Xian Ni 1838-1861
1838
กล่องดูธรรมดาราวกับเป็นของทั่วไปและมีแต่ฝุ่นปกคลุม ทว่ากล่องนี้กลับสามารถป้องกันไม่ให้สัมผัสวิญญาณเข้าไปข้างในได้ ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง!
มีผนึกสีเหลืองที่แห้งเหี่ยวไปแล้ว มันเปล่งกลิ่นอายเก่าแก่ราวกับอยู่มานานเกินไปและไม่มีใครปลดผนึกสีเหลืองซีดนี้ออกมา
หวังหลินมองกล่อง พลางขบคิด แต่ดวงตาส่องสว่างขึ้นและฉีกเปิดผนึกสีเหลืองที่ไม่มีคนแกะออกมานานหลายปี!
เมื่อผนึกถูกถอนออกไป หวังหลินสัมผัสได้ชัดเจนถึงพลังประหลาดเข้าแทรกซึมในร่างกาย มันโคจรในร่างเขาหนึ่งรอบและจากไปอย่างรวดเร็วราวกับตัดสินว่าคนที่เปิดกล่องเป็นคนที่ถูกเลือกหรือไม่
กระดาษปิดผนึกนั้นมีอายุมานานหลายปีและเปลี่ยนเป็นฝุ่นผงเบื้องหน้าทันที ตอนนี้เหลือเพียงกล่องที่ลอยอยู่อย่างสงบนิ่ง
หวังหลินมีสีหน้าเคร่งเครียด ตอนที่ผนึกถูกปลดปล่อย เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนจากกล่องซึ่งตรวจสอบได้ยากและพลาดกันง่ายๆ
หวังหลินยกแขนและสะบัดใส่กล่องให้มันเปิดและเผยสิ่งที่อยู่ข้างใน!
มันคือก้อนหินสีดำขนาดเท่ากำปั้น ก้อนหินนี้มีรูปทรงขรุขระและดูไม่แตกต่างอะไรกับก้อนหินธรรมดา แต่มันกลับมีหลุมเล็กเต็มไปหมดและเปล่งความผันผวนบางๆ กระจายออกมาเต็มไปทั่วทั้งถ้ำ
หวังหลินมองก้อนหินและขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรจึงส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปใส่ ทว่าเมื่อสัมผัสวิญญาณเข้าไปใกล้มันกลับถูกดูดเข้าไปในหลุมเล็กๆ พวกนั้น
หวังหลินสงบนิ่งและยอมให้ก้อนหินดูดซับสัมผัสวิญญาณ จนกระทั่งเขาเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน สีหน้าท่าทางจึงเปลี่ยนไป!
‘นี่มัน…’ หวังหลินเห็นว่าก้อนหินเล็กก้อนนี้มีอวกาศที่มิอาจวัดได้อยู่ภายใน ดูเหมือนหลุมเล็กทุกหลุมจะมีอวกาศของมันเองแยกกันอย่างอิสระ
“นี่คือเศษหินมิติ…สมบัติชิ้นแรกสำหรับเจ้า…ข้ารู้ว่าเจ้าเพิ่งมาจากโลกถ้ำเข้าสู่แผ่นดินเซียนดารา ดังนั้นเจ้าจะต้องเปิดมิติเก็บของได้ยากแน่นอน คุณค่าของหินมิติก้อนนี้คือเจ้าสามารถนำของออกมาจากมิติเก็บของได้โดยไม่ได้รับความเสียหาย แต่ไม่สามารถนำออกมาได้มากกว่าหนึ่งชิ้น ไม่เช่นนั้นมิติจะไม่มั่นคงและพังทลายลง” น้ำเสียงเก่าแก่ดังออกมาจากหินมิติ
“นี่แค่วิธีใช้หินมิติวิธีแรกเท่านั้น มันมีอีกหน้าที่หนึ่งด้วยนั่นคือใช้หล่อเลี้ยงเต๋าแห่งสวรรค์…ข้ารู้ว่าเจ้ามีเต๋าแห่งสวรรค์ที่ไม่สมบูรณ์ติดมาด้วย จงหล่อเลี้ยงมันที่นี่ มันจะค่อยๆ สมบูรณ์ขึ้นช้าๆ…”
“ของขวัญชิ้นแรกนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะชอบมัน” น้ำเสียงเก่าแก่ค่อยๆ เบาลงจนหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ว่าหวังหลินจะค้นหาในหินมิติมากแค่ไหนก็ไม่สามารถตามหาร่องรอยของเสียงนั้นได้
หวังหลินหรี่ตา ถอนสัมผัสวิญญาณออกมาจากหินมิติ จ้องมองและขบคิด
เขาไม่ได้รีบลงมือแต่วางก้อนหินไว้ด้านข้าง สายตาจับจ้องไปยังกล่องที่สอง ผนึกยังอยู่บนกล่อง และเมื่อหวังหลินสะบัดแขนเข้าใส่ ผนึกก็หลุดออกไปและมีเสียงดังปัง กล่องเปิดออกมา
ภายในมีของสิ่งเดียวคือหินหยกที่มีสายหมอกห่อหุ้ม มันดูเหมือนเป็นหินหยกที่ถูกสร้างขึ้นจากสายหมอก เมื่อมันปรากฏเบื้องหน้าหวังหลิน สายหมอกจึงเคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาด
หวังหลินจ้องหินหยกและขมวดคิ้ว ยื่นมืออกไปให้หินหยกลอยเข้ามาในฝ่ามือ จังหวะที่หินหยกสัมผัสกับแขน น้ำเสียงเก่าแก่ดังกึกก้องขึ้นในจิตใจ
“นี่คือของขวัญชิ้นที่สองที่ข้าเตรียมไว้ให้เจ้า…หินหยกนี้ถูกสร้างขึ้นจากการบ่มเพาะเต๋าเนตรวิญญาณตลอดชั่วชีวิตของข้า มันสามารถทำให้เจ้ามองเห็นการเปลี่ยนแปลงในแผ่นดินเซียนดาราได้ครั้งเดียวหรือมันจะสามารถทำนายให้เจ้าได้หนึ่งเรื่อง…”
“แต่ได้ครั้งเดียวเท่านั้น…”
น้ำเสียงหายไป หวังหลินขบคิดเงียบๆ และมองหินหยกในมือ เขาเห็นร่างนับไม่ถ้วนข้างในและรู้สึกว่าตราบใดที่เขาต้องการก็จะสามารถจัดหาคนให้มาทำนายด้วยหินหยกก้อนนี้ได้
ของชิ้นแรกทำให้หวังหลินเปิดมิติเก็บของได้อย่างปลอดภัยและหล่อเลี้ยงเต๋าแห่งสวรรค์ แม้จะน่าดึงดูดแต่ไม่ได้จำเป็นมากนัก
ทว่าของขวัญชิ้นที่สองกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มันมีค่ามากกว่าของชิ้นแรกหลายเท่า หากเรื่องที่เสียงนั้นบอกเป็นเรื่องจริงและสามารถทำนายอดีตและอนาคตของตัวเขาหรือคนอื่นได้ เช่นนั้นมันก็มีค่าต่อหวังหลินอย่างมหาศาล
ในยามวิกฤติ มันสามารถช่วยชีวิตเขาได้แน่!
หวังหลินมองหินหยก หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ผ่านไปสักพักจึงถอนสายตาออกมาดูกล่องที่สาม!
‘ของชิ้นแรกก็มีค่ามากแล้ว ชิ้นที่สองล้ำกว่ายิ่งกว่าอีก สงสัยจริงว่าชิ้นที่สามจะเป็นอะไร…’ หวังหลินวางหินหยกไว้ด้านข้าง แขนขวาจับไปยังกล่องที่สาม
เมื่อผนึกบนกล่องหายไป แม้แต่ตัวกล่องก็ดูเหมือนเสื่อมสลายลง มันเปลี่ยนกลายเป็นฝุ่นและเผยหยดน้ำผลึกใสขนาดเท่าเล็บก้อย!
หยดน้ำหยดนี้ดูคล้ายเต็มไปด้วยสายหมอกและเปล่งแสงแพรวพราวจนทำให้จิตใจพร่าเลือน หากมองดูไปนานๆ อาจจะมัวเมาอยู่ในโลกของหยดน้ำก็เป็นไปได้
กลิ่นอายแก่นแท้วารีอันทรงพลังปะทุออกมาจากหยดน้ำและเต็มไปทั่วถ้ำ กลิ่นอายได้แผ่กระจายไปทั่วภูเขาและแทบทำให้เปลวเพลิงเกิดสัญญาณใกล้จะมอดดับ!
พอหวังหลินเห็นหยดน้ำ สีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปและหรี่ตาแคบ เขาจ้องมองหยดน้ำและเกิดคลื่นรุนแรงขึ้นในใจ
ของชิ้นนี้เป็นสิ่งที่หวังหลินต้องการยิ่งกว่าสองชิ้นก่อนหน้านี้ มันคือสิ่งที่หวังหลินใฝ่ฝัน แก่นแท้วารีของเขาสมบูรณ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้นตอนที่อยู่บนดาวเบญจธาตุและไม่มีความก้าวหน้า ทำให้เขาติดอยู่ในขั้นวิญญาณดับสูญระดับปลาย
แม้หลังจากร่างแก่นแท้จะก่อตัวขึ้น มันก็ยังไม่ทำให้ระดับบ่มเพาะของหวังหลินก้าวหน้า เพียงแต่มันทำให้วิชาของเขารุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
‘ข้ามีเจ็ดแก่นแท้แล้ว เมื่อแก่นแท้วารีนี้สมบูรณ์แบบ ข้าก็จะมีแปดแก่นแท้และบรรลุขั้นวิญญาณดับสูญระดับสูงสุด หากข้าได้แก่นแท้ที่เก้าหลังจากนี้ ข้าสามารถผสานเข้าด้วยกันเพื่อทะลวงขั้นวิญญาณดับสูญและกลายเป็นเซียนขั้นแก่นแท้ดับสูญได้!’
‘ถึงตอนนั้น แม้ข้าจะอยู่แค่ขั้นแก่นแท้ดับสูญ ด้วยเก้าแก่นแท้ของข้าแล้วจึงจะสามารถต่อกรกับเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นโดยไม่ต้องใช้เหล่าสุดยอดวิชาเลย เมื่อข้าบรรลุขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับปลาย ข้าจะไม่ต้องผ่านด่านวิบากแก่นแท้ทีละด่านแต่ผ่านทั้งเก้าด่านรวดเดียว!! จากนั้นข้าก็จะกลายเป็นเซียนขั้นวิบากดับสูญ!’
หวังหลินเข้าใจดีว่าเส้นทางการบ่มเพาะของเขาแตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง เขาไม่มีเพลิงนรกานต์และพึ่งพาแต่ความเข้าใจอันบริสุทธิ์และการปล้นชิงฟ้าดิน หลังจากได้รับเก้าแก่นแท้มาและบรรลุขั้นแก่นแท้ดับสูญ เขาคงจะแตกต่างจากคนอื่นเป็นอย่างมาก
กล่าวได้ว่ากุญแจสำคัญในการเพิ่มระดับบ่มเพาะของหวังหลินคือแก่นแท้!
แม้คำว่าแก่นแท้จะฟังดูง่ายดาย แต่การได้มาและทำให้สมบูรณ์แบบถือเป็นเรื่องยากมาก พอหวังหลินมองแก่นแท้วารีเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้รับหยดแก่นแท้วารีมา มันเป็นครั้งที่สองแล้ว! ครั้งแรกจากเทียนหยุน ซึ่งด้วยหยดน้ำและโชควาสนาบนดาวเบญจธาตุได้ทำให้แก่นแท้วารีของเขาสมบูรณ์ไปหนึ่งขั้นเล็กๆ
ทว่าหยดน้ำในมือนี้กลับเหนือล้ำกว่าสิ่งที่เทียนหยุนให้มา เทียบกับสองอย่างก่อนหน้านี้มันเหมือนเอาดวงจันทร์ไปเทียบกับหิ่งห้อย!
“หยดแก่นแท้วารีนี้คือของขวัญชิ้นที่สามที่ข้าเตรียมไว้ให้เจ้า ข้าหลอมแม่น้ำ 99 สายในแคว้นธารสวรรค์และยังใช้เซียนจำนวนหนึ่งที่มีแก่นแท้วารีเพื่อหล่อเลี้ยงมัน ข้าไม่รู้ว่าแก่นแท้วารีเจ้าจะสมบูรณ์หรือไม่หลังจากดูดซับไป แต่หากไม่สมบูรณ์มันก็น่าจะห่างอีกไม่ไกลนัก…”
“ข้าหวังว่าเจ้าจะชื่นชอบของขวัญทั้งสามนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะปกป้องสำนักมหาวิญญาณของข้า…เพื่อให้ลูกหลานของข้าได้กลับคืนสู่แคว้นกลาง!”
หวังหลินดวงตาส่องสว่าง หลังจากเสียงเก่าแก่หายไปจากความคิด เขาจึงคว้าหยดน้ำเอาไว้ มันสำคัญสำหรับเขามากเหลือเกิน!
หวังหลินส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปในหยดแก่นแท้วารี หลังจากค้นดูอย่างละเอียดจึงมั่นใจว่ามันไม่มีปัญหา ดวงตาส่องสว่างขึ้นมาสายตาแทงทะลุออกไปนอกถ้ำ
“หากในอนาคตข้ามีความสามารถในการปกป้องสำนักมหาวิญญาณ ข้าจะปกป้องมันเอง!” หวังหลินเอ่ยคำพูดเสียงดังกึกก้อง ประกายสายฟ้าดังไปถึงด้านนอกสำนักมหาวิญญาณ
เซียนหลายคนสั่นสะท้าน บรรพชนกระทิงเขียวลุกขึ้นมาและลืมตา จิตใจสั่นไหวและหรี่ตาจ้องมองไปยังเสียงดังสนั่นเหมือนกับสายฟ้าที่ด้านนอก
‘บรรพชนรุ่นแรก…’
หวังหลินยกแขนซ้ายขึ้นมาสร้างผนึก กระจายแรงกดดันทรงพลังออกมาจากร่างกายและห่อหุ้มภูเขา
“ร่างแก่นแท้ ปกป้องข้า!” หวังหลินเอ่ยเสียงดังกึกก้องในสำนัก แขนขวาสร้างผนึก เปลวเพลิงจากภูเขาเพลิงไหม้ได้รวมตัวกันด้านนอกถ้ำเพื่อสร้างเป็นร่างแก่นแท้และนั่งลงไป
ขณะเดียวกันฟ่านชานเมิ่งดวงตาส่องสว่างและมองไปยังยอดเขาที่มีแต่เปลวเพลิงปกคลุม นางกำลังคิดสิ่งใดไม่มีใครรู้
หวังหลินไม่เมินเฉยฟ่านชานเมิ่งอยู่แล้ว หากเขากล้าพานางมาที่นี่ก็หมายความว่ามีวิธีต่อกรกับนาง ทันที่หวังหลินหลับตา แขนขวาจับไปยังหินมิติ
1839
หวังหลินมีหลายอย่างที่ต้องการนำออกมาจากมิติเก็บของ แต่เขามีโอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะนำสิ่งของออกมาโดยไม่ให้เกิดความเสียหาย หลังจากขบคิดชั่วครู่จึงตัดสินใจได้
ตอนนี้หุ่นเชิดมีระดับใกล้เคียงเซียนขั้นวิบากดับสูญระดันต้น มันเป็นประโยชน์ต่อเขามากที่สุด!
หุ่นเชิดเย่ซื่อที่เขาได้มาจากส่วนลึกในสุสานโบราณปรากฏขึ้นในจิตใจหวังหลิน เขายื่นมือเข้าหาหินมิติและส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปข้างใน และเปิดมิติเก็บของ!
พอมิติเก็บของถูกเปิดออก หินมิติจึงสั่นเทา มิติข้างในหนึ่งแห่งถูกมิติเก็บของเข้ามาแทนที่และพังทลายไป
เมื่อมันพังทลาย จิตสังหารมหึมาได้พวยพุ่งออกจากมิติเก็บของ พริบตานั้นร่างที่มีแขนขายาว ลิ้นสีแดงเข้ม ร่างกายผอมบางจึงปรากฏด้านข้างหวังหลิน
หุ่นเชิดเย่ซื่อนั้นดูเหมือนวานร!
เสียงคำรามและกลิ่นอายรุนแรงระเบิดออกมาจากหุ่นเชิด มันจ้องมองหวังหลินและค่อยๆ จำได้ว่าหวังหลินเป็นใคร พอได้สติแล้วดวงตาจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย
หวังหลินจ้องมองร่างอันดุร้ายที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร เอ่ยคำสั่งออกไป “เย่ซื่อ คุ้มกันข้า!”
“กรรร!”
มันใช้ดวงตาอันดุร้ายจ้องมองไปที่ทางเข้าถ้ำ ลิ้นสีแดงลากไปบนพื้นจนดูน่าตกตะลึง ตอนนี้หากมีคนเข้ามาในถ้ำคงถูกหุ่นเชิดเย่ซื่อโจมตีอย่างบ้าคลั่ง
หวังหลินยังคงกังวลและมองไปที่รอยสักราชายุง ตอนที่เขามองไป ดวงตาของราชายุงเผยแววเย็นเยียบและมองมาที่หวังหลิน
ราชายุงคือชั้นป้องกันสุดท้ายที่หวังหลินเตรียมการไว้สำหรับการปิดด่านบ่มเพาะ
ตอนนี้หวังหลินผ่อนคลายได้เล็กน้อย เขานั่งลงในถ้ำและมองหยดน้ำด้วยความตื่นเต้น สูดลมหายใจเข้าและประทับหยดน้ำตรงกลางหน้าผาก
โลหิตในร่างเริ่มเดือดพล่าน แก่นแท้วารีในร่างพลันเข้าผสานกับหยดน้ำอันใหม่และเกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าตะลึง
ช่วงระหว่างนี้ร่างกายหวังหลินแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว ราวกับน้ำและโลหิตในร่างทั้งหมดถูกดูดไปรวมกันที่จุดเดียว
ร่างกายเหี่ยวแห้งในชั่วเวลาครึ่งก้านธูปไหม้ เขาเหมือนกับโครงกระดูก เรือนผมเหี่ยวเฉา ผิวหนังเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นราวกับซากศพเน่าเปื่อยมาหลายปี!
หยดแก่นแท้วารีเข้าดูดซับโลหิตและน้ำทั้งหมดในร่างหวังหลิน มันเป็นผลึกใสกระจ่างแต่พอมันถูกซ่อนไว้ในร่างจึงไม่สามารถมองเห็นจากด้านนอกได้
การควบแน่นและการดูดซับของแก่นแท้วารีดูน่ากลัวเช่นนี้ เพราะร่างกายของเซียนมีน้ำเป็นองค์ประกอบและในโลหิตก็มีน้ำอยู่ด้วย
ขณะที่เขาควบแน่นแก่นแท้วารี ร่างกายจึงได้รับผลกระทบทันที ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมร่างของเขาจึงดูเหมือนซากศพเหี่ยวแห้ง
วันเวลาเจ็ดวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า หวังหลินนั่งนิ่งไม่ไหวติงราวกับตายไปแล้วจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมีเพียงกลิ่นอายของเขาที่ไม่หายไปแต่กลับแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย คนอื่นคงคิดว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับหวังหลิน
อีกสองวันต่อมา ร่างเหี่ยวแห้งของหวังหลินจึงสั่นเทาและลืมตาขึ้นมา ดวงตามีเมฆหมอกราวกับน้ำในดวงตาหายไปด้วย
“แก่นแท้วารี กระจายตัว…” น้ำเสียงแหบพร่าดังออกมาจากปากหวังหลินเขายกมืออันเหี่ยวแห้งขึ้นมาสร้างผนึก หยดแก่นแท้วารีพลันระเบิดทันที ร่างหวังหลินสั่นเทาและฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว
การฟื้นคืนนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา หวังหลินไม่เหี่ยวแห้งอีกต่อไป ผิวหนังกลับมากระจ่างสดใสคล้ายกับมีแสงโคจรอยู่ทั้งข้างในและข้างนอกร่างกาย
เขาคงอยู่ในสภาวะนี้ไปเก้าวัน หยดน้ำที่ได้ผสานเข้ากับร่างกายกำลังหมุนวนอย่างรวดเร็วและเล็กยิ่งกว่าเมื่อสิบแปดวันก่อนอย่างเห็นได้ชัด
คล้ายกับเป็นการควบแน่นเก้าวันและกระจายเพื่อโคจรอีกเก้าวัน หลังจากเสร็จสิ้นรอบแรก การโคจรรอบที่สองจึงได้เริ่มขึ้น!
พอถึงวันที่สิบเก้า ร่างหวังหลินเกิดการเปลี่ยนแปลงและเหี่ยวแห้งกลายเป็นซากศพทันที หยดน้ำในร่างกายกะพริบอย่างรวดเร็ว
วัฎจักรนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง หวังหลินผ่านการเหี่ยวแห้งและฟื้นคืนมาใหม่ถึงเจ็ดรอบ หลังจากผ่านรอบที่เจ็ดไปหยดน้ำที่เป็นแก่นแท้ในร่างหวังจึงมีขนาดเล็กลงมากกว่าเดิมสองในสิบส่วน
เจ็ดเดือนได้ผ่านไป
หวังหลินไม่สนใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้านนอกในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเขาจมดิ่งไปกับการดูดซับแก่นแท้วารีอย่างมุ่งมั่น หวังหลินเข้าใจดีว่าเมื่อเขาสร้างแก่นแท้วารีได้สำเร็จ ระดับบ่มเพาะจะเพิ่มขึ้นในทันที!
และแก่นแท้วารีนี้คือแก่นแท้รูปธรรม มันอาจเกิดปัญหาเดียวกับแก่นแท้เพลิง นั่นคือเกิดการผสานและกลืนกินเจตจำนง
อย่างไรก็ตามแก่นแท้ของหวังหลินเพียงแค่สมบูรณ์เล็กน้อยจากก่อนหน้านี้ หลังจากผสานเข้ากับแก่นแท้วารีของแผ่นดินเซียนดารา จึงไม่เกิดการต่อต้านมากนัก เขาสามารถอดทนได้
วันเวลาผ่านไปอีกสิบแปดวัน หวังหลินได้โคจรผ่านรอบที่แปด หยดวารีเล็กลงมาก หากไม่ได้มองดูใกล้ๆ คงไม่อาจสังเกตเห็น
ขณะที่หวังหลินปิดด่านบ่มเพาะ ร่างแก่นแท้ของเขาปกป้องถ้ำอยู่ด้านนอก ส่วนในถ้ำมีหุ่นเชิดเย่ซื่ออารักขาทุกเส้นทาง
หุ่นเชิดยี่ซื่อไม่ได้กลิ่นโลหิตมานานและเกิดความฉุนเฉียว มันร้องคำรามอย่างต่อเนื่อง บางครั้งก็มองหวังหลินด้วยสายตาดุร้าย แต่มันรู้ว่าหวังหลินคือเจ้านาย แม้ความรู้สึกนี้ไม่รุนแรงแต่มันก็ส่งผลกระทบบางอย่างเพื่อให้เกิดแรงต้านความอยาก
แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือหุ่นเชิดเย่ซื่อรู้สึกว่าเจ้านายแตกต่างจากเมื่อก่อน เขามีกลิ่นอายที่ทำให้มันหวาดกลัว แม้จะเป็นความรู้สึกเบาบางแต่มันได้ผสานกับวิญญาณของเจ้านายไปแล้ว
สิ่งเหล่านี้คือเหตุผลที่หวังหลินยอมให้มันออกมาปกป้อง แม้มันจะกระหายเลือดแต่เจตจำนงของหวังหลินยังส่งผลกระทบกับมัน ตราบใดที่ไม่นานเกินไปก็ไม่มีปัญหา ขณะที่ระดับบ่มเพาะของหวังหลินเพิ่มขึ้น เจตจำนงของเขาจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมและมากพอที่จะควบคุมเจ้าหุ่นเชิดจอมกระหายเลือดตัวนี้!
ทั้งยังมีเศษเสี้ยวกลิ่นอายจากร่างอวตารด้วย มันเป็นพลังอำนาจอีกอย่างหนึ่งที่ตรวจจับได้ยากแต่เจ้าหุ่นเชิดสามารถรับรู้ได้
ฟ่านชานเมิ่งเองก็อยู่ในภูเขาและสังเกตถ้ำที่หวังหลินอยู่มาสักพัก ตอนนี้ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว นางคิดมาหลายรอบจนมาถึงจุดที่เดินออกมาจากถ้ำและมุ่งหน้ามายังยอดเขา
ฟ่านชานเมิ่งหยุดอยู่ห่างออกไปพันฟุตและเมื่อนางนึกถึงร่างแก่นแท้เพลิงของหวังหลิน แววตาจึงเกิดความหวาดกลัว
นางไม่กล้าพอจะลงมือต่อต้านหวังหลินตอนที่ปิดด่านบ่มเพาะ แต่นางต้องการสังเกตเขาใกล้ๆ จากนั้นก็สามารถบรรลุคำสั่งของอาจารย์เพื่อค่อยๆ สาปแช่งหวังหลินให้ตาย
ทว่าเมื่อนางหยุดอยู่ห่างออกไปพันฟุต ร่างแก่นแท้ของหวังหลินพลันลืมตาและชำเลืองมาที่ฟ่านชานเมิ่ง
การโดนร่างแก่นแท้มองเข้ามาก็เหมือนกับโดนหวังหลินจ้องมอง ฟ่านชานเมิ่งตัวสั่นและก้มหน้า นางกำลังจะถอยแต่ได้ยินเสียงคำรามดังออกมาจากถ้ำ หมอกสีดำหนาแน่นโผล่ออกมาและมีสายตาดุร้ายหนึ่งคู่ปรากฏขึ้นในสายหมอก ลิ้นสีแดงสดส่ายไปมา ช่างเป็นภาพที่น่าตกตะลึง
เย่ซื่ออยู่ในสายหมอกและไม่ได้ลิ้มรสโลหิตมาหลายเดือน มันกำลังเบื่อแต่เมื่อตรวจจับคนด้านนอกได้ จึงมองฟ่านชานเมิ่งด้วยสายตากระหายเลือด และส่งเสียงคำรามก่อนจะพุ่งเข้าใส่นาง
ฟ่านชานเมิ่งผ่านด่านมาถึงขั้นวิบากแก่นแท้ด่านที่เจ็ดแล้ว แต่พอนางสบสายตากับเย่ซื่อจึงตกตะลึง เสริมด้วยความหวาดกลัวต่อหวังหลิน ฟ่านชานเมิ่งจึงล่าถอยโดยไม่ลังเล
อย่างไรเสียนางไม่ได้เร็วเท่าเย่ซื่อ เจ้าหุ่นเชิดร้องคำรามและพุ่งเข้าใส่นาง ลิ้นเข้าปาดป่ายและส่งสายหมอกสีดำขัดขวางเส้นทางถอยหนี
เสียงดังสนั่นกึกก้องขึ้นในสำนัก ผู้คนส่วนใหญ่ในสำนักมหาวิญญาณได้รับคำสั่งจากบรรพชนไม่ให้เข้าไปใกล้ภูเขาของหวังหลิน พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นจึงมองเข้ามากันทั้งหมด
หยานหลวนกำลังบ่มเพาะอยู่พลันลืมตาขึ้นด้วยท่าทีเปลี่ยนไป นางแทบลืมไปแล้วว่าได้ส่งฟ่านชานเมิ่งไปสาปแช่งหวังหลินให้ตาย ในสายตานางมีร่องรอยความหวาดกลัวและจึงมุ่งหน้าไปยังภูเขาของหวังหลิน
ภายในถ้ำนั้นหวังหลินกำลังโคจรรอบที่เก้าและเป็นรอบสุดท้าย เมื่อเขาโคจรรอบนี้ได้สำเร็จ แก่นแท้วารีจะสมบูรณ์และเพิ่มระดับบ่มเพาะขึ้นมาได้
ทว่าหยดแก่นแท้วารีได้ถูกใช้จนหมดแล้ว ร่างกายเขาเหี่ยวแห้ง หวังหลินลืมตาขึ้นมาและเปล่งประกายเจิดจ้า
‘แก่นแท้วารีไม่มากพอที่จะโคจรรอบสุดท้ายได้สำเร็จ…ข้ายังขาดอีกเล็กน้อย!! ข้าจำเป็นต้องหาน้ำเพิ่มจำนวนมาก!!’ หวังหลินตอนนี้ดูน่ากลัวยิ่ง ร่างกายเหี่ยวแห้งดุจโครงกระดูก
ขณะที่กำลังคิด เขามองขึ้นไปและสังเกตได้ถึงเสียงดังข้างนอกถ้ำพร้อมกับกลิ่นอายของหยานหลวนที่กำลังเข้าใกล้
“เย่ซื่อ กลับมา!” ขณะที่หยานหลวนเข้ามาใกล้หมอกซึ่งเป็นจุดที่เย่ซื่อและฟ่านชานเมิ่งกำลังต่อสู้กัน หวังหลินเอ่ยเสียงดังกึกก้อง ขณะเดียวกันเขาก็ออกไปจากถ้ำและมาถึงด้านนอก
หยานหลวนเห็นร่างกายเหี่ยวแห้งและรูปร่างน่ากลัวของหวังหลิน นางจึงส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ
1840 ทุ่งยอดนภา
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เจ้า” หยานหลวนหรี่ตา รูปร่างหวังหลินตอนนี้ดูน่ากลัวเกินไป ร่างกายเหี่ยวแห้งจนแทบไม่มีโลหิตให้เห็น ถึงจะมีรอยแผลก็คงไม่มีเลือดไหลออกมา
เรือนผมแห้งจนแทบจะหลุดร่วง ร่างกายหวังหลินแทบไม่มีน้ำเหลืออยู่ข้างใน ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีวิญญาณดั้งเดิมอันทรงพลัง หวังหลินคงไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว
เสื้อคลุมสีขาวรอบตัวไหลลงไปเยอะมากราวกับห่อหุ้มร่างศพ ความรู้สึกอันน่ากลัวที่ออกมาจากร่างหวังหลินทำให้หยานหลวนต้องถอยไปหลายก้าว
ซึ่งรวมถึงฟ่านชานเมิ่งที่กำลังต่อสู้กับหุ่นเชิดเย่ซื่อด้วยเช่นกัน ตอนที่นางมองมาที่หวังหลิน นางเองก็ล่าถอยและอ้าปากค้าง ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
‘เขาฝึกฝนอะไรอยู่…ถึงได้มีสภาพเช่นนี้!?’
เมื่อเสียงของหวังหลินดังกึกก้องออกมา หุ่นเชิดเย่ซื่อเปลี่ยนกลับเป็นสายหมอกและลอยมาหาหวังหลิน ดวงตาดุร้ายและลิ้นสีแดงสดรวมกับรูปลักษณ์หวังหลินตอนนี้ ทำให้หวังหลินเหมือนเซียนปิศาจ!
“หยานหลวน ข้าปิดด่านบ่มเพาะอยู่ ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่?” ดวงตาหวังหลินมืดดำจนสูญเสียการมองเห็น ดังนั้นจึงต้องหันศีรษะมามองหยานหลวน
แต่ไม่เพียงแต่การกระทำของเขาจะไม่ทำให้กลิ่นอายน้อยลง มันกลับแข็งแกร่งยิ่งขึ้น จิตใจหยานหลวนสั่นเทาและถอยไปหลายก้าว
“ข้าไม่ได้ตั้งใจมารบกวนการปิดด่านบ่มเพาะของผู้อาวุโสหวังหรอก แต่ชานเมิ่งกำลังถูกหุ่นเชิดประหลาดของผู้อาวุโสหวังโจมตี ข้าจึงมาช่วยนาง”
“นางคือสาวรับใช้ของข้า ผู้อาวุโสหยานหลวนไม่จำเป็นต้องกังวลแทนข้าหรอก” หวังหลินยิ้มแต่รอยยิ้มบนใบหน้านั้นดูน่ากลัวยิ่ง ฟ่านชานเมิ่งตัวสั่นและถอยไปด้านหลังอาจารย์
“นี่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ผู้อาวุโสหยานหลวนข้ามีบางอย่างอยากจะถามท่านเสียหน่อย!” หวังหลินหันกลับมามองฟ่านชานเมิ่งก่อนจะพูดกับหยานหลวน
“ผู้อาวุโสหวังต้องการถามอะไร…” หยานหลวนค่อนข้างมีท่าทีสุขุม นางรู้สึกกลัวหวังหลินจากก้นบึ้งจิตใจ
“ข้าไม่ค่อยคุ้นเคยกับแคว้นกระทิงสวรรค์นัก ท่านพอรู้จักที่ที่มีน้ำจำนวนมากหรือไม่…เป็นมหาสมุทรยักษ์ยิ่งดี!” หวังหลินกล่าว เสียงเหมือนกระดูกกำลังกระทบกัน
‘น้ำ…เขาไม่ได้บ่มเพาะวิชาแต่กำลังดูดซับแก่นแท้วารี!’ หยานหลวนดวงตาส่องสว่างและมองเห็นปัญหาทันที นางสูดหายใจลึกและเอ่ยขึ้น
“แคว้นกระทิงสวรรค์และแคว้นมารเขียวมีทะเลไร้ขอบเขตคั่นกลางอยู่ มันห่างจากที่นี่ไปเก้าเดือน…”
“ข้าจะไปที่นั่นได้อย่างไร?” แววตาหวังหลินมีแสงน่ากลัวขึ้นมา
หยานหลวนสะบัดแขนโดยไม่ลังเล ปรากฏหินหยกและส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปประทับแผนที่นำทางสู่ทะเลแห่งนั้น
นางโยนหินหยกให้หวังหลิน หลังจากตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณจึงพยักหน้าให้นาง
“ผู้อาวุโสหยานหลวน ขอบคุณมาก!” เพียงแค่นั้นหวังหลินจึงสะบัดแขนเสื้อและไม่มองฟ่านชานเมิ่งอีก เขาเปลี่ยนกลายเป็นกลุ่มก้อนสายหมอกและทะยานออกไป
กรรร!!
หุ่นเชิดเย่ซื่อติดตามหวังหลินไป หวังหลินเก็บมันไว้ ขณะเดียวกันร่างแก่นแท้เพลิงมองขึ้นมา ติดตามหวังหลินและหายวับไปด้วย
จนกระทั่งหวังหลินจากไปแล้วฟ่านชานเมิ่งจึงผ่อนคลาย หวังหลินเพิ่งทำให้นางหวาดกลัวและยากจะลืมเลือน
หยานหลวนยืนขบคิดอยู่นานก่อนจะถอนหายใจ นางไม่ได้ใส่ข้อมูลผิดๆ ไว้ในหินหยกและให้แต่ข้อมูลที่ถูกต้อง นางไม่ให้ความสนใจฟ่านชานเมิ่งอีกและทะยานกลับไปที่ถ้ำตัวเอง
ส่วนทางด้านหวังหลิน หลังออกมาจากสำนักมหาวิญญาณจึงก้าวเท้าและท่องทะยานหายไป ผสานเข้ากับโลกอย่างไร้ร่องรอย
ณ ทุ่งหญ้าโล่งอันหาได้ยากในแคว้นกระทิงสวรรค์ ห่างจากสำนักมหาวิญญาณออกไปแสนลี้ เสียงระลอกคลื่นดังกึกก้องในห้องฟ้าและหวังหลินก้าวเดินออกมา ร่างกายยังคงดูเหมือนซากศพและมองไปยังพื้นดิน มีถ้ำหลายแห่งอยู่ในทุ่งหญ้าไร้ขอบเขตแห่งนี้และเป็นที่แน่ชัดว่ามีเซียนไร้สำนักจำนวนมากอาศัยอยู่
ที่บอกว่ามีเซียนไร้สำนักอาศัยอยู่จำนวนมากเป็นเพราะต้นหญ้าที่นี่ปลดปล่อยพลังปราณสวรรค์หนาแน่น ถึงจะเทียบไม่ได้กับภูเขาบางแห่งแต่ก็ไม่บางเบานัก
‘ทุ่งยอดนภา…ตามหินหยกของหยานหยวนแล้ว หลังจากมาถึงที่นี่จะต้องใช้เวลาอีกหกเดือนเพื่อไปที่ทะเลที่เชื่อมกับแคว้นมารเขียว…’ หวังหลินขบคิดพลางรีบเหาะเหินไป
บนแผ่นดินเซียนดารานั้นแม้หวังหลินจะมีร่างอวตารอยู่ในมิติว่าง เขาก็ไม่สามารถใช้วิชาบิดมิติซ้ำไปซ้ำมาเพื่อข้ามผ่านระยะทางอันห่างไกลได้ หากเป็นระยะทางสั้นๆ เหมือนตอนที่เดินทางจากภูเขาสวรรค์ก็คงดี แต่ตอนนี้เขาต้องข้ามผ่านระยะทางสามเดือนในครา จึงต้องใช้เวลาอยู่บ้างก่อนจะใช้ได้อีกครั้ง
เขายกแขนขวาขึ้น เสียงคำรามดังออกมาจากรอยสักราชายุงบนแขน เจ้ายุงปรากฏตัวขึ้นมาเหมือนน้ำหมึกและนำพาหวังหลินไป มันส่งเสียงร้องอย่างมีความสุข
หวังหลินนั่งอยู่บนหลังเจ้าอสูรยุงและหลับตา แม้ระดับบ่มเพาะตอนนี้คือจุดสูงสุดแต่สัมผัสวิญญาณ วิญญาณดั้งเดิมและร่างกายเขากำลังตกอยู่ในอันตราย เขาจะต้องดูดซับแก่นแท้วารีจำนวนมากเพื่อทำให้การโคจรรอบที่เก้าสมบูรณ์
ขณะที่เจ้าอสูรยุงบินออกไป มันส่งเสียงคำรามจนมีสัมผัสวิญญาณจำนวนมากโผล่ออกมาตรวจสอบ ตอนที่พวกนั้นเห็นหวังหลินและอสูรยุงจึงถอนสัมผัสวิญญาณไปทั้งหมดและหลีกเลี่ยง
ทว่าสัมผัสวิญญาณจำนวนหนึ่งติดตามหวังหลินมาราวกับมีเจตนาอื่น
ทุ่งหญ้าแห่งนี้ไร้ขอบเขตและอสูรยุงของหวังหลินก็บินผ่านออกไป สัมผัสวิญญาณส่วนใหญ่ที่ติดตามมาต่างก็กระจัดกระจายแต่ยังมีหลงเหลืออยู่สามคนเข้ามาใกล้เขา
ท่ามกลางสัมผัสวิญญาณทั้งสาม มีสองคนอยู่ในขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับกลางและอีกคนอยู่ในขั้นวิญญาณดับสูญระดับปลาย สัมผัสวิญญาณแต่ละคนได้ขับไล่คนอื่นที่ติดตามมาด้วย
ผ่านไปเจ็ดวัน เมื่อใกล้ถึงแนวสุดเขตทุ่งหญ้า หวังหลินรู้สึกเหมือนสามารถใช้บิดมิติได้อีกครั้ง ส่วนสัมผัสวิญญาณทั้งสามที่ติดตามมาเขาไม่สนใจ พลันยืนขึ้นจากบนหลังอสูรยุง
ทว่าในจังหวะนั้นมีเสียงมืดมนดังออกมาจากด้านหลัง
“สหายเซียนมาร เจ้ามาที่ทุ่งยอดนภาของข้าและจะจากไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ?”
“ทำไมเจ้าถึงพูดจาไร้สาระกับเขาเช่นนั้น? เราติดตามเขาตลอดทางเพื่อดูว่าเขาแค่ผ่านทางหรือมีสหายอยู่ที่นี่หรือไม่ ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเขาแค่ผ่านมา จงทิ้งอสูรของเจ้าเอาไว้และข้าจะไว้ชีวิต!” อีกเสียงเต็มไปด้วยกลิ่นอายกดขี่ได้โผล่ออกมาจากด้านหน้าหวังหลิน หากหวังหลินปฏิเสธคงทำให้เกิดเรื่องน่าอนาถ
พื้นที่ด้านหลังหวังหลินเกิดการบิดเบือนและมีแขนสีดำขนาดยักษ์ปรากฏออกมาจากบนฟ้า มันตกลงมาผ่านก้อนเมฆและยื่นมาหาหวังหลิน ท่อนแขนมีพลังอันแข็งแกร่งและเข้าไปใกล้เขา
หวังหลินหันกลับมา เดิมทีเขาไม่ต้องการให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็นแต่กลับมีคนหมายตาเขาไว้ เรื่องราวจึงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หวังหลินหันกลับมา ดวงตาส่องสว่าง แขนขวาที่แห้งเหี่ยวยกขึ้นและฉีกกระชากท้องฟ้า!
รอยแยกขนาดยักษ์ปรากฏราวกับกำลังกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไป ราวกับโลกทั้งใบถูกแยกออกมาและพุ่งเข้าใส่ท่อนแขน
รอยแยกทำให้เกิดเสียงดังสนั่น โลกเปลี่ยนสีสัน แขนบัญชาโบราณขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นด้านหลังหวังหลินและฉีกกระชากท้องฟ้า!
แขนสีดำที่ยื่นมาหาหวังหลินจึงปะทะกับรอยแยกและฉีกขาด
เสียงร้องครวญครางดังออกมาจากแขนสีดำที่พังทลาย ร่างสามคนกระเด็นออกมามองหวังหลินด้วยความหวาดกลัว พวกเขาตกตะลึงกับพลังของหวังหลินเป็นอย่างมาก
“เขาไม่ใช่แค่เซียนขั้นวิญญาณดับสูญ!!”
“ร่างกายทรงพลังขนาดนั้น เขา…เทียบได้กับเซียนเผ่าโบราณ!”
สีหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไปมหาศาล ขณะที่ถูกผลักกลับไปด้วยคลื่นกระแทกจึงกระจายออกไปสามทิศทางและรีบหนี
หวังหลินมีท่าทีสงบนิ่ง ในเมื่อลงมือแล้วจะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ แขนขวายกขึ้นมาสะบัด เสียงคำรามดังกึกก้อง ปรากฏเป็นหุ่นเชิดเย่ซื่อ มันไล่ตามคนผู้หนึ่งไปด้วยสายตาตื่นเต้น
มันไล่ทันในทันที หมอกสีดำเข้าห่อหุ้ม เสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาและหายไปอย่างช้าๆ
หลังจากนั้นไม่นานเจ้าอสูรยุงด้านล่างหวังหลินจึงส่งเสียงคำรามและพุ่งทะยานหาเซียนขั้นวิญญาณดับสูญระดับปลาย ก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบสนองได้ทัน เจ้ายุงเข้าประชิดและแทงปากแหลมเจาะทะลวงเข้าไปในร่าง อีกฝ่ายพยายามต่อต้านแต่หวังหลินก็ชี้ออกไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
เพียงแค่ชี้ เซียนคนนั้นก็หยุดลงรอคอยความตายอย่างสมบูรณ์
ส่วนหวังหลินนั้นกระโจนออกไปจากหลังราชายุงและมองดูคนที่สามที่กำลังหนี ร่างแก่นแท้เพลิงเปลี่ยนกลายเป็นผนึกแห่งเพลิงพุ่งออกไปเผาไหม้ฟ้าดิน ก่อเกิดเป็นปากยักษ์เข้ากลืนกินคนที่สาม
ฉากเหตุการณ์ช่างดูน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง เปลวเพลิงเชื่อมต่อกับฟ้าดินเข้ากลืนกินทุกสิ่งที่ขวางทาง มันเข้าไปใกล้คนที่สาม ขณะที่อีกฝ่ายกำลังโดนกลืนกิน มีแสงสีเขียวระเบิดออกมาต่อต้านเปลวเพลิง
“อาจารย์ช่วยด้วย!!”
ชั่วจังหวะที่เขาพูดออกมา ทุ่งหญ้าสั่นไหวและมีเสียงคำรามดังกึกก้องผ่านพื้นดิน
“หยุด!”
1841 การเปลี่ยนแปลง!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เพียงคำพูดนี้เอ่ยดังกึกก้อง พื้นดินสั่นสะเทือนและปรากฏกำปั้นยักษ์ที่สร้างขึ้นจากพื้นดิน พุ่งทะยานเข้าหาหวังหลิน
หวังหลินมีท่าทีเช่นเดิมแต่แววตากะพริบเย็นเยียบ ขณะที่กำปั้นเข้ามาใกล้ หวังหลินก็ส่งกำปั้นของตัวเองออกไป
ปัง!
