War sovereign Soaring The Heavens 3316-3319

 ตอนที่ 3,316 : บิดาของฮ่วนเอ๋อ


 


หลังจากเดินขึ้นบันไดมาถึงชั้น 2 ได้ไม่ทันไร เสียงผ่านพลังของฮ่วนเอ๋อก็ดังขึ้นใน หูต้วนหลิงเทียนทันที “พี่หลิงเทียน ข้า…ข้าสัมผัสได้..ข้าสัมผัสได้ถึงลมหายใจของท่านแม่ ท่านแม่อยู่ตรงนั้น!”


 


หลังได้ยินเสียงผ่านพลังของฮ่วนเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนก็มองไปตามสายตานางทันที จากนั้นจึงพ บลูกกรงห้องขังที่เรียงรายเป็นแถว ก่อนจะไปหยุดยังห้องขังท้ายๆ แต่เขาไม่อาจแลเห็นคนที่อยู่ด้า นในจากมุมนี้ได้


 


และในตอนนี้เองอาวุโสเซียที่เป็นผู้นําทางของพวกเขา ก็ได้ก้าวนําออกไปพร้อมเริ่มกล่าวคําแนะนําออกมา โดยบอกต้วนหลิงเทียนว่าผู้ที่ถูกจองจําอยู่ในห้องขังต่างๆเป็นใคร และทําความผิดอะไรมาบ้าง เขาจึงได้รู้ว่านักโทษบนชั้น 2 นี้ก็ไม่ใช่คนของวังเทียนฉือทั้งหมด แต่ยังมีคนนอกที่เคยล่วงเกินและสร้างความขุ่นเคืองให้วังเทียนฉือรวมอยู่ด้วย


 


ไม่นานนักชายชราก็พาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อมาถึงบริเวณที่มีห้องขัง 2 แถวตั้งขนานกัน


 


ด้านหนึ่งมีห้องขัง 3 ห้อง โดยห้องตรงกลางนั้นว่างเปล่าไร้ผู้คน ส่วนอีก 2 ห้องที่เหลือ 1 ในนั้นมีชายวัยกลางคนกําลังนั่งขัดสมาธิอยู่ เส้นผมบนหัวของมันเป็นสีขาวโพลนราวหิมะ


 


และห้องขังอีกแถวที่ตั้งอยู่ตรงข้าม ห้องขังที่ตรงกับห้องขังนี้พอดี ก็มีจิ้งจอกสีขาวตัว ใหญ่นอนแน่นิ่งอยู่ หากไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงลมหายใจแผ่วๆ บางทีเขาคงคิดว่าจิ้งจอกตัวนี้ตายไปแล้ว


 


หลังมองพินิจดูพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ว่าจิ้งจอกดังกล่าวเป็นจิ้งจอกมายา และตอนนี้ อยู่ในสภาพสลบไสลไม่ได้สติ


 


เส้นขนที่ขาวราวหิมะของจิ้งจอกมายาตัวนี้ ชุ่มโชกไปด้วยเลือดสีแดงกว่าครึ่ง กระทั่งหากมองพื้นห้องขังหลังที่ลูกกรงให้ดี จะพบว่ามันเจิ่งนองไปด้วยคราบโลหิตที่ย้อมไปกว่าครึ่งห้องขังแล้ว! โลหิตเพิ่งนอกมากมายแบบนี้ ชวนให้ผู้คนที่ชมมองอดเสียขวัญไม่ได้จริงๆ!


 


“พี่หลิงเทียน…นั่นคือท่านแม่…นั่นคือท่านแม่ของฮ่วนเอ๋อ!”


 


ทันใดนั้นเองในหูต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงผ่านพลังด้วยความตื่นเต้นทั้งกระวนกระวายของ ฮ่วนเอ๋อตั้งขึ้น อย่างไรก็ตามสีหน้าท่าทีของฮ่วนเอ๋อผิวเผินยังแลดูสงบ เพื่อไม่ให้ชายชราพบเห็น พิรุธและสิ่งผิดปกติใดๆ


 


เพราะนางรู้ดีว่าตอนนี้หากนางหลุดอาการเผยพิรุธอะไรออกไปล่ะก็ วันหน้าเกรงว่านาง อาจจะไม่ได้เข้ามาในคุกหมื่นพัธนาการอีก


 


ถึงตอนนั้นหากนางคิดจะช่วยมารดาออกไป เกรงว่าคงยากเย็นยิ่งกว่าเก่า


 


อันที่จริงแม้วนเอ๋อจะไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาของฮ่วนเอ๋อก็ได้บอกต้วนหลิงเทียนหมดทุกอย่าง ทําให้เขารู้ได้ทันทีว่าจิ้งจอกสีขาวที่นอนสลบไสลจมกองเลือดอยู่สมควรเป็นมารดาของฮ่วนเอ๋อ ตู้เสวียน สําหรับชายวัยกลางคนที่อยู่ห้องขังฝั่งตรงข้าม ก็เห็นได้ไม่ยากว่าเป็น ศิษย์อัจฉริยะแห่งขุนเขากระบีฟ้าบิดาของฮ่วนเอ๋อ!


