Xian Ni 1862-1866
ตอนที่ 1862
ฉวี่เต๋อข่าย
โดย
Ink Stone_Fantasy
การลาดตระเวณเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่หวังหลินคุ้นชินไปแล้ว เขาชินกับการเดินตัวคนเดียว ซุกซ่อนในความมืด และมองไปยังพื้นที่อันไร้ขอบเขตเบื้องหน้าอย่างเงียบๆ
แสงจันทราถูกก้อนเมฆสีดำปิดบังแต่ก็ไม่ได้ปิดไปเสียหมด ราวกับมันกำลังนำทาง หวังหลินมองแสงจันทราแค่เศษเสี้ยวนั้นและค่อยๆ ก้าวเดินต่อไป
ตอนนี้ยังเป็นเวลากลางคืน ก้อนเมฆเริ่มก่อตัวมากขึ้น ไม่นานจึงเกิดเสียงฟ้าร้อง สายลมพัดเข้ามา เสียงน้ำหลั่งไหลออกมาจากทุกทิศทาง
จากนั้นฝนก็เริ่มตก
หวังหลินหยุดก้าวเดินและไปยังพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำฝน เขาสะบัดแขนปรากฏเข็มทิศเขตอาคมขึ้นในมือ เข็มทิศแสดงอย่างชัดเจนว่ามีจุดสีเขียวมากกว่าสิบจุดกำลังมุ่งหน้ามาทางเขา
หวังหลินดวงตาส่องสว่างและล่าถอยทันที เขาล่าถอยไปมากกว่าหมื่นฟุตด้วยความรวดเร็วและเปลี่ยนทิศทาง จากนั้นหยุดมองเข็มทิศในมือพร้อมกับดวงตาที่ส่องสว่าง
จุดสีเขียวบนเข็มทิศเปลี่ยนทิศทางตามหวังหลิน พวกมันดูเหมือนสังเกตได้ว่าหวังหลินเปลี่ยนตำแหน่งและพุ่งเข้ามาใกล้ๆ
ขณะเดียวกันบนเข็มทิศมีอีกสามทิศทางรอบตัวหวังหลินที่เป็นกลุ่มสีเขียวมากกว่าสิบจุด พวกมันดูเหมือนกำลังล้อมกรอบและตีวงแคบลง
‘นี่คือจุดประสงค์ของลิ่วเหวินหลาน’ ตอนที่หวังหลินออกมาจากวัง เขาเข้าใจแผนของลิ่วเหวินหลานแล้ว ลิ่วเหวินหลานสงสัยในตัวหวังหลิน ดังนั้นจึงส่งหวังหลินออกมาเพื่อดูว่าสามารถล่อพวกเซียนจากแคว้นมารเขียวได้หรือไม่
แม้หวังหลินเลือกที่จะไม่ออกมาก็ได้ แต่ด้วยนิสัยของหวังหลินที่มักจะซ่อนตัว บางครั้งการถอยเพื่อไปต่อนับว่าเป็นเรื่องที่ดีกว่า
‘หากข้าเป็นลิ่วเหวินหลาน ข้าคงผนึกทางเข้าสู่วังทุกเส้นทาง!’ หวังหลินก้าวลงบนพื้น เกิดเป็นพลังตีกลับไม่ให้เขากลับสู่วังใต้ดิน
หวังหลินเยาะเย้ยพลางจ้องมองจุดสีเขียวเกือบร้อยจุดในเข็มทิศ ดวงตาวูบวาบเป็นจิตสังหาร
คนพวกนี้ออกมาเพื่อสังหารหวังหลิน แต่ไม่รู้ว่าที่หวังหลินออกมาก็เพื่อรีบจบภารกิจที่บรรพชนกระทิงเขียวมอบให้
‘สองในสี่ทิศมีเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง…อีกสองทิศเป็นเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้น…ตั้งแต่ที่หลิวจื่อหยวนตาย แคว้นมารเขียวก็เหลือเซียนขั้นวิบากดับสูญอยู่หกคน ตอนนี้พวกเขาส่งห้าคนนี้ออกมา ดังนั้นต้องรู้แล้วว่าข้ามีเข็มทิศและเดาว่าข้าสังหารหลิวจื่อหยวน!’ หวังหลินก้าวไปทางขวา เกิดเป็นระลอกคลื่นและหายตัวไป
ทั้งสี่ทิศของทุ่งยอดนภามีเซียนมากกว่าสิบคนพุ่งทะยานมาหาหวังหลิน ชายชราแซ่จ้าวและชายชราแซ่จางต่างก็มีท่าทีมืดมน
อีกสองทิศเป็นหนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรี ทั้งสองเป็นเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นที่นำกำลังคนมากกว่าสิบคนเข้ามาหาหวังหลิน
ขณะเดียวกันห่างจากที่นี่ออกไปไกล เซียนสตรีขั้นวิบากดับสูญระดับต้นอีกคนรวมถึงเหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวหลายพันคน นางนั่งอยู่ที่นี่พร้อมกับเข็มทิศมายาตรงหน้าเพื่อเผยให้เห็นตำแหน่งที่ตั้งเข็มทิศของหวังหลินได้ชัดเจน นางออกคำสั่งและแจ้งเตือนทุกคนถึงตำแหน่งของหวังหลิน
สายฟ้าดังลั่นอยู่ในท้องฟ้า สายฝนกระหน่ำเทลงมา การเข่นฆ่าเริ่มขึ้นท่ามกลางสายฝน!
ฉวี่เต๋อข่ายคือเซียนไร้สำนักของแคว้นมารเขียวและบรรลุไปถึงขั้นวิบากดับสูญระดับต้น นี่เป็นขีดจำกัดแล้วและเขาคงไม่สามารถปีนป่ายขึ้นไปได้อีกเว้นแต่จะเจอโชควาสนาครั้งใหญ่
เขาได้รับเชิญจาสำนักมารเต๋าให้เข้าร่วมการต่อสู้กับแคว้นกระทิงสวรรค์ เขาได้รับสัญญาว่าจะมีผลประโยชน์ให้มหาศาล ดังนั้นจึงเข้าร่วมกองทัพเพื่อทำลายเส้นชีพจรแห่งที่สาม
ตอนนี้เขากำลังนำพาเซียนมากกว่าสิบคนไปด้วยกัน ในกลุ่มนี้มีอยู่สามคนที่เป็นเซียนขั้นที่สาม คนที่แข็งแกร่งสุดคือขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับกลางเท่านั้น
ที่เหลือส่วนใหญ่อยู่ในขั้นทะลวงสวรรค์ พวกเขาพุ่งทะยานไปข้างหน้าโดยมีฉวี่เต๋อข่ายนำทาง
ระหว่างทางฉวี่เต๋อข่ายระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง การตายของหลิวจื่อหยวนได้ทำให้เขาตกตะลึงครั้งใหญ่ พวกเซียนขั้นวิบากดับสูญนั้นสังหารได้ยากยิ่ง แต่เมื่อสองวันก่อนหลิวจื่อหยวนกลับเสียชีวิต
เรื่องนี้ทำให้ในใจเขาเกิดความตื่นตัวครั้งใหญ่จนต้องระมัดระวัง ทว่ากลับมีความตื่นเต้นในความระมัดระวังนี้ด้วย
ความตื่นเต้นนี้ออกมาจากคำสัญญาของชายชราแซ่จาง ก่อนจะจากมา
“หากใครสังหารหวังหลินได้ ข้าสัญญาว่าจะให้จ้าวสำนักอนุญาตให้เข้าบ่อสวรรค์ได้หนึ่งพันปี!” ฉวี่เต๋อข่ายตื่นเต้นยิ่ง
ลือกันว่าตอนที่บรรพชนเทพได้ทำการแยกแกนพลังของแมงป่องมาร มีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้น แกนพลังได้แตกสลายเป็นส่วนเล็กๆจนก่อเกิดหลุมทั้งห้าขึ้นทั่วแคว้นมารเขียว หลุมทั้งห้าเหล่านี้เต็มไปด้วยพลังมาร การบ่มเพาะข้างในจะให้ประโยชน์มากมาย
ฉวี่เต๋อข่ายซึ่งมีระดับบ่มเพาะติดอยู่ที่เดิมมานาน นี่เป็นโอกาสที่เขาใฝ่ฝัน ไม่ว่ามันจะเพิ่มระดับบ่มเพาะหรือไม่ก็ตาม เขาจะต้องลองดู
‘หวังหลิน หากข้าสังหารเจ้า ข้าก็จะได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่ ระหว่างเราไม่มีข้อบาดหมางอะไรกันแต่เจ้าต้องตาย!’ ฉวี่เต๋อข่ายเลียริมฝีปาก แววตาเยือกเย็น
ขณะที่จิตสังหารผุดขึ้นมา ในใจเขาเกิดความรู้สึกตกตะลึง พอกำลังจะหันกลับมา พลันมีเสียงกรีดร้องดังลั่น
ศีรษะของสิบคนสุดท้ายในกลุ่มที่ไม่ได้บรรลุขั้นที่สามกำลังหลุดออกจากบ่า โลหิตชะโลมไปทั่วทุกที่ วิญญาณดั้งเดิมทุกคนแตกสลาย
ฉวี่เต๋อข่ายเห็นเพียงร่างสีขาวก้าวเดินออกมาจากความมืดและถือกระบี่โลหิต ร่างนั้นเคลื่อนไหวด้วยความเร็วอันแปลกประหลาด เพียงกระบวนท่าเดียว สิบคนได้เสียชีวิตทันที
หลังจากสังหารไปสิบคน หวังหลินสงบนิ่งและล่าถอยพร้อมเลือนหายไป
ฉวี่เต๋อข่ายหรี่ตาและเต็มไปด้วยความตกตะลึง หวังหลินรวดเร็วเกินไปจนน่ากลัว แต่ขณะเดียวกันเขาก็ตื่นเต้นไปด้วย
“หวังหลิน!!” ฉวี่เต๋อข่ายถอยกลับโดยไม่ลังเล เขายกแขนขวาขึ้นมาชี้ไปยังท้องฟ้า
ดอกไม้มายาอันงดงามพลันปรากฏขึ้นในคืนมืดมิดและฝนพรำ มันกินพื้นที่กว่าครึ่งท้องฟ้า ถึงแม้จะดูงดงามแต่หากมองใกล้ๆ จะเห็นว่าดอกไม้สร้างขึ้นมาจากหัวกะโหลก!