หวังหลินไม่ได้ขยับไปไหนแต่กำปั้นที่ก่อเกิดจากพื้นดินเกิดการสั่นสะเทือนและพังทลาย เสียงร้องน่ากลัวออกมาจากข้างใน
ร่างสีเหลืองเข้มปรากฏขึ้นจากพื้นดิน เขาก้าวเท้าและหนีลงไปใหม่โดยไม่ลังเล
มองไกลๆ อาจเห็นพื้นหญ้าส่ายไปมาและมีเขาซ่อนตัวข้างใน
ขณะเดียวกันคนที่สามที่พยายามดิ้นรนต่อสู้กับเปลวเพลิงได้ส่งเสียงร้องโหยหวนและหยุดลงทันที
เปลวเพลิงเข้ากลืนกินเขาในพริบตา จากนั้นก่อตัวเป็นพายุเพลิงและมีร่างแก่นแท้ของหวังหลินก้าวเดินออกมา
“หนี?” แววตาหวังหลินเย็นเยียบ เขามองร่างที่พยายามหนีใต้พื้นดิน สองเท้าจึงก้าวไปข้างหน้าและเหยียบลงไป
“ข้าไม่ได้ต้องการฆ่าพวกเจ้า แต่พวกเจ้ารนหาที่ตายกันเอง!” หวังหลินพ่นลมหายใจและยกมือที่เหี่ยวแห้งขึ้นมา เขาไม่ได้ไล่ตามแต่กดฝ่ามือลงบนพื้นดิน
กลิ่นอายระเบิดขึ้นจากพื้นดินด้านล่าง มือที่เหี่ยวแห้งยกขึ้นไปทำให้พื้นหญ้าเริ่มเหี่ยวแห้งอย่างรวดเร็ว หยดน้ำถูกมือของหวังหลินดูดซับไปทันที
การดูดซับนี้รวดเร็วมาก หญ้าสีเขียวรอบหวังหลินเหี่ยวแห้งไปมหาศาล หยดน้ำหลายเส้นสายลอยเข้ามาหาแขนของหวังหลิน
หากมองจากด้านบนคงจะเป็นฉากเหตุการณ์อันน่าตกตะลึงที่หญ้าเบื้องหน้าหวังหลินกำลังแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว หยดน้ำเข้าไปในร่างกายและการเหี่ยวแห้งคล้ายกำลังไล่ตามคนที่กำลังหนี
เซียนในพื้นดินรู้สึกจิตใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายกำลังไล่ตามมา หากมันสัมผัสถึงตัวเขาได้คงต้องตายแน่นอน
ขณะที่ทะยานหนี พื้นหญ้าด้านหลังแห้งเหี่ยวรวดเร็วยิ่งกว่า ถ้ำบางแห่งที่อยู่ใกล้เคียงกำลังได้รับผลกระทบ เซียนที่กำลังหนีถึงกับกัดฟันแน่นและพุ่งเข้าหาถ้ำเหล่านั้น
“บัดซบ ทำไมมันถึงแข็งแกร่งได้ขนาดนั้น?! แต่ก็แค่คนคนเดียว หากทำให้ทุกคนโกรธเกรี้ยว มันก็จะต้องตาย!”
คนที่หนีกำลังใช้วิชาหลบหนีปฐพีด้วยความเร็วสูงและพุ่งทะยานหาถ้ำเหล่านั้น เมื่อเขาเข้าไปใกล้ แววตาพลันกระพริบเย็นเยียบเพราะมีกลิ่นอายทรงพลังระเบิดออกมาจากถ้ำหนึ่งในนั้น ตามมาด้วยชายชราผมขาวก้าวเดินออกมาเช่นกัน
จังหวะที่เขาปรากฏตัว กลิ่นอายของเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นได้แผ่กระจาย ชายชราพุ่งเข้าหาคนที่กำลังหนีโดยไม่ลังเลและสะบัดแขน
เสียงดังสนั่นกึกก้องและมีคลื่นกระแทกกระจายผ่านพื้นดินเข้าหาเซียนที่กำลังหนี ทำให้เขาหยุดชะงักไปหนึ่งจังหวะและกระเด็นกลับไปอย่างรวดเร็ว
“ไปซะ!”
เซียนที่กำลังหนีถึงกับกระอักโลหิตและโผล่ขึ้นบนพื้นดิน ตอนที่เขากระเด็นขึ้นมา ทุ่งหญ้าแห้งเหี่ยวดูเหมือนปากขนาดยักษ์เข้ามากลืนกินร่างเขา
เสี้ยววินาทีนั้นเขาได้ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน ร่างกายเหี่ยวแห้งอย่างรวดเร็ว สูญเสียน้ำและโลหิตทั้งหมดในร่างกายพร้อมกับวิญญาณดั้งเดิมได้ลอยออกมา ทว่ามีควันสีดำเข้าห่อหุ้มรอบวิญญาณเขาและพยายามหนีแต่ถูกหุ่นเชิดเย่ซื่อไล่ตามมาทัน ดวงวิญญาณจึงถูกควันสีดำห่อหุ้มพลางส่งเสียงกรีดร้องและค่อยๆ จางหายไป
“สหายเซียน ข้าชื่อจัวจัว คนที่ล่วงเกินเจ้าได้ตายไปแล้ว ดังนั้นจงสลายวิชาเต๋านี้เถอะ ที่นี่คือจุดต่ำสุดของแคว้นกระทิงสวรรค์และไม่อาจสูญเสียได้ ได้โปรดอย่าทำลายฐานของเหล่าเซียนไร้สำนักในทุ่งยอดนภา!” ชายชราผมขาวปรากฏตัวในท้องฟ้า เขามองหวังหลินไกลๆ และคำนับฝ่ามือ
หลังเอ่ยออกมา ใบหญ้าบนพื้นดินจึงไม่เหี่ยวแห้งอีก หยดน้ำลอยเข้าหาร่างหวังหลินแต่ที่มากขนาดนี้เพราะมาจากเซียนที่ตายไป แต่ยังไม่มากพอให้หวังหลินโคจรรอบที่เก้าได้เสร็จสิ้น
เขายกมือขึ้นมาจากพื้นและมองดูชายชราห่างออกไปไกล จากนั้นมองดูทุ่งหญ้าและขบคิด
‘เซียนไร้สำนักส่วนใหญ่ที่นี่อยู่ใต้ดิน…ช่างน่าประหลาด! ที่นี่คือส่วนใต้สุดของแคว้น…หรือพูดให้ถูกมันคือที่ที่ใกล้กับหัวใจแห่งผืนดิน…’
หลังขบคิดเล็กน้อยหวังหลินก็ไม่พูดอะไรอีกแต่ชำเลืองมองชายชราและจากไป
หุ่นเชิดเย่ซื่อถูกเรียกกลับมาอยู่ข้างหวังหลินพร้อมอสูรยุง เขาสะบัดแขนและเก็บมันกลับไป
ขณะที่หวังหลินก้าวทะยานออกไป ระลอกคลื่นดังกึกก้องและผสานเข้ากับโลก เขาใช้วิชาบิดมิติหายไปและออกไปจากทุ่งหญ้าแห่งนี้
จนกระทั่งหวังหลินจากไปแล้วชายชราจึงผ่อนคลาย ร่างเงาหลายร่างโผล่ออกมาจากพื้นดินและมีคนมากกว่าสิบคนมองทิศทางที่หวังหลินจากไป
“ผู้อาวุโสฝั่งซ้ายตัดสินใจถูกแล้ว คนผู้นี้ไม่ใช่คนที่เราจะไปล่วงเกินได้ หุ่นเชิดของเขาแข็งแกร่งและยังมีอสูรประหลาดอีก ตัวเขาเองยังทรงพลังมาก! คนแบบนี้ไม่ใช่คนไร้สำนัก!”
“ใช่แล้ว คนผู้นั้นช่างแน่วแน่และยังสังหารคนของเต๋าภูเขาทมิฬไปถึงสี่คน เขายังโหดเหี้ยมอำมหิต จากภาพลักษณ์ของเขาเห็นได้ชัดว่าเป็นเซียนมาร!”
“ทั้งสี่คนของเต๋าภูเขาทมิฬคงต้องดุด่าตัวเองเท่านั้น พวกเขาติดตามอีกฝ่ายไปหลายวัน ตอนนี้ก็ตายไปแล้วก็ปล่อยให้เรื่องมันจบไป เหล่าสหายเซียน กระจายตัว!” ชายชราเอ่ยขึ้นก่อนจะหันตัวจากไป
ส่วนหวังหลิน หลังจากใช้วิชาบิดมิติไปครั้งที่สองจึงปรากฏตัวในเทือกเขา ตามแผนที่ของหยานหลวนเขาห่างจากทะเลอยู่สามเดือน
‘แคว้นกระทิงสวรรค์กว้างใหญ่เกินไป…’ หวังหลินเรียกอสูรยุงขึ้นมานั่งบนหลังและท่องทะยานไปทางทิศตะวันออก อสูรยุงรวดเร็วมาก ที่บริเวณนี้ใกล้กับแคว้นมารเขียว ดังนั้นจึงไม่มีเซียนอยู่แถวนี้มากนัก
หวังหลินไม่รู้เรื่องแคว้นมารเขียวอะไรนักแต่คางเหรินมีความหวาดกลัวต่อแคว้นนี้ราวกับทุกคนที่มาจากที่นี่ล้วนน่ากลัว
เวลาสิบวันผ่านไปในพริบตา หวังหลินเดินทางเจอเซียนบางส่วนแต่พวกนั้นก็ไม่พูดคุยกับคนอื่นและแค่ผ่านไป แม้จะส่งสัมผัสวิญญาณออกมาแต่พอเห็นรูปลักษณ์ของหวังหลินจึงลังเลเล็กน้อยและจากไป
หลังจากผ่านมาสิบวันหวังหลินจึงใช้วิชาบิดมิติเป็นรอบที่สามและหายตัวไปจากเทือกเขาแห่งนี้
ทิศตะวันออกของแคว้นช่างกว้างใหญ่และมีทะเลคั่นกลางระหว่างแคว้นกระทิงสวรรค์และแคว้นมารเขียวซึ่งถูกเรียกว่าทะเลโอสถ ลือกันว่าทะเลแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นจากยาที่ตกลงมาจากท้องฟ้า
ทว่าข่าวลือดูเหมือนเกินจริงมากไป เพราะยาแบบไหนกันถึงสามารถสร้างเป็นทะเลขนาดนี้ขึ้นมาได้ ไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้แต่ข่าวลือก็ถูกส่งต่อมากันเป็นทอดๆ
ทะเลโอสถนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตและมีคลื่นโหมกระหน่ำ แม้จะเป็นทะเลภายในแคว้นแต่สายลมและคลื่นก็ยังรุนแรง
แต่เพราะที่แห่งนี้เป็นแนวเขตระหว่างแคว้นกระทิงสวรรค์และแคว้นมารเขียว เหล่าเซียนจึงค่อนข้างวุ่นวาย มีก้อนเมฆสีดำปกคลุมท้องฟ้าพร้อมกับเสียงดังลั่นและสายฝนที่ตกลงมาผสมเข้ากับท้องทะเล
ด้านล่างก้อนเมฆมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้นในสายฝน หวังหลินก้าวเดินออกมาจากระลอกคลื่นและยืนอยู่เหนือทะเล
พอมองทะเลด้านล่าง ดวงตาแห้งเหี่ยวของหวังหลินจึงเป็นประกายเจิดจ้า เขาเหลือการโคจรอีกเพียงครึ่งทางก็จะทำให้แก่นแท้วารีสมบูรณ์ หวังหลินไม่ได้ต้องการมากนัก เพียงแค่นิดหน่อยเท่านั้น!
ทว่าการได้มันมาในช่วงสั้นๆ มีเพียงวิธีเดียวที่เขาคิดออกคือการควบแน่นจากทะเลกว้างใหญ่ แต่เขาจะควบแน่นสำเร็จหรือไม่ก็ยังไม่รู้
หวังหลินพาร่างตัวเองจมลงไปในทะเล ผ่านไปไม่รู้นานแค่ไหนจึงปรากฏพื้นทะเลขึ้นด้านล่าง
ปะการังหลากสีและสาหร่ายมากมายปกคลุมพื้นทะเล ทั้งยังมีปลาและกุ้งแหวกว่ายอยู่นับไม่ถ้วน หวังหลินนั่งหลับตาอยู่ภายในดงสาหร่าย เขาวางมือไว้บนเข่าและสร้างผนึก
น้ำทะเลรอบตัวเขาสั่นเทา ระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นแผ่กระจายออกไปทุกทิศทาง
หวังหลินพึมพำ “แก่นแท้วารี รวมตัว!”
ท้องทะเลเริ่มพรั่งพรูและเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องออกไป
ตอนนี้ร่างกายหวังหลินไม่เปล่งกลิ่นอายอันใดราวกับผสานเข้ากับทะเลโอสถไปแล้ว เขากลายเป็นส่วนหนึ่งกับทะเลจนแทบไม่อาจแยกความแตกต่างได้
ขณะที่ทะเลโอสถสั่นเทาและเดือดพล่าน มันได้ทำให้เซียนไร้สำนักจากสองแคว้นเกิดความสนใจ ทว่าความดุเดือดเกิดขึ้นภายในทะเล จึงไม่มีใครลงไปดู!
ทั่วทั้งทะเลถูกห่อหุ้มด้วยเขตอาคมอีกหนึ่งชั้นซึ่งเขตอาคมนี้ลึกลับจนแม้แต่หวังหลินก็ไม่สามารถตรวจจับได้ตอนที่เข้าไป ตอนที่เขากำลังดูดซับทะเลโอสถจึงสังเกตมันได้เลือนลาง
เขตอาคมชั้นนี้ทำให้คนเข้าไปข้างในได้แต่ไม่สามารถออกมาได้ ดังนั้นจึงเป็นการผนึกทะเลโอสถอย่างสมบูรณ์!
ขณะที่หวังหลินดูดซับแก่นแท้วารี เสียงกรีดร้องโหยหวนหลายจุดดังออกมาจากในทะเล เหล่าเซียนไร้สำนักจากแคว้นกระทิงสวรรค์กำลังถูกเซียนที่มีเพลิงสีเขียวน่ากลัวตามล่าสังหาร
ในทะเลโอสรถมักจะมีเซียนเช่นนี้จำนวนมาก!
1842 เซียนจากแคว้นมารเขียว!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหล่าถ้ำในทะเลลึกนั้นได้ถูกกลุ่มเซียนชุดเขียวเข้าทำลายและเข่นฆ่าผู้คนข้างในอย่างโหดเหี้ยม ใครที่พยายามหนีจะถูกไล่ล่าจนกว่าเป้าหมายจะสิ้นชีพ!
เนื่องจากทั้งทะเลโอสถได้ถูกผนึกจึงมีเซียนชุดเขียวอยู่มากมายและการหนีรอดไปนับว่าเป็นเรื่องยาก!
การเข่นฆ่าดังสนั่นไปพร้อมกับเสียงคำรามในทะเลโอสถ กลิ่นคาวเลือดค่อยๆ กระจายออกมาดึงความสนใจของอสูรดุร้ายในทะเล
นี่คือการสังหารหมู่ของเซียนที่มีระดับบ่มเพาะไม่เท่ากัน เหล่าเซียนชุดเขียวมีระดับบ่มเพาะสูงกว่าและทำตามคำสั่งอย่างเข้มงวดให้ล้างบางเหล่าเซียนแคว้นกระทิงสวรรค์ที่อยู่ในทะเลโอสถทั้งหมด!
อีกด้านหนึ่งใกล้แคว้นมารเขียว มีธงสามผืนจมเข้าไปในทะเล เหล่าเซียนใต้ผืนธงมีอยู่หลายพันคนและทั้งหมดต่างก็มองไปเบื้องหน้าด้วยสายตาเย็นเยียบ
ใจกลางเหล่าเซียนมีคนสามคนที่ไม่ได้สวมชุดสีเขียวแต่กลับเป็นสีขาว ทั้งสามเป็นสองบุรุษและหนึ่งสตรี พวกเขาดูอ่อนเยาว์และมีอายุราวสามสิบปี
ทางด้านหญิงสาวดูงดงามมาก นางก้มศีรษะลงมามองดูเข็มทิศในมือ
ท่ามกลางทั้งสามคนมีชายหนุ่มใบหน้าละเอียดดุจหินหยกสีขาว เขาขบคิดและเอ่ยขึ้น “พี่ใหญ่เฉียน น้องหญิงจ้าว การสังหารในทะเลโอสถได้ผ่านมาเจ็ดวันแล้ว หากเราไม่เร่งรีบข้ากลัวว่าจะทำตามคำสั่งของบรรพชนไม่เสร็จ”
ชายหนุ่มอีกคนหน้าตาดูธรรมดาแต่เผยสายตาดุร้ายออกมา หลังจากได้ยินที่ชายหนุ่มอีกคนพูดจึงตอบกลับไป “อย่างมากการเข่นฆ่านี้ก็อยู่ได้อีกสี่วัน เซียนแคว้นกระทิงสวรรค์ในทะเลโอสถจะตายทั้งหมด!”
“ทะเลโอสถเป็นประตูให้แคว้นมารเขียวเข้าสู่แคว้นกระทิงสวรรค์ ที่นี่มีเซียนทรงพลังหลายคน ดังนั้นการจะจัดการด้วยความรวดเร็วถือว่าเป็นเรื่องยาก แต่คงเป็นไปตามที่พี่ใหญ่เฉียนพูดเอาไว้ อีกสี่วันก็น่าจะเพียงพอ” นางยิ้มพลางทัดผมไปด้านหลังหู
“พี่ใหญ่ ดูเข็มทิศสิ” ขณะที่นางเอ่ยขึ้น เข็มทิศในมือขวาส่องประกาย แผนที่ทั่วทั้งทะเลโอสถปรากฏขึ้นมา
มีจุดสีเขียวหลายพันจุดตลอดทั่วทั้งแผนที่ และจุดพวกนั้นกำลังเคลื่อนที่อย่างช้าๆ
นอกจากจุดสีเขียวแล้วยังมีจุดสีขาวจำนวนมาก จุดสีขาวเสมือนเปลวเทียนที่สามารถดับได้ทุกเวลา เพียงแค่พูดคุยกันชั่วครู่ จุดสีขาวก็หายไปหลายร้อยจุดและถูกจุดสีเขียวกลืนกิน
แสงสีขาวมีขนาดที่แตกต่างกัน ทั้งยังมีสามจุดที่ส่องสว่างกว่าจุดอื่นๆ
“เซียนที่แข็งแกร่งที่สุดในทะเลโอสถอยู่ในขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง เหล่าบรรพชนได้ส่งผู้ส่งสาส์นมารเขียวออกไปต่อกรแล้ว ดังนั้นเราไม่ต้องกังวล!” นางเอ่ยขึ้น
นอกจากแสงที่สว่างที่สุดสามจุด ยังมีแสงที่สว่างน้อยกว่าแต่ก็ยังมากกว่าคนอื่นอีกสิบจุด พวกเขาถูกจุดสีเขียวล้อมรอบและกำลังเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือด
“นอกจากเซียนไร้สำนักสามคนนั่น ยังมีอีกเก้าคนที่มีระดับด้อยกว่าราวๆ ด่านวิบากแก่นแท้ที่เจ็ดถึงแปด พวกมันคือเป้าหมายของเราสามคน! ตราบใดที่เราสังหารพวกมันได้ เซียนที่เหลือในทะเลโอสถไม่ถือว่าเป็นปัญหาอีก กระนั้นด้วยของสิ่งนี้ แค่สี่วันก็น่าจะพอให้สังหารได้ทั้งหมด!”
นางยิ้มและยกแขนซ้ายขึ้นมาสะบัด หยดของเหลวสีดำปรากฏขึ้นในฝ่ามือ มันเป็นผลึกใสสีดำและเปล่งแสงประหลาด กลิ่นอายแก่นแท้วารีจำนวนมหาศาลโผล่ออกมาจากหยดนี้
“ด้วยสมบัติจากสำนักมารพิษ หยดน้ำหมื่นหลอม ท่านคิดว่าเหล่าเซียนในทะเลโอสถจะมีที่ยืนได้หรือไม่ พี่ใหญ่?” นางมองไปยังสองหนุ่ม
ชายหนุ่มใบหน้าละเอียดดุจหินหยกพลันยิ้มและเอ่ยขึ้น “เราไม่ควรประมาท ในเมื่อสามสำนักของเรารวมกำลังกันแล้ว เราไม่อาจปล่อยให้แคว้นกระทิงสวรรค์สังเกตความผิดปกติได้ สามบรรพชนได้เริ่มใช้วิชาขัดขวางการทำนายแล้ว เราต้องไล่สังหารเซียนแคว้นกระทิงสวรรค์ในทะเลโอสถและหลอมพวกมันกลับเป็นเม็ดยาสวรรค์ จากนั้นใช้เม็ดยาเพื่อเปิดม่านพลังรอบแคว้นกระทิงสวรรค์!”
ไม่มีใครในสามคนนั้นเห็นว่าบนแผนที่เข็มทิศในมือนาง มีแสงสีขาวธรรมดาอยู่ไม่ไกลจากแคว้นกระทิงสวรรค์
จุดสีขาวนี้คือจุดที่หวังหลินอยู่! จุดสีเขียวมักจะผ่านไปแต่ไม่มีใครสังเกตเห็นเขาเลย
หวังหลินกำลังนั่งอยู่ในส่วนลึกของท้องทะเลด้วยความสงบนิ่งแต่ร่างกายผสานเข้ากับทะเล เขาควบแน่นสายน้ำที่เข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆ เพื่อสร้างแก่นแท้วารีเข้าหล่อเลี้ยง
ทว่าการควบแน่นแก่นแท้วารีจากน้ำทะเลนับว่าเป็นเรื่องยากยิ่ง บางทีหากเขาควบแน่นทั้งทะเลให้กลายเป็นหยดน้ำ เขาอาจจะสามารถสร้างแก่นแท้วารีขึ้นมาได้ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหวังหลินก็ต้องลองดู
สัมผัสวิญญาณหวังหลินผสานกับทะเล ดังนั้นจึงสังเกตการสังหารที่เกิดขึ้นในทะเลโอสถได้ ทั่วทั้งทะเลโอสถตกอยู่ในต่อสู้ฆ่าฟัน
พริบตาเดียวหนึ่งวันผ่านไป ช่วงระหว่างวันนี้มีเซียนชุดเขียวหลายสิบกลุ่มทะยานอยู่เหนือหวังหลินแต่ไม่มีใครสังเกตเห็นหวังหลินด้านล่างได้เลย
หลังจากผ่านวันนี้ไป ทะเลโอสถได้หดตัวลงร้อยฟุตราวกับน้ำได้หายไปในอากาศว่างเปล่า สิ่งนี้ค่อยๆ ทำให้เหล่าเซียนเกิดความสนใจ แต่เนื่องจากการเข่นฆ่าที่เกิดขึ้นจึงไม่มีใครให้ความสนใจมากนัก
คนทั้งสามใต้ผืนธงของฝั่งแคว้นมารเขียวก็เช่นเดียวกัน
สตรีงดงามมองเข็มทิศในมือและเอ่ยขึ้น “ตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างออกไป 390,000 ลี้ ทหารมารเขียวหนึ่งขบวน ไป!” เซียนหลายสิบคนพลันเคลื่อนย้ายเข้าสู่แม่น้ำและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
พวกเขาไม่สามารถใช้บิดมิติได้แต่แคว้นมารเขียวเตรียมการมาอย่างดี ไม่เพียงแต่ผนึกเขตอาคมในทะเลเมฆาแต่ยังทำให้เหล่าเซียนแคว้นมารเขียวสามารถผสานเข้ากับทะเลเพื่อเคลื่อนร่างได้
“ตะวันออกเฉียงใต้ ห่างออกไปเกือบสองล้านลี้ ทหารมารเขียวห้าขบวน ไป!” หลังจากนางเอ่ยขึ้น เหล่าเซียนนับร้อยก้าวทะยานและหายวับ
คำสั่งส่งต่อจากนางโดยอ้างอิงจากข้อมูลบนแผนที่เข็มทิศในมือ พวกเขาจึงกวาดล้างจุดสีขาวที่กำลังต่อต้านไปได้หลายจุด
“พี่ใหญ่เฉียน พี่ใหญ่จ้าว ตอนนี้ขึ้นอยู่กับพวกท่านแล้ว ในเก้าคนมีตายไปสี่และเหลืออยู่ห้า สองในนั้นกระจายตัวออกไปและไม่มีอะไรให้กังวล แต่มีสามคนกำลังรวมกลุ่มกัน…”
“สามคนนี้อาจเป็นสหายกันและร่วมมือกันเป็นอย่างดี ข้าอยากขอให้พี่ใหญ่ทั้งสองเข้าไปสังหารทั้งสามคนนั่น!” บนเข็มทิศในมือมีจุดสีขาวสามจุดที่ใหญ่กว่าจุดอื่นๆ กำลังเคลื่อนไหวเข้าหาแคว้นกระทิงสวรรค์ จุดสีเขียวที่เข้าไปใกล้จะมอดดับไปทีละดวง แสดงถึงการเสียชีวิตของเซียนแคว้นมารเขียว
ชายหนุ่มใบหน้าละเอียดดุจหินหยกพลันยิ้มและยกแขนขวาขึ้นมาปรากฏพัดในมือ เขาตบไปบนมือซ้ายพลางมองชายหนุ่มแซ่เฉียนตรงหน้า
“พี่ใหญ่เฉียน น้องชายอยากตามไปดูวิชาเต๋าสุดยอดมารแห่งสำนักเต๋ามาร”
เซียนแซ่เฉียเผยท่าทีอันตราย เขาก้าวเข้าสู่ค่ายกลและหายไปอย่างไร้ร่องรอย ชายหนุ่มอีกคนส่ายศีรษะและติดตามไป
หลังจากทั้งสองจากไป สตรีผู้มีเหล่าเซียนนับพันรายล้อมกลับขมวดคิ้วและมองเข็มทิศในมือ นางกำลังงุนงงกับเรื่องบางอย่าง
‘ประหลาดนัก ทำไมน้ำในทะเลโอสถถึงได้ลดลงมากขนาดนี้ในวันเดียว…’ นางกวาดสายตาไปทั้งจุดสีขาวทั้งหมดรวมถึงจุดที่เป็นตัวแทนของหวังหลิน
ทว่าจุดสีขาวที่เป็นตัวแทนของหวังหลินกลับธรรมดาเกินไปและไม่ได้ทำให้นางสนใจ นางขบคิดก่อนจะเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ พยายามส่งทหารออกไปร่วมมือกวาดล้างเซียนไร้สำนักที่เหลือของแคว้นกระทิงสวรรค์
การฆ่าสังหารมีไม่จบไม่สิ้นและหวังหลินก็ไม่สนใจเรื่องทั้งหมดนี้ เขาใช้สมาธิดูดซับน้ำทะเลอย่างต่อเนื่องดุจหลุมดำที่ควบแน่นให้กลายเป็นแก่นแท้วารี
อย่างไรก็ตามการควบแน่นแก่นแท้วารีนับว่ายากเกินไป แม้น้ำทะเลจะหายไปร้อยฟุตก็ไม่มากพอ
‘เช่นนั้นก็ดูดซับเพิ่มอีก!’ หวังหลินลืมตาและเฝ้าดูเซียนชุดเขียวกลุ่มหนึ่งทะยานผ่านไป เขาขมวดคิ้ว
ต่อมาหวังหลินถอนสายตาและหลับตาดูดซับน้ำมากขึ้นไปอีก ผ่านไปหนึ่งวันระดับน้ำทะเลลดลงไปจนกระทั่งมากเกินกว่าแปดร้อยฟุต! บนพื้นดินตอนนี้บางส่วนได้เห็นแนวปะการังไปแล้ว
แม้แต่เซียนจำนวนมากที่กำลังเข่นฆ่าก็ไม่อาจเมินเฉยเรื่องนี้ได้แล้ว แต่พวกเขาก็คิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น!
“น้ำทะเลหายไปไหนหมด?”
“หรือว่ามีคนกำลังใช้วิชาทรงพลัง?” เซียนชุดเขียวในทะเลโอสถไม่สามารถสงบจิตใจได้อีก
ตอนนี้ตรงก้นทะเลซึ่งห่างจากหวังหลินอยู่ไกลๆ มีคนสามคนกำลังวิ่งหนี สองในสามบาดเจ็บสาหัสแต่คนสุดท้ายไม่ยอมทิ้งเพื่อหนีไปคนเดียว
“พยัคฆ์ขาว หนีไป…วิหคศักดิ์สิทธิ์และข้าบาดเจ็บสาหัส การมากับเราก็เหมือนลากเจ้าลงนรกไปด้วย”
“ข้าไม่คิดว่าจะมาเจอความตายที่นี่หลังจากเราออกมาจากสำนักเจ็ดเต๋าและบ่มเพาะอย่างสงบมาตลอด…โถ่ พยัคฆ์ขาว หนีไปสิ!”
1843 1843 ทะลวงระดับ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทั้งสามคนคือวิหคศักดิ์สิทธิ์ พยัคฆ์ขาวและเต่าดำที่มาจากโลกถ้ำ พวกเขากลับมาได้หลายปีแล้วและพอเห็นว่าไม่มีสำนักเจ็ดเต๋าอีกต่อไปจึงเลือกที่จะออกมาเป็นเซียนไร้สำนักที่นี่
พวกเขานั้นมีชื่อเสียงอยู่แล้วและมีช่วงชีวิตอันรุ่งโรจน์ แต่พอใกล้ถึงปลายทางแห่งชีวิตจึงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและต้องการพักผ่อนเท่านั้น
ด้วยระดับบ่มเพาะของแต่ละคนจึงสามารถทำสิ่งใดก็ได้หลายอย่างในทะเลโอสถ แต่ทั้งสามกลับเลือกที่จะมีชีวิตอยู่อย่างสงบ
อย่างไรก็ตามถึงทั้งสามคนอยากมีชีวิตสงบสุขสักเพียงใด ตอนนี้กลับต้องวิ่งหนีความตาย วิหคศักดิ์สิทธิ์และเต่าดำได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนพยัคฆ์ขาวแค่บาดเจ็บเล็กน้อยและกำลังพาสหายร่วมเป็นร่วมตายสองคนเพื่อหนีออกไปจากทะเลโอสถอย่างสุดชีวิต
พอคำพูดนั้นดังออกจากปากทั้งสองคน พยัคฆ์ขาวถึงกับหน้าซีดและเผยรอยยิ้มเจ็บปวด
“พวกเจ้าสองคนไม่ต้องพูดหรอก ข้าจะหนีไปคนเดียวได้อย่างไร!? เราเข้าไปโลกถ้ำด้วยกันและตอนนี้มังกรฟ้าก็ตายแล้ว นั่นพอเข้าใจได้ เราไม่ได้ตกลงร่วมกันหรือว่าจะอยู่ที่นี่จนแก่ตาย? เราไม่ได้ตกลงกันหรือว่าจะหารุ่นเยาว์สามคนเพื่อส่งต่อเต๋าของเรา…”
“เรายังไม่ได้ทำเรื่องพวกนั้นเลย แล้วจะให้ข้าหนีเอาตัวรอดคนเดียวได้อย่างไร!?” พยัคฆ์ขาวส่งเสียงคำรามพลางแบกอีกสองคนหนีไปด้วย
ด้านหลังทั้งสามเป็นชายหนุ่มใบหน้างดงามถือพัดในมือไล่ตามมา ส่วนชายหนุ่มแซ่เฉียนเผยสายตาดุดันพลางหัวเราะไปด้วย
ทั้งสองคนไม่ได้เร่งรีบ ทะเลโอสถถูกปิดผนึกดังนั้นจึงไม่มีทางที่ทั้งสามจะหนีไปไหนได้ สำหรับเซียนชื่อเฉียนนั้นของเล่นก็ต้องเล่นให้สนุก
ห้าคนนี้ทั้งหนีและไล่ตามกันต่อไป แต่ดวงตาเซียนสตรีสาวตรงผืนธงทั้งสามพลันส่องสว่างเป็นประกายและจ้องมองเข็มทิศในมือ
นางเกิดความรู้สึกแย่ๆ ขึ้นมา!
‘เพียงวันเดียว ระดับน้ำทะเลลดลงไปหลายร้อยฟุต มากกว่าเมื่อวานหลายเท่า นี่น่าจะมีปัญหา!’ นางจ้องมองเข็มทิศที่มีแต่จุดสีเขียว จุดสีขาวเหลืออยู่ไม่มากนักและมีไม่ถึงพันจุด
แสงที่ใหญ่ที่สุดสามจุดได้หายไปแล้ว ส่วนจุดที่แสงอ่อนกว่าทั้งเก้านั้น หลังจากสี่จุดแรกได้หายไป ตอนนี้อีกสองจุดหายไปเพิ่ม เหลือเพียงสามจุดที่อยู่ด้วยกันกำลังเคลื่อนที่อย่างช้าๆ และมีจุดสีเขียวสองจุดที่โดดเด่นกำลังไล่ตาม
เซียนสตรีสาวกำลังพิจารณาเข็มทิศอย่างละเอียดและขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม
‘ไม่มีอะไรผิดพลาด…ระดับน้ำลดลงมากขนาดนี้ในสองวันได้อย่างไร…ยังเหลืออีกสองวัน…ช่างมันเถอะ ข้าไม่รอจนกระทั่งถึงตอนจบหรอก การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำนี้ดูประหลาดเกินไป…ข้าจะใช้หยดหมื่นหลอมเพื่อกวาดล้างเซียนที่เหลือ!’
นางรู้สึกไม่สบายใจ หลังจากลังเลเพียงชั่วครู่จึงกัดฟันและนำของเหลวสีดำออกมา จากนั้นสะบัดมันออกไปยังทะเล
หยดน้ำสีดำจมดิ่งลงทะเลและหายไปทันที น้ำในทะเลเบื้องหน้านางพลันเปลี่ยนเป็นสีดำ!
น้ำสีดำดุจหยดน้ำหมึกได้แผ่กระจายด้วยอันตราเร็วสูงยิ่ง
‘ไม่ว่าจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ในทะเลโอสถ มันจะต้องตายด้วยหยดหมื่นหลอม!’
ส่วนหวังหลินนั้นหลังจากผ่านไปสองวันจึงดูดซับน้ำได้จำนวนมาก และพยายามควบแน่นแก่นแท้วารีในร่างกายแต่มันยังไม่ก่อเกิด พอขบคิดเล็กน้อยเขาจึงดูดซับให้เร็วยิ่งขึ้น
หลายชั่วโมงต่อมา ทะเลโอสถมากกว่าครึ่งได้เปลี่ยนกลายเป็นสีดำ เหล่าเซียนแคว้นกระทิงสวรรค์ทั้งหมดที่ถูกมันเข้าสัมผัสจะส่งเสียงร้องทุรนทุรายทีละคน ร่างกายถูกน้ำกัดกร่อน แม้แต่วิญญาณดั้งเดิมก็ไม่รอด
แม้กระทั่งเหล่าเซียนชุดเขียวยังชะลอตัวลงในทะเลสีดำ แต่พวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเพราะถึงแม้สตรีที่อยู่ใต้ผืนธงจะมองไม่เห็น แต่เข็มทิศในมือนางเผยสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน
แผนที่ทะเลโอสถบนเข็มทิศได้เปลี่ยนไปเป็นสีดำกว่าครึ่งทาง จุดสีขาวทั้งหมดที่ถูกทะเลสีดำสัมผัสได้หายไปราวกับถูกลบเลือน
“ไม่ว่าใครที่เป็นตัวการ ข้าอยากจะเห็นเสียจริงว่าเจ้าจะดูดซับทะเลโอสถที่กลายพิษได้อย่างไร…” นางพึมพำ แววตาเย็นเยียบพลางค้นหาจุดสีขาวหลายร้อยบนเข็มทิศ
นางกังวลเรื่องระดับน้ำทะเลที่กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว จึงต้องหาเหตุผล!
จุดสีขาวที่เป็นตัวแทนของหวังหลินได้ถูกนางมองข้ามไปรอบนึงแล้ว แต่ขณะที่นางกวาดสายตาผ่านไป สายตาจับจ้องไปยังจุดที่เป็นตัวแทนของหวังหลินและเผยจิตสังหารมหึมา!
‘จุดสีขาวทุกจุดเป็นตัวแทนของเซียนที่ไม่ใช่คนจากแคว้นมารเขียว…จุดสีขาวทั้งหมดกำลังเคลื่อนตัวหลบหนีเข้าหาแคว้นกระทิงสวรรค์อย่างช้าๆ แต่จุดสีขาวจุดนี้กลับอยู่นิ่งเฉย!!’
‘ข้าควรจะสังเกตมันได้นานแล้ว!’ แววตาจิตสังหารกะพริบวูบวาบ
“ตรงไปทางเหนือ ห่างจากที่นี่ 97 ล้านลี้ ส่งทหารมารเขียวออกไปสังหารสามสิบชุด…” ก่อนที่นางจะพูดจบ จุดสีขาวที่เป็นตัวแทนหวังหลินพลันหายไป
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำให้นางหยุดพูดและตกตะลึงทันที
ขณะที่หวังหลินทำการดูดซับน้ำทะเลไปตลอดวัน เขายังไม่สามารถควบแน่นแก่นแท้วารีได้เลย หลังจากผ่านไปสักพักพอเริ่มดูดซับเร็วขึ้น ร่างกายกลับสั่นเทา เขาลืมตาขึ้นมาและเปล่งประกายเจิดจ้า
‘แก่นแท้วารี!! ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของแก่นแท้วารี!!’ หวังหลินดวงตาส่องสว่าง หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อยจึงเผยสายตามุ่งมั่น เขายืนขึ้นและก้าวไปข้างหน้า ใต้ฝ่าเท้าเกิดระลอกคลื่นพลางผสานเข้ากับโลกและหายตัวไป
เมื่อหวังหลินปรากฏตัวอีกครั้งเขาอยู่ด้านบนทะเลโอสถที่อีกครึ่งนึงเป็นน้ำสีดำ พอเขาปรากฏตัวจึงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่ากลัวจากน้ำทะเลสีดำซึ่งสามารถสลายเลือดเนื้อและวิญญาณดั้งเดิมได้
‘นี่มันคือพลังแก่นแท้วารีอีกแห่ง!’ ร่างหวังหลินในตอนนี้อยู่ในระหว่างการโคจรแก่นแท้วารีรอบที่เก้า เขามีพลังต้านทานน้ำทะเลสีดำมากกว่าเซียนทั่วไป
แม้น้ำทะเลนี้จะน่ากลัวแต่ก็ไม่สามารถกัดกร่อนร่างกายเขาได้ สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือมันมีแก่นแท้วารีที่หวังหลินต้องการในตอนนี้!
หลังปรากฏตัวออกมา หวังหลินนั่งลงโดยไม่ลังเล สองมือสร้างผนึก รูขุมขนในร่างกายเปิดออกเพื่อดูดซับน้ำทะเลสีดำเข้าไปในร่าง!
ขณะที่ทำการดูดซับอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกได้ถึงเส้นใยกัดก่อนในร่างกายแต่ขณะเดียวกันก็เกิดความรู้สึกปลอดโปร่งออกมาจากจิตใจ ร่างกายเขากำลังได้รับการหล่อเลี้ยงและการโคจรรอบที่เก้ากำลังสมบูรณ์อย่างช้าๆ!
ห่างจากหวังหลินออกไปไกล อีกด้านหนึ่งของทะเลโอสถซึ่งใกล้กับแคว้นมารเขียว เซียนสตรีใต้สามผืนธงกำลังหรี่ตาแคบ จ้องมองเข็มทิศในฝ่ามือ แขนขวากำลังสั่นเทา
หมึกสีดำที่ปกคลุมทะเลโอสถกว่าครึ่งกำลังสูญสลายไปบนแผนที่อย่างรวดเร็ว พอนางเห็นเช่นนี้จึงมีสีหน้าเปลี่ยนไปและอ้ากปากค้าง
“นี่…” นางถึงกับเผยแววตาไม่เชื่อพลางมองเข็มทิศด้วยความงุนงง ไม่นานนักจึงสังเกตได้ว่าส่วนหนึ่งภายในทะเลสีดำได้มีจุดสีขาวอยู่ด้วย จุดนี้ไม่ได้สว่างนักและมีเพียงจุดเดียว!
‘คนผู้นั้น!’ แววตาของนางเต็มไปด้วยจิตสังหารพลางชี้มือซ้ายออกไป
“ทหารมารเขียวห้าสิบกอง สังหารมัน!” เหล่าทหารมากกว่าห้าร้อยคนด้านข้างหญิงสาวพลันก้าวเท้าและหายวับไป
ภายในเข็มทิศของนาง จุดสีเขียวจำนวนมากปรากฏขึ้นรอบตัวหวังหลินทันที
ส่วนหวังหลินที่กำลังดูดซับแก่นแท้วารีอย่างรวดเร็ว สองมือเหี่ยวแห้งฟื้นคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว โลหิตเริ่มไหลเวียนราวกับได้พลังชีวิตกลับคืนมา
ร่างกาย ศีรษะและเรือนผมไม่ได้เหี่ยวแห้งอีกต่อไปแล้ว
การโคจรแก่นแท้วารีรอบที่เก้าเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งหลังจากหวังหลินเติมเต็มพลังใหม่ที่ดูดซับจากน้ำทะเลสีดำเข้าไป
ระดับความเร็วนี้ถือว่ารวดเร็วมากจนระดับน้ำทะเลลดลงอย่างเห็นได้ชัด การโคจรรอบที่เก้าของหวังหลินกำลังสมบูรณ์!
เมื่อรอบที่เก้าสมบูรณ์เรียบร้อย หวังหลินลืมตาขึ้นมา ร่างกายไม่เหี่ยวแห้งและฟื้นคืนเต็มที่!
แก่นแท้ที่แปดปรากฏขึ้นในร่างกาย มันคือแก่นแท้วารี!
การปรากฏของแก่นแท้วารีได้ทำให้ระดับบ่มเพาะของหวังหลินเพิ่มขึ้นทันที กลิ่นอายทรงพลังกระจายออกมารอบตัวเขา มันคือกลิ่นอายระดับบ่มเพาะที่แท้จริง เป็นขั้นวิญญาณดับสูญระดับปลาย
จังหวะนั้นกลิ่นอายเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งและทะลวงผ่านไปอีกระดับ!
เมื่อผ่านการทะลวงนี้ไป กลิ่นอายหวังหลินเพิ่มไปจนบรรลุขั้นวิญญาณดับสูญระดับสูงสุดและห่างจากขั้นแก่นแท้ดับสูญเพียงแค่ขั้นเดียว!
ขณะเดียวกันภายในร่างหวังหลินเกิดความปั่นป่วนและมีเสียงปะทุดังออกมา ดวงตาเผยประกายแสงดุจผลึกน้ำสดใส!
‘แก่นแท้วารีกลั่นตัวอยู่ในโลหิตข้า ตั้งแต่บัดนี้ไป โลหิตข้าจะกลายเป็นแก่นแท้วารี!’
1844 โอกาส!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อแก่นแท้วารีของหวังหลินสมบูรณ์ ร่างเงาปรากฏขึ้นใกล้ตัวเขาหลายร่าง แสงสีเขียวแผ่กระจายตามกันออกไป
หวังหลินสัมผัสถึงร่างเงาที่ปรากฏขึ้นได้นานแล้ว เขามีท่าทีสงบนิ่ง แขนขวาคว้าจับทะเลเบื้องบน โลหิตสีดำทั้งหมดในทะเลรวมกันในพริบตาและก่อเกิดเป็นหยดของเหลวสีดำ
มันคือหยดหมื่นหลอม!
ร่างเงาปรากฏขึ้นทีละร่าง ตามมาด้วยกลิ่นอายทรงพลังของแต่ละคน ขณะที่ทั้งหมดพุ่งมาหาหวังหลิน หวังหลินจึงบีบหยดสีดำอย่างรุนแรง
“น้ำสามารถแยกกลิ่นอาย หยุดยั้งเปลวเพลิง สกัดพลังชีวิต เปลี่ยนโลกเป็นไร้สีสัน…” หวังหลินพึมพำและบีบหยดของเหลวสีดำในมือจนกระทั่งมันแตกสลาย สายน้ำคล้ายน้ำหมึกจำนวนมากกระจายออกไปโดยมีหวังหลินเป็นจุดศูนย์กลาง
ร่างนับพันที่เข้ามาใกล้หวังหลินจึงถูกหยดสีดำเบื้องหน้าเข้ากักขังและไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้
เสียงร้องโหยหวนดังกึกก้องขึ้นในทะเลโอสถ เหล่าเซียนชุดเขียวทั้งหมดที่ถูกน้ำสีดำเข้าแตะต้องถึงกับร่างกายเน่าเปื่อย วิญญาณสูญสลายอย่างรวดเร็ว
บางส่วนหายใจไม่ออก ดวงตาเบิกกว้างและตายทันที สายน้ำไม่เพียงแต่ตัดอากาศหายใจแต่ยังสามารถตัดพลังปราณสวรรค์และเผาไหม้เพลิงแห่งชีวิตไปด้วย
บางคนถึงกับมีโลหิตไหลออกจากรูขุมขนทั่วร่าง จากนั้นก็โดนสายน้ำบดขยี้ร่างกายและวิญญาณดั้งเดิม
หลายคนตัวสั่นสะท้าน ร่างกายเหี่ยวแห้งจนเหลือแต่โครงกระดูก วิญญาณดั้งเดิมอ่อนแอจนแทบถึงจุดแตกดับ
ทุกอย่างเกิดขึ้นเมื่อหวังหลินสร้างผนึก เขาก้าวเดินผ่านซากศพด้วยความสงบนิ่ง หยดสีดำจากร่างศพได้เข้ามาผสานกับโลหิตในร่างหวังหลิน
หลังจากเดินไปเจ็ดก้าว หวังหลินหันกลับมามองออกไปไกล ทิศทางนั้นคือตำแหน่งของธงสามผืนที่มีเซียนสตรีอยู่!