 


“พี่หลิงเทียนฮ่วนเอ๋อส่งเสียงผ่านพลังไปหาท่านแม่แล้วแต่ท่านแม่ไม่ตอบฮ่วนเอ๋อ…ท่านแม่ ต้องบาดเจ็บสาหัสแน่ หาไม่แล้วไม่มีทางที่ท่านแม่จะไม่ตอบฮ่วนเอ๋อ”


 


ฮ่วนเอ๋อกล่าวผ่านพลังไปหาต้วนหลิงเทียนด้วยน้ําเสียงสั่นเครือ ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินก็สงสารนางจับใจ


 


“ฮ่วนเอ๋อ ข้าใช้สํานึกเทวะตรวจสอบอาการท่านแม่ของเจ้าอย่างละเอียดแล้ว…ท่านแม่ของเจ้ายังไม่มีอันตรายถึงชีวิต เกี่ยวข้าจะลองติดต่อชายวัยกลางคนที่อยู่ห้องขังฝั่งตรงข้ามดู ชายคนนั้นสมควรเป็นท่านพ่อของฮ่วนเอ๋อ”


 


หลังจากต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังคุยกับฮ่วนเอ๋อ เขาก็หันไปให้ความสนใจกับชายวัยกลางคนผมขาว และส่งเสียงผ่านพลังไปถึงอีกฝ่ายทันที “จิ้งจอกมายาในห้องขังตรงข้ามกับท่าน นางใช่มีนามว่า ‘ตู้เสวียน’ หรือไม่?”


 


“หืม?”


 


แทบจะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเสียงผ่านพลังต้วนหลิงเทียนดังจบคํา ชายวัยกลางคนที่นั่งหลับตาขัดสมาธิอยู่ก็ลืมตาขึ้นมา จากนั้นสายตาราวกับมีอัสนีบาดฟาดพลันจับจ้อ งมองสบตาต้วนหลิงเทียนทันที


 


เป็นธรรมดาว่าฉากนี้ในสายตาของชายชรา ก็เสมือนต้วนหลิงเทียนหันไปมองชายวัยกลางคน และชายวัยกลางคนก็สมควรสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของพวกมันทั้ง 3 เช่นนั้นจึงลืมตาขี้นมามองผู้มาใหม่


 


“เจ้าเป็นผู้ใด ไฉนถึงได้ล่วงรู้นามของภรรยาข้าได้?”


 


ชายวัยกลางคนเหลือบมองชายชราด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะลอบส่งเสียงผ่านพลังไปถาม ต้วนหลิงเทียนอย่างไร้พิรุธ


 


“ท่านรู้ตัวหรือไม่ ว่าท่านมีลูกสาว?”


 


ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงไปถามต่อ


 


“ย่อมรู้”


 


ชายวัยกลางคนตอบกลับ พลางย้อนถาม “ที่แท้เจ้าเป็นใครกันแน่? ไฉนไม่เพียงแต่รู้ชื่อของเสวียนเอ้อ แต่ยังรู้ว่าข้ากับนางมีลูกสาวด้วยกัน?!”


 


“เพราะลูกสาวของท่าน คือสตรีที่อยู่ข้างกายข้าตอนนี้”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังประโยคนี้ไป เขาก็เร่งส่งเสียงผ่าน พลังตามติดไปเร็วไว “ท่านอย่าได้แสดงออกมากเกินไป เพราหากมีคนพบตัวตนของนาง ไม่แน่ นางอาจถูกวังเทียนฉือจับขังไว้อีกคน”


 


สองตาชายวัยกลางคนผมขาวลุกวาวขึ้นมาทันใดหลังได้ยินวาจาผ่านพลังประโยคแรกของ ต้วนหลิงเทียน แต่ในขณะที่มันกําลังจะหันมองไปทางฮ่วนเอ๋อ เสียงผ่านพลังประโยคหลังของ ต้วนหลิงเทียนก็ดังขึ้นในหูอย่างทันท่วงที


 


เพราะคําเตือนนี้เอง ทําให้มันเพียงมองส่วนเอ่อผ่านๆอย่างไม่เจาะจง


 


และเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต มันยังเบนสายตาไปเหลือบมองชายชราข้างกายต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาเยียบเย็น


 


อย่างไรก็ตาม หลังจากเห็นว่าชายชราไม่ได้สนใจใยดีมันเลย มันก็ลอบกลอกตามองไปทางฮ่วนเอ๋ออีกรอบ แววตายังกลายเป็นอ่อนโยนลงทันตาเห็น


 


“คนผู้นี้ก็คือศิษย์อัจฉริยะของขุนเขากระบี่ฟ้า เหลียนชิว”


 


ชายชราเหลือบมองชายวัยกลางคนด้วยสายตาไม่แยแสปราดหนึ่ง ก็หยุดลงพลางหันไปกล่าวบอกต้วนหลิงเทียนอย่างตรงไปตรงมา “มันเป็นคนที่ทําลายสัญญาวิวาห์ ระหว่างวังเทียนฉือเรากับขุนเขากระบีฟ้าแห่งเมียเทียน…สุดท้ายก็ถูกผู้นําขุนเขากระบีฟ้าประกาศตัดสัมพันธ์ แถมยังจับตัวมันส่งมาให้วังเทียนฉือเราสําเร็จโทษ! สุดท้ายจึงถูกพวกเราจับขังไว้ในคุกหมื่นพันธนาการแห่งนี้”


 


