War sovereign Soaring The Heavens 3326-3329

 ตอนที่ 3326

 

เหนือฟ้าด้านนอกคุกหมื่นพันธนาการ


 


“ในที่สุด วันที่เฝ้ารอก็มาถึง….


 


ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างกลางหาว มองไปยังประตูคุกหมื่นพันธนาการบริเวณกึ่งกลางขุนเขาบนเกาะลอยมหึมาด้านหน้าไกลๆ สองตาเผยประกายเย็นชาวูบวาบ


 


แน่นอนว่าก่อนจะถึงวันนี้ เขาก็ได้เตรียมการไปไม่น้อย


 


ก็อย่างเช่นในอีกไม่กี่วันหลังจากนี้ บุคคลที่เขาไปเฟ้นหามาอย่างยากลําบาก จะใช้ลูกแก้ววิญญาณของฉือหล่าง และซุนชิง ทําการติดต่อไปหาทั้งคู่ด้วยเสียงที่เหมือนกันกับเขาทุกประการ


 


ถ้อยคําแรกที่เขาสั่งให้มันติดต่อไปถึงทั้งคู่ก็คือ พบช่องทางมิติเชื่อมต่อกับซากระ นาบเทพที่ล่มสลายแห่งหนึ่งโดยบังเอิญและเขาได้พยามปกปิดไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ไปบางส่วนแล้วแต่เขาทําคนเดียวไม่ไหวจําต้องหาคนช่วย


 


ถือหล่างนั้นไม่สงสัยในสิ่งที่เขาพูดแนอน และต้องเร่งรุดมาช่วยเขาปิดกั้นสถานที่เร็วไวเพราะสิ่งนี้อาจเป็นผลประโยชน์มหาศาลของวังเทียนฉือ!


 


สําหรับชุนชิงนั้น ไม่พ้นต้องเร่งรุดแจ้งให้ จักรพรรดิอมตะหอนฟ้า อาจารย์ของมันท ราบก่อนใดอื่นหลังจากนั้นก็ต้องเร่งรุดเดินทางไปตามสถานที่นัดหมายแน่นอน


 


และสถานที่นัดหมายดังกล่าว ต่อให้เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามอย่างฉือหล่าง และจักรพรรดิอมตะหอนฟ้าก็จําต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับ 10 วัน


 


กว่าที่ทั้งคู่จะพบว่าเป็นเขาแต่งเรื่องทั้งหมดและย้อนกลับมายังวังเทียนฉือ เขาก็คงช่วยบิดามารดาฮ่วนเอ้อออกไปได้สําเร็จแล้ว


 


ครู ศิษย์พี่ซุนชิงถึงข้าจะไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่ก็เป็นข้าที่หลอกลวงพวกท่าน…วันหน้าหากมีโอกาสข้าต้องกลับมาขอขมาต่อพวกท่าน ทั้งยังชดเชยให้พวกท่านอย่างดี


 


หลังถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็เห็นร่างไปยังประตูคุกหมื่นพันธนาการทันทีและตราบใดที่เขาเข้าสู่คุกหมื่นพันธนาการ ก็เสมือนเขาถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์ไม่อาจติดต่อหรือรับข้อความใดๆได้ทั้งสิ้น


 


ดังนั้นก่อนจะเข้าสู่ประตูคุกหมื่นพันธนาการ ต้วนหลิงเทียนก็จําต้องส่งข้อความไปนัดแนะเรื่องราวอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ


 


“ผู้อาวุโสเมิงชวน ตอนนี้ข้ากําลังจะเข้าไปในคุกหมื่นพันธนาการแล้ว หลังข้าช่วยคนออกมาได้เมื่อไหร่ข้าจะรีบติดต่อกลับมาหาท่านโดยเร็วที่สุด…จากนั้นก็ต้องรบกวนท่านมาช่วยข้าด้วย”


 


ข้อความแรกที่ต้วนหลิงเทียนส่งไป ก็ส่งไปถึง เมิ่งชวน จักรพรรดิอมตะหยกกุ้งแห่งพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน


 


“ได้”


 


คําตอบกลับของเมิ่งชวน ก็สั้นๆห้วนๆแต่ได้ใจความ


 


“ตอนนี้ข้าประจําตําแหน่งแล้วหลังจากนี้อีกครึ่งชั่วยาม ให้เจ้าเลียนเสียงข้าและส่งข้อความที่ข้าเขียนไว้ให้ไปยังเจ้าของลูกแก้ววิญญาณทั้ง 2 ที่ข้าให้เจ้าไว้ทันที จําไว้อย่าให้มีอะไรผิดพลาดและหากทุกอย่างเรียบร้อย รางวัลพิเศษที่คุยกันไว้วันก่อน จะเป็นของเจ้า


 


หลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ได้ส่งข้อความไปหาคนอีกคน ซึ่งเป็นคนที่เขาไปสืบเสาะหามาอย่างยากลําบาก เป็นผู้ที่มีความสามารถเลียนเสียงอย่างเป็นธรรมชาติและไม่ได้ใช้พลังปลอมแปลงใดๆ ทําให้สามารถปลอมเสียงส่งข้อความได้อย่างแนบเนียนโดยไม่ถูกอาคมใดๆตรวจพบ


 


แน่นอนว่าค่าจ้างที่เขาจ่ายไว้ล่วงหน้าเพื่อให้บุคคลผู้นั้นทํางานให้ ก็คือผลึกอมตะมหาศาลถึงขั้นทําให้อีกฝ่ายมือไม้สั่นขณะรับไปที่เดียว


 


“ขอใต้เท้าอย่าได้กังวล เรื่องนี้ไว้ใจข้าน้อยได้เลย…ต่อให้ข้าน้อยต้องตายกลายเป็นผี ข้าน้อยก็จักส่งข้อความให้ท่านให้จงได้!”


 


ได้ยินคํารับรองของอีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนก็เห็นร่างไปยังประตูคุกหมื่นพันธนาการทันทีเมื่อมาถึงเพียงแสดงป้ายผู้คุมที่ได้รับมาวันนั้น เขาก็สามารถผ่านเข้าไปได้สะดวกและไม่นานก็มาถึง โถงกิจการภายใน เพื่อรับป้ายผ่านเข้าส่วนคุมขังนักโทษ


 


และในขณะเดียวกับที่ต้วนหลิงเทียนเข้ามาถึงส่วนคุมขังนักโทษของคุกหมื่นพันธนาการนั้น..


 


ภายในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากวังเทียนฉือมากนัก ชายหนุ่มในชุดสีเทาควันบุหรี่ที่พึ่งส่งข้อความไปรับประกันกับต้วนหลิเทียนมาหยกๆ หลังมันเดินออกจากเหลาอาหารมาด้วยความสําราญใจ ก็เดินไปยิ้มหน้าระรื่นไปพลางคิด “ไม่คิดเลยว่าความสามารถในการเลียนเสียงแต่กําเนิดของข้า ที่ถูกมองว่าเหลวไหลมาชั่วชีวิต วันนี้กลับทําให้ข้าได้รับผลึกอมตะมามากมายมหาศาลอย่างที่ไม่คิดฝันมาก่อน…แถมหากทํางานลุล่วงใต้เท้าผู้นั้นยังจะมอบอุปกรณ์อมตะจักรพรรดิที่ข้าทําได้แค่ฝันถึงอีก!!”


 


หรือวันหน้า ข้าจักประกอบวิชาชีพนี้ดี ท่าทางจักรุ่งไม่น้อย


 


ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเทาควันบุหรี่ผู้นี้ หน้าตาไม่ได้หล่อเหลาอะไรแต่ดูแล้วสบายตา ไม่คล้ายมีพิษมีภัยอะไรต่อสิ่งมีชีวิตและตอนนี้มันก็กําลังอารมณ์ดีเพราะพึ่งจะมีเงินรับประทานอาหารทิพย์หรูหราเป็นครั้งแรก


 


“นั่นไง! สารเลวนั่นมันอยู่ตรงนั้น!”


 


“พี่ชาย ไอ้สวะนั่นล่ะ หลี่อวี้เจี๋ย!”


 


“บัดซบ ข้าจนรองเท้าสึกไม่พบพาน แต่ตอนจะเจอกลับไม่เหนื่อยแรงมารดามันไม่คิด เลยว่าสารเลวนี้จักซ่อนตัวอยู่ในเมืองเล็กๆแห่งนี้ได้!!”


 


เสียงดุร้ายที่ดังขึ้นจากด้านหลังนั้น ทําให้ชายหนุ่มชุดคลุมเทาควันบุหรี่หน้าซีดทันที เพราะ หลื่ออี้เจี้ย ก็คือชื่อที่มารดามันตั้งให้


 


“ฉิบหายแล้ว! พวกมันไฉนมาโผล่ที่เมืองเล็กๆแห่งนี้ได้เล่า!!”


 


หล่อเจียไม่จําเป็นต้องหันกลับไปมอง ก็เดาได้ทันทีว่าใครอยู่เบื้องหลังมัน พลังเซียน อมตะต้นกําเนิดปะทุออกทั่วร่างจากนั้นคนก็ห้อเหยียดไปด้วยความเร็วดั่งเงาพราย หลบหนีออกจากเมืองไปในชั่วพริบตา


 


อย่างไรก็ตาม


 


ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ!


 


ความเร็วของหล่อเลี้ยไม่ได้เชื่องช้าเลย แต่ผู้ที่ไล่ล่ามันกลับเร็วกว่า และก็มีหลายคนที่พุ่งแซงไปหยุดขวางมันเอาไว้เบื้องหน้าได้ง่ายๆ


 


สําหรับคนอื่นที่ติดตามมาทีหลัง พอเห็นหลี่ออี้เจี้ยถูกดักเอาไว้แล้ว ก็ค่อยๆลดความเร็วลงและกระจายตัวกันปิดล้อมหล่อ เชี่ยเอาไว้ สองตาแต่ละคนมองจ้องหล่อ เจียอย่างดุร้าย


 


“สหายทั้งหลาย ข้ามี…”


 


ในขณะที่สีหน้าหลี่อวี้เจี๋ยเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยาก และคิดกําลังจะกล่าวคําใดบางอย่าง


 


“ฆ่า!!”


 


ผู้นํากลุ่มคนไล่ล่า อันเป็นชายวัยกลางคนหน้าเย็นก็ออกคําสั่งเสียงอํามหิต จากนั้นทุกคนที่ปิดล้อมหล่อเจี้ยก็ลงมือเข่นฆ่าอย่างพร้อมเพรียง สับร่างหล่อ เจี้ยจนแหลกเป็นชิ้นๆในพริบตาเดียว


 


หลังจากหล่อ เจียตกตาย แหวนพื้นที่ของมันก็ตกอยู่ในมือของชายวัยกลางคนผู้นํา ชายวัยกลางคนหยดเลือดผูกพันธะครองแหวนก่อนจะส่องภายในชมดูครู่หนึ่ง ค่อยพยักหน้าด้วยความโล่งใจ “ของที่มันเอาไปยังอยู่ครบ…”


 


ขณะเดียวกันชายวัยกลางคนก็นลูกแก้ววิญญาณนับโหลหรือกระทั่งมากกว่านั้นออกมาจากแหวนแล้วป่นทําลายที่ทันที ก่อนจะโยนเศษซากลูกแก้วทิ้งราวขยะ


 


ลูกแก้ววิญญาณเหล่านี้เป็นลูกแก้ววิญญาณของคนที่หล่อเลี้ยสามารถติดต่อได้ และทั้งหมดก็ไร้ประโยชน์สําหรับมัน


 


และตอนนี้ลูกแก้ววิญญาณทุกลูก ไม่มียกเว้น ถูกขยี้แหลกเป็นผง!