จังหวะที่ดอกไม้ปรากฏขึ้นในท้องฟ้า หวังหลินมีแววตาเย็นเยียบ ทางขวาตอนนี้เหลืออยู่ห้าคน นอกจากเซียนขั้นวิบากดับสูญแล้ว ไม่มีใครเลยในสี่คนนี้ที่คู่ควรให้เขาสนใจ
ทั้งสี่คนร่างกายสั่นสะท้านและล่าถอยทันที แต่ความเร็วกลับเทียบไม่ได้กับหวังหลิน หวังหลินเคลื่อนร่างและเกิดเป็นแสงสีแดงกะพริบวาบ กระบี่โลหิตกลายร่างเป็นมังกรโลหิตพุ่งทะยานออกไป สองคนที่โดนสัมผัสถูกหั่นเป็นชิ้นๆ และส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน
หลังจากสังหารไปสองคน เข็มทิศในร่างหวังหลินแจ้งเตือนให้รู้ว่ามีอีกสามกลุ่มกำลังมุ่งหน้ามาทางเขา เหล่าเซียนเฒ่าขั้นวิบากดับสูญระดับกลางจำนวนสามคนกำลังมุ่งหน้ามาด้วยความเร็วสูงสุด
ด้วยความเร็วเท่านี้คงต้องใช้เวลาครึ่งชั่วโมงครึ่งเพื่อมาถึง
ยังมีเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นที่ออกมาจากกลุ่มและมุ่งหน้ามาหาเขา
‘ครึ่งชั่วโมง…’ หวังหลินดวงตาส่องสว่างและพุ่งเข้าหาฉวี่เต๋อข่าย ตอนนี้ฉวี่เต๋อข่ายส่งสัญญาณดอกไม้ เขาตั้งใจว่าตั้งแต่ที่พบหวังหลินจะทำการรั้งเอาไว้เพื่อให้ได้รับความดีความชอบครั้งใหญ่
ฉวี่เต๋อข่ายเยาะเย้ย เขาไม่สนว่าใครจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ขณะที่หวังหลินพุ่งเข้ามา ฉวี่เต๋อข่ายยกแขนขวาและปล่อยมือลงทันที
เพียงปล่อยมือลง ได้สร้างผนึกอย่างรวดเร็วเกือบหนึ่งล้านผนึก ก่อเกิดเป็นสิงโตตัวยักษ์ขนาดพันฟุต ส่งเสียงคำรามพร้อมกระโจนเข้าหาหวังหลิน
หวังหลินไม่เคยเจอการสร้างผนึกด้วยความเร็วแบบนี้มาก่อน วิชาประหลาดของฉวี่เต๋อข่ายช่างรวดเร็วยิ่ง
เจ้าสิงโตร้องคำรามพลางพุ่งใส่หวังหลิน เกิดแสงโลหิตกะพริบวูบวาบและเสียงดังกึกก้อง คลื่นยักษ์กระจายไปบนพื้นดิน สายฝนในท้องฟ้าพังทลายเป็นวงกว้าง พื้นที่บริเวณนี้กลายเป็นพื้นที่ไร้สายฝนไปชั่วขณะ
ฉวี่เต๋อข่ายเพิ่งใช้วิชาออกไปแต่ไม่หยุดชะงัก เขาถอยไปสามก้าว แขนขวาพลันกดลงบนพื้นดิน ช่วงการเคลื่อนไหวสั้นๆ ฝ่ามือได้สร้างผนึกเกือบสี่ล้านแบบด้วยความเร็วอันน่าตื่นตระหนกและกดลงเข้ากับพื้นดิน
พื้นดินสั่นสะเทือนกลายเป็นมนุษย์โคลนตัวยักษ์สี่ตัวปรากฏออกมาบนพื้นดินอย่างรวดเร็ว พวกมันพุ่งเข้าหาหวังหลินไปพร้อมกับเจ้าสิงโต
เพียงหวังหลินทะยานออกมาจากสิงโต มนุษย์โคลนทั้งสี่ได้พุ่งเข้ามาโดยไม่ให้เขาได้มีโอกาสฟื้นพลัง
แม้หวังหลินเคยเจออันตรายหลายอย่างมาในชีวิต นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจออะไรแบบนี้
‘ความเร็วการร่ายนั่นมันอะไรกัน ฝ่ามือรวดเร็วได้ขนาดนี้เชียวหรือ?!’ หวังหลินหรี่ตาลง ขณะที่มนุษย์โคลนสี่ตัวเข้ามา เขาเห็นฉวี่เต๋อข่ายถอยไปสามก้าว แขนซ้ายเคลื่อนไหวสร้างผนึกเกือบห้าล้านครั้ง ผนึกได้เปลี่ยนกลายเป็นก้านธูปหนึ่งดอก เขาจับมันเอาไว้และชี้มาที่หวังหลิน
จิตใจหวังหลินสั่นสะท้าน พลังลึกลับเข้าสู่ความคิด
หลังจากนั้นไม่นาน ควันจากก้านธูปได้เปลี่ยนกลายเป็นอสูรคล้ายวาฬ มันอ้าปากและกำลังจะกลืนกินหวังหลิน
ตอนที่ 1863
กลืนกินเต๋าแห่งสวรรค์!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหตุการณ์ทั้งหมดรวดเร็วเกินไป ฉวี่เต๋อข่ายปักก้านธูปลงบนพื้นอย่างรุนแรง จากนั้นถอยไปอีกสามก้าว แขนซ้ายสร้างผนึกเกือบหกล้านครั้ง แขนขวาก็สร้างได้เกือบหกล้านเช่นกัน จากนั้นสองมือกดลงบนพื้น
ปัง!
ดินโคลนรอบตัวหวังหลินเคลื่อนไหวจนกลายเป็นวังวนดินโคลน ขอบยกสูงขึ้นเป็นกำแพงดิน
มองไกลๆ ราวกับดินโคลนก้อนใหญ่ขึ้นห่อหุ้มหวังหลินในทันที
“โคลนสังหาร!” ฉวี่เต๋อข่ายร้องคำราม จากนั้นก้อนดินโคลนก็หดตัวลง
ฉวี่เต๋อข่ายมีชื่อเสียงอย่างมากบนแคว้นมารเขียว สิ่งที่ทำให้เขาน่าสะพรึงกลัวคือความเร็วการร่ายวิชาที่ไร้คู่แข่ง ท่ามกลางเซียนในระดับเดียวกัน เขาสามารถใช้ความได้เปรียบนี้เพื่อร่ายวิชามากมายและไม่ยอมหยุดจนกว่าจะกระหน่ำอีกฝ่ายจนตาย!
นี่เป็นเหตุผลว่าถึงแม้เขาจะเป็นเซียนไร้สำนัก เขาก็ยังถูกสำนักเต๋ามารเชิญชวน!
หวังหลินอยู่ในก้อนโคลนและรอบด้านมีมนุษย์โคลนอีกสี่ตัว เสียงดังสนั่นกึกก้อง ทั้งยังมีพลังลี้ลับจากก้านธูปลึกลับโผล่ออกมาจากร่างฉวี่เต๋อข่ายอีก ด้านนอกก้อนโคลนมีร่างเงาคล้ายวาฬยักษ์ได้อ้าปากและกลืนกินเข้าไป
หลังจากกินก้อนโคลน เจ้าวาฬได้หายไปแต่ยังมีโคลนเหลืออยู่ อสรพิษสีดำปรากฏขึ้นเก้าตัว พวกมันพ่นควันพิษแทงทะลุใส่โคลนในทันที
เสียงดังขึ้นอีกครั้ง ไม่นานโคลนก็พังทลาย พลังแข็งแกร่งระเบิดออกมาจากภายใน ปรากฏเป็นกำปั้นยักษ์เข้าทำลายโคลนและทำให้อสรพิษสีดำต้องแตกสลายไปหลายตัว โคลนที่พังทลายเผยออกมาเป็นหวังหลินที่อยู่ในสภาพย่ำแย่
หวังหลินผ่านเหตุการณ์อันตรายมากมายตั้งแต่เยาว์วัย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่มีเวลาต่อสู้กลับและถูกอีกฝ่ายโจมตีใส่ดุจพายุ
ทั้งหมดเพราะศัตรูสามารถร่ายวิชาด้วยความเร็วอันน่าตกตะลึง
เพียงหวังหลินก้าวเดินออกมาจากดินโคลน กระบี่สีเหลืองส่งเสียงหวีดหวิวพุ่งทะยานเข้าหาเขา
ด้านหลังกระบี่สีเหลืองเป็นยักษ์โคลนจำนวนสิบแปดตัว
ด้านหลังยักษ์โคลนมีภาพวาดเคลื่อนเข้ามาดุจสายริบบิ้น
ด้านหลังภาพวาดเป็นกระดูกโบราณที่เปล่งกลิ่นอายเก่าแก่กำลังโยนมาทางหวังหลิน
ด้านหลังไปอีก ต้นหญ้าพริ้วไหวและถูกดึงออกมาจากพื้น ใบหญ้าแต่ละใบเปลี่ยนกลายเป็นหยดของเหลวสีเขียวพุ่งเข้ามานับไม่ถ้วน
ด้านหลังไปอีกมีสายหมอกคล้ายกับดึงออกมาจากก้อนเมฆบนท้องฟ้าและก่อตัวเป็นฝ่ามือสองข้าง พวกมันเข้าหาหวังหลินจากทางด้านซ้ายและด้านขวา
เจ้าวาฬที่กลืนกินไปและเปลี่ยนเป็นอสรพิษเก้าตัวได้พ่นควันพิษอีกครั้งพร้อมกับอ้าปาก มันกำลังกลืนกินหวังหลินเป็นครั้งที่สอง
ในประสบการณ์ของฉวี่เต๋อข่าย ตราบใดที่เจ้าวาฬกลืนกินรอบที่สาม เซียนคนใดก็ตามที่มีระดับบ่มเพาะเท่ากันก็ยังต้องบาดเจ็บสาหัส!