“ส่วนจิ้งจอกสีขาวที่อยู่ในห้องขังฝั่งตรงข้ามก็คือภรรยาของมัน…เพียงเพราะจิ้งจอกขาวตัวนี้ มันถึงกับหาญกล้าทําลายสัญญาวิวาห์หาเรื่องใส่ตัว ซ้ำยังทําให้จิ้งจอกขาวตัวนี้พลอยประสบเคราะห์ไปกับมันด้วย”


 


ขณะกล่าวถึงท้ายประโยคชายชราผมฟูดังราชสีห์ขนขาวก็ส่ายหัวไปมา และพอมองไปยัง จิ้งจอกขาว แววตามันก็ฉายความเวทนาสงสารออกมาอย่างอดไม่ไหว ก่อนจะละสายตากลับมาแล้วเดินหน้าไปต่อ


 


“อ้อ”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบด้วยท่าทางเฉยเมย จากนั้นก็จับมือฮ่วนเอ๋อเดินตามชายชราไปติดๆ แน่นอนว่าสายตาของฮ่วนเอ้อก็ได้ละออกมาจากร่างมารดาและไปตกยังร่างชายวัยกลางคนได้สักพักแล้ว ทั้งยังยากจะละสายตากลับมาอยู่นาน


 


‘ฮ่วนเอ๋อ….นางนางคือฮ่วนเอ๋อจริงๆ เป็นลูกสาวของข้ากับเสวียนเอ้อไม่ผิดแน่! ดวงตาของนางเหมือนกับเสวียนเอ๋อไม่มีผิด!!’


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกุมมือฮ่วนเอ๋อตามหลังชายชราจากไป เหลียนชิวก็หลับตาลงและไม่มองฮ่วนเอ๋ออีกต่อไป อย่างไรก็ตามในใจของมันบัดนี้เสมือนมีมรสุมโหมกระหน่ําดั่งฟ้าคุ้มฝนคลั่ง ‘ทั้งเค้าโครงใบหน้าของนาง ก็ละม้ายคล้ายเสวียนเอ้ออยู่หลายส่วน’


 


ตอนแรกเหลียนชิวก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองมีลูกสาว


 


มารู้เอาตอนที่ตู้เสวียนโดนจับตัวมากักขังในคุกหมื่นพันธนาการเพราะมาตามหามัน ทําให้มัน รับทราบว่าก่อนภรรยารักจะมาตามหาตัวมัน นางได้ทิ้งลูกน้อยเอาไว้ที่หลิงหลัวเทียนเพียงลําพัง..


 


วันนั้นพอทราบเรื่องนี้ ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในใจของมันคือโทสะมันโกรธนัก! โกรธที่ไฉน ภรรยารักถึงได้ทิ้งลูกสาวตัวน้อยเอาไว้เพียงลําพัง แล้วพาตัวเองมาติดกับที่วังเทียนฉือแบบนี้ได้!


 


อย่างไรก็ตาม พอเห็นภรรยารักที่ถูกจับขังโดนคนของวังเทียนฉือทรมานอย่างสาหัสสากรรจ์ ในใจของมันก็เสมือนมีร้อยมีดกรีดเฉือน ใจเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน ไร้ซึ่งความโกรธใดๆหลงเหลือ ยังได้แต่ภาวนาอย่างอกสั่นขวัญแขวนทุกคืนวัน หวังว่าลูกน้อยที่เผชิญโลกกว้างเพียงลําพัง จะแคล้วคลาดปลอดภัยไร้ภยันตรายใดๆกล้ํากราย


 


มันได้ปลงกับชะตาชีวิตของตัวเองแล้ว ยังรู้สึกปลงกับชะตาชีวิตภรรยาอีกด้วย แถมยังรู้สึกสิ้นหวัง หนทางเบื้องหน้ามืดมิดไปหมด เพราะรู้สึกว่าจะไม่มีวันได้เห็นหน้าลูกสาวไปชั่วชีวิต


 


หากทว่าวันนี้อยู่ๆก็มีคนแปลกหน้ามาปรากฏตัวต่อหน้ามัน และในบรรดาคนแปลกหน้าทั้งสอง ชายหนุ่มหล่อเหลาในชุดสีม่วงคนนั้น กลับส่งเสียงผ่านพลังมาบอกมันว่า ลูกสาวที่มัน คิดถึงและเป็นห่วงทุกคืนวันยืนอยู่ข้างๆกาย…มันที่หันไปมองดูพอเห็นสตรีในชุดขาวถัดจากชาย หนุ่มชุดม่วง มันก็บอกได้ทันทีว่านี่คือลูกสาวของมันแน่นอน ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานอะไรยืนยัน


 


เพราะนางละม้ายคล้ายภรรยาของมันมาก


 


นอกจากนี้ยามสังเกตเห็นหว่างคิ้วของอีกฝ่าย มันยังเห็นเงาของตัวเองในนั้น


 


“อาวุโสเหลียนชิว ข้ากับฮ่วนเอ๋อจะหาทางช่วยท่านกับอาวุโสผู้เสวียนในเร็ววัน”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนจูงมือฮ่วนเอ๋อเดินตามชายชราไปจนใกล้จะลับสายตาของเหลียนชิว เสียงผ่านพลังของต้วนหลิงเทียนก็ดังขึ้นในหูเหลียนชิวอย่างทันท่วงที และน้ําเสียงยังเต็มไปด้วยความจริงจังเคร่งขรึมนัก!