 


ในบรรดาลูกแก้ววิญญาณที่ถูกทําลาย ยังมีลูกแก้ววิญญาณ 2 ลูกที่ต้วนหลิงเทียนมอบให้หล่อเจียเมื่อหลายวันก่อน และเป็นลูกแก้ววิญญาณของฉือหลาง กับซุนชิง


 


“ไป”


 


คนกลุ่มนี้เมื่อสังหารคนแล้ว พวกมันก็เห็นร่างจากไปราวสายลม


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนไม่อาจทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้เลย


 


คนที่เขาเสาะหามาอย่างลําบาก และตระเตรียมการเอาไว้อย่างดี คิดบทพูดรองรับทุกสถานการณ์เอาไว้ ไม่คิดว่าจะยังไม่ทันได้ส่งข้อความถึงฉือหล่างกับซุนชิงสักคํา เพื่อบรรลุจุดประสงค์ให้ถือหล่างกับจักรพรรดิอมตะหอนฟ้าออกเดินทาง ก็ดันมาตกตายเสียก่อน


 


และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้มาอยู่ในคุกหมื่นพันธนาการเรียบร้อย ได้พบปะกับผู้ที่จะทําหน้าที่เป็นผู้คุมเหมือนเขาอีก 5 คน


 


ในบรรดาผู้คุมทั้ง 6 ที่มีหน้าที่ลาดตระเวนส่วนคุมขังตลอดทั้งปีหลังจากนี้ ก็มีศิษย์อัจฉริยะรวมถึงเขา 4 คน ส่วนอีก 2 คนก็คือผู้อาวุโสของคุกหมื่นพันธนาการ โดยผู้อาวุโสหนึ่งในนั้นต้วนหลิงเทียนก็คุ้นหน้า เพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่พาเขากับฮ่วนเอ๋อเดินชมคุกหมื่นพันธนาการเพื่อแนะนาที่ทางอาวุโสเซีย!


 


“ต้วนหลิงเทียนไฉนเจ้ามาคนเดียวเล่า แม่นางน้อยฮ่วนเอ๋อไปไหนรึ?”


 


อาวุโสเซียพอเห็นต้วนหลิงเทียนมายังคุกหมื่นพันธนาการเพียงลําพังก็อดถามออกมาด้วยความสงสัยไม่ได้เพราะเท่าที่มันเห็น สตรีชุดขาวนางนั้นค่อนข้างติดตัวนหลิงเทียนแจ ตลอดช่วงที่เดินชมคุกหมื่นพันธนาการตอนั้น นางแทบไม่ห่างต้วนหลิงเทียนเลย


 


“พอดีเมื่อไม่นานมานี้การบ่มเพาะของนางเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อใกล้ทะลวงด่านพลังนะ นางก็เลยไม่ได้มา”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆ กล่าวออกมาด้วยน้ําเสียงไร้เรื่องราว


 


อาวุโสเซียก็ไม่ได้สงสัยอะไร หลังพยักหน้ารับรู้ก็หันไปผายมือแนะนําให้ตัวนหลิงเทียนรู้จักผับผู้คุมอีก 4 คนที่เหลือ “ต้วนหลิงเทียน ที่คือผู้อาวุโสหง”


 


“เฒ่าหง นี่ก็คือต้วนหลิงเทียน ศิษย์อัจฉริยะที่พึ่งโด่งดังชื่อกระฉ่อนไปทั่ววังเทียนฉือเราเมื่อไม่นานมานี้คนนั้น”


 


หลังจากนั้นอาวุโสเซียก็นต้วนหลิงเทียนให้ชายชรารู้จัก


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับอาวุโสทักทายกัน 1 ใน 4 ศิษย์อัจฉริยะที่ยืนรออยู่ข้างๆ ก็มองต้วนหลิงเทียนพลางขมวดคิ้วยู่ย่น “ศิษย์น้องหญิงฮ่วนเอ๋อไม่ได้มาด้วยหรือ?”


 


ศิษย์อัจฉริยะคนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน มันก็คือศิษย์คนที่สองของจักรพรรดิอมตะไว้ใจเหลยอิงกระทั่งยังเป็นบุตรชายคนเดียวของนาง เหลยจวิ้น!


 


ด้านต้วนหลิงเทียนเอง ตอนที่เห็นเหลยจวิ้นเมื่อครู่เขาก็แปลกใจอยู่บ้าง เพราะเท่าที่เขารู้มากฏที่เหลยจริ้นเข้าใจมันไม่ใช่กฏแห่งความตาย


 


อย่างไรก็ตามพอเห็นเหลยจนขมวดคิ้ว กล่าวพึมพําเรื่องฮ่วนเอ๋อไม่ได้มา ก็ไม่ยากที่เขาจะเดาได้ว่าเหลยจนมันถ่อมาที่นี่เพราะเพื่ออยากเจอฮ่วนเอ๋ออย่างเดียว


 


สวรรค์มีทางไม่ยอมเดิน นรกไร้ประตูเจ้าดันทุรังมุดมาจริงๆ


 


ต้วนหลิงเทียนลอบหัวเราะในใจ ขณะเดียวกันเขาก็กําลังคิดอยู่ว่าจะทําอย่างไรให้เหลยจขึ้นจับคู่กับเขาดีจากนั้นก็จะได้พามันไปยังชั้น 3 ด้วยกัน


 


ถึงตอนนั้นหลังปล่อยนักโทษทั้ง 6 ที่ถูกคุมขังแล้ว เขาก็ไม่รังเกียจที่จะฆ่าเหลยจริ้นทิ้งทันที!


 


เพราะสุดท้ายแล้วหลังจากเขาปล่อยคน คุกหมื่นพันธนาการก็จะตกอยู่ในความโกลาหลการฆ่าเหลยจวิ้นในสถานการณ์วุ่นวายทิ้งไปสักคน ย่อมไม่มีผู้ใดรู้ว่าเป็นฝีมือเขา


 


อย่างไรก็ตาม จินตนาการสวยหรู แต่ความเป็นจริงช่างโหดร้ายเหลือเกิน


 


แม้วนหลิงเทียนจะกล่าวทีเล่นทีจริงว่าอยากจับคู่กับเหลยจวิ้น แต่เหลยจวิ้นก็เลือกที่จะ ปฏิเสธเร็วไว แน่นอนว่ายังไม่พูดฉีกหน้าต้วนหลิงเทียน เพียงให้เหตุผลในการปฏิเสธว่า “ข้าพึ่งมาเยือนคุกหมื่นพันธนาการครั้งนี้เป็นครั้งแรก และยังไม่ค่อยคุ้นเคยที่ทาง…เช่นนั้นให้ข้าติดตามดูงานกับผู้อาวุโสดีกว่า”


 


“ต้วนหลิงเทียน ไม่ใช่เจ้าเองก็พึ่งมาครั้งแรกหรือไร? เช่นนั้นข้าว่าเจ้าจับคู่กับผู้อาวุโสก็ดีนะ”


 


หลังจากกล่าวปฏิเสธ เหลยจนยังกล่าวแนะนํา


 


“ต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นเจ้าไปกับข้าก็ได้”


 


ตอนนี้เองอาวุโสเซียก็ออกตัวกล่าวกับต้วนหลิงเทียน


 


เมื่อเห็นเหลยจวิ้นยืนกรานจะไม่จับคู่กับเขา ต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจเข้าซื้อะไรได้ พอเห็นว่าอาวุโสเซียเสนอตัวจะอยู่กับเขา ต้วนหลิงเทียนเพียงเหลือบไปมองศิษย์อัจฉริยยะอีก 2 คนปราดหนึ่งค่อยพยักหน้ารับในที่สุด


 


“อาวุโสเชี่ย”


 


ในขณะที่เห็นด้วยกับอาวุโสเซีย ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองทุกคนพลางเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าการแบ่งคู่ไปลาดตระเวนชั้นต่างๆพวกเราอาศัยหลักอะไรในการเลือกงั้นหรือ ใช่ตกลงกันเองหรือ ไม่?”


 


“พอดีเมื่อไม่นานมานี้จุดรอคอยของข้าก็เริ่มกรุยออก ส่อแววว่าใกล้ทะลวงด่านพลังได้แล้วเช่นนั้นข้าอยากได้รับการจัดให้ลาดตระเวนพื้นที่ๆไม่ต้องทําอะไรมาก หมายปิดด่านบ่มเพาะก่อนไม่ทราบทุกท่านสะดวกกันหรือไม่?”


 


ตัวนหลิงเทียนออกตัวกล่าวมาแบบนี้ ทุกๆคนก็เข้าใจความหมายได้ไม่ยาก จึงรู้ว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้ต้องการอะไรนอกจากรับหน้าที่ลาดตระเวนชั้น 3 ก่อน


 


“ปกติแล้วทางโถงกิจการภายในจะเป็นผู้จัดให้”


 


อาวุโสเซียกล่าว “อย่างไรก็ตาม หากผู้คุมสามารถตกลงกันเองได้ ก็ไม่มีปัญหาอะไรที่จะจัดการกันเอง”


 


“ข้าไม่มีปัญหาอะไร ตราบใดที่ทั้ง 4 คนไม่มีผู้ใดโต้แย้ง พวกเราก็ขึ้นไปลาดตระเวนชั้น 3 ก่อนเป็นเวลา 4 เดือนเถอะ”


 


กล่าวถึงประโยคท้าย อาวุโสเซียก็กวาดตามองอีก 4 คนที่เหลือเชิงถาม


 


“ข้าไม่ขัดข้องอะไร”


 


อาวุโสหงก็เป็นคนแรกที่กล่าวออกมา เพราะไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ตอนนี้ตัวนหลิงเทียนเป็น 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะแห่งวังเทียนฉือแถมยังเยาว์วัยอนาคตไร้จํากัด เอาแค่ตัวนหลิงเทียนเป็นศิษย์ น้องของ 1 ใน 3 พัสดีคุกหมื่นพันธนาการอย่างพัสดีคือ มันก็ไม่กล้าไม่ไว้หน้าต้วนหลิงเทียนแล้ว


 


สําหรับศิษย์อัจฉริยะอีก 2 คนก็ไม่มีใครคัดค้านอะไร


 


กระทั่งการเห็นด้วยกับคําขอของต้วนหลิงเทียน จะมากจะน้อยก็ต้องทําให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประทับใจ ไม่แนสุดท้ายอาจจะสานไมตรีจนกลายเป็นสหายกับศิษย์อัจฉริยะที่มีอนาคตไร้จํากัดเช่นนี้ได้พวกมันไหนเลยจะไม่เห็นด้วย


 


สําหรับเหลยจริ้นต่อให้ในใจมันชิงชังแสนเกลียดต้วนหลิงเทียนขนาดไหน แต่ก็ไม่ได้เผยอาการให้เห็นบนสีหน้าเพียงปั้นยิ้มตอบรับอย่างเห็นด้วยทันที


 


เช่นนั้นเรื่องราวก็ได้ข้อสรุป


 