นางสั่นสะท้าน ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จุดสีเขียวทั้งหมดรอบตัวหวังหลินได้มอดดับไปหมด น้ำสีดำกว่าครึ่งทะเลโอสถก็หายไปด้วย เหลือทิ้งไว้แต่เพียงจุดสีขาวที่กำลังเคลื่อนไหวช้าๆ และหายตัวไป
‘เขาเป็นใคร?! ทำไมไม่แสดงตัวออกมาตอนที่เราสำรวจเซียนทรงพลังที่นี่!?’ นางขบคิดและกัดฟันแน่น
“ทหารมารเขียวทุกนายในทะเลโอสถจงฟังคำสั่งข้า ไล่ล่ามันและอย่าปล่อยให้หนีไปได้ มันเอาหยดหมื่นหลอมของข้าไป พวกเจ้าต้องสังหารมันและนำกลับคืนมา!” นางเอ่ยขึ้นก่อนจะกระอักโลหิต โลหิตเข้าผสานกับคำพูดนางและเปลี่ยนกลายเป็นควันเข้าไปในเข็มทิศ
เมื่อโลหิตหายไป เหล่าเซียนชุดเขียวทั้งหมดรอบกายนางจึงเดินหน้า
ขณะเดียวกันเหล่าเซียนแคว้นมารเขียวทั้งหมดถึงกับตัวสั่นทันทีที่ได้ยินเสียงของนางในใจ
ที่นางสามารถกระจายเสียงไปได้ไกลขนาดนั้นไม่ใช่ด้วยระดับบ่มเพาะแต่เป็นการเปล่งเสียงผ่านเข็มทิศ เข็มทิศนี้ไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป มันอยู่ใจกลางเขตอาคมที่ห่อหุ้มรอบทะเลโอสถ
หวังหลินมีท่าทีสงบนิ่งและทะยานผ่านทะเลโอสถไป จังหวะไม่ได้เร็วนักแต่ทุกก้าวข้ามผ่านระยะทางอันห่างไกลและเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
‘คนพวกนี้เป็นคนผนึกทะเลโอสถ แม้ข้าจะไม่รู้ว่าทำไม…แต่ในเมื่อยอมให้เข้าไปได้และออกไปไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ต้องการให้ข่าวรั่วไหล…’ หวังหลินดวงตาส่องสว่างพลางยกแขนขวาขึ้นมา ปรากฏคนร่างเล็กขึ้นในมือ
เจ้าตัวน้อยนี้คือวิญญาณหวังหลินที่สร้างขึ้นผ่านวิชาเต๋าเนตรวิญญาณ สายตาหวังหลินจับจ้องไปที่ดวงตาของมัน เจ้าตัวน้อยสั่นเทาและโขกคำนับหาหวังหลิน
ศีรษะของเจ้าตัวน้อยสัมผัสกับฝ่ามือหวังหลิน เสียงดังกึกก้องขึ้นในจิตใจ ขณะที่กำลังพยากรณ์อนาคต มันกลับถูกพลังสายหนึ่งเข้าขัดขวาง
ดวงตาหรี่แคบและมีสีหน้าดุดันขึ้นทันที
‘มีคนกำลังแทรกแซง…ไม่ใช่ต่อกรกับข้าแต่เป็นวิชาพยากรณ์ทั้งหมดที่นี่…’ หวังหลินพลิกฝ่ามือ เจ้าตัวเล็กหายกลับไปข้างใน
‘ข้ากลัวว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นที่นี่…’ หวังหลินขบคิดพลางก้าวเท้าและเกิดระลอกคลื่น เขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยวิชาบิดมิติ
หลังจากหวังหลินจากไปไม่ถึงสิบลมหายใจ ร่างเกือบพันคนปรากฏขึ้นที่นี่และสวมชุดคลุมสีเขียวทั้งหมด หลังจากมองไปรอบๆ เล็กน้อยจึงหายตัวไปอีกครั้ง
ส่วนหวังหลินนั้นพอไปใกล้แคว้นกระทิงสวรรค์จึงก้าวออกมาจากระลอกคลื่นและขมวดคิ้ว เขาไม่ได้ออกไปจากทะเลแต่มองขึ้นไป สายตามองทะลุทะเลและเห็นท้องฟ้าสีดำด้านบน
‘เขตอาคมที่นี่ทำให้บิดมิติเดินทางได้แค่ภายในทะเลโอสถเท่านั้นและออกไปไม่ได้…เขตอาคมช่างแปลกประหลาด…’ หวังหลินดวงตาส่องสว่าง เขาไม่ได้กลัวเขตอาคมแต่ยิ่งเจอมันมากแค่ไหนก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อแก่นแท้เขตอาคมมากเท่านั้น
หากเขาดูดซับและหลอมเขตอาคมโบราณอันทรงพลังได้ แก่นแท้เขตอาคมของหวังหลินก็จะเพิ่มพูนขึ้นมหาศาล
“เขตอาคมที่นี่สามารถถูกหลอมและดูดซับเข้าไปในแก่นแท้เขตอาคมของข้าได้…” หวังหลินพึมพำกับตัวเอง ตอนที่เขาอยู่ในตำหนักสลักวิญญาณ เขารู้สึกว่าการหลอมเขตอาคมที่ตำหนักคงไม่ดีต่อผู้อาวุโสที่เป็นคนสร้างเท่าใดนัก อีกทั้งเขตอาคมพวกนั้นก็ไม่ได้ลึกลับ พวกมันแค่มีเจตจำนงของเซียนทรงพลัง
หวังหลินขบคิดพลางสะบัดแขนขวา เปลวเพลิงหลายสิบสายเริ่มเผาไหม้ทะเลไปทางขวาของหวังหลิน
เมื่อเปลวเพลิงปรากฏ เสียงกรีดร้องดังระงมและมีเหล่าเซียนชุดเขียวมากกว่าสิบคนปรากฏตัวขึ้นมา ร่างแต่ละคนถูกเผาไหม้จากเพลิงสีดำ เพลิงนี้คือเพลิงไร้ลักษณ์ที่ถูกจุดขึ้นจากจิตสังหาร!
หวังหลินไม่ค่อยใช้เพลิงไร้ลักษณ์มากนักและนี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้บนแผ่นดินเซียนดารา! กระนั้นมันก็ยังทรงพลังอย่างไม่คาดคิด เหล่าเซียนมากกว่าสิบคนที่โดนไปยังไม่ได้บรรลุขั้นที่สาม พวกเขาเป็นเพียงแค่หน่วยสอดแนมเพื่อออกมาค้นหาหวังหลิน จึงไม่มีโอกาสต่อต้านได้เลย
หวังหลินกำลังจะพุ่งทะยานออกไปจากน้ำเพื่อตรวจสอบเขตอาคมที่ปกคลุมทะเลโอสถ ทว่าสีหน้าพลันเปลี่ยนไปและหันไปมองอีกทาง
‘สามคนนั้น…อยู่ที่นี่จริงๆ’ หวังหลินเผยรอยยิ้มพลางเปลี่ยนทิศทางและก้าวเท้าออกไป
เสียงดังสนั่นออกมาจากส่วนลึกในทะเล พยัคฆ์ขาวกระอักโลหิตพร้อมกับนำร่างอีกสองคนหนีด้วยความเร็วเต็มที่ เซียนแซ่เฉียนเลียริมฝีปากและเผยท่าทีอำมหิต
“ร่างกายเจ้าค่อนข้างแข็งแกร่ง นำไปหลอมเป็นหุ่นเชิดอาจเป็นตัวเลือกที่ดี”
“พวกเจ้าสามคนมีระดับบ่มเพาะชั้นดี จากการสำรวจของสำนักข้า พวกเจ้าเพิ่งจะเคลื่อนย้ายมาที่นี่ไม่กี่สิบปีก่อนและกลายเป็นคนไร้สำนัก มาร่วมกับสำนักหวู่จวี่เอาไหม?” ชายหนุ่มใบหน้าดุจหยกสีขาวพลันยิ้มออกมา
พยัคฆ์ขาวหน้าซีดเผือด เขาหนีอย่างบ้าคลั่งโดยไม่พูดอะไร ส่วนเต่าดำและวิหคศักดิ์สิทธิ์กำลังหายใจรวยริน กระนั้นไม่ว่าเขาจะหนีได้เร็วแค่ไหนก็ไม่สามารถสร้างระยะห่างจากเซียนสองคนที่กำลังไล่ตามได้
“พยัคฆ์ขาว พวกเจ้าสามคนไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียง ทำไมผลการสำรวจพวกเจ้าสามคนถึงว่างเปล่าไปนานก่อนที่จะมาถึงทะเลโอสถ…” ชายหนุ่มใบหน้าดุจหยดพลางชี้ออกไปด้วยพัดในมือ
ควันสีเขียวสายหนึ่งปรากฏออกมาจากพัดและเปลี่ยนกลายเป็นเทพเกราะทองถือกระบี่ เขาก้าวไปข้างหน้าและฟันลงใส่พยัคฆ์ขาว!
จังหวะที่กระบี่ทองฟันลงไป พยัคฆ์ขาวหันกลับมาร้องคำราม ร่างเงาพยัคฆ์ขาวปรากฏขึ้น แยกออกมาจากร่างกายและกระโจนเข้าใส่เทพสวมเกราะทอง
ร่างเทพเกราะทองพังทลายไปพร้อมกับเสียงดังสนั่น แต่เจ้าพยัคฆ์ขาวก็ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนก่อนจะแตกสลายไปชเ่นกัน ขุนพลพยัคฆ์ขาวกระอักโลหิตอีกครั้งและถอยร่นไปพันฟุต
“ข้าคือขุนพลพยัคฆ์ขาว หนึ่งในสี่ยอดขุนพลของสำนักเจ็ดเต๋า ข้าจะไม่เปลี่ยนชื่อหรือสำนักข้า เจ้าเด็กน้อย จงจำไว้ให้ดี!” พยัคฆ์ขาวไม่ได้ดูดีนักและหยุดวิ่งหนี เขาเข้าใจดีว่าคงหนีรอดความตายไม่พ้นแล้ว
ในเมื่อกำลังจะตาย เขาก็จะทุ่มสุดตัว!
“ขุนพลวิหคศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในสี่ยอดขุนพลของสำนักเจ็ดเต๋า!” ด้านหลังพยัคฆ์ขาว ขุนพลวิหคศักดิ์สิทธิ์กำลังมีโลหิตไหลออกจากมุมปาก สายตาจ้องมองชายหนุ่ม
“ขุนพลเต่าดำ!” ขุนพลเต่าดำเข้าใจว่าพวกเขาสามคนคงกำลังจะตายแล้ว จึงถอนหายใจและไม่ปิดซ่อนตัวตนของตัวเองอีก
“สำนักเจ็ดเต๋า? แคว้นกระทิงสวรรค์มีสำนักชื่อนั้นด้วยหรือ?” ชายหนุ่มใบหน้าขาวขบคิดอยู่ชั่วขณะแต่ก็คิดไม่ออกจนนึกว่าตกการสำรวจ
“สำนักเจ็ดเต๋า!” เซียนแซ่เฉียนมองทั้งสามอย่างละเอียดหลังจากได้ยินชื่อนี้
“ข้าเห็นชื่อนี้ครั้งเดียวในการสำรวจสำนักของแคว้นกระทิงสวรรค์ มันเป็นสำนักที่มีมานานในอดีต จ้าวสำนักถูกเรียกชื่อว่าราชันย์เทพสีรุ้งหรืออะไรประมาณนั้น ระดับบ่มเพาะเก่งกาจแต่นั่นก็นานมากจนเหมือนเขาได้ตายไปแล้ว”
หลังได้ยินชื่อ “ราชันย์เทพสีรุ้ง” พยัคฆ์ขาวและพรรคพวกกลับเงียบลง พวกเขาต่างมีท่าทีซับซ้อน
“แม้จ้าวสำนักจะตายไปแล้วก็ยังมีอีกคน! หากเขาออกมา เขาจะกลายเป็นคนมีชื่อเสียงไปทั่วแผ่นดินเซียนดารา!” พยัคฆ์ขาวเอ่ยขึ้นทันที
วิหคศักดิ์สิทธิ์และเต่าดำมองหน้ากันเองและพยักหน้า
“มีชื่อเสียงไปทั่วแผ่นดินเซียนดารา? เรื่องนี้น่าสนใจ หรือคนที่เจ้าพูดถึงจะเกี่ยวกับหยุนยี่เฟิงจากสำนักกุ้ยยี่? ช่างน่าสนุก!” ชายหนุ่มใบหน้าขาวพลันหัวเราะพลางมุ่งหน้าออกมากับเซียนแซ่เฉียนซึ่งมีจิตสังหารเต็มเปี่ยม
แต่ขณะที่พวกเขาเข้ามาใกล้พยัคฆ์ขาวและพรรคพวก เสียงหนึ่งดังออกมาดุจสายลมเย็นยะเยือก
“ช่างน่าสนุกหรือ…”
1845 อัจฉริยะแห่งทิศบูรพา!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เสียงโผล่ออกมาขึ้นฉับพลัน ทะเลโดยรอบเริ่มเคลื่อนไหว
หวังหลินก้าวเดินออกมาจากน้ำทะเล ท่าทีสงบนิ่ง เสื้อผ้าสีขาวไม่คล้อยไปตามสายน้ำ เรือนผมประบ่า ดวงตาเย็นเยียบ
“หวังหลิน!” พยัคฆ์ขาวตกตะลึง วิหคศักดิ์สิทธิ์และเต่าดำตกตะลึงไปด้วย ทั้งสามไม่คาดคิดว่าจะมาเจอหวังหลินที่นี่!
หวังหลินพยักหน้าให้กับทั้งสาม สายตามองมาทางเซียนทั้งสองจากแคว้นมารเขียว
เซียนแซ่เฉียนเต็มไปด้วยจิตสังหาร เขาไม่คิดว่าหวังหลินเป็นภัยคุกคามเพราะระดับบ่มเพาะอยู่ในขั้นวิญญาณดับสูญระดับสูงสุดเท่านั้น ซึ่งไม่มากพอจะเป็นภัยคุกคาม เขากังวลแค่เรื่องความสามารถในการซ่อนตัวของหวังหลิน
‘คนผู้นี้ต้องเก่งด้านการซ่อนตัว ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถปรากฏตัวขึ้นที่นี่โดยที่ข้าไม่สามารถสังเกตเห็นได้!’ เซียนแซ่เฉียนเยาะเย้ย ไม่เพียงแต่เขาจะไม่หยุดแต่ยังทะยานออกไปหาหวังหลินเร็วขึ้น
“ในเมื่อพวกเจ้ารู้จักกัน ก็ตามกันไปโลกหลังความตายได้เลย!”
ส่วนชายหนุ่มใบหน้าขาวละเอียดนั้นรู้สึกตรงข้ามกับเซียนแซ่เฉียน ตอนที่เขาเห็นหวังหลินปรากฏตัว จึงหรี่ตาแคบและหยุดลง แทนที่จะพุ่งไปข้างหน้ากลับถอยร่นอย่างรวดเร็ว
‘คนผู้นี้ดูธรรมดาแต่มีสัมผัสโลหิตรอบตัวที่มองไม่เห็น เขาสังหารคนไปมากมายในทะเลโอสถ!’ ชายหนุ่มหน้าขาวฝึกฝนวิธีการทำให้สัมผัสไวต่อโลหิต พอหวังหลินปรากฏมาจึงสัมผัสได้ว่ามันแข็งแกร่งมากจนเขาอึดอัด ซึ่งไม่มีใครสัมผัสได้
ขณะถอยร่นจึงยกแขนขวาขึ้นมาปิดตาขวา ลืมตาเพียงแต่ตาซ้าย รูม่านตาในตาซ้ายหมุนอย่างประหลาดและมองเห็นวิญญาณอาฆาตนับพันรอบตัวหวังหลินทันที ทั้งหมดคือเซียนแคว้นมารเขียวที่โดนหวังหลินฆ่า!
พอเห็นเช่นนี้ ชายหนุ่มหน้าขาวจึงตัวสั่นและถอยร่นเต็มกำลังโดยไม่รอสหายร่วมทาง
เกิดเป็นความแตกต่างระหว่างทั้งสอง หนึ่งล่าถอยส่วนอีกหนึ่งมุ่งไปข้างหน้า!
“รนหาที่ตาย!” หวังหลินเยาะเย้ย ขณะที่เซียนแซ่เฉียนเข้ามาใกล้ หวังหลินสะบัดแขนปรากฏหมอกสีดำกระจายออกไป เสียงดังคำรามออกมาปรากฏเป็นหุ่นเชิดเย่ซื่อ ลิ้นสีแดงสดโผล่ออกมาจากสายหมอก มันเผยรอยยิ้มโหดเหี้ยมพลางกระโจนเข้าหาเซียนแซ่เฉียน
ระดับบ่มเพาะของเซียนตรงหน้านั้นเมื่อเทียบกับหุ่นเชิดเย่ซื่อแล้วแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว!
เซียนแซ่เฉียนเบิกตากว้าง เหงื่อท่วมร่าง รู้สึกถึงความเป็นความตายขึ้นทั่วจิตใจ วินาทีนี้ร่างกายบิดตัวและเปลี่ยนทิศทางเพื่อหลบหนีโดยไม่ลังเล
‘บัดซบ มันไปมีหุ่นเชิดทรงพลังแบบนั้นได้อย่างไร!? มันเป็นใครกัน!? นั่นมันหุ่นเชิดขั้นวิบากดับสูญระดับต้นชัดๆ!! ’ เซียนแซ่เฉียนเกิดความหวาดกลัวแต่ความเร็วกลับเทียบไม่ได้กับหุ่นเชิด จนโดนไล่ตามทันและถูกล้อมรอบด้วยหมอกสีดำ ภายในหมอกเกิดเสียงดังสนั่นและโลหิตเกิดการระเบิด
ด้านชายหนุ่มหน้าขาวที่หนีเป็นคนแรกกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและรีบถอยเพิ่มระยะห่างระหว่างเขากับหวังหลิน เขากำลังผสานกับเขตอาคมเพื่อเคลื่อนย้ายพริบตาออกไป
หวังหลินมองดูเซียนแคว้นมารเขียวที่กำลังจะหนี แขนขวายื่นออกไปหากระแสน้ำ สายน้ำก่อตัวเป็นมือยักษ์ส่งเข้าใส่ชายหนุ่มหน้าขาว
ชายหนุ่มเปิดพัดในมือ รูปพัดด้านหน้าเป็นม้าหมื่นตัวกำลังวิ่ง จากนั้นมีเสียงม้าปรากฏขึ้นมา ขณะเดียวกันภาพม้าหมื่นตัวเหมือนในพัดได้ปรากฏขึ้นด้านหลัง!
ท้องทะเลสั่นไหวเนื่องจากมีม้าพุ่งออกมาปะทะกับแขนที่หวังหลินสร้างขึ้น
เสียงดังสนั่นกระจายออกไปทั่วทะเลโอสถ ปรากฏเป็นวังวนยักษ์ขึ้นมาจนทะเลต้องหมุนไปพร้อมกับวังวน
ทั้งแขนและม้าหมื่นตัวแตกสลายไปพร้อมกัน ส่วนชายหนุ่มหน้าขาวเข้าผสานกับเขตอาคมและหายตัวไป
อีกด้านหนึ่งของทะเลโอสถ ใกล้กับแคว้นมารเขียว ตรงจุดที่ธงสามผืนตั้งอยู่ ชายหนุ่มปรากฏตัวข้างหญิงสาวถือเข็มทิศ เขากระอักโลหิตออกมา ใบหน้าและสายตายังคงตื่นกลัว
หลังปาดโลหิตออกจากมุมปากจึงเอ่ยขึ้น “เกิดเหตุฉุกเฉิน ดูเหมือนพี่เฉียนจะตายแล้ว…แคว้นกระทิงสวรรค์มีเซียนระดับนั้นตั้งแต่ตอนไหน? เขาชื่อหวังหลิน! ข้าต้องรายงานเรื่องนี้ให้กับอาจารย์”
เซียนสตรียังคงจ้องดูเข็มทิศในมือ สายตาจับจ้องตรงจุดสีขาวที่เป็นตัวแทนของหวังหลิน
ผ่านไปสักพัก นางเผยแววตาจิตสังหารและเอ่ยขึ้นเบาๆ “เขาอยู่ในค่ายกล ดังนั้นจึงไม่สามารถหนีออกไปไหนได้! ข้าได้รายงานเรื่องนี้ให้กับทางสำนักแล้ว สามบรรพชนส่งพี่ใหญ่เมฆาสูญสิ้นมาที่นี่…เมื่อพี่ใหญ่เมฆาสูญสิ้นมาถึง กองทัพของทั้งสามสำนักจะมาถึงเช่นกัน…เราแค่ต้องรอให้พี่ใหญ่หลอมทะเลเมฆาให้กลายเป็นเม็ดยาเทพจึงจะปัดเป่าม่านพลังรอบแคว้นกระทิงสวรรค์ออกไปได้! จากนั้นทุกอย่างก็จะจบ!”
“พี่ใหญ่เมฆาสูญสิ้น!!” ชายหนุ่มหน้าขาวถึงกับมีแววตาเคารพตอนที่ได้ยินชื่อ เมฆาสูญสิ้นเป็นชื่อที่โด่งดังในแคว้นมารเขียวและกระทั่งดังไปไกลทั่วแผ่นดินทิศบูรพา!
เมฆาสูญสิ้นเป็นหนึ่งในสี่อัจฉริยะของแผ่นดินทิศบูรพา! เขาไม่ได้อยู่สำนักใดสำนักนึงและสามสำนักใหญ่ของแคว้นมารเขียวล้วนเต้นสำนักของเขา เขาสามารถไปสำนักใดก็ได้และเรียนรู้วิชาสำนักนั้นมา นั่นเป็นความหมายของพี่ใหญ่แห่งศิษย์ทุกคนในแคว้นมารเขียว!
“พูดกันว่าพี่ใหญ่เมฆาสูญสิ้นได้เข้าสู่แผ่นดินเหนือและเข้าร่วมสำนักของมหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงเพื่อเรียนรู้เต๋า ตอนนี้ระดับบ่มเพาะของเขาลึกล้ำยิ่ง เพียงแค่มีเขาอยู่ด้วย เจ้าหวังหลินนั่นคงจะต้องตายแน่นอน!” ชายหนุ่มหน้าขาวกำลังตื่นเต้น
ทางด้านหวังหลินนั้น เซียนแซ่เฉียนไม่อาจเทียบได้กับเย่ซื่อเลยแม้แต่น้อย การต่อสู้จบลงด้วยเสียงร้องและร่างกายแตกสลาย เจ้าหุ่นเชิดกลืนกินร่างกายแต่เหลือวิญญาณดั้งเดิมให้หวังหลินตามคำสั่งเจ้านาย
หวังหลินเริ่มค้นวิญญาณดั้งเดิมเบื้องหน้าสามขุนพล หลังจากค้นวิญญาณเสร็จสิ้นจึงปลดปล่อยวิญญาณดั้งเดิม เจ้าหุ่นเชิดโผล่ลิ้นออกมาแต่หวังหลินผนึกเอาไว้และเก็บเข้าไปก่อน
เย่ซื่อตกตะลึงและจ้องหวังหลินด้วยสายตาโมโห
“ข้ายังต้องใช้เขา!” หวังหลินมองเย่ซื่อด้วยสายตาสงบนิ่งแฝงจิตสังหารมหึมา มันร้องคำรามต่ำ ก้มหน้าลงและไม่ร้องอีก
เมื่อระดับบ่มเพาะของหวังหลินเพิ่มขึ้น ตราประทับบนหุ่นเชิดเย่ซื่อจึงรุนแรง มันไม่มีวันต่อต้านคำสั่งของหวังหลินเว้นแต่จะหมดหนทาง
“สามสหาย เราไม่เจอกันมาหลายปี ข้าไม่คิดว่าพวกเจ้าจะอยู่ที่นี่…” หวังหลินหันกลับมามองพยัคฆ์ขาวและอีกสองคนที่มีท่าทีอธิบายไม่ถูก หวังหลินคำนับฝ่ามือและยิ้มออกมา
พยัคฆ์ขาวและอีกสองคนต่างรู้สึกอับอาย
“หวังหลิน ตั้งแต่ที่แคว้นมารเขียวลงมือ พวกมันจะยิ่งรวดเร็วปานสายฟ้า ตอนนี้ข้ากลัวว่าเซียนแคว้นกระทิงสวรร์ส่วนใหญ่ถูกสังหารไปแล้ว เรา…เราจะออกไปได้อย่างไร…” เต่าดำมองหวังหลินและถอนหายใจ
วิหคศักดิ์สิทธิ์ขบคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ “นี่เป็นครั้งแรกที่แคว้นมารเขียวพยายามเข้าสู่แคว้นกระทิงสวรรค์ครั้งใหญ่ แต่พวกมันได้ถูกม่านพลังที่บรรพชนของสำนักมหาวิญญาณและสำนักกุ้ยยี่หยุดเอาไว้ กระนั้นก็ยังเริ่มเข่นฆ่าเซียนไร้สำนักในทะเลโอสถ เป้าหมายหลักของพวกมันคงเป็นเรื่องใหญ่เกินจิตนาการแน่!”
“เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่กำลังถูกแคว้นมารเขียวปิดบัง ดังนั้นสำนักมหาวิญญาณและสำนักกุ้ยยี่จึงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น ดังนั้นเราต้องออกไปส่งข้อความให้ผู้คนของแคว้นกระทิงสวรรค์!” พยัคฆ์ขาวพูดขึ้น
“นี่ไม่ใช่เวลามาพูด ออกไปกันก่อน!” หวังหลินสะบัดแขนเสื้อ กระแสน้ำหลายสายปรากฏขึ้นมาพาพวกเขาทะยานไปข้างหน้า
ทั้งสี่คนท่องทะยานและเจอกับเซียนของแคว้นมารเขียวหลายครั้ง แต่ละครั้งที่เจอ หวังหลินจะใช้เพลิงไร้ลักษณ์เข้าสังหารในพริบตา
ทว่าขณะที่พวกเขาเดินทาง เหล่าเซียนมารเขียวปรากฏตัวน้อยลงเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดก็ไม่เจออีกเลยราวกับหายไปแล้ว
‘มีบางอย่างไม่ถูกต้อง…’ หวังหลินหรี่ตา เขาอยู่ห่างจากแคว้นกระทิงสวรรค์ไม่ไกลนักและใกล้กับชายขอบ พอพวกเขาทะยานต่อไป พื้นทะเลเริ่มยกสูงขึ้น ทั้งสี่ทะยานออกมาจากทะเล
ท้องฟ้ามืดครึ้มไร้แสงจันทร์!
โลกที่มืดมิดทำให้ทะเลขุ่นมัว มีเพียงสายลมที่ทำให้คลื่นกระเพื่อมและส่งเสียง ภายในคลื่นได้กลิ่นโลหิตเจือจาง
หลังจากทะลุออกมาจากทะเลได้ ทั้งสี่คนทะยานขึ้นไปในท้องฟ้า นอกจากเสียงทะเลแล้ว ทุกอย่างกลับเงียบสนิท
พยัคฆ์ขาวและพรรคพวกสังเกตถึงความผิดปกติได้ พวกเขามองไปรอบๆ ดวงตาส่องสว่างเนื่องจากถูกล้อมรอบด้วยความมืดและเห็นแต่เพียงเค้าโครงของแคว้นกระทิงสวรรค์ได้ลางๆ
“พวกเจ้าสามคนช่วยปกป้องข้าที ข้าจะไปดูว่าเขตอาคมนี้ทรงพลังแค่ไหน!” หวังหลินเพ่งสมาธิ หลังจากขบคิดเล็กน้อยจึงกดฝ่ามือขวาลงไปที่ทะเลด้านล่าง
1846 พบกันครั้งแรก!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทะเลยังคงเหมือนเดิมแต่เขาได้ทิ้งเศษเสี้ยวสัมผัสวิญญาณไว้ในทะเล เสี้ยวสัมผัสวิญญาณนี้อาจดูไร้ประโยชน์ในตอนนี้ แต่ในอนาคตมันจะได้ทำหน้าที่สำคัญ
สัมผัสวิญญาณนั้นได้ผสานเข้ากับทะเลและตรวจสอบได้ยากยิ่ง
หลังเสร็จสิ้น ดวงตาหวังหลินเต็มไปด้วยเส้นโลหิต ไม่นานนักดวงตาเขาจึงดูน่าหวาดกลัว
หวังหลินใช้ดวงตาซึ่งมีเขตอาคมแก่นแท้ ส่งสายตามองบนท้องฟ้า สีหน้าจึงเปลี่ยนไป!
ท้องฟ้าสีดำถูกปกคลุมด้วยชั้นหมอกบางๆ ชั้นหมอกนี้ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า แม้แต่สัมผัสวิญญาณก็ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน มีเพียงการใช้สัมผัสวิญญาณของแก่นแท้เท่านั้นจึงจะทำให้มองเห็นทั้งหมดได้ชัดเจน
‘หนึ่งชั้น…สามชั้น…เจ็ดชั้น…’ หมอกในท้องฟ้าเบาบางแต่มีทั้งหมดเจ็ดชั้นล้อมรอบทั่วทั้งทะเลโอสถ ราวกับถ้วยกลับหัวและปกคลุมเหนือทะเลโอสถ
เหนือชั้นที่เจ็ดไปมีเข็มทิศซึ่งเป็นภาพมายากำลังหมุนอย่างช้าๆ และเปล่งกลิ่นอายผสานเข้ากับหมอกเจ็ดชั้น
‘เข็มทิศเป็นภาพมายา ไม่ใช่ของจริง…’ หวังหลินมองขึ้นไปเห็นเข็มทิศเหนือชั้นที่เจ็ดขึ้นไปมีเส้นใยกลิ่นอายชนิดหนึ่งเชื่อมต่อกับอีกฝั่งของทะเลเมฆา
‘ใจกลางของค่ายกลต้องมีผู้ควบคุมอยู่ตรงนั้น…’ หวังหลินขบคิดอะไรได้บางอย่างในขณะที่มองไปที่ทะเลโอสถ
หากเขาต้องการให้แก่นแท้เขตอาคมสร้างเป็นร่างแก่นแท้ เขาจะต้องดูดซับเขตอาคมจำนวนมาก เขาไม่เคยเห็นเขาอาคมที่ปกคลุมอยู่เหนือทะเลโอสถนี้มาก่อนและอยากดูดซับมันจริงๆ
แต่ในไม่นานก็ระงับความต้องการนี้ไป แขนขวาสะบัด ดวงตายักษ์สองข้างปรากฏขึ้นด้านหลัง ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นโลหิตและดูเหมือนขับไล่ความมืดออกไปได้เล็กน้อย
หวังหลินนั่งลงมองท้องฟ้า ดวงตาเปล่งประกายและเริ่มการพิจารณาค่ายกล เขาต้องทะลวงมันให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ดวงตายักษ์สองข้างเปล่งแสงออกมาเช่นกัน เขาจ้องมองท้องฟ้าพลางหาทางทะลวงหมอกเจ็ดชั้น
แววตาหวังหลินมีเส้นโลหิตผุดขึ้นมามากขึ้น ดวงตายักษ์สองข้างด้านหลังเขาก็เช่นกัน
พริบตาเดียวครึ่งชั่วโมงผ่านไป พยัคฆ์ขาวและอีกสองคนทำตัวสงบนิ่งพลางมองไปรอบๆ เพื่อปกป้องหวังหลินอย่างระมัดระวัง พวกเขาจะออกไปจากที่นี่ได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับหวังหลิน
เวลาผ่านไปอีกครึ่งก้านธูปไหม้ หวังหลินดวงตาส่องสว่าง ชี้นิ้วไปที่ท้องฟ้าสามครั้ง ทุกครั้งที่ชี้ไปจะมีเส้นโลหิตหนึ่งสายพุ่งทะยานออกจากดวงตาด้านหลัง
คนภายนอกไม่สามารถมองเห็นได้แต่ในมุมมองของหวังหลิน แต่ละเส้นสายพุ่งทะยานเข้าไปในบริเวณหมอกชั้นแรก เส้นทั้งสามเชื่อมต่อกันเป็นวงกลม
วงกลมนี้คือหลุมเล็กๆ ตรงหมอกชั้นแรกที่ไม่มีสายหมอก! แม้จะเป็นเพียงหลุมเล็กแต่ก็มากพอให้หนึ่งคนผ่านเข้าไป!
‘หมอกเจ็ดชั้น ทุกชั้นกำลังเคลื่อนไหว การทะลวงผ่านเขตอาคมนี้นับว่าเป็นเรื่องยาก…’ หวังหลินครุ่นคิดพลางมองบนท้องฟ้า สองมือขยับและพลิกไปมาถึงเก้าครั้ง แต่ละครั้งมีเส้นสีแดงทะยานออกไป
เก้าเส้นทะลุเข้าไปในหลุมที่เขาสร้างขึ้นมาในชั้นแรก มีสี่เส้นพุ่งเข้าไปในชั้นสอง ไม่นานจึงเกิดเป็นพื้นที่คล้ายกันกันในสายหมอกบางๆ จากนั้นเชื่อมต่อกันเป็นวงกลม
ขณะเดียวกันห้าเส้นที่เหลือทะลุชั้นที่สองไปและใช้วิธีเดียวกันเพื่อสร้างเป็นวงกลมในชั้นที่สาม!
หวังหลินค้นพบวิธีการทะลวงออกไปในสามชั้นแรกแล้ว!
พยัคฆ์ขาวและพรรคพวกไม่สามารถมองเห็นได้และต่างคนต่างก็เคร่งเครียด พวกเขามองหวังหลินด้วยความกระวนกระวาย อีกทั้งเวลาก็ผ่านไปพักใหญ่แล้ว
ตอนนี้ไม่มีเซียนจากแคว้นมารเขียวปรากฏตัวอีก ดูช่างน่าประหลาดและเหมือนลมสงบก่อนพายุเข้า ทำให้พวกเขารู้สึกกดดัน
หวังหลินสงบนิ่ง ความคิดเพ่งสมาธิอยู่กับเขตอาคมเจ็ดชั้น ยิ่งไปไกลยิ่งค้นพบว่ามันยิ่งลึกล้ำ หลังจากผ่านสามชั้นแรกไป พื้นที่หมอกที่เบาบางยิ่งหายากขึ้นไปอีก
แต่หวังหลินมีแก่นแท้เขตอาคม ดังนั้นจึงไม่ได้พึ่งพาแค่การพิจารณาแต่ยังใช้สายตาเขตอาคมเข้าร่วมด้วย ในสายตาเขา เขตอาคมทั้งหมดในโลกคล้ายหยุดตัวลง
หลังจากผ่านไปครึ่งนาทีและทะลวงสามชั้นแรกไปได้ หวังหลินดวงตาส่องสว่างขึ้นมาและพลิกมือถึงสิบเจ็ดครั้ง! เส้นใยโลหิตสิบเจ็ดสายพุ่งลอยออกไปทะลุสามชั้นแรกไปถึงชั้นที่สี่ หกเส้นก่อตัวเป็นวงกลมเล็กๆตรงจุดที่มีสายหมอกเบาบาง
เหลือสิบเอ็ดเส้นเข้าไปในชั้นที่ห้าและก่อตัวเป็นวงกลม ตอนนี้มีวงกลมสำหรับทะลุผ่านสายหมอกไปปรากฏตัวในห้าชั้นแรกแล้ว
ทว่าในจังหวะนั้นทะเลโอสถส่งเสียงดังสั่นสะเทือนสวรรค์ ท้องทะเลดูเหมือนถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนเป็นเส้นผ่าลงไปตรงกลาง
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นฉับพลันนี้ทำให้สีหน้าพยัคฆ์ขาวและพรรคพวกถึงกับมีท่าทีเปลี่ยนไป จังหวะนั้นหวังหลินหรี่ตาและลุกขึ้นโดยไม่ลังเล ดวงตายักษ์ด้านหลังหายไปและเขาได้สะบัดแขนเสื้อ นำพาพยัคฆ์ขาวและพวกอีกสองคนพุ่งทะยานขึ้นไปในท้องฟ้า
ขณะที่หวังหลินทะยานออกไป ปราณกระบี่น่ากลัวเกินบรรยายโผล่ออกมาจากเส้นเบาบางที่ตัดผ่าทะเลออกเป็นครึ่งส่วน
เส้นเบาบางนั่นมันอะไร? นั่นมันโดนผ่าจากกระบี่ชัดๆ! สามารถควงกระบี่จนสามารถผ่าทะเลเป็นครึ่งส่วนจากบนสุดจนถึงล่างสุด นับว่าเป็นพลังอันน่าตกตะลึงยิ่ง!
ร่างเงากระบี่ปรากฏขึ้นมาจากทะเล เสียงทะเลสั่นไหวและถูกแบ่งออกเป็นครึ่งส่วนอย่างสมบูรณ์ จากนั้นมองเห็นชั้นใต้ทะลสีดำได้อย่างชัดเจน
เงากระบี่เล่มนี้มีความยาวหลายร้อยฟุต มันพุ่งออกมาจากทะเล มุ่งหน้าหาหวังหลินและพรรคพวก เหล่าพยัคฆ์ขาวพอสัมผัสปราณกระบี่ได้จึงหน้าซีด ทางด้านวิหคศักดิ์สิทธิ์และเต่าดำที่บาดเจ็บสาหัสถึงกับกระอักโลหิต แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“นี่มันเต๋ากระบี่!! ไม่บ่มเพาะเขตแดนแต่บ่มเพาะเพียงกระบี่ จนผสานเจตจำนงเข้าไปในกระบี่ ผสานร่างกายเป็นกระบี่ ตัดอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดจนคิดว่าตัวเองเป็นกระบี่!”
“นี่…นี่….แคว้นมารเขียวมีเซียนทรงพลังขนาดนี้เชียว!!” ขุนพลเต่าดำที่เป็นคนรอบรู้ถึงกับอ้าปากค้าง
เงากระบี่รวดเร็วมากและเข้าใกล้ในพริบตา แต่หวังหลินนำหน้าไปก่อน เขาพากลุ่มพยัคฆ์ขาวเข้าไปในหลุมเล็กในหมอกชั้นแรก พุ่งทะยานผ่านชั้นที่สอง สาม สี่และห้าโดยไม่หยุดชะงัก
ด้านหลังเป็นเงากระบี่ตัดเข้าไปในเขตอาคมจนเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง หมอกสามชั้นแรกพังทลายทันที ปราณกระบี่พุ่งเข้าไปในชั้นที่สี่ทำให้ทั้งชั้นพังทลายไปในทันที!
หนึ่งกระบี่เข้าทะลวงไปสี่ชั้น แม้แต่หวังหลินก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างถึงพลังอำนาจของกระบี่! เขาอยู่ในหมอกชั้นที่ห้าและสัมผัสได้ว่าสายหมอกกำลังสั่นไหว พลังกดขี่อันเป็นเอกลักษณ์ของเซียนที่ฝึกฝนกระบี่ได้พุ่งเข้าไปในจิตใจหวังหลิน
หวังหลินสูดหายใจลึก เจตจำนงนี้เป็นแค่พลังตีกลับ แต่หวังหลินสัมผัสได้ว่าพลังอำนาจกดขี่ของมันมากมายแค่ไหน
‘ไม่ว่าคนผู้นี้จะมีระดับบ่มเพาะอะไร เขาต้องเป็นคนมีชื่อเสียงในแคว้นมารเขียวเป็นแน่!’ หวังหลินดวงตาส่องสว่างพลางดึงกลุ่มพยัคฆ์ขาวซึ่งกำลังตกตะลึงกับกระบวนท่ากระบี่ หวังหลินพุ่งไปยังชั้นที่หกด้วยสายตาเต็มไปด้วยเส้นโลหิต
หมอกในชั้นที่หกหนาแน่นมากและไม่มีช่องว่างเลย แต่ขณะที่หวังหลินพุ่งทะยานไป สองมือสร้างผนึกเขตอาคมที่สร้างจากเส้นโลหิตเบื้องหน้าก่อตัวเป็นลวดตาข่าย เข้าปะทะกับหมอกชั้นหกในเวลาไม่นาน
ปัง!
หวังหลินฝืนพากลุ่มพยัคฆ์ขาวทะลวงเข้าไปยังชั้นที่หก!
“เมฆาสูญสิ้นผู้ต้อยต่ำคนนี้เพิ่งจะเดินทางไกลมาถึง ทำไมสหายเต๋าถึงได้รีบจากไปเช่นนี้เล่า?” น้ำเสียงทุ้มต่ำดังกึกก้องบนพื้นผิวทะเล เงากระบี่ที่แทงเข้าไปในสี่ชั้นแรกได้กลายร่างเป็นเซียนชุดฟ้า
เซียนผู้นี้ดูอ่อนเยาว์ สวมเสื้อเรียบง่ายไร้ลวดลายหรูหรา เส้นผมยาวพาดเหนือบ่าและทำให้เขาดูสมสง่า
เขาดูเรียบง่ายแต่เยือกเย็น ในมือมีกระบี่ยาวเจ็ดฟุตเปล่งแสงอ่อนๆ ท้องฟ้ามืดครึ้มคล้ายจะมีสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านไป
ที่โผล่ออกมาไม่ใช่ร่างดั้งเดิมแต่เป็นร่างอวตารของเมฆาดับสูญที่สร้างขึ้นจากเจตจำนงกระบี่ แม้จะเป็นร่างอวตารแต่มีเจตจำนงกระบี่อยู่ถึงหกในสิบส่วน!
พอเอ่ยขึ้นมา เขาก้าวทะยานเข้าสู่ชั้นที่ห้า! ยกแขนขวาขึ้นวาดกระบี่ผ่านท้องฟ้า
เพียงแค่วาดกระบวนท่าออกไป ปราณกระบี่รูปพระจันทร์เสี้ยวลอยทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า หมอกชั้นที่ห้าพลันแตกสลายทันที ทำให้เมฆาสูญสิ้นได้เห็นหวังหลินที่มองกลับมาหาเขาด้วยความเย็นเยียบ!
1847 เชื่อใจ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
สายตาทั้งคู่ประสานกัน ความคิดหวังหลินดังสนั่น เขาพากลุ่มพยัคฆ์ขาวเข้าไปในชั้นที่หกและมุ่งหน้าสู่ชั้นที่เจ็ดด้วยใบหน้าซีดและท่าทีเคร่งเครียด
ส่วนเมฆาสูญสิ้นนั้นความคิดดังสนั่นเช่นกันขณะที่มองไปยังท้องฟ้าด้วยสายตาแปลกประหลาด
‘ข้าคิดว่ามีเพียงหยุนยี่เฟิงเท่านั้นในแคว้นกระทิงสวรรค์ที่ทำให้ข้าสนใจ…ไม่คิดว่าจะได้เจออีกในวันนี้! ดวงตาเย็นเยียบคู่นั้น…เขาเป็นคนอำมหิต…’ เมฆาสูญสิ้นยิ้มออกมาพลางถือกระบี่และก้าวไปในท้องฟ้า
หวังหลินพุ่งเข้าไปในชั้นที่หก เหลือเพียงชั้นที่เจ็ดก่อนที่เขาจะออกไปนอกทะเลโอสถได้ ทว่าหวังหลินไม่มีเวลาให้เลือกมากนัก ชั้นที่เจ็ดมีหมอกหนาแน่นที่สุดและไม่สามารถหาช่องว่างได้ในเวลาสั้นๆ
นอกจากนี้เซียนชื่อเมฆาดับสูญก็อยู่ด้านล่างจึงทำให้เขาไม่มีเวลามากพอ ดวงตาหวังหลินกะพริบวูบวาบพลางท่องทะยานผ่านชั้นที่หกไป ตอนที่ปราณกระบี่กำลังทะลวงผ่านไป ดวงตาเขามีเส้นโลหิตปรากฏขึ้นและมีดวงตาสีแดงหนึ่งคู่ปรากฏขึ้นด้านหลัง
“แก่นแท้เขตอาคม ใช้แก่นแท้เข้าสู่เขตอาคม!” หวังหลินร้องคำราม ดวงตายักษ์ด้านหลังพลันแตกสลาย เส้นโลหิตนับไม่ถ้วนลอยออกมารอบตัวหวังหลินก่อเกิดเป็นอุกกาบาตพุ่งเข้าชนกับชั้นที่เจ็ด
พอหวังหลินพุ่งออกไป หมอกชั้นที่หกด้านล่างจึงแตกสลาย ปราณกระบี่พุ่งออกมาและมีเจตจำนงกระบี่อันทรงพลังคล้ายกับทำลายได้ทุกอย่าง!
