ต้องทำให้ฉวี่เต๋อข่ายบาดเจ็บสาหัสเท่านั้นจึงจะทำให้หวังหลินใช้วิชาได้อย่างอิสระ


ความทรงจำทั้งหมดของฉวี่เต๋อข่ายถูกค้นไปโดยไม่เกิดอาการต่อต้าน


ฉวี่เต๋อข่ายมีชีวิตมายาวนานดังนั้นการค้นหาวิชาในความทรงจำของเขาจึงต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร


หวังหลินลืมตาขึ้นมาหลังจากผ่านไปสามชั่วโมง สายตาเต็มไปด้วยความยินดี


‘เคล็ดเร่งความเร็ว!! ฉวี่เต๋อข่ายบังเอิญไปเจอโชควาสนาครั้งใหญ่ในชีวิต อุกกาบากก้อนหนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้าและเขาค้นพบสิ่งที่แกะสลักเอาไว้อย่างซับซ้อน หลังจากบ่มเพาะไปจึงได้รับเคล็ดการร่ายด้วยความรวดเร็วอันน่ากลัวเช่นนี้…’ หวังหลินเปิดฝ่ามือ วิญญาณดั้งเดิมของฉวี่เต๋อข่ายสั่นเทาและเริ่มแตกสลายอย่างช้าๆ คล้ายกับว่าสามารถแตกดับได้ทุกเวลา


แต่หลังจากผ่านไปสักพักมันกลับไม่แตกสลายและมีแสงน่ากลัวกะพริบขึ้นมาแทน มันเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นที่ออกมาจากความไม่ยินยอมก่อนตาย


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้หวังหลินต้องหรี่ตาแคบลงคือความอาฆาตถึงจุดหนึ่งและค่อยๆ ลดระดับลงพอประมาณ วิญญาณดั้งเดิมของฉวี่เต๋อข่ายไม่สูญสลายอีกแล้วและลืมตาขึ้นช้าๆ


นาทีที่ลืมตาและสบสายตากับหวังหลิน หวังหลินรู้สึกจิตใจสั่นสะท้านและตกอยู่ในภวังค์ ฉวี่เต่อข่ายในฝ่ามือเขาพลันลอยออกไปไกล


แต่หวังหลินฟื้นคืนกลับมาในเวลาไม่นาน ดวงตาเผยแสงประหลาดไปพร้อมกับความรู้สึกไม่เชื่อสายตา


‘วิญญาณผีปรากฏขึ้นแล้ว!!’ หวังหลินบ่มเพาะวิชามายาทับซ้อน ดังนั้นจึงเข้าใจเรื่องวิญญาณและวิธีสร้างมันเป็นอย่างดี มันไม่เกี่ยวกับระดับบ่มเพาะและหาได้ยากยิ่ง!


หนทางเดียวในการสร้างขึ้นมาสักดวงคือใช้วิธีจากสำนักมหาวิญญาณ แต่คุณภาพจะต่ำมาก ส่วนใหญ่ทำได้แค่ใบเรือหน้าผีระดับกลาง


เขาเข้าใจดีว่าคนตายหรือพวกสัตว์ที่สามารถสร้างร่างภูติผีของตัวเองได้ถือเป็นโชควาสนาครั้งใหญ่สำหรับคนที่บ่มเพาะวิชามายาทับซ้อน


หวังหลินหัวใจเต้นเร็วขึ้น เขาไล่ตามหลังวิญญาณผีที่เกิดจากฉวี่เต๋อข่าย รู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่อาจอธิบายออกมาได้


วิญญาณผีไม่สามารถหลบหนีจากหวังหลินไปได้เลย หวังหลินถึงกับสังหารเขาได้ตอนที่มีชีวิต ดังนั้นแค่วิญญาณที่ตายไปแล้วเขาจะกลัวได้อย่างไร


หวังหลินกลับมาในเสี้ยววินาที ในมือถือวิญญาณภูติผีที่กำลังดิ้นรน


หวังหลินเก็บวิญญาณไว้ในมิติเก็บของ มันจะเป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างมหาศาล


จากนั้นสูดหายใจลึกและศึกษาเคล็ดวิชาเร่งความเร็วที่ได้มาจากความทรงจำของฉวี่เต๋อข่าย เคล็ดวิชานี้เป็นเส้นทางที่ล้ำลึกมากและสามารถทำให้ร่ายวิชาด้วยความเร็วสูงอย่างน่ากลัว


จุดสำคัญคือการเปิดเส้นชีพจรเซียนทั้งเก้าเส้นในร่างกาย ทุกเส้นจะทำให้เพิ่มความเร็วในการร่ายขึ้นอย่างมหาศาล


ฉวี่เต๋อข่ายเปิดเส้นชีพจรเซียนไปทั้งสิ้นเจ็ดเส้น!


จริงๆ แล้ว ที่เรียกเคล็ดเร่งความเร็วนั้นมันคือวิธีพิเศษในการใช้ผนึกเพื่อเพิ่มอัตราเร่งความเร็วในการใช้วิชา


‘ผนึกวิญญาณดั้งเดิมในร่างกายเพื่อสร้างเป็นวังวน…ทำไมถึงรู้สึกว่าสามารถใช้กับกับวิชาของเผ่าบัญชาโบราณได้ด้วย…’ หวังหลินกำลังศึกษาเคล็ดเร่งความเร็ว ความคิดนี้จึงผุดขึ้นมาในใจ


ยิ่งเขาศึกษายิ่งเกิดความคิดนี้กระจ่างชัด ท้ายที่สุดจึงตั้งมั่นว่าเคล็ดนี้ไม่ได้เฉพาะกับวิชาของพวกเซียนเท่านั้น ถ้าใช้กับร่างบัญชาโบราณจะยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีกขั้น!


‘น่าเสียดายที่ข้าไม่มีวิญญาณดั้งเดิมมาลอง…’ หวังหลินขบคิดพลางจดจำเคล็ดเร่งความเร็วและทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ จากนั้นยืนขึ้นสะบัดแขนขวา พื้นดินสั่นเทาและน้ำเต้าหล่นเข้าไปในฝ่ามือ วิญญาณเต๋าสามสิบล้านดวงส่วนใหญ่ยังอยู่ดี สมบัติชิ้นนี้ไม่ได้เสียหายมากนัก


หวังหลินยังเก็บร่มสีฟ้าออกมาพร้อมกับราชายุงด้วย ส่วนเย่ซื่อที่ผสานเข้ากับแขนของฉวี่เต๋อข่ายไปเรียบร้อยก็ได้ถูกเก็บกลับเข้าไปในมิติเก็บของของหวังหลิน


หลังเสร็จเรื่องราวทั้งหมด หวังหลินเผยแววตาเย็นเฉียบ


‘ถึงเวลากลับไปแล้ว…’ ร่างกะพริบวูบวาบและหายวับไปจากมิติแห่งนี้


เจ็ดวันผ่านไปแล้วแต่ยังมีจิตสังหารอยู่บนทุ่งยอดนภา เหล่าเซียนที่เอาตัวรอดได้ทั้งหมดต่างก็มีระดับบ่มเพาะสูงส่งจนฆ่าได้ยากขึ้นและการกวาดล้างยิ่งกินเวลายาวนาน


ด้านในสายหมอก เหล่าเซียนทั่วไปแทบจะบ้าคลั่งจนตาแดงฉานไปหมดแล้วเนื่องจากร่ายวิชาหลายอย่างอยู่ข้างใน เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางสองคนต่อสู้กับกลุ่มของลิ่วเหวินหลานพร้อมทั้งเซียนขั้นวิบากดับสูญอีกหลายคน


ห่างออกไปไม่ไกล เซียนสตรีขั้นวิบากดับสูญระดับต้นที่เหลืออยู่สองคนจากแคว้นมารเขียวกำลังต่อสู้กับหยานหลวนและซิ่วตงเต๋อ


พลังอำนาจของแคว้นมารเขียวถูกลดทอนลงไปอย่างมากหลังจากสูญเสียเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นไปสองราย เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางสองคนยิ่งถูกแรงกดดันมากขึ้นเนื่องจากเผชิญหน้ากับคนที่มากกว่าเดิม


หลายวันต่อมาเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางสองคนจึงตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ ทั้งสองจึงทนไม่ไหวอีกต่อไป

 

 

 


ตอนที่ 1868

 

จางต้าวจง!!