ต้วนหลิงเทียนกับอาวุโสเซียได้ขึ้นไปลาดตระเวนชั้น 3 เป็นคู่แรก


 


“พี่สาวสุ่ย”


 


เมื่อตกลงกันได้แล้ว ในขณะที่เขากับผู้อาวุโสเซียและคนอื่นๆกําลังจะแยกย้ายกันไปยังคุกชั้น ต่างๆ ต้วนหลิงเทียนก็ติดต่อกับวารีเทพชําระโลกาในโลกใบเล็กทันที “ข้าพร้อมลงมือแล้ว”


 


“เมื่อขึ้นไปถึงชั้น 3 ข้าจะปลีกตัวไปหาโอกาสปล่อยจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 6 ทันที”


 


หลังต้วนหลิงเทียนพูดจบ เสียงวารีเทพชําระโลกาก็ตอบกลับทันควัน “ หลังจากเจ้าขึ้นไปถึงสถานที่ปฏิบัติการณ์แล้วแจ้งข้าได้ทุกเมื่อถึงตอนนั้นข้าจะสอนวิธีทําลายค่ายยกลพันธนาการจํากัดพื้นที่คุมขังรวมถึงวิธีการต้านทานรับมือค่ายกลและอาคมสังหารทั้งหลายในจัตุรัสสิ้นสุดให้เจ้า…”


 


“แน่นอนว่าเจ้าอย่าได้พยายามทําลายมันด้วยตัวเองเด็ดขาด วิธีที่ข้าจะสอนนั้น ไม่ใช่อะไรที่ระดับพลังของเจ้าตอนนี้จะทําลายมันได้”


 


“กระทั่งให้เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 6 คนบนชั้น 3.แต่พวกมัน 2-3 คนก็จําต้องร่วมมือกันเพื่อทําลายพันธนาการที่ว่า”


 


วารีเทพชําระโลกากล่าว

 

 

 


ตอนที่ 3327

 

หากคิดจะขึ้นไปยังชั้น 3 ของส่วนคุมขังนักโทษ ต้วนหลิงเทียนก็ต้องผ่านชั้น 2 ก่อน แน่นอนว่าย่อมได้เห็นบิดามารดาของส่วนเอ๋อที่ถูกกักขังเอาไว้อีกครั้ง


 


ตู้เสวียน มารดาของส่วนเอ๋อก็ยังคงอยู่ในสภาพสลบไสลไม่ได้สติ และบาดแผลบนร่างของนางก็ต่างออกไปจากครั้งที่แล้ว เห็นได้ชัดว่าแผลเก่าพึ่งหายก็ได้แผลใหม่มาอีกเห็นชัดว่านางพึ่ง จะทนทุกข์ทรมานมาอีกรอบ


 


เห็นฉากนี้แววตาต้วนหลิงเทียนก็กลาเป็นเย็นชา สีหน้ายังมืดลงทันใด


 


“อาวุโส”


 


ในขณะที่เดินผ่านห้องขังที่บิดาของส่วนเอ๋อถูกขังอยู่ เขาก็ได้แลเห็นเหลียนชิวที่กําลังนั่งหลับ ตาบ่มเพาะพลังอยู่ ด้วยอาคมในห้องขัง ทําให้แม้เหลียนชิวจะพบว่ามีคนมาแต่หากไม่เห็นด้ว ยตาก็ไม่อาจตรวจสอบได้เลยว่าผู้มาเป็นใคร เพราะไม่อาจรับรู้ถึงกลิ่นอายใดๆได้ทั้งสิ้น


 


พอได้ยินเสียงผ่านพลังของต้วนหลิงเทียน คิ้วของเหลียนชิวก็กระตุกไปเล็กน้อย เปลือกตากระตุกเบาๆ ก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นมาหันมองคนที่เดินผ่านอย่างเป็นธรรมชาติ


 


มันคิดว่าในเมื่อชายหนุ่มผู้นี้ย้อนกลับมา ลูกสาวของมันก็ต้องมาด้วย แต่พอมองไปก็เห็นแต่ชายหนุ่มไม่เห็นลูกสาวของมัน


 


“วันนี้ ข้าจะเริ่มดําเนินตามแผนการ เพื่อช่วยเหลือท่านกับอาวุโสตู้เสวียนออกไป..ช่วงนี้ขอให้ท่านพยายามรักษาสภาพร่างกายให้พร้อมที่สุด”


 


ในขณะที่เหลียนชิงคิดจะส่งเสียงผ่านพลังไปถามด้วนหลิงเทียนว่าส่วนเอ่อลูกสาวขอ งมันเป็นอย่างไรบ้าง เสียงผ่านพลังของต้วนหลิงเทียนก็ส่งตรงถึงหูเหลียนชิวอีกรอบ และทําให้ร่างเหลียนชิวอดสะท้านไปไม่ได้


 


ครูต่อมาเหลียนชิวก็ดึงสติกลับมาจากอาการตะลึง เร่งส่งเสียงผ่านพลังไปหาต้วนหลิงเทียนทันที “อย่าได้ทําเรื่องโง่เขลา!”


 


“หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าอีกคน แล้วส่วนเอ๋อจักอยู่อย่างไร!?”


 


ถึงแม้ครั้งก่อนจะเป็นการพบพานลูกสาวของตัวเองเป็นครั้งแรก แต่มันก็เห็นได้ชัดเจนถึงความห่วงหาของบุตรีที่มีต่อชายหนุ่มคนนี้ ในฐานะที่มันเองก็เป็นสามีของสตรีคนหนึ่งมันย่อมมองออกเป็นธรรมดาว่าหัวใจลูกสาวได้อยู่กับชายหนุ่มคนนี้แล้ว


 


และสายตาดังกล่าวนั้น ถึงขั้นตายแทนกันได้!


 


“ผู้อาวุโส ข้ามั่นใจ”


 


เผชิญกับคําห้ามปรามเสียงแข็งของเหลียนชิว ต้วนหลิงเทียนไม่ได้เผยท่าที่เชื่อฟัง เพียงส่งเสียงผ่านพลังกล่าวกับเหลียนชิวเสียงเข้ม “หลังจากนี้ท่านฟังสิ่งที่ข้าจะพูดให้ดี ข้าจะสอนท่านถึงวิธีทําลายค่ายกลและข่ายอาคมพันธนาการที่สะกดท่านกับอาวุโสตู้เสวียนอยู่”


 


“ถึงแม้ว่าค่ายกลกับข่ายอาคมพันธนาการที่กักขังพวกท่านทั้งคู่เอาไว้จะเหมือนกัน แต่ท่านพึงทราบไว้ว่าการทําลายจากภายในกับการทําลายจากภายนอกมันแตกต่างกันหลายขุม”


 


“ด้วยพลังฝึกปรือของท่าน เรื่องจะทําลายค่ายกลและข่ายอาคมที่พันธนาการท่านเอ งมันเป็นเรื่องง่ายดายแต่คิดจะทําลายข่ายอาคมพันธนาการเพื่อช่วยอาวุโสตู้เสวียนคงยากเย็นไม่น้อยแต่ท่านไม่ต้องรีบร้อนและกังวลไป พอข้าขึ้นไปจัดการบางเรื่องเสร็จแล้วหลังข้ากลับลงมา ท่านค่อยลงมือ และตอนนั้นข้าจะช่วยท่านอีกแรง”


 


พพอกล่าวจบคํา ตัวนหลิงเทียนก็ไม่รอให้เหลียนชิวตอบอะไร เพียงส่งเสียงผ่านพลังสอนวิธีการทําลายค่ายกลและข่ายอาคมทันที


 


เป็นธรรมดาว่าวิธีทําลายค่ายกลและข่ายยอาคมพวกนี้ เป็นเขาฟังมาจากวารีเทพชําระโลกาอีกที


 


“ผู้อาวุโสแผนของข้าเป็นแบบนี้”


 


และหลังจากกล่าวสอนอะไรไปหมดแล้ว ก่อนที่ตัวนหลิงเทียนจะเดินขึ้นไปยังชั้นสาม ต้วนหลิงเทียนก็ได้แจ้งเหลียนชิวเกี่ยวกับแผนการของเขาไม่เว้นเรื่องที่คิดจะปลดปล่อยจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 6 บนชั้น 3 ด้วย


 


เหลียนชิวที่ฟังอยู่ก็อื้ออึงไปแล้วจริงๆ มันคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มที่เป็นว่าที่ลูกเขยมันคิดจะก่อการอุกอาจถึงขนาดนี้กระทั่งยังหมายใช้ประโยชน์จากจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 6 บนชั้น 3 อีก!


 


“เข้าใจแล้ว”


 


หลังได้ฟังเสียงผ่านพลังกล่าวเล่าแผนทั้งหมดของต้วนหลิงเทียน กระทั่งเหลียนชิวเองก็มองเห็นโอกาสที่จะหลบหนีออกไปจากที่นี่ สองตายังทอแสงข้าขึ้นมาทันที


 


แน่นอนว่าประกายตาดังกล่าวได้ถูกเปลือกตาที่ปิดตัวลงมาปกปิดเอาไว้ได้อย่างมิดชิดเช่นนั้นต่อให้มีคนอยู่รอบๆ ก็คงยากจะมีใครสังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเหลียนชิวได้


 


ต่อมาต้วนหลิงเทียนกับอาวุโสเซีย ก็เดินขึ้นไปบนชั้น 3 พร้อมๆกัน


 


บนชั้นที่ 3 ของส่วนคุมขังนั้น หากอยู่ในบริเวณใกล้พื้นที่กักกันของนักโทษ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเพื่อบ่มเพาะอะไรได้ กระทั่งยังไม่อาจทําความเข้าใจกฏใดๆได้เลย


 


มีเพียงแต่พื้นที่บริเวณติดกับบันไดเท่านั้นถึงจะสามารถดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดิน รวมถึงทําความเข้าใจกฏได้


 


“ต้วนหลิงเทียนหากเจ้าคิดจะปิดด่านบ่มเพาะก็เชิญเจ้าเถอะ ข้าจักคอยเดินดูค่ายก ลที่กักกักนักโทษเหล่านี้เอาไว้เองว่ามีใดผิดแปลกหรือไม่…”


 


การตรวจสอบส่วนคุมขังชั้น 3 นั้น ไม่ได้ยากอะไร ทั้งหมดที่ต้องสนใจก็คือดูว่าค่ายกลทํางานตามปกติหรือไม่หากเห็นอะไรผิดปกติก็ต้องรีบแจ้งไปยังวังเทียนฉือโดยเร็วที่สุดและวังเทียนฉือจะส่งเหล่าปรมาจารย์ค่ายกลมือฉมังมาจัดการทันที


 


“ไว้ก่อนก็ได้ ข้าไม่รีบร้อนขนาดนั้น”


 


ตัวนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “ไหนๆข้าก็มาแล้ว และข้าก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าต้องดูอย่างไรถึงจะรู้ว่าค่ายกลกับข่ายอาคมทํางานปกติหรือไม่”


 


เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนไม่อาจนั่งอยู่ใกล้ๆบันไดเพื่อบ่มเพาะอย่างที่กล่าวอ้างออกไปได้เขาจําต้องสนทนาหารือกับจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 6 อีก กระทั่งยังต้องสอนวิธีทําลายค่ายกลและข่ายอาคมเพื่อช่วยให้ทั้งหมดหลบหนีออกไปได้