“สหายเซียน อยู่ก่อน!” เสียงเมฆาสูญสิ้นดังกึกก้องพร้อมกับเงากระบี่ทะลวงผ่านชั้นที่หกมา มันก่อเกิดรูปร่างเป็นเงากระบี่แยกสวรรค์อย่างรวดเร็วและทะยานเข้าหาหวังหลิน
หากหวังหลินถูกปราณกระบี่หยุดไว้ เขาคงไม่สามารถออกไปจากชั้นที่เจ็ดได้ แม้ตอนนี้จะอยู่ในช่วงวิกฤติ หวังหลินเผชิญศัตรูมานับครั้งไม่ถ้วน ยิ่งอันตรายยิ่งทำให้เขาสงบเยือกเย็น
จังหวะปราณกระบี่เข้ามาใกล้ เขาหันกลับมายกแขนขวาขึ้น ร่างแก่นแท้ปรากฏขึ้นมาชี้ฝ่ามือใส่ท้องฟ้า หมอกในชั้นที่เจ็ดสั่นไหวและปรากฏฝ่ามือยักษ์!
ประทับวิญญาณสงคราม!
ไม่ใช่เพียงแค่หนึ่งแต่ร่างแก่นแท้เพลิงของหวังหลินก็ยกแขนขึ้นมาด้วย สายหมอกจึงเกิดประทับฝ่ามือเพลิงขึ้นอีกแห่ง สองประทับกระแทกลงใส่ปราณกระบี่ติดต่อกันในทันที
ขณะเดียวกันด้านล่างหวังหลินและเมฆาสูญสิ้น ณ ทะเลที่ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน สัมผัสวิญญาณที่หวังหลินทิ้งไว้ในทะเลพลันรู้สึกได้ถึงคำสั่งจากหวังหลิน น้ำทะเลพวยพุ่ง ประทับฝ่ามือยักษ์ซึ่งเกิดขึ้นจากน้ำทะเลพลันลอยขึ้นมา!
ระดับน้ำทะเลลดลงอย่างมหาศาล ราวกับน้ำได้ควบแน่นเป็นฝ่ามือลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า!
สามประทับฝ่ามือ สองด้านบนและหนึ่งด้านล่าง ทั้งหมดทะยานเข้าหาเมฆาสูญสิ้นและปราณกระบี่นั้น!
ประทับฝ่ามือของหวังหลินเข้าไปใกล้ก่อนและชนกับปราณกระบี่ เสียงระเบิดดังแตกร้าวพร้อมกับประทับได้แตกสลาย ขณะเดียวกันประทับฝ่ามือจากร่างแก่นแท้เพลิงได้ตกลงมาติดต่อกัน
จังหวะนี้เองประทับฝ่ามือจากแก่นแท้วารีได้ลอยทะยานเข้าสู่เมฆาสูญสิ้น สองประทับฝ่ามือเพลิงและสายน้ำโจมตีร่วมกัน!
พอทั้งสองประทับเข้าไปใกล้ สายน้ำราวกับกำลังระเหยกลายเป็นไอ ส่วนประทับเพลิงดูเหมือนกำลังมอดดับจากการถูกน้ำเข้าปกคลุม ทว่าสองแก่นแท้ทั้งเพลิงและวารีมาจากร่างหวังหลิน พวกมันจึงไม่เพียงแต่ไม่หายไปแต่กลับแข็งแกร่งยิ่งขึ้น!
แม้แต่หวังหลินก็ไม่คาดคิดว่าการใช้สองแก่นแท้ในเวลาเดียวกันจะเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ ฝ่ามือที่สร้างขึ้นจากน้ำทะเลเริ่มเดือดและมีหยดน้ำจำนวนมากกระจายออกมา ส่วนประทับฝ่ามือเพลิงดูสลัวแต่เปลวเพลิงกลับรุนแรงยิ่งขึ้น
ในยามนี้แม้แต่สีหน้าเมฆาสูญสิ้นก็ยังเคร่งเครียด เขาใช้ปราณกระบี่ปะทะเข้ากับประทับฝ่ามือเพลิง ขณะเดียวกันประทับฝ่ามือวารีก็เข้ามาใกล้จากด้านล่าง
สองประทับฝ่ามือเข้าประกบกันโดยมีเมฆาสูญสิ้นและปราณกระบี่อยู่ตรงกลาง สองแก่นแท้เพลิงและวารีผสานกันกลายเป็นพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าแก่นแท้เดียว!
พลังนี้คือหมอก!
พลังหมอกนี้เป็นแก่นแท้ที่ได้รับมายากยิ่ง กล่าวให้ถูกคือมันไม่สามารถครอบครองได้เพราะคนผู้นั้นต้องเชี่ยวชาญทั้งแก่นแท้เพลิงและแก่นแท้วารี และยังผสานเข้าด้วยกันก่อเกิดเป็นแก่นแท้หมอก!
แก่นแท้ที่ล้ำค่ายิ่งกว่าแก่นแท้ชนิดเดียว!
จังหวะที่แก่นแท้หมอกปรากฏ ฝ่ามือเพลิงและฝ่ามือวารีแตกสลายในทันที ปราณกระบี่ของเมฆาสูญสิ้นแตกสลายเป็นครั้งแรก คลื่นกระแทกรุนแรงกระจายออกไปทุกทิศทาง หวังหลินล่าถอยและยืมพลังกระแทกนี้มุ่งหน้าสู่ชั้นที่เจ็ดพร้อมกับเหล่าพยัคฆ์ขาว
ร่างเมฆาสูญสิ้นถึงกับสั่นเทาและถอยไปหลายก้าว จากนั้นมีเสียงคำรามดังลั่นออกมาเพราะหวังหลินปลดปล่อยหุ่นเชิดเย่ซื่อ มันพุ่งทะยานเข้าใส่เมฆาสูญสิ้นทันที
เย่ซื่อปรากฏตัวฉับพลันราวกับรอคอยจังหวะนี้ มันเข้าประชิดด้วยความรวดเร็ว มือสีดำยื่นเข้าไปใส่เมฆาสูญสิ้น
จังหวะเวลาถือว่ายอดเยี่ยมจนสีหน้าของเมฆาสูญสิ้นต้องเปลี่ยนไป เขากัดปลายลิ้นพ่นโลหิตออกมาเปลี่ยนเป็นปราณกระบี่สีแดงฟันเข้าใส่เย่ซื่อ!
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมาก พริบตาเดียวปราณกระบี่ก็ฟันใส่เย่ซื่อและตัดแขนขวาจนขาด เย่ซื่อร้องไห้และถอยร่นทันที ทว่าแขนขวาที่ถูกตัดได้เปลี่ยนกลายเป็นควันสีดำพุ่งทะยานใส่ร่างของเมฆาสูญสิ้น!
เมฆาสูญสิ้นส่งเสียงร้องอู้อี้ โลหิตไหลออกจากดวงตา ควันสีดำห้าสายแฝงจิตสังหารอันทรงพลังและเริ่มเกิดการทำลายขึ้นในร่างกาย พวกมันลบเลือนออกไปได้ยากเพราะมีพลังของบัญชาโบราณอยู่ด้วย!
“สหายเซียนเมฆาสูญสิ้น ไม่จำเป็นต้องไปส่งข้าหรอก ไว้เราเจอกันใหม่ในภายภาคหน้า!” หวังหลินเอ่ยเสียงดังกึกก้องในท้องฟ้า เมฆาสูญสิ้นมองหุ่นเชิดเย่ซื่อที่สูญเสียแขนขวา มันเปลี่ยนกลับเป็นควันสีดำและถูกหวังหลินเก็บไป จากนั้นพวกหวังหลินก็พากลุ่มพยัคฆ์ขาวเข้าไปในชั้นที่เจ็ดและหายตัวอย่างไร้ร่องรอย
พอหวังหลินจากไปได้สักพักแล้วเมฆาสูญสิ้นจึงยิ้มออกมาด้วยความมืดมนยิ่ง
‘การเข้าสู่แคว้นกระทิงสวรรค์ช่างน่าสนใจ…ครั้งต่อไปข้าจะไม่ปล่อยเจ้าหนีไปได้อีก เซียนทรงพลังแบบเจ้าเหมาะสมที่จะกลายเป็นเตาหลอมกระบี่ของข้า!!’ ดวงตาของเมฆาสูญสิ้นเรืองแสงสว่างและก้าวทะยาน ใบหน้าซีดเล็กน้อยเพราะบาดเจ็บในการต่อสู้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาฟื้นฟูกำลัง เขายังต้องรายงานความสำเร็จให้แก่เหล่าบรรพชนเรื่องการหลอมทะเลโอสถกลับเป็นเม็ดยาสวรรค์!
ตอนนี้ในทะเลโอสถ ไม่มีเซียนของแคว้นกระทิงสวรรค์เหลือรอดอยู่เลย ทุกคนล้วนตายกันหมด!
ทั่วทั้งทะเลโอสถกลายเป็นอาณาเขตของแคว้นมารเขียว!
ณ ด้านนอกทะเลโอสถ หวังหลินทะยานออกมาอยู่บนแคว้นกระทิงสวรรค์ได้หลายหมื่นลี้ โลหิตไหลออกจากมุมปากพลางหันกลับไปมองเขตอาคมรอบทะเลโอสถด้วยสายตาอาฆาต
“พยัคฆ์ขาว พวกเจ้าสามคนไปก่อน…ข้ายังมีเรื่องต้องทำจึงยังไม่ไปกับพวกเจ้าด้วย ที่นี่ห่างไกลจากสำนักมหาวิญญาณแต่ใกล้กับสำนักกุ้ยยี่ หากพวกเจ้าต้องการรายงานก็ต้องรีบไป”
“ส่วนสำนักมหาวิญญาณ ข้าจะบอกเอง!” หวังหลินมองทะเลโอสถ สายตาเผยความเย็นเยียบ สะบัดแขนขวาปรากฏหินหยกขึ้นในมือ มันคือหินหยกสื่อสารจากสำนักมหาวิญญาณ หลังจากทิ้งข้อความไว้เขาจึงสะบัดแขนส่งให้หินหยกหายไปอย่างรวดเร็ว
ด้วยโครงสร้างของหินหยกสื่อสาร มันจึงเดินทางได้เร็วยิ่งกว่าเหล่าเซียน แต่ไม่รู้ว่าสำนักมหาวิญญาณจะได้รับมันเมื่อใดกันแน่
หลังจากเห็นหินหยกสื่อสาร กลุ่มพยัคฆ์ขาวรู้ทันทีว่ามันเป็นของที่สำนักมหาวิญญาณใช้กันภายใน พวกเขามองหวังหลินราวกับต้องการจะสอบถามแต่ก็หยุดยั้งตัวเองไว้
หวังหลินถอนสายตาจากทะเลโอสถ เขาสังเกตท่าทีของพวกพยัคฆ์ขาวได้จึงเอ่ยขึ้น “ข้าได้เข้าร่วมสำนักมหาวิญญาณและกลายเป็นผู้อาวุโส”
“ดูแลตัวเองด้วย!” พยัคฆ์ขาวและพรรคพวกคำนับฝ่ามือ พวกเขาไม่ได้เอ่ยขอบคุณกันบ่อยนัก แต่ไม่ว่าเรื่องนี้หรือเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกถ้ำ เหล่าพยัคฆ์ขาวต่างจดจำไว้ในใจ
“พวกเจ้าก็ดูแลตัวเองด้วย!” หวังหลินเผยรอยยิ้มจริงใจ เขาคำนับฝ่ามือให้และมองมาที่วิหคศักดิ์สิทธิ์
วิหคศักดิ์สิทธิ์ถอนหายใจราวกับต้องการพูดบางอย่าง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ทั้งสามรีบทะยานเข้าหาสำนักกุ้ยยี่
หลังจากทั้งสามคนหายวับไปจากขอบฟ้า หวังหลินหันกลับมายังทะเลโอสถ แววตาผุดจิตสังหาร
“ตั้งแต่ที่มาถึงแผ่นดินเซียนดารา ข้าไม่เคยเจอการสูญเสียครั้งใหญ่มาก่อน! เมฆาสูญสิ้น หากข้าไม่ใช้โอกาสที่เจ้าบาดเจ็บนี้เข้าไปสังหารเจ้า ข้าคงทนไม่ไหวแน่!” เสียงกรีดร้องของหุ่นเชิดเย่ซื่อยังดังกึกก้องในใจหวังหลิน จิตใจเขากำลังเจ็บปวด ระดับบ่มเพาะของเมฆาสูญสิ้นนั้นประหลาดยิ่ง ระดับบ่มเพาะไม่ได้สูงแต่พลังปราณกระบี่กลับน่าตกตะลึง!
หวังหลินลบล้างสัมผัสวิญญาณของหยานหลวนในสมบัติทั้งสองที่เขาชนะนางมาแล้ว น้ำเต้าที่มีวิญญาณเต๋าสามสิบล้านดวงสามารถปลดปล่อยการโจมตีรุนแรงได้ แม้จะเพียงแค่ครั้งเดียวก็ตาม!
ตอนนี้พอคิดขึ้นมาในใจ จึงพุ่งทะยานเข้าหาทะเลโอสถ
ลักษณะท่าทีดูเหมือนไม่ยั้งคิดแต่หวังหลินมั่นใจว่าเมฆาสูญสิ้นคงไม่คิดว่าเขาจะกลับมาหลังจากใช้ความพยายามมากขนาดนั้นออกไป นี่เป็นสิ่งที่ทำให้หวังหลินมั่นใจ
‘หากข้าต้องการสังหารเมฆาสูญสิ้น ข้าต้องได้เข็มทิศควบคุมค่ายกลนั่น!’ เป็นครั้งแรกที่หวงหลินต้องการสังหารคนนับตั้งแต่ที่มาถึงแผ่นดินเซียนดารา
1848 ซ่อนเร้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังหลินเคลื่อนร่างและปรากฏตัวเหนือทะเลโอสถ ด้านล่างเป็นเขตอาคมที่มองไม่เห็น ด้วยเขตอาคมตรงนี้เขาจึงไม่กังวลว่าจะถูกเซียนข้างในเขตอาคมตรวจพบ
แต่หวังหลินก็ยังระมัดระวังและซ่อนกลิ่นอาย เขาเหมือนภูติผีล่องลอยเข้าไปยังอีกฝั่งของทะเลโอสถ
หวังหลินผสานเข้ากับโลกและเลือนหายไป ปรากฏตัวอีกครั้งอยู่ในท้องฟ้าใกล้แคว้นมารเขียว ที่นี่แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังมีเหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวจำนวนมาก
เซียนทั้งหมดมีระดับบ่มเพาะแตกต่างกันหลายระดับ ส่วนใหญ่เป็นเซียนขั้นที่สองและมีส่วนน้อยที่เป็นขั้นสาม ตอนที่พวกนั้นผ่านไป สัมผัสวิญญาณแต่ละคนกวาดผ่านพื้นที่ราวกับกำลังคุ้มกันบางอย่าง
ยิ่งมีเซียนแคว้นมารเขียวปรากฏตัวมากขึ้น ยิ่งมีเซียนขั้นแก่นแท้ดับสูญปรากฏตัวจนหวังหลินต้องชะลอตัวลง หลังจากขบคิดเล็กน้อยจึงมุ่งหน้าลงไปยังเขตอาคมที่มองไม่เห็นด้านล่าง ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นโลหิตพลางจมเข้าไปในสายหมอก
หวังหลินมีแก่นแท้เขตอาคม ตอนนี้จึงสามารถคัดลอกเขตอาคมรอบทะเลโอสถด้วยแก่นแท้เขตอาคมของตัวเองได้ เขาจึงมั่นใจว่าจะไม่ถูกตรวจเจอในช่วงเวลาสั้นๆ
หลังจากเข้ามาในสายหมอกชั้นที่เจ็ด หวังหลินจึงเคลื่อนร่างภายในสายหมอกด้วยความระมัดระวังเพื่อตามหาเข็มทิศที่อยู่ใจกลางของเขตอาคมแห่งนี้ ยิ่งเขาเข้าไปใกล้แคว้นมารเขียว ยิ่งมีเซียนจากแคว้นมารเขียวทะยานอยู่ด้านบนมากขึ้น
เหล่าเซียนพวกนี้มักจะเกาะตัวกันเป็นกลุ่ม เคลื่อนร่างด้วยท่าทีเคร่งขรึม
‘อย่างน้อยที่นี่ก็มีเซียนหลายหมื่น การมีเซียนมากขนาดนี้ถ้าบอกว่าไม่ได้รุกรานแคว้นกระทิงสวรรค์คงไม่มีใครเชื่อ’ หวังหลินเปลี่ยนร่างเป็นสายหมอก จากนั้นมองดูเหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวด้านบนและถอนหายใจ
การสังหารระหว่างสำนักและความโหดเหี้ยมระหว่างแคว้นล้วนเกิดขึ้นได้ทุกที่ เรื่องนี้เกิดขึ้นในโลกถ้ำและเกิดขึ้นในแผ่นดินเซียนดาราได้เช่นกัน
ในโลกอันไร้กฎระเบียบนี้ คนที่อยู่ได้คือเซียนทรงพลังที่สามารถข่มเหงคนอื่นจนไม่กล้ามีความคิดอื่นใด
ขณะที่กำลังคิดอยู่เงียบๆ หวังหลินหรี่ตาและมองขึ้นไป เขาสัมผัสได้ถึงพลังผันผวนรุนแรงห่างออกไปไกล มันไม่ได้มาจากเซียนแต่มาจากสมบัติ
พอมองขึ้นไป เหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวนับร้อยคนได้ทะยานผ่าน มีเซียนขั้นแก่นแท้ดับสูญอยู่สี่คน แต่ละคนอยู่ฝั่งละทิศคล้ายกำลังคุ้มกัน
ใจกลางกลุ่มนี้มีกลองยักษ์ขนาดพันฟุต!
กลองเป็นสีดำสนิทแม้แต่หน้ากลองยังสีดำ ด้านข้างมีอสูรดุร้ายจำนวนมากยื่นออกมาและแผ่กลิ่นอายมืดมน
รอบตัวกลองมีวิญญาณอาฆาตนับไม่ถ้วน พวกมันส่งเสียงคำรามก่อตัวเป็นระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นกระจายกันออกไป
กลองใบนี้หนักเป็นอย่างมาก มันใช้เซียนเกือบร้อยคนแบกหามแต่ก็ทะยานไปได้ช้ามาก
พอหวังหลินเห็นกลองยักษ์ ดวงตาหรี่ลง เปลี่ยนตัวเองกลายเป็นควันและสงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหว เขาสัมผัสได้ว่ามีเซียนคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในกลองยักษ์
เมื่อกลองผ่านไปเหนือหวังหลิน สัมผัสวิญญาณหนึ่งแผ่กระจายออกมาตรวจสอบโดยรอบบริเวณและจากไปอย่างช้าๆ
หลังจากเซียนนับร้อยจากไป หวังหลินมองเซียนกลุ่มนั้นและเริ่มขบคิด
‘สมบัติที่ผสานเข้ากับเซียน…’
จากนั้นต่อมาหวังหลินได้เห็นกลองแบบเดียวกันอีกแปดใบ เขายังเห็นสมบัติขนาดใหญ่ชิ้นอื่นซึ่งเห็นได้ชัดว่าใช้เพื่อทำลายล้างสำนักอย่างรุนแรง
สมบัติทั้งหมดเหล่านี้ต่างมีขนาดเกือบพันฟุต เปล่งกลิ่นอายน่าตกตะลึงออกมาเกิดเป็นแรงกดดัน
‘ข้าไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานนัก…ข้าต้องจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุดและจากไป!’ จิตใจหวังหลินเริ่มไม่อยู่กับตัว แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้เขาสงบนิ่ง เขาผสานกับเขตอาคมและเคลื่อนร่างเข้าหาแคว้นมารเขียวอย่างช้าๆ พอเป็นแบบนี้เขาสัมผัสได้ถึงใจกลางเขตอาคม
‘แค่ตรงหน้า!’ หวังหลินดวงตาส่องสว่างและเคลื่อนร่างผ่านสายหมอก ไม่นานจึงเห็นธงสามผืนแทงทะลุยอดฟ้า
ธงทั้งสามกระพือในอากาศ ส่งระลอกคลื่นดังออกมาและพวกมันต่างเป็นสิ่งพิเศษแน่นอน!
ภายใต้ธงทั้งสามผืน มีสตรีหน้าตาสละสลวย นางถือเข็มทิศในมือ มองดูเข็มทิศและขมวดคิ้วไปด้วย
ด้านข้างนาง หวังหลินได้เห็นคนที่เขาเคยเจอมาก่อน เป็นชายหนุ่มหน้าขาวถือพัดในมือกำลังมองมายังทะเลด้านล่าง ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
รอบด้านทั้งสองมีเซียนชุดเขียวหลายร้อยคน พวกเขาเสมือนองครักษ์และนิ่งสนิทดุจกำลังหลับตาบ่มเพาะ
ไม่มีใครรู้ว่าหวังหลินอยู่ในชั้นที่เจ็ดของเขตอาคม หวังหลินมองพวกเขาด้วยความเยือกเย็น โดยเฉพาะเข็มทิศในมือนาง
‘เข็มทิศนั่น! เมื่อข้าได้มา ข้าจะไม่ต้องซ่อนตัวในสายหมอก มันเป็นสิ่งเดียวที่สามารถรู้ได้ว่าข้าเข้ามาในทะเลโอสถ…’ หวังหลินมีแก่นแท้เขตอาคมและศึกษาเขตอาคมนี้ได้เล็กน้อย ดังนั้นจึงรู้ว่ากุญแจสำคัญของเขตอาคมแห่งนี้คือเข็มทิศ
การมีเข็มทิศอยู่ในมือจะทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเขาเข้ามาในทะเลโอสถ จากนั้นก็จะสามารถตามหาเมฆาสูญสิ้น สังหารและหนีไปได้อย่างปลอดภัย เข็มทิศยังเป็นตัวการสำคัญในการค้นหาเมฆาสูญสิ้นอีก การค้นหาคนหนึ่งคนในทะเลโอสถอันกว้างใหญ่แห่งนี้ถือได้ว่ายากมากและต้องพึ่งพาเข็มทิศเท่านั้น!
อย่างไรก็ตามนี้เป็นสถานการณ์อันยากลำบาก หากต้องการได้เข็มทิศมา เขาจะต้องออกไป และคนด้านล่างคงรู้ว่าเขามาถึงแน่
‘ทุกอย่างต้องรวดเร็ว ข้าจะไม่ให้ใครได้หนีไปได้และไม่ยอมให้นางได้ส่งข้อมูลออกไป…’ หวังหลินขมวดคิ้วพลางมองเหล่าเซียนนับร้อยด้านล่างและธงยักษ์สามผืน
‘ธงทั้งสามนั่นน่าจะเป็นเครื่องมือป้องกัน…ค่อนข้างยากขึ้นไปอีก’ หวังหลินสงบนิ่งอยู่ในสายหมอกพลางมองด้านล่างและคิดหาคำตอบ
สตรีด้านล่างมองดูเข็มทิศในมือและขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม
‘ประหลาด เห็นได้ชัดว่าไม่มีเซียนต่างถิ่นเหลืออยู่ แต่ยังมีชั้นระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นความสามารถของเขตอาคมที่เปิดใช้ด้วยตัวเองเมื่อมันตรวจจับบางอย่างผิดปกติได้’
เข็มทิศในมือนางเต็มไปด้วยจุดสีเขียวและไม่มีจุดสีขาว แต่ยังมีระลอกคลื่นผันผวนอยู่บนผิวน้ำอย่างต่อเนื่อง
นางดวงตาส่องสว่าง แขนซ้ายสร้างผนึกเข้าใส่เข็มทิศอย่างต่อเนื่องแต่ก็ยังไม่พบสิ่งใด
การกระทำของนางได้ทำให้ชายหนุ่มถือพัดเกิดความสนใจ เขาก้าวเข้าไปมองเข็มทิศและยิ้มออกมา
“ไม่ต้องระแวงไป มีพี่ใหญ่เมฆาสูญสิ้นอยู่ที่นี่ด้วย ทุกอย่างจะออกมาดี”
นางขบคิดอยู่ชั่วขณะและพยักหน้า
“พี่ใหญ่เมฆาสูญสิ้นได้ลงมือไปแล้ว อีกไม่นานทะเลโอสถจะหายไป จากนั้นเราจะได้เห็นพลังอำนาจของครึ่งเม็ดยาสวรรค์ในตำนาน!” นางมองออกไปไกล
หวังหลินอยู่หมอกที่อยู่ในท้องฟ้าและได้ยินสิ่งที่พวกนั้นคิดอย่างเลือนลาง แต่เขาก็พอสังเกตเบาะแสบางอย่างจากท่าทีแต่ละคนได้ จิตใจจึงสั่นไหว
ทว่าในจังหวะนั้นมีเสียงดังสนั่นออกมาจากทะเลโอสถ ทะเลเริ่มวุ่นวายและรุนแรง
เก้าวังวนปรากฏขึ้นในจุดที่แตกต่างกันบนทะเลโอสถ วังวนหมุนอย่างช้าๆ แต่เกิดเสียงดังคำรามกึกก้องสั่นสะเทือนสวรรค์
“พี่ใหญ่เริ่มแล้ว!” นางหยุดมองดูเข็มทิศในมือและมองออกไปไกลด้วยสายตาคาดหวัง
ขณะเดียวกันกลุ่มเซียนจำนวนสิบคนได้ทะยานออกมาจากทะเลและเคลื่อนมายังจุดที่เซียนสตรีอยู่
กลุ่มนี้คือกลุ่มทหารมารเขียวที่ทำตามคำสั่งของนางและกำลังกลับมา
กลุ่มทหารมากกว่าสิบคนทะยานข้ามผ่านท้องฟ้าไป พวกเขาไม่ได้ทำให้เซียนสตรีหรือเซียนรอบตัวนางเกิดความสนใจ เห็นได้ชัดว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ธรรมดามาก
ไม่มีใครสังเกตว่าแววตาหวังหลินกะพริบเป็นแสงน่ากลัว เขาเปลี่ยนร่างเป็นหมอกควัน เมื่อกลุ่มเซียนของแคว้นมารเขียวได้ผ่านไป จึงพุ่งออกมาและเข้าสู่หูของเซียนหนึ่งในนั้น
เซียนคนนั้นหยุดชะงัก ดวงตาเผยความสับสน ทว่าความสับสนกลับกลายเป็นความสงบนิ่งและรีบเข้าไปใกล้ธงสามผืนและสตรีด้านล่าง
จังหวะที่หวังหลินพุ่งออกมาจากสายหมอกและเข้าสู่หูของเซียนคนนั้น เข็มทิศในมือนางสั่นไหวเล็กน้อยราวกับกำลังเตือน นางหันกลับมามองทันที แต่พอนางมอง ทุกอย่างก็จบลงแล้ว
ชายหนุ่มถือพัดด้านข้างสังเกตท่าทีของนางได้จึงรีบถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
“มีบางอย่างผิดปกติ เข็มทิศสั่นเองถือเป็นคำเตือน น่าจะเป็นเพราะมีเซียนที่ไม่ได้มาจากแคว้นมารเขียวเข้าสู่ทะเลโอสถ!!” นางมีท่าทีเคร่งเครียด
“คนผู้นี้ซ่อนตัวเป็นอย่างดี ข้าไม่สามารถตามหาเขาเจอได้เลย พี่ใหญ่จ้าว ช่วยข้าหน่อย ข้าจะย้อนคืนเข็มทิศเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นตอนนั้น!”
ชายหนุ่มหน้าขาวยกแขนขวาขึ้นมาวางบนหลังนางโดยไม่ลังเล นางสูดหายใจลึก ดวงตาเผยแสงประหลาด จ้องมองเข็มทิศในมือและใช้วิธีที่อาจารย์สอนนาง แขนซ้ายสร้างผนึกและชี้ไปที่เข็มทิศ
นางไม่ได้สังเกตว่ากลุ่มเซียนจากแคว้นมารเขียวที่นางส่งไปและกำลังกลับมา พวกนั้นกำลังเข้ามาใกล้นางขึ้นเรื่อยๆ!
มีสายตาซุกซ่อนจิตสังหารเอาไว้กำลังปรากฏภายในกลุ่มเซียน!
1849 เม็ดยาสวรรค์แห่งทะเลโอสถ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เข็มทิศในมือนางเริ่มพร่ามัวเนื่องจากนางใส่ผนึกเข้าไปอย่างต่อเนื่อง มันกำลังย้อนเวลาและเผยฉากเหตุการณ์ที่หวังหลินกลายเป็นควันและเข้าไปในเซียนชุดเขียวหนึ่งในนั้น
ตอนนี้กลุ่มเซียนที่หวังหลินอยู่ยังห่างจากนางหมื่นฟุต เซียนที่หวังหลินแฝงตัวอยู่ได้ก้าวทะยานและเคลื่อนผ่านเซียนหลายคน ขณะที่พวกพ้องมองมาด้วยความตกตะลึง เขาได้มาถึงด้านหลังเซียนคนที่อยู่หน้ากลุ่ม
เซียนหน้ากลุ่มเป็นชายวัยกลางคนระดับบ่มเพาะอยู่ราวๆ สวรรค์ดับสูญ เขาคล้ายจะสังเกตบางอย่างได้และหันกลับมา ดวงตาของเซียนที่หวังหลินควบคุมอยู่พลันเผยแสงประหลาดและมีควันประหลาดโผล่ออกมาจากหน้าผากเข้าไปในดวงตาของชายวัยกลางคน
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมาก ชายวัยกลางคนร่างสั่นเทาและเผยท่าทีดิ้นรน แต่คงอยู่ได้ไม่นานนักและถูกแทนที่ด้วยความสงบนิ่ง
สตรีที่กำลังจ้องมองเข็มทิศเกิดอาการสั่นเทาไปด้วย เข็มทิศในมือนางเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง ขณะที่กำลังเผยเรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น ชายวัยกลางคนที่หวังหลินเข้าครอบงำพลางพุ่งไปหานางที่อยู่ห่างออกไปหมื่นฟุต
“ข้าค้นพบหยดสีดำและไม่รู้ว่ามันคืออะไร!” ชายวัยกลางคนพูดเสียงแหบพร่าก่อนจะทะยานมาได้อีกพันฟุต เหล่าเซียนที่กำลังนั่งอยู่ตรงนั้นถึงกับลืมตา ชายวัยกลางคนนำหยดน้ำสีดำออกมาและทะยานเข้าหา
เมื่อหยดน้ำสีดำปรากฏ พลังแก่นแท้วารีพรั่งพรูขึ้น ตอนที่นางได้ยินเสียงก็มองเห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งและมองขึ้นไปเห็นหยดน้ำสีดำ
ดวงตาของนางหรี่แคบ
“หยดหมื่นหลอม!” นางเต็มไปด้วยสายตาตกตะลึง
หวังหลินใช้โอกาสที่นางตกตะลึงอยู่นี้เข้าไปใกล้ได้อีกหลายพันฟุต ตอนนี้ห่างจากนั้นไม่กี่พันฟุตแล้ว
ทว่าในขณะที่เขาเข้าไปในระยะพันฟุต ธงสามผืนส่งเสียงหวีดหวิวและเกิดระลอกคลื่นดังกึกก้อง ขณะเดียวกันเข็มทิศในมือนางได้แสดงถึงเหตุการณ์ตอนที่หวังหลินเปลี่ยนกลายเป็นสายหมอกและเข้าสู่หูของชายวัยกลางคน!
“หยุด!!” จิตใจนางสั่นไหวและส่งเสียงกรีดร้อง นางกำลังถอย ส่วนชายหนุ่มหน้าขาวเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“แก่นแท้ กระจาย!” ทันทีที่นางกรีดร้อง ชายวัยกลางคนที่หวังหลินควบคุมร่างจึงร้องคำราม ร่างกายแตกสลาย ควันหนึ่งสายโผล่ออกมาเปลี่ยนเป็นหวังหลิน
หยดน้ำสีดำที่เขาสะบัดใส่นางเกิดการระเบิด ของเหลวคล้ายหมึกสีดำแผ่กระจายอย่างรวดเร็วจนทุกอย่างภายในพื้นที่หมื่นฟุตกลายเป็นสีดำ!
เซียนนับร้อยเพิ่งรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นจึงส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน ร่างกายเน่าสลายและเปลี่ยนกลายเป็นของเหลวสีดำทันที
แม้กระทั่งกลุ่มเซียนชุดเขียวนับสิบคนด้านหลังหวังหลินก็ไม่สามารถหนีรอดจากหยดน้ำสีดำได้และตายกันหมด
ขณะเดียวกันเสียงคำรามดังออกมาจากด้านหลังหวังหลิน หุ่นเชิดเย่ซื่อที่สูญเสียแขนขวาพุ่งใส่ธงสามผืน มันทำลายธงไปหนึ่งผืนและมุ่งหน้าเข้าหาที่เหลืออีกสองผืน!
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในตอนที่นางพูดคำว่า “หยุด”
หวังหลินก้าวเข้าหาและเข้าประชิดระยะพันฟุตในพริบตา ส่วนสตรีสาวและชายหนุ่มล่าถอย พอชายหนุ่มจดจำได้ว่าเป็นหวังหลินจึงรู้สึกหวาดกลัว สตรีสาววางแขนซ้ายไว้บนเข็มทิศและกำลังรายงานให้กับคนอื่น!
หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมาชี้ใส่ทั้งสองคน!
“หยุด!”
เพียงคำเดียวเหล่าเส้นใยนับไม่ถ้วนได้เต็มไปทั่วโลกและห่อหุ้มสตรีสาวและชายหนุ่มเอาไว้ ร่างกายแต่ละคนสั่นเทาและถูกหวังหลินหยุดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
ความหวาดกลัวของชายหนุ่มถูกแช่แข็ง แขนซ้ายของสตรีสาวหยุดค้างในอากาศซึ่งห่างจากเข็มทิศไม่ถึงหนึ่งนิ้ว!
หวังหลินเข้าประชิดและรับเข็มทิศจากนางมา จิตใจที่ไร้ความเมตตาพลางวางแขนซ้ายบนหน้าผากของสตรีสาว
ร่างกายของนางเปลี่ยนกลายเป็นหมอกโลหิต แม้แต่วิญญาณดั้งเดิมยังแตกสลายไปด้วย หวังหลินสะบัดแขนเสื้อพัดหมอกโลหิตเข้าหาชายหนุ่ม จากนั้นสะบัดแขนอีกครั้งก่อเกิดแสงโลหิตกะพริบวาบ กระบี่โลหิตตามออกมาตัดศีรษะชายหนุ่มในทันที
จังหวะนี้เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง ธงผืนที่สองและผืนที่สามถูกเย่ซื่อเข้าทำลาย!
หยดหมึกทั้งหมดภายในระยะหมื่นฟุตได้หดตัวลงกลับกลายเป็นหยดน้ำสีดำเบื้องหน้าหวังหลิน เขากลืนมันกลับเข้าไปในร่างทันที
ทุกอย่างจบลง เหล่าเซียนนับร้อยตายกันหมด เซียนสตรีและชายหนุ่มแซ่จ้าวตายไปพร้อมกัน แม้แต่ธงสามผืนยังถูกทำลาย!
หวังหลินหน้าซีดเล็กน้อยเพราะต้องการให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว หวังหลินเก็บหุ่นเชิดเย่ซื่อและหายวับเข้าไปในทะเล
พออยู่ในทะเล หวังหลินรีบมุ่งหน้าต่อไป ถือเข็มทิศและส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไป ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นโลหิตเนื่องจากส่งแก่นแท้เขตอาคมเข้าไปด้วย เขาลบล้างสัมผัสวิญญาณของเข็มทิศและทำให้มันกลายเป็นของตัวเอง
หากเป็นคนอื่นคงไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ แต่หวังหลินมีแก่นแท้เขตอาคมจึงสามารถทำได้ทันที
ด้วยเข็มทิศในมือเขาจึงควบคุมเขตอาคมที่อยู่เหนือทะเลโอสถได้ หวังหลินดวงตาส่องสว่างพลางแหวกว่ายผ่านทะเลโอสถไปอย่างระมัดระวังและมองเข็มทิสไปด้วย เขามองเห็นว่าในทะเลโอสถมีจุดสีเขียวสามถึงห้าจุดเท่านั้นและหนึ่งในนั้นส่องสว่างแพรวพราว!
จุดสีเขียวที่เหลืออยู่ทั้งหมดอยู่เหนือท้องทะเล เห็นได้ชัดว่าการอยู่ในทะเลตอนที่เมฆาสูญสิ้นกำลังหลอมอยู่นับว่าเป็นเรื่องยากลำบาก
พอเห็นจุดสีเขียวแพรวพราว หวังหลินจึงมีแววตาจิตสังหาร
‘เมฆาสูญสิ้น เจ้าเป็นรายต่อไป!’ หวังหลินผสานเข้ากับเขตอาคมและหายตัวไป เขาปรากฏตัวอีกครั้งใจกลางทะเลโอสถ
ขณะที่ปรากฏร่างออกมาสังเกตได้ว่าน้ำทะเลรอบตัวกำลังหมุน เสียงดังสนั่นหวั่นไหวและรู้สึกเหมือนกำลังถูกดึงไปพร้อมกับทะเล
หวังหลินมองเข็มทิศและรู้ว่าอยู่ห่างไม่ไกลจากเมฆาสูญสิ้น ทว่าหวังหลินกลับมองไปรอบๆ ทะเลที่กำลังหมุน
‘บางทีข้าคงไม่ต้องใช้วิญญาณเต๋าสามสิบล้านดวง…’ หวังหลินขบคิดและไม่เคลื่อนไปข้างหน้าอีก เขาจมดิ่งลงไปใต้ทะเลและซ่อนตัวเองแทน
คลื่นรุนแรงก่อตัวขึ้นไปทั่วทะเลโอสถ วังวนทั้งหมดหมุนวนอยู่ตรงขอบ ส่วนวังวนที่เก้าอยู่ใจกลางทะเล
วังวนแห่งนี้หมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานแปดวังวนก็ผสานจังหวะกันและเริ่มหมุนพร้อมวังวนที่เก้า
ลึกเข้าไปภายในวังวนที่เก้ามีเมฆาสูญสิ้นนั่งอยู่ ใบหน้าซีดเล็กน้อย ฝ่ามือสร้างผนึกอย่างต่อเนื่อง
‘ลือกันว่าทะเลโอสถถูกสร้างขึ้นตอนที่เม็ดยาสวรรค์ตกลงมาที่นี่ แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นเม็ดยาสวรรค์เต็มเม็ด มันมีเพียงครึ่งเม็ดเท่านั้น!’ เมฆาสูญสิ้นดวงตาส่องสว่าง ยื่นมือขวาเข้าหาอากาศเบื้องหน้า
“ทะเลโอสถ ควบแน่น!” เสียงดังปัง วังวนเริ่มหมุนเร็วขึ้น พอพวกมันควบแน่น ทะเลจึงลดขนาดลงและมีพลังปราณสวรรค์แผ่กระจายออกมา
ทะเลโอสถเหมือนแอ่งน้ำ ใจกลางคือวังวนยักษ์ที่กำลังดึงน้ำเข้าไป บนท้องฟ้ามีเหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวหลายหมื่นกำลังมองลงมา
พวกเขากำลังรอให้เมฆาสูญสิ้นควบแน่นทะเลเป็นเม็ดยาสวรรค์เพื่อทะลวงเปิดม่านพลังรอบแคว้นกระทิงสวรรค์!
หวังหลินกำลังซ่อนอยู่ในวังวนเช่นกัน เขากำลังรอคอยให้เมฆาสูญสิ้นควบแน่นเม็ดยาสวรรค์ให้เสร็จก่อนจะทำการโจมตี!
เวลาผ่านไปช้าๆ เมฆาสูญสิ้นไม่สามารถสังเกตสิ่งรอบด้านได้เลย เหล่าเซียนในท้องฟ้ากำลังเพ่งสมาธิไปที่เมฆาสูญสิ้น ไม่มีใครคิดว่าจะมีเซียนแคว้นกระทิงสวรรค์คนใดเหลืออยู่ในทะเลโอสถหลังการกวาดล้างไปหลายครั้ง
อีกทั้งยังมีเขตอาคมอยู่ด้วย จึงไม่กังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างใน!
แม้แต่ในตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสังเกตเห็นธงสามผืนถูกทำลายและเข็มทิศเปลี่ยนเจ้าของ! ตอนนี้สายตาทุกคนจมอยู่กับเมฆาสูญสิ้น
ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการเฝ้าดูหนึ่งในสี่อัจฉริยะ เมฆาสูญสิ้น ทำการหลอมทะเลโอสถให้กลายเป็นเม็ดยาสวรรค์
แม้แต่เมฆาสูญสิ้นก็ไม่คาดคิดว่าหวังหลินจะกลับมาหลังจากออกไปแล้ว!
เขาอยู่ในวังวนที่เก้าด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ฝ่ามือสร้างผนึกทำให้วังวนเกิดเสียงดังสนั่น วังวนหดลงจากขนาดอันไร้ขอบเขตจนเหลือไม่ถึงล้านฟุต!
น้ำทะเลในทะเลโอสถถูกหลอมอยู่ในวังวนขนาดหนึ่งล้านฟุต ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้เหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวถึงกับตื่นเต้น
เมฆาสูญสิ้นเผยรอยยิ้ม สูดหายใจลึกและส่งเสียงคำรามใส่ท้องฟ้าพร้อมระเบิดระดับบ่มเพาะออกมา ระดับบ่มเพาะของเขานับว่าประหลาดยิ่ง แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่สามารถรับรู้ระดับบ่มเพาะจริงๆได้ รู้แต่เพียงปราณกระบี่อันทรงพลังเท่านั้น
เจตจำนงกระบี่ห่อหุ้มรอบบริเวณ
‘อาจารย์ยอมให้ข้ามาสร้างเม็ดยาสวรรค์จากทะเลโอสถเพื่อผลักดันชื่อเสียงข้าให้เหนือล้ำกว่าฉัจริยะคนอื่น จากนั้นในฐานะอัจฉริยะอันดับหนึ่งในแผ่นดินบูรพา ข้าจะได้มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงในแคว้นกลางเพื่อได้รับสิทธิ์เข้าสู่อารามบรรพชน!’ เมฆาสูญสิ้นดวงตาส่องสว่าง! น้ำทะเลขนาดหนึ่งล้านฟุตเริ่มควบแน่นอีกครั้งเป็นห้าแสน จากนั้นหดลงเหลือสามแสนฟุต!
หากมองจากบนท้องฟ้า เหลือพื้นที่เพียงสามแสนฟุตที่มีน้ำ สาหร่ายและปะการังเผยตัวออกมา สัตว์มากมายในทะเลเกิดการระเบิด!
1850 หนีไปได้ถือว่าเป็นเรื่องยากมาก!
แต่หวังหลินรอคอยมานาน เขาวางแผนล่วงหน้าไว้หลายชั้นอยู่เสมอ เช่นนั้นจะปล่อยให้เมฆาสูญสิ้นหนีไปได้อย่างไร? หวังหลินคำนวณถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดรวมถึงเวลาที่พวกเซียนด้านบนจะมาถึงไว้เรียบร้อย!
เขตอาคมอยู่ในมือหวังหลิน ด้วยการควบคุมนี้อีกฝ่ายจะไม่สามารถผสานกับค่ายกลได้และทำได้เพียงทะยานหาหวังหลินเท่านั้น อย่างไรก็ตามขณะที่อีกฝ่ายเข้าใกล้ เขตอาคมพลันเปลี่ยนจากเข้าไปได้เท่านั้น กลายเป็นออกได้เท่านั้น!
เขตอาคมเองก็หดลงอย่างมหาศาล ปรากฏเบื้องหน้าเหล่าเซียนนับร้อยที่กำลังลงมา พวกเขากระแทกเข้าใส่เขตอาคมและถูกขัดขวาง อย่างไรแรงกระแทกก็ทำให้เขตอาคมสั่นสะเทือนและเผยสัญญาณพังทลาย
อย่างไรเสียหวังหลินไม่ได้ต้องการกักขังไว้และเพียงแค่ต้องการเวลา แค่มีเขตอาคมชะลอเอาไว้ก็มากพอแล้ว!
จังหวะที่เมฆาสูญสิ้นกำลังจะถอนสัมผัสวิญญาณออกมาจากน้ำ กระบี่โลหิตของหวังหลินได้กระเด็นกลับมา ทว่าร่างแก่นแท้เพลิงปรากฏขึ้นจับกระบี่โลหิตและฟาดฟันลงไปอีกครั้ง!
เพียงเท่านั้น ทะเลเพลิงเต็มไปทั่วบริเวณ จังหวะเวลานั้นเรียกว่ายอดเยี่ยม มันตรงเข้าไปหลังกระบวนท่าแรกและถึงแม้กระบวนท่าแรกจะพังทลายไปแล้ว แต่การโจมตีระลอกที่สองถือการโจมตีของจริง!