โดย

Ink Stone_Fantasy

การกวาดล้างครั้งนี้ไม่ได้มีเซียนมากมายเท่าครั้งแรก ดังนั้นขอบเขตการต่อสู้จึงไม่กว้างจนเกินไปและอยู่ราวๆ ไม่กี่ร้อยลี้เท่านั้น


พื้นที่สนามรบนับแสนลี้ยังคงปกคลุมไปด้วยสายหมอก หินก้อนหนึ่งตกอยู่บนดินโคลนและพงหญ้า ตอนนี้กลับเกิดแสงเจิดจ้าและมีร่างหวังหลินปรากฏขึ้นมา


ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยสายหมอก สายฝนที่ตกพรำลงมาหลายวันก่อนยังไม่หยุดแต่ก็เบาบางลงไปมากแล้ว มันผสานเข้ากับสายหมอกทำให้ชื้นแฉะยิ่ง


หวังหลินหยิบหินมิติขึ้นมาเก็บใส่มิติเก็บของ จ้องมองออกไปไกลด้วยสายตาเย็นเยียบ


‘หลังจากข้าเข้าไปในหินมิติ หินยังคงอยู่ที่เดิม นี่ถือเป็นเรื่องอันตรายมาก ข้าไม่ควรใช้มันอีกรอบเว้นแต่จะถึงคราวจำเป็น’


ร่างหวังหลินวูบวาบและเลือนหายไป


เขาปรากฏตัวอีกครั้งด้านนอกสนามรบ ที่นี่สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของเหล่าวิชาและกลิ่นอายแห่งความตายได้เบาบาง


ตราบใดที่มีการต่อสู้ครั้งใหญ่จะมีทั้งสองฝั่งตายไปอยู่เสมอ หวังหลินรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการต่อสู้แบบนี้และไม่ต้องการเข้าร่วมมากนัก


หวังหลินมาที่นี่เพื่อทำเงื่อนไขทั้งสามของบรรพชนกระทิงเขียวให้เสร็จ ตอบแทนต่อของขวัญทั้งสามของสำนักมหาวิญญาณ! นี่คือนิสัยของหวังหลิน เขาจะต้องตอบแทนความเมมตาที่ผู้อื่นมอบให้!


‘ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาต่อสู้กับพวกเซียนขั้นวิบากดับสูญ…แต่หากมีหนึ่งในนั้นบาดเจ็บสาหัส บางทีคงเป็นโชคดีของข้า…’ หวังหลินดวงตาส่องสว่าง ร่างกายเปลี่ยนกลายเป็นหมอกควันและเข้าใกล้สนามรบขึ้นเรื่อยๆ


ยิ่งเข้าไปใกล้ยิ่งมีความผันผวนของเหล่าวิชารุนแรงมากขึ้น กลิ่นอายแห่งความตายมีมากกว่าเดิม เขาถึงกับได้ยินเสียงสมบัติและเหล่าวิชาปะทะกันอย่างเลือนลาง


‘สนามรบแห่งนี้เหมาะต่อการจับวิญญาณดั้งเดิมมาผนึกในร่างกายสำหรับเคล็ดเร่งความเร็ว!’ ไม่นานหลังจากนั้นเขาจึงพุ่งเข้าไปในสนามรบ เสียงดังสนั่นและความผันผวนโผล่ออกมาจากทุกทิศทางพร้อมกับแสงสีเสียงจนเลือนตา


เดิมทั้งสองฝั่งมีเซียนประมาณหกถึงเจ็ดพันคนเท่านั้น แต่ตอนนี้เหลืออยู่ไม่ถึงสี่พันคน แววตาแต่ละคนแดงเถือกเนื่องจากพัวพันกับการต่อสู้อันโหดเหี้ยม หวังหลินเห็นเซียนจากแคว้นมารเขียวตายตรงหน้า ทั้งยังเห็นเซียนจากแคว้นกระทิงสวรรค์ตายด้วยเช่นกัน แต่เขาก็ไม่ได้ลงมือทำอะไร


หวังหลินไม่ได้ต้องการเข้าร่วมในการสังหารนี้ ในมุมมองเขาไม่ว่าจะเป็นแคว้นกระทิงสวรรค์หรือแคว้นมารเขียว ทั้งสองไม่ได้แย่ไปกว่ากันเท่าใดนักจนแทบไม่มีความแตกต่าง


พริบตาเดียวหวังหลินได้พุ่งเข้าสู่ส่วนลึกของสนามรบ จากนั้นไม่นานหวังหลินได้หันไปมองทางขวา ในสายหมอกนั้นมีเซียนสองคนกำลังต่อสู้กัน เขาคือชายชราจากแคว้นมารเขียวที่อยู่ระดับขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง การโจมตีของเขาดุดันและโหดเหี้ยม แต่อีกฝั่งหนึ่งกำลังจะพ่ายแพ้เพราะเผชิญกับสถานการณ์เฉียดเป็นเฉียดตายหลายอย่าง


‘นั่นเขา!’ หวังหลินมองเซียนที่กำลังล่าถอย เขาเกิดความจำฝังใจอยู่ส่วนหนึ่งเพราะเป็นชายชราที่ปรากฏตัวบนทุ่งยอดนภา


ชายชรากำลังตกอยู่ในสภาพย่ำแย่และหน้าซีดเผือด โลหิตไหลย้อนออกมาจากมุมปากแต่สีหน้าท่าทางมุ่งมั่น


หลังจากสอดสายตามองไม่กี่ครั้ง หวังหลินถึงกับแววตาส่องสว่างและพุ่งออกไป


อีกกลุ่มหนึ่งมีเซียนที่กำลังไล่ล่าชายชราต่างมีท่าทีดุดันและสะบัดแขนปรากฏยักษ์มายาขึ้นมาสองตัวพร้อมกับไล่ตามชายชราไป


“เจ้าต่อสู้กับข้ามานานแล้ว ตายเสียตอนนี้เถอะ!” เซียนคนนั้นยกแขนขึ้นมาชี้ออกไปข้างหน้า ภาพยักษ์สองตัวเพิ่มความเร็วและกำลังจะไล่ตามชายชราทัน


ชายชราถอนหายใจ เขาผ่านความเป็นความตายมาหลายครั้ง เห็นสหายร่วมรบตายไปจำนวนมาก ตอนนี้ถึงตาเขาแล้ว


ภายในใจลึกๆ ของเขามีความโศกเศร้า แต่กระนั้นเขาก็รู้สึกโล่งใจ ทว่าเขาจะตายอย่างไร้ค่าไม่ได้ แววตาเย็นเยียบพร้อมกับเตรียมตัวระเบิดตัวเอง


นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะสามารถทำได้เพื่อแคว้นของตัวเองก่อนตาย ในฐานะเซียนจากแคว้นกระทิงสวรรค์!


‘ข้าถือกำเนิดในแคว้นกระทิงสวรรค์ ระดับบ่มเพาะของข้าทั้งหมดมาจากแคว้นแห่งนี้ ตอนนี้ข้าจะคืนทุกอย่างให้แก่แคว้นกระทิงสวรรค์ ข้าไม่มีวันเสียใจ!’ ชายชราหันตัวกลับมาด้วยสายตาสงบนิ่ง ทว่าขณะที่กำลังจะระเบิดตัวเอง เขากลับเห็นร่างเงาหนึ่งปรากฏขึ้นตรงกลางระหว่างเขากับเซียนที่กำลังไล่ตามมา


ร่างนี้มีเรือนผมสีขาวและสวมชุดสีขาว!


หวังหลินปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ และสะบัดแขนเสื้อ สายหมอกในพื้นที่สั่นสะเทือน จากนั้นยักษ์สองตัวเกิดการสั่นเทาและแตกสลายในทันที


ภาพมายาสองตัวที่แตกสลายไปทำให้สีหน้าเซียนของแคว้นมารเขียวถึงกับเปลี่ยนไป ไม่ใช่ว่าวิชาของเขาไร้เทียมทาน แต่อีกฝ่ายสามารถทำลายได้ง่ายๆ นั้นมีความหมายเพียงอย่างเดียว!


อย่างน้อยคนผู้นี้ก็อยู่ในขั้นวิบากดับสูญ!


ความคิดหลายอย่างแล่นวาบขึ้นในใจและทำให้เขาเกิดความรู้สึกด้านชา พลันถอยร่นโดยไม่ลังเลและกำลังจะหนีออกไปจากที่นี่


หวังหลินพ่นลมหายใจเย็นและก้าวเท้า ตรงเข้าไปปรากฏตัวด้านหน้าของเซียนจากแคว้นมารเขียว ฝ่ามือกระแทกลงไปดุจภูเขาไท่ซาน เซียนผู้นั้นไม่มีโอกาสต่อต้านฝ่ามือของหวังหลินได้เลย


ร่างกายแตกสลายเป็นชิ้นๆ วิญญาณดั้งเดิมถูกพลังสายหนึ่งดึงออกมาจากร่าง หวังหลินวางผนึกใส่วิญญาณดั้งเดิมอย่างรวดเร็วจากนั้นนำมาประทับบนหน้าอกตัวเอง


ดวงวิญญาณดั้งเดิมหายไปแต่มีวังวนหนึ่งปรากฏขึ้นในร่างหวังหลิน วังวนนี้คือจุดเริ่มต้นของเส้นชีพจรเซียนที่หวังหลินเปิดออกมาตามแบบฉบับของวิชาเร่งความเร็ว


เหตุการณ์ทั้งหมดรวดเร็วและจบในพริบตา ชายชราจ้องมองอย่างงุนงงพลางเห็นหวังหลินหายไปตัวไป ผ่านไปสักพักจึงสูดหายใจลึก