 


‘ฮ่วนเอ๋อ…’


 


หลังได้ยินคําพูดทิ้งท้ายของต้วนหลิงเทียนที่เอ่ยนามลูกสาวของตัวเองออกมา เหลียนชิวก็มั่นใจว่านั้นคือลูกสาวของมันกับตู้เสวียนไม่ผิดพลาดแน่!


 


คนอาจดูคล้ายกันได้ แต่ชื่อไม่มีทางบังเอิญซ้ำกันได้อีก


 


‘ช่วยพวกเราออกไปในเร็ววัน?’


 


อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นสักพักเหลียนชิวก็ดึงสติกลับมา ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นอึมครึมทั้งตึงเครียด


 


ลูกสาวของมันกับชายหนุ่มข้างกายที่มันสงสัยว่าไม่พ้นต้องเป็นว่าที่ลูกเขยของมัน.. กลับพูดว่าจะช่วยมันกับภรรยาออกไปงั้นหรือ?!


 


‘หวังว่าเด็กโง่ทั้งสองจะไม่ผลีผลามทําอะไรทุ่มบ่าม…คุกหมื่นพันาการของวังเทียนฉือไม่ง่ายที่จะหลบหนี หากมันหนีกันง่ายดายขนาดนั้น จักรพรรดิอมตะสมญานามทั้งหลายบนชั้น 3 คงหนีกันออกไปได้นานแล้ว’


 


เหลียนชิวลอบอธิษฐานในใจ


 


ถึงแม้มันอยากจะพาตู้เสวียนภรรยาของมันหลบหนีไปจากที่นี่แค่ไหน แต่หากต้องแลกมากับการเสี่ยงอันตรายของว่าที่ลูกเขยกับลูกสาวตัวเอง มันกับภรรยาย่อมเลือกที่จะรั้งอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิตดีกว่า


 


‘เสวียนเอ้อ.ข้าเชื่อว่าเจ้าก็คงคิดเหมือนข้า’


 


เหลียนชิวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับอาการสั่นเพิ่มทั่วร่างก่อนสองตาจะทอดยาวออกไปยังร่างจิ้งจอกที่นอนสลบไสลจมกองเลือดในห้องขังฝั่งตรงข้ามอย่างปวดใจ


 


นี่คือภรรยาของมันตู้เสวียน


 


อย่างไรก็ตามต้เสวียนมักโดนคนของวังเทียนฉือเข้ามาทําร้ายและทรมานจนอาการสาหัส ทําได้แค่พยายามประคองพลังรักษาชีวิตไว้ไปวันๆเท่านั้น


 


ส่วนอีกด้าน


 


ขณะเดินตามหลังชายชราเดินชมไปทั่วชั้น 2 และกําลังจะขึ้นไปยังชั้น 3 ต้วนหลิงเทียนที่กุมมือของฮ่วนเอ๋อไว้แน่น ก็ลอบหารือกับวาทีเทพชําระโลกา 1 ใน 5 เทพเบญจธาตุที่อยู่ในโลกใบเล็กภายในกายของเขาทันที “พี่สาวสุ่ย ท่านพอมีหนทางหรือไม่?”


 


จุดประสงค์การมาคุกหมื่นพันธนาการนั้น ต้วนหลิงเทียนเคยบอกวารีเทพชําระโลกาเอาไว้แล้ว กระทั่งยังฝากฝังอีกฝ่ายให้ช่วยดูว่ามีช่องโหว่รวมถึงจุดบอดอันใดในคุกหมื่นพันธนาการแห่งนี้หรือไม่


 


หากมี เขาจะได้ลองใช้ช่องโหว่ที่ว่าช่วยเหลือบิดามารดาของฮ่วนเอ่อ


 


“ยาก”


 


และคําที่วารีเทพชําระโลกาเอ่ยตอบกลับมา ก็ทําให้ใจต้วนหลิงเทียนจมดิ่งลงสู่ก้นบึงทันที


 


“ยาก?”


 


ลองวารีเทพชําระโลกาเอ่ยคําว่ายากออกมาได้ เช่นนั้นก็สมควรยากเย็นมากแล้วจริงๆ!


 


“พี่สาวสุ่ย..หากข้าให้บิดาฮ่วนเอ๋อยืมใช้พลังของพวกท่าน จนมีพลังเหนือจักรพรรดิอมตะ สมญานามในช่วงเวลาสั้นๆพอให้หนีออกจากคุกหมื่นพันธนาการ มันพอจะเป็นไปได้หรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยในสิ่งที่เขาคิดไว้ออกมา


 


ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าการเปิดเผยเทพเบญจธาตุออกไปจะชักนําเภทภัยใหญ่หลวงและหายนะไม่จบไม่สิ้นมาสู่ตัว แต่เพื่อช่วยบิดามารดาฮ่วนเอ๋อเขาก็ไม่ลังเล


 


เพราะเขาไม่คิดว่าบิดาของฮ่วนเอ๋อจะทรยศเขา


 


แน่นอนว่าหากทําแบบนั้นได้ ตอนบิดาฮ่วนเอ๋อใช้พลังของเทพเบญจธาตุออกมา เป้าหมายแรกที่ทุกคนเพ่งเล็งย่อมเป็นบิดาของฮ่วนเอ๋อ ไม่ใช่เขาด้วยซ้ํา