 


“ได้”


 


ชายชราก็ไม่ได้สงสัยอะไรกับคําพูดของต้วนหลิงเทียน มันเดินนําไปแล้วพยายามกล่าวอธิบายวิธีตรวจสอบการทํางานของค่ายกลและข่ายอาคมให้ตัวนหลิงเทียนฟังอย่าละเอียด


 


ต้วนหลิงเทียนก็ทําที่เป็นเออออไปตามประสา ตอบรับชายชราไปอย่างเป็นธรรมชาติ หากแต่หางตานั้นเหลือบไปมองคน 3 คนที่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้ากระต๊อบทั้ง 3 หลัง


 


คนทั้ง 3 ที่ว่า ก็เป็น 3 ใน 4 คนที่เขาเคยเห็นมาก่อน


 


4 คนที่เขาเคยพบเจอในอดีตได้แก่ ชายร่างกํายํา หญิงชราผ่ายผอม ชายชรา และชายหนุ่ม


 


อย่างไรก็ตามตอนี้ชายหนุ่มไม่ได้อยู่นอกกระต๊อบ และประตูกระต๊อบมันก็ปิดอยู่ เห็นได้ชัดว่ามันเก็บตัวอยู่ด้านใน


 


“ผู้อาวุโส”


 


เป้าหมายที่ต้วนหลิงเทียนเลือกก็คือหญิงชราร่างผ่ายผอม และเสียงผ่านพลังที่ส่งตรงถึงหูอีกฝ่าย ก็เข้าประเด็นตรงๆไม่อ้อมค้อมวกวน “รุ่นน้องมีวิธีจะช่วยให้ผู้อาวุโสหลุดพ้นพันธนาการ กระทั่งหลบหนีออกไปจากที่นี่ได้อย่างไรก็ตาม จําต้องได้รับความร่วมมือจากผู้อาวุโสอีก 5 คน”


 


หญิงชราร่างผอมเดิมก็นั่งหลับตาอยู่หน้ากระต๊อบเงียบๆ พอได้ยินเสียงผ่านพลังของต้วนหลิงเทียนนางก็ลืมตาขึ้นมาทันทีและมองจ้องต้วนหลิงเทียนที่เดินอยู่ข้างๆอาวุโสเซียด้วยความสงสัย


 


“อาศัยเจ้า?”


 


เสียงผ่านพลังของหญิงชราร่างผอมเต็มไปด้วยความรังเกียจ ขณะเดียวกันมุมปากนางก็ยกยิ้มแสยะสองตาฉายชัดถึงความดูถูก


 


“ผู้อาวุโสอย่าพึ่งด่วนตัดสิน เพียงฟังรุ่นน้องกล่าวดูก่อน”


 


จากนั้นตัวนหลิงเทียนก็กล่าวบอกวิธีทําลายค่ายกลและข่ายอาคมพันธนาการ ที่วารีเทพชําระโลกากล่าวบอกเขามาอีกทีให้หญิงชราฟังทันที


 


หญิงชรานางนี้อย่างไรก็เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม แม้จะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้เหมือนปรมาจารย์ค่ายกลแต่ระดับนางความรู้พื้นฐานไหนเลยจะไม่มี


 


เช่นนั้นหลังจากฟังวิธีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวมา นางก็รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ที่จะใช้ทําลายค่ายกลและข่ายอาคมน่ารังเกียจพวกนี้ได้จริงๆ!


 


“ไฉนเจ้าถึงต้องช่วยข้าด้วย?”


 


หญิงชราส่งเสียงผ่านพลังไปถามด้วนหลิงเทียนด้วยความสงสัย นางย่อมรู้ดีว่า “ไร้ผลประโยชน์อันใดมอบให้โดยไร้เหตุผล” หากชายหนุ่มชุดม่วงบอกว่าช่วยนางโดยไม่หวังผลตอบแทนนางไม่มีวันเชื่อแน่นอน


 


“ผู้อาวุโส ที่ข้าช่วยเหลือท่าน แน่นอนว่าย่อมหวังผลประโยชน์บางอย่าง…แต่สิ่งที่ข้าต้องการไม่ได้เกี่ยวอะไรกับท่านเลย และไม่จําเป็นที่ท่านต้องรู้สึกติดค้างอะไรข้า”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่คิดปกปิดเรื่องราว เพียงกล่าวออกไปตรงๆ “ทั้งหมดที่ข้าช่วยท่าน เพียงเพราะคิดกวนน้ําจับปลาหมายอาศัยสถานการณ์วุ่นวายพานักโทษที่ข้าตั้งใจมาช่วยที่ชั้น 2 ให้หลบหนีออกไปจากคุกหมื่นพันธนาการเท่านั้น”


 


“นี่คือเหตุผลเดียวที่ข้าคิดจะปล่อยท่านกับอาวุโสคนอื่นๆให้ออกจากชั้น 3 เพราะด้วยพลัง ของท่านกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ หลังออกไปจากคุกหมื่นพันธนาการได้แล้ว ต้องสามารถต้านทานรับ มือจักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือจนหลบหนีไปได้แน่”


 


“หาไม่แล้วถึงข้าจะช่วยคนที่ข้าต้องการออกไป ก็ไม่มีทางหลบหนีไปจากยอดฝี มือของวังเทียนฉือได้”


 


ตัวนหลิงเทียนกล่าว


 


“พวกเรามีกันแค่ 6 คน…แต่วังเทียนฉือมีจักรพรรดิอมตะสมญานามถึง 9 แถมหลายคนยังแข็งแกร่งกว่าพวกเรา”


 


หญิงชรากล่าว “หากพวกมันทั้ง 9 ปรากฏตัววพร้อมกัน ต่อให้เป็นพวกเรา 6 คนก็ไม่ใช่คู่ต่อ


 


กระทั่งอาศัยจ้าววังเทียนฉืออย่างโหยวเชิงอวี่เพียงลําพัง ก็สามารถรับมือพวกเราได้ถึง 2-3 คนแล้ว”


 


ขณะกล่าวถึงจ้าววังเทียนฉือ สองตาหญิงชราก็ฉายความหวั่นเกรงหลายส่วน


 


“อาวุโส เรื่องนี้ท่านไม่ต้องกังวล


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยน้ําเสียงจริงจัง “ข้าได้เตรียมคนที่จะต้านทานรับมือจ้าววังเทียนฉือโหยวเชิงอวี ผู้นั้นเอาไว้แล้ว”


 


“โฮ่?”


 


หญิงชราแปลกใจอยู่บ้าง ถามผ่านพลังต่อว่า “มิทราบเจ้าเตรียมให้ผู้ใดมารับมือมันกัน? อาศัยจักรพรรดิอมตะสมญานามทั่วๆไปไม่น่าจักรับมือมันได้”


 


“ผู้อาวุโสคนที่ข้าพามาเป็นใครท่านอาจไม่รู้จักเพราะคนที่ข้าพามาไม่ใช่คนของอู่หยาเทียนแต่เป็นคนจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมียเทียน”


 


ตัวนหลิงเทียนกล่าว


 


“พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ ขี้เมียเทียน?!”


 


หญิงชราคลี่ยิ้มโง่งม “ช่างบังเอิญจริงๆแม่เฒ่าผู้นี้ก็บังเอิญมีพื้นเพอยู่ในขี้เมียเทียนเช่นกันหลังจากมาถึงอู่หยาเทียนก็ไปมีเรื่องมีราวจนฆ่าอาวุโสวังเทียนฉือไปโดยบังเอิญถึงได้ถูกจับมาขังที่


 


“จักรพรรดิอมตะสมญานามของเมียเทียน ยิ่งเป็นคนที่อยู่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ ตราบใดที่มิใช่ผู้ปลีกวิเวกบ่มเพาะอย่างสันโดษ แม่เฒ่าเช่นข้าย่อมรู้จักไม่น้อย เป็นผู้ใดที่เจ้าตระเตรียมมาเล่า?”


 


หญิงชราเอ่ยถาม


 


“จักรพรรดิอมตะหยกกุ้ง เมิ่งชวน”


 


ตัวนหลิงเทียนกล่าว


 


“เมิ่งชวน!?”


 


ได้ยินคําตอบของต้วนหลิงเทียน ลูกตาหญิงชราหดเล็กลงเร็วไว แลดูเสียอาการไปไม่น้อย “เจ้าหนู…นี่เจ้าคงไม่ได้หลอกข้ากระมัง? เจ้านี้เจ้าไปเชิญเมิ่งชวนผู้นั้นมาที่นี่ได้จริงๆหรือ?”


 


“ผู้อาวุโส ข้าจะไปโกหกท่านเพื่ออะไร”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มขึ้นขม “ข้ามีเหตุผลอะไรที่ต้องโกหกท่านเรื่องนี้ด้วย? หรือท่า นคิดว่าข้าจะว่างถึงขั้นมาแต่งเรื่องราวหลอกท่านเชียวหรือ?


 


“หากเจ้าสามารถเชิญเยิ่งชวนมาได้จริงๆ ถึงแม้พลังฝีมือของมันจักด้อยกว่าโหยวเพิ่งออยู่บ้างแต่หากให้ถ่วงรั้งพัวพันนับว่ามากพอ.สิ่งที่สําคัญที่สุดคือโหยวเชิงอวไม่กล้าฆ่ามันแน่นอน!”


 


“เมิ่งหลัว พี่ชายของเมิ่งชวนผู้นั้นมิใช่คนธรรมดา แต่เป็นมือขวาคนสนิทของใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมียเทียน…หากโหวเชิงอวกล้าแตะต้องเมิ่งชวน น่ากลัวเมิงหลัวจะมาเหยียบวังเทียนฉือพินาศแล้ว”


 


“โหยวเชิงอนั่นแม้จักเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามระดับต้นๆของอู่หยาเทียน แต่พลังฝีมือยังนับว่าอ่อนด้อยกว่าเพิ่งหลัวหลายส่วน หากจะรอดพ้นหายนะก็มีแต่ต้องเชิญจักรพรรดิสวรรค์แห่งอิหยาเทียนมาไกล่เกลี่ยเท่านั้น”


 


“พลังฝีมือของจักรพรรดิสวรรค์ของอู่หยาเทียน แน่นอนว่าย่อมเหนือกว่าเมิ่งหลัว…แต่เบื้องหลังเมิ่งหลัวก็คือจักรพรรดิสวรรค์แห่งเมี่ยเทียน! ตัวตนที่ทุกคนสงสัยกันว่าน่ารัก ทะลวงถึงขอบเขตเทพแล้ว!!”


 


ขณะกล่าวยิ่งมาสองตาหญิงชราก็ยิ่งทอประกายเร่าร้อน


 


“ขอบเขตเทพ?”


 


ต้วนหลิงเทียนตกใจ


 


“ผู้อาวุโส ท่านบอกว่าจักรพรรดิสวรรค์แห่งเมี่ยเทียน อาวุโสฟงชิงหยาง….อาจจะ ทะลวงถึงขอบเขตเทพแล้วหรือ?”