พอเห็นแบบนี้แม้แต่หวังหลินยังรู้สึกด้านชา เขาไม่เคยจินตนาการออกว่าจะมีคนที่สามารถร่ายวิชาด้วยความเร็วอันน่ากลัวระดับนี้ได้
เพียงแค่ชั่วเวลาสั้นๆ แต่อีกฝ่ายกลับใช้วิชาได้หลากหลายต่างชนิด ตอนนี้รอบด้านเต็มไปด้วยวิชาจนทำให้หวังหลินเกิดภาพหลอนว่าเขาไม่ได้สู้กับคนเพียงคนเดียวแต่มีมากมาย!
คิดเอาตอนนี้ก็สายเกินไปแล้วเพราะกระบี่สีเหลืองเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ มันมีกลิ่นอายทรงพลังราวกับมั่นใจว่าจะผ่าร่างหวังหลินได้เป็นสองส่วน
ความเร็วและความต่อเนื่องของเหล่าวิชาได้ทำให้หวังหลินไม่มีเวลาตอบสนอง วินาทีที่หวังหลินปรากฏตัว เหล่าวิชาก็ได้มาถึงแล้ว
เสียงเหล็กกระทบดังออกมาจากร่างกายและเกิดเสียงปะทุดังกึกก้อง กระบี่ฟาดลงใส่ร่างหวังหลินทำให้เขากระเด็นกลับไป
เสื้อผ้าหวังหลินได้รับความเสียหายจนขาดรุ่งริ่ง นี่เป็นสภาพย่ำแย่ที่สุดที่หวังหลินเคยเจอ ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีร่างบัญชาโบราณ กระบี่เหินเล่มนี้คงทำให้เขาบาดเจ็บไปแล้ว
ต่อจากกระบี่เหิน ร่างโคลนทั้งสิบแปดตัวไม่ยอมให้หวังหลินได้มีเวลาพักผ่อน เมื่อพวกมันเข้ามาในระยะร้อยฟุต พวกมันไม่ได้โจมตีแต่กลับระเบิดตัวเองทั้งหมด
ตึง ตึง ตึง ตึง!
การระเบิดของมนุษย์โคลนทั้งสิบแปดตัวได้ก่อเกิดเป็นวังวนเข้าล้อมรอบหวังหลินและปลดปล่อยพลังทำลายล้างออกมา หวังหลินกระอักโลหิตและกำลังจะถอยแต่ภาพวาดเคลื่อนตัวเข้ามาประชิดเพื่อสร้างเป็นวังวนซ้อนหลายชั้นเข้ากักขังหวังหลิน
ภาพวาดพังทลาย เส้นด้ายจำนวน 108,000 สายปรากฏขึ้นมาลอยเข้าไปในร่างหวังหลินเพื่อทำการระเบิดจากภายใน
ยังไม่จบแค่นี้ ต่อจากภาพวาดยังเป็นกระดูกห่อหุ้มแสงสีดำถูกโยนมาหาหวังหลิน รอยแยกขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นและมีกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวโผล่ออกมา จากนั้นศีรษะยักษ์โผล่ออกมาจากรอยแยก
ศีรษะนี้เป็นศีรษะของสุนัขแต่กลับดุร้ายมาก มันเปล่งกลิ่นอายกระหายเลือด ดวงตาสีแดงจ้องมาที่กระดูกเบื้องหน้าหวังหลิน มันเห่าหอนและพุ่งออกมา
เจ้าสุนัขตัวนี้คืออสูรดุร้ายที่โดนฉวี่เต๋อข่ายจับมา เขาใช้เพื่อทำให้ศัตรูบาดเจ็บและไม่เสียแรงที่นำมันออกมา!
เจ้าสุนัขเข้าประชิดในพริบตาอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันมันก็กัดกระดูก ศีรษะใหญ่ยักษ์กระแทกเข้าหาหวังหลิน
โลหิตจำนวนมากไหลออกจากมุมปากของหวังหลิน แต่ของเหลวสีเขียวตามหลังเจ้าสุนัข พอกระทบกับหวังหลินจึงทำให้เกิดเสียงดังสนั่น
กระบวนท่าสังหารของจริงกำลังเข้ามาใกล้ กระบวนท่านี้คือฝ่ามือสองข้างที่กำลังกระแทกใส่หวังหลินจากทางซ้ายและขวา ตอนนี้ฝ่ามืออยู่ห่างจากหวังหลินไม่น้อยกว่าร้อยฟุต
ร่างหวังหลินส่งเสียงปะทุออกมาราวกับไม่สามารถทนรับไหว ในชั่วจังหวะวิกฤตินี้หวังหลินยกแขนทั้งสองขึ้นมาและโยนกำปั้นใส่ฝ่ามือที่กำลังเข้ามา
ขณะเดียวกันร่างเงาคล้ายวาฬยักษ์ได้อ้าปากและพุ่งมาใส่หวังหลิน
กำปั้นของหวังหลินปะทะกับฝ่ามือจนเกิดเสียงดังกึกก้องไปทั่วทุ่งยอดนภา หมอกโลหิตจำนวนมากระเบิดออกจากร่างหวังหลินและทำให้เขากระเด็นกลับไป ร่างเงาคล้ายวาฬเข้าประชิดและกำลังกลืนกินหวังหลิน ฉวี่เต๋อข่ายภูมิใจมากกับจังหวะนี้
หวังหลินอ้าปากและพ่นหินสีดำออกมา มันระเบิดเป็นแสงสีดำผสานกับความมืดยามค่ำคืน ร่างเงาวาฬตัวหนึ่งแต่ใหญ่กว่าหลายเท่าพลันปรากฏตัว
มันคือเต๋าแห่งสวรรค์ของหวังหลิน เจ้าอสูรโลกันตร์!!
วินาทีที่เจ้าอสูรโลกันตร์ปรากฏตัว ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความสับสนและอำมหิต มันลืมความหวาดกลัวและเริ่มกลืนกิน การต่อสู้ระหว่างอสูรโลกันตร์และอสูรวาฬอันดุเดือดจึงเริ่มต้นขึ้น
ฉวี่เต๋อข่ายหรี่สายตาและหวาดกลัว เขารีบถอยและกำลังจะดึงร่างเงาวาฬกลับมา
แต่คราวนี้เขาช้าเกินไป!
อสูรวาฬของฉวี่เต๋อข่ายกำลังถอยหนีแต่กลับถูกอสูรโลกันตร์กลืนกิน
ตอนที่อสูรวาฬโดนกลืนกิน ฉวี่เต๋อข่ายหน้าซีดและกระอักโลหิต
“เต๋าแห่งสวรรค์ของข้า!!” น้ำเสียงน่าเวทนาและเจ็บปวดยิ่ง ตอนนี้ฉวี่เต๋อข่ายดวงตาแดงก่ำ เรื่องเต๋าแห่งสวรรค์ของเขาโดนกลืนกินมันเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายและเขาแทบไม่อยากเชื่อ
แม้จะคิดว่าหวังหลินก็มีเต๋าแห่งสวรรค์ เขากลับไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเต๋าแห่งสวรรค์กลืนกินเต๋าแห่งสวรรค์อีกตัวได้!!
เขาไม่รู้ว่าเต๋าแห่งสวรรค์ของหวังหลินมีของสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า หินมิติ!!
หวังหลินรีบถอยจนกระทั่งอยู่ห่างถึงหมื่นฟุต จากนั้นเขาก็กลืนหินมิติลงไป นี่เป็นครั้งแรกที่หวังหลินได้มีเวลาหายใจและผ่อนคลายได้เล็กน้อย
ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง เขามองดูฉวี่เต๋อข่ายด้วยความเคร่งขรึมและตื่นเต้น!