 


อย่างไรก็ตาม ตอนี้ต้องยืนยันก่อนว่าวิธีนี้ใช้ได้หรือไม่


 


หากได้เขาก็พร้อมจะให้บิดาฮ่วนเอ๋อยืมใช้เทพเบญจธาตุชั่วคราว


 


“ไม่ได้”


 


ทว่าทันทีที่เสียงถามไถ่ของต้วนหลิงเทียนดังจบคํา วิธีที่เขาคิดขึ้นมาก็ถูกวารีเทพชําระโลกา ปฏิเสธทันที “เรื่องราวมันไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด”


 


“มีเพียงร่างต้นเท่านั้นที่สามารถใช้พลังของเทพเบญจธาตุได้อย่างเต็มที่…เจ้าคิดว่ายามพวกเราอยู่กับคนอื่นจะสามารถสําแดงพลังอํานาจได้เท่ากับตอนที่อยู่กับเจ้าหรือ?”


 


“นั่นมันเรื่องเพ้อฝัน”


ตอนที่ 3,317 : คําชี้แนะของวารีเทพชําระโลกา


 


“เจ้าสามารถให้ผู้อื่นหยิบยืมพลังของเทพเบญจธาตุได้…หากแต่พลังที่มันผู้นั้นจะใช้ออกได้กลับมีเพียง 1 ใน 100 ส่วนของเจ้าเท่านั้น…เพราะมีเพียงแต่ร่างต้นคนเดียวที่สามารถใช้พลังของพวกเราได้เต็มที่”


 


“หากร่างต้นตาย เทพเบญจธาตุก็จะเปลี่ยนร่างต้นใหม่ ขั้นตอนนี้ถึงจะทําให้เทพเบญจธาตุสามารถยอมรับร่างต้นใหม่ได้โดยสมบูรณ์ ผูกเข้ากับจิตวิญญาณของร่างต้นนั้นๆ  ร่างต้นใหม่จึงจะใช้ พลังของเทพเบญจธาตุได้เต็มที่”


 


“หากวิธีที่เจ้าคิดมันสามารถทําได้ เช่นนั้นมิใช่หมายความว่าหลังจากเจ้าประสบความสําเร็จในการบรรลุถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุดเพราะพลังของเทพเบญจธาตุขั้นสูงสุด มิใช่ว่าเจ้าจะให้ ผู้อื่นหยิบยืมเทพเบญจธาตุในจนช่วยให้ผู้อื่นบรรลุถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุดได้เช่นกันหรือไร?”


 


“เรื่องนั้นไม่มีอยู่จริง”


 


หลังได้ยินคําอธิบายของววารีเทพชําระโลกา ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักว่าสิ่งที่เขาคิดมันไร้ประโยชน์ ทําให้ต้วนหลิงเทียนเป็นกังวลขึ้นมาทันที “พี่สาวสุ่ย เช่นนั้นท่านพอจะมีหนทางอะไรหรือไม่?”


 


“พอมีอยู่หนทางหนึ่ง หากแต่เจ้าต้องเสี่ยงอันตรายไม่น้อย”


 


วารีเทพชําระโลกากล่าว


 


“ทางที่ว่า ต้องทํายังไงบ้าง?”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนเป็นประกายวูบวาบ เร่งยิงคําถามออกไปทันที ในความคิดเขาขอเพียงแค่มีหนทางสายหนึ่งก็เพียงพอแล้ว ต่อให้มันจะทําให้เขาเสียงอันตรายก็ตามที่!


 


เพราะหลังจากตัวนหลิงเทียนผ่านเรื่องราวมามาก เขาย่อมรู้ดีว่า ‘ความมั่งคั่งมาพร้อมความเสี่ยง’ ไม่เข้าถ้ําเสือย่อมไม่ได้ลูกเสือ!


 


“ต้องปล่อยนักโทษที่ถูกคุมขังบนชั้น 3 ออกมา หากเป็นไปได้ให้ปล่อยพวกมันออกมาให้หมด!”


 


วารีเทพชําระโลกาเปิดประตูเห็นภูผากล่าวตอบตรงๆ


 


ได้ยินคําพูดประโยคนี้ของวารีเทพชําระโลกา ตาต้วนหลิงเทียนก็หรี่ลงทันที ก่อนจะคลี่ยิ้มเจื่อนๆกล่าวกับวารีเทพชําระโลกาต่อว่า “พี่สาวสุ่ย คําชี้แนะของท่านข้อนี้มันมากเกินไป…แถมยังโหดร้ายเกินไป ต่อให้ปล่อยพวกมันออกมาแล้วพวกมันจะบุกฝ่าออกไปได้หรือ? ฟังจากที่อาวุโสเซี่ยกล่าว คุกหมื่นพันธนาการไม่ได้เหมือนในอดีตแล้ว…”


 


“ค่ายกลในพื้นที่คุมขังของนักโทษ รวมถึงบริเวณลานจัตุรัสใกล้ๆโถงกิจการภายในนั่น เต็มไปด้วยค่ายกลและอาคมสังหารมากก็จริง..อย่างไรก็ตามข้ามีวิธีให้นักโทษสามารถทําลายค่าย กลรวมถึงต้านทานพลังสังหารได้บางส่วน และสิ่งนี้เจ้าต้องเป็นคนสอนให้พวกมัน”


 


วารีเทพชําระโลกากล่าว


 


สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายสว่างโรจน์ขึ้นมาทันที เขาเข้าใจในสิ่งที่วารีเทพชําระ โลกาจะสื่อแล้ว เพราะหากมีหนทางฝ่าค่ายกลและข่ายอาคมสังหารในจัตุรัสสิ้นสุด รวมถึงทําลาย พันธนาการที่กักขังตัวนักโทษเอาไว้ เช่นนั้นนักโทษที่ชั้น 3 ก็จะไม่ต้องกลัวค่ายกลเหล่านั้นอีกต่อไป!