 


ตัวนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


“ใช่”


 


หญิงชรากล่าวตอบ “หลังกลับมาจากนรกอสุรา ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ ได้ลงมือสังหาร เฉินชิวบัว ผู้ที่ประพฤติตัวเป็นนกพิราบชิงรังนกกางเขนได้อย่าง ง่ายดาย. และวันนั้นหลายคนได้ยินเฉินชิวบัวกล่าวเองก่อนตาย ว่าใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ได้บรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว”


 


“ผู้อาวุโส ท่านถึงกับล่วงรู้เรื่องพวกนี้ได้หมายความว่าท่านยังไม่ได้ถูกจับขังอยู่ในคุกหมื่นพันธนาการนานนัก”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่คิดเลย ว่าหญิงชราจะล่วงรู้เรื่องราวที่สมควรเกิดขึ้นในช่วง 100-200 ปีที่ผ่านมาได้


 


“เจ้าหนูต่อให้จะมีคนถ่วงรั้งจ้าววังเทียนฉืออย่างโหวเฟิงอวี่เอาไว้แล้ว แต่อย่างไรก็ยังมีจักรพรรดิอมตะสมญานามเหลืออีก 8 คน อาศัยพวกเรา 6 คนก็ยังยากจะต่อกรพวกมันได้อยู่ดี”


 


หญิงชราเผยความกังวลสืบต่อ


 


“ผู้อาวุโสอย่าได้ห่วงเรื่องนี้”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าววออกเสียงเรียบ “ก่อนที่จะเข้ามาที่นี่ข้าได้เตรียมการเอาไว้แล้วตอนนี้จักรพรรดอมตะทุ่งขจี กับจักรพรรดิอมตะหอนฟ้าแห่งวังเทียนฉือ สมควรเร่งรุดเดินทางออกจากวังเทียนฉือไปแล้ว…”


 


“ข้าหวังให้ท่านผู้อาวุโสนเรื่องนี้ไปบอกกล่าวกับผู้อาวุโสอีก 5 ท่านที่เหลือให้ดี…แต่ขอให้ทั้งหมดอย่าพึ่งลงมือทําลายค่ายกลและพันธนาการ! หากเป็นไปได้ให้รอเวลา 5 วันจะดีที่สุดถึงตอนนั้นข้าจะให้สัญญาณพวกท่านลงมือทําลายค่ายกลและข่ายอาคมในชั้น 3 พร้อมกัน จากนั้นก็หลบหนีไปจากที่นี้ทันที”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวกําชับหญิงชราผ่านพลัง


WSSTH ตอนที่ 3,328 : คนรู้จักในชั้น 3


 


เหตุผลที่ไฉนวนหลิงเทียน คิดให้สัญญาณทุกคนลงมือทําลายค่ายกลและข่ายอาคมพันธนาการเอาไว้พร้อมๆกัน และเริ่มต้นหลบหนีในอีก 5 วันหลังจากนี้ ทั้งหมดเพราะหลังจากนี้อีก 5 วัน ไม่พ้นจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีกับจักรพรรดิอมตะหอนฟ้าคงเดินทางไปถึงสถานที่ๆเขาอุปโลกน์ขึ้นมาเรียบร้อย


 


ถึงตอนนั้นต่อให้ทั้งคู่จะได้รับแจ้งเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะรีบกลับวังเทียนฉือแค่ไหน อย่างน้อยๆก็ต้องใช้เวลาเดินทางไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโกลที่ใกล้ที่สุด 5-6 วัน ก่อน จะกลับมาถึงวังเทียนฉือได้


 


ที่เหมาะสมแก่การลงมือที่สุดก็คือในอีก 5 วันหลังจากนี้!


 


“ไม่ต้องห่วง ข้าจะนัดแนะกับทุกคนให้ดี”


 


หญิงชราตอบ “และเจ้าไม่ต้องห่วง ข้าเชื่อว่าทุกคนสมควรให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เพราะนี่คือโอกาสที่ยากจะปรากฏขึ้นสักครั้ง”


 


หลังกล่าวเห็นด้วยไม่กี่คํา สองตาหญิงชราก็ทอประกายวับวาวนัก


 


เพราะสําหรับตัวนางกับจักรพรรดิอมตะสมญานามอีก 5 คนที่ถูกจับขังอยู่ที่นี่ โอกาสครั้งนี้สมควรเป็นโอกาสหลบหนีที่ดีที่สุดที่จะปรากฏขึ้นในหลุมอาจมแห่งนี้แน่นอน! หากสําเร็จก็กําไรใหญ่หลวงหากล้มเหลวอย่างที่ก็แค่ถูกจับกลับมายังเหมือนเดิม…


 


สําหรับพวกมันแล้ว เรื่องครั้งนี้ไม่ต่างอะไรจากยืดเส้นยืดสายเพื่อลุ้นอิสระภาพแม้แต่น้อย


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมยินดีที่หญิงชราจะช่วยเขาติดต่อกับจักรพรรดิอมตะสมญานามอีก 5 คน ที่เหลือเพราะหากให้เขาไปดําเนินการ แม้สุดท้ายก็คงราบรื่นแต่ต้องเหนื่อยพูดกับคนอีก 5 คนก็ลําบากไม่น้อย


 


ได้หญิงชราช่วยทําให้เรื่องมันง่ายขึ้น ย่อมดีกว่า


 


นอกจากนั้นเขาก็ได้บอกวิธีทําลายค่ากลและข่ายอาคมพันธนาการให้หญิงชราไปแล้ว ตราบใดที่หญิงชรานําไปสอน คนอื่นๆก็ทําได้ไม่ยากนัก


 


“ผู้อาวุโส”


 


แต่เพื่อความปลอดภัย และไม่ให้มีอะไรผิดพลาด ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ส่งเสียงผ่านพลังไปกําชับหญิงชราอีกรอบ “ตอนที่ท่านบอกอาวุโสทั้ง 5 เรื่องนี้ ขอให้ท่านช่วยยเน้นย้ํากับทุกคนว่าอย่าได้ผลีผลามเพียงรออีก 5 วันค่อยลงมือ…แน่นอนว่าที่ให้รออีก 5 วันนั้นข้ามีเหตุผล


 


“เพราะอีก 5 วันหลังจากนี้จักรพรรดิอมตะทุ่งขจีกับจักรพรรดิอมตะหอนฟ้าสมควรเดินทา งไปยังสถานที่ๆข้าอุปโลกน์ขึ้น และกว่าจะเดินทางกลับมาถึงที่นี้ได้ อย่างเร็วที่สุดก็ต้องกินเวลา 5-6 วัน”


 


“หากมีใครไม่อดทนรอแล้วรู่วามลงมือก่อนขึ้นมา เกิดวังเทียนฉือระดมกําลัง จักรพรรดิอมตะทุ่งขจีกับจักรพรรดิอมตะหอนฟ้าที่พึ่งไปได้ไม่ไกลก็จะย้อนกลับมาได้ทันเวลาถึงตอนนั้นเรื่อง ราวก็ย่ําแย่จนทุกคนยากหลบหนีแล้ว…”


 


ฟังจากคําพูดประโยคนี้ของต้วนหลิงเทียน เห็นได้ชัดว่าเขากังวลเรื่องที่จักรพรรดิอมตะสมญานามคนอื่นๆจะใจร้อนลงมือทําลายค่ายกลและข่ายอาคมพันธนาการก่อนเวลาอันควร


 


“เรื่องนี้เจ้าวางใจได้”


 


หญิงชราตอบ “ที่เหลืออีก 5 คนนั้น หลายคนถูกจับมาขังนานกว่ายายแก่ผู้นี้มาก และกระทั่งยายแก่เช่นข้ายังไม่รีบร้อน..เช่นนั้นกับอีกแค่รออีก 5 วันทุกคนย่อมไม่รีบร้อน”


 


ได้ยินคําพูดรับรองของหญิงชรา ต้วนหลิงเทียนก็วางใจไปเปราะหนึ่ง “เช่นนั้นก็ดี”


 


ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็ยังคงเดินลาดตระเวนบนชั้นที่ 3 กับชายชราแซ่เซี่ย หลังเดินวนครบรอบหนึ่งชายชราก็หัวเราะกล่าวว่า “ค่ายกลกับข่ายอาคมไม่มีอันใดผิดปกติต่อไปพวกเราก็บ่มเพาะพลังที่นี้เป็นเวลา 4 เดือนเถอะ”


 


“หลังผ่านไป 4 เดือนแล้ว ค่อยแลกเปลี่ยนชั้นกับคู่อื่น”


 


พอชายชรากล่าวจบคํามันก็ก้าวอาดๆนําไปยังพื้นที่ใกล้ๆบันใด ก่อนจะนั่งลง


 


“อ่า”


 


ขณะที่ตัวนหลิงเทียนกล่าวตอบ เขาก็เดินไปยังพื้นที่ใกล้ๆบันใด หาที่ว่างแล้วนั่งลงเช่นกันจากนั้นก็หลับตาบ่มเพาะพลัง


 


เห็นฉากดังกล่าวชายชราก็หลับตาลง จากนั้นไม่นานมันก็จมจ่อมลงสู่ภวังค์บ่มเพาะ


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนที่หลับตาไปพักหนึ่งก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ลึกลงไปในแววตายยังเผยสีสันแปลกๆปราฏขึ้น “อีก 5 วัน


 


5 วันต่อมา จักรพรรดิอมตะสมญานามทั้งหมดในชั้น 3 จะทําลายค่ายกลและข่ายอาคมพันธนาการทั้งหมดพร้อมกัน


 


นอกจากนี้ ทุกคนก็รับทราบวิธีการฝ่าทําลายค่ายกลและข่ายอาคมที่จัตุรัสสิ้นสุดแล้ว ถึงตอนนั้นต้วนหลิงเทียนจะใช้ช่วงที่คุกหมื่นพันธนาการเกิดความโกลาหลช่วยบิดามา รดาของฮ่วนเอ๋อออกไป!


 


“พอถึงตอนนั้น…หากทําได้ก็สมควรลอบปล่อยนักโทษคนอื่นๆออกไปให้มากที่สุด


 


“จะคนของวังเทียนฉือก็ดีจะไม่ใช่คนของวังเทียนฉือก็ดี”


 


“เพราะยิ่งมีคนเยอะเท่าไหร่ สถานการณ์มันก็ยิ่งวุ่นวายมากขึ้นเท่านั้น โอกาสที่ข้าจะพาบิดามารดาฮ่วนเอ๋อหลบหนีไปได้ก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น”


 


ตัวนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


หลังคิดว่าเข้าท่า เขาก็ลองส่งเสียงผ่านพลังไปหารือกับหญิงชราผ่ายผอมที่อยู่ไกลๆดู


 


“เจ้าทําตามเห็นสมควรเถอะ”


 


ขณะที่หญิงชรากล่าวตอบคํา ตัวนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นว่า นอกจากหญิงชราที่นั่งอยยู่นอกกระต๊อบกําลังมองมาที่เขา ก็มีอีกคนจากกระต๊อบอื่นๆกําลังมองมาที่เขาเช่นกัน


 


ชายหนุ่มที่แลดูเย็นชาครั้งก่อน ตอนนี้ก็กําลังก้าวออกมาจากกระต๊อบแล้วเช่นกัน


 


นอกจากนั้นเขายังได้เห็นจักรพรรดิอมตะสมญานามที่ไม่ได้เห็นตอนมาครั้งก่อน อีกฝ่ายเป็นชายชราที่มีรูปร่างอ้วนท้วมพอสมควร


 