เมฆาสูญสิ้นถึงกับดวงตาแดงก่ำ การโจมตีนั้นได้ตัดผ่านวังวนในทะเลจนหยุดหมุน
กลิ่นอายทำลายล้างผุดออกมาจากน้ำทะเลขนาดพันฟุต กลิ่นอายคล้ายกับสามารถทำลายโลกได้นับครั้งไม่ถ้วน มันทรงพลังมากพอจะกวาดล้างทุกอย่างในสายตาให้หายไปทันที!
เมฆาสูญสิ้นยังมีสัมผัสวิญญาณบางส่วนในน้ำทะเล พอน้ำทะเลถูกตัดขาด กลิ่นอายทำลายล้างแผ่กระจายออกมา สัมผัสวิญญาณของเขาข้างในจึงถูกทำลายจนเขาต้องกระอักโลหิตและล่าถอย ตอนนี้เขาไม่ห่วงเรื่องหวังหลินหรือน้ำทะเลอีก แม้เขาจะมาที่นี่ด้วยร่างอวตารแต่หากร่างอวตารตายและเจตจำนงกระบี่พังทลาย ร่างดั้งเดิมจะได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงจนฟื้นคืนมาได้ยากยิ่ง!
วินาทีนี้เองเหล่าเซียนนับร้อยที่กำลังมุ่งลงมา กองทัพเซียนนับหมื่นถึงกับสั่นเทา พวกเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทำลายล้างที่สามารถกวาดล้างทุกชีวิตกำลังกระจายออกไปทุกทิศทาง
“เม็ดยาสวรรค์กำลังระเบิด!!!” พริบตานั้นเหล่าเซียนนับหมื่นถึงกับไร้สติและเริ่มหลบหนีกันไปคนละทาง พวกเขาต้องการผสานกับค่ายกลเพื่อจากไปแต่หวังหลินควบคุมเอาไว้ จึงไม่มีใครสามารถออกไปได้!
หวังหลินหันกลับมาโดยไม่ลังเลและก้าวทะยานเข้าหาแคว้นกระทิงสวรรค์ ระลอกคลื่นส่งเสียงดังสนั่นและเขากำลังจะหายตัวไป
แต่จังหวะนั้นน้ำทะเลขนาดพันฟุตได้ปลดปล่อยเสียงดังสนั่นแผ่กระจายไปทั่วทะเลโอสถและส่งมาถึงแคว้นกระทิงสวรรค์และแคว้นมารเขียว เหล่าเซียนนับไม่ถ้วนในท้องฟ้าถึงกับกระอักโลหิต สองหูอื้ออึง
เมฆาสูญสิ้นพยายามดิ้นรน ดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง!
“ข้าไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปแน่!” เขาร้องคำราม ทันใดนั้นน้ำทะเลขนาดพันฟุตได้ระเบิดออกมาทันที ท้องฟ้าเกิดการบิดเบี้ยว พื้นดินสั่นสะเทือน พลังทำลายล้างเหนือการบรรยายแผ่กระจายออกไป
เม็ดยาสวรรค์ระเบิดขึ้นก่อน!
หากมันระเบิดใกล้กับแคว้นกระทิงสวรรค์ คงได้ทำลายม่านพลังรอบแคว้นพร้อมกับสั่นคลอนไปถึงฐานราก แคว้นกระทิงสวรรค์ส่วนหนึ่งคงแตกเสียหายและส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง
แต่ตอนนี้เม็ดยาสวรรค์ระเบิดตรงกลางทะเลโอสถ ผลลัพธ์จึงไม่เพียงแต่ทางใดทางหนึ่งเสียหาย แต่แคว้นมารเขียวยังได้รับผลกระทบไปด้วย
เมฆาสูญสิ้นอยู่ใกล้มาก แม้จะวิ่งหนีสุดชีวิตเขาก็ยังใกล้กับพลังทำลายล้าง ถึงเจตจำนงกระบี่จะทรงพลังแต่เบื้องหน้าพลังทำลายล้างนี้ เขาจำต้องแตกสลายโดยไม่มีโอกาสตอบโต้
หวังหลินผสานเข้ากับโลกและกำลังจะจากไป ขณะนั้นพลังทำลายล้างได้กวาดเข้ามาดุจปากขนาดยักษ์เข้ากลืนกินทุกชีวิต ขณะที่มันเข้ามาใกล้ ร่างหวังหลินพลันหายไปก่อน
ไม่ว่าพลังทำลายล้างจะโผล่ไปถึงตรงไหน พื้นดินจะพังทลายจนเผยให้เห็นความมืดมิดด้านล่าง!
พลังทำลายล้างนี้ได้กวาดไปทั่วทั้งทะเลโอสถ เมื่อทะเลโอสถหายไป พลังทำลายล้างจึงกระแทกใส่แคว้นกระทิงสวรรค์และแคว้นมารเขียวพร้อมกัน
ตึงตัง ตึงตัง ตึงตัง ตึงตัง!!
ทั่วทั้งแคว้นมารเขียวสั่นสะเทือน เสียงแตกคล้ายกระจกดังออกมาจากนั้นม่านพลังรอบแคว้นกระทิงสวรรค์จึงพังทลาย! แคว้นมารเขียวได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน เสียงดังสนั่นกึกก้อง พื้นดินแตกระแหง ภูเขามากมายพังทลาย!
เหนือแคว้นกระทิงสวรรค์ดุจมีร่างเงากระทิงยักษ์ปรากฏขึ้นมาส่งเสียงคำรามเข้าหาแคว้นมารเขียว
หลังจากนั้นไม่นานร่างเงาแมงป่องยักษ์สีเขียวเข้าปกคลุมทั่วทั้งแคว้นมารเขียว มันส่งเสียงขู่ปะทะกับเสียงคำรามของกระทิงยักษ์!
1851 สาส์นวิญญาณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผู้คนมากมายพร้อมกับเหล่าเซียนนับหมื่นได้ตายในทะเลโอสถ ร่างอวตารของเมฆาสูญสิ้นอยู่ใกล้มากและตายเป็นคนแรก ไม่ว่าเจตจำนงกระบี่ของเขาจะทรงพลังแค่ไหน เมื่อเผชิญกับการระเบิดของเม็ดยาสวรรค์ จึงย่อยยับเหมือนเศษกระดาษ!
ด้วยการพังทลายนี้ ทั้งทะเลโอสถจึงหายไป แคว้นมารเขียวสูญเสียเซียนไปมากกว่าหมื่นคน ที่เหลือไม่สามารถหลบหนีจากพลังทำลายล้างได้และเต็มไปด้วยความสิ้นหวังแต่กลับมีร่างเงายักษ์ปรากฏขึ้นมา ร่างเงานี้ดูเหมือนคนแต่ไม่สามารถเห็นรูปร่างหน้าตาได้ชัดเจน เพียงเขาสะบัดแขนจึงห่อหุ้มเหล่าเซียนที่เหลือของแคว้นมารเขียว
ขณะที่พลังทำลายล้างเข้าไปใกล้ ร่างนั้นจึงล่าถอยอีกครั้งและแทบจะหลีกเลี่ยงไม่พ้น ถึงจะหายวับไปได้อย่างไร้ร่องรอย ความจริงยังได้รับบาดเจ็บ
ทะเลโอสถกลายเป็นความว่างเปล่า พื้นดินใกล้ทะเลโอสถที่อยู่บนแคว้นกระทิงสวรรค์เริ่มพังทลาย แรงกระแทกเกิดเป็นพายุฝุ่นขึ้นมาพักใหญ่
พื้นดินของแคว้นมารเขียวก็แตกกระจายไปเช่นกัน บางส่วนลอยขึ้นไปในท้องฟ้าเหมือนก้อนเมฆและกระจายออกไปไกล
โชคดีที่เม็ดยาสวรรค์ระเบิดอยู่ใจกลางทะเลโอสถ หากมันอยู่ใกล้แคว้นกระทิงสวรรค์คงได้รับความเสียหายต่อพื้นดินหนักกว่านี้
จากตรงนี้คงเห็นภาพชัดว่าต้นกำเนิดของเม็ดยาสวรรค์นั้นลึกลับและพิเศษแค่ไหน!
สามวันต่อมา พลังทำลายล้างจากการระเบิดของเม็ดยาสวรรค์ได้อ่อนแอลงในที่สุดจนกระทั่งหายไป ทว่าพายุฝุ่นที่ก่อตัวขึ้นตรงขอบของทั้งสองแคว้นยังคงอยู่
ทางด้านแคว้นมารเขียว หลังจากเงียบหายไปสามวัน พวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแผนการเข้าสู่แคว้นกระทิงสวรรค์ สำนักใหญ่ทั้งสามร่วมมือกันรวมศิษย์และผู้อาวุโสจนก่อเกิดเป็นกองทัพเซียนเจ็ดหมื่นคนมุ่งหน้าเข้าสู่แคว้นกระทิงสวรรค์ที่ไม่มีม่านพลังอีกต่อไป!
เซียนส่วนหนึ่งที่บรรลุขั้นวิบากดับสูญได้แตกออกมาจากกองทัพหลัก ลำแสงนับสิบสายพุ่งทะยานไปข้างหน้า พวกเขาคือแนวหน้าของสงครามครั้งนี้! ทั้งยังเป็นกองกำลังที่ทำหน้าที่หลักในสงคราม!
ณ แคว้นกระทิงสวรรค์ เทือกเขาแห่งหนึ่งใกล้ทะเลโอสถ ภูเขาที่นี่พังทลาย ท้องฟ้ามืดดำและเต็มไปด้วยฝุ่นจนดูมืดมน
เสียงสายลมหวีดหวิวจนดูเหมือนเสียงกรีดร้องของเหล่าวิญญาณอาฆาต น่าขนลุกจนสั่นสะเทือนจิตใจ
ภูเขาที่พังทลายนั้นมีสายหมอกซึ่งมีชายหนุ่มผมขาวนั่งอยู่ข้างใน เขาคือหวังหลิน
หวังหลินในตอนนี้มีใบหน้าซีดเซียว เขาใช้เวลาสามวันฟื้นคืนอาการบาดเจ็บ บนพื้นมีคราบโลหิตสีแดงเข้ม เขากระอักโลหิตนี้ออกมาเพราะเกิดอาการบาดเจ็บ
พลังทำลายล้างยังอยู่ในการคาดการณ์ของหวังหลินแต่เขาก็ยังโดนแรงกระแทกตามหลังมาอยู่ดี
แม้จะโดนเข้ากับร่างเพียงเสี้ยวพริบตา ในตอนนั้นหวังหลินรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกระดูกแตกหัก วิญญาณดั้งเดิมกำลังโดนทำลาย หลังจากมาถึงที่นี่เขาจึงทนไม่ไหว กระอักโลหิตและรีบฟื้นฟูทันที
หากเป็นเซียนธรรมดา ถ้าไม่ตายคงต้องหาร่างใหม่ แต่ด้วยร่างบัญชาโบราณของหวังหลินจึงแค่บาดเจ็บเท่านั้น
ยามค่ำของวันที่สาม หวังหลินลืมตาขึ้นมาเป็นครั้งแรกและสูดลมหายใจเข้า เขาขมวดคิ้วเนื่องจากมีฝุ่นในอากาศจนทำให้การหายใจติดขัด หวังหลินมองไปบนท้องฟ้า แม้จะพลบค่ำแต่ฝุ่นผงทำให้ไม่สามารถมองเห็นดวงตะวันหรือดวงจันทร์ได้
‘คุ้มค่าแล้ว! แม้ข้าจะบาดเจ็บ แต่ก่อนเขาตายได้บอกว่าจะไม่ปล่อยข้าไป นั่นหมายความว่าเขาอาจจะมาด้วยร่างอวตาร กระนั้นร่างอวตารในตอนนี้ก็คงใกล้ตายไปแล้ว!’
‘การตายของร่างอวตารจะส่งผลกระทบต่อร่างดั้งเดิม! ไม่รู้ว่าผลกระทบนั้นจะร้ายแรงแค่ไหน…มันไม่น่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อย!’
‘และข้าก็ได้สิ่งนี้มาด้วย!’ หวังหลินส่ายศีรษะ ใบหน้าซีดพลันแดงขึ้นเล็กน้อย จากนั้นสะบัดแขนเกิดแสงกะพริบ ปรากฏเข็มทิศขึ้นในฝ่ามือ
เข็มทิศดูธรรมดา แผนที่ในทะเลโอสถได้หายไปแล้วแต่กลับมีพื้นที่บริเวณรอบตัวหวังหลินในตอนนี้
และไม่มีจุดแสงอยู่บนนั้น
‘เขตอาคมกลุ่มนี้ช่างลึกลับ หลังจากข้ากลืนกินไปแก่นแท้เขตอาคมของข้าจะเพิ่มพูน…แต่มันยังมีประโยชน์ คงยังไม่ต้องรีบกลืนกินไปหรอก’ ที่หวังหลินกล้าฟื้นฟูตัวเองที่นี่ก็เนื่องมาจากเขตอาคมนี้
ก่อนที่เขาจะเริ่มฟื้นฟู หวังหลินได้วางเขตอาคมเอาไว้ซึ่งมันเล็กกว่าเดิมแต่ทรงพลังมากกขึ้นและอนุญาตให้ออกไปได้เท่านั้น!
‘บาดแผลของข้าฟื้นคืนมาได้ เจ็ดถึงแปดในสิบส่วนแล้ว ตอนนี้น่าจะไม่มีปัญหา…แก่นแท้วารีของข้าสมบูรณ์ไปแล้ว ข้าจำเป็นต้องกลับไปยังสำนักมหาวิญญาณ สงสัยอยู่ว่าพวกเขาได้รับหินหยกข้าแล้วหรือไม่’
‘ดูเวลาตอนนี้น่าจะยังไม่ถึง แต่การสั่นสะเทือนของแคว้นกระทิงสรรค์เมื่อสามวันก่อนน่าจะทำให้เกิดความสนใจอยู่บ้าง’ หวังหลินขบคิดพลางยืนขึ้น ดวงตาเปล่งประกายพลางยื่นแขนซ้ายออกมาปรากฏเป็นหินหยก
หินหยกก้อนนี้ดูธรรมดามากแต่กลับมีฉากเหตุการณ์ที่หวังหลินเข้าไปในทะเลโอสถเป็นครั้งที่สอง ตอนที่เขาทำลายธงสามผืน ขโมยเข็มทิศ ผ่าเม็ดยาสวรรค์และสังหารเมฆาสูญสิ้น
มันบันทึกจนกระทั่งหวังหลินออกมาจากทะเลโอสถ
หวังหลินไม่ใช่เซียนหนุ่มที่ไม่รู้อะไร หลังจากเข้าร่วมสำนักมหาวิญญาณเขาจึงรู้ว่าการทำความดีความชอบให้กับสำนักคือวิธีการหลักในการได้รับสมบัติ เม็ดยาและวิธีการฝึกฝน!
หากเขาเพียงแค่บอกคนอื่น คนอื่นคงสงสัยและไม่เชื่อ วิธีการที่ดีที่สุดคือการพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งคือการบันทึกทุกอย่างเอาไว้ในหินหยก ส่วนจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ แค่มองดูก็น่าจะพอ!
หลังจากขบคิดเล็กน้อย หวังหลินได้ตัดเหตุการณ์ที่เขาได้รับเข็มทิศ เหลือไว้แต่ตอนผ่าเม็ดยาสวรรค์ นั่นก็พอแล้ว!
‘เพียงเท่านี้ ข้าสามารถขอวิชามายาทับซ้อนจากบรรพชนกระทิงเขียวได้!’ หวังหลินเก็บหินหยกและเข็มทิศกลับไป หลังจากถอนเขตอาคมจึงทะยานเข้าสู่ส่วนลึกของแคว้นกระทิงสวรรค์
หลังจากท่องทะยานมาได้มากกว่าแสนฟุต ระลอกคลื่นส่งเสียงดังกึกก้องและเขาหายตัวไป ปรากฏตัวอีกครั้งอยู่พื้นที่ชั้นในของแคว้นกระทิงสวรรค์และห่างไกลจากทะเลโอสถ
เขาไม่หยุดชะงักและมุ่งหน้าต่อไป
พริบตาเดียวผ่านไปอีกครึ่งเดือน หวังหลินอยู่ไม่ไกลจากสำนักมหาวิญญาณแต่มุมมองนี้แค่ใช้วิชาบิดมิติก็เพียงแค่ครั้งเดียว หากท่องทะยานไปเองคงต้องใช้เวลาหลายเดือน
ที่นี่ยังเป็นส่วนลึกภายในแคว้นกระทิงสวรรค์ ทุกแห่งหนมีเทือกเขาและต้นไม้ใบหญ้าปกคลุมผืนดิน พื้นที่บริเวณนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากทะเลโอสถเลย อีกทั้งแคว้นกระทิงสวรรค์ก็กว้างใหญ่มาก พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแรงระเบิดเป็นแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น
ช่วงรอใช้วิชาบิดมิติอีกครั้ง หวังหลินมักจะนั่งบนราชายุงและฟื้นฟูตัวเอง หลังจากผ่านไปได้อีกครึ่งเดือนเขาฟื้นฟูกำลังกลับมาแปดถึงเก้าส่วน อาการบาดเจ็บที่เหลือเป็นเรื่องเล็กน้อย
ในวันนี้ขณะที่หวังหลินกำลังเหาะเหิน เขาพลันเงยหน้าขึ้นไป ดวงตาหรี่แคบ เพราะเบื้องหน้ามีแสงน่ากลัววูบวาบหลายสาย ภายในแสงมีนกระเรียนกระดาษสีดำ!
กระเรียนกระดาษเหล่านี้บินทะยานออกไปทิศทางแตกต่างกันและเร็วกว่าหวังหลิน โชคดีที่มีตัวหนึ่งบินผ่านหวังหลินไป ขณะที่ตัวนั้นกำลังจะเลือนหาย หวังหลินใช้วิชายับยั้งให้หยุดห่างไปหลายร้อยฟุต เขาสะบัดแขนให้มันลอยเข้ามาในมือ
หวังหลินส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปในกระเรียนกระดาษ เสียงทรงอำนาจดังกึกก้องในใจ
“แคว้นมารเขียวกำลังรุกราน ทะเลโอสถถูกทำลายรวมถึงม่านพลังรอบแคว้นกระทิงสวรรค์ด้วย กองทัพพวกมันจะมาถึงในอีกไม่ช้า สำนักมหาวิญญาณและสำนักกุ้ยยี่กำลังออกสาส์นวิญญาณ ให้สำนักทั้งหมดปิดผนึก เหล่าเซียนทั้งหมดเตรียมพร้อมรบให้รวมกันที่เจ็ดจุดสำคัญซึ่งสร้างเอาไว้หลายปีก่อน!”
หวังหลินปล่อยกระเรียนกระดาษให้มันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หวังหลินมองดูท้องฟ้าเบื้องหน้าพลางคิดหลายสิ่งหลายอย่าง ผ่านไปสักพักจึงขมวดคิ้วและไม่คิดเรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในใจอีก เขาสงบลง นั่งลงบนหลังอสูรยุงและให้มันทะยานออกไป
ขณะที่หวังหลินอยู่ระหว่างทางกลับสำนักมหาวิญญาณ หลังจากเกิดการระเบิดวันที่ยี่สิบ เหล่าเซียนขั้นวิบากดับสูญหลายสิบคนจากแคว้นมารเขียวได้มาถึงก่อนล่วงหน้า เป้าหมายคือการกำจัดเซียนขั้นที่สามในแคว้นกระทิงสวรรค์ได้ให้มากที่สุด!
ยิ่งสังหารมากเท่าไร ยิ่งได้รับชัยชนะมากขึ้นเท่านั้น!
หนึ่งเดือนให้หลัง กองทัพเซียนเจ็ดหมื่นคนของแคว้นมารเขียวได้ปกคลุมน่านฟ้าและเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ
ด้านหลังกองทัพเซียนเจ็ดหมื่นคน มีร่างเงากระบี่น่ากลัวกำลังติดตามไปอย่างช้าๆ กระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่โบราณสีทอง บนปลายกระบี่มีชายหนุ่มชุดฟ้านั่งอยู่ เรือนผมขาวปกคลุมบ่าและหน้าตาหล่อเหลาดุจปิศาจ เขาสงบนิ่งแต่ใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อยพลางมองดูแคว้นกระทิงสวรรค์ไกลๆ แววตากะพริบเย็นเยียบ
‘มันทำลายร่างอวตารของข้าและบังคับให้ระดับบ่มเพาะของข้าตกลงไปยังขั้นวิบากดับสูญระดับต้น ข้าจะทำให้มันได้รู้สำนึกเสียใจ!!’
กระบี่โบราณสีทองข้างใต้เปล่งกลิ่นอายสูงส่ง ร่างเงายักษ์สวมเกราะสีทองในชุดคลุมล้ำค่าพลันปรากฏขึ้นด้านหลังกระบี่ ร่างนี้ใหญ่จนมิอาจวัดได้และเปล่งกลิ่นอายเก่าแก่
กระบี่เล่มนี้ช่างพิเศษยิ่ง!
1852 คาดการณ์!
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังหลินสับสนอยู่หนึ่งเรื่อง ความรู้สึกแปลกประหลาดตอนที่เห็นกระเรียนกระดาษ ไม่ว่าจะเป็นแคว้นมารเขียวหรือแคว้นกระทิงสวรรค์ ทั้งหมดล้วนเป็นของเผ่าเทพ
สำนักของสองแคว้นอาจเข่นฆ่ากันมาก่อน แต่การหลอมทะเลโอสถเพื่อเปิดม่านพลังอีกแคว้นและเข้ารุกรานได้ทำให้หวังหลินเกิดความคิดเป็นอย่างอื่น
เรื่องนี้ไม่ใช่ความบาดหมางส่วนตัวระหว่างสำนัก แต่เป็นสงครามจริงๆ!
‘น่าสนใจ…หวังว่าที่ข้าคาดการณ์จะไม่ออกมาเป็นจริง ไม่เช่นนั้นยิ่งมีคนตาย ยิ่งทำให้ข้ารู้สึกผูกพันกับเผ่าเทพน้อยลง’
‘หากเป็นไปตามที่ข้าคาดเดาจริงๆ มันกลับทำให้หัวใจเต้นรัว! ไม่ว่าจะเป็นแคว้นมารเขียวหรือแคว้นกระทิงสวรรค์ บางที…’ หวังหลินขบคิดขณะนั่งอยู่บนหลังอสูรยุง เขาคิดหลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องสำนักมหาวิญญาณที่ทิ้งสมบัติทั้งสามให้เขาและบรรพชนกระทิงเขียวยังบอกว่าบรรพชนรุ่นแรกได้ทำนายการมาถึงของเขาเอาไว้
ทั้งหมดนี้มีจุดประสงค์ใหญ่หลวงซึ่งสำคัญมากสำหรับสำนักมหาวิญญาณและแคว้นมารเขียว!
ดังนั้นแคว้นมารเขียวจึงเข้าโจมตีเซียนกลุ่มเล็กๆ นับไม่ถ้วนบนแคว้นกระทิงสวรรค์ ครั้งนี้พวกเขาทำการหลอมทะเลโอสถเพื่อกำจัดสิ่งที่ขวางทางออกไปและเข้าสู่แคว้นกระทิงสวรรค์!
ดังนั้นในอดีตเมื่อนานมาแล้ว การที่สำนักมหาวิญญาณเคลื่อนย้ายมาที่นี่ บรรพชนรุ่นแรกของสำนักได้ทำนายการเปลี่ยนแปลงในอนาคตเอาไว้ ทั้งหมดเป็นความลับที่ซ่อนเอาไว้มานาน!
หวังหลินขบคิดและเปิดฝ่ามือ เจ้าตัวเล็กปรากฏขึ้นในมือและเขาก็มองดูมัน ผ่านไปสักพักไม่ได้ใช้การทำนายอนาคตแต่ปิดฝ่ามือเก็บมันไปแทน
‘ข้ารู้ก่อนแล้วอย่างไร? ด้วยวิชาเต๋าของข้าจึงไม่สามารถทำนายได้ง่ายๆ อยู่แล้ว บรรพชนเฒ่าได้ทิ้งของขวัญทั้งสามไว้ให้และหนึ่งในนั้นมีชะตาต้องกัน ข้าเดาว่าเขารู้ว่าข้าจะมีคำถามจึงทิ้งให้หาคำตอบ’ หวังหลินยิ้มและไม่ได้ใช้สมบัติชิ้นนั้น เขาไม่จำเป็นต้องรู้วิธีใช้ จากเบาะแสที่มีจึงได้พบสิ่งที่พอคาดการณ์ได้ ตอนนี้เพียงแค่พิสูจน์จนค้นพบคำตอบที่แท้จริง!
หวังหลินเก่งเรื่องแบบนี้ เขาจะไม่สนใจสงครามที่นี่และทิ้งไปเลยก็ได้
หลังจากผ่านไปสิบวัน หวังหลินปรากฏตัวด้านนอกสำนักมหาวิญญาณ จังหวะนั้นมีลำแสงหลายเส้นลอยเข้ามาหาเขา หวังหลินรู้สึกได้ว่าสำนักมหาวิญญาณดูเหมือนอยู่ในม่านหมอกและมีการบิดเบือนห่อหุ้มเอาไว้
จิตสังหารระเบิดออกมาจนทำให้เขาหรี่ตาแคบ จิตสังหารนี้ไม่ได้มุ่งเป้ามาที่เขา เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของค่ายกลป้องกันรอบสำนักมหาวิญญาณ
การบิดเบือนรอบสำนักนี้ทำให้ไม่สามารถมองเห็นภายในได้ หวังหลินรู้สึกว่าสำนักมหาวิญญาณอยู่ในรูปแบบสู้รบ เหมือนภูเขาไฟที่กำลังปะทุได้ยามที่ต้องการ
นี่เป็นเพียงแค่ความรู้สึกตอนที่หวังหลินเห็น ซึ่งน่าจะเป็นจริงหรือแค่ภาพมายาก็ได้ ลำแสงเข้ามาใกล้หวังหลินถือเป็นคำเตือนและมีจิตสังหารอยู่ภายในลำแสง
ทว่าหลังจากจิตสังหารได้เห็นหวังหลินชัดเจน มันค่อยๆ สลายไปแต่ยังอยู่ในความระมัดระวัง ลำแสงหลายเส้นได้เปลี่ยนกลายเป็นคนเจ็ดคนเบื้องหน้าหวังหลิน
ท่ามกลางทั้งเจ็ดคนนั้นมีผู้อาวุโสสองคนของสำนักมหาวิญญาณ อีกห้าคนเป็นศิษย์
“ผู้อาวุโสหวัง ขออภัยที่ทำให้ท่านขุ่นเคือง!” หนึ่งในสองผู้อาวุโสเคยพูดคุยกับหวังหลินคราหนึ่ง เขายังสังเกตการณ์การต่อสู้ของหวังหลินและหยานหลวนด้วย
ผู้อาวุโสคำนับฝ่ามือและพูดขึ้น “แคว้นมารเขียวทำลายม่านของแคว้นกระทิงสวรรค์ บรรพชนสั่งการให้เราปิดผนึกสำนัก ทุกคนที่กลับมาไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสหรือศิษย์ หรือมีตำแหน่งใดก็ตามต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดก่อนเข้าสำนัก”
ผู้อาวุโสอีกคนคำนับฝ่ามือให้กับหวังหลิน หลังจากพวกเขาเห็นหวังหลินเข้าไปตำหนักสลักวิญญาณชั้นที่เจ็ดและแปดได้ในคราวนั้น จึงไม่ค่อยมีคนในสำนักไปล่วงเกินหวังหลิน
ศิษย์ห้าคนด้านข้างทั้งสองต่างก็โค้งศีรษะ พวกเขาเหลือบมองหวังหลินเป็นครั้งคราว นี่เป็นครั้งแรกที่เจอหวังหลินด้วยตัวเอง
“ไม่มีปัญหา ช่วงเวลาสงครามก็ควรจะเป็นเช่นนี้” หวังหลินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและไม่ใส่ใจ
พอเห็นหวังหลินยิ้ม สองผู้อาวุโสจึงผ่อนคลายเล็กน้อย พวกเขาไม่ต้องการให้หวังหลินรู้สึกไม่ดี เว้นแต่จำเป็นต้องทำ หากได้ทำให้เกิดเรื่องไม่เป็นที่น่าพอใจเพราะคำสั่งจากสำนัก มันคงไม่คุ้มค่าจริงๆ
พอเห็นว่าหวังหลินเป็นคนง่ายๆ ทั้งสองจึงยิ้มออกมาเช่นกันและต้องการผูกมิตรกับหวังหลินมากขึ้น
“ผู้อาวุโสหวัง โปรดนำป้ายสิทธิ์ของท่านออกมา จากนั้นประทับสัมผัสวิญญาณเพื่อยืนยันวิญญาณดั้งเดิม และหยดโลหิตเพื่อยืนยันร่างกาย” หนึ่งในสองผู้อาวุโสพูดขึ้นพลางคำนับฝ่ามือ
หวังหลินพยักหน้าและยื่นแขนขวาออกไป ป้ายสิทธิ์ที่ใช้เข้าตำหนักสลักวิญญาณปรากฏขึ้น เขาประทับสัมผัสวิญญาณและหยดโลหิตลงไปก่อนจะโยนป้ายให้สองผู้อาวุโส
หนึ่งในสองผู้อาวุโสคว้าป้ายสิทธิ์ สร้างผนึกและชี้ไปที่เขตอาคมด้านหลัง แรงกดดันทรงพลังพรั่งพรูออกมาและพุ่งใส่หวังหลิน มันกวาดผ่านร่างเขาในพริบตา
จิตใจหวังหลินสั่นเทา เขาสัมผัสชัดเจนว่าแรงกดดันนี้ช่างแปลกประหลาด หน้าที่หลักคือการขับไล่วิญญาณดั้งเดิมส่วนเกินหรือสัมผัสวิญญาณบนตัวหวังหลิน มันทำหน้าที่ได้กระทั่งตัดสินได้ว่าวิญญาณดั้งเดิมกับร่างกายเข้ากันได้ดีแค่ไหน
วิธีการนี้ถูกใช้เพื่อพิสูจน์ตัวตน จากนั้นแรงกดดันก็จับไปที่ป้ายสิทธิ์ หลังจากการยืนยันสองขั้นตอนนี้ผ่านไปได้ แรงกดดันจึงค่อยๆ หายไป
เพียงเท่านี้สองผู้อาวุโสจึงผ่อนคลายอย่างสิ้นเชิง พวกเขาคืนป้ายสิทธิ์ให้หวังหลิน หนึ่งในนั้นหัวเราะขึ้น “ผู้อาวุโสหวัง ขออภัยที่ทำให้เป็นปัญหา ท่านสามารถเข้าเขตอาคมและกลับสำนักได้ เรายังอยู่ในหน้าที่ ดังนั้นจำต้องมุ่งกลับไปยังฐานและไม่สามารถไปกับผู้อาวุโสหวังได้ ข้าหวังว่าผู้อาวุโสหวังจะเข้าใจ”
หากคนอื่นสุภาพกับเขา เขาก็จะสุภาพตอบเป็นธรรมดา หวังหลินกลายเป็นมหาบัณฑิตในโลกแห่งความฝัน ดังนั้นจึงเก็บอารมณ์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ เขายิ้มและคำนับฝ่ามือใหักับทั้งสองคน ขณะที่กำลังจะจากไปจึงพลันเอ่ยถามออกมา
“ที่ผ่านมามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในสำนักหรือไม่…”
สองผู้อาวุโสมองหน้ากัน หนึ่งในนั้นกระซิบ “เจ็ดวันก่อนมีเซียนแคว้นมารเขียวพยายามกลมกลืนเข้าไปในสำนักมหาวิญญาณ เขาถูกผู้อาวุโสซิ่วตงเจอตัวและถูกสังหารทันที!”
“บรรพชนโกรธเกรี้ยวมากและจากนั้น…” ถึงตอนนี้ผู้อาวุโสยิ้มอย่างขมขื่น คำนับฝ่ามือให้หวังหลินและจากไป
หวังหลินครุ่นคิดเงียบๆ จากนั้นทะยานเข้าสู่สำนักมหาวิญญาณ แรงกดดันที่รู้สึกยิ่งเพิ่มพูนขึ้น
ทั้งสำนักมหาวิญญาณเต็มไปด้วยลำแสงจากเหล่าศิษย์ที่ท่องทะยานระหว่างยอดเขา วัตถุดิบบางชิ้นอาจใหญ่เกินกว่าจะเก็บเข้ามิติเก็บของจึงถูกเหล่าเซียนเคลื่อนย้ายไประหว่างยอดเขาแต่ละแห่ง
ยังมีเหล่าศิษย์จำนวนมากบนภูเขาสมุนไพรที่กำลังเก็บรวบรวมสมุนไพรและส่งต่อให้กับผู้อาวุโสที่เชี่ยวชาญการปรุงยา
มีความผันผวนหลายช่วงออกมาจากภูเขาหลายแห่ง เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสทั้งหมดปิดด่านบ่มเพาะเพื่อคงสภาวะตัวเองให้อยู่ระดับสูงสุดเพื่อทำงานที่สำนักมอบหมายให้เสร็จสิ้น
ภูเขาทั้งหมดในสำนักกำลังคึกคัก ยกเว้นภูเขาเพลิงของหวังหลินซึ่งไม่มีการเคลื่อนไหวหรือเสียงอันใด
พอเขามองมา เขาได้เห็นฟ่านชานเมิ่งอยู่ในถ้ำของตัวเองอย่างเงียบๆ
หวังหลินขบคิดและสะบัดแขนเสื้อ เขาไม่ได้กลับภูเขาของตัวเองแต่มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของสำนักที่เป็นตำแหน่งบรรพชนกระทิงสวรรค์
“ยินดีต้อนรับผู้อาวุโสหวัง!”
“ศิษย์ยอดเขาเต๋าเพลิงไหม้ ขอคารวะผู้อาวุโสหวัง!”
“ศิษย์ยอดเขาทะลวง ขอคารวะผู้อาวุโสหวัง!”
ระหว่างทางเหล่าศิษย์ทั้งหมดที่เห็นหวังหลินได้หยุดลงทักทายเขาก่อนที่จะกลับทำงานของตัวเอง
หวังหลินไม่ได้หยุดเพียงแค่พยักหน้าเดินทางไป ระดับบ่มเพาะของเขาไม่ธรรมดาดังนั้นจึงทำให้ผู้อาวุโสที่ลอยผ่านให้ความสนใจ ทว่าหลังจากเห็นว่าเป็นหวังหลิน จึงถอนสัมผัสวิญญาณกันทั้งหมด
หลังจากนั้นไม่นานยอดเขาสวรรค์เขียวปรากฏตัวเบื้องหน้าหวังหลิน หวังหลินเคลื่อนย้ายมาปรากฏตัวด้านนอกยอดเขา คำนับฝ่ามือเข้าหาและเอ่ยเสียงดัง
“หวังหลินขอเข้าพบบรรพชนกระทิงเขียว!”
ยอดเขาสวรรค์เขียวดูแตกต่างจากเมื่อก่อน มันถูกปกคลุมด้วยชั้นหมอกสีเขียวเบาบาง หลังจากหวังหลินพูดออกไป หมอกเคลื่อนไหวและเปิดออก
“เข้ามาข้างใน!” เสียงของบรรพชนกระทิงเขียวดังกึกก้อง
หวังหลินเข้าไปในช่องที่เปิดออกโดยไม่ลังเล หลังจากเข้าไป หมอกที่ปกคลุมอยู่พลันเปิดออก หวังหลินได้เข้าไปและมาถึงยอดเขาสวรรค์เขียว ที่นั่นเขาเห็นบรรพชนกระทิงเขียวนั่งห่างออกไปไกลพร้อมกับมีวิญญาณดั้งเดิมคงรูปร่างเหมือนคนตัวเล็กอยู่ในฝ่ามือ คนตัวเล็กนี้กำลังโขกคำนับเข้าหาบรรพชนกระทิงเขียว
หวังหลินยืนอยู่ข้างๆ และมองดูคนตัวเล็กในมือบรรพชนกระทิงเขียวอย่างเงียบๆ
ชั่วขณะต่อมาเจ้าตัวน้อยโขกคำนับหกครั้งในคราเดียวและดูเหน็ดเหนื่อย บรรพชนกระทิงเขียวปิดฝ่ามือให้คนตัวเล็กหายไป
“ข้าได้หินหยกเจ้าแล้ว เรื่องนี้ถือว่าเป็นความดีความชอบของเจ้า!” บรรพชนกระทิงเขียวลืมตาและมองหวังหลินด้วยรอยยิ้ม
“แคว้นมารเขียวมีความขัดแย้งเล็กๆ อยู่หลายครั้งกับแคว้นกระทิงสวรรค์ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกมันทำเรื่องใหญ่โต ถึงกับค้นพบวิธีการหลอมทะเลโอสถ…”
“เรื่องนี้จะไม่จบในช่วงเวลาสั้นๆ แน่ แคว้นมารเขียวมีสามสำนักใหญ่และบรรพชนทั้งหมดต่างมีระดับบ่มเพาะเท่ากันกับข้า แต่นี่ไม่ใช่ปัญหา ข้าสามารถต่อสู้หนึ่งต่อสองได้!” ดวงตาของบรรพชนกระทิงเขียวเผยแสงเย็นเยียบ สำหรับเขา การเริ่มพูดเช่นนี้มันหมายความว่าเขาเห็นจากวิชาเต๋าเนตรวิญญาณว่าไม่ใช่เรื่องดี
หวังหลินมีท่าทีเช่นเดิมและนั่งอยู่ตรงข้ามกับบรรพชนกระทิงเขียว มองดูบรรพชนและเอ่ยขึ้นทันที
“ข้าต้องการวิชามายาทับซ้อนในชั้นที่เก้าของตำหนักสลักวิญญาณ!”
1853 ผีสิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
บรรพชนกระทิงเขียวหรี่ตาแคบลงและขบคิดเงียบๆ วิชามายาทับซ้อนในชั้นที่เก้าคือวิชาที่ทรงพลังที่สุดของสำนักมหาวิญญาณ การส่งต่อให้หวังหลินถือเป็นเรื่องดีแต่บรรพชนรุ่นแรกได้ทำนายว่าหวังหลินต้องใช้เวลาสามร้อยปีกว่าจะเข้าไปชั้นที่เก้าได้
บรรพชนกระทิงเขียวพลันเอ่ยขึ้น “ตำหนักสลักวิญญาณมีถึงชั้นที่สิบ!”
หวังหลินสงบนิ่งแต่หรี่ตาเล็กน้อย
“มีเพียงบรรพชนรุ่นแรกเท่านั้นที่เข้าไปได้ แม้แต่ข้าเองก็เข้าไปชั้นที่สิบไม่ได้ ที่นั่นเป็นที่ที่เขาเสียชีวิต!” หลังบรรพชนกระทิงเขียวกล่าวเช่นนี้จึงเงียบลงอีกครั้ง
หวังหลินขบคิดตามไปด้วย เขาเดาไม่ออกว่าทำไมบรรพชนกระทิงเขียวถึงบอกเรื่องนี้
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูปไหม้ บรรพชนกระทิงเขียวมองไปยังท้องฟ้าและเอ่ยกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“ผลงานของเจ้ายังไม่มากพอที่จะได้วิชามายาทับซ้อนฉบับสมบูรณ์ในชั้นที่เก้า…”
หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมาปรากฏหินหยกขึ้นในมือ เขาส่งมันให้บรรพชนกระทิงเขียว
“เพิ่มสิ่งนี้ไปด้วย พอหรือไม่?”
บรรพชนกระทิงเขียวขมวดคิ้วและมองหวังหลิน เขารับหินหยกมาและส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไป สีหน้าท่าทางจึงเปลี่ยนไปทันที เขาหันมามองหวังหลินก่อนจะพิจารณาหินหยกอีกครั้ง
หลังจากเห็นทุกอย่างที่หวังหลินทำลงไปจนถึงการผ่าเม็ดยาสวรรค์ บรรพชนกระทิงเขียวสูดหายใจลึก มองหวังหลินด้วยสายตาลี้ลับ
ด้วยระดับบ่มเพาะของเขาจึงสามารถตัดสินได้ว่าทุกอย่างที่เห็นในหินหยกเป็นเรื่องจริง ด้วยสิ่งที่เขาได้ทำการพยากรณ์และรายงานลับที่ได้มา เขาจึงสามารถคาดการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นในทะเลโอสถได้อย่างชัดเจน
แม้หวังหลินจะฟื้นฟูได้ถึงประมาณแปดถึงเก้าในสิบส่วนแล้ว แต่ยังมีร่องรอยอาการบาดเจ็บที่ไม่สามารถรักษาได้อย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้ได้เสริมสิ่งที่บันทึกในหินหยกให้ดูน่าเชื่อถือ
“เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยมมาก!” บรรพชนกระทิงเขียวถือหินหยกและเริ่มหัวเราะ เขาสะบัดแขนซ้ายส่งพลังอันแข็งแกร่งเข้าไปในร่างหวังหลิน อาการบาดเจ็บที่เหลืออยู่ของหวังหลินพลันหายไปทั้งหมด!
“คราวนี้เจ้าทำผลงานได้ยอดเยี่ยมมาก! ในสำนักมหาวิญญาณ ตราบใดที่ทำความดีความชอบก็จะได้รับรางวัลตอบแทน ข้าจะมอบวิชามายาทับซ้อนในชั้นที่เก้าให้เจ้า! แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าหนึ่งเรื่อง!” บรรพชนกระทิงเขียวหันไปมองหวังหลิน ยิ่งดูยิ่งชื่นชมเขา บรรพชนรุ่นแรกช่างอัศจรรย์เสียจริงถึงได้เลือกคนที่ใจกล้าขนาดนี้
หวังหลินไม่ได้รู้สึกพึงพอใจอะไรในคำพูดของบรรพชนกระทิงเขียว เขามองอีกฝ่ายและเอ่ยถาม “สัญญาอะไร?”
“เจ้าต้องสังหารเซียนแคว้นมารเขียวสิบคนในขั้นวิบากดับสูญระดับต้น และเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางสามคน และเข้าไปชั้นที่เก้าและชั้นที่สิบของตำหนักสลักวิญญาณ!”
“เมื่อเจ้าทำทั้งสามเรื่องนี้เสร็จสิ้น เจ้าสามารถไปจากสำนักมหาวิญญาณได้!”