“เขาคือผู้อาวุโสของสำนักมหาวิญญาณ!” พอชายชราพบเจอกับหวังหลินในวังใต้ดินจึงจำหน้าได้ แต่พอเห็นเรือนผมสีขาว เสื้อสีขาวและกลิ่นอายเย็นเยียบนั้น ชายชรารู้สึกคุ้นๆ ว่าเคยพบหวังหลินที่ไหนสักแห่งมาก่อน


หวังหลินเคลื่อนร่างผ่านสายหมอกและตรงเข้าหาจุดที่เซียนขั้นวิบากดับสูญกำลังต่อสู้กับ เซียนขั้นแก่นแท้ดับสูญคนใดที่เขาพบจะเข้าไปทำการสังหารและผนึกวิญญาณไว้ในร่างกายในทันทีเพื่อเสริมสร้างเส้นชีพจรเซียนจุดแรก


หวังหลินเข้าใจหลักการของเคล็ดเร่งความเร็วได้ไม่มากนัก เขาจะต้องผนึกวิญญาณดั้งเดิมของเซียนอย่างต่อเนื่องจนสร้างเป็นวังวนให้ได้ ยิ่งวังวนหมุนเร็วขึ้นจะช่วยเพิ่มความเร็วขึ้นอย่างมหาศาล!


ยิ่งมีเซียนมากขึ้นและระดับบ่มเพาะสูงขึ้น วังวนยิ่งหมุนเร็ว ส่งผลให้ตอนที่หวังหลินต้องการใช้วิชาอันใด ความเร็วในการร่ายจะเพิ่มขึ้นไปด้วยหลายระดับ


อย่างไรก็มันก็มีขีดจำกัด ระหว่างทางหวังหลินได้ผนึกวิญญาณดั้งเดิมทั้งหมดเก้าดวงใกล้ กับจุดที่เหล่าเซียนขั้นวิบากดับสูญกำลังต่อสู้กัน เขากลับไม่สามารถผนึกได้อีกและไม่สามารถสร้างเส้นชีพจรเซียนแห่งที่สองได้


มีคำอธิบายอยู่ในเคล็ดเร่งความเร็ว หลังจากหวังหลินพบเจอด้วยตัวเองจึงเข้าใจอย่างลึกซึ้ง หากเขาต้องการสร้างเส้นชีพจรเซียนแห่งที่สองนั้นเขาจำเป็นต้องใช้วิญญาณดั้งเดิมของเซียนที่แข็งแกร่งขึ้น


วังวนที่หวังหลินสร้างขึ้นในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าวังวนสี่แห่งของฉวี่เต๋อข่ายเสียอีก เพราะตอนที่ฉวี่เต๋อข่ายเริ่มฝึกฝนเป็นตอนที่อยู่ขั้นสวรรค์ดับสูญ พลังจึงอ่อนลงอย่างมาก


ระยะห่างของระดับความแข็งแกร่งนับว่าไกลเกินอย่างยิ่ง


‘เซียนขั้นวิบากแก่นแท้น่าจะทำให้สามารถสร้างเส้นชีพจรเซียนแห่งที่สองได้ แต่ที่นี่ไม่ได้มีคนระดับนี้มากนัก…’ หวังหลินมองไปยังสายหมอกเบื้องหน้า ตรงจุดที่เหล่าเซียนขั้นวิบากดับสูญกำลังต่อสู้กัน


หลังจากมองไปสักพัก หวังหลินจึงขมวดคิ้ว


‘การทำให้ใครก็ตามในนั้นบาดเจ็บสาหัสคงเป็นเรื่องยากมาก พวกเซียนจากแคว้นมารเขียวได้ใช้เม็ดยาบางอย่างทำให้เผชิญหน้ากับสายหมอกและเพิ่มพูนพลังได้ด้วย…ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว คงต้องการเซียนขั้นวิบากแก่นแท้ก่อนดีกว่า’ หวังหลินขบคิดและกำลังจะจากไป ทันใดนั้นสีหน้าเปลี่ยนแปลง จากนั้นพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วสูงสุดโดยไม่ลังเล


ตอนที่พุ่งออกไปได้สามสิบฟุต ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งร่อนลงตรงจุดที่เขายืนเมื่อครู่ พื้นดินสั่นสะเทือนและมีเสียงดังสนั่นแผ่กระจาย แม้แต่สายหมอกยังเกิดอาการแตกสลายหลังจากโดนแสงสีเขียวเข้าไป


การโจมตีนี้ได้สร้างคลื่นกระแทกรุนแรงผลักหวังหลินออกไปไกล ถ้าไม่ใช่เพราะหวังหลินตรวจจับได้ทันเวลา การโจมตีนี้คงทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส


หวังหลินไม่ได้หันกลับมาแต่รู้สึกว่าเส้นขนบนร่างตั้งขึ้น เขาสัมผัสได้ว่ามีสัมผัสวิญญาณจับจ้องมาจึงพุ่งทะยานออกไป


ใต้ฝ่าเท้าเกิดเสียงระลอกคลื่นดังกึกก้องและกำลังจะผสานเข้ากับโลก


“ผนึก!” ทว่าในจังหวะนั้น เสียงเย็นเยียบเอ่ยดังออกมา โลกคล้ายกับโดนปิดผนึก หวังหลินไม่สามารถผสานเข้าไปได้


‘เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง!’ หวังหลินตัดสินระดับบ่มเพาะจากคนที่ล็อคเป้ามาที่เขา เขาจึงกัดฟันแน่นและไม่พยายามผสานกับโลกอีกต่อไป เขาเรียกราชายุงออกมาพาหนีไปห่างๆ


ด้านหลังหวังหลินเป็นชายชราแซ่จางที่กำลังต่อสู้กับกลุ่มของลิ่วเหวินหลาน จ้องมองมาตรงจุดที่หวังหลินหนีไป แววตาผุดจิตสังหารขึ้นมาและเข้ามาไล่ตามหวังหลินโดยไม่สนสถานการร์ต่อสู้ในปัจจุบัน


“ข้าจางต้าวจงรอคอยเจ้ามาหลายวัน ในที่สุดเจ้าจิ้งจอกน้อยก็โผล่หัวออกมา เจ้าสังหารหลิวจื่อหยวน ข้าจะต้องระบายความโกรธแทนจ้าวสำนัก!”


หวังหลินไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำและทะยานหนีออกไปแสนฟุตพร้อมกับราชายุง ทว่าจางต้าวจงเร็วกว่า พริบตาเดียวระยะห่างระหว่างทั้งสองได้ย่นระยะมาไม่ถึงพันฟุต!

 

 

 


ตอนที่ 1869

 

กลียุค!

โดย

Ink Stone_Fantasy

เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางบนแผ่นดินเซียนดาราสามารถก่อตั้งสำนักของตัวเองได้!


ตอนนั้นราชันย์เทพสีรุ้งก็เป็นเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง เขาสร้างสำนักของตัวเองขึ้นและรับสมัครศิษย์หลายคน แม้แต่สำนักมหาวิญญาณยังสุภาพกับเขาอย่างมาก เพราะเซียนพวกนี้ล้วนเป็นคนที่น่าเคารพยกย่อง


ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของหวังหลินจึงสามารถต่อสู้ได้กับเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้น การสังหารถึงจะยากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ซึ่งหากเขาเผชิญหน้ากับเซียนเฒ่าระดับเดียวกับราชันย์เทพสีรุ้งตอนที่อยู่ในจุดสูงสุด ความแตกต่างนับว่ามีมากมายมหาศาลเกินไป


ถึงเขาจะมีเก้าแก่นแท้และบรรลุขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับต้นได้ ช่องว่างนี้ยังคงกว้างใหญ่เกินไป อย่างมากเขาก็พอมีกำลังจะต่อสู้กลับไปได้เท่านั้น


การจะต่อต้านเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางได้อย่างแท้จริง หวังหลินต้องบรรลุขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับปลายหรือไม่เช่นนั้นร่างบัญชาโบราณจะต้องผ่านบททดสอบสุดท้าย!


แต่หวังหลินใช้ชีวิตอยู่ในอันตรายมานาน บางครั้งการสังหารก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับบ่มเพาะเพียงอย่างเดียว มันยังมีปัจจัยอื่นอยู่ด้วย!


แต่ตอนนี้เขาไม่ได้เตรียมการว่าจะมีเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางมาไล่ล่า แม้โลกจะโดนปิดผนึกไปแล้วเพื่อป้องกันไม่ให้เขาหนีและต้องใช้เวลากว่าจะทำลายผนึกได้ หากเซียนผู้นั้นไล่ตามทัน เขาคงต้องตายแน่นอน!