แน่นอนว่านอกจากชายร่างอ้วนคนนี้แล้ว จนบัดนี้เขาก็ยังไม่แลเห็นอีก 1 คน เพราะไม่ ว่าจะครั้งก่อนหรือวันนี้อีกฝ่ายก็อยู่ในกระต๊อบไม่ได้ออกมา


 


กล่าวได้ว่าในบรรดาจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 6 คนบนชั้น 3 ต้วนหลิงเทียนพึ่งจะเคยเห็นแค่ 5 ขาดอีก 1 ที่ยังไม่พบเจอ


 


“เจ้าหนู ว่าแต่เจ้าเรียกว่าอะไรเล่า ข้าก็ลืมถาม”


 


หญิงชราส่งเสียงผ่านพลังมาถามด้วนนหลิงเทียน


 


“ผู้อาวุโสข้าชื่อต้วนหลิงเทียน”


 


ตัวนหลิงเทียนกล่าวตอบ


 


“ข้าแช่เซีย ชื่อจินฮัว หรือจักรพรรดิอมตะผกาทอง”


 


หลังจากหญิงชราแนะนําตัวเองให้ด้วนหลิงเทียนรู้จักแล้ว นางก็ค่อยๆแนะนําจักรพรรดิอมตะสมญานามอีก 4 คนที่เหลือให้ตัวนหลิงเทียนรู้จักเช่นกัน และคนแรกที่นางแนะนําก็คือชายชราที่เส้นผมขนคิ้วกระทั่งหนวดเคราเป็นสีขาวโพลน “ชายชราซ้ายสุดเรียกว่าเคอไปลู่และนําชื่อไปสู่มาตั้งเป็นสมญานามเรียกว่าจักรพรรดิอมตะกวางขาว”


 


“ชายชราผู้นี้มิใช่มนุษย์แต่เป็นสัตว์อมตะ…แล้วก็อย่าได้เข้าใจผิดมันมิใช่สัตว์อมตะอย่างกวางขาวเล่า แค่มันมีชื่อว่ากวางขาวเท่านั้นแต่ร่างที่แท้จริงของมันเป็นสัตว์อมตะสายพันธ์หมาป่า”


 


หญิงชรากล่าว


 


หลังจากแนะนําชายชราผมขาวโพลนแล้ว หญิงชราก็กล่าวแนะนําชายหัวโล้นร่างกํายําทันที “เจ้าโล้นนี้เรียกว่า เถิงฉงป้า หรือจักรพรรดิอมตะขยี้เมฆา”


 


“สําหรับชายชราร่างอ้วนนั้นเรีกว่าหม่าลือ จักรพรรดิอมตะอัสนีกัมปนาท…เจ้าอย่าได้ถูกสมญานามของมันหลอกเชียว มันมิได้เชียวชาญกฏสายฟ้าอันใด แต่เชี่ยวชาญกฏแห่งดินเหมือนพวกเรานั่นล่ะ”


 


“หากกฎที่มันเชี่ยวชาญเป็นกฏสายฟ้า ป่านนี้ไม่พ้นมันถูกโหยวเฟิงอวี้ จ้าววังเทียนฉือฆ่าทิ้งไปแล้ว”


 


หญิงชรากล่าวจบก็หันไปมองชายหนุ่มที่มีใบหน้าเย็นชาที่ยังไม่ได้แนะนํา และชายหนุ่มที่มีใบหน้าเย็นชาผู้นี้ แค่ต้วนหลิงเทียนมองมัน เขาก็รู้สึกเสมือนตกลงไปในหลุ่มน้ําแข็งแล้ว


 


“เจ้านี่ก็เหมือนกับผู้เฒ่าเคอไปลู่ มันมิใช่มนุษย์ แต่ร่างที่แท้จริงของมันดูเหมือนจะเป็นบุปผาน้ําแข็งทมิฬ ที่ถือกําเนิดใต้ธารน้ําแข็งล้านปี เป็นบุปผาอมตะชนิดหนึ่ง”


 


“พลังฝีมือของชายผู้นี้ ในบรรดาพวกเราทั้ง 6 เรียกว่าเป็นรองผู้ที่ยังไม่ปรากฏตัวออกมาแค่คนเดียว…และไม่เพียงแต่จะเชี่ยวชาญกฏน้ําแข็งเท่านั้น ยังเชี่ยวชาญกฏแห่งดินอีกด้วย”


 


“แน่นอนว่ากฏที่มันเชี่ยวชาญมากที่สุดก็คือกฎน้ําแข็ง แต่กระนั้นมันกลับสามารถรอดชีวิตมาได้ด้วยกฏแห่งดินที่มันเข้าใจ”


 


หญิงชราส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “มันถือกําเนิดมาก็ไม่รู้จักใคร ภายหลังจึงตั้งชื่อให้ตัวเองว่าเฉียนปิงและมันก็ตั้งสมญานามว่าน้ําแข็งทมิฬ.ผู้คนเรียกหามันว่าจักรพรรดิอมตะน้ําแข็งทมิฬ”


 


เมื่อชายชรากล่าวแนะนําชายหนุ่มใบหน้าเย็นชาให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก ด้านชายหนุ่ มที่สังเกตว่าต้วนหลิงเทียนมองอยู่ก็หันมาพยักหน้าให้เขาเป็นการทักทาย และมันก็พยายามยกยิ้มให้เขาเช่นกัน ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่แลดูฝืนธรรมชาติใบหน้ามันที่สุด จนแลดูน่าเกลียดไม่ต่างอะไรกับคนร้องไห้


 


“ผู้อาวุโสในเมื่อคนที่เหลืออยู่เป็นคนสุดท้าย สมควรเป็นคนที่มีพลังฝีมือสูงสุดในบรรดาพวกท่านทั้ง 6 แล้วมิทราบพลังฝีมือของคนผู้นั้น ให้เทียบกับจ้าววังเทียนฉือแล้วเป็นเช่นไรหรือ?”


 


หลังละสายตากลับมาจากชายหนุ่ม ต้วนหลิงเทียนก็มองหญิงชรา พลางส่งเสียงผ่านพลังไปถามอีกรอบ


 


“กับคนผู้นั้นโหยวเฟิงอวี่ยังมิใช่คู่มือด้วยซ้ํา!”


 


หญิงชรากล่าว


 


“อะไร!?”


 


ได้ยินคําตอบของหญิงชรา ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลงโดยพลัน “จ้าววังเทียนฉือ มิใช่คู่ต่อสู้…แล้วไฉนคนผู้นั้นถึงโดนจับมาขังในคุกหมื่นพันธนาการได้เล่า?”


 


“สิ่งที่มันเก่งคือการป้องกัน ส่วนโหยวเฟิงอวี้นั้นเก่งโจมตี…แน่นอนว่าการโจมตีของคนผู้นี้ก็มิใช่ชั่ว หากมันประมือกับโหยวเฟิงอวี้วี่เป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ในที่สุดมันก็ต้องเป็นฝ่ายเอาชนะ โหยวเฟิงอวี้ได้แน่ๆ”


 


“แต่เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนที่ว่า มันนานมากพอให้จักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนเร่งรุ ดมาช่วยเหลือแล้ว”


 


กล่าวถึงจุดนี้หญิงชรากระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน “เมื่อมีจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนมากลุ้มรุมลงมือ มันไหนเลยจะสู้ได้ สุดท้ายก็ทําได้แค่ปล่อยให้ตัวเองถูกจับมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะถึงคิดจะหนีก็คงหนีไม่พ้น”


 


“ร้ายกาจขนาดนั้นเชียว”


 


ตัวนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าคนสุดท้ายที่ยังไม่ออกชมาจากกระต๊อบจะมีพลังร้ายกาจถึงขนาดที่ จ้าววังเทียนฉืออย่างโหยวเฟิงอวี้ ก็สู้ไม่ได้แถมถ้าสู้ กันนานพอจะแพ้เอา!


 


ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังถูกจับขังคุกหมื่นพันธนาการ เพราะจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนมารุม


 


“กล่าวไปแล้ว คนผู้นี้ก็มีจุดประสงค์เหมือนเจ้านะ เจ้าหนุ่ม”


 


หญิงชรากล่าว


 


“จุดประสงค์เหมือนข้าหรือ?”


 


ตัวนหลิงเทียนงุนงง ด้วยไม่เข้าใจว่าทําไมหญิงชราถึงพูดแบบนี้


 


“เพราะเหตุผลที่มันมามีเรื่องมีราวกับวังเทียนฉือได้ ก็เพื่อช่วยคน…กล่าวให้ชัดคือตอนแรกมันก็แค่ต้องการให้วังเทียนฉือปล่อยคนที่จับขังคุกไว้คนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเทียนฉือเลือกจะปฏิเสธ เช่นนั้นมันจึงได้แต่ลงมือหมายกําราบโหยวเฟิงอวี้”


 


หญิงชรากล่าวผ่านพลังสืบต่อ “ด้านโหยวเฟิงอวี้นั่น หลังสู้ไปสักพักก็ตระหนักได้ว่าหากสู้กันต่อไปไม่พ้นต้องแพ้พ่ายแน่ เช่นนั้นจึงเร่งรุดขอความช่วยเหลือจากจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียน”


 


“และกระทั่งจักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียนมาช่วยกันรุม ก็ไม่ใช่ว่าจะสยบมันได้ง่ายๆต้องลงแร งไปไม่น้อยกว่าจะจับมันมาขังไว้ในคุกหมื่นพันธนาการได้เช่นนี้…”


 


พอหญิงชรากล่าวถึงจุดนี้ นางก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา “น่าเสียดายที่ชายคนนี้เชี่ยวชาญกฏแห่งดินไม่ถนัดเรื่องการโจมตี”


 


“หาไม่แล้วหากเปลี่ยนเป็นกฎที่โดดเด่นในเรื่องการโจมตี แล้วมีความเข้าใจระดับเดียวกันล่ะก็โหยวเฟิงอวี้อาจจะตกตายไปแล้ว และค่ายกลรวมถึงข่ายอาคมพันธนาการในคุกนี่ก็กักขังมันไว้ไม่อยู่หรอก…”


 


ในบรรดากฏต่างๆนั้น กฎแห่งดินเรียกว่ายืนหนึ่งเรื่องป้องกัน


 


จุดนี้กระทั่งกฏสูงสุดทั้ง 4 ก็ไม่อาจเทียบได้


 


อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เป็นกฎที่โดดเด่นในเรื่องการป้องกันอย่างสุดโต่ง ในแง่ ของการโจมตีรวมถึงความเร็วจึงอ่อนด้อยกว่ากฏอื่นๆ


 


“ถึงจะเป็นผู้ช่วยที่เจ้าหามาได้อย่างเมิ่งชวน ในแง่ความแข็แกร่งแล้ว ยังไม่อยู่ในระดับเดียวกันกับคนผู้นี้เลยต้องเป็นเมิ่งหลัว จักรพรรดิอมตะกร่างสวรรค์ พี่ชายของเมิ่งชวนคนนั้นถึงจะอยู่ในระดับเดียวกัน”


 


หญิงชรากล่าวสืบต่อ


 


หญิงชรากล่าวถึงจุดนี้ สองตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายแววอยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน และจากนั้นไม่ทันไรหญิงชราก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “มันกําลังจะออกมาแล้ว”


 


พอได้ยินคําพูดดังกล่าวของหญิงชรา ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองกระต๊อบหลังสุดท้ายที่ประตูยังปิดอยู่ทันที


 


ครูต่อมาประตูไม้ก็ค่อยๆเปิดออก จากนั้นก็ร่างหนึ่งก้าวออกมาจากด้านใน


 


และผู้ที่ก้าวออกมาจากด้านในนั้น ก็มีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่ม มาในชุดสีขาวกระจ่างปานมะบริสุทธิ์


 


ชายหนุ่มคนนี้จะรูปร่างหน้าตาท่วงท่าลักษณะ หรือความรู้สึกที่ส่งออกมา ล้วนไม่ธรรมดาเหนอผู้คน ราวกับเพียงปรากฏตัวที่ทําให้สรรพสิ่งโดยยรอบหมองลงถนัดตา


 


อย่างไรก็ตามพอเห็นหน้าค่าตาชายหนุ่มชัดๆ ลูกตาตัวนหลิงเทียนก็หดเล็กลงทันใด ใบหน้ายังฉายชัดถึงความตกตะลึงไม่อยากจะเชื่อ


 


เพียงเพราะเขารู้จักชายหนุ่มคนนี้!