เพียงเท่านี้จิตใจหวังหลินก็สั่นเทาและขบคิด ความจริงเขาคิดหาทางออกจากที่นี่ เขาเตรียมการเพื่อช่วยเหลือสำนักมหาวิญญาณให้ได้มากที่สุดก่อนที่จะหลีกหนีจากสงคราม
นอกจากนี้เป้าหมายจริงๆ ของเขาคือสำนักตงหลินและเผ่าบัญชาโบราณที่อยู่ห่างไกล ดังนั้นจึงไม่สามารถอยู่แคว้นกระทิงสวรรค์ไ้ด้นานนัก อีกทั้งเขายังคาดเดาสงครามครั้งนี้ไว้แล้วด้วย ดังนั้นจึงไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องมากเกินไป
เห็นได้ชัดว่าบรรพชนกระทิงเขียวเองก็คิดเรื่องนี้แต่ไม่ได้บังคับให้หวังหลินอยู่ เขากลับเสนอเงื่อนไขสามอย่างแทนและย้ำเตือนหวังหลินถึงของขวัญทั้งสาม
ผ่านไปสักพักหวังหลินจึงมองบรรพชนกระทิงเขียวและพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
ไม่ว่าเป้าหมายของสำนักมหาวิญญาณคืออะไร พวกเขาได้ช่วยหวังหลินและหวังหลินก็ต้องตอบแทน ตอนนี้เขายอมรับเงื่อนไขทั้งสามนี้ ถึงแม้จะยากแต่หวังหลินก็มุ่งมั่นว่ามันเป็นไปได้
พอเห็นว่าหวังหลินพยักหน้า บรรพชนกระทิงเขียวยิ้มออกมาและไม่พูดอะไรต่อ เขาสะบัดแขนเสื้อส่งหินหยกโบราณให้หวังหลิน
หวังหลินรับหินหยกเอาไว้ มันมีวิชาอันทรงพลังที่สุดของสำนักมหาวิญญาณ ซึ่งคือวิชามายาทับซ้อนฉบับสมบูรณ์จากชั้นที่เก้า
“การบ่มเพาะวิชานี้ เจ้าต้องหลอมใบเรือหน้าผี ตอนนี้สงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว ข้าจะมอบวัตถุดิบทั้งหมดให้ แต่ใบเรือหน้าผีต้องการวิญญาณหนึ่งดวง หากเจ้าไม่มีวิญญาณที่เหมาะสม เจ้าสามารถไปหาได้ที่ยอดเขาภูติผี” บรรพชนกระทิงเขียวยื่นมือออกไปพลันปรากฏก้อนแสงขึ้นมา ก้อนแสงนี้บรรจุวัตถุดิบจำนวนมากและยื่นส่งให้หวังหลิน
หวังหลินสะบัดแขนเสื้อเก็บก้อนแสงเข้าไป เขาลุกขึ้นคำนับฝ่ามือให้บรรพชนกระทิงเขียวและจากไป
“เจ้าไม่มีเวลามากนัก เจ็ดวันนับจากนี้ข้าจะส่งเจ้าพร้อมกับผู้อาวุโสคนอื่นเพื่อไปคุ้มกันหนึ่งในเจ็ดฐานสำคัญของแคว้นกระทิงสวรรค์!” บรรพชนกระทิงเขียวเอ่ยคำพูดดังกึกก้อง แต่หวังหลินจากไปโดยไม่หันกลับมา
หวังหลินทะยานกลับไปที่ภูเขาของตัวเอง เปลวเพลิงข้างในดูเหมือนมอดดับหลังจากที่เขาไปแต่มันยังคงเป็นสีแดง ทว่าเมื่อหวังหลินเหยียบย่ำบนภูเขา มันจึงเริ่มเผาไหม้อีกครั้งและเกิดเสียงสั่นครืน
ฟ่านชานเมิ่งซึ่งกำลังหลับตาบ่มเพาะ นางลืมตาขึ้นทันทีและประหม่าเล็กน้อย นางกัดริมฝีปาก พอเห็นว่าหวังหลินไม่ได้เรียกนางเข้าไปจึงรู้สึกอึดอัด
ตอนนี้หวังหลินไม่มีเวลามายุ่งวุ่นวายกับฟ่านชานเมิ่ง เขามาถึงที่ถ้ำและนั่งลง ก้อนแสงลอยออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากทำการเปิดก้อนแสง วัตถุดิบสำหรับหลอมใบเรือหน้าผีจึงปรากฏขึ้นในถ้ำ
วัตถุดิบทั้งหมดแตกต่างกันอย่างยิ่งและล้ำค่ามาก อีกทั้งบรรพชนกระทิงเขียวก็เป็นคนมอบให้เขา ทั้งหมดจึงมีคุณภาพสูง
หลังจากมองดูวัตถุดิบเหล่านี้ เขาได้นำหินหยกโบราณที่มีวิชามายาทับซ้อนออกมา ส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปและจดจำเนื้อหาทั้งหมด รวมถึงวิธีการหลอมใบเรือหน้าผี
จากบันทึกในหินหยก ใบเรือหน้าผีได้แบ่งระดับออกเป็นระดับต่ำ กลาง สูง สุดยอดและสมบูรณ์ แต่ละระดับคือภาพมายาสองชั้น
ในสำนักมหาวิญญาณ ศิษย์ส่วนใหญ่มีแค่ระดับต่ำ มีเพียงเหล่าผู้อาวุโสเท่านั้นที่สามารถสร้างระดับกลางได้ ศิษย์บางคนที่เป็นที่ชื่นชอบของอาจารย์อาจจะได้ใบเรือหน้าผีระดับกลางเพื่อเอาไว้ปกป้องตัวเอง
ใบเรือหน้าผีของฟ่านชานเมิ่งคือระดับกลางและเป็นสิ่งที่หยานหลวนมอบให้นาง
ปกติแค่ใบเรือหน้าผีระดับกลางก็ทรงพลังมากพอแล้ว หากใช้ให้เป็นประโยชน์จะสามารถมองข้ามเรื่องระดับบ่มเพาะไปได้เลย! สิ่งนี้ถูกพิสูจน์มาแล้วตอนที่อยู่ในมือของฟ่านชานเมิ่ง!
หากได้ระดับสูงหรือระดับสูงสุดจะยิ่งทำให้ภาพมายาทับซ้อนน่ากลัวขึ้นไปอีก! ส่วนระดับสมบูรณ์นั้นหลอมขึ้นมาได้ยากยิ่ง ทั้งสำนักมหาวิญญาณมีอยู่ชิ้นเดียว!
ใบเรือหน้าผีถือคือค่ายกลป้องกันสำนักมหาวิญญาณในตอนนี้! จากมุมมองของหวังหลิน ค่ายกลนี้ยังไม่ได้เปิดใช้งานอย่างเต็มที่และใช้พลังของมันเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น
หวังหลินสามารถประมวลผลเรื่องนี้ในความคิดโดยอ้างอิงจากข้อมูลบันทึกในหินหยกและจากสิ่งที่เขาคาดการณ์
‘ใบเรือหน้าผีต้องการวิญญาณเพื่อให้กระบวนการหลอมสมบูรณ์แบบ แต่วิญญาณนี้…ไม่จำเป็นต้องเป็นเซียนหรือคนที่มีระดับบ่มเพาะสูงๆ…มันต้องการวิญญาณมรณะ…’ หวังหลินขมวดคิ้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำว่า “วิญญาณมรณะ”
หินหยกได้อธิบายวิญญาณมรณะไว้ว่าเป็นคนหรือสัตว์ที่ตายแล้วแต่ยังมีความทุกข์ ความไม่ยินยอมหรือความไม่พอใจอะไรบางอย่างจนกลายเป็นตัวตนที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้
อีกนิดเดียวมันก็จะกลายเป็นวิญญาณอาฆาตแต่ยังไม่มากพอ ดังนั้นวิญญาณแบบนี้จึงได้มายากมาก สำนักมหาวิญญาณมีคนที่เรียนรู้เรื่องวิญญาณมรณะนับไม่ถ้วน และค่อยๆได้ค้นพบวิธีการหล่อหลอมคนหรือสัตว์ก่อนตายได้อย่างถูกจังหวะ
ทว่าวิญญาณมรณะที่ถูกหลอมขึ้นจากวิธีนี้ยังขาดปัจจัยด้านเวลา ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีระดับบ่มเพาะอะไรหรือสัตว์ตัวไหน วิญญาณมรณะก็ใช้หลอมได้แค่ใบเรือหน้าผีระดับต่ำหรืออย่างมากก็ระดับกลาง
วิญญาณมรณะพวกนี้ทนรับไหวได้แค่ภาพมายาทับซ้อนประมาณสามหรือสี่ชั้นเท่านั้น พอมากขึ้นจะไม่สามารถทนได้และแตกสลายไป
‘วิญญาณมรณะถือได้ว่าเป็นเจตจำนงอย่างหนึ่ง…มีเพียงวิญญาณมรณะเท่านั้นที่มีเจตจำนงอันทรงพลัง เมื่อผ่านกาลเวลานานเข้าจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นจนสามารถทนทานภาพมายาได้มากกว่าสี่ชั้น…’
‘หลักการของภาพมายาทับซ้อนคือเจตจำนงนี้อย่างเห็นได้ชัด เจตจำนงคือการหล่อเลี้ยงเพื่อสร้างภาพมายาให้ผู้คนสูญเสียตัวตน ยิ่งเจตจำนงแข็งแกร่งเท่าใด ยิ่งทำให้ภาพมายาแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น!’ หวังหลินขบคิดจนค่อยๆ เข้าใจโครงสร้างของวิชาภาพมายาทับซ้อน
ดวงตาเต็มไปด้วยความชื่นชม เคล็ดและความซับซ้อนของวิชานี้ การมองโครงสร้างให้ออกโดยไม่มีวิชาฉบับสมบูรณ์นับว่าเป็นเรื่องยาก
‘คนที่สร้างวิชานี้ขึ้นมาต้องเป็นอัจฉริยะโดยแท้จริง!’ หวังหลินมองหินหยกในมือและถอนหายใจ
ความจริงวิชานี้เข้าใจได้ง่ายดาย หวังหลินจำได้ว่าตอนที่เขาเป็นเด็ก ก่อนที่จะเริ่มเป็นเซียน เขาได้ยินเสียงเด็กๆ ในหมู่บ้านเล่าว่าบ้านหลังไหนถูกผีสิง
บ่อยครั้งทางตระกูลจะออกไปเมืองใกล้เคียงเพื่อเชิญคนที่มีความสามารถในการขับไล่ภูติผีออกไปให้พวกเขาสงบ
เขาจำได้ว่าเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวของเขาด้วย แรกเริ่มเดิมทีหวังหลินได้ลืมไปแล้วแต่พอเรียนรู้หลักการของวิชามายาทับซ้อนจึงได้นำความทรงจำนั้นกลับมา
‘การเรียกว่าถูกผีสิงนั้นส่วนใหญ่คือภาพหลอนที่ทำให้คนได้เห็นภาพแปลกๆ และนำความคิดเข้าไป ทำให้เกิดเป็นเรื่องอุปทานหมู่ไปเสียได้’
‘ทำให้คนรู้สึกกระวนกระวาย จิตใจไม่ปกติ’ หวังหลินดวงตาส่องสว่างขึ้นและมองไปยังหินหยกในมือ
พอเขากลายเป็นเซียนและมองย้อนกลับไปจึงตระหนักได้ว่าสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าผีสิงนั้นเป็นแค่สัมผัสความไม่พอใจที่ทำให้จิตใจผู้คนรู้สึกไปเอง ซึ่งทำให้ไม่สบายใจและจิตตกจนคิดว่าเป็นภูติผีปิศาจ
นี่คือแก่นของวิชามายาทับซ้อน! และเป็นต้นกำเนิดของภาพมายา!
‘วิชามายาทับซ้อนเมื่อมองออกได้รอบนึงแล้วช่างง่ายดาย…นี่มันภาพมายาแบบไหนกัน? เห็นได้ชัดว่าเป็นการเปลี่ยนผีให้เป็นคน! ฟังดูง่ายแต่พอนึกถึงการเปลี่ยนเป็นวิชาเซียนหรือวิชาเต๋าแล้วถือว่าสมควรได้รับการยกย่อง!’ หวังหลินเผยแววตาเข้าใจ
1854 ลิ่วเหวินหลาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากหวังหลินออกมาจายอดเขาสวรรค์เขียว บรรพชนกระทิงเขียวยังคงนั่งอยู่บนยอดเขา สายตาทอดมองออกไปไกล สักพักจึงพึมพำอะไรบางอย่างที่ได้ยินอยู่คนเดียว
“จักรพรรดิเทพกว่าจะออกมาจากการปิดด่านบ่มเพาะก็อีกหลายปี แคว้นมารเขียวไม่สามารถรับมือได้นานนัก…การทำนายของบรรพชนรุ่นแรกช่างแม่นยำ…แต่ยังมีเรื่องที่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ วิธีการของบรรพชนดูจะเบาไปและไม่เหมาะกับสถานการณ์ในปัจจุบัน…”
“เป้าหมายของแคว้นมารเขียวก็เป็นเป้าหมายของสำนักมหาวิญญาณเช่นกัน…ทั้งยังเป็นเป้าหมายของสำนักกุ้ยยี่ด้วย…” บรรพชนกระทิงเขียวยิ้มในทันที
“ลิ่วเหวินหลาน!”
เพียงแค่เขาเอ่ยเสียงดังกึกก้อง ระลอกคลื่นคล้ายสายน้ำปรากฏขึ้นด้านหลังและมีชายวัยกลางคนก้าวเดินออกมา เขาสวมชุดคลุมเต๋าสีเขียวดูธรรมดาแต่กลับเปล่งความผันผวนดุจเซียนที่มีระดับบ่มเพาะขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง เขาก้าวออกมายืนด้านหลังบรรพชนกระทิงเขียวพร้อมกับคำนับฝ่ามืออย่างเคารพ
“ศิษย์ลิ่วเหวินหลานขอคารวะท่านอาจารย์!”
กระทิงเขียวไม่ได้หันกลับมา เขามองก้อนเมฆอยู่ไกลลิบและเอ่ยขึ้นอย่างสงบนิ่ง “เจ้าได้เจอเขาที่ทะเลโอสถหรือไม่?”
“ศิษย์อยู่กับโอวหยางฮุ่ยแห่งสำนักกุ้ยยี่และอาจารย์ลุงเมิ่งจื่อไฮ่ที่กำลังต่อสู้กับเหล่าผู้ส่งสาส์นของแคว้นมารเขียว ตามคำสั่งของอาจารย์นั้น อาจารย์ลุงเมิ่งได้แกล้งว่าเราไม่สามารถเทียบกับอีกฝ่ายได้และหนีโดยการใช้เรือเมฆา ดังนั้นข้าจึงไม่เห็นเขา”
“อีกเจ็ดวันจงไปฐานกระทิงสวรรค์จุดที่สามพร้อมกับเขา!” บรรพชนกระทิงเขียวหลับตา
“ศิษย์รับทราบ” ชายวัยกลางคนมีท่าทีเช่นเดิมแต่ดวงตาเปล่งประกายโดยไม่อาจสังเกตเห็น เสียงระลอกคลื่นดังกึกก้องและเขาหายตัวไป
พริบตาเดียวเวลาได้ผ่านไปถึงห้าวัน ช่วงห้าวันนี้หวังหลินอยู่บนยอดเขาและจมความคิดตัวเองไปกับวิชามายาทับซ้อน วัตถุดิบทั้งหมดใช้ไปตามวิธีในหินหยก หวังหลินได้ทำการหลอมใบเรือหน้าผีสีดำขึ้นมาด้วยตัวเอง
ใบเรือนี้ถูกสานขึ้นมาจากการหลอมวัตถุดิบมากมาย แม้จะดูเหมือนผ้าแต่นั่นแค่ภายนอกเท่านั้น
อย่างไรก็ตามมันยังไม่สมบูรณ์ดี เนื้อผ้าถูกสานขึ้นมาแต่ยังขาดวิญญาณมรณะ เมื่อใส่วิญญาณมรณะเข้าไปมันถึงจะสามารถใช้วิชามายาทับซ้อนได้
หวังหลินยื่นแขนขวาจับใบเรือและออกไปจากถ้ำเป็นครั้งแรกในรอบห้าวัน
เขาจำได้ว่าบรรพชนกระทิงเขียวบอกให้ออกเดินทางอีกเจ็ดวัน ตอนนี้เหลือเพียงสองวันเท่านั้น หวังหลินกำลังจะไปยังยอดเขาภูติผีเพื่อค้นหาวิญญาณมรณะมาหลอมเข้ากับใบเรือ
ร่างกายหายวับและปรากฏตัวอีกครั้งด้านนอกภูเขาเพลิงไหม้ หวังหลินมองไปทางเหนือ ตามแผนที่ของสำนักมหาวิญญาณ ยอดเขาภูติผีจะอยู่ทิศนั้น!
หวังหลินมุ่งหน้าออกไปโดยไม่ลังเล
ณ ทางทิศเหนือสุดของสำนักมหาวิญญาณ มีสถานที่ต้องห้ามที่ถูกล้อมรอบด้วยหมอกไร้ขอบเขต ศิษย์น้อยคนที่มักจะมาที่นี่ มีเพียงแค่ตอนที่ต้องใช้วิญญาณมรณะเท่านั้นจึงจะมาที่นี่พร้อมกับอาจารย์เพื่อหาวิญญาณมรณะสักดวง
มีเพียงเหล่าศิษย์หลักที่มีระดับบ่มเพาะสูงส่งเท่านั้นถึงจะมาด้วยตัวเองได้
วิญญาณมรณะจำนวนมากถูกสำนักมหาวิญญาณนำมารวมกันที่นี่ แม้คุณภาพไม่ได้สูงนักแต่ก็ได้รับมาง่ายๆ อีกทั้งสำนักมหาวิญญาณก็มีชื่อเสียงในด้านภาพมายา หากไม่มียอดเขาภูติผี ศิษย์ส่วนใหญ่คงไม่สามารถสร้างใบเรือหน้าผีของตัวเองได้
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาถึงแม้วิญญาณมรณะจะถูกนำเข้ามาเติมอย่างต่อเนื่องแต่ก็ไม่ได้มีมากนัก นอกจากนี้สำนักมหาวิญญาณก็ยังมีความต้องการวิญญาณมรณะค่อนข้างมาก
วิญญาณมรณะหลายดวงได้ถูกคนจากสำนักมหาวิญญาณรวมไว้ที่นี่เนื่องจากเป็นงานจากในสำนัก ทว่ากลับมีวิญญาณส่วนน้อยที่สามารถเติบโตด้วยตัวเองได้
ศิษย์ส่วนใหญ่ที่ทำงานของทางสำนักจะตรงเข้ามาทิ้งผนึกไว้ที่นี่และให้ศิษย์ในอนาคตมาเอา
ในค่ำของวันที่ห้า ท้องฟ้าสลัว หวังหลินมาถึงด้านนอกยอดเขาภูติผีซึ่งเต็มไปด้วยสายหมอกและดูมืดมนยิ่ง สายลมกรรโชกพัดรุนแรงดูคล้ายกับอยู่ในนรก
ทว่าหวังหลินกลับไม่รู้สึกอึดอัดเลย บางทีคงเป็นเพราะระดับบ่มเพาะหรือเขาเคยเปลี่ยนเขตแดนเป็นแม่น้ำอเวจีมาก่อน
วัฏจักรแห่งชีวิตและความตาย การเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำอเวจีทำให้หวังหลินไม่ได้รู้สึกแปลกหน้ากับเรื่องเหล่านี้ เขาก้าวเข้าหายอดเขาภูติผีโดยไม่หยุดชะงัก
เพียงเข้าไปใกล้ เขตอาคมส่งเสียงดังเป็นระลอกคลื่นรอบตัวหวังหลิน ราวกับเป็นการยืนยันว่าหวังหลินมีคุณสมบัติพอจะเข้าไปได้หรือไม่
ไม่นานนักเขตอาคมก็สูญสลายไป หวังหลินก้าวเข้าสู่ยอดเขา!
ยอดเขาภูติผีเป็นแค่ยอดเขาสูงลิ่วทะลุยอดฟ้า ไร้ต้นไม้ใบหญ้า มีเพียงหลุมศพเท่านั้น!
หลุมศพเรียงติดกันอย่างหนาแน่น มีหลายพันจุดทั่วภูเขา
กลิ่นอายเย็นเยียบห่อหุ้มบริเวณ หากมีคนยืนหลับตาอยู่ที่นี่คงได้ยินเสียงกรีดร้อง แม้ที่นี่จะเงียบแต่ความรู้สึกนี้กลับรุนแรงมาก
หวังหลินก้าวผ่านหลุมศพหลายแห่ง แต่ละแห่งมีดวงวิญญาณมรณะอยู่ข้างในไม่มากไม่น้อย พวกมันทั้งหมดอยู่ในสภาวะโดนผนึก บางครั้งผนึกก็อ่อนแอลงจนกลิ่นอายรั่วไหลออกมาได้
หวังหลินเงียบตลอดทาง ส่งสัมผัสวิญญาณกระจายออกไปพลางก้าวเข้าสู่ยอดเขา ขณะที่ก้าวเดินไปจำนวนหลุมศพก็ยิ่งลดน้อยลง เขากำลังจะไปถึงยอดแต่กลับเห็นหลุมศพที่ดูพิเศษแห่งหนึ่ง!
หลุมศพนี้มีเพียงแค่ป้ายหลุมศพเท่านั้น อักษรบนป้ายหลุมพร่ามัวและมีกลิ่นเน่า มันอยู่ที่นี่ไม่รู้ว่านานแค่ไหน
ใต้หลุมมีร่างสตรีผมยาวสวมชุดสีขาว นางคุกเข่าอยู่ตรงนั้นและมีน้ำตาไหลอยู่บนใบหน้า
เสียงร้องไห้ดังเข้าสู่จิตใจหวังหลิน ทั้งชัดเจนและวนเวียนอยู่ในใจ สถาที่แห่งนี้เงียบสงัดยกเว้นเสียงร้องไห้ สายลมอ่อนๆ พัดเข้ามาเลื่อนผมนางให้ลอยขึ้น
หวังหลินมองสตรีชุดขาวและหยุดชะงัก เขาไม่ได้ปีนขึ้นเขาต่อไปแต่กลับมองนางอย่างสงบนิ่ง
เสียงร้องค่อยๆ หยุดลง นางดูเหมือนสังเกตได้ว่ามีคนอยู่ด้านหลังแต่ไม่ได้หันกลับมา
“ที่นี่คือหลุมศพของข้า…” ผ่านไปสักพักเสียงสั่นเครือน่ากลัวดังออกมาจากสตรีชุดขาว น้ำเสียงเบาราวกับดังออกมาไกลๆ ทำให้ได้ยินไม่ชัดเว้นแต่จะเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
หวังหลินขบคิดเงียบๆ และเอ่ยขึ้น “ข้ามองเห็น”
พอหวังหลินพูด สตรีชุดขาวถึงกับตัวสั่นราวกับต้องการหันกลับมาแต่ก็หยุดชะงักที่เดิม
ผ่านไปสักพักนางจึงเอ่ยถาม “ท่านมองเห็นข้าด้วยหรือ? ท่านได้ยินเสียงร้องของข้า?”
“ใช่แล้ว” หวังหลินพูดอย่างสงบนิ่ง ความจริงแล้วหากเขาต้องการก็ยังสามารถมองเห็นวิญญาณมรณะทั้งหมดที่นี่ได้ เพราะล้วนเกี่ยวข้องกับแก่นแท้แห่งชีวิตและความตาย
ชีวิตและความตาย แตกต่างเพียงแค่ซ้ายกับขวา ถึงจะคล้ายแต่ก็แตกต่าง
นางสัมผัสกับอักขระบนป้ายหลุมและเอ่ยขึ้นบางเบา “ท่านไม่ใช่คนที่ข้ากำลังรอใช่หรือไม่…หรือว่าข้าคือวิญญาณของท่าน…”
หวังหลินมองผ่านไปที่ยอดเขา มีหลุมศพเจ็ดถึงแปดแห่งที่เปล่งกลิ่นอายมืดมน มีดวงวิญญาณมรณะอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งอาจจะมีสองถึงสามดวงที่ทรงพลังมากพอให้หลอมเป็นใบเรือหน้าผีระดับกลางได้
ซึ่งวิญญาณเหล่านี้ถือเป็นวิญญาณมรณะคุณภาพดีที่สุดที่สามารถหาได้ในยอดเขาภูติผี
“ข้าตามหาร่างไม่เจอ ข้าเจอแต่ป้ายหลุมศพนี้เท่านั้น…” นางเอ่ยขึ้นและเริ่มร้องไห้อีกครั้ง
หวังหลินครุ่นคิดเงียบๆ พลางยกเท้าขึ้นไปหายอดเขา มู่งหน้าสู่วิญญาณมรณะที่มีคุณภาพ อย่างไรก็ตามหลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงร้องของหญิงสาวยิ่งรุนแรงขึ้น
“ร่างกายข้าอยู่ไหน บ้านข้าอยู่ที่ใด…กระดูกข้าอยู่หนใด…” น้ำเสียงของนางดังเข้าไปในใจหวังหลินทำให้เขาหยุดลง
“เจ้าชื่ออะไร?”
“ลืมไปแล้ว…” นางส่ายศีรษะ
“ตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้าจะมีชื่อว่า ฟ้ากระจ่าง” หวังหลินเอ่ยขึ้นมาพลันหันตัวกลับและสะบัดแขนขวา นางหายวับไป สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือป้ายและหลุมศพ
หลังจากผ่านไปสักพักหวังหลินก็จากไป เขาไม่ได้เลือกวิญญาณที่มีคุณภาพสูงดวงไหน แต่เป็นเพียงหญิงสาวชุดขาวนี้เท่านั้น ซึ่งอย่างมากก็หลอมได้แค่ใบเรือหน้าผีระดับต่ำ
แต่ตอนที่นางพูดถามถึงบ้านและตระกูลของตัวเอง หวังหลินจิตใจสั่นสะท้าน
กระบวนการผสานวิญญาณมรณะเข้าสู่ใบเรือหน้าผีไม่ได้ใช้เวลานานนัก หนึ่งวันก็เกินพอ หลังจากนางเข้าผสานกับใบเรือหน้าผีของหวังหลิน สีของมันจึงเปลี่ยนเป็นสีขาว
เสียงร้องไห้ดังออกมาจากใบเรือสีขาวและเข้าสู่จิตใจผู้คน ทำให้คิดถึงร่างหญิงสาวชุดขาวกำลังร้องไห้
ในวันที่เจ็ด หินหยกก้อนหนึ่งทะลุผ่านม่านป้องกันเข้ามาหาหวังหลินที่อยู่ในถ้ำ
“หวังหลิน จงฟังคำสั่งต่อไปนี้: ให้เข้าไปที่ฐานหลักจุดที่สามของกระทิงสวรรค์และคุ้มกันที่นั่น!” เสียงของบรรพชนกระทิงเขียวดังออกมากึกก้องในถ้ำ หินหยกลอยขึ้นเบื้องหน้าหวังหลิน
หวังหลินลืมตาด้วยความสงบนิ่ง สัมผัสวิญญาณตรวจสอบหินหยกทำให้ข้อมูลเข้าสู่จิตใจเขา
เหล่าบรรพชนของสำนักมหาวิญญาณหลายต่อหลายรุ่นได้ใช้เวลาอันมีค่าเพื่อสร้างฐานสำคัญเจ็ดแห่งบนแคว้นกระทิงสวรรค์ ซึ่งถือเป็นฐานที่มั่นบนจุดเส้นชีพทั้งเจ็ดของกระทิงสวรรค์
ในชีพจรทั้งเจ็ดนี้สามารถยืมพลังอำนาจของกระทิงสวรรค์ผ่านค่ายกลอันทรงพลังได้ ขณะเดียวกันก็เป็นประโยชน์ต่อเซียนบนแคว้นกระทิงสวรรค์อย่างใหญ่หลวง
บรรพชนรุ่นแรกของสำนักมหาวิญญาณได้ทำนายการมาถึงของหวังหลินและการรุกรานครั้งใหญ่ของแคว้นมารเขียวเอาไว้ พวกเขาจะไม่เตรียมการอะไรไว้ได้อย่างไร?
1855 เส้นชีพจรแห่งที่สามของกระทิงสวรรค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่ว่าจะเป็นเส้นชีพจรทั้งเจ็ดหรือศิษย์ที่อาศัยอยู่ในทะเลโอสถ ทั้งหมดเป็นแค่จิ๊กซอว์เล็กๆ ที่สำนักมหาวิญญาณวางไว้เท่านั้น!
หากสำนักมหาวิญญาณดูแล ทะเลโอสถคงไม่ถูกหลอมไปง่ายๆ! ถึงแม้แคว้นมารเขียวจะทรงพลังก็ไม่อาจเทียบได้กับบรรพชนรุ่นแรกของสำนักมหาวิญญาณในด้านการพยากรณ์หรอก!
เป็นเพราะบรรพชนรุ่นแรกมาจากรั้วสำนักเดียวกันของราชครูคนปัจจุบัน ผู้สืบทอดเต๋าจากยุคโบราณ!
บรรพชนกระทิงเขียวไม่ได้มอบหินหยกให้แก่หวังหลินเพียงคนเดียว แต่ยังหินหยกทั้งหมดกับผู้อาวุโสสี่คนในสำนักมหาวิญญาณ!
หวังหลินวางหินหยกเอาไว้ ยืนขึ้นปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าก่อนจะก้าวเดินออกจากภูเขาด้วยความสงบนิ่ง วินาทีที่เขาออกมา ทะเลเพลิงบนภูเขาจึงได้รวมกันด้านหลังก่อเกิดเป็นร่างแก่นแท้ มันค่อยๆ ผสานเข้ากับร่างกายและเลือนหายไป
เพียงก้าวคราเดียวหวังหลินเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงเหาะเหินเข้าสู่ทางเข้าสำนักมหาวิญญาณ
ด้านหลังเป็นลำแสงหนึ่งสายมุ่งหน้าไปยังทางเข้าพร้อมกับหวังหลิน
ทั้งสองคนรวดเร็วมากแต่ลำแสงด้านหลังหวังหลินกลับผ่านเขาไปและมาถึงก่อนหนึ่งก้าวจนเผยเป็นชายวัยกลางคนชุดเขียว
ชายคนนี้ดูธรรมดา พลันหันกลับมามองหวังหลินที่กำลังเข้ามาถึง
ชายวัยกลางคนมองดูหวังหลินอย่างตั้งใจและเอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโสหวัง ข้าลิ่วเหวินหลาน!”
หวังหลินร่อนลงมาถึงและมองมาที่ชายตรงหน้า
“ผู้อาวุโสลิ่ว ข้าไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตาเท่าไรนัก” ช่วงที่หวังหลินอยู่สำนักมหาวิญญาณเขาได้พบปะผู้อาวุโสส่วนใหญ่ไปแล้ว นอกเหนือจากเหล่าเซียนเฒ่านี่เป็นครั้งแรกที่หวังหลินเจอกับชายวัยกลางคนผู้นี้
“ฮ่าฮ่า ข้าประจำการอยู่ที่ห่างไกลและเพิ่งกลับมา เป็นธรรมดาที่ผู้อาวุโสหวังจะไม่คุ้นหน้าคุ้นตาข้านัก” ชายวัยกลางคนยิ้ม
ท่ามกลางการสนทนาของทั้งสอง มีลำแสงอีกสองสายโผล่ออกมาจากสำนักเผยเป็นหนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรี ด้านสตรีคือหยานหลวนและส่วนบุรุษเป็นชายหนุ่มสวมชุดคลุมเต๋า
“หยานหลวนขอคาระผู้อาวุโสลิ่ว ไม่คิดว่าผู้อาวุโสลิ่วจะมากับเราด้วย” หยานหลวนและลิ่วเหวินหลานรู้จักกันจึงทักทายด้วยรอยยิ้ม
“เป็นเกียรติที่มีผู้อาวุโสหยานหลวนและผู้อาวุโสซิ่วตงเต๋อไปกับข้า” หวังหลินเอ่ย
“ขอคารวะผู้อาวุโสลิ่ว” ชายหนุ่มชุดคลุมเต๋าเผยท่าทีสงบนิ่งพลางคำนับฝ่ามือให้กับลิ่วเหวินหลาน จากนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ เขาดูเป็นคนเงียบๆ
หวังหลินมองทั้งสามคน คนที่อ่อนแอที่สุดคือเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้น ชายวัยกลางคนชื่อลิ่วเหวินหลานเป็นเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางซึ่งมีระดับบ่มเพาะเท่ากับราชันย์เทพสีรุ้งแต่กลับให้ความรู้สึกด้อยกว่าอย่างมาก!
แค่คนทั้งสามคนนี้ก็ถือว่าทรงพลังมากแล้ว เทียบกับระดับบ่มเพาะขั้นวิญญาณดับสูญระดับสูงสุดของหวังหลินนับว่าเทียบไม่ติดจริงๆ
ขณะที่หวังหลินกำลังสังเกตทั้งสามคน อีกสองคนนอกจากหยานหลวนก็สังเกตหวังหลินไปด้วย ช่วงเวลานี้หวังหลินได้รับชื่อเสียงเพิ่มขึ้นอย่างมากในสำนักมหาวิญญาณ
ซิ่วตงเต๋อมองมาที่หวังหลินและคิดกับตัวเอง ‘คนที่สามารถเข้าตำหนักสลักวิญญาณชั้นที่เจ็ดและแปดถือว่าไม่ควรประเมินค่าต่ำไป!’
‘เขาออกมาจากทะเลโอสถได้อย่าปลอดภัยและยังทำให้เม็ดยาสวรรค์ระเบิดไปอีก ข้าไม่สามารถตัดสินเขาเพียงแค่ที่เห็นจากภายนอกได้…อีกทั้งเขายังกลับมาจากทะเลโอสถได้อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ!’ ลิ่วเหวินหลานมองหวังหลิน เขาก็กลับมาจากทะเลโอสถเช่นกันแต่เพราะมีเรือเมฆาของบรรพชนรุ่นแรกเข้าช่วย มันถือได้ว่าเป็นสมบัติลึกลับสุดยอดของบรรพชนรุ่นแรกและมีความเร็วเกินจินตนาการ
“เอาหละ ในเมื่อทุกคนก็มากันแล้ว งานของเราคือการมุ่งหน้าไปยังเส้นชีพจรแห่งที่สามของกระทิงสวรรค์และคุ้มกันการรุกรานของแคว้นมารเขียวที่นั่น การเดินทางครั้งนี้อาจจะรอดหรือมีใครเสียชีวิต ถือเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้…ทุกคนต้องระมัดระวัง!” ลิ่วเหวินหลานสูดหายใจลึกและคำนับฝ่ามือแก่อีกสามคน
หวังหลินขบคิดเงียบๆ หยานหลวนกับซิ่วตงเต๋อไม่ได้พูดอะไรนักและพยักหน้าเท่านั้น ทั้งสี่คนได้จากสำนักมหาวิญญาณไปอย่างรวดเร็ว
อีกหลายกลุ่มแบบพวกเขาก็ได้ออกไปจากสำนักมหาวิญญาณ ทั้งหมดได้รับคำสั่งจากบรรพชนเพื่อคุ้มครองพื้นที่หลากหลายแห่ง!
ทั้งสี่คนนั้นเร็วมาก โดยเฉพาะลิ่วเหวินหลานที่อยู่ในขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง เขาเคลื่อนร่างดุจสายฟ้า
ส่วนหยานหลวนและซิ่วตงเต๋อ ทั้งคู่ล้วนเป็นเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้น ดังนั้นจึงไม่ได้ช้ามากนัก
มีเพียงความเร็วของหวังหลินที่ไม่สามารถเทียบกับทั้งสามได้ในระยะยาว ดวงตาเขาส่องสว่างและเรียกอสูรยุงออกมานั่งบนหลังพร้อมทะยานออกไป
เมื่ออสูรยุงปรากฏ อีกสามคนต่างก็หันมามอง ทั้งหมดสังเกตได้ว่าเจ้าอสูรยุงตัวนี้ช่างพิเศษ
ลิ่วเหวินหลานยิ้มและเอ่ยถาม “อสูรของผู้อาวุโสหวังช่างมีความเร็วเทียบได้กับเซียนขั้นวิบากดับสูญ ข้าสงสัยจริงว่าผู้อาวุโสหวังไปได้มันมาจากที่ใด?”
เพียงแค่เขาเอ่ยขึ้น หยานหลวนและซิ่วตงเต๋อก็เริ่มให้ความสนใจ
“ข้าได้มันมาจากบ้านเกิดของข้า” หวังหลินพูดเกริ่นและสงบนิ่ง
“โอ้? ข้าสงสัยเสียแล้วว่าบ้านเกิดของผู้อาวุโสหวังอยู่ที่ไหน” ลิ่วเหวินหลานดูสนอกสนใจ
“ผู้อาวุโสลิ่ว” หวังหลินขมวดคิ้วและมองลิ่วเหวินหลาน
ลิ่วเหวินหลานรู้สึกพูดผิดไปและยิ้มออกมา เขาหยุดถามและได้แต่พ่นลมหายใจอยู่ในใจ
ทั้งสี่คนเงียบไปตลอดทาง ผ่านไปเจ็ดวันลิ่วเหวินหลานสะบัดแขนนำหินหยกออกมา หลังจากมองใกล้ๆ จึงได้ชี้ไปด้านล่าง
“ที่นี่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายที่บรรพชนรุ่นแรกของสำนักมหาวิญญาณได้สร้างเอาไว้ มันสามารถเคลื่อนย้ายไปใกล้กับเส้นชีพจรแห่งที่สามได้ ปกติแล้วไม่ได้ใช้กันง่ายๆ แต่ข้าได้รับอนุญาตจากบรรพชนมาแล้วว่าให้ใช้ได้” หลังจากลิ่วเหวินหลานพูดขึ้นจึงพุ่งลงไป
ด้านล่างเป็นภูเขาแห่งหนึ่ง ลิ่วเหวินหรานทะยานเข้าสู่หุบเขาข้างในตามที่หินหยกบอก กลุ่มหวังหลินจึงตามกันไป
ครู่ต่อมาแรงกดดันได้แผ่กระจายออกมาจากหุบเขาและส่งเสียงดังสนั่นกึกก้อง แสงพร่าเลือนปะทุออกมากินเวลาชั่วโมงครึ่งก่อนจะหายไป
ณ ทุ่งยอดนภาซึ่งห่างออกไปอีกหลายเดือน อวกาศเกิดการบิดเบี้ยว ก้อนเมฆหมุนเป็นรูปก้นหอย แสงส่องสว่างแพรวพราวและมีกลุ่มทั้งสี่คนของหวังหลินปรากฏขึ้นทีละคน
เมื่อแสงหายไป หวังหลินหันกลับมายังทิศทางที่มีสำนักมหาวิญญาณ ดวงตาเผยความเคร่งขรึม
‘ค่ายกลเคลื่อนย้ายแห่งนี้ช่างลึกซึ้ง…’ หวังหลินไม่ประหลาดใจที่แผ่นดินเซียนดารามีค่ายกลเคลื่อนย้าย แผ่นดินแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไป หากไม่มีค่ายกลเคลื่อนย้าย แค่การเดินทางก็กินเวลานานมากเกินไปแล้ว
‘สงสัยเสียจริงว่าจะมีค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างแคว้นหรือไม่ หากมีอยู่มันคงเปิดใช้งานได้ยากมาก!’
หินหยกในมือหวังหลินแตกกระจายหลังจากนำออกมา แม้หวังหลินจะไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในหินหยกจึงสามารถทำให้เปิดใช้งานค่ายกลแบบนี้ได้ แต่เขามั่นใจว่าสำนักมหาวิญญาณไม่ได้มีมากนัก!
ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมค่ายกลเคลื่อนย้ายถึงใช้ได้ในยามวิกฤติเท่านั้น การใช้งานรูปแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่สำนักเดียวจะรับมือไหว
ความจริงการคาดเดาของหวังหลินนั้นแม่นยำมาก สำนักมหาวิญญาณมีค่ายกลเคลื่อนย้ายแบบนี้แต่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลสำหรับการเปิดใช้แต่ละครั้ง แม้สำนักมหาวิญญาณจะมีทรัพยากรจำนวนมาก แต่ก็ไม่สามารถใช้จ่ายไปกับการเปิดใช้ค่ายกลมากกว่าร้อยครั้งในรอบหมื่นปีได้!
ทั้งสี่คนปรากฏตัวในเวลาเย็น ดวงอาทิตย์สีทองส่องประกายกระทบใบหญ้า ทำให้ทุ่งยอดนภาสวยงามในแบบของตัวเอง
“ที่นี่คือตำแหน่งของเส้นชีพจรแห่งที่สาม สำนักมหาวิญญาณได้วางไว้ใต้ดิน เหล่าเซียนจากสำนักใกล้เคียงน่าจะอยู่ที่นี่ รวมถึงเหล่าเซียนไร้สำนักด้วย” หลังจากลิ่วเหวินหลานเอ่ยขึ้น จึงก้าวทะยานและหายวับเข้าไปในพื้นดิน
หยานหลวนและซิ่วตงเต๋อติดตามและหายตัวไป หวังหลินขบคิดเล็กน้อยก่อนจะตามเข้าไปเช่นกัน
ทั้งสี่คนรีบทะยานผ่านพื้นดินเข้าไป ไม่นานจึงเห็นถ้ำยักษ์ที่ถูกขุดเป็นอุโมงค์ลึก แทนที่จะบอกมันว่าถ้ำมันกลับดูเหมือนวังขนาดใหญ่มากกว่า!
ด้านนอกวังแห่งนี้มีเขตอาคมป้องกันไว้หลายชั้น ถ้าไม่ได้เป็นผู้อาวุโสของสำนักมหาวิญญาณและมีป้ายสิทธิ์ให้เข้าไปก็คงเข้ามาที่นี่ได้ยากมาก
ภายในวังขนาดใหญ่มีเซียนอยู่เกือบหมื่นคน ส่วนใหญ่มาจากสำนักใกล้เคียงหรือเซียนไร้สำนักที่อยู่ในบริเวณนี้ หลังจากได้รับคำสั่งจากสำนักมหาวิญญาณ พวกเขาจึงมารวมกันที่นี่
กลุ่มของหวังหลินเพิ่งจะเข้ามาใกล้ ฉับพลันได้ยินเสียงหัวเราะระเบิดดังออกมาจากในวัง ลำแสงสามสายเข้ามาใกล้ ปรากฏเป็นชายชราสามคนเข้าคำนับฝ่ามือ
“พี่ลิ่ว ในที่สุดท่านก็มา ดูเหมือนเราไม่ได้เจอกันมาพันปีได้แล้ว!”
“น้องโจว หลังจากได้รับคำสั่งจากบรรพชน ข้าก็รีบเร่งมาที่นี่ให้เร็วที่สุด ถือเป็นเรื่องดีที่ยังไม่มีเซียนแคว้นมารเขียวมาถึง” พอลิ่วเหวินหลานพบกับชายชรา เขาก็ยิ้มและเริ่มสนทนา
ผู้อาวุโสอีกสองคนคำนับฝ่ามือให้หยานหลวนและซิ่วตงเต๋อ ดูเหมือนพวกเขาเคยเจอกันและดูสุภาพอย่างมาก
ผู้อาวุโสทั้งสามคนเพียงพยักหน้าให้หวังหลินเพราะระดับบ่มเพาะไม่คู่ควรให้ชายตามองนัก
หวังหลินมีท่าทีสงบนิ่ง ระดับบ่มเพาะของชายชราทั้งสามคนไม่ได้แย่นัก มีสองคนอยู่ในขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับกลาง ส่วนชายชราแซ่โจวที่กำลังคุยกับลิ่วเหวินหลานมีระดับบ่มเพาะสูงกว่านิดหน่อยซึ่งอยู่ราวๆ ด่านวิบากแก่นแท้ด่านที่หกถึงเจ็ด เท่ากับตู้ฉิง
“พวกท่านคงเคยเจอผู้อาวุโสหยานหลวนและผู้อาวุโสซิ่วไปบ้างแล้ว นี่คือผู้อาวุโสหวังเพิ่งเข้าร่วมสำนักมหาวิญญาณ เขาสามารถช่วยเราต่อสู้กับแคว้นมารเขียวได้!” ลิ่วเหวินหลานชี้มาที่หวังหลินและแนะนำตัวให้กับทั้งสามคน
ใกล้เคียงยังมีคนจากสำนักอื่นจำนวนมาก ทั้งหมดมองมาที่กลุ่มลิ่วเหวินหลานด้วยความเคารพ
หลังจากได้ยินการแนะนำของลิ่วเหวินหลาน ทั้งสามคนถึงกับตกตะลึงและมองมาที่หวังหลิน พวกเขาคิดว่าหวังหลินเป็นแค่ศิษย์แต่ผลออกมาเป็นผู้อาวุโสเสียนี่
ทั้งหมดคำนับฝ่ามือและยิ้มให้ด้วยความสุภาพยิ่งขึ้น แต่ต่อจากนั้นกลับเมินเฉยหวังหลินเพื่อไปพูดคุยกับหยานหลวนและซิ่วตงเต๋อแทน
1856 เผชิญหน้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ความแข็งแกร่งคือสิ่งที่เป็นที่ยอมรับในโลกแห่งเซียน ระดับบ่มเพาะของหวังหลินไม่สูงมากพอจึงไม่มีเหตุผลที่ทั้งสามคนจะมาใส่ใจหวังหลิน คนอื่นๆ ก็ตัดสินแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา
หวังหลินไม่สนใจ เขามองไปรอบๆ และออกมาอย่างเงียบๆ เพื่อหาถ้ำสำหรับบ่มเพาะ
ลิ่วเหวินหลานเยาะเย้ยในใจ สายตากวาดผ่านมายังแผ่นหลังของหวังหลิน
‘เพื่อประโยชน์ต่อสำนักมหาวิญญาณ ข้าถึงกับอยู่ในทะเลโอสถและเปลี่ยนรูปร่างของข้าเป็นเซียนไร้สำนักเพื่อดึงดูดความสนใจของแคว้นมารเขียว ข้าอยู่ที่นี่มามากกว่าพันปี…’
‘ทั้งหมดนั้นก็เพื่อให้แคว้นมารเขียวไม่เกิดข้อสงสัยและอยากรุกรานแคว้นกระทิงสวรรค์ตามแผนที่บรรพชนวางไว้…ข้าทำทั้งหมดนี้แต่บรรพชนกลับไม่ยอมมอบวิชามายาทับซ้อนฉบับสมบูรณ์ให้ข้า มันมีสิทธิ์อะไรถึงได้ไป!?’