ในนาทีวิกฤติเช่นนี้หวังหลินเปิดระดับบ่มเพาะเต็มที่และขึ้นไปบนราชายุง ความเร็วของราชายุงเพิ่มพูนอย่างมหาศาลในฉับพลัน


ด้านหลังเป็นจางต้าวจงที่ติดตามอย่างสงบนิ่ง แววตาซ่อนจิตสังหารรุนแรงไว้ภายใน


“ข้าอยากเห็นจริงๆ ว่าเจ้าจะหนีรอดสายตาข้าไปได้อย่างไร!” จางต้าวจงยังคงโกรธเกรี้ยวตอนที่โดนหวังหลินวางแผนหลอก ทั้งนี้หวังหลินยังสังหารหลิวจื่อหยวนจนเขาไม่มีหน้าไปสู้กับจ้าวสำนักจนกว่าจะสังหารหวังหลินได้


ส่วนเรื่องผลกระทบที่เขาออกมาจากสนามรบนั้นเขาเองก็ไม่สนใจ เหตุผลที่เขากล้าออกมาเป็นเพราะแผนการทั้งหมดได้วางไว้สำหรับหวังหลินคนเดียวเท่านั้น!


แผนการนี้คือการสังเวยชีวิตเซียนจำนวนมากเพื่อชะลอการต่อสู้นี้และล่อหวังหลินให้ออกมา!


ความจริงแล้วหากแคว้นมารเขียวต้องการก็สามารถจบการต่อสู้รอบที่สองได้อย่างรวดเร็วเพราะมีกองหนุนที่มาถึงเมื่อสองวันก่อน!


กองหนุนยังไม่ปรากฏตัวและซ่อนตัวเองไว้เพียงเพราะต้องการสังหารหวังหลิน!!


สิ่งที่หวังหลินทำลงไปในทะเลโอสถได้ทำให้เซียนเฒ่าสามคนของแคว้นมารเขียวถึงกับโกรธเกรี้ยว ดังนั้นจึงออกคำสั่งมาให้สังหารหวังหลิน! เรื่องราวที่หวังหลินทำล้วนเป็นเรื่องราวสั่นสะเทือนสวรรค์!


เขาสังหารร่างอวตารของเมฆาสูญสิ้นผู้เป็นอัจฉริยะของแคว้นมารเขียว ทำลายแผนการที่วางไว้ในทะเลโอสถจนเม็ดยาสวรรค์ระเบิดไปก่อน ทำให้แคว้นมารเขียวได้รับผลกระทบและโดนทำลายล้างไปส่วนหนึ่งพร้อมกับเซียนจำนวนมากของแคว้นมารเขียวที่อยู่ในทะเลโอสถ!


เรื่องทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องราวก่อนหน้านี้ ส่วนตอนนี้หวังหลินได้สังหารหลิวจื่อหยวนแห่งสำนักเต๋ามาร! แม้กระทั่งฉวี่เต๋อข่ายก็เหมือนจะโดนสังหารด้วยวิธีอันเลวทรามของเขาไปแล้ว


เรื่องราวหลายอย่างได้ทำให้หวังหลินกลายเป็นเป้าหมายเลขหนึ่งที่ต้องกำจัดตั้งแต่เริ่มสงคราม!


จังหวะที่จางต้าวจงเริ่มไล่ล่าหวังหลิน ห่างสามรบไปแสนลี้มีกลิ่นอายสี่แห่งปะทุขึ้นทันที ทั้งสี่ล้วนเป็นเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง!!


สิ่งที่ทำให้ตกตะลึงคือหลังจากกลิ่นอายทั้งสี่ปรากฏตัว ท้องฟ้าเหนือทุ่งยอดนภาได้เปลี่ยนกลายเป็นเค้าโครงประหลาดสีเขียว มันควบแน่นกลายเป็นแมงป่องยักษ์


แมงป่องระเบิดเสียงขู่ สายหมอกสีเขียวแผ่กระจายเข้าหาสนามรบเบื้องล่าง!


“ผู้ส่งสาส์นมารเขียว!!” เมื่อลิ่วเหวินหลานที่ต่อสู้กับชายชราแซ่จ้าวสัมผัสกลิ่นอายทั้งสี่และเห็นแมงป่องเขียวในท้องฟ้า สีหน้าท่าทางจึงเปลี่ยนไปอย่างยิ่ง


เขาเคยต่อสู้กับผู้ส่งสาส์นมารเขียวและรู้ว่าอีกฝ่ายน่าหวาดกลัวแค่ไหน ไม่คาดคิดว่าจะมาปรากฏตัวที่นี่!


ต้องกล่าวว่าในทะเลโอสถมีเพียงแค่สามคนเท่านั้น สำหรับแคว้นมารเขียวแล้ว ผู้ส่งสาส์นมารเขียวหนึ่งคนมีมูลค่ามากมายจนไม่ยอมส่งมาช่วยมากเกินไปนัก!


ใบหน้าลิ่วเหวินหลานซีดเผือดทันที เขาไม่รู้ว่าเป้าหมายของผู้ส่งสาส์นทั้งสี่คือหวังหลิน! ส่วนเรื่องอื่นเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น


ลิ่วเหวินหลานเต็มไปด้วยสายตาหวาดกลัวและร้องคำรามออกมา “รีบกลับไปวังใต้ดินและผนึกทางเข้าออก!” เหล่าเซียนจากแคว้นกระทิงสวรรค์สัมผัสถึงกลิ่นอายทั้งสี่คนได้โดยไม่ต้องให้เตือน พวกเขาเห็นแมงป่องเขียวในท้องฟ้าและความคิดเดียวในหัวคือรีบกลับไปวังใต้ดิน!


ที่นั่นคือกำแพงแห่งสุดท้าย!


ผู้ส่งสาส์นมารเขียวทั้งสี่กับเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางสองคนถือเป็นเรื่องที่มิอาจป้องกันได้


เซียนธรรมดาร่อนลงบนพื้นและเข้าสู่วังใต้ดินในทันที ซึ่งมีเพียงเซียนจากแคว้นกระทิงสวรรค์เท่านั้นที่ทำได้ เหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวไม่สามารถเข้าไปใต้ดินได้


นอกจากนี้ค่ายกลที่นี่ยังมีอยู่และมีพลังเต็มเปี่ยม


อย่างไรก็ตามเซียนขั้นวิบากดับสูญเช่นลิ่วเหวินหลานก็ถูกจับตามองและไม่ยอมปล่อยให้หนีไปได้ง่ายๆ ลำแสงสีเขียวทั้งสี่สายท่องทะยานผ่านสายหมอกเข้าไป แมงป่องยักษ์ในท้องฟ้าร่อนลงมาอย่างต่อเนื่อง ปลดปล่อยหมอกสีเขียวจำนวนมากระหว่างทาง


เหล่าเซียนขั้นวิบากดับสูญจากแคว้นกระทิงสวรรค์ทั้งหมดพลันร้องคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวเนื่องจากกำลังโดนขัดขวางไม่ให้เข้าไปในพื้นดิน!


ด้านหวังหลินเองก็อยู่ในสายหมอกเช่นกัน เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทรงพลังที่กำลังใกล้เข้ามา พอเห็นแมงป่องสีเขียวตัวยักษ์ในท้องฟ้าจึงอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง


เขาเข้าใจอย่างขัดเจนได้ทันทีว่าโอกาสรอดเดียวคือการกลับไปยังวังใต้ดิน เมื่อกลับไปช้าเกินไปและวังใต้ดินโดนปิดผนึก เขาจะต้องเผชิญหน้ากับเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางจำนวนหกคน เขาคงไม่มีโอกาสรอดชีวิตแม้จะใช้ร่างอวตารและวิชาสามชีวิตก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างยังทำให้เขาตายได้อยู่ดี!


วิกฤติความเป็นความตายครั้งนี้รุนแรงกว่าปกติ หวังหลินให้ราชายุงมุ่งหน้าไปบนพื้นดินโดยไม่ลังเล ตราบใดที่สามารถสัมผัสพื้นดินได้ เขาก็สามารถหนีได้!


ทว่าพื้นที่โดนผนึกและไม่สามารถเคลื่อนที่พริบตาได้ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับความเร็วแล้วในตอนนี้ ทันทีที่ราชายุงพุ่งเข้าหาพื้นดิน จางต้าวจงอยู่ด้านหลังเขาไม่ถึงห้าร้อยฟุต เขาไม่รีบโจมตีเนื่องจากต้องการเห็นหวังหลินเจอกับความสิ้นหวังก่อนตาย!


ห่างออกไปไกลมีลำแสงสีเขียวสายหนึ่งเข้ามาใกล้ ผู้ส่งสาส์นมารเขียวหนึ่งคนกำลังเข้ามาไล่ล่าหวังหลินพร้อมจางต้าวจง!