‘เซียนทั่วไปไม่สามารถร่ายวิชาได้เร็วขนาดนี้ได้ เขาต้องเจอโชควาสนาครั้งใหญ่และเรียนรู้วิชาพิเศษบางอย่าง!! เรื่องแบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ทั่วไป! หากข้าเรียนรู้วิชาแบบนี้ได้…’
พอจ้องฉวี่เต๋อข่าย หวังหลินดวงตาเป็นประกาย หัวใจกำลังเต้นรัวแต่เขาไม่เร่งรีบ ใต้ฝ่าเท้าเกิดระลอกคลื่นดังสนั่นและตัวเขาเลือนหายไป
จังหวะที่หวังหลินหายตัวไป วิชาของฉวี่เต๋อข่ายก็มาถึงและกระทบพื้นเสียงดังสนั่น ฉวี่เต๋อข่ายหันกลับมา ดวงตาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง
“เจ้ากลืนกินเต๋าแห่งสวรรค์ของข้า เช่นนั้นก็ยกเต๋าแห่งสวรรค์ของเจ้ามา!”
แต่ไม่ว่าฉวี่เต๋อข่ายจะค้นหาอย่างไรก็ไม่เจอกลิ่นอายของหวังหลิน ดูเหมือนเขาได้เปรียบในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่จิตใจกลับเจ็บปวดรุนแรง!
ชั่วเวลานี้เซียนเฒ่าขั้นวิบากดับสูญระดับกลางสองคนและเซียนสตรีขั้นวิบากดับสูญระดับต้นได้เข้ามาใกล้
แต่ร่างหวังหลินปรากฏตัวขึ้นห่างออกไปไกล ทิ้งกลุ่มเซียนขั้นวิบากดับสูญทั้งสามคนไว้ด้านหลัง
เป้าหมายของหวังหลินคือการพาทั้งสามคนออกห่างและเริ่มฆ่าทุกคนที่นี่
ตอนที่ 1864
จั๊กจั่นลอกคราบ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ ตรงชายขอบของทุ่งยอดนภา เซียนสตรีขั้นวิบากดับสูญระดับต้นซึ่งมีเหล่าเซียนนับพันล้อมรอบได้ลืมตาขึ้นมา เข็มทิศมายาเบื้องหน้าของนางเผยให้เห็นชัดเจนว่าหวังหลินอยู่ที่ไหน
นางเคยเห็นจุดที่เป็นตัวแทนของหวังหลินหายวับและปรากฏขึ้นอีกครั้งห่างออกไปไกล นางจึงรายงานเหล่าเซียนที่กำลังไล่ล่าหวังหลินทันที
ตอนนี้เรื่องแบบเดียวกันเกิดขึ้นอีกครั้ง ทำให้นางเกิดความรู้สึกแย่ๆ ครั้งแรกยังพอรับได้แต่สองครั้งนั่นแปลว่าอาจจะมีครั้งที่สามหรือสี่ขึ้นมา ซึ่งทำให้การสังหารหวังหลินเป็นเรื่องยากยิ่ง!
‘เขาต้องมีสมบัติที่ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายพริบตาได้ ทั่วทั้งสำนักของเรามีแค่ชิ้นเดียวเท่านั้นและในแคว้นมารเขียวไม่มีมากกว่าสามชิ้น แม้แต่ในแคว้นกระทิงสวรรค์ก็ไม่ได้มีมากนัก แต่คนผู้นี้ต้องมีสักหนึ่งชิ้น!’
ในสายตานางกำลังเกิดความหวาดกลัวเมื่อเห็นแสงที่เป็นตัวแทนของหวังหลินปรากฏขึ้นในกลุ่มสีเขียวและจากนั้นหายวับไปทันที เพียงไม่นานหวังหลินก็หายไปอีกครั้งและปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มสีเขียวอีกกลุ่มที่ห่างออกไปไกล!
‘ครั้งที่สาม!!’ นางเตือนเหล่าเซียนขั้นวิบากดับสูญทั้งหมดโดยไม่ลังเล
เวลานี้เกิดเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นมาตรงจุดที่หวังหลินอยู่ เซียนจากแคว้นมารเขียวมากกว่าสิบคนถูกห่อหุ้มด้วยสายหมอก ไม่นานนักเสียงกรีดร้องจึงเบาลง สายหมอกเปลี่ยนกลับมาเป็นหวังหลิน
หวังหลินใบหน้าแดงเล็กน้อยและไม่ซีดขาวอีกแล้ว ในการต่อสู้กับฉวี่เต๋อข่ายเขาบาดเจ็บสาหัสจนต้องใช้วิธีเดียวกันกับที่ใช้ในโลกถ้ำ คือการกลืนกินเซียนเพื่อฟื้นฟูพลัง
หลังจากกลืนกินไปสองกลุ่มในคราเดียว หวังหลินดวงตาส่องสว่างขึ้นมาและเลือนหายไป ชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปไหม้ต่อจากนั้นกลุ่มเซียนจากแคว้นมารเขียวกลุ่มที่สามก็ตายและกลายเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นฟูพลังให้หวังหลิน
ตอนนี้เหลือเพียงเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางสองคนและระดับต้นสองคนเท่านั้น! ทั้งสี่คนระมัดระวังตัวมากและไม่กระจายกำลังออกไป เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางแต่ละคนจะอยู่กับระดับต้นอีกหนึ่งคนและมุ่งหน้าไปหาหวังหลิน
ทั้งหมดนี้หวังหลินสังเกตเห็น เขามองเข็มทิศและมีแววตาเป็นประกายเย็นเยียบ เป้าหมายของเขาคือเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นที่สามารถร่ายวิชาได้รวดเร็ว วิชานั่นทำให้หวังหลินสนใจ
ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มทอแสงและรุ่งอรุณกำลังมาถึง แต่สายฝนกลับรุนแรงจนพื้นเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน
ระยะห่างออกไปจึงพร่ามัวเพราะฝนตก ได้ยินแต่เพียงเสียงสายฝนเท่านั้นที่ชัดเจนมากขึ้น
สายตาหวังหลินจดจ้องไปบนเข็มทิศอีกครั้ง จุดสีเขียวทั้งสี่จุดเข้ามาใกล้เขาจากสองทิศทาง หวังหลินมองดูอยู่นานและหาว่าจุดสีเขียวจุดใดเป็นเซียนขั้นวิบากดับสูญที่เขาต่อสู้ด้วยมาก่อน
“น่าเสียดาย เข็มทิศนี้…แต่ข้าเข้าใจโครงสร้างและเขตอาคมภายในเข็มทิศแล้ว ตราบใดที่มีวัตถุดิบ ข้าสามารถสร้างขึ้นได้อีกชิ้น” หวังหลินพึมพำจากนั้นยกแขนซ้าย ปรากฏเป็นวิญญาณดั้งเดิมดูซึมเซา
วิญญาณดั้งเดิมดวงนี้เขาได้มาจากทั้งสามกลุ่มที่ไล่ล่าเขา มันมีระดับบ่มเพาะที่พอเหมาะและไม่ได้เสียหายมากนัก
หวังหลินลบล้างเจตจำนงจากวิญญาณดั้งเดิมดวงนี้ไปแล้ว ที่เหลืออยู่เป็นเพียงร่างวิญญาณดั้งเดิมที่กำลังสับสน หวังหลินใช้แขนซ้ายเข้าไปบดขยี้วิญญาณดั้งเดิม แต่ก่อนที่มันจะสลายไป หวังหลินเติมเศษเสี้ยวสัมผัสวิญญาณของเขาลงไปก่อนจะวางไว้ในเข็มทิศ
เมื่อวิญญาณดั้งเดิมเข้าไปในเข็มทิศ มันจึงเปลี่ยนกลายเป็นควันและห่อหุ้มเข็มทิศเอาไว้ หวังหลินใช้แขนขวาโยนออกไป วิญญาณดั้งเดิมดูเหมือนเริ่มเผาไหม้และทะยานด้วยความเร็วสูงลิ่วก่อนจะเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
วิญญาณดั้งเดิมเข้าควบคุมเข็มทิศ มันกำลังเผาไหม้ตัวเองและทะยานไปยังสุดเขตแดนด้วยความเร็วสูง มันอาจจะไม่ได้นานพอ เพราะเมื่อวิญญาณดั้งเดิมเผาไหม้จนตัวเองมอดดับและตายลง เข็มทิศก็จะตกลงที่ไหนสักแห่ง
แต่ชั่วเวลาสั้นๆ แค่นี้มีก็มากพอให้หวังหลินแล้ว
ถึงแม้เข็มทิศจะไม่อยู่ในมือ การที่หวังหลินวางสัมผัสวิญญาณไว้บนเข็มทิศจึงทำให้เขารู้ว่าสี่คนที่กำลังไล่ล่าอยู่ตรงจุดไหน
ดุจดั่งจั๊กจั่นลอกคราบ หวังหลินเปลี่ยนจากเหยื่อกลายเป็นผู้ล่า!