 


“ในชั้นนี้นักโทษที่ถูกคุมขังไว้ล้วนแล้วแต่เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้งสิ้น และมีทั้งหมด 6 คนที่ถูกพวกเราคุมขังเอาไว้”


 


หลังออกจากชั้นที่ 2 ชายชราก็พาต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อเดินขึ้นมายังชั้น 3 และคุกชั้นนี้ แลดูพิเศษมาก ที่เรียกว่าห้องขัง แต่มองไปไม่ต่างจากสถานที่พักสําหรับบ่มเพาะพลังเลย แต่ละพื้นที่เว้นระยะห่างพอสมควรมองแล้วไม่คล้ายมีพันธนาการอะไรอยู่


 


ในพื้นที่กักกัน 4 แห่งที่เห็นชัด มีคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิบ่มเพาะอยู่ใกล้บันได เป็นชายชราผมขาวโพลน ชายหัวโล้นร่างกํายําแลดูทรงพลัง หญิงชราร่างกายผ่ายผอม และชายหนุ่มที่ดูเย็นชา


 


ในเวลาเดียวกับที่พวกตัวนหลิงเทียนปรากฏตัวขึ้น ชายหัวโล้นที่แลดูบึกบึนแข็งแกร่งที่เหลือบมองทั้ง 3 ผ่านๆ ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ไม่ได้สนใจใยดีอะไรพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 อีก


 


“ชายหัวโล้นร่างกายบึกบึนผู้นั้นก็คือ จักรพรรดิอมตะขยี้เมฆา มันเคยฆ่าผู้อาวุโสของวังเทียนฉือเรา แต่จ้าววังรวมถึงคนอื่นๆไม่อาจสังหารมันได้ เช่นนั้นจึงถูกจับมาขังไว้ที่นี่”


 


ในขณะเดียวกับที่ชายหัวโล้นปราดตามาเหลือบมองพวกต้วนหลิงเทียนผ่านๆเมื่อครู่ ในหู ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงผ่านพลังของอาวุโสเซี่ยดังขึ้นพอดี “มัน รวมถึงจักรพรรดิอมตะสมญา นามทุกคนในคุกชั้น 3 ล้วนแล้วแต่เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามที่เชี่ยวชาญกฏแห่งดิน”


 


“และไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น ทุกคนเก่งในเรื่องการป้องกันเป็นที่สุด”


 


“แน่นอนว่าถึงพวกมันจะโดดเด่นในเรื่องการป้องกัน และไม่เก่งในเรื่องการโจมตีสักเท่าไหร่…ทว่าในฐานะที่พวกมันเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม แม้การโจมตีขอพววกมันจะไม่ได้ร้ายกาจเท่าการป้องกัน แต่พลังอานุภาพก็เทียบได้กับจักรพรรดิอมตะสมญานามทั่วๆไป”


 


“เจ้าสมควรเห็นแล้ว ว่าที่นี่ไม่มีลูกกรงห้องขังอะไรนั่นเพราะจะห้องขังใดๆก็ไร้ประโยชน์สําหรับพวกมัน ทว่าพื้นที่ทั้ง 4 ส่วนนั้นเต็มไปด้วยมหาค่ายกลและข่ายอาคมสะกดกัก ต่อให้พวก มันจะพยายามเต็มกําลังที่ยากจะออกมาจากพื้นที่กักกันได้”


 


หลังได้ยินคําพูดของชายชรา ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจว่าไฉนที่นี่ถึงดูไม่เหมือนคุก แต่เหมือนสถานที่พักบ่มเพาะทั่วไป


 


“ในชั้นที่ 2 ตัวตนที่มีพลังใกล้เคียงกับจักรพรรดิอมตะสมญานาม อย่างเหลียนชิวอดี ตศิษย์อัจฉริยะของขุนเขากระบี่ฟ้านั่น ไม่เพียงแต่จะถูกขังในห้องกรง แต่ยังถูกข่ายอาคมกักบริเวณเอาไว้อีกด้วย หาไม่แล้วพลังของมันก็สามารถทําลายลูกกรงได้เช่นกัน”


 


ชายชรากล่าวสืบต่อ


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับรู้


 


หลังจากนั้นชายชราก็พาต้วนหลิงเทียนเดินสํารวจและกล่าวแนะนําจักรพรรดิอมตะสมญานามที่ถูกจับขังไว้ในชั้นนี้อีก 5 คนที่เหลือ ไม่ว่าทุกคนจะเคยฆ่าคนของวังเทียนฉือก็ดี สร้างความขุ่นเคืองให้ยอดฝีมือของวังเทียนฉือก็ดี แม้จะถูกวังเทียนฉือสยบได้ แต่วังเทียนฉือก็ไม่มีทางฆ่าพวกมันได้