สำหรับแคว้นมารเขียวแล้ว หวังหลินจะต้องถูกกำจัด ไม่เช่นนั้นพวกเขาไม่สามารถชำระล้างความเกลียดชังในใจได้! ผู้ส่งสาส์นมารเขียวแตกต่างจากเซียนทั่วไป พวกเขาเยือกเย็นและโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง ไม่สนว่าศัตรูจะมีระดับบ่มเพาะอะไร แม้จะเผชิญหน้ากับศิษย์ขั้นพื้นฐานลมปราณก็ยังต้องใช้พลังเต็มที่


หวังหลินหรี่ตาแคบลง เขายังอยู่ห่างจากพื้นดินประมาณสามพันฟุต เขาเห็นหยานหลวนกระอักโลหิตห่างออกไปไกล ร่างกายบอบบางของนางสั่นเทาพลางหนีเข้าไปในพื้นดิน ด้านหลังหยานหลวนเป็นซิ่วตงเต๋อหน้าซีดและหนีเข้าไปในพื้นดิน


เหล่าเซียนขั้นวิบากดับสูญเข้าไปในพื้นดินทีละคนหลังจากได้รับบาดเจ็บ ลิ่วเหวินหลานกระอักโลหิตคำโตออกมา แขนขวาระเบิดพลางพุ่งเข้าสู่พื้นดินไปด้วย มีผู้ส่งสาส์นมารเขียวคนหนึ่งกำลังไล่ตามเขา


‘เมื่อลิ่วเหวินหลานเข้าไปในพื้นดินได้ เขาจะต้องผนึกวังใต้ดินแน่นอน ข้าต้องเร็ว เร็ว เร็วกว่า!!’ หวังหลินเคร่งเครียดและอยู่ห่างจากพื้นดินไม่ถึงพันฟุต แต่ในจังหวะนั้นจางต้าวจงกลับโจมตี!


“มันจบแล้ว!” หลังจางต้าวจงพูดออกมา เขาชี้มาที่หวังหลิน แสงสีเขียวน่ากลัวพุ่งทะยานเข้าใส่ทันที


หวังหลินหันกลับมาพอดีและเผยสายตามุ่งมั่น จังหวะที่แสงสีเขียวเข้าประชิดพลันมีร่มสีฟ้าปรากฏขึ้นเบื้องหน้า!


หวังหลินพลันร้องคำรามโดยไม่มีเวลามารู้สึกเจ็บปวด


“ระเบิด!!”


แสงสีเขียวปะทะกับการระเบิดของร่มสีฟ้าจนเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง แรงกระแทกส่งไปที่หวังหลินจนร่างกายเกิดเสียงปะทุ เขากระอักโลหิตพร้อมกับเก็บราชายุงกลับไป ตอนนี้อยู่ห่างจากพื้นไม่ถึงห้าร้อยฟุตแล้ว!


ระยะห่างปกติที่ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งลมหายใจกลับยืดยาวคล้ายฟ้าดิน ไม่เพียงแต่จางต้าวจงที่ไล่ตามมาแต่ยังมีผู้งส่งสาส์นมารเขียวท่าทีเย็นเยียบอยู่ห่างไม่ถึงพันฟุตเช่นกัน!


พอเผชิญหน้ากับเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางถึงสองคน หวังหลินจึงไม่สามารถก้าวข้ามระยะห้าร้อยฟุตไปได้! ห่างออกไปนั้นมีลิ่วเหวินหลานกระอักโลหิตพลางลงไปบนพื้นดินและหายตัวไป เขาเห็นหวังหลินแต่เลือกที่จะปิดผนึกวังใต้ดินโดยไม่ลังเล เขาสามารถรอได้อีกเล็กน้อยเพื่อมั่นใจว่าตัวเองปลอดภัยแล้วจึงผนึกวังใต้ดิน แต่เขาก็ไม่ทำ


ความผันผวนผุดขึ้นมาจากพื้นดินและกำลังปิดผนึกอย่างรวดเร็ว หวังหลินดวงตาแดงฉานราวกับบ้าคลั่งไปแล้ว ขณะที่จางต้าวจงและผู้ส่งสาส์นมารเขียวเข้าใกล้ เขาจึงนำน้ำเต้าวิญญาณเต๋าสามสิบล้านดวงออกมา!


โยนมันออกไป!


“ระเบิด!!” หวังหลินเจ็บปวดใจแต่ไม่มีเวลาให้คิดมากความ สิ้นเสียงคำราม วิญญาณเต๋าสามสิบล้านดวงข้างในน้ำเต้าจึงระเบิดออกมาและแผ่กระจายออกไปทั่วทั้งทุ่งยอดนภา


การระเบิดของวิญญาณเต๋าสามสิบล้านดวงมากพอที่จะคุกคามเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางได้ แม้แต่จางต้าวจงยังต้องเปลี่ยนสีหน้าพลางรีบถอยหนี


ผู้ส่งสาส์นมารเขียวขมวดคิ้วและหยุดชะงักกึก


ด้วยเหตุนี้หวังหลินจึงข้ามผ่านระยะห้าร้อยฟุตโดยไม่คิดชีวิต ขณะที่ค่ายกลกำลังปิดตัวลง เขาก็เข้าไปได้!

 

 

 


ตอนที่ 1870

 

เกราะวิญญาณ!

โดย

Ink Stone_Fantasy

วินาทีที่หวังหลินเข้าไปในพื้นดิน ใบหน้าซีดเผือดและไม่สามารถกล้ำกลืนฝืนทนได้อีกต่อไปจนต้องกระอักโลหิต ขณะที่เขาเข้ามาในพื้นดินได้แล้วจึงสัมผัสได้ว่าค่ายกลด้านหลังปิดผนึกเส้นทางอย่างสมบูรณ์


หากเขาช้าไปกว่านี้คงต้องติดอยู่ด้านนอก ถึงตอนนั้นเขาคงได้เผชิญหน้ากับเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางจำนวนหกคน แม้จะใช้ทั้งหมดสามชีวิตก็คงไม่มีโอกาสรอด


แต่สิ่งที่ต้องแลกนับว่ามหาศาลเกินไป การใช้วิญญาณเต๋าสามสิบล้านดวงทำให้หวังหลินเจ็บปวดใจ หากน้ำเต้าใช้อย่างเหมาะสมจะทำให้เขาสามารถทำร้ายเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางจนบาดเจ็บสาหัสได้ แต่เขากลับใช้มันระเบิดเพื่อให้มีโอกาสหนีได้เท่านั้น


‘ช่างมันเถอะ แม้น้ำเต้านั่นจะทรงพลังมาก มันก็แค่พลังภายนอก ตราบใดที่ข้ารอดพ้นวิกฤตินี้ไปได้ ท้ายที่สุดข้าก็ได้สมบัติที่แข็งแกร่งขึ้น!’


‘จางต้าวจง ข้าจะจำไว้!’ หวังหลินมีสีหน้ามืดมนยิ่ง สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นสถานการณ์อันตรายที่สุดตั้งแต่เขามาถึงแผ่นดินเซียนดารา


หากเขาประมาทไปเพียงเล็กน้อยคงตายไปแล้ว


หวังหลินจะต้องแก้แค้นแน่นอน เขาจำสิ่งที่จางต้าวจงทำในวันนี้ให้ขึ้นใจและจดจำการกระทำของลิ่วเหวินหลานไว้ด้วย!


ก่อนหน้านี้หากลิ่วเหวินหลานชะลอการผนึกวังใต้ดิน หวังหลินคงไม่ต้องระเบิดน้ำเต้าเพื่อเข้ามาใต้ดิน


แต่ความเห็นแก่ตัวของลิ่วเหวินหลานได้ทำให้หวังหลินตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย!


‘ลิ่วเหวินหลาน!’ หวังหลินดวงตาแดงก่ำและเต็มไปด้วยจิตสังหาร ตอนที่เขามาที่แผ่นดินเซียนดารา เขาไม่รู้สึกว่าเป็นคนของที่นี่ ผู้คนและสถานที่ที่เขาเห็นต่างให้ความรู้สึกแปลกหน้าไปทั้งหมด


เขาไม่ได้เกลียดคนที่นี่ ทุกคนต่างยุ่งกับเป้าหมายของตัวเอง


แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนความคิดแล้วเพราะเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น


หวังหลินเข้าไปในส่วนลึกของพื้นดิน ไม่นานจึงได้เห็นวังใต้ดิน ด้านบนส่งเสียงดังสนั่นกึกก้องเพราะมีคนกำลังโจมตีค่ายกลเพื่อทะลวงเข้ามาในวังใต้ดิน


แม้ค่ายกลจะทรงพลัง หากเซียนขั้นวิบากแก่นแท้ระดับกลางจำนวนหกคนโจมตีอย่างต่อเนื่อง ท้ายที่สุดก็พังทลายอยู่ดี


พอหวังหลินเข้าไปในวังใต้ดิน เหลือเซียนที่หนีมาได้เพียงแค่พันคน พวกเขาเป็นกังวลและไม่มีจิตใจจะไปบ่มเบาะ ทุกคนล้วนฟังเสียงสั่นสะเทือนด้านบน พวกเขารู้สึกเคร่งเครียดและหมดหวัง