ร่างกายกะพริบวูบวาบและออกไปจากที่นี่ ปรากฏตัวอีกครั้งบนทุ่งหญ้ายอดนภาอีกแห่งหนึ่ง เขานั่งลงและสัมผัสการเปลี่ยนแปลงบนเข็มทิศ หวังหลินมีแก่นแท้เพลิง ดังนั้นดินโคลนใต้ร่างเขาจึงแห้งในทันที
เวลาหนึ่งชั่วโมงผ่านไปในพริบตาเดียว ช่วงเวลาระหว่างนี้ระยะห่างระหว่างเซียนทั้งสี่คนมีการเปลี่ยนแปลง เป็นธรรมดาที่เซียนเฒ่าขั้นวิบากดับสูญระดับกลางไม่อยากใช้ความเร็วเพื่อรอคนอื่น เมื่อกำหนดทิศทางหวังหลินได้แล้วจึงนำหน้าและไล่ตามเข็มทิศของหวังหลิน
เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นสองคนจึงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ระยะห่างระหว่างเซียนเฒ่าจึงกว้างขึ้น หวังหลินลืมตาเผยความเย็นเยียบ
เขาสัมผัสกับหน้าอก ในร่างกายมีหินมิติอยู่ เขายังสัมผัสได้ว่าหินก้อนนี้พิเศษมากแต่ยังไม่รู้วิธีใช้ที่แน่ชัด
ตอนที่อสูรโลกันตร์ปรากฏตัวออกมากลืนกินเต๋าแห่งสวรรค์ของคนอื่น หวังหลินเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขาคิดคร่าวๆ ถึงวิธีการใช้หินก้อนนี้
‘มันสามารถทำให้อสูรโลกันตร์กลืนกินเพื่อเพิ่มพลังได้ แต่หินก้อนนี้มีมิติไร้ขอบเขต…พอผสานเข้ากับอสูรโลกันตร์จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง…’ หวังหลินดวงตาส่องสว่าง เขาอ้าปากและมีหินมิติลอยออกมา
หวังหลินถือเอาไว้ ขบคิดชั่วขณะ จากนั้นเกิดระลอกคลื่นใต้ฝ่าเท้าและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
มีเพียงหินมิติที่ตกลงบนพื้นและถูกซ่อนไว้ในพงหญ้า
ยามนี้หวังหลินปรากฏตัวขึ้นในหินมิติ เป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามาข้างในซึ่งมิติที่เขาเลือกคือหนึ่งในจำนวนนับไม่ถ้วนที่ไม่แตกต่างจากโลกจริง มันไม่ได้ใหญ่มาก มีขนาดไม่กี่แสนลี้เท่านั้น
มีภูเขา แสง พื้นดินแต่ไม่มีน้ำ
ทุกอย่างที่นี่ขาดน้ำ ดูเหมือนจริงแต่ยังไม่สมบูรณ์
หวังหลินนั่งอยู่ในหินมิติ ดวงตาส่องสว่างขึ้นและมองไปรอบๆ จากนั้นสะบัดแขนขวาปรากฏร่มสีฟ้าขึ้นมา มันลอยขึ้นไปในอากาศและทับเป็นท้องฟ้าเบื้องบน
หวังหลินสะบัดแขนขวาอีกครั้งปรากฏน้ำเต้าที่วิญญาณเต๋าสามสิบล้านดวง มันผสานเข้ากับพื้นดินทำให้เกิดการสั่นไหวและมีกลิ่นอายแห่งความตายโผล่ออกมาจากพื้น
เพียงขบคิดอีกเล็กน้อย หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมาปรากฏเป็นประทับสีทองที่ซวนลั่วมอบให้ หวังหลินมองประทับและเป่าลมหายใจใส่เข้าไป ประทับสีทองส่องประกายเจิดจ้า หวังหลินโยนมันขึ้นสู่ท้องฟ้า กลายเป็นดวงตะวัน
หลังจากเสร็จเรื่องทั้งหมด หวังหลินนำใบเรือหน้าผีที่เขาสร้างไว้ออกมา ใบเรือกระจัดกระจายและเปลี่ยนกลายเป็นก้อนเมฆ
ก้อนเมฆดูเรียบง่ายแต่กลับสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่าง
สิ่งสุดท้ายที่เขานำออกมาคือหุ่นเชิดเย่ซื่อและราชายุง เจ้าราชายุงเปลี่ยนขนาดของมันและหายวับเข้าไปในก้อนเมฆ
ส่วนหุ่นเชิดเย่ซื่อ มันผสานเข้ากับพื้นดิน กลิ่นอายจากวิญญาณเต๋าจากน้ำเต้าซ่อนเจ้าหุ่นเชิดเอาไว้
“โลกนี้ขาดเวรกรรม…” หวังหลินพึมพำพลางนั่งลง วังวนปรากฏขึ้นกลางหน้าผาก จากนั้นแก่นแท้เวรกรรมควบแน่นเป็นกระบี่ยาวและหายไปในโลกนี้
“รวมถึงชีวิตและความตาย จริงและเท็จ…” หวังหลินพึมพำ สองแก่นแท้ลอยออกมา ก่อเกิดเป็นกระบี่ยาวสองเล่มและเลือนหายไป
“รวมถึงการสังหารและเขตอาคม…” จิตสังหารปรากฏขึ้น ก้อนเมฆกลายเป็นสีดำ หิมะสีดำเริ่มตกลงมา เกล็ดหิมะแต่ละอันมีแก่นแท้เขตอาคมรวมอยู่ด้วย ไม่นานนักพื้นดินจึงปกคลุมไปด้วยหิมะสีดำบางๆ หนึ่งชั้น
“รวมถึงเพลิง สายฟ้า น้ำ…” หวังหลินสะบัดแขนและยืนขึ้น เปลวเพลิงโหมกระหน่ำในตาซ้าย สายฟ้ากะพริบในตาขวา ทะเลเพลิงก่อเกิดเป็นกระบี่ กระบี่ได้กลายเป็นภูเขาไฟ
สายฟ้าเปลี่ยนเป็นกระบี่เช่นกัน กระบี่เปลี่ยนกลายเป็นทะเลสายฟ้า! ทะเลนี้ไม่ได้สร้างขึ้นจากน้ำแต่สร้างขึ้นจากประกายสายฟ้ามากมาย!
หลังจากเสร็จเรื่อง หวังหลินสะบัดแขนเสื้อและหายตัวไปจากที่นี่ แสงอ่อนๆ โผล่ขึ้นตรงจุดที่หินมิติตกลงไปในทุ่งยอดนภา หวังหลินปรากฏตัวออกมาและหยิบหินมิติ จากนั้นทอดสายตามองออกไป
พื้นที่การสังหารได้ถูกเตรียมไว้แล้ว ตอนนี้เขาแค่ต้องบดขยี้แต่ละคนด้วยกำลัง!
อ้างอิงจากสัมผัสวิญญาณที่เขาทิ้งไว้ เข็มทิศกำลังจะมอดดับ ด้านหลังเข็มทิศมีเซียนเฒ่าขั้นวิบากดับสูญระดับกลางสองคนกำลังไล่ตามทัน!
ด้านหลังเซียนเฒ่าทั้งสองห่างออกไปไกลมีเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นสองคนที่กำลังเร่งรีบเข้ามา
หวังหลินก้าวทะยานไปข้างหน้า เกิดระลอกคลื่นดังกึกก้องแต่เขาไม่ได้ผสานเพื่อจากไป เขายังคงรอคอยอยู่
หนึ่งลมหายใจ สองลมหายใจ สามลมหายใจ…จนกระทั่งลมหายใจที่สิบเก้า หวังหลินจึงสัมผัสได้ชัดเจนว่าเข็มทิศพังทลาย วิญญาณดั้งเดิมข้างในแตกดับ ร่องรอยสัมผัสวิญญาณที่เขาทิ้งเอาไว้ก็ถูกทำลายไปด้วย
คล้ายกับได้ยินเสียงโกรธเกรี้ยวจากเศษเสี้ยวสัมผัสวิญญาณ
หวังหลินก้าวเท้าอย่างรุนแรงและเลือนหายไป
ตอนที่ 1865
กับดัก!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฉวี่เต๋อข่ายทะยานร่างอยู่บนทุ่งยอดนภาด้วยความรู้สึกมืดมน ในการต่อสู้กับหวังหลินเขาได้สูญเสียเต๋าแห่งสวรรค์ซึ่งยากจะยอมรับได้ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเต๋าแห่งสวรรค์ได้ถูกตัดขาดไปตอนที่มันโดนกลืนกิน ทำให้เขาเกิดอาการบาดเจ็บ
ตอนนี้วิญญาณดั้งเดิมอ่อนแอ ใช้เวลาสักพักจึงจะฟื้นคืนมาได้
‘หวังหลิน เจ้าต้องตาย!! มีเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางสองคนกำลังไล่ล่าเจ้า ข้าอยากเห็นว่าเจ้าจะหนีไปได้อย่างไร! ผู้อาวุโสจางสัญญากับข้าแล้วว่าเมื่อเจ้าถูกจับได้ เขาจะส่งเจ้ามาให้ข้าภายในสองสามวัน ข้าจะให้เจ้ารับรู้ถึงความทรมานจนอยากตาย!’
ฉวี่เต๋อข่ายเกลียดชังหวังหลินเพราะเต๋าแห่งสวรรค์โดนกลืนกินไป ยิ่งเขารู้สึกเจ็บปวดมากเท่าไรก็ยิ่งเกลียดหวังหลินมากเท่านั้น!