 


เช่นนั้นทุกคนจึงถูกจับมาขังไว้ในคุกหมื่นพันธนาการแบบนี้


 


‘ในบรรดาจักรพรรดิอมตะสมญานามที่ถูกขังไว้ที่นี่ ไม่น่าจะขาดผู้ที่ถูกจับมานานอย่าง ไรก็ตามพื้นที่กักกันของพวกมัน ไม่เพียงแต่จะปิดกั้นการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินได้หลายส่วน กระทั่งพวกมันก็ไม่อาจทําความเข้าใจกฏได้โดยง่าย เพราะเหมือนจะมีพลังของอาคมบางอย่างคอยรบกวนตลอดเวลา จึงยากที่พวกมันจะสงบอารมณ์เข้าสู่ภวังค์สมาธิ ทําให้ยิ่งอยู่นานด่านพลังก็ยิ่งอยู่กับที่’


 


ตอนที่อยู่ชั้น 2 ต้วนหลิงเทียนที่ลองแผ่สํานึกตรวจสอบดู ก็ไม่พบปัญหาอะไร


 


แต่ตอนนี้บนชั้น 3 พอต้วนหลิงเทียนลองแผ่สํานึกเทวะไปตรวจสอบ เขาก็สัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติทันที


 


และอาคมที่คอยรบกวนที่ว่า ดูเหมือนจะมีแต่ในชั้น 3 เท่านั้น


 


“ผู้อาวุโสเซี่ย…พลังวิญญาณฟ้าดินที่นี่เบาบางแบบนี้ตลอดหรือ? นอกจากนั้นข้าลองพยายาม ทําความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏดู แต่กลับพบว่ามีพลังลึกลับยากระบุบางอย่างมารบกวนตลอดเวลา หรือที่ชั้นนี้มีการสร้างค่ายกลอะไรจํากัดเรื่องพวกนี้ไว้ด้วย?”


 


ถึงแม้ในใจจะคาดเดาเรื่องราวได้แล้ว แต่ต้วนหลิงเทียนก็ยังเอ่ยถามชายชราออกไปเพื่อยืนยัน


 


“ไม่ผิด”


 


และคําตอบของชายชราก็พิสูจน์ว่าสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนคิดมันถูก “ที่นี้มีค่ายกลพิเศษที่จัดตั้ง เพื่อจํากัดพลังของจักรพรรดิอมตะสมญานามเหล่านี้โดยเฉพาะ อย่างไรเสียชนชั้นจักรพรรดิอมตะ สมญานามย่อมไม่มีผู้ใดไม่ใช่อัจฉริยะ หากไม่ทําการสะกดขัดขวางความก้าวหน้าของพวกมันเอาไว้ ไม่ช้าก็เร็วพวกมันต้องแข็งแกร่งขึ้นจนคุกหมื่นพันธนาการเอาไม่อยู่แน่!”


 


“อ้อ”


 


ตัวนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“อันที่จริง ค่ายกลและข่ายอาคมบนชั้น 3 ค่อนข้างทรงพลังมาก ทําให้เจ้าไม่จําเป็นต้องเดินตรวจตราอะไรแม้แต่น้อย หากถึงรอบที่เจ้าต้องมาลาดตระเวนชั้นที่ 3 เจ้าก็สามารถไปหาที่พักบ่มเพาะได้เลยไม่ต้องทําอะไรทั้งสิ้น”


 


ชายชรากล่าวสืบต่อ “พอถึงเวลาก็ค่อยออกจากที่นี่”


 


“เข้าใจแล้ว”


 


ตัวนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“พวกเรากลับกันเถอะ”


 


หลังพาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ เดินชมดูรอบๆสักพักชายชราก็พาทั้งออกจากชั้น 3


 


เมื่อลงมาถึงชั้น 2 อีกครั้ง อารมณ์ของฮ่วนเอ๋อก็ปั่นป่วนขึ้นมาอีกรอบ ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ ส่งเสียงผ่านพลังไปกล่าวปลอบพลางกุมมือนางเอาไว้แน่น ขณะเดียวกันก็หารือกับวารีเทพชําระ โลกา “พี่สาวสู่ย…แล้วข้าสามารถให้บิดามารดาของฮ่วนเอ๋อเข้าไปหลบในโลกใบเล็กของข้า เพื่อพาหนีออกไปได้หรือไม่?”


 


กล่าวถามจบแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เลือกจะพูดเสริมออกมาต่อ “โลกใบเล็กภายในกายของข้าจะอย่างไรก็แตกต่างจากของคนอื่น มันจะสามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับของค่ายกลได้หรือไม่? หรือพี่สาวสุ่ยมีค่ายกลอะไรพอจะปิดกั้นอาคมตรวจจับที่นี่ทําให้พาทั้งคู่ออกไปง่ายๆหรือไม่?”