สายตาพวกเขากวาดเข้ามาทางวังเป็นพักๆ ที่ตรงนั้นคือตำแหน่งที่เซียนขั้นวิบากดับสูญอยู่และพวกเขาก็บาดเจ็บสาหัสด้วยเช่นกัน


ขณะที่เสียงดังด้านบนเริ่มรุนแรงขึ้น วังใต้ดินเริ่มสั่นเทาและดินเริ่มร่วงมาจากเพดาน แม้จะรู้ว่าพวกเซียนจากแคว้นมารเขียวยังต้องใช้เวลานานกว่าจะทำลายค่ายกลเข้ามาได้ แต่เสียงที่ดังอย่างต่อเนื่องเกิดเป็นแรงกดดันที่มองไม่เห็นทับใส่ทุกคน


ด้วยแรงกดดันแบบนี้ คนที่ไม่มีจิตใจแข็งแกร่งคงแทบบ้าคลั่ง


เซียนที่เหลืออยู่หลายคนเผยแววตาสิ้นหวัง มองดินที่กำลังตกจากด้านบนและรู้สึกถึงวังกำลังสั่นไหว แต่ละคนเกิดความหวาดกลัวรุนแรง


“มันจบแล้ว…พวกมันมีเซียนทรงพลังถึงหกคนและค่ายกลแห่งนี้ก็ไม่สามารถปกป้องเราได้เลย เมื่อพวกมันเปิดค่ายกลได้….”


“แคว้นมารเขียวมีกองหนุน ทำไมเราไม่มีบ้าง? ทำไมมีเพียงแค่เราปกป้องที่นี่เอาไว้…”


“ไม่ต้องคุ้มกันอีกแล้ว มันไร้ประโยชน์ อีกไม่นานที่นี่จะถูกทำลายไปด้วย เราควรต้องหนีทันที!”


เสียงโวยวายดังลอดผ่านวังใต้ดินราวกับพายุ หวังหลินนั่งอยู่ในถ้ำของตัวเอง ถ้ำเขาไม่มีประตูดังนั้นจึงมองเห็นทุกอย่างด้านนอกได้ง่ายๆ


การฟังเสียงเหล่าเซียนที่สิ้นหวังและสัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนจากด้านบนได้ ทำให้หวังหลินมีท่าทีมืดมนขึ้นเรื่อยๆ


หวังหลินไม่สนใจเรื่องวังที่กำลังโดนทำลาย เขาขบคิดถึงวิธีการต่อกรกับจางต้าวจงเมื่อพวกเซียนจากแคว้นมารเขียวเข้ามาข้างในนี้ได้!


หากพวกมันสามารถผนึกพื้นที่ได้ครั้งหนึ่งแล้วก็สามารถทำเป็นรอบที่สอง สามและสี่ได้! การผนึกพื้นที่นั้นมีเป้าหมายมาที่เขาโดยเฉพาะซึ่งทำให้หวังหลินปวดหัวยิ่ง!


พอคิดเช่นนี้หวังหลินจึงมั่นใจว่าแคว้นมารเขียวมุ่งเป้ามาที่เขาและเหมือนจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในทะเลโอสถ ราวกับเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางทั้งสี่คนนั้นมาที่นี่เพราะเขา!


‘การทะลวงเปิดสายเพลิงปฐพีเส้นที่สามเป็นแค่เป้าหมายหนึ่งในนั้น อีกเป้าหมายคือมาสังหารข้า…พวกนั้นต้องวางแผนมาเป็นอย่างดีเพื่อไม่ให้ข้าได้มีโอกาสหนีไปได้…’


‘เช่นนั้นหากข้าต้องช่วยเหลือตัวเองและต่อสู้กลับได้ ข้าต้องทำตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นไม่ว่าวิธีไหนก็ตาม…’ หวังหลินดวงตาส่องสว่าง รีบเพ่งสมาธิคิดถึงหนทางการทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง


เขาไม่ได้คิดแบบนี้มานานมากแล้ว มีเพียงการโดนแรงกดดันที่ส่งผลต่อชีวิตและความตายเท่านั้นจึงจะทำให้หวังหลินเติบโตมาถึงจุดนี้ได้ในเวลาไม่ถึงสามพันปี


ขณะที่หวังหลินคิด ท่ามกลางเหล่าเซียนที่เหลืออยู่ต่างร่ำร้องรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าใครเริ่มจุดประเด็นก่อนแต่พวกเขาจับกลุ่มกันอยู่รอบๆ วัง


“สหายเซียนขั้นวิบากดับสูญ ตอนนี้เราควรทำอะไรดี!?”


“พวกเซียนจากแคว้นมารเขียวกำลังทะลวงเข้ามา เราควรต่อต้านอย่างไรดี!?”


“เรามีกองหนุนหรือไม่? หากเรามีแล้วเมื่อใดจะมาถึง? หากไม่มี เราแค่รอความตายเท่านั้นหรือ!?”


“ผู้อาวุโส โปรดให้คำชี้แจงกับเราด้วย!”


“ให้คำตอบเราด้วยเถอะ!”


“หากไม่มีคำตอบ เราไม่สามารถรอความตายได้ อย่างมากข้าจะยอมจำนนต่อ…” คนสุดท้ายที่พูดเป็นชายวัยกลางคน เขาทั้งโกรธ กลัวและสิ้นหวัง ทว่าในจังหวะนั้นดวงตาเบิกกว้าง ร่างกายลอยขึ้นไปในอากาศ สองมือกุมไปรอบคอราวกับมีคนกำลังบีบคอ


คล้ายกับมีมือล่องหนกำลังบีบเข้ามา ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่สามารถเป็นอิสระได้


ปัง!


เซียนคนนั้นระเบิดกลายเป็นหมอกโลหิตกระจายไปสู่เซียนนับพัน โลหิตสาดลงบนใบหน้าแต่ละคนจนทุกคนเงียบเสียง!


“พวกเจ้าจะตื่นตระหนกไปเพื่ออะไร?” น้ำเสียงเย็นเยียบดังออกมาจากวัง ลิ่วเหวินหลานที่สูญเสียแขนไปหนึ่งข้างก้าวเดินออกมาอย่างหน้าซีด แต่สายตามืดมน


ด้านหลังเป็นหยานหลวนที่หน้าซีดขาวด้วยเช่นกัน นางมีละอองโลหิตอยู่บนเสื้อผ้าและติดตามอย่างเงียบๆ ถัดจากนางคือซิ่วตงเต๋อที่ดูอ่อนแออยู่จริงๆ ราวกับบาดเจ็บสาหัสในจังหวะสุดท้าย


ด้านหลังทั้งสามคือเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นจากสำนักใกล้เคียง ทั้งหมดอ่อนแอและติดตามโดยไม่ปริปาก


พอมีลิ่วเหวินหลานนำหน้า เซียนขั้นวิบากดับสูญทั้งหมดจึงทะยานออกมา ชายชราแซ่โจวติดตามทุกคนออกมาด้วย


ลิ่วเหวินหลานกวาดสายตาผ่านพื้นดินเบื้องหน้าไป ตอนนี้เขาตื่นเต้นเล็กน้อยและไม่ให้ความสนใจถ้ำรอบๆ เขากวาดสายตาคร่าวๆ เท่านั้น


“นี่ยังไม่ใช่ช่วงวิกฤติที่สุด หากใครกล้าทำให้เกิดความปั่นป่วนมากขึ้นอีกอย่าหาว่าข้าโหดเหี้ยม! สหายเซียนโจว ออกมาอธิบายสถานการณ์!” หลังจากลิ่วเหวินหลานพูดขึ้น เขามองไปที่ชายชราแซ่โจว


อีกฝ่ายจิตใจสั่นไหวและรีบพยักหน้า เขามองผู้คนด้านล่างด้วยความรู้สึกซับซ้อน ถอนหายใจพลางคำนับฝ่ามือและเริ่มพูด


“เหล่าสหายเซียน ข้าคือคนที่รับผิดชอบวังใต้ดินที่นี่ ส่วนใหญ่ได้เจอข้ามาบ้างแล้ว…”


“รีบเข้าเรื่อง!” ลิ่วเหวินหลานขมวดคิ้ว


ชายชราแซ่โจวตัวสั่นและพูดให้เร็ว


“สถานการณ์ตอนนี้แม้จะมีเซียนขั้นวิบากดับสูญจำนวนหกคนอยู่ด้านนอก สายเพลิงปฐพีแห่งที่สามยังมีไพ่ตายสุดท้าย เมื่อมันใช้ออกมาเราจะสามารถต่อสู้กลับและรับประกันว่าทุกคนจะออกไปได้อย่างปลอดภัย”


“ดังนั้นอย่าตื่นตระหนก วิธีสุดท้ายต้องการให้ทุกคนใช้ระดับบ่มเพาะของตัวเองอัญเชิญดวงวิญญาณของกระทิงสวรรค์ออกมาและเปลี่ยนมันเป็นเกราะวิญญาณ หลังจากสวมเกราะวิญญาณแล้ว จิตวิญญาณของกระทิงสวรรค์จะเข้าไปในร่างเจ้าและเพิ่มระดับบ่มเพาะขึ้นอย่างน่ากลัวในช่วงเวลาสั้นๆ!” ชายชราแซ่โจวรีบเอ่ย