ขณะที่ท่องทะยาน สีหน้าท่าทางพลันเปลี่ยนไปและมองข้างหน้า วินาทีนั้นเขารู้สึกถึงความผันผวนออกมา
พอมองไปที่ความผันผวน ฉวี่เต๋อข่ายเห็นหวังหลินก้าวเดินออกมาจากความว่างเปล่า เปลี่ยนทิศทางและจากไป เขาสังเกตเห็นว่าหวังหลินก็เห็นเขา สีหน้าหวังหลินเปลี่ยนไปก่อนจะเร่งความเร็วขึ้น ใต้ฝ่าเท้าเกิดระลอกคลื่น ซึ่งแน่ชัดว่ากำลังใช้วิธีอันประหลาดนี้ออกไปจากที่นี่
‘หวังหลิน!! เขาไม่ได้อยู่ตรงหน้า แต่อยู่ที่นี่!’ ฉวี่เต๋อข่ายตกตะลึงพลางจ้องมองหวังหลินที่กำลังหนีไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ที่หวังหลินสามารถหายตัวไปโดยใช้วิธีอันประหลาดนั้นได้ เขาจึงไล่ตามโดยไม่มีเวลาให้คิดมากนัก
“เจ้าจะไปทางไหนก็ได้ แต่กลับมาโผล่ตรงหน้าข้า หวังหลินนี่เป็นโชคร้ายของเจ้าแล้วที่พาตัวเองมาตาย!” ฉวี่เต๋อข่ายเยาะเย้ยและรีบเพ่งสมาธิพร้อมไล่ตามหวังหลิน ใช้สัมผัสวิญญาณตรวจหาบริเวณนี้ พอไม่พบอะไรจึงผ่อนคลาย
แต่หลังจากเขาเดินทางได้เพียงหมื่นฟุต ตัวเขาพลันหายไปราวกับได้ชนเข้ากับรอยแยกอวกาศที่มองไม่เห็นและหายไป
พอเขาหายไป หวังหลินจึงเข้าไปใกล้และหายไปเช่นกัน เหลือเพียงหินมิติที่วางอยู่ในพงหญ้า เปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน
ฉวี่เต๋อข่ายหายไป!
พอเขาหายไป เซียนสตรีขั้นวิบากดับสูญระดับต้นตรงชายขอบทุ่งยอดนภาได้พลันลืมตาขึ้น นางจ้องมองเข็มทิศตรงหน้าด้วยท่าทีเปลี่ยนไป เส้นผมเส้นขนทั้งหมดลุกขึ้นทั่วร่าง
นางเห็นจุดที่เป็นตัวแทนของฉวี่เต๋อข่ายได้หายไปฉับพลัน!
“นี่…นี่…” นางหน้าซีดทันที ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ นางส่งข่าวนี้ด้วยวิธีพิเศษให้แก่เซียนขั้นวิบากดับสูญอีกสามคนในทุ่งยอดนภาโดยไม่ลังเล!
เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางทั้งสองคนมีสีหน้ามืดมนยิ่ง ทั้งคู่ไล่ตามเข็มทิศมาแต่กลับพบว่าเป็นแค่กลหลอกเด็ก พวกเขาโกรธเกรี้ยวจนไม่รู้ว่าจะไประบายที่ไหน
ขณะที่ทั้งสองเดินทาง พอได้รับข้อความมาสีหน้าแต่ละคนจึงเปลี่ยนไปและหยุดชะงักกลางอากาศ !
“ฉวี่เต๋อข่ายตามหลังเรามา ตอนนี้เขาหายไปแล้ว!!” ชายชราแซ่จางมีท่าทีเปลี่ยน
“มันต้องเป็นหวังหลินแน่ เขาใช้เข็มทิศเพื่อดึงดูดความสนใจของเราแต่กลับซ่อนตัวอยู่ในทุ่งหญ้าและลอบกัดฉวี่เต๋อข่าย!” ชายชราแซ่จ้าวผุดแววตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
ขณะที่ทั้งสองคนสังเกตเรื่องนี้ได้ ก้อนเมฆเหนือทุ่งหญ้าพลันหายไปจนเผยแสงอาทิตย์ ไม่เพียงแต่ฝนจะไม่หยุดมันกลับหนักขึ้นเรื่อยๆ
หมอกสีดำหนาแน่นพวยพุ่งออกมาจากพื้นและปกคลุมไปทั่วทุ่งยอดนภา
ชายชราแซ่จ้าวและแซ่จางหันไปมองรอบๆ แรงกดดันที่มองไม่เห็นแผ่กระจายออกมา
เซียนสตรีขั้นวิบากดับสูญระดับต้นผู้ห่างออกจากกลุ่มชายชราสองคนถึงกับตัวสั่นเทาและหยุดค้างกลางอากาศ ด้วยวิธีพิเศษที่เซียนจากแคว้นมารเขียวใช้สื่อสาร นางจึงรู้ว่าฉวี่เต๋อข่ายหายตัวไป
ขณะเดียวกันนางเห็นสายหมอกจากพื้นดินขึ้นมาปกคลุม เสียงร้องดังออกมาจากภายในหมอก
เหล่าเซียนจากวังใต้ดินพุ่งขึ้นมาโจมตีระลอกสองภายใต้การนำของลิ่วเหวินหลาน
เซียนขั้นวิบากดับสูญทั้งสามคนพยายามออกไปจากสายหมอก แต่ลิ่วเหวินหลานเอ่ยเสียงอึมครึม
“สหายเซียน ทำไมรีบจากไปเร็วนัก?” การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง
ณ ชายขอบของทุ่งยอดนภา สตรีขั้นวิบากดับสูญระดับต้นที่กำลังควบคุมเข็มทิศพลันลืมตาตื่น นางสะบัดแขนเสื้อสั่งการให้เหล่าเซียนนับพันของแคว้นมารเขียวมุ่งหน้าไป
ขณะที่การต่อสู้รอบสองเกิดขึ้นบนทุ่งหญ้า มีก้อนหินธรรมดาที่ไม่มีใครสนใจตกอยู่
ข้างในก้อนหินคือมิตินับไม่ถ้วน ตอนนี้หนึ่งในมิติเหล่านั้นมีการต่อสู้เกิดขึ้น!
ฉวี่เต๋อข่ายตกเข้าไปในมิติที่หวังหลินสร้างขึ้นมา ตอนที่เขาปรากฏตัวนั้นจิตใจสั่นเทาและรู้ว่าตกลงใส่กับดักของหวังหลินเข้าแล้ว
แต่ระดับบ่มเพาะของเขาสูงส่งจึงไม่ได้เผยอาการตื่นตระหนกให้เห็น เขามองขึ้นไปเห็นท้องฟ้าสีคราม ดวงอาทิตย์สีทอง แต่พื้นดินกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ห่างออกไปไกลยังมีภูเขาไฟ อีกทิศหนึ่งเป็นทะเลสายฟ้า
ในท้องฟ้าสีครามมีก้อนเมฆสีดำที่กำลังมีหิมะตกลงมา หิมะนั้นตกลงมาไม่รู้นานแค่ไหนและปกคลุมพื้นดินได้หลายชั้น
“หวังหลิน ออกมาเจอข้า!” ฉวี่เต๋อข่ายมีท่าทีมืดมนพลางมองไปรอบๆ
เพียงเขาเอ่ยเสียงดังกึกก้อง ร่างหวังหลินปรากฏตัวออกมาจากระลอกคลื่นตรงหน้าฉวี่เต๋อข่ายห่างออกไปหลายหมื่นฟุต จ้องมองฉวี่เต๋อข่ายด้วยความเย็นเยียบ
“วิชาของเจ้ารวดเร็วมาก มาดูกันว่าวิชาของใครเร็วกว่ากัน!” หวังหลินดวงตาส่องสว่าง
“เวรกรรม…”
เพียงเอ่ยคำพูดขึ้นมา โลกสั่นสะท้านและปรากฏกระบี่หนึ่งเล่ม กระบี่เล่มนี้เป็นตัวแทนแก่นแท้เวรกรรมของหวังหลิน
แทบจังหวะเดียวกับที่หวังหลินใช้วิชา ฉวี่เต๋อข่ายสร้างผนึกโดยไม่ลังเลหลายล้านครั้งจนก่อเกิดเป็นหมอกสีแดง คลื่นเสียงกรีดร้องดังออกมาเป็นระลอกคลื่นจากสายหมอกและมีเหล่าวิญญาณนับแสนดวงปรากฏตัว พวกมันพุ่งออกมาปกคลุมท้องฟ้า
ฉวี่เต๋อข่ายล่าถอย แขนซ้ายยกขึ้นมาสร้างผนึกอีกจำนวนเกือบเจ็ดล้านครั้งจนกลายเป็นหอก หอกบิดเบี้ยวกลายเป็นศีรษะอสรพิษตัวยักษ์พุ่งออกมา
หลังจากนั้นฉวี่เต๋อข่ายถอยไปสามก้าวและยกแขน เขากำลังจะร่ายวิชาอีก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่สามารถเทียบหวังหลินได้!
ตอนที่เขาใช้วิชาที่สอง กระบี่แห่งชีวิตและความตายของหวังหลินทะยานออกมา แต่ตอนที่เขากำลังร่ายวิชาที่สาม กระบี่จริงและเท็จของหวังหลินปรากฏขึ้นมาเร็วกว่า!
ชั่วเวลาสั้นๆ แต่เป็นช่วงที่สำคัญยิ่ง!
กระบี่เวรกรรมพุ่งประชิดเหล่าภูติผีในพริบตา ฟาดฟันด้วยพลังแห่งเวรกรรมอันลึกลับ จากนั้นเหล่าวิญญาณทั้งหมดจึงพังทลาย
ขณะเดียวกันกระบี่แห่งชีวิตและความตายของหวังหลินได้เข้าไปฟันใส่อสรพิษยักษ์ที่ถูกสร้างจากวิชาของฉวี่เต๋อข่ายด้วย
ปัง!
เจ้าอสรพิษส่งเสียงร้องก่อนตาย กระบี่แห่งชีวิตและความตายของหวังหลินพังทลายไปด้วย
แต่กระบี่จริงเท็จได้เข้าหาด้วยความเร็วเหนือจินตนาการ วินาทีนั้นฉวี่เต๋อข่ายยังเรียกใช้วิชาที่สามไม่เสร็จ!