 


“พะ..พี่ใหญ่เผย!?”


 


ชายที่พึ่งปรากฏตัวสู่สายตาต้วนหลิงเทียนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพี่ใหญ่เผย ที่มอบแหวน 9 วิญญาณหยางลี้ลับให้ต้วนหลิงเทียน เผยหยวนจี๋!


WssTH ตอนที่ 3,329 : ทลายค่ายกล!


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาพบเจอพี่ใหญ่เผยอีกครั้งที่นี่เวลานี้


 


ในตอนนั้นที่เขาไปพบเจอพี่ใหญ่เผย ทั้งหมดก็เพื่อขอซื้ออุปกรณ์อมตะที่สามารถปกปิดกลิ่นอายของฮ่วนเอ๋อ


 


ครั้งแรกที่พบเจออีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนยังรู้สึกว่าพี่ใหญ่เผยผู้นี้ลึกลับมาก


 


แม้ครั้งหนึ่งเขาจะเคยถามออกไปแล้วว่าพี่ใหญ่เผยใช่จอมราชันอมตะหรือไม่ แต่อีกฝ่ายบอกว่าไม่ใช่


 


ตอนนั้นเขาคิดว่า ในเมื่อพี่ใหญ่เผยไม่ใช่จอมราชันอมตะ ก็สมควรเป็นราชาอมตะ 10 ทิศที่ทรงพลัง ไม่ก็ครึ่งก้าวจอมราชันอมตะ


 


แต่คิดไม่ถึงจริงๆว่าพี่ใหญ่เผยไม่เพียงแต่จะไม่ใช่ราชาอมตะหรือจอมราชันอมตะ แต่อีกฝ่ายเป็นจักรพรรดิอมตะ!


 


ที่สําคัญยังเป็นถึงจักรพรรดิอมตะสมญานาม!


 


“ตัวนต้วนหลิงเทียนรึ?”


 


ขณะที่ตัวนหลิงเทียนกําลังมองเผยหยวนจี๋ด้วยสายตาเหลือเชื่อ ด้านเผยหยวนจี๋ที่สัมผัสถึงสายตาต้วนหลิงเทียนก็มองกลับมาทันที จากนั้นก็แลดูตะลึงไม่ต่าง


 


ถึงวันเวลาจะล่วงเลยไป 200 กว่าปีแล้ว แต่เผยหยวนจี๋ยังจําต้วนหลิงเทียนได้ตั้งแต่แรกเห็นว่าเคยพบเจอกันที่ระนาบหลิงหลัวเทียน


 


ในตอนนั้นมันยังมอบอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันอย่างแหวน 9 วิญญาณหยางลี้ลับให้อีกฝ่าย หวังให้อีกฝ่ายนําแหวน 9 วิญญาณหยินลี้ลับกลับมา


 


นอกจากนั้น มันยังตอบรับคําขอของต้วนหลิงเทียน จนเดินทางออกจากเมืองกันดารแห่งนั้น


 


แต่สิ่งที่มันไม่คิดไม่ฝันก็คือหลังจากมันออกเดินทางไปได้ไม่ทันไร มันกลับได้ยินเรื่องราวหนึ่งโดยบังเอิญในเหลาอาหาร


 


ฟังไปฟังมาก็พบว่าผู้พูดมีญาติที่ไปได้ดิบได้ดีที่วังเทียนฉือ และอีกฝ่ายก็ส่งข้อความมาบอกว่า ได้เห็นสตรีนางหนึ่งจากหลิงหลัวเทียนคิดมาตามหาสามีที่วังเทียนฉือ แต่สุดท้ายก็ถูกจับเอาไว้


 


สตรีที่ว่าเป็นจิ้งจอกมายานามว่า ตู้เสวียน


 


ตู้เสวียน…นั่นไม่ใช่ชื่อของหลานสาวตัวน้อยของตู้เฟยหรือไร?


 


ชื่อ ตู้เสวียน ไม่ใช่ชื่อแปลกหูสําหรับเผยหยวนจี๋ เพราะมันมักจะได้ยินตู้เฟยเอ่ยถึงมาก่อน


 


และตู้เฟยก็เป็นหนึ่งในสตรีที่มันเคยสนิทสนมด้วยขณะท่องไปทั่วระนาบเทวโลกทั้งมวลและในบรรดาสตรีที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ตู้เฟยก็คือคนที่มันไม่อาจลืมเลือนกว่าใคร


 


กระทั่งกว่าจะรู้ใจตัวเอง ว่าที่แท้มันรักตู้เฟยเข้าให้จริงๆ ก็สายเกินไปแล้ว


 


สุดท้ายมันจึงคิดจะตามหาแหวน 9 วิญญาณหยินที่เคยเป็นของตู้เฟยมาเก็บไว้ เพื่อให้เป็นสิ่งแทนใจสุดท้ายไว้รําลึกถึงเรื่องราวระหว่างมันกับตู้เฟย


 


และด้วยความรู้สึกที่มีต่อตู้เฟย กอปรกับได้รู้ใจตัวเองแล้ว มันจึงตัดสินใจเดินทา งมาวังเทียนฉือเพื่อคิดจะช่วยเหลือหลานสาวตัวน้อยของตู้เฟย


 


อย่างไรก็ตามในขณะที่มันกําลังกดดันจ้าววังเทียนฉือ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหน้าด้านเรียกจักรพรรดิสวรรค์อู่หยาเทียนมากลุ้มรุม สุดท้ายก็ทําได้แค่ถูกจับมาขังอยู่คุกหมื่นพันธนาการ


 


กล่าวได้ว่ามันไม่เพียงแต่จะล้มเหลวเรื่องช่วยหลานสาวตัววน้อยของตู้เฟย แต่มันยังติดแหงักอยู่ที่นี่ไม่อาจไปไหนได้


 


มันก็ไม่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนจะช่วยตามหาแหวน 9 วิญญาณหยินให้มันแล้วหรือไม่


 


อย่างไรก็ตาม ต่อให้หลับมันก็ไม่อาจฝันถึง ว่าหลังจากถูกขังอยู่ในคุกหมื่นพันธนาการมา 200 กว่าปี มันจะได้พบเจอต้วนหลิงเทียนอีกครั้งในคุกหมื่นพันธนาการแห่งนี้


 


นอกจากนั้นดูจากตําแหน่งที่ต้วนหลิงเทียนนั่งอยู่ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ถูกวังเทียนฉือจับขังแต่เป็นเหมือนศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือที่ทําหน้าที่ผู้คุมมากกว่า!


 


“ต้วนหลิงเทียน ไฉนเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้…นี่เจ้าเข้าร่วมกับวังเทียนฉืองั้นรึ?”


 


เผยหยวนจี๋กล่าวถามด้วยความตกใจ


 


“ใช่”


 


ตัวหลิงเทียนตอบกลับ


 


“เมื่อครู่จักรพรรดิอมตะผกาทองบอกข้าว่ามีคนจะช่วยพวกเราแหกคุกหมื่นพันธนาการ หรือนั่นจะเป็นเจ้า?”


 


ที่เผยหยวนจี๋ออกมา ก็เพราะหญิงชรากล่าวผ่านพลังมาบอกเรื่องมีศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือคิดจะช่วยทุกคนแหกคุก


 


และเหตุผลในการช่วยให้พวกมันแหกคุกของศิษย์อัจฉริยะวังเทียนฉือดังกล่าว ก็เพราะ คิดช่วยนักโทษในชั้น 2


 


ตอนนี้พอมันออกมาเห็นคนของวังเทียนฉือ 2 คน และหนึ่งในนั้นคืออาวุโสในคุกหมื่นพันธนาการของวังเทียนฉือ


 


ดังนั้นมันก็รู้ได้ทันทีว่าศิษย์อัจฉริยะที่ เชี่ยจินฮัวกล่าวก็คือต้วนหลิงเทียน


 


“พี่ใหญ่เผยเป็นข้าเอง”


 


หลังต้วนหลิงเทียนตอบจบ ก็ย้อนถามกลับไปด้วยความสงสัยว่า “พี่ใหญ่เผย แล้วท่านเล่าไฉนมาอยู่ที่นี่ได้ ข้าได้ยินจักรพรรดิอมตะผกาทองกล่าวว่าท่านมาที่วังเทียนฉือเพราะคิดให้วัง เทียนฉือปล่อยคน แต่สุดท้ายก็ถูกจักรพรรดิสวรรค์มากลุ้มรุมจนถูกจับขังแทนงั้นหรือ?”


 


“ใช่”


 


เผยหยวนจี๋ตอบ “หากจักรพรรดิสวรรค์อู่หยาเทียนไม่มา เรื่องราวก็คงจบอีกอย่าง…แต่เพราะมันมาข้าเลยถูกขังไว้ที่นี่ และก่อนจะเกิดเรื่องข้ายังไม่มีเวลาไปจัดการเรื่องที่เจ้าร้องขอด้วยซ้ำ


 


กล่าวถึงท้ายประโยค เสียงของเผยหยวนจี๋ก็เผยความรู้สึกผิดไม่น้อย


 


“เรื่องนั้นช่างเถอะพี่ใหญ่เผย เพราะทั้งหมดเป็นเรื่องเท็จที่ข้าถูกสาวน้อยหลอกมาเท่านั้นว่าแต่ท่านมาช่วยผู้ใดที่นี่เล่า?”


 


ตัวนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


ในความเห็นของเขา คนที่ทําให้พี่ใหญ่เผยเร่งรุดออกจากหลิงหลัวเทียนมาช่วยถึงวังเทียนฉือทั้งยังเกิดการลงมืออุกอาจอย่างคิดทุบตีจ้าววังเทียนฉือได้นั้น สมควรมีสัมพันธ์อันดีกับพี่ใหญ่เผยไม่น้อย


 


เพราะสุดท้ายแล้ววังเทียนฉือก็เป็นขุมกําลังระดับสวรรค์ ถึงแม้พี่ใหญ่เผยจะร้ายกาจ แต่หากไม่ใช่เพราะคิดช่วยชีวิตคนสําคัญเกรงว่าคงไม่บุกมาก่อเรื่องล่วงเกินหักหน้าวังเทียนฉือขนาดนี้


 


“เป็นหลานสาวของสหายเก่าที่ตายตกน่ะ”


 


เผยหยวนจี๋ถอนหายใจ


 


“หลานสาวของสหายเก่า?”