หลังได้ยินเช่นนี้เหล่าเซียนนับพันจึงหายใจถี่ พวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แม้จะสงสัยในตัวตนของกระทิงสวรรค์แต่ก็เชื่อว่าการอัญเชิญเกราะวิญญาณของมันจะช่วยเพิ่มระดับบ่มเพาะขึ้นได้อย่างมหาศาล


“เนื่องเพราะการสวมเกราะมีอันตรายอยู่บ้าง หลังจากพูดคุยกันระหว่างเซียนขั้นวิบากดับสูญ เราจึงยอมให้ผู้อาวุโสลิ่วที่มีระดับบ่มเพาะสูงสุดและช่วยสนับสนุนมาตลอด ได้สวมใส่มัน” ชายชราแซ่โจวพูดขึ้น หวังหลินพลันลืมตาเป็นประกายแปลกประหลาด


เขาไม่เชื่อว่าลิ่วเหวินหลานจะสวมเกราะวิญญาณนี้หากมันมีอันตรายจริงๆ มันต้องมีประโยชน์อื่นไม่เช่นนั้นลิ่วเหวินหลานคงไม่ทำ


“เหล่าสหายเซียน แม้เกราะวิญญาณนี้จะอันตราย มันเป็นช่วงเวลาคับขันของแคว้นกระทิงสวรรค์ของเรา ข้าจะปล่อยให้คนอื่นสวมมันเพียงเพราะอันตรายได้อย่างไร?”


“ยิ่งมันอันตรายแค่ไหน ยิ่งมีเหตุผลให้ข้าต้องสวมใส่เกราะนี้ หาก…หากข้าตายเพราะเกราะวิญญาณ เช่นนั้นได้โปรด วันนี้ของทุกปีช่วยส่งเหล้ามาให้ข้าสักขวด!” ลิ่วเหวินหลานตื่นเต้นยิ่งอยู่ภายในและแทบอดทนไม่ไหว อย่างไรก็ตามเบื้องหน้าแล้วเขากลับเผยความโศกเศร้าราวกับกำลังเสี่ยงอยู่


คำพูดเขาทำให้หยานหลวนเผยความดูถูกที่ไม่อาจจับสังเกตได้

 

 

 


ตอนที่ 1871

 

ข้าไม่ยอม!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนที่พวกเขาพูดคุยเรื่องนี้กัน หยานหลวนตระหนักว่ามันคือโชควาสนาครั้งใหญ่ การอัญเชิญวิญญาณของกระทิงสวรรค์เพื่อสวมเป็นชุดเกราะและได้เพิ่มระดับบ่มเพาะขึ้นในชั่วเวลาสั้นๆ นั้นถือว่าเป็นประโยชน์ที่เกินจินตนาการ


แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้ ต้องเป็นคนที่สร้างสายใยกับกระทิงสวรรค์เท่านั้นจึงจะทำได้ ยิ่งมีสายใยสัมพันธ์มากเท่าไรยิ่งเพิ่มระดับบ่มเพาะได้อย่างน่าหวาดกลัว


แม้จะเพิ่มขึ้นเพียงแค่ชั่วคราวแต่จะทำให้การปีนขึ้นสู่ระดับนั้นในอนาคตทำได้ง่ายขึ้นมาก


โอกาสเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง มีเพียงชั่วเวลาที่ทั้งแคว้นกระทิงสวรรค์โดนคุกคามและค่ายกลเจ็ดชีพจรกระทิงสวรรค์เปิดใช้งานจึงจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา


สิ่งสำคัญที่สุดคือจำนวนครั้งของวิญญาณกระทิงสวรรค์ที่ถูกอัญเชิญออกมาไม่ได้มีหลายครั้ง หากอัญเชิญมากเกินไปวิญญาณก็จะแตกสลาย แคว้นกระทิงสวรรค์จะได้รับผลกระทบไปทั่วทั้งแคว้นด้วย


ผลกระทบนี้ส่งผลต่อมนุษย์และรากฐานของแคว้นกระทิงสวรรค์!


แม้จะเป็นเช่นนี้แต่ก็มีคนบ้าคลั่งไม่สนใจชีวิตและพยายามเปิดใช้งาน คนแบบนี้จะต้องถูกทางราชวงศ์ลงโทษ!


โดนคำสั่งที่มิอาจขัดขืนได้จากดินแดนฝั่งเทพ กินเวลานานหลายปีและไม่มีใครกล้าละเมิด!


เมื่อโดนลงโทษ จะมีคนต้องตาย หนึ่งสำนักต้องดับสูญ หนึ่งแคว้นต้องสิ้น!


คำสั่งจากดินแดนฝั่งเทพได้ระบุไว้ว่าไม่อนุญาตให้ใครสร้างความเสียหายต่อผนึกบนวิญญาณของเหล่าอสูรเว้นแต่จะเป็นการเอาชีวิตรอดของเหล่าเซียนบนแคว้น! ด้วยการที่แคว้นมารเขียวเข้ามารุกราน คำสั่งนี้จึงหละหลวมโดยง่าย


หยานหลวนปรารถนาจะได้โอกาสอันดีเช่นนี้ ฉวี่ตงเต๋อและเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นอีกสามคนก็เช่นกันแต่ไม่สามารถเทียบกับลิ่วเหวินหลานได้ แม้ลิ่วเหวินหลานจะบาดเจ็บแต่หากพิจารณาถึงส่วนร่วมในสงคราม พวกเขาก็ไม่สามารถพูดอันใดได้


เสียงดังครืนยังคงส่งออกมาจากด้านบนอย่างต่อเนื่อง ราวกับเคียวแห่งความตายที่สามารถปลิดชีวิตได้ทุกเวลา


“เหล่าสหายเซียนโปรดจงนั่งลงและปลดปล่อยระดับบ่มเพาะทั้งหมด เพ่งความคิดไปที่กระทิงสวรรค์และช่วยข้าอัญเชิญวิญญาณของแคว้นกระทิงสวรรค์!” ลิ่วเหวินหลานเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขารอคอยโอกาสนี้มานาน รู้ว่าถึงแม้เกราะวิญญาณจะอันตรายแต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ สิ่งสำคัญที่สุดหากเขาพลาดโอกาสนี้ไปคงต้องรอคอยไปอีกหลายปี


ตอนนี้มีอยู่ทั้งสิ้นเจ็ดคนที่มีสิทธิ์ได้สวมเกราะวิญญาณ ทั้งเจ็ดคนนี้อาจจะมีชื่อเสียงในแคว้นกระทิงสวรรค์ในอนาคต!


หลังจากเขาเอ่ยขึ้น เซียนด้านล่างจึงขบคิดเล็กน้อยและนั่งลง พวกเขาไม่มีทางเลือกและนี่เป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้น


กลุ่มหยานหลวนด้านหลังลิ่วเหวินหลานดูไม่ค่อยพอใจแต่ก็สายเกินไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่แอบถอนหายใจและนั่งลง ตอนนี้มีเพียงลิ่วเหวินหลานที่ยังคงยืนอยู่และไม่สามารถมองเห็นแววตาตื่นเต้นของเขาได้


เขามองไปยังชายชราแซ่โจวและพยักหน้า


ชายชราแซ่โจวไม่กล้าปฏิเสธ สองฝ่ามือสร้างผนึกและเริ่มพึมพำบทร่ายที่ได้ยินเพียงคนเดียว เขามีระดับบ่มเพาะไม่สูงจึงมีหน้าที่รับผิดชอบที่นี่และไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้มากนักเพราะร่างกายเขาสามารถสื่อสารกับวิญญาณของกระทิงสวรรค์ได้ง่าย


เขาเองก็คล้ายกับเหล่าผู้ส่งสาส์นมารเขียว เพราะตัวตนของเขาคือข้ารับใช้กระทิงสวรรค์!


หวังหลินนั่งอยู่ในถ้ำ ดวงตาส่องสว่างและไม่ได้ลงมืออย่างวู่วาม เขารอคอยต่อไป!