ลิ่วเหวินหลานเยาะเย้ยในใจ ทันใดนั้นหวังหลินหันกลับมาสบสายตาเขา
ลิ่วเหวินหลานมีสีหน้าดังเดิม เขายิ้มเบาๆ และพยักหน้าให้หวังหลิน
หวังหลินมองลิ่วเหวินหลานอย่างละเอียด จากนั้นหันกลับมาเลือกถ้ำแห่งหนึ่งก่อนจะหายตัวไป
ท่ามกลางกลุ่มทั้งสามของลิ่วเหวินหลาน หลานหยวนเข้าใจหวังหลินมากที่สุด นางไม่ลืมว่าหวังหลินนั้นน่ากลัวแค่ไหน ระหว่างทางนางสังเกตถึงความขัดแย้งที่คุกรุ่นอยู่ภายใน
หลังจากทุกคนเริ่มการสนทนา ชายชราทั้งสามจึงได้ชวนลิ่วเหวินหลานและพรรคพวกให้เข้าไปในห้องโถงใหญ่แต่ไม่ได้พูดถึงถึงหวังหลินเลย เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าในสายตาแต่ละคนนั้นหวังหลินไม่มีค่าพอและเทียบไม่ได้กับกลุ่มของลิ่วเหวินหลาน
ทั้งหกคนจึงมุ่งหน้าเข้าวังด้วยรอยยิ้ม ลิ่วเหวินหลานนั้นเหมือนเดิมราวกับลืมไปว่าหวังหลินยังมีตัวตนอยู่
หลังจากทั้งหกคนจากไป ผู้คนรอบสำนักอื่นๆ จึงกระจัดกระจาย พอคนของสำนักมหาวิญญาณได้มาถึง ค่ายกลรอบทุ่งยอดนภาก็เปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์
เสียงดังกังวาล ม่านพลังขนาดหลายแสนลี้ยืดยาวออกไปทั่วทุ่งยอดนภาและยังไกลออกไปอีก
ขณะเดียวกันเหล่าเซียนจากสำนักมหาวิญญาณและสำนักกุ้ยยี่ก็ได้มาถึงเส้นชีพจรที่เหลืออีกหกแห่ง การมาถึงของแต่ละกลุ่มได้ทำให้ค่ายกลรอบชีพจรเปิดใช้งานขึ้นเช่นกัน
เป็นผลให้ เมื่อเส้นชีพจรทั้งหมดเจ็ดสายเปิดใช้ค่ายกล ม่านขนาดยักษ์จึงแผ่กระจายไปทั่วเส้นชีพจรที่เหลืออีกหกสายด้วยเช่นกัน
ม่านพลังปรากฏขึ้นทั้งหมดเจ็ดแห่ง พวกมันเชื่อมต่อกันเป็นม่านพลังขนาดยักษ์ปกป้องแคว้นกระทิงสวรรค์จากทะเลโอสถ!
ม่านพลังแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นจากเซียนมากกว่าแสนคนและหนากว่าแสนลี้ มันไม่ใช่สิ่งที่เซียนธรรมดาจะเข้ามาได้ แม้แต่บรรพชนกระทิงเขียวก็ยังผ่านเข้าไปได้ยากยิ่ง!
ต้องกล่าวว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้เลยต่างหาก! นั่นเป็นเพราะนอกจากพลังล้วนๆ จากค่ายกลเอง ยังมีพลังอำนาจจากกระทิงสวรรค์เข้าไปด้วย!
เส้นชีพจรทั้งเจ็ดของกระทิงสวรรค์กำลังถูกกระตุ้นอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ถูกสร้างขึ้นมา มันได้ทำหน้าที่อันสำคัญ!
นอกจากเส้นชีพจรกระทิงสวรรค์เหล่านี้แล้ว ยังมีสายเพลิงปฐพี 72 สายที่กำลังถูกคุ้มกันจากคนของสำนักมหาวิญญาณและสำนักเล็กๆอีก สายทั้ง 72 นี้รวมกันเป็นพลังงานอันไร้ขอบเขตและเป็นพลังปราณสวรรค์ใช้เกื้อหนุนเส้นชีพจรทั้งเจ็ดอีกด้วย!
ทั้งหมดนี้คือการป้องกัน แต่สำนักมหาวิญญาณจะเตรียมการหลายปีเพียงป้องกันได้อย่างไร? ยังมีเซียนอีกกลุ่มที่ทำหน้าที่สังหาร!
ถ้ำจำนวนนับไม่ถ้วนรอบวังที่อยู่ใต้ดินมีเซียนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ในใจทุกคนมีความรู้สึกอึดอัดใจ พวกเขารู้ว่ามหาสงครามกำลังจะเริ่ม
หากเซียนจากแคว้นมารเขียวต้องการทะลวงม่านพลังเข้ามา พวกนั้นจะต้องเข้าทำลายเส้นชีพจรทั้งเจ็ด การจะทำเช่นนั้นได้จะต้องใช้เซียนจำนวนมากเข้ามาโจมตี
อีกไม่นานท้องฟ้าอันสงบนิ่งของทุ่งยอดนภาจะเต็มไปด้วยเซียนจากแคว้นมารเขียว
หยานหลวนเลือกที่จะปิดด่านบ่มเพาะเพื่อรักษาตัวเองให้อยู่สภาวะพร้อมรบเต็มที่ ซิ่วตงเต๋อและลิ่วเหวินหลานก็เช่นกัน แต่พวกเขาเลือกวังแทนที่จะเป็นถ้ำ เพราะด้วยสถานะอันสูงส่งแล้วยังถือว่าเป็นกองกำลังหลักในการปกป้องที่นี่
ความจริงท่ามกลางเซียนนับหมื่นมีเพียงสี่คนที่อยู่ในขั้นวิบากดับสูญระดับต้น แม้จะมาจากสำนักเล็กๆหรือเซียนไร้สำนัก แต่สถานะของแต่ละคนก็สูงส่งเช่นกัน พวกเขาถูกเชิญชวนเข้าไปในวังเพื่อเป็นกองกำลังสุดท้ายในการต่อสู้นี้!
หวังหลินนั่งอยู่ในถ้ำเล็กๆ อย่างสงบ มีหลายถ้ำอยู่รอบตัวเขาซึ่งรวมถึงชายชราที่จำหวังหลินไม่ได้ แต่หวังหลินจำเขาได้
ชายชราคนนี้คือคนที่พูดคุยกับหวังหลินในทุ่งยอดนภา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เป็นเซียนขั้นวิบากดับสูญดังนั้นจึงไม่สามารถเข้าไปในวังได้ เขาทำได้แค่เลือกถ้ำด้านนอกเท่านั้น
ความจริงด้วยตำแหน่งของหวังหลินก็สามารถเลือกวังก็ได้ถ้าเขาต้องการ แต่หวังหลินไม่ได้สนใจ หากเขาเลือกวังคงถูกคนอื่นนินทาลับๆ การอยู่ที่นี่อย่างสงบจะดีเสียกว่า
ขณะที่นั่งบ่มเพาะอย่างช้าๆ สัมผัสวิญญาณแผ่กระจายออกมา ใช้โอกาสนี้หลอมร่มสีฟ้าและต้นกำเนิดวิญญาณให้มีระดับความกลมกลืนมากขึ้น
เขายังนำเขตอาคมเข็มทิศออกมาให้แผ่ระยะไปทั่วทุ่งยอดนภา ของชิ้นนี้ช่างลึกลับมาก กระทั่งลิ่วเหวินหลานที่มีระดับบ่มเพาะสูงสุดที่นี่ก็ไม่สามารถจับสังเกตได้
เวลาผ่านไปไม่รู้กี่วัน นอกจากเสียงจากการบ่มเพาะแล้วไม่มีเสียงอื่นใดในวังและถ้ำรอบๆ เลย
หวังหลินพลันลืมตา วินาทีนั้นเข็มทิศเบื้องหน้าเกิดการสั่นไหว เส้นสีเขียวพลันปรากฏขึ้นมาในแผนที่ของทุ่งยอดนภา
เส้นสีเขียวนี้เกิดขึ้นจากจุดสีเขียวนับไม่ถ้วน จุดสีเขียวจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังเข้ามา
‘พวกนั้นมากันแล้ว!’ หวังหลินจ้องมองเข็มทิศ ดวงตาเปล่งประกาย เขาจะทำตามสัญญาสามอย่างที่ให้ไว้กับสำนักมหาวิญญาณให้เสร็จสิ้น จากนั้นก็จะออกไปจากที่นี่ มุ่งหน้าสู่สำนักตงหลินและไปยังเผ่าบัญชาโบราณ!
เมื่อหวังหลินตรวจจับการมาถึงของเหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวได้ ลิ่วเหวินหลานลืมตาและเผยสายตาเย็นเยียบ
“เหล่าสหายเซียน พวกเซียนจากแคว้นมารเขียวได้มาถึงแล้ว!” น้ำเสียงดังกึกก้องผ่านวังอันใหญ่โต
กลิ่นอายการบ่มเพาะได้หายไป เหล่าเซียนทั้งหมดลืมตาตื่น
พวกเซียนขั้นวิบากดับสูญเช่นหยานหลวนและซิ่วตงเต๋อเองก็สังเกตบางอย่างได้ จิตสังหารจึงแผ่กระจายออกมา
เสียงหวีดหวิวดังไปทั่วทุ่งยอดนภา เหล่าเซียนมากกว่าหมื่นคนทะยานขึ้นไปเหนือทุ่งหญ้า ปกคลุมท้องฟ้าดวงตะวัน!
ท่ามกลางเซียนนับหมื่น มีอยู่หกคนที่เร็วที่สุด
ในหกคนนั้นมีบุรุษสี่คนและสตรีสองคน ทั้งหมดสวมชุดหรูหราและมีระดับบ่มเพาะชั้นยอดในแคว้นมารเขียว! บุรุษสองในสี่เป็นชายชราที่มีระดับบ่มเพาะขั้นวิบากดับสูญระดับกลางซึ่งเป็นเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพนี้ ทั้งยังมากกว่าเซียนอีกหมื่นคน!
ที่เหลืออีกสี่คนเป็นขั้นวิบากดับสูญระดับต้น
ทั้งหกคนพุ่งทะยานมาตรงหน้า กองทัพที่เหลือติดตามพวกเขามา ปกคลุมน่านฟ้าในทุ่งยอดนภา จิตสังหารแผ่กระจายดุจก้อนเมฆสีดำปกคลุมพื้นที่
“พี่จาง เราสองคนร่วมมือกันแล้วมาดูกันว่าพลังของเจ็ดชีพจรกระทิงสวรรค์จะแน่สักแค่ไหน” ชายชราขั้นวิบากดับสูญระดับกลางมองสหายร่วมกองทัพด้วยรอยยิ้ม
“พี่จ้าวมีความคิดเป็นเลิศ ข้าได้ยินว่าค่ายกลนี้สามารถก่อกำเนิดวิญญาณกระทิงสวรรค์ได้ ข้าอยากเห็นว่าหน้าตากระทิงสวรรค์จะมีหน้าตาเช่นไร!” ชายชราแซ่จางยิ้มและพยักหน้า ด้วยระดับบ่มเพาะของแต่ละคนจึงมองออกและคงไม่ตายได้ง่ายๆ ในมุมมองของพวกเขา การเข้าบุกนี้เป็นแค่หมากกระดานเกมหนึ่ง
มองจากมุมหนึ่งพวกเขาเก่งยิ่งกว่าหลิวเหวินหลานแต่ก็ยังห่างชั้นอยู่ช่วงใหญ่กับราชันย์เทพสีรุ้ง แม้ระดับบ่มเพาะจะคล้ายกันแต่ความกล้าบ้าบิ่นและความสงบนิ่งยังขาดอยู่ค่อนข้างเยอะ
เพียงเอ่ยปาก ทั้งสองยกแขนขวาขึ้นมาสร้างผนึกก่อนจะชี้ไปที่ทุ่งหญ้า พื้นดินส่งเสียงดังสนั่น ก้อนเมฆซ้อนกันหลายชั้นปรากฏขึ้นกลายเป็นยักษ์ขนาดแสนฟุตพุ่งทะยานออกไป
ในท้องฟ้ามีแสงสีดำคล้ายกับฉีกอวกาศให้เปิดออก กระบี่เหินสามเล่มปรากฏขึ้นมาและมีควันสีดำพวยพุ่ง หญ้าทั้งหมดบนพื้นเหี่ยวแห้งราวกับพลังชีวิตถูกดูดซับไปจนหมด
กระบี่ทั้งสามเล่มพุ่งทะยานไปพร้อมกับยักษ์
แต่ขณะที่กระบี่สามเล่มและยักษาเข้าไปใกล้ สายหมอกไร้ขอบเขตจากทุ่งยอดนภาได้แผ่กระจายออกมาอย่างต่อเนื่อง
เสียงร้องคำรามของกระทิงดังออกมาจากสายหมอก ไม่นานนักมีหมอกจำนวนมากก่อตัวเป็นรูปร่างกระทิงสวรรค์ มันส่งเสียงคำรามอันน่าตกตะลึงเข้าหายักษาและกระบี่ทั้งสามเล่ม
เพียงเสียงคำรามดังกึกก้อง กระทิงสวรรค์พลันระเบิด สายหมอกแผ่กระจายเข้าหาเหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวอย่างรวดเร็ว!
ขณะเดียวกันลึกลงไปใต้ดิน ลิ่วเหวินหลานส่งเสียงคำรามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เซียนขั้นวิบากดับสูญทั้งหมด ตามข้าไปเข่นฆ่าพวกมัน ในค่ายกลหมอกนี้เรามีพลังไม่จำกัดและสามารถดึงพลังจากสายหมอกมาได้อย่างอิสระ!” สิ้นเสียงคำราม ลำแสงเจ็ดสายพุ่งออกไปพร้อมกับลิ่วเหวินหลานและหายวับเข้าไปในสายหมอก
บนพื้นดินนั้นสายหมอกปกคลุมเหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวอย่างสิ้นเชิง จากนั้นเหล่าเซียนเกือบหมื่นคนที่อยู่ใต้ดินจึงทะยานออกไป
สงครามครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มต้น!
หวังหลินอยู่ในกลุ่มเซียนเหล่านั้น เขาสงบนิ่งและผสานเข้ากับสายหมอกทันที สายหมอกจะขัดขวางสัมผัสวิญญาณของเซียนจากแคว้นมารเขียว ทว่าสำหรับพวกเขาเหล่าเซียนจากแคว้นกระทิงสวรรค์ สายหมอกที่เข้าไปในร่างจะหล่อเลี้ยงและบำรุง!
…………………………………………………….
1857 หลิวจื่อหยวน
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังหลินซึ่งปะปนไปกับกองทัพเซียนหมื่นคนไม่ได้ทำตัวโดดเด่นมากนัก มีเพียงหยานหลวนที่มองกลับมายังกองทัพเซียนราวกับกำลังมองหาหวังหลิน
แต่มีเซียนมากมายเกินไป ที่นี่ยังปกคลุมไปด้วยสายหมอกจึงทำให้นางหาเขาไม่เจอ
ในสายหมอกแห่งนี้ เหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวได้ทะยานไปข้างหน้าโดยมีชายชราขั้นวิบากดับสูญระดับกลางสองคนเป็นผู้นำทัพ ขณะที่ท่องทะยานนั้นสายหมอกถูกผลักกลับไปราวกับพวกมันไม่กล้าเข้าไปใกล้จนเกินไป
แม้แต่บนแผ่นดินเซียนดารา เหล่าเซียนวิบากดับสูญระดับกลางยังเป็นเสมือนนายเหนือหัวที่สามารถค้ำจุนสำนักระดับกลางได้ กระทั่งเก้าสำนักสิบสามกองกำลังเองยังถือว่าเป็นผู้อาวุโสระดับแถวหน้า!
เซียนที่สามารถบรรลุขั้นวิบากดับสูญระดับกลางได้ถือว่าสังหารได้ยากมาก เพราะมีทั้งสมบัติช่วยชีวิตและวิชาหลายอย่าง
สองชายชราขั้นวิบากดับสูญระดับกลางที่มาจากแคว้นมารเขียวมีแซ่จางและแซ่จ้าว ทั้งคู่มาจากสำนักมารที่แตกต่างกัน แต่พอร่วมมือกันกลับทำให้โลกสั่นสะเทือน ลิ่วเหวินหลานพุ่งทะยานออกไปและเริ่มต่อสู้กับชายชราแซ่จางในสายหมอก!
เสียงดังสนั่นแผ่กระจายออกไปทุกทิศทาง การต่อสู้ของแต่ละคนได้ทำให้เกิดสายลมรุนแรงพัดกระพือจนไม่สามารถทำให้เซียนคนอื่นเข้าไปใกล้ได้
ชายชราแซ่จ้าวอีกคนก้าวทะยานและกำลังจะร่วมวงต่อสู้กับลิ่วเหวินหลาน ในสายตาเขาตราบใดที่ทำให้ลิ่วเหวินหลานบาดเจ็บสาหัส เซียนที่เหลืออยู่ที่นี่ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล!
แต่ขณะที่ชายชราแซ่จ้าวก้าวออกไปข้างหน้า หยานหลวน ซิ่วตงเต๋อและเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นอีกคนได้เข้าไปขัดขวาง ทั้งสามคนร่วมมือกันเข้าต่อสู้กับเขา!
หากเป็นที่อื่น แม้ทั้งสามจะร่วมมือกันก็ไม่สามารถเทียบชั้นกับเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางได้ ความแตกต่างในแต่ละชั้นของเซียนขั้นวิบากดับสูญถือได้ว่ามหาศาลดุจฟ้ากับเหว
หวังหลินที่มีเจ็ดแก่นแท้สามารถต่อสู้กับเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นได้ แต่ถึงแม้เขาจะมีแปดแก่นแท้ในตอนนี้ก็ยังต่อสู้ได้เพียงเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นอยู่ดีและไม่สามารถสั่นคลอนระดับกลางได้เลยแม้แต่น้อย
แต่ภายในค่ายกลชีพจรกระทิงสวรรค์แห่งนี้ ขณะที่สายหมอกเข้าสู่ร่างกาย การต่อสู้จึงเปลี่ยนไป ทั้งสามคนสามารถต้านทานชายชราแซ่จ้าวได้! ถึงแม้จะไม่ชนะก็สามารถยื้อได้อยู่ดี!
ด้วยคนทั้งสี่ที่กำลังต้านทานเซียนทรงพลังสองคนของอีกฝ่าย ทำให้ฝ่ายเซียนแคว้นมารเขียวไม่สามารถลงไปทำหน้าที่กวาดล้างได้ แต่ยังมีเซียนขั้นวิบากแก่นแท้ระดับต้นจำนวนสี่คนจากแคว้นมารเขียวอยู่อีก
สี่คนนี้เป็นสองบุรุษและสองสตรี พวกเขาสวมชุดคลุมหรูหราและมีสถานะอันพิเศษ ทั้งสี่คนเผชิญปัญหาเดียวกันเพราะยังมีเซียนขั้นวิบากดับสูญสามคนจากแคว้นกระทิงสวรรค์อย่างเหล่าเซียนเฒ่า ซึ่งสามคนนี้แทบจะมีพลังอันไร้ขีดจำกัดในสายหมอก พวกเขาเริ่มต่อสู้กับสี่คนจากแคว้นมารเขียว เหล่าเซียนขั้นวิบากดับสูญจึงเป็นจุดเริ่มต้นการต่อสู้ของสงครามครั้งนี้!
หลังจากเริ่มต่อสู้กันทั้งสองฝ่ายจึงเกิดความวุ่นวายเนื่องจากมีคนกว่าสองหมื่นคน ทัศนวิสัยถูกสายหมอกบดบังและมีเสียงกรีดร้องดังระงมขึ้นไปทั่ว
หวังหลินเคลื่อนร่างในสายหมอกดุจภูติผี ก้มหน้าลงมองเข็มทิศในมือซึ่งมีจุดสีขาวและเขียวอยู่หนาแน่นและเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
เสียงร้องโหยหวนดังกึกก้องอยู่ในสายหมอก แสงกะพริบของเหล่าวิชาปกคลุมไปทั่วแต่ไม่อาจปกคลุมจิตสังหารที่ปะทุจากภายในได้ หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมาชี้ไปทางขวา เพียงเท่านั้นแสงสีโลหิตกะพริบวาบ กระบี่โลหิตพุ่งทะยานออกไป
ฉัวะ!
เซียนจากแคว้นมารเขียวพลันก้าวออกมาจากสายหมอก เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะตอบสนองและถูกกระบี่ตัดศีรษะหลุดจากบ่า
หวังหลินมีสีหน้าดังเดิมและเดินหน้าต่อไป เป้าหมายของเขาไม่ใช่เซียนธรรมดาแต่เป็นเซียนขั้นวิบากดับสูญ!
หวังหลินต่อสู้ไปพลางมีสายหมอกสีดำรอบตัวไว้หนึ่งชั้น สายหมอกสีดำนี้แตกต่างจากของค่ายกล มันเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและลิ้นสีแดงสดส่ายไปมาข้างใน
หลังจากเข้าไปใกล้กับการต่อสู้ของเซียนขั้นวิบากดับสูญทั้งเจ็ดคนก่อนหน้านี้ หวังหลินจึงชะลอตัวลง ท้ายที่สุดเขาก็หยุดห่างจากการต่อสู้ในระยะหลายหมื่นฟุต ยืนอยู่ตรงนั้นและดวงตาเป็นประกาย
‘การสังหารพวกเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นนับว่าเป็นเรื่องยากมาก…แค่คนเดียวก็แทบสังหารไม่ได้แล้ว…แม้จะมีหุ่นเชิดเย่ซื่อช่วยเหลือก็ยังไม่พอ…’ หวังหลินรู้ดีว่าการสังหารเซียนที่ผ่านด่านวิบากแก่นแท้ทั้งเก้าด่านไปแล้วจนบรรลุขั้นวิบากดับสูญนับว่าเป็นเรื่องยากแค่ไหน มันไม่เหมือนกับการสังหารเซียนแซ่เฉียนและหนึ่งชายหนึ่งหญิงที่อยู่ใต้ผืนธงในทะเลโอสถ
สามคนนั้นผ่านถึงด่านที่เก้าวิบากแก่นแท้ ถึงแม้จะใกล้เคียงอย่างมากกับขั้นวิบากดับสูญแต่ช่องว่างกลับกว้างใหญ่เกินไป สองในสามสามารถสังหารกลุ่มพยัคฆ์ขาวได้และด้วยสภาพแวดล้อมอันพิเศษจึงสามารถบังคับเซียนพวกนั้นให้ตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่ได้อีก นอกจากนี้ระดับบ่มเพาะของกลุ่มพยัคฆ์ขาวก็ใกล้เคียงกับตู้ฉิงซึ่งอยู่ในระดับวิบากแก่นแท้ที่เจ็ดถึงแปด
ในโลกถ้ำนั้นมีแค่ผีเฒ่าจางและเซียนเต๋าสีรุ้งที่อยู่ในขั้นวิบากดับสูญระดับต้น หากได้ผสานเข้ากับวิญญาณดวงที่สามและกลายเป็นราชันย์เทพสีรุ้งคนใหม่ พวกเขาก็คงบรรลุถึงขั้นวิบากดับสูญระดับกลางสูงสุด
ด้วยระดับบ่มเพาะของหวังหลินในตอนนี้ เขาสามารถสังหารคนที่ต่ำกว่าขั้นวิบากดับสูญได้ แต่การสังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญจริงๆ ยังต้องเตรียมการหลายอย่าง
แม้แต่บนแผ่นดินเซียนดาราเอง การตายของเซียนขั้นวิบากดับสูญหนึ่งคนนับว่าหาได้ยาก เมื่อเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นจะส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของสำนักอย่างมหาศาล
ไม่ต้องพูดถึงการตายของเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางเลย แม้แต่ในสำนักมหาวิญญาณเองก็ไม่อยากพบเจอเหตุการณ์แบบนี้
หวังหลินมองดูสายหมอกปั่นป่วนเบื้องหน้า เฝ้าดูทั้งเจ็ดคนพัวพันในการต่อสู้แห่งความเป็นความตาย ยากนักที่จะตัดสินชัยชนะ ซึ่งความจริงแล้วแทบไม่สามารถบอกได้ ตราบใดที่แต่ละคนยังคงระมัดระวังตัวเองก็คงไม่ตาย อย่างมากก็บาดเจ็บ
แต่หวังหลินไม่กระวนกระวาย นั่งลงอย่างง่ายๆ หมอกสีดำรอบตัวเขาผสานเข้ากับสายหมอกของค่ายกลจนยากจะตรวจเจอ นอกจากนี้การที่เซียนขั้นวิบากดับสูญเจ็ดคนสู้กันอยู่ ยิ่งเข้าไปใกล้ยิ่งอันตราย หวังหลินทำได้แค่หาที่ปลอดภัยและรอโอกาส
เขากำลังรอคอยโอกาสสังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นในครั้งเดียว
‘เย่ซื่อสามารถใช้กระบวนท่าโจมตีอย่างหนักหน่วงออกไปได้ กระบี่โลหิตทำให้บาดเจ็บได้ ประทับวิญญาณสงครามป้องกันไม่ให้หนี…ภาพมายาทับซ้อนสามารถสร้างจังหวะโอกาส…และกระบวนท่าสุดท้ายจะต้องเป็นวิชาต้นกำเนิดวิญญาณ!’
‘ทั้งหมดนี้ทำได้แค่ทำให้บาดเจ็บสาหัสเท่านั้น ไม่สามารถสังหารได้…’ หวังหลินดวงตาเปล่งประกายพลางจ้องมองระยะห่างนับหมื่นฟุต
พริบตาเดียวผ่านไปอีกหลายชั่วโมง เสียงการเข่นฆ่าไม่ลดน้อยลงเลยและมีแต่จะรุนแรงขึ้น จำนวนคนที่ตายของทั้งสองฝั่งถือว่ามหาศาล
อย่างไรก็ตามหวังหลินยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น รอคอยโอกาสอันเหมาะสม
หลิวจื่อหยวน คือผู้อาวุโสของสำนักเต๋ามารและเพิ่งบรรลุขั้นวิบากดับสูญระดับต้นได้ไม่นาน ดังนั้นจึงค่อนข้างมีชื่อเสียงในสำนักเต๋ามาร เขายังเป็นทายาทของจ้าวสำนักเต๋ามาร ดังนั้นจึงมีสายโลหิตอันแน่นแฟ้น
เขาเข้าร่วมการรุกรานแคว้นกระทิงสวรรค์พร้อมกับผู้อาวุโสอีกคนชื่อซิ่วเว่ย และสหายจากสำนักอื่นอีกสองคน ตอนนี้กำลังต่อสู้กับเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นจำนวนสามคนจากแคว้นกระทิงสวรรค์
อีกฝ่ายดูเหมือนมีพลังไร้ที่สิ้นสุดและใช้วิชาได้ทุกรูปแบบ ทั้งสี่คนถูกสายหมอกขัดขวางสัมผัสวิญญาณและไม่สามารถฟื้นฟูได้ หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมงจึงแสดงสัญญาณว่ากำลังโดนกดดัน
การต่อสู้อันวุ่นวายระหว่างเจ็ดคนดำเนินไปเรื่อยๆ และเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง หลิวจื่อหยวนเพิ่งจะบรรลุขั้นวิบากดับสูญ ดังนั้นพลังปราณสวรรค์จึงเริ่มจะหมด อีกทั้งหมอกรอบตัวเขาได้ดูดซับพลังปราณสวรรค์ของเขาไปจำนวนมาก
‘ไอ้หมอกบัดซบ!! เมื่อไรพวกผู้ส่งสาส์นจะมาถึงกัน? หากเป็นเช่นนี้ต่อไปสงครามจะยากขึ้นเรื่อยๆ!’ หลิวจื่อหยวนมีท่าทีมืดมน ฝ่ามือสร้างผนึกเป็นดอกบัวสีดำเข้าปะทะกับมังกรที่สร้างขึ้นจากวิชาของเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นจากแคว้นกระทิงสวรรค์
ท่ามกลางเสียงดังอึกทึก หลิวจื่อหยวนจึงล่าถอยโดยไม่ลังเล เขาไม่จำเป็นต้องพูดเนื่องจากพรรคพวกอีกสี่คนรู้หน้าที่ของตัวเอง พวกเขารีบขัดขวางการโจมตีที่เหลือเพื่อให้มีโอกาสได้กินเม็ดยาไปบางส่วน
หลังจากผ่านการต่อสู้ไปหลายชั่วโมง แน่นอนว่าทั้งสี่คนยังต้องฟื้นคืนพลังปราณสวรรค์ ไม่เช่นนั้นคงไปต่อได้ยาก
หลิวจื่อหยวนมีสีหน้าโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง เขาบ่มเพาะวิถีฝึกฝนหยินหยางซึ่งจะควบแน่นวิญญาณของเซียนหญิงสาวให้กลายเป็นดอกบัวสีดำ เซียนหญิงสาวมากมายล้วนตายด้วยมือเขา
พริบตาเดียวเขาจึงล่าถอยไปหมื่นฟุต สะบัดแขนขวาให้ก้อนแสงปรากฏขึ้นเบื้องหน้ามากกว่าสิบก้อน ข้างในก้อนแสงแต่ละก้อนมีหญิงสาวเปลือยเปล่าสูงสามฟุต ทั้งหมดดูน่าเวทนา
หลิวจื่อหยวนอ้าปากสูดเข้าไปโดยไม่แม้แต่หันไปมอง
ทว่าในจังหวะนั้นเองหวังหลินที่ซ่อนตัวอยู่ห่างจากเขาไม่ไกล พลันลืมตาเย็นเยียบขึ้นมา เขารอคอยโอกาสนี้มานานและในที่สุดก็มีคนมามอบให้!
‘เขาคือคนที่หนึ่ง!’
หวังหลินเผยแววตาที่มีจิตสังหาร สัญญาแรกที่ให้ไว้กับสำนักมหาวิญญาณคือการสังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นจำนวนสิบคน วันนี้เขาจะสังหารคนแรก!
ขณะที่หวังหลินก้าวไปข้างหน้าดุจประกายสายฟ้า ในมือปรากฏแสงโลหิตกะพริบวาบฟันเข้าใส่หลิวจื่อหยวนที่หันหลังมาหาหวังหลิน!
ความคมของกระบี่โลหิตนับว่าไร้คู่เปรียบเทียบ ขณะที่หลิวจื่อหยวนกำลังกลืนกินก้อนแสงหลายสิบก้อน ทันใดนั้นเขาสัมผัสได้ถึงอัตรายและล้มเลิกการกลืนกินก้อนแสงทันที เขาสะบัดแขนปรากฏดอกบัวสีดำขึ้นด้านหลังซึ่งปะทะกับกระบี่โลหิต!
เสียงดังสนั่นกึกก้องพร้อมกับหลิวจื่อหยวนหันตัวกลับมา ดวงตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“ข้าอยากเห็นเสียจริงว่าใครกันที่กล้าลอบโจมตีข้า!”
ทว่าขณะที่เขาหันกลับมา หวังหลินจึงเข้าโจมตี!
1858 ซุ่มโจมตี!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เสียงคำรามเต็มไปด้วยความดุร้ายโผล่ออกมาจากสายหมอกรอบตัวหวังหลิน หุ่นเชิดเย่ซื่อซึ่งสูญเสียแขนไปพลันพุ่งเข้าหาหลิวจื่อหยวนอย่างบ้าคลั่ง
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นรวดเร็วปานสายฟ้า หุ่นเชิดเย่ซื่อข้ามระยะห่างหนึ่งพันฟุตเพียงชั่วจังหวะเดียว พอหลิวจื่อหยวนหันกลับมา หุ่นเชิดเย่ซื่อก็ไปถึงแล้ว
สีหน้าของหลิวจื่อหยวนพลันเปลี่ยนไป เขาสัมผัสได้ถึงพลังความผันผวนของเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นที่อยู่ในหมอกสีดำ ดวงตาเผยความหวาดกลัว เขารู้ว่านี่เป็นเพียงหุ่นเชิดแต่ก็ล่าถอยและสะบัดแขนโดยไม่ลังเล ดอกบัวสีดำเจ็ดดอกปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าและเข้าปะทะกับหุ่นเชิดเย่ซื่อ
เสียงดังสนั่นทำให้คนอีกหกคนที่กำลังต่อสู้ถึงกับหันมาให้ความสนใจ สีหน้าของฝ่ายหลิวจื่อหยวนอีกสามคนได้เปลี่ยนไปและต้องการมุ่งไปข้างหน้า แต่กลับถูกเซียนจากแคว้นกระทิงสวรรค์หยุดเอาไว้ เพราะสายหมอกเหล่านี้พวกเขาจึงไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รู้ว่าอีกฝ่ายได้ประโยชน์!
ดอกบัวสีดำเจ็ดดอกแตกสลาย หุ่นเชิดเย่ซื่อร้องคำราม ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผล แต่ลิ้นของมันแทงทะลุดอกบัวทั้งเจ็ดตรงไปยังหน้าอกของหลิวจื่อหยวน
โลหิตสดๆ ปะทุออกมา หลิวจื่อหยวนรู้สึกถึงความเจ็บปวดแต่ไม่มีเวลาไปตรวจสอบ เขาไม่เหลือพลังปราณสวรรค์มากนักและหมอกรอบตัวก็กำลังดูดซับพลังปราณสวรรค์ออกไปด้วย เขายังสร้างดอกบัวเจ็ดดอกในช่วงจังหวะอันตราย ดังนั้นจึงเหน็ดเหนื่อยยิ่ง ขณะที่ล่าถอยพลันสะบัดแขนขวาปรากฏก้อนแสงขึ้นมาหนึ่งก้อนและกำลังจะกลืนกิน
หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมาปรากฏใบเรือสีขาวขึ้นในมือ เพียงสะบัดแขนเสียงร้องไห้ดังสนั่นและเข้าไปในจิตใจหลิวจื่อหยวนที่กำลังบาดเจ็บ ทันใดนั้นภาพสตรีชุดขาวปรากฏขึ้นในใจเขา เขาเห็นแผ่นหลังของนางและนางกำลังร้องไห้
จังหวะที่ร่างนั้นปรากฏ หลิวจื่อหยวนที่กำลังถือก้อนแสงในมือจึงหยุดชะงักไปหนึ่งจังหวะ
เพียงแค่จังหวะที่เขาหยุด หวังหลินก็เข้ามาใกล้ ฝ่ามือยื่นเข้าหาท้องฟ้า ประทับขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นมาและตกลงใส่หลิวจื่อหยวน
ขณะเดียวกันด้านหลังหลิวจื่อหยวนมีเปลวเพลิงกะพริบวูบวาบ ประทับฝ่ามือเพลิงเผาไหม้สายหมอกไประหว่างทางและมุ่งหน้าไปหาเขา!
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นรวดเร็วยิ่ง หวังหลินวางแผนนี้ไว้ในใจอยู่หลายรอบ
เพียงประทับฝ่ามือเข้าประชิด จิตใจของหลิวจื่อหยวนได้ถูกเสียงร้องไห้เข้าแทรกแซง หุ่นเชิดเย่ซื่อร้องคำรามและพุ่งกลับมาหาหลิวจื่อหยวน กระบี่โลหิตได้พุ่งกลับมาเช่นกันและฟาดฟันลงใส่หลิวจื่อหยวน!
ทุกวิชาทั้งหมดเข้าใกล้ ใช้โอกาสที่หลิวจื่อหยวนสูญเสียพลังปราณสวรรค์ไปเกือบหมด
ทว่าเซียนขั้นวิบากดับสูญนับว่าสังหารได้ยากมาก ถึงหวังหลินจะมีจังหวะยอดเยี่ยมแค่ไหน ในนาทีนี้หลิวจื่อหยวนหรี่ตาแคบ เขากัดปลายลิ้นพ่นโลหิตออกไปโดยไม่ลังเล โลหิตนี้เข้าปกคลุมทั่วทั้งร่างแม้กระทั่งเรือนผมยังเป็นสีโลหิต
ผิวหนังก็เช่นกัน พริบตาเดียวเขาได้เปลี่ยนกลายเป็นมนุษย์โลหิต สองแขนกอดร่างตัวเอง พอเหล่าวิชาเข้ามาใกล้จึงอ้าแขนออกทันที
“ค่ายกลเกราะโลหิต!” โลหิตในร่างเหี่ยวแห้งและเปลี่ยนกลายเป็นชุดเกราะ ขณะเดียวกันเกราะบนร่างก็ระเบิดกลายเป็นพายุโลหิต
จังหวะที่ประทับฝ่ามือขนาดยักษ์เข้าสัมผัสกับพายุโลหิต มันจึงพังทลายไปทันที ประทับฝ่ามือเพลิงด้านหลังก็พังทลายไปด้วยเช่นกัน
กระบี่โลหิตกะพริบวาบและตัดผ่านเข้าไปในพายุโลหิต หุ่นเชิดเย่ซื่อได้พุ่งเข้าหาโลหิตพร้อมส่งเสียงบ้าคลั่ง ทั้งหมดได้ทำให้เกิดเสียงสั่นสะเทือนสวรรค์
เมื่อเสียงเริ่มดังขึ้น หวังหลินก้าวเข้าไปในพายุโลหิต เห็นได้ชัดว่าพายุโลหิตนี้คือสมบัติช่วยชีวิตของหลิวจื่อหยวน ตอนนี้มันได้ต้านทานวิชาหลายอย่างของหวังหลินเข้าไปจึงแสดงอาการพังทลาย ข้างในพายุนั้นหลิวจื่อหยวนกระอักโลหิต สีหน้าท่าทางอำมหิตแต่ก็ล่าถอยอย่างบ้าคลั่ง
ขณะที่เขาถอย สายตาจับจ้องไปยังหวังหลินแต่หวังหลินกลับหายวับไปทันที เขาหรี่ตาแคบพลางหันตัวกลับมา กวาดแขนขวาไปด้านหลัง
หวังหลินก้าวเดินออกมาจากด้านหลังและโยนกำปั้นเข้าใส่ กำปั้นนี้ไม่ได้มีร่างเงาบัญชาโบราณแต่มันยังเป็นกำปั้นบัญชาโบราณ!
ปัง!
แขนขวาของหลิวจื่อหยวนระเบิดเป็นกองโลหิตและเขากระเด็นถอยไป โลหิตไหลย้อนจากมุมปากแต่ไม่หยุดแค่นั้น หวังหลินไล่ตามหลิวจื่อหยวนไปด้วย
หวังหลินรีบติดตามและโยนกำปั้นออกไปถึงสิบเก้าครั้งจนเกิดเสียงดังสนั่น หลิวจื่อหยวนเต็มไปด้วยสายตาหวาดกลัว การไล่ล่าของหวังหลินนั้นโหดเหี้ยมอำมหิตเกินไปและไม่มีโอกาสให้เขาได้ตอบโต้ กำปั้นแต่ละครั้งทำให้เขาเต็มไปด้วยโลหิตและดูน่าหวาดกลัว
“แค่นี้ไม่มากพอที่จะสังหารข้าหรอก!” หลิวจื่อหยวนเข้าใจดีว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติความเป็นความตาย จังหวะของอีกฝ่ายนั้นยอดเยี่ยม เห็นได้ชัดว่าเตรียมการมานาน!
ขณะที่เขาถอย เขารับกำปั้นของหวังหลินมาหนึ่งครั้ง สะบัดแขนขวานำกระดิ่งสีดำออกมา
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิวจื่อหยวนมีเวลาได้ใช้สมบัติในการต่อสู้กับหวังหลินและนี่คือสมบัติที่ทรงพลังที่สุดของเขา! พอกระดิ่งปรากฏมันจึงเริ่มส่งเสียงกริ๊ง
ร่างเงาสตรีนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหลิวจื่อหยวน พวกนางเปลือยเปล่า น่าเวทนาและเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
พวกนางมีหลักแสนคน ขณะที่กระจายตัวออกมาจึงได้ทับซ้อนกันและผสมผสานความเกลียดชังเข้าไปด้วย กลายเป็นกลิ่นอายอาฆาตอันทรงพลังที่เซียนทั้งหมดบนทุ่งยอดนภาสังเกตได้!
การต่อสู้ระหว่างหกเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นก่อนหน้ายิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จังหวะที่พวกเขาสัมผัสได้จึงแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมา แต่สายหมอกกลับกีดขวาง! ทว่ามีสามคนจากแคว้นมารเขียวที่คุ้นเคยกับวิชาและสมบัติของหลิวจื่อหยวน
เวลานี้พอพวกเขาสัมผัสได้ถึงวิญญาณอาฆาต สีหน้าแต่ละคนจึงเปลี่ยนไป ทั้งสามรู้ว่าหลิวจื่อหยวนกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติความเป็นความตาย ไม่เช่นนั้นคงไม่นำสมบัติออกมา!
ชายชราขั้นวิบากดับสูญระดับกลางที่กำลังต่อสู้กับกลุ่มสามคนของหยานหลวนและชายชราแซ่จางที่กำลังต่อสู้กับหลิวเหวินหลานต่างก็สัมผัสสิ่งนี้ได้ ทว่าแต่ละคนถูกสายหมอกขัดขวางสัมผัสวิญญาณจึงไม่อาจมองเห็น
หลิวเหวินหลานดวงตาส่องสว่างและแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมา ทว่ามีม่านพลังที่มองไม่เห็นล้อมรอบตรงจุดที่หลิวจื่อหยวนต่อสู้ทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นได้ว่าใครกำลังต่อสู้กับหลิวจื่อหยวน
หยานหลวนและคนอื่นก็เจอแบบเดียวกัน
วินาทีที่เหล่าวิญญาณอาฆาตได้พุ่งออกมา หวังหลินหรี่ดวงตา เขาเตรียมการมาเป็นอย่างดี ตอนนี้เขาเผยเพียงส่วนหนึ่งในมือเท่านั้นและยังไม่ได้ใช้ไพ่ตายสุดท้ายสองใบเลย
หวังหลินชี้ไปบนฟ้า น้ำเต้าพลันปรากฏขึ้นในมือ มันมีวิญญาณเต๋าสามสิบล้านดวงและหากระเบิดขึ้นมาสามารถคุกคามเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางได้ แต่เขาไม่ได้สั่งการให้มันระเบิด หวังหลินพ่นโลหิตหายเข้าไปในน้ำเต้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นเสียงคำรามของเหล่าวิญญาณเต๋าสามสิบล้านดวงดังกึกก้อง วิญญาณเหล่านี้ได้ลอยออกมาก่อเกิดเป็นถนนโลหิตด้านหลังหวังหลิน!
“ขอใช้แก่นโลหิตของข้าเพื่ออัญเชิญบรรพชนแห่งสำนักมหาวิญญาณ ทะลวงออกมา! ต้นกำเนิดวิญญาณ!” หวังหลินเอ่ยเสียงนิ่งแต่แฝงพลังอันแปลกประหลาด
ตรงปลายสุดของถนนโลหิตมีวังวนขนาดยักษ์คล้ายผสานเข้ากับสายหมอกรอบด้าน เพียงแค่หวังหลินเอ่ยคำพูดขึ้นมา ร่างโลหิตหนึ่งได้ก้าวออกมาจากวังวน
ทุกก้าวทำให้โลกถึงกับสั่นสะเทือน
สมบัติที่หลิวจื่อหยวนอัญเชิญมาถึงกับแสดงสัญญาณพังทลายเมื่อมีร่างโลหิตปรากฏ สีหน้าของหลิวจื่อหยวนได้เปลี่ยนไปและชี้ไปยังท้องฟ้า แรงอาฆาตได้ควบแน่นเปลี่ยนเป็นร่างสตรียักษ์ ร่างกายของนางถูกสร้างขึ้นจากวิญญาณอาฆาตนับแสนดวง
ร่างสตรียักษ์อ้าปากออกและพยายามกลืนกินหวังหลิน
จังหวะนี้เองร่างของบรรพชนลำดับเก้าแห่งสำนักมหาวิญญาณ ลั่วหยุนไฮ่ ได้ก้าวออกมาจากวังวนโลหิตเช่นกัน เขายกแขนขึ้นมา จิตสังหารเข้มข้นก่อตัวเป็นหอกสีแดง เขาคว้าหอกและโยนออกไปทันที
หอกได้เข้าปะทะกับร่างสตรียักษ์ที่ก่อเกิดจากวิญญาณอาฆาตนับไม่ถ้วน
จังหวะที่ทั้งสองปะทะกัน หอกได้ปลดปล่อยแสงเจิดจ้าราวกับกำลังชำระสิ่งสกปรก ร่างใหญ่ยักษ์พลันแตกสลาย เหล่าวิญญาณอาฆาตข้างในส่งเสียงซี่ๆ
เสียงดังสนั่นกึกก้อง ร่างหวังหลินสั่นสะท้านและกระอักโลหิต เขาถอยไปพันฟุตพร้อมกับถนนโลหิตด้านหลังที่พังทลาย บรรพชนลำดับเก้าหายไป ขณะเดียวกันร่างสตรียักษ์ก็พังทลาย โลหิตระเบิดออกมาจากหลิวจื่อหยวนจนเขาส่งเสียงกรีดร้องและล่าถอย
ร่างเงาที่พังทลายแปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณอาฆาตนับไม่ถ้วนและดูเหมือนเขากำลังโดนพลังตีกลับ พวกมันเจาะทะลุเข้าออกร่างกายของหลิวจื่อหยวนจนเขาส่งเสียงกรีดร้องน่าเวทนา ทว่าเขาแค่บาดเจ็บสาหัสเท่านั้นและยังไม่ตาย ตอนนี้เขาไม่สนใจสงครามอีกต่อไปแล้วและวิ่งหนีไม่คิดชีวิต!
“ขบวนทัพ เทพสะท้าน!”
“วิชาปิศาจ ขุนเขาสายลมและเปลวเพลิง!”
“เต๋ามาร หวนคืนชีวิตและความตาย!”
“เทพ มาร ปิศาจ…บัญชาโบราณไร้เหล่าทวยเทพ!”