กระบี่จริงเท็จวูบวาบเข้าหาหน้าอกของฉวี่เต๋อข่าย มันรวดเร็วเกินไปจนเขาต้องถอยและส่งวิชาที่ไม่เสร็จสมบูรณ์ในมือเข้าหากระบี่
กระบี่จริงเท็จแตกสลายไปแต่ฉวี่เต๋อข่ายได้รับผลกระทบเช่นกัน ใบหน้าถอยซีดพลางล่าถอยและยกแขนขวาขึ้นมาสร้างผนึก
แต่หวังหลินจะปล่อยให้เขามีโอกาสได้อย่างไร? ในที่สุดหวังหลินก็ขัดขวางการร่ายวิชาของฉวี่เต๋อข่ายได้และล่อลวงเขามาสู่พื้นที่สังหารที่นี่ หวังหลินต้องสังหารฉวี่เต๋อข่ายเพื่อต้องการได้ความลับการร่ายวิชานั้นมาครอบครอง!
ขณะที่ฉวี่เต๋อข่ายถอยไปสองก้าว หวังหลินมีท่าทีดุดันและชี้ตรงไปข้างหน้า
“แก่นแท้เพลิง!”
ภูเขาไฟปะทุและเคลื่อนย้ายมาใกล้ฉวี่เต๋อข่ายในพริบตา ภูเขาไฟทำการระเบิดอย่างต่อเนื่องและเพราะหวังหลินมีร่างแก่นแท้อยู่ข้างใน มันจึงเป็นการโจมตีที่ทรงพลัง
“แก่นแท้สายฟ้า!” เมื่อหวังหลินได้โอกาสมาแล้วครั้งนึงจะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ ภูเขาที่ห่อหุ้มฉวี่เต๋อข่ายพลันเคลื่อนย้ายอีกครั้งเข้าสู่ทะเลสายฟ้าอันกว้างใหญ่
ประกายแสงสายฟ้านับไม่ถ้วนพุ่งเข้าหาภูเขาไฟ สายฟ้าและเปลวเพลิงเริ่มกระหน่ำโจมตีอย่างบ้าคลั่ง!
“แก่นแท้วารี!” หวังหลินสะบัดแขนเสื้อ จากนั้นกัดปลายลิ้นพ่นโลหิตออกมา มิติแห่งนี้ไม่สมบูรณ์และไม่มีน้ำ แต่หวังหลินใช้แก่นแท้วารีที่ควบแน่นอยู่ในโลหิตของตัวเอง โลหิตจึงเปลี่ยนกลายเป็นหยดน้ำสีแดงลอยเข้าหาภูเขาไฟและสายฟ้า วินาทีที่หยดน้ำสีแดงร่อนลงไป เปลวเพลิงพังทลาย สายฟ้าเกิดการระเบิด
การผสานกันของสามแก่นแท้ได้ก่อเกิดพลังทำลายล้างมหาศาลขึ้นมา ในยามนี้เองแก่นแท้นามธรรมทั้งสามที่ได้หายตัวไปพลันฟื้นคืนเป็นกระบี่ยาวและพุ่งเข้าหา
ตอนที่ 1866
ตะเกียง!
โดย
Ink Stone_Fantasy
แก่นแท้แห่งชีวิตและความตาย เวรกรรม จริงเท็จ เพลิง วารีและสายฟ้า! หกแก่นแท้เริ่มการกวาดล้าง
ภูเขาไฟพังทลาย สายฟ้าเกิดการระเบิด แก่นแท้วารีเปลี่ยนกลายเป็นควัน กระบี่สามแก่นแท้นามธรรมได้พุ่งเข้าไปพร้อมกับที่เสียงคำรามของฉวี่เต๋อข่ายดังกึกก้อง
ฉวี่เต๋อข่ายกระอักโลหิตขณะที่ปกคลุมอยู่ในแสงไฟ เขาตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ ถอยร่นพร้อมกับหน้าซีดเผือด
มีตะเกียงดวงหนึ่งลอยอยู่เหนือศีรษะ แสงรอบร่างของเขาออกมาจากตะเกียงนี้ มันคือสมบัติป้องกัน ดังนั้นฉวี่เต่อข่ายจึงแค่บาดเจ็บและไม่ถึงกับตาย
การสังหารเซียนขั้นวิบากแก่นแท้นับว่าเป็นเรื่องยากและหวังหลินก็เข้าใจดี พอเห็นฉวี่เต๋อข่ายหนีการโจมตีรอบแรกไปได้ หวังหลินรู้สึกเสียดายแต่ก็ไม่ท้อใจ ทั้งหมดอยู่ในการคาดการณ์ไว้แล้ว!
ฉวี่เต๋อข่ายยากกว่าหลิวจื่อหยวน ดังนั้นหวังหลินจึงไม่ยอมให้อีกฝ่ายมีเวลาพักหายใจ เมื่อฉวี่เต๋อข่ายมีโอกาสได้ร่ายวิชาด้วยความเร็วอันน่ากลัวครั้งใด หวังหลินจะไม่สามารถหยุดยั้งได้ ถึงตอนนั้นพื้นที่การสังหารแห่งนี้จะไม่ได้เตรียมเพื่อฆ่าอีกฝ่ายแต่จะกลับกลายเป็นตัวเขาเอง
หวังหลินรู้ซึ้งถึงจุดนี้อย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเมื่อฉวี่เต๋อข่ายจ้องมองตะเกียงประหลาด หวังหลินจึงยกมือขึ้นโดยไม่ลังเล ใช้วิชายับยั้งโดยไม่สนถึงพลังตีกลับ
“หยุด!!”
เพียงคำเดียวได้เกิดระลอกคลื่นรุนแรงขึ้นในร่างหวังหลิน ช่องว่างระหว่างระดับบ่มเพาะนั้นถือว่าใหญ่หลวงนัก เขาจึงต้องเผชิญพลังตีกลับเพื่อหยุดยั้งฉวี่เต๋อข่าย หวังหลินในตอนนี้จึงกระอักโลหิตแต่สีหน้าท่าทางดุร้ายกว่าเดิม
ภายใต้ผลของวิชายับยั้ง ขณะที่ฉวี่เต๋อข่ายกำลังยกแขนขวาขึ้นมา ทั้งร่างพลันสั่นสะท้าน เขารู้สึกว่ามีเส้นด้ายนับไม่ถ้วนห่อหุ้มรอบตัวเขาจากทุกทิศทางและเข้าไปในร่างเพื่อจำกัดการเคลื่อนไหว
แม้แต่ตะเกียงเหนือศีรษะก็ยังหมองหม่น การเชื่อมต่อกับฉวี่เต๋อข่ายถูกวิชายับยั้งหยุดเอาไว้!
ทว่าระดับบ่มเพาะของฉวี่เต๋อข่ายสูงส่งกว่าหวังหลินมาก ดังนั้นวิชานี้จึงหยุดเขาได้เพียงชั่วขณะเท่านั้น อย่างไรก็ตามชั่วขณะนี้ได้ทำให้หวังหลินขัดขวางการร่ายและการต่อต้านของอีกฝ่ายได้ ทำให้หวังหลินได้มีโอกาสโจมตีรอบที่สอง!
ขณะที่หวังหลินเอ่ยปากออกมา เขาสะบัดแขน เกล็ดหิมะสีดำนับไม่ถ้วนถูกสายลมรุนแรงพัดเข้าหาฉวี่เต๋อข่าย
แม้กระทั่งหิมะสีดำบนพื้นยังถูกพัดเข้าหาฉวี่เต๋อข่าย หิมะสีดำนี้ถูกสร้างขึ้นจากแก่นแท้เขตอาคมของหวังหลิน ดังนั้นเกล็ดหิมะทุกชิ้นจึงมีเขตอาคมอยู่นับไม่ถ้วน
หิมะทั้งหมดในโลกเข้าล้อมรอบฉวี่เต๋อข่ายและเริ่มการกักขัง!!
ทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ทันทีที่ฉวี่เต๋อข่ายฟื้นคืนมา เขาจึงหรี่ตาแคบและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
‘นี่…นี่มันวิชาแบบไหนกัน?! ถึงกับสามารถหยุดความคิดและการกระทำของข้าทั้งหมดได้! ข้าไม่เคยเจอวิชาแบบนี้มาก่อน!’ หลังจากเคลื่อนไหวได้เขาจึงรีบถอยและยกแขนขึ้นมา
“หยุด!!” หวังหลินคำรามและชี้ไปอีกครั้ง!
คราวนี้หวังหลินกระอักโลหิต ใบหน้าซีดเซียวแต่ดุดัน ฉวี่เต๋อข่ายเพิ่งจะได้รับอิสระแต่ก็โดนแช่แข็งอีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่แววตาเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา
หิมะสีดำตกลงมาจากก้อนเมฆสีดำที่ถูกสร้างขึ้นจากใบเรือหน้าผี เหตุผลที่ใบเรือหน้าผีเป็นสมบัติที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักมหาวิญญาณเพราะมันมีความสามารถในการไม่สนใจระดับบ่มเพาะและรบกวนจิตใจได้
ก้อนเมฆสีดำในท้องฟ้าตอนนี้เกิดเสียงดังสนั่นและตกลงมาจนกลายเป็นสตรีชุดขาวที่เห็นแต่เพียงด้านหลัง
นางกำลังร้องไห้ เสียงร้องบาดลึกถึงจิตใจและทำให้ขนลุกขนพอง นางไม่ใช่คนแต่เป็นผี!