ชายชราแซ่โจวกัดปลายลิ้นและพ่นโลหิตออกมา แขนขวาคว้าจับโลหิตและสร้างเป็นผนึกโลหิต


“วิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งกระทิงสวรรค์ ข้าขอใช้โลหิตเพื่อชี้ทางแก่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์!” ชายชรามีท่าทีสุขุมพลางโยนผนึกโลหิตในมือออกไป ผนึกปลดปล่อยแสงสีแดงสว่างเข้าห่อหุ้มพื้นที่ทั่วทั้งวังใต้ดิน


“เหล่าสหายเซียน ส่งระดับบ่มเพาะเข้าไปในแสงโลหิตนี้!” ชายชราแซ่โจวพลันตะโกนทันที


หลังจากได้ยินเสียงคำราม เหล่าเซียนมากกว่าพันคนจึงปลดปล่อยระดับบ่มเพาะของตัวเอง ระลอกคลื่นส่งเสียงดังกึกก้องไปทั่วพื้นดิน เมื่อเซียนคนสุดท้ายส่งระดับบ่มเพาะของตัวเองออกไป พวกเขาต่างเผยสีหน้าเจ็บปวดเนื่องจากโดนแสงโลหิตดูดซับระดับบ่มเพาะ


แสงโลหิตลอยกลับเข้าไปในผนึกโลหิต เกิดเสียงดังปังและมีหมอกสีเทาปรากฏขึ้น


ผนึกโลหิตอยู่ตรงกลางสายหมอกและค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นวังวนที่เร่งความเร็วขึ้นอย่างช้าๆ


ขณะที่เกิดการเปลี่ยนแปลง เสียงเริ่มดังกึกก้องไปเรื่อยๆ ส่วนลึกของวังวนราวกับนำทางไปสู่มิติอันลึกลับ เสียงคำรามอันบ้าคลั่งดังออกมาจากมิติประหลาดตรงนั้น


กรรร!!


วังใต้ดินเกิดการสั่นสะเทือน ยามที่เซียนด้านล่างได้ยินเสียงนี้สีหน้าแต่ละคนถึงกับซีดเผือด กระอักโลหิตและดูอ่อนแอ


แม้แต่กลุ่มของหยานหลวนยังมีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินเสียงคำราม


เพราะมันคือเสียงคำรามของกระทิงสวรรค์!


ลิ่วเหวินหลานไม่สามารถซ่อนอาการตื่นเต้นได้อีกต่อไปและเผยออกมาอย่างชัดเจน เขาจ้องมองมิติลึกลับข้างในวังวนและเริ่มหัวเราะพลางเงี่ยหูฟังเสียงคำรามของกระทิงสวรรค์


ความตื่นเต้นได้มาถึงขีดสุด ดวงตาเผยความปรารถนาและความโลภ เขาเข้าใจว่าอีกไม่นานเขาก็จะได้เพิ่มพลังขึ้นชั่วคราวจนเป็นประโยชน์ต่อเขาในอนาคต!


หวังหลินอยู่ในถ้ำและจ้องมองวังวนในท้องฟ้า เขาฟังเสียงคำรามของเจ้ากระทิงสวรรค์ เป็นเสียงคำรามที่คุ้นเคย!


ขั้นตอนแรกในการอัญเชิญวิญญาณของกระทิงสวรรค์คือใช้ระดับบ่มเพาะของเซียนมากกว่าพันคนเพื่อเปิดวังวนเข้าหากระทิงสวรรค์ที่ปิดผนึก ขั้นตอนที่สองคือประทับโลหิต!


“สหายเซียน ใช้โลหิตเก้าหยด ไม่มากไปไม่น้อยไปและรวมไปที่นิ้วชี้ขวา!” ชายชราแซ่โจวสะบัดแขนขวาปรากฏรอยแผลขึ้นบนปลายนิ้วชี้ขวา จำนวนโลหิตที่ลอยออกมานั้นเหมาะสมพอดิบพอดี


ขณะเดียวกันเหล่าเซียนมากกว่าพันคนด้านล่างจึงได้ยกแขนขวาขึ้นมา ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถถอนตัวได้แล้ว พวกเขาทำตามชายชราแซ่โจวและบีบโลหิตออกมาในจำนวนพอดีและส่งออกไป


โลหิตจำนวนมากควบแน่นเข้าด้วยกันกลายเป็นโซ่ยาวเข้าไปในวังวน หลังจากยื่นเข้าไปแล้วมันจึงดึงออกมาอย่างรุนแรง


กระทิงสวรรค์ส่งเสียงคำรามดังกึกก้องอีกครั้ง โซ่โลหิตคล้ายกับพยายามดึงวิญญาณของกระทิงสวรรค์ออกมา


ยิ่งเสียงคำรามที่ดังขึ้นยิ่งทำให้ลิ่วเหวินหลานตื่นเต้นมากกว่าเดิม เขาเลียริมฝีปาก ดวงตาเต็มไปด้วยความปรารถนา


‘มันเป็นของข้า มันต้องเป็นของข้าลิ่วเหวินหลาน! ด้วยเกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์ ข้าสามารถกวาดล้างจนออกไปได้ แม้พลังแห่งเจตจำนงของข้าจะคงอยู่เพียงแค่ชั่วสั้นๆ ข้าจะไม่ปล่อยชุดเกราะกลับคืนไปง่ายๆ!’ ลิ่วเหวินหลานจ้องมองวังวนด้วยความตื่นเต้น เขารอคอยวันนี้มานาน!


เหตุผลที่เขาตั้งแง่กับหวังหลินเป็นเพราะท่าทีของบรรพชนกระทิงเขียวที่มีต่อหวังหลินจนเขารู้สึกถึงลางไม่ดี จากนั้นทั้งคู่ได้ถูกส่งมาที่นี่เหมือนกันจนลิ่วเหวินหลานต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง


โซ่ตรวนสีแดงทำการดึงต่อไป กระทิงสวรรค์ร้องคำรามดังรุนแรงอย่างชัดเจน ภาพเงาของกระทิงกำลังถูกดึงออกมา


แต่โซ่ตรวนไม่สามารถประคองช่วงเวลานี้ได้นานนัก พอเห็นสถานการณ์แล้วแววตาของลิ่วเหวินหลานจึงเย็นเยียบ


“สหายเซียนโจว!” ลิ่วเหวินหลานหันกลับไปมองชายชราแซ่โจวทันที จากนั้นชำเลืองไปที่กลุ่มของหยานหลวน


ชายชราแซ่โจวยิ้มอย่างขมขื่นในใจ เขากัดฟันแน่นและคำนับฝ่ามือให้กับกลุ่มของหยานหลวน


“กระทิงสวรรค์ยังไม่ออกมา ข้าอยากขอให้เหล่าสหายอาวุโสปลดปล่อยวิญญาณดั้งเดิมเพื่อช่วยข้าดึงวิญญาณออกมา!” หลังจากชายชราแซ่โจวเอ่ยปาก แขนขวาจับไปที่หน้าผาก วิญญาณดั้งเดิมของตัวเองลอยออกมาทะยานเข้าหาวังวนและดึงไปที่โซ่ตรวน


ด้วยภายใต้สายตาข่มขู่ของลิ่วเหวินหลาน เหล่าเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นทั้งสามคนจากทุ่งยอดนภาพลันนั่งหลับตาลง วิญญาณดั้งเดิมลอยออกมาช่วยชายชราแซ่โจวด้วยความรู้สึกหมดหนทาง


“ผู้อาวุโสหยานหลวน ผู้อาวุโสตงเต๋อ!” ลิ่วเหวินหลานมองทั้งสองด้วยสายตาเย็นเยียบ


หยานหลวนถอนหายใจและไม่ลังเลอีกต่อไป ทั้งสองนั่งลงและส่งวิญญาณดั้งเดิมออกมาคว้าโซ่ตรวนสีแดง ด้วยพลังอำนาจของห้าเซียนขั้นวิบากดับสูญและมีชายชราแซ่โจวชี้นำ ทุกคนจึงดึงโซ่ตรวนกันได้


กระทิงสวรรค์ที่อยู่ในวังวนพลันร้องคำรามสั่นสะเทือนสวรรค์ เสียงดังกึกก้องผ่านวังออกไปจนถึงแผ่นดินด้านบน


ร่างเงากระทิงสวรรค์ตัวยักษ์ถูกดึงออกมาจากวังวน แรงกดดันน่าหวาดกลัวเข้าห่อหุ้มทั่วพื้นที่!


วินาทีที่เงากระทิงสวรรค์ปรากฎออกมา มันเปล่งแสงเจิดจ้าและจับสายตาของเซียนทั้งหมดด้านล่าง ร่างเงากระทิงสวรรค์หดลงอย่างรวดเร็วเบื้องหน้าสายตาและเปลี่ยนกลายเป็นชุดเกราะที่ลอยอยู่ในอากาศ!


ชุดเกราะสีดำสนิทและเปล่งกลิ่นอายวิญญาณอันทรงพลัง!


วิญญาณดั้งเดิมของกลุ่มหยานหลวนได้กลับคืนสู่ร่างกาย พวกเขาเผยท่าทีซับซ้อน ส่วนลิ่วเหวินหลานหัวเราะพลางพุ่งเข้าหาชุดเกราะ


“เกราะวิญญาณของกระทิงสวรรค์ชุดนี้จะเป็นของข้า ลิ่วเหวินหลาน!”


ทว่าในขณะที่ลิ่วเหวินหลานกำลังก้าวออกไป ลำแสงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากถ้ำที่อยู่ไม่ไกล!


“ข้าไม่ยอมให้เกราะวิญญาณเป็นของเจ้า!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)