1859 คนที่ชื่อหวังหลิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ร่างของหลิวจื่อหยวนแตกสลายห่างจากหวังหลินไปพันฟุตภายใต้กำปั้นของเขาและตกลงกระแทกกับพื้น วิญญาณดั้งเดิมบิดเบี้ยวและแตกสลายเบื้องหน้าการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของหวังหลิน
มีเพียงศีรษะที่ถูกพลังอันแข็งแกร่งดึงกลับมาและหวังหลินคว้าจับเอาไว้ หลังจากเก็บไว้ หวังหลินก็เลือนหายไป
เพียงชั่วจังหวะที่หวังหลินหายตัวไป ทั่วทั้งสนามรบก็เงียบกริบ เสียงกรีดร้องโหยหวนของหลิวจื่อหยวนก่อนตายดังกึกก้องไปทั่วทุงยอดนภา!
ชายชราแซ่จางตัวสั่นเทาและถอยหนีโดยไม่สนใจการต่อสู้กับลิ่วเหวินหลาน ด้านลิ่วเหวินหลานหรี่ตาแคบพร้อมกับได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนก่อนตายของหลิวจื่อหยวนเช่นกัน
“เซียนขั้นวิบากดับสูญตาย??”
“หลิวจื่อหยวน!!” ชายชราแซ่จางรีบถอยและมาถึงจุดที่หลิวจื่อหยวนตาย เขาเห็นกองเลือดเนื้อตรงนี้และหรี่ตาลง ตัวเขารู้ดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างหลิวจื่อหยวนกับจ้าวสำนักเต๋ามาร เรื่องนี้ทำให้จิตใจเขาสั่นไหว
ชายชราแซ่จ้าวที่กำลังต่อสู้กับพวกหยานหลวนนั้นก็ล่าถอยออกมาด้วยเช่นกัน ขณะที่กลุ่มหยานหยวนกำลังสั่นไหวกับเสียงกรีดร้อง เขาได้มาถึงจุดที่หลิวจื่อหยวนตายด้วยเช่นกัน
“หลิวจื่อหยวน…ตาย?”
เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นทั้งสามคนจากแคว้นมารเขียวต่างก็รีบถอย แต่ละคนสีหน้าซีดเซียว ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
ทุกคนที่ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนก่อนตายของหลิวจื่อหยวนต่างก็รู้สึกจิตใจสั่นไหว แววตาแต่ละคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“เซียนขั้นวิบากดับสูญสิ้นชีพ!!”
“เสียงนั่น…เสียงนั่นฟังดูเหมือนผู้อาวุโสหลิว!!”
“เซียนขั้นวิบากดับสูญได้ตายไปแล้ว!!”
เสียงโกลาหลดังขึ้นมา การตายของเซียนขั้นวิบากดับสูญถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยาก!
“ถอย!” ชายชราแซ่จางเผยสายตาเย็นเยียบ แผ่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและรีบจากไป นำคนด้านข้างเขาติดตามไปด้วย
ลิ่วเหวินหลานไม่ได้ไล่ตาม เขามองอีกฝ่ายที่กำลังถอยและขบคิด
‘คนที่ตายต้องมีสถานะพิเศษ…แต่ใครเป็นคนฆ่าเขา?’
ซิ่วตงเต๋อกวาดสายตาผ่านไปและขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ว่าใครสังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญของฝ่ายศัตรู แต่เขาตกตะลึงมาก
‘สังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญในเวลาสั้นๆ แค่นั้น เขาเป็นใครกัน!?’
มีเพียงหยานหลิวที่หรี่ตาแคบ นางพอจะได้เบาะแสบางอย่างและมือขวาจึงเกิดอาการสั่นเทา
‘เขา…’
ขณะที่เหล่าเซียนขั้นวิบากดับสูญล่าถอย เหล่าเซียนที่เหลือหลายพันคนของแคว้นมารเขียวต่างก็ล่าถอยด้วยสายตาหวาดกลัว
“กลับวังใต้ดิน สร้างการป้องกันที่แน่นหนา ศัตรูจะต้องโจมตีระลอกที่สองแน่นอน เราจะต้องป้องกันอยู่ในสายหมอกและห้ามไล่ตามออกไป!” ลิ่วเหวินหลานสะบัดแขนเสื้อและมองไปรอบๆ
‘จะเป็นใครได้บ้าง…’ เขาก้าวเท้าพลางขบคิดและผสานเข้ากับพื้นดิน
หลังจากนั้นไม่นานเหล่าเซียนของแคว้นกระทิงสวรรค์ทั้งหมดจึงเข้าสู่พื้นดินตามกันไป
เซียนเกือบหมื่นเข้าสู่สนามรบบนทุ่งหญ้า แต่เหลือกลับมาไม่ถึงสี่พันคน ทั้งสี่พันกลับเข้าสู่ถ้ำของตัวเองอย่างเงียบๆ เพื่อเตรียมตัวต่อสู้ครั้งถัดไป
หวังหลินกลับมาพร้อมกับเหล่าเซียนหลายพันคนนี้เช่นกัน ใบหน้าซีดเซียว ถึงแม้การต่อสู้กับหลิวจื่อหยวนจะสั้นแต่กลับยากยิ่ง เขาคำนวณทุกอย่างรวมไปถึงตอนที่จะโจมตี ปฏิกิริยาตอบโต้ ใช้โอกาสตอนที่พลังปราณสวรรค์ของอีกฝ่ายเหลือน้อยนิดและใช้ค่ายกลหมอกเข้าช่วยเหลือ
ด้วยเงื่อนไขทั้งหมดนี้เท่านั้นจึงจะทำให้เขาสามารถสังหารหลิวจื่อหยวนลงได้ กระนั้นเขาเองก็บาดเจ็บด้วยเช่นกัน ความเจ็บปวดผุดออกมาจากหน้าอกเป็นระลอกและเขาต้องฟื้นฟูให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
‘นี่แค่เซียนขั้นวิบากดับสูญคนแรก…พวกเซียนขั้นวิบากดับสูญช่างสังหารได้ยากเย็นเกินไป!’ หวังหลินขบคิด ถ้าไม่มีค่ายกลกระทิงสวรรค์ที่นี่ เขาคงไม่สามารถสังหารได้สำเร็จ
ไม่มีใครสังเกตว่าเขาฆ่าหลิวจื่อหยวน หวังหลินคาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้ว ความจริงตอนที่เขาโจมตีได้ลดขนาดเขตอาคมเข้ามารอบตัวเพื่อป้องกันไม่ให้หลิวจื่อหยวนหลบหนีไปด้วย ซึ่งเขตอาคมนี้แม้จะมีสัมผัสวิญญาณของคนอื่นกวาดเข้ามาก็ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
แม้เขาจะใช้วิชาต้นกำเนิดวิญญาณเพื่ออัญเชิญบรรพชนลำดับเก้าของสำนักมหาวิญญาณออกมาก็ไม่มีใครภายนอกสังเกตเห็น
นอกจากนี้หวังหลินมีความลับมากมายและวิธีการไม่ให้คนอื่นรู้ เป็นธรรมดาที่จะวางเขตอาคมเอาไว้เพื่อไม่ให้คนอื่นมองเห็นชัดเจนเกินไป
ตอนนี้เซียนทุกคนที่อยู่ใต้ดินกำลังคาดเดาว่าใครเป็นคนสังหารศัตรูขั้นวิบากดับสูญ!
ลิ่วเหวินหลาน หยานหลวนและเซียนขั้นวิบากดับสูญที่เหลืออีกสี่คนอยู่ในวังพร้อมกับชายชราสามคนที่ประเมินหวังหลินต่ำไปก่อนห้านี้
ชายชราทั้งสามเต็มไปด้วยอาการตกใจ พวกเขารู้สึกว่าเรื่องที่มีคนสามารถสังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ หากลิ่วเหวินหลานทำลงไปก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แม้จะเป็นหนึ่งในเซียนขั้นวิบากดับสูญคนอื่นก็ยังถือว่ายอดเยี่ยม แต่นี่เห็นได้ชัดว่าคนที่สังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญของแคว้นมารเขียวไม่ใช่พวกเขา เช่นนั้นจะเป็นใครกันได้เล่า?
“ข้ามองเห็นไม่ชัด ช่วงการต่อสู้เซียนแซ่หลิวได้ถอยออกไปเพื่อกลืนกินเม็ดยา จากนั้นก็เกิดเสียงต่อสู้ดังออกมา”
“ข้าพยายามใช้สัมผัสวิญญาณตรวจสอบแต่มีเขตอาคมอยู่ตรงนั้น เมื่อส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปมันกลับเป็นภาพพร่ามัวและเห็นไม่ชัดเจน”
“ข้าพยายามตรวจสอบเช่นกันแต่ก็ไม่พบอะไร”
เหล่าเซียนขั้นวิบากดับสูญสามคนจากสำนักใกล้เคียงล้วนพูดด้วยสายตาสงสัยและหวาดกลัว สงสัยว่าใครเป็นคนสังหารศัตรูและกลัวว่าการสังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญที่ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้นั้นจะต้องมีพลังมากแค่ไหน!
เซียนที่ผ่านด่านวิบากแก่นแท้ไปเก้าด่านและบรรลุด่านวิบากดับสูญกล่าวได้ว่าไร้เทียมทานและไม่มีวันตาย! ที่ไม่มีวันตายก็เพราะอายุขัยยาวนานเท่าความเก่าแก่ของจักรวาล ที่บอกว่าไร้เทียมทานเพราะสังหารได้ยากยิ่งที่สุด!
“มันเป็นใคร…” หนึ่งในสามชายชราที่ไม่ได้บรรลุขั้นวิบากดับสูญซึ่งมองข้ามหวังหลินกำลังพึมพำ
“ดูเหมือนจะมีผู้เก่งกาจซ่อนตัวอยู่ในเหล่าเซียนที่นี่…” ลิ่วเหวินหลานสอดสายตาผ่านไปยังฝูงชน เขาไม่เชื่อว่าจะมีใครที่นี่สามารถสังหารเซียนในระดับเดียวกันในชั่วเวลาสั้นๆ ได้
ขณะที่กวาดสายตาผ่านไปเขาพลันคิดถึงคนผู้หนึ่ง รูม่านตาหรี่แคบลงทว่าเขากลับล้มเลิกความคิดนี้ฉับพลัน
‘เป็นเขาไปไม่ได้ เขาไม่สามารถทำได้!’ ลิ่วเหวินหลานคิดเกี่ยวกับหวังหลิน
“ก็ดี ในเมื่อคนผู้นี้ไม่แสดงตัว พวกเราไม่จำเป็นต้องไปค้นหา ดีต่อเราซะอีก บางทีเขาจะเผยตัวในอีกไม่นาน!” ลิ่วเหวินหลานมีสีหน้าเปลี่ยนไป
ซิ่วตงเต๋อขมวดคิ้วและพูดขึ้น “หรือว่าคนที่โจมตีไม่ได้อยู่ที่นี่และแค่ผ่านทางมา…”
พอพูดเช่นนี้ทุกคนพลันเริ่มคิดถึงสิ่งที่ลิ่วเหวินหลานคิดอย่างละเอียดและถือว่ามีโอกาสเป็นไปได้ อีกทั้งเขาก็ไม่เชื่อว่าจะมีคนที่นี่ทำได้นอกจากเขา
เหตุการณ์เดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นด้านนอกสายหมอกรอบๆ ทุ่งยอดนภา เหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวกำลังบ่มเพาะกันอย่างเงียบๆ ใจกลางกลุ่มมีเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางสองคนกำลังสอบสวนเรื่องการตายของหลิวจื่อหยวน
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เซียนขั้นวิบากดับสูญจะเกิดการตายในการต่อสู้กับแคว้นกระทิงสวรรค์ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นคนตายแต่กลับไม่รู้ว่าใครทำ!” ชายชราแซ่จางมีท่าทีมืดมนและโกรธเกรี้ยวแต่ยังมีความกลัวปะปนอยู่ด้วย เขาไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะทำให้จ้าวสำนักเต๋ามารโกรธเกรี้ยวแค่ไหน จ้าวสำนักได้ปิดผนึกสัมผัสวิญญาณและปิดด่านบ่มเพาะไปหลายปีแล้ว
“ตัวตนของผู้อาวุโสหลิว…” เซียนขั้นวิบากดับสูญบางส่วนที่อยู่กลุ่มเดียวกับหลิวจื่อหยวนได้เอ่ยเสียงกระซิบแต่ไม่ได้พูดจนจบ
ชายชราแซ่จ้าวถอนหายใจ “นอกจากเรื่องตัวตน พวกเจ้าคิดจริงจังหรือไม่ว่ามีอะไรผิดพลาด มันเกิดเรื่องแบบนี้ในชั่วเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร?”
“ผู้อาวุโสหลิวถอยออกไปกินเม็ดยา เราถูกสายหมอกขัดขวางจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ แต่เสียงการต่อสู้เริ่มกระชั้นขึ้นหลังจากนั้นและเวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งก้านธูปไหม้ การต่อสู้ก็จบลง…”
“ข้าไม่สามารถส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปได้เพราะมีม่านเขตอาคมขัดขวางบริเวณ…”
“แต่ข้าสัมผัสได้ว่าผู้อาวุโสหลิวนำสมบัติออกมาและอัญเชิญวิญญาณอาฆาต…” ทั้งหมดเริ่มบอกสิ่งที่ตัวเองจำได้
“ผู้อาวุโสจ้าว ข้าค้นพบอยู่หนึ่งเรื่อง…” สตรีคนหนึ่งซึ่งไม่ได้พูดมานานพลันเอ่ยออกมา
นางคือหนึ่งในสี่คนที่ต่อสู้ไปกับหลิวจื่อหยวน นางดูลังเลและเมื่อชายชราแซ่จ้าวมองเข้ามาจึงกัดฟัน
“สิ่งที่ป้องกันไม่ให้ใช้สัมผัสวิญญาณ นอกจากสายหมอกแล้วยังมีเขตอาคมอีกแห่ง เขตอาคมนั้นควรจะเป็น…เขตอาคมแยกมารแห่งสำนักเขตอาคมมาร!”
“ข้าเคยเจอเขตอาคมนี้มาก่อน มันไม่ผิดแน่!” หลังนางเอ่ยขึ้นทุกคนก็เงียบเสียง สายตาจับจ้องมาที่ชายชราแซ่จ้าว
ชายชราแซ่จ้าวเป็นคนที่มาจากสำนักเขตอาคมมาร ซึ่งเป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่จากแคว้นมารเขียว!
ชายชราแซ่จ้าวดวงตาส่องสว่างขึ้นและเอ่ยตอบ “ข้าไม่ได้เก่งเรื่องเขตอาคมแยกปิศาจและไม่คุ้นเคยนัก ดังนั้นข้าจึงไม่ได้สังเกต…แต่ในเมื่อเจ้าหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา ข้าเพิ่งนึกออกอยู่หนึ่งเรื่อง…”
“ช่วงระหว่างเกิดความโกลาหลในทะเลโอสถ หลังจากสำนักเขตอาคมมารของข้าเข้าไปตรวจสอบและได้รับการรายงานจากสายลับ คนที่ซ่อนตัวในทะเลโอสถคือผู้อาวุโสของสำนักมหาวิญญาณชื่อหวังหลิน…และเข็มทิศแบ่งเขตอาคมได้หายไปในทะเลโอสถนั้น! พอเอาไปอ้างอิงกับศูนย์เขตอาคม เข็มทิศนั้นไม่ได้ถูกทำลาย!” ขณะที่ชายชราแซ่จ้าวเอ่ยขึ้นเขามองไปยังส่วนลึกของทุ่งยอดนภา
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ดูเหมือนเขาคือคนที่สังหารผู้อาวุโสหลิว! แม้ไม่ได้ทำก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง!”
“หวังหลิน…” จิตสังหารผุดขึ้นมาในสายตาของชายชราแซ่จาง เขาต้องฆ่าคนผู้นี้ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถทนรับความโกรธเกรี้ยวของจ้าวสำนักได้
1860 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ดวงจันทราแขวนอยู่บนทุ่งยอดนภาและมีดวงดาวประปราย แสงจันทราส่องสว่างกระทบบนพื้นดินทำให้ทุ่งหญ้าห่อหุ้มอยู่ในแสงสีเงิน มองไกลๆ ช่างเป็นภาพที่ดูงดงาม ก่อเกิดเป็นความรู้สึกอันสงบสุขเกินบรรยายและไม่มีสิ่งใดบ่งบอกว่ามันเคยเป็นสนามรบของเซียนหลายหมื่นคนตรงนี้มาตลอดหลายวัน
บนพื้นไม่มีร่างศพเหลืออยู่ ร่างและวิญญาณของเซียนที่ตายไปแล้วถูกสายหมอกกลืนกินไปทั้งหมด สภาพแวดล้อมดูไม่แตกต่างจากก่อนหน้านี้
มีแต่เพียงกลิ่นคาวเลือดที่แสดงให้เห็นว่ามันเคยมีการต่อสู้ล้างผลาญแค่ไหน
แสงจันทราส่องกระทบผืนดินแต่ไม่อาจเจาะทะลุเข้าไปในวังใต้ดินได้ หวังหลินนั่งอยู่ในถ้ำมืดไร้แสงไฟ แม้แต่ร่างเขาก็ยังคล้ายกับกลายเป็นส่วนหนึ่งของความมืด
หวังหลินใช้อะไรไปมากมายเพื่อสังหารหลิวจื่อหยวน จากการคำนวณทุกอย่างก่อนการต่อสู้จนถึงกระบวนท่าสุดท้าย ตอนนี้ใบหน้าซีดเผือดและกำลังหลับตาบ่มเพาะ
ผ่านไปไม่รู้นานแค่ไหนในที่สุดหวังหลินก็ลืมตาส่องสว่างขึ้นมา ราวกับในดวงตามีก้อนเปลวเพลิงสองดวงที่จุดขึ้นในถ้ำ
หวังหลินในตอนนี้รู้ซึ้งถึงอันตรายในการสังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญแล้ว หากเป็นคนอื่นคงพบว่าสังหารได้ยากเพราะหลิวจื่อหยวนมีวิชาอีกหลายอย่างและสมบัติที่ไม่เคยนำออกมาใช้ ช่วงจังหวะเวลาของหวังหลินถือว่ายอดเยี่ยมมากเกินไป ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์คงแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
‘วิบากดับสูญระดับต้นจำนวนสิบคน ระดับกลางจำนวนสามคน…งานที่บรรพชนกระทิงเขียวให้ข้ามาถือว่าค่อนข้างยาก…’ หวังหลินขบคิดเงียบๆ ความจริงตอนที่เขาตกลงในสามเงื่อนไขนี้ เขารู้อยู่แล้วถึงความท้าทาย
เหตุผลที่ตกลงเป็นเพราะหวังหลินไม่ยอมเป็นหนี้เรื่องสมบัติสามชิ้น! เพียงแค่สมบัติเป็นแก่นแท้วารีก็เท่ากับเป็นการมอบแก่นแท้ใหม่ให้เขาไปแล้ว!
หากเขาพึ่งพาตัวเองไปทำความเข้าใจและรวบรวมแก่นแท้มันคงยากเกินไปดังที่แสดงออกมากับแก่นแท้เพลิงและแก่นแท้สายฟ้า ดังนั้นน้ำหนักความสำคัญของของขวัญได้ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธได้
ส่วนหินมิติ แม้จะดูธรรมดาแต่หวังหลินรู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่ของธรรมดาทั่วไป มันมีมิติอวกาศข้างในจำนวนมากและลึกลับเป็นอย่างยิ่ง
อีกทั้งในของขวัญชิ้นสุดท้าย ใช้เพื่อพยากรณ์ได้หนึ่งครั้ง มันจะช่วยหวังหลินในสถานการณ์วิกฤติและสามารถย้อนคืนเหตุการณ์ทั้งหมดได้!
สมบัติทั้งสามสิ่งนี้มีความสำคัญมาก ในเมื่อหวังหลินยอมรับมาก็ต้องตอบแทนสำนักคืน!
‘ยังมีเซียนขั้นวิบากดับสูญอีกเก้าคนที่ต้องจัดการ…หากข้าสามารถสังหารได้หนึ่งคน ข้าก็สามารถสังหารได้อีกเก้าคนแน่นอน! สิ่งสำคัญที่สุดคือการสังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางจำนวนสามคน ถึงข้าจะระเบิดเต๋าวิญญาณสามสิบล้านดวง ข้าก็ฆ่าได้แค่หนึ่งคนเท่านั้น…ส่วนที่เหลืออีกสองคน…’ หวังหลินขมวดคิ้วแต่ไม่ยอมถอย แววตาเย็นเยียบขึ้นมา
‘บรรพชนกระทิงเขียวมอบสามเงื่อนไขนี้โดยคิดว่าข้าจะไม่สามารถทำสำเร็จได้ในชั่วเวลาสั้นๆ เขาคิดว่าจะต้องใช้เวลานานมาก…แต่ข้าไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องแคว้นกระทิงสวรรค์และแคว้นมารเขียวมากเกินไป ข้าต้องทำเงื่อนไขทั้งสามนี้ให้สำเร็จเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้และตัดความสัมพันธ์กับสำนักมหาวิญญาณ จากนั้นออกไปจากที่นี่!’ หวังหลินมองไปยังร่างตัวเองที่เข้าผสานกับความมืดในถ้ำ
ชั่วจังหวะนั้นหวังหลินพลันเงยหน้าขึ้นมามองออกไปด้านนอก สายตาคล้ายทะลุถ้ำออกไป ตอนนี้วังมากมายใต้ผืนดินต่างก็เงียบสนิทและได้ยินแต่เสียงลมหายใจ แสงบางส่วนที่วางเอาไว้ใต้ดินคือแสงจากหินจันทรา
ในแสงสลัวนี้มีร่างเงาสตรีผู้หนึ่งเดินทางมาดุจหมอกควันและยืนอยู่นอกถ้ำของหวังหลิน
นางมองถ้ำของหวังหลินด้วยความลังเล หลังจากครุ่นคิดอยู่นานและกำลังจะพูดขึ้นแต่หวังหลินเอ่ยออกมาจากในถ้ำเสียก่อน
“สหายเซียนหยานหลวนแวะมาหาข้ากลางดึกป่านนี้ ทำไมถึงลังเลอยู่ด้านนอกเล่า? โปรดเข้ามาเถิด”
เพียงหวังหลินเอ่ยออกมา ประตูถ้ำจึงเปิดออกอย่างเงียบเชียบจนเผยเป็นช่องว่างขนาดพอดี ช่องนี้มืดมิดและไม่อาจมองเห็นสิ่งใดข้างในได้
จากตำแหน่งของหยานหลวน ช่องว่างในประตูดุจเสมือนปากที่พร้อมจะกลืนกินจิตใจผู้คนได้ มันกำลังรอให้นางเข้าไป
หลังจากขบคิดอีกเล็กน้อย หยานหลวนกัดฟัน นางมีข้อสงสัยในใจ หากไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนจะไม่สามารถสงบจิตใจลงได้ นางเปลี่ยนร่างเป็นควันและเข้าไปในประตู
เมื่อเข้ามา ประตูถ้ำจึงปิดลง ไม่ปล่อยให้มีอะไรเล็ดลอดออกไปได้
หยานหลวนหยุดเคลื่อนไหวทันที นางมองไปตรงหน้าซึ่งยังคงมืดมิด
นางมองเห็นร่างหวังหลินนั่งอยู่ไกลๆ อย่างเลือนลางทั้งยังเปล่งแรงกดดันจำนวนมาก ต้นตอของแรงกดดันนี้มาจากการเดิมพันสองครั้งที่นางได้พูดเอาไว้ในตำหนักสลักวิญญาณ
หยานหลวนมองไปตรงหน้าและสังเกตได้ถึงจิตสังหารเบาบางและไม่ได้มุ่งเป้ามาที่นาง มันเป็นกลิ่นอายตามธรรมชาติที่ปลดปล่อยออกมาเพราะอีกฝ่ายเพิ่งกลับมาจากการเข่นฆ่า
มีแต่เหล่าเซียนเท่าทั้นที่สามารถสังเกตกลิ่นอายเบาบางนี้ได้
หยานหลวนไม่รู้ว่าทำไม แต่ทันทีที่นางสัมผัสจิตสังหารได้ ร่างของหลิวจื่อหยวนปรากฏขึ้นในใจทันที เรื่องราวการตายของเขาฉายขึ้นมาในสายตานางดุจภาพวาด
คล้ายกับนางได้เห็นหวังหลินสังหารหลิวจื่อหยวนในช่วงเวลาสั้นๆ
“สหายเซียนหยานหลวน นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านมายืนในถ้ำข้าโดยไม่พูดอะไรสักคำหน่อยหรือ ท่านจะยืนแบบนี้ไปตลอดทั้งคืนหรือไม่?” หวังหลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
หยานหลวนขบคิด จากนั้นเอ่ยขึ้นมาจนเสียงดังไปในถ้ำ “เจ้าได้สังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นจากแคว้นมารเขียวใช่หรือไม่?”
“มันต้องเป็นเจ้า ในอาณาเขตนี้นอกจากผู้อาวุโสลิ่วเหวินหลาน ไม่มีใครที่สามารถทำได้ในชั่วเวลาสั้นๆ หากจะมีคนอื่นก็ต้องเป็นเจ้า!”
“คนอื่นไม่รู้ว่าเจ้าทรงพลังแค่ไหน แต่ข้าเป็นพยานได้” นางพูดเสียงเบาลง สายตามองหวังหลินที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในเงามืด
“หวังหลิน เป็นเจ้าใช่หรือไม่!”
หวังหลินครุ่นคิดและตอบกลับไปอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่มีความคิดเห็น!” น้ำเสียงไม่สั่นเครือคราวกับทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ
หลังจากได้ยินหวังหลินพูดออกมา หยานหลวนจึงยิ้ม ทัดผมไปหลังหูและเอ่ยขึ้นเบาๆ
“ข้าไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงไม่ยอมรับ กลิ่นอายของเจ้าไม่มั่นคงและเป็นที่แน่ชัดว่าเจ้าใช้กำลังไปมาก นอกจากนี้เซียนขั้นวิบากดับสูญก็ไม่ได้ตายง่ายๆ…”
“หากเจ้าต้องการตัวช่วย ข้าสามารถให้ได้…ข้อเสนอคือเมื่อเราสังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญได้หนึ่งคน เราจะแบ่งผลประโยชน์กันคนละครึ่ง! ขออภัยที่รบกวนเจ้า ข้าหวังว่าผู้อาวุโสหวังจะไม่คิดมาก นี่เป็นเพียงความจริงใจและเจตนาดีจากข้า!” นี่คือเหตุผลจริงๆ ที่หยานหลวนเข้ามา นางนำเม็ดยาออกมาวางไว้บนพื้นก่อนจะโค้งตัวให้หวังหลิน สายลมพัดผ่านมาตรงทางเข้าถ้ำและนางก็หายไป
ท้ายที่สุดคำตอบของหวังหลินที่มอบให้คำถามหลายอย่างของหยานหลวนมีเพียงแค่สองคำ หลังจากหยานหลวนจากไป หวังหลินลืมตาส่องประกายขึ้นมาในถ้ำมืด
เขามองไปที่ประตูถ้ำและขบคิด สะบัดแขนขวานำเม็ดยาเข้ามาหาและตรวจสอบเม็ดยาอย่างละเอียด เม็ดยานี้เปล่งกลิ่นหอมหวาน เห็นได้ชัดว่าเป็นเม็ดยาที่ใช้สำหรับฟื้นฟูโดยเฉพาะ หวังหลินค่อยๆ เผยรอยยิ้ม
ไม่นานนักเวลาได้ผ่านไปอีกสองวัน เหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวตรงชายขอบทุ่งยอดนภาต่างก็เงียบมากและไม่ได้เริ่มการรบครั้งที่สอง พวกเขาดูเหมือนกำลังรอคอยบางอย่างและส่งคนเข้ามาสังเกตทุ่งแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง
เซียนจากวังใต้ดินได้ส่งออกมาสอดแนมด้วยเช่นกัน ถึงจะมีความขัดแย้งอยู่บางส่วนแต่ไม่ได้เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่
พวกเซียนที่ถูกส่งออกมาคือชายชราสามคน ชายชราแซ่โจวเป็นคนรับผิดชอบ นอกจากเซียนขั้นวิบากดับสูญแล้ว เหล่าเซียนที่เหลือคนอื่นต่างก็ถูกส่งออกไปลาดตระเวน
เซียนที่ไม่ได้ออกมาลาดตระเวนต่างก็จมดิ่งไปกับการบ่มเพาะทั้งหมดเพื่อรักษาตัวเองให้อยู่สภาพพร้อมรบ เหล่าเซียนจากแคว้นกระทิงสวรรค์เข้าใจดีว่าแคว้นมารเขียวไม่ยอมเลิกลาง่ายๆ แน่นอน
เซียนทั่วไปสามารถไม่สนใจเรื่องนี้ได้ แต่คนที่มีระดับบ่มเพาะสูงสุดที่นี่อย่างลิ่วเหวินหลานได้มองขึ้นไปด้วยสายตาเป็นกังวล
จากมุมมองเขา เรื่องนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด พวกเซียนจากแคว้นมารเขียวดูเหมือนรอกำลังเสิรม หากเป็นเช่นนั้นคงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นที่นี่
เรื่องคนที่สังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญของฝ่ายศัตรูยังคงค้างคาอยู่ในใจเขา เขาพิจารณาความเป็นไปได้ออกมาทีละคนจนกลับมายังคนที่เขาคาดการณ์ไว้ตั้งแต่ต้นคือหวังหลิน
แม้เขาไม่เชื่อว่าหวังหลินมีความสามารถ แต่เรื่องนี้ถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง เขาจึงเรียกชายชราแซ่โจวออกมาให้คำสั่งไป ชายชราแซ่โจวจึงเดินออกไปนอกถ้ำ
ช่วงระยะเวลาสองวันหวังหลินฟื้นคืนมาได้อย่างมาก พลบค่ำของวันที่สองมีแขกอีกคนต่อจากหยานหลวนเข้ามาเยือนด้านนอกถ้ำ เป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญอีกหนึ่งคน!
“สหายเซียนหวังหลินจากสำนักมหาวิญญาณ ข้าอยากขอให้สหายเซียนหยุดการบ่มเพาะและไปลาดตระเวนยามดึก!” คนที่พูดขึ้นมาคือชายชราแซ่โจวซึ่งรับคำสั่งมาจากลิ่วเหวินหลาน
ตอนนี้เขาอยู่นอกถ้ำของหวังหลิน ท่าทีนิ่งเฉยและพูดอย่างเย็นชาราวกับไม่ใช่ประโยคคำถาม
1861 ความมืดมิดยามราตรี
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชายชราแซ่โจวไม่เคยคิดว่าหวังหลินคู่ควร แม้หวังหลินจะเป็นผู้อาวุโส ระดับบ่มเพาะกลับต่ำชั้นเกินไป เขาประเมินว่าหวังหลินใช้เส้นสายเพื่อให้ได้ตำแหน่งผู้อาวุโสมาครอบครอง
เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรในสำนักที่มีอยู่ทั่วแผ่นดินเซียนดารา คนที่มีระดับบ่มเพาะต่ำต้อยหลายคนมีตำแหน่งรั้งเป็นผู้อาวุโส พวกเขาไม่ได้มีค่าต่อสำนักและเป็นแค่การแสดง
เมื่อคนแบบนี้เข้าสู่สนามรบก็จะเผยธาตุแท้ออกมา ชายชราแซ่โจวมองข้ามคนแบบนี้ แม้ไม่ได้เผยออกมาทางสีหน้าแต่เผยออกมาทางคำพูด
‘ข้าไม่เห็นเขาจะทำความดีความชอบอันใดในการรบมาก่อน แต่ผู้อาวุโสลิ่วสั่งให้เขาไปลาดตระเวน ต้องมีความหมายแอบแฝงอยู่เป็นแน่…ข้ากลัวว่าคนในสำนักมหาวิญญาณไม่ชอบเขาจนแม้แต่คนที่มีสถานะสูงส่งอย่างผู้อาวุโสลิ่วทนไม่ไหว’ ชายชราแซ่โจวคิดขึ้นมาพลางยืนอยู่นอกประตูถ้ำของหวังหลิน
เขาเก่งด้านการอ่านสถานการณ์ หวังหลินผู้นี้แยกตัวออกมาจากในวังและถูกบังคับให้เลือกถ้ำ นี่แสดงให้เห็นว่ามีปัญหามากมาย
คำพูดเย็นชาดังเข้าไปในถ้ำและถึงหูของหวังหลิน หวังหลินพลันลืมตาด้วยความสงบนิ่ง ซึ่งความสงบนิ่งแบบนี้ช่างเป็นเรื่องน่ากลัว
เขาซ่อนร่างและผสานเข้ากับความมืด แม้แต่ผมสีขาวยังถูกย้อมด้วยสีดำ
“ผู้อาวุโสหวัง เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?” ชายชราแซ่โจวขมวดคิ้ว เขายืนอยู่นอกถ้ำมากกว่าสิบลมภายใจ แต่ถ้ำนั้นหวังหลินมีท่าทีเหมือนเขาตายด้านและไม่ตอบสนองอะไรเลย
ท่าทีสำคัญตัวเองแบบนี้ทำให้เขารู้สึกรังเกียจ เขาไม่รอให้หวังหลินตอบกลับมาก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ ส่งเสียงดังสนั่นจนเกิดรอยร้าวแผ่กระจายไปถึงส่วนประตูถ้ำของหวังหลิน
ปัง!
ประตูถ้ำพังทลาย
ทุกคนที่ชายชราแซ่โจวเรียกออกไปลาดตระเวณจะออกมาทักทายเขาอย่างสุภาพ พอเห็นท่าทีไม่แยแสของหวังหลิน เขาจึงไม่พอใจ
เมื่อประตูถ้ำพังทลาย ชายชราก้าวเดินเข้าไปด้วยลมหายใจเย็นเยียบ ขณะที่ก้าวเดินเขาพลันหยุดลง เขาเห็นหวังหลินนั่งอยู่ในถ้ำ จ้องมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น
สายตาเย็นเยียบนี้ทำให้ชายชราแซ่โจวถึงกับลืมหายใจ หยาดเหงื่อปกคลุมทั่วร่าง เขารู้สึกเหมือนกำลังโดนลิ่วเหวินหลานจ้องมอง โลหิตไหลเวียนอย่างรวดเร็ว
“เจ้าเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาทำลายถ้ำของข้า?” หวังหลินถามอย่างสงบ มิอาจบอกได้ว่าโกรธเกรี้ยวหรือเป็นสุข เขาเดินเข้าไปหาชายชรา
ชายชราแซ่โจวถึงกับหัวใจบีบรัด วินาทีที่เขาเดินเข้าไปในถ้ำจึงรู้สึกเหมือนไม่ได้มองมาที่เซียนแต่เป็นอสูรดั้งเดิมที่กำลังตื่นจากนิทรา ไม่เพียงแต่ร่างกายเขาจะสั่นเทา ยังรวมไปถึงวิญญาณดั้งเดิมด้วย
นี่เป็นเพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้นแต่กลับทำให้เขาหวาดกลัวจริงๆ
พอหวังหลินก้าวเดินเข้ามาใกล้ ชายชราแซ่โจวถึงกับหน้าซีด ถอยเท้ากลับไปโดยไม่รู้ตัว เพียงไม่กี่ก้าวก็ออกมาจากถ้ำ ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ เสื้อผ้าเปียกโชก
ชายชราแซ่โจวดวงตาหรี่แคบและร้องออกมา “หวัง…ผู้อาวุโสหวัง เจ้า…เจ้าจะทำอะไร!?”
หวังหลินไม่ได้พูดและเดินเข้าไปใกล้ขึ้น ร่างกายค่อยๆ โผล่ออกมาจากความมืด เรือนผมสีขาวเผยออกมา ชายชราแซ่โจวเริ่มหัวใจเต้นถี่รัว
เสียงหัวใจเต้นรวดเร็วจนบดบังเสียงทั้งหมดในใจเขา ราวกับหัวใจต้องการพุ่งออกมาจากหน้าอกและแตกสลาย
ความรู้สึกรุนแรงเช่นนี้ทำให้ชายชราแซ่โจวมีแววตาหวาดกลัวและแทบไม่เชื่อ
หวังหลินหยุดอยู่ตรงหน้าชายชราแซ่โจว เขาจ้องมองดวงตาของอีกฝ่ายอย่างสงบนิ่ง
สายตาและท่าทางเช่นนี้ทำให้ชายชราแซ่โจวรู้สึกถึงแรงกดดันทรงพลัง ความคิดจิตใจขาวโพลนไปหมด
“เป็น…เป็นผู้อาวุโสลิ่วเหวินหลาน…” เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ ชายชราแซ่โจวก็ไม่สามารถทนรับแรงกดดันได้ไหว เขารู้สึกว่าหากไม่ตอบออกมา วิญญาณดั้งเดิมคงบุบสลายและตายภายใต้สายตาของหวังหลิน
หลังเอ่ยปากออกมา สายตาหวังหลินข้ามผ่านชายชราไปยังวังที่หรูหราที่สุด ที่ตรงนั้นคือตำแหน่งที่ลิ่วเหวินหลานอยู่
พอหวังหลินมองเข้าไป ลิ่วเหวินหลานคล้ายกับสังเกตบางอย่างได้และลืมตาขึ้น สายตาดุจประสานกับสายตาหวังหลิน
ชายชราแซ่โจวไม่กล้าหายใจ แม้แรงกดดันเบื้องหน้าได้หายไปแล้วแต่ความรู้สึกหวาดกลัวกลับเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจลืมไปได้
‘คนผู้นี้ไม่ได้ใช้เส้นสายเพื่อกลายเป็นผู้อาวุโสของสำนักมหาวิญญาณแน่นอน!! ระดับบ่มเพาะของเขา…ช่างน่าหวาดกลัวยิ่ง!!’ ชายชราแซ่โจวถึงกับหน้าซีด ตอนที่หวังหลินมองมาราวกับกระบี่จิตสังหารชี้มาที่หน้าผากเขา มันเป็นสิ่งที่เขาไม่มีวันลืม
เขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง เขาไม่ควรไปฟังคำพูดของลิ่วเหวินหลานว่าให้ไปล่วงเกินคนน่ากลัวเช่นนี้
หวังหลินเลื่อนสายตาออกไปจากวังในหลายวินาทีถัดมา เขาสะบัดแขนด้วยท่าทีสงบนิ่งและก้าวเดินผ่านชายชราแซ่โจวออกไป แต่ขณะที่เดินผ่าน มือขวาตบลงบนไหล่ของชายชราอย่างลวกๆ
“คนที่ทำลายถ้ำของข้าจะต้องตาย! ในเมื่อเจ้าล่วงเกินข้าก่อนและถูกคนอื่นปั่นหัวมา เจ้าไม่ถึงกับตายแต่ยังต้องโดนลงโทษ! พรุ่งนี้เมื่อข้ากลับมา ข้าอยากเห็นว่าประตูถ้ำถูกซ่อมแซมเสร็จแล้ว” หวังหลินเคลื่อนร่างและหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
หวังหลินไม่ได้ปฏิเสธการลาดตระเวน ในเมื่อลิ่วเหวินหลานมอบหมายงานให้ทำ หากเขาปฏิเสธคงมีอีกหลายงาน
หลังจากหวังหลินจากไป ชายชราแซ่โจวถึงกับสั่นเทาและกระอักโลหิต ใบหน้าซีดขาวทันที ร่างกายอ่อนยวบ ดวงตายังคงความหวาดกลัว
เขาเคลื่อนร่างออกไปไกลเพื่อหาประตูใหม่ให้กับถ้ำและซ่อมแซมก่อนที่หวังหลินจะกลับมา
ทว่าขณะที่ชายชรากำลังจะจากไป เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูเขา “สหายเซียนโจว มาที่นี่สักประเดี๋ยว” เสียงนี้ทำให้เขาต้องหยุด สีหน้าท่าทางขมขื่น
เพราะเสียงนี้เป็นของลิ่วเหวินหลาน
“ทำไมท่านถึงให้ข้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องท่านทั้งสอง…” ชายชราแซ่โจวถอนหายใจ ในเมื่อลิ่วเหวินหลานเรียกตัวเขาก็จำเป็นต้องไป เขาพลันยิ้มอย่างขมขื่น ยกเลิกการซ่อมแซมประตูถ้ำและทะยานเข้าหาวังอย่างช่วยไม่ได้ เขาหวังว่าจะมีเวลาพอให้ซ่อมแซมมันหลังจากออกมาจากวังของลิ่วเหวินหลาน ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าคิดว่าจะเกิดผลอะไรขึ้นตามมา
ร่างหวังหลินท่องทะยานผ่านพื้นดินขึ้นไปสู่ทุ่งหญ้าด้านบน ไม่นานนักเขาจึงปรากฏตัวใต้แสงจันทรา
แสงจันทรารุนแรงจนทำให้ทุ่งยอดนภากลายเป็นสีเงินในช่วงก่อนเที่ยงคืน ทว่าเมื่อหวังหลินปรากฏตัว แสงกลับอ่อนลงและถูกซ่อนหลังก้อนเมฆครึ้มสีดำจนพื้นดินมืดมิด
หวังหลินก้าวไปบนทุ่งหญ้าอย่างเงียบเชียบ เสียงใบหญ้าพัดอ่อนไหวและชัดเจนยิ่งยามค่ำคืน
ไม่นานนักแสงจันทราทั้งหมดได้ถูกก้อนเมฆสีดำปกคลุม ทั้งอาณาเขตเปลี่ยนเป็นความมืด ร่างหวังหลินซ่อนไปความมืดอีกครั้งและพร่าเลือน
สายลมเปียกชื้นพัดเข้ามาและผ่านไปบนพื้นดิน พัดเสื้อผ้าและเส้นผมของหวังหลินให้ปลิวไสว แต่ในความมืดนี้ทั้งหมดกลับเลือนลาง
หวังหลินเดินไปบนทุ่งหญ้าพร้อมกับคิดถึงลี่มู่หวาน เขาสัมผัสกับมือขวาด้วยสายตาเต็มไปด้วยความเศร้า ที่นั่นคือที่ที่มีมิติเก็บของและลี่มู่หวานยังคงหลับใหล
พอสัมผัสกับมือขวา เขารู้สึกถึงอุ่นไอจากมือราวกับสัมผัสลี่มู่หวาน
ชั่วเวลาไม่เกินสามพันปีทั้งยาวนานแต่ก็สั้นมากเช่นกัน ดุจสายลมได้พัดผ่านทุ่งหญ้ามาตั้งแต่ยุคอดีต
หวังหลินถอนหายใจเสียงดัง ก้าวเดินไปบนทุ่งหญ้าบนแผ่นดินอันแปลกหน้า บางทีเพราะอาการบาดเจ็บของเขายังไม่ฟื้นฟู ในใจจึงเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยว
ข้าอบอุ่นโลกด้วยเปลวเพลิงเพื่อให้เจ้าไม่หนาวเหน็บ
ข้าสั่นคลอนโลกด้วยสายฟ้าเพื่อให้เจ้าได้ยินเสียงของข้า
ข้าเดินข้ามผ่านเส้นทางอันยาวไกลเพื่อตามหาลมหายใจของเจ้า
ข้าเข้าสู่มรรคาแห่งเต๋ามารเพื่อเข่นฆ่า ฝืนชะตาสวรรค์ สังหารทวยเทพ ล้มล้างฟ้าดินและยืนอยู่เบื้องหน้าเจ้าผู้เป็นที่รักเพื่อทำให้เจ้าลืมตา
หวังหลินมองในความมืดอันห่างไกลและเดินอย่างเงียบเชียบ
เขาเสมือนความมืดมิดยามกลางคืนเพราะความมืดนี้สามารถปิดบังความเปล่าเปลี่ยวของเขาได้ ในความมืดนั้นคนอื่นไม่สามารถมองเห็นความโดดเดี่ยวของเขาได้ด้วย
ในใจทุกคนมีกล่องหนึ่งกล่อง กล่องนี้มีความทรงจำเอาไว้ ความทรงจำที่ว่าเป็นได้ทั้งรสหวานและรสขม
คนบางคนสูญเสียกล่องนี้ไปพร้อมกับตัวเองและตามหาไม่เจอ
คนบางคนล็อคมันเอาไว้ ไม่ต้องการเปิดและไม่ยอมให้คนอื่นได้สัมผัส
คนบางคนมักจะถือกล่องเอาไว้ในมือ และบอกคนอื่นเพื่อไม่ให้ลืมสิ่งนี้
คนบางคนฝังกล่องไว้ใต้ดินและรอคอยวันเวลา…เมื่อดอกไม้เบ่งบาน ความงดงามของดอกไม้จะเผยโฉมไปด้วย
ในกล่องมีความรักของคนผู้หนึ่ง ถ้วยแห่งความหวานและน้ำรสขม…
“กล่องของข้ายังอยู่ดี…” หวังหลินพึมพำ ในความมืดมิดไม่อาจมองเห็นความเหงา ไม่อาจเห็นความอ้างว้าง ไม่อาจเห็นความโดดเดี่ยว…ของหวังหลิน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น