พอฉวี่เต๋อข่ายได้รับอิสระกลับมาอีกครั้งเขาได้เห็นก้อนเมฆสีดำเปลี่ยนกลายเป็นสตรีชุดขาว ร่างของนางปรากฏขึ้นในใจเขาไปด้วย
สายตาของฉวี่เต๋อข่ายเกิดความสับสน หวังหลินสะบัดแขนทำให้พื้นดินส่งเสียงดังสนั่น วิญญาณเต๋าสามสิบล้านดวงที่ผสานเข้ากับพื้นได้โผล่ออกมาเป็นเส้นใยสีดำเข้าหาฉวี่เต๋อข่าย
ไม่นานนักวิญญาณเต๋าสามสิบล้านดวงได้พาร่างของฉวี่เต๋อข่ายเข้าไปบนท้องฟ้าซึ่งท้องฟ้านี้คือร่มสีฟ้าของหวังหลิน ไม่เพียงแต่มันจะมีการป้องกันที่แข็งแกร่งแต่ยังมีการโจมตีรุนแรงด้วย
มองไกลๆ ราวกับร่างของฉวี่เต๋อข่ายกำลังพุ่งเข้าไปในท้องฟ้าดุจอุกกาบาต พอเขาเข้าไปใกล้ท้องฟ้ามากแล้ว หวังหลินจึงส่งเสียงคำราม
“ฆ่า!!”
ท้องฟ้าสีครามพังทลายพร้อมกับเสียงดังสนั่นกึกก้อง วิญญาณเต๋าสามสิบล้านดวงได้โจมตีพร้อมกันทั้งหมด พลังทำลายล้างพุ่งทะยานเข้าหาฉวี่เต๋อข่ายที่อยู่ตรงใจกลาง
ขณะเดียวกัน เสียงร้องไห้ของสตรีชุดขาวได้พาฉวี่เต๋อข่ายเข้าสู่ความฝัน
หวังหลินไม่มีเวลากลับไปดูผลลัพธ์ เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นนับว่าสังหารได้ยากเกินไป ทุกคนล้วนมีชื่อเสียง การต่อสู้ด้วยนั่นหมายความว่าเขาไม่สามารถผ่อนคลายได้แม้แต่เสี้ยววินาที
ร่างแก่นแท้เพลิงของหวังหลินปรากฏขึ้นด้านหลังและชี้ไปยังท้องฟ้า
“วิชาสีรุ้ง!” สิ้นเสียงเอ่ย โลกจึงปกคลุมอยู่ในแสงสีรุ้ง แสงควบแน่นกลายเป็นหอกสองเล่ม เล่มที่สองปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง ทั้งสองเล่มพุ่งตามกันเข้าหาฉวี่เต๋อข่ายในท้องฟ้า
“ประทับวิญญาณสงคราม!” หวังหลินเอ่ยเสียงแหบพร่าพลันผลักฝ่ามือเข้าหาท้องฟ้า ประทับฝ่ามือยักษ์ปรากฏขึ้นมาและมีประทับเพลิงอีกอันปรากฏด้วย ทั้งสองพุ่งทะยานเข้าหาฉวี่เต่อข่าย!
“ร่มบรรพกาลเผาดินแดน!!” หวังหลินร้องคำราม สองมือเคลื่อนไหวสร้างเขตอาคมนับไม่ถ้วนจนปรากฏร่มเพลิงบรรพกาลขึ้นมา ด้านหลังมีร่มอีกคันปรากฏขึ้นมาด้วย ร่มทั้งสองพับลงพร้อมกันปลดปล่อยเพลิงทำลายล้างเป็นสองเท่า
“เรียกขานสายลม อัญเชิญสายฝน!”
“ไสยเวท!!”
“ป่นขุนเขา แผ่นดินทลาย!”
“จันทรามืด ฟ้ากระจ่าง!!!” หวังหลินใช้แทบทุกวิชาที่รู้ในตอนนี้!
ดวงจันทร์สีดำปรากฏขึ้นในท้องฟ้า ทั้งยังอาจเห็นดวงจันทร์สีดำอีกดวงซ่อนอยู่ด้านหลังดวงจันทร์ดวงแรก!
นี่คือดวงจันทราคู่!
เสียงร้องโหยหวนดังสนั่นไปพร้อมกับเหล่าวิชาที่โจมตีต่อเนื่องมีทั้ง หิมะสีดำ หอกสีรุ้งสองเล่มพุ่งทะยานผ่านท้องฟ้า ประทับวิญญาณสงคราม และท้ายที่สุดคือดวงจันทราสองดวง
ฉวี่เต๋อข่ายกระอักโลหิต แขนขวาระเบิดจนแตกสลย เขาเหมือนตะเกียงไร้น้ำมันและบาดเจ็บสาหัส ถ้าไม่มีตะเกียงที่อยู่เหนือศีรษะ เขาคงตายตั้งแต่ที่หวังหลินโจมตีรอบสองแล้ว!
วินาทีนี้เปลวเพลิงในตะเกียงเหนือศีรษะกำลังสั่นไหวราวกับใกล้มอดดับ ฉวี่เต๋อข่ายเต็มไปด้วยสายตาหวาดกลัวจนรู้สึกถึงความตายรอบด้านซึ่งเขาไม่ได้สัมผัสมันมานานแล้ว
‘ตราบใดที่ข้ามีโอกาส!! ตราบใดที่ข้ามีโอกาส!!’ เสื้อผ้าของฉวี่เต๋อข่ายถูกย้อมไปด้วยโลหิต ความกลัวและความบ้าคลั่งทำให้เขาต้องถอยร่น หนึ่งก้าว สองก้าวและกำลังจะก้าวครั้งที่สาม!
“หยุด!” หวังหลินเสี่ยงอีกครั้ง เขากระอักโหลิตและใช้วิชายับยั้งเป็นครั้งที่สาม ร่างฉวี่เต๋อข่ายสั่นเทา ดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง หวังหลินเริ่มการโจมตีครั้งที่สามและเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว!
หวังหลินพุ่งทะยานเข้าหาฉวี่เต๋อข่ายที่บาดเจ็บสาหัส ขณะเดียวกันเสียงคำรามเต็มไปด้วยความดุร้ายพุ่งออกมาจากใต้พื้นดิน หุ่นเชิดเย่ซื่อที่สูญเสียแขนไปหนึ่งข้างกำลังพุ่งเข้าหาฉวี่เต๋อข่าย!
ต่อจากนั้นเป็นเจ้าอสูรยุงที่พุ่งเข้าหาด้วยความเร็วสูงสุด
มันคือการโจมตีรอบที่สามของหวังหลินและเขาต้องสังหารฉวี่เต๋อข่ายให้ได้!
สามทิศทาง สามการโจมตีรวมกันมาโดยมีฉวี่เต๋อข่ายอยู่ตรงกลาง หุ่นเชิดเย่ซื่อเข้ามาใกล้ได้เป็นคนแรก มันเผยรอยยิ้มโหดเหี้ยมออกมาพลางยกแขนที่เหลืออยู่ข่วนใส่ฉวี่เต๋อข่าย ด้วยระดับบ่มเพาะขั้นวิบากดับสูญระดับต้นของมันจึงสร้างความเสียหายรุนแรงแก่ฉวี่เต๋อข่ายที่บาดเจ็บสาหัสอยู่ก่อนแล้ว
ฉวี่เต๋อข่ายกรีดร้องโหยหวน ร่างกายเคลื่อนไหวได้ชั่วขณะแต่จากนั้นก็ระเบิดคล้ายกับร่างกายไม่สามารถทนรับการโจมตีจากเย่ซื่อได้
วิญญาณดั้งเดิมของฉวี่เต๋อข่ายรีบทะยานออกมาพร้อมตะเกียง ทว่าราชายุงเตรียมการมานานแล้ว ตอนนี้มันจึงเข้าประชิดและแทงวิญญาณดั้งเดิมของฉวี่เต๋อข่ายด้วยจงอยปากและสูดเข้าไป เสียงกรีดร้องของฉวี่เต๋อข่ายยิ่งรุนแรงขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะตะเกียงได้ปัดราชายุงให้กระเด็นออกไป เขาคงถูกกลืนกินไปเรียบร้อย
ขณะที่แสงของตะเกียงแผ่กระจายออกมา เย่ซื่อถูกแสงห่อหุ้มเอาไว้ ร่างกายปลดปล่อยควันสีดำแต่ความเจ็บปวดไม่ได้ทำให้มันล่าถอย มันกลับดุร้ายยิ่งขึ้น แขนส่งออกไปข่วนโดยไม่สนอาการเจ็บปวด
วิญญาณดั้งเดิมของฉวี่เต๋อข่ายส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน เขาอ่อนแอลงยิ่งกว่าเดิม
แต่ในจังหวะนี้เองหวังหลินได้เข้ามาประชิด!
ฉวี่เต๋อข่ายบาดเจ็บสาหัส ร่างกายแตกสลาย วิญญาณดั้งเดิมใกล้จะมอดดับ ถ้าไม่ใช่เพราะมีตะเกียงวิเศษนี้ เขาคงตายไปแล้ว
แต่ตะเกียงกลับแปลกประหลาดเกินไป การสังหารฉวี่เต๋อข่ายนั้นหวังหลินต้องตัดการเชื่อมต่อกับตะเกียง พอเข้าประชิดได้จึงคว้ากระบี่โลหิตในพริบตา วาดกระบี่ฟันลงใส่ศีรษะของฉวี่เต๋อข่าย!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น