 


พอได้ยินคําตอบของเผยหยวนจี๋ ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นในใจก็บังเกิดความคิดอุกอาจหนึ่งในหัว อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไปว่า “พี่ใหญ่เผย.สหายเก่าที่ท่านว่าคงไม่ใช่อาวุโส เฟยหรอกนะ?”


 


“หืม? เจ้ารู้จักตู้เฟยได้อย่างไร..หรือนางยังทิ้งเศษเสี้ยวสํานึกของนางเอาไว้ในโลกใบเล็ก?”


 


ลูกตาเผยหยวนจี๋หดเล็กลงเร็วไว เร่งถามออกมา


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “เรื่องที่ท่านมอบแหวน 9 วิญญาณหยางให้ข้าเพื่อหาแหวน 9 วิญ ญาณหยินนั้นราบรื่นและลุล่วงไปด้วยดี…เพียงแต่แหวน 9 วิญญาณหยินนั้นถูกเก็บไว้ในมือของเศษเสี้ยวสํานึกที่ผู้อาวุโสตู้เฟยหลงเหลือไว้”


 


“ต่อมา หลังจากอาวุโสตู้เฟยมอบแหวน 9 วิญญาณหยินให้ข้าแล้ว ก็ฝากฝังข้าให้มาบอกท่านว่าหากเป็นไปได้ก็ขอให้ท่านคอยดูแลฮ่วนเอ๋อด้วย”


 


ตัวนหลิงเทียนกล่าว


 


“ฮ่วนเอ๋อ?”


 


เผยหยวนจี๋ “สาวน้อยเผ่าจิ้งจอกมายาที่ติดตามเจ้าในตอนนั้นนะหรือ?”


 


“ใช่”


 


ตัวนหลิงเทียนตอบกลับ


 


“เท่าที่ข้ารู้จักตู้เฟยมา หากไม่ใช่คนที่ใกล้ชิดและสําคัญกับนางมากจริงๆ นางไม่มีทางฝากฝังให้ข้าช่วยดูแลแน่…ที่แท้ฮ่วนเอ๋อเกี่ยวข้องกับนางอย่างไรกันแน่?”


 


เผยหยวนจี๋เอ่ยถามอีกครั้ง


 


“ฮ่วนเอ๋อ ต้องเรียกนางว่ากูป่อ”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มขึ้นขม พลางกล่าว “พี่ใหญ่เผยหากข้าเดาไม่ผิดที่ท่านมาวังเทียนไม่พ้น เพราะคิดช่วย ตู้เสวียน หลานสาวของอาวุโสตู้เฟยใช่หรือไม่?”


 


“ใช่”


 


เผยหยวนจี๋มองตอบต้วนหลิงเทียนด้วยความแปลกใจ จากนั้นคล้ายจะคิดอะไรได้ ลูกตาของมันก็หดเล็กลงทันที “เจ้า…คนที่เจ้าคิดจะช่วยคงไม่ใช่ตู้เสวียนหรอกนะ?”


“ไม่ผิด”


 


ตัวนหลิงเทียนคลี่ยิ้มเหยเก ตอบกลับ “ตู้เสวียนเป็นมารดาของฮ่วนเอ๋อ แน่นอนว่าข้ามาไม่ได้คิดจะช่วยตู้เสวียนคนเดียวแต่ยังคิดช่วยเหลียนชิวอีกด้วย”


 


“พี่ใหญ่เผยเองก็คงทราบแล้วกระมัง ว่าที่อาวุโสตู้เสวียนโดนวังเทียนฉือจับขังในคุกหมื่นพันธนาการ ทั้งหมดเพราะคิดมาตามหาเหลียนชิว?”


 


ตัวนหลิงเทียนกล่าว


 


“ข้าไม่คิดจริงๆ ว่าใต้หล้าจะมีเรื่องบังเอิญพรรค์นี้…”


 


เผยหยวนจี๋ถอนหายใจกล่าวออกด้วยน้ําเสียงสะทกสะท้อน ค่อยถามต่อว่า “อย่างไรก็ตามเจ้าหนูในช่วง 200 กว่าปีที่ผ่านเข้าไปผจญภัยอะไรมากันแน่ ไฉนถึงเติบโตมาถึงขนาดนี้แล้ว


 


เล่า?”


 


“ถึงกับรู้วิธีทําลายค่ายกลข่ายอาคมพันธนาการที่นี่ด้วยซ้ํา”


 


“แล้วนี่ด่านพลังของเจ้าบรรลุถึงขั้นใดแล้ว?”


 


เผยหยวนจี๋เอ่ยถามออกมาระรัว


 


“ข้าพึ่งจะทะลวงถึงจอมราชันอมตะ 6 ผสาน”


 


ตัวนหลิงเทียนกล่าว


 


“เจ้า..เจ้าเป็นจอมราชันอมตะ 6 ผสานแล้ว!?”


 


เผยหยวนจี๋พอได้ฟังคําของต้วนหลิงเทียนก็ชักหน้าเหวออย่างเสียอาการ ต้องทรา บว่าตอนที่มันเจอชายหนุ่มคนนี้เมื่อ 200 กว่าปีก่อน อีกฝ่ายยังเป็นแค่ยอดเซียนอมตะอยู่เลยไม่ใช่หรือ?


 


พอรับทราบว่าเผยหยวนจี๋ถูกขังในคุกหมื่นพันธนาการของวังเทียนฉือด้วยเหตุผลอะไร ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจลับๆในใจ และรู้สึกว่าโลกนี้มันแคบอย่างไรชอบกล


 


ขณะเดียวกันเขาก็ได้รับทราบเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเผยหยวนจี๋กับตู้เฟยจากเสียงผ่านพลังของเผยหยวนจี๋อีกด้วย


 


“พี่ใหญ่เผย ตอนนี้แหวน 9 วิญญาณหยินหยางของท่านอยู่กับส่วนเอ้อ…หลังข้าช่วยอาวุโสเสวียนกับเหลียนชิวได้แล้ว ข้าจะพาทุกคนไปหาส่วนเอ้อ ถึงตอนนั้นข้าจะให้ส่วนเอ่อคืนแหวนให้ท่าน”


 


ตัวนหลิงเทียนกล่าวกับเผยหยวนจี๋


 


“ไม่จําเป็น”


 


เผยหยวนจี๋คลี่ยิ้มกล่าว “ในเมื่อฮ่วนเอ๋อเป็นเหลนของนาง เช่นนั้นก็ให้ฮ่วนเอ๋อเก็บแหวน 9 วิญญาณหยินหยางไว้เถอะ…ที่ข้าอยากเก็บแหวน 9 วิญญาณหยินดี้ลับ ให้กลับมาเข้าคู่กับแหวน 9 วิญญาณหยางลี้ลับ…ก็เพราะในอดีตข้าเคยซื้อมันมาเป็นอาวุธคู่ไว้ใช้กับตู้เฟย…”


 


“ตอนนั้นข้าเองก็ยังไม่ใช่จักรพรรดิอมตะเลย…”


 


กล่าวถึงจุดนี้ แววตาเผยหยวนจี๋ก้เริ่มพร่ามั่วคล้ายกําลังหวนรําลึกถึงวันวาน ครั้งยังอยู่ กับตู้เฟย


 


เมื่อได้พบเจอเผยหวนอย่างไม่คาดฝัน ต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งมุ่งมั่นมากขึ้น และเชื่อว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 6 ที่เขาช่วย จะต้องส่งผลให้เขาช่วยบิดามารดาของส่วนเอ้อออกไปได้แน่


 


และจักรพรรดิอมตะสมญานามอื่นๆนั้น อาจเมินเฉยเขาหลังออกจากคุกหมื่นพันธนาการไปได้แล้ว


 


อย่างไรก็ตามพี่ใหญ่เผยไม่มีวันเมินเฉยเขาแน่ กระทั่งยังจะช่วยพาเขากับพ่อแม่ส่วนเอ้อหลบหนี้สุดกําลัง


 


แม่ของฮ่วนเอ๋อเป็นหลานรักของตู้เฟย ที่เป็นอดีตสตรีรู้ใจของพี่ใหญ่เผย และเหตุผลที่ไฉนพี่ใหญ่เผยมาถูกขังอยู่ที่นี่ก็เพราะแม่ฮ่วนเอ๋อ


 


“พี่ใหญ่เผย ท่านมีสมญานามว่าอะไรหรือ?”


 


ตัวนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยสงสัย


 


“ไร้ธุลี”


 


เผยหยวนจี๋กล่าวตอบ


 


“จักรพรรดิอมตะไร้ธุลี”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง “พี่ใหญ่เผย ท่านตั้งสมญานามได้เหมาะสมกับท่านจริงๆ”


 


“แล้วเจ้าเล่า คงไปเที่ยวเล่นที่วิหารเชิงฮ่าวจนได้รับสมญานามจอมราชันอมตะมาแล้วกระมัง?”


 


เผยหยวนจี๋เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม


 


“พึ่งไปมาเมื่อไม่นานนี้เอง”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มตอบ


 


“ตั้งสมญานามว่าอย่างไร?”


 


“หมอกพิรุณ”


 


ได้พบเจอเผยหยวนจี๋ โดยที่เป้าหมายของเผยหยวนจี๋ก็คือช่วยมารดาฮ่วนเอ๋อเหมือนกับเขาช่างเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายสําหรับตัวนหลิงเทียนจริงๆ


 


5 วันหลังจากนั้นเขาก็สนทนากับเผยหยวนไปเรื่อย


 


และตลอด 5 วันที่ผ่านมาเขาก็มีคุยกับจักรพรรดิอมตะสมญานามอีก 5 คนเป็นระยะๆ รวมถึงหลังจักรพรรดิอมตะผกาทองและคนอื่นๆรู้ว่าเขากับพี่ใหญ่เผยรู้จักกันมาก่อน ทั้งหมดก็แลดูสุภาพกับเขามากขึ้น


 


เผยหยวนจี๋นั้นแม้จะถูกจับมาขังก่อนหน้าเซี่ยจินฮัวแค่คนเดียว แต่อีก 4 คนก็เคารพนับถือมาก


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว พลังฝีมือของเผหยวนจี๋ ต่อให้มองไปในบรรดาจักรพรรดิอมตะสมญานามระดับต้นๆแต่ก็จัดว่าอยู่ในอันดับกลางค่อนไปทางสูง


 


ในโลกนี้ทุกคนล้วนเคารพผู้เข้มแข็งเสมอ


 


เวลาเพียง 5 วันสําหรับตัวนหลิงเทียนกับคนอื่นๆ ก็เสมือนผ่านไปในพริบตาเดียว


 


“เริ่มกันเลยเถอะ”


 


และ 5 วันต่อมาเผยหยวนจี๋ก็หันไปกล่าวกับจักรพรรดิอมตะสมญานามอีก 5 คนเป็นการให้สัญญาณจากนั้นก็เป็นผู้นําใช้วิธีทําลายค่ายกลและข่ายยอาคมพันธนาการที่ต้วนหลิงเทียนสอนมาทันที!


 


ปงงงง!!


 


ครืนนนนน!!


 


พริบตาค่ายกลทั้งข่ายอาคมพันธนาการบนชั้น 3 ของคุกหมื่นพันธนาการก็ถูกทําลายย่อยยับ!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)