 


“หากมันง่ายดายเช่นนั้นจริง ข้าคงไม่แนะนําให้เจ้าไปปล่อยคนบนชั้น 3 แต่แรก…”


 


เสียงวารีเทพชําระโลกาก็ดังตอบคําต้วนหลิงเทียนทันควัน “ถึงแม้ว่าโลกใบเล็กภายในกายของเจ้าจะแตกต่างจากคนทั่วไป แต่อาคมของคุกหมื่นพันธนาการก็ไม่ใช่ธรรมดา…นอกจากนั้นนักโทษของคุกหมื่นพันธนาการทั้งหลาย ก็ถูกคุกหมื่นพันธนาการจดจํากลิ่นอายวิญญาณไว้หมดแล้ว ต่อให้พวกมันจะเข้าสู่โลกใบเล็กภายในกายเจ้าพวกมันก็จะยังถูกพบเจออยู่ดี”


 


“ตอนนี้ความเป็นไปได้ที่เจ้าจะพาทั้งคู่ออกไปได้มีทางเดียวเท่านั้น นั่นก็คือปล่อยนัก โทษที่เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามบนชั้น 3 ทั้งหมด…”


 


“อย่างไรก็ตาม กระทั่งหนทางนี้ก็ยังอันตรายอย่างยิ่ง..เพราะหลังจากที่เจ้าปล่อยพวกมันแล้วไม่นานวังเทียนฉือก็ต้องตรวจพบเรื่องนี้แน่ ถึงตอนนั้นเจ้าไม่พ้นต้องกลายเป็นศัตรูของวังเทียนฉือทันที”


 


“และในเมื่อเจ้ากล่าวเองว่าจ้าววังเทียนฉือมีสายสัมพันธ์กับจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู่หยาเทียน การล่วงเกินวังเทียนฉือ ต่อให้เจ้าจะหนีออกจากคุกได้…จักรพรรดิสวรรค์ก็อาจใช้อํานาจของมันปิดกั้นหนทางหลบหนีทั้งหมด เพื่อล้อมจับเจ้า”


 


ฟังจากคําพูดของวารีเทพชําระโลกา เห็นชัดว่านางวิเคราะห์ข้อดีข้อเสีย และกล่าวถึงความกังวลออกมาจนหมด


 


ต้วนหลิงเทียนที่ฟังอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะเคร่งเครียด แต่เขาก็ไม่ได้บอกฮ่วนเอ๋อแต่อย่างไร


 


หลังออกจากคุกหมื่นพันธนาการ รวมถึงขณะเดินทางฮ่วนเอ๋อก็พยายามระงับอารมณ์ของนางเต็มที่ แต่พอกลับไปถึงบ้านพักแล้ว ฮ่วนเอ๋อก็ร้องไห้ออกมาจนน้ําตาไหลเป็นสายฝน ด้วยความที่นางถอดผ้าปิดหน้าออกแล้ว ต้วนหลิงเทียนจึงเห็นถึงความทุกข์และความทรมานที่ฉายชัดบนใบหน้าชัดเจน


 


“พี่หลิงเทียน ท่านแม่ต้องทนทุกข์ทรมานนักฮ่วนเอ๋อไม่เอาไหน ฮ่วนเอ๋อไม่อาจช่วยอะไรท่านแม่ได้เลย”


 


ฮ่วนเอ๋อได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น


 


มาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ชักเสียใจที่พาฮ่วนเอ๋อไปตรวจสอบคุกหมื่นพันธนาการขึ้นมาบ้างแล้ว เขาน่าจะไปตรวจสอบเพียงลําพังแต่แรก อย่างน้อยๆเขาก็สามารถปกปิดสถานการณ์ภายใน คุกจากฮ่วนเอ๋อได้สักพัก


 


แต่แน่นอนว่า ความคิดที่จะเร่งรีบช่วยเหลือบิดามารดาฮ่วนเอ๋อก็ไม่ได้เปลี่ยนไป


 


“ส่วนเอ่อ ข้าพอมีทางช่วยท่านพ่อท่านแม่ของฮ่วนเอ๋อแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวกับฮ่วนเอ๋อ ลึกลงไปในแววตายังเผยความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวออกมา


 


ถูกวังเทียนฉือไล่ล่าแล้วอย่างไร?


 


ถูกจักรพรรดิสวรรค์อู่หยาเทียนไล่ล่าแล้วอย่างไร?


 


อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่คนอู่หยาเทียน และที่เข้าวังเทียนฉือมาก็เพราะคิดช่วยคน!


 


“พี่หลิงเทียน ท่านพูดจริงหรือ?”


 


พอต้วนหลิงเทียนพูดจบคํา เสียงร้องไห้ของฮ่วนเอ๋อก็หยุดลงนางมองจ้องต้วนหลิงเทียนเขมงเร่งถามออกมา


 


ฮ่วนเอ๋อนั้นแม้จะเชื่อใจต้วนหลิงเทียนอย่างไร้เงื่อนไขอย่างไรก็ตามเรื่องนี้เกี่ยวพันกับบิดา มารดาของนาง นางก็เลยอดถามออกมาไม่ได้เพื่อยืนยัน


 


“ฮ่วนเอ๋อ พี่หลิงเทียนเคยหลอกเจ้าด้วยหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม


 


ฮ่วนเอ๋อพยักหน้า จากนั้นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ําตาของนางก็ฉายถึงความจริงจังขึ้นมา “พี่หลิงเทียน ฮ่วนเอ๋ออยากรู้ว่าพี่หลิงเทียนจะช่วยเหลือท่านพ่อกับท่านแม่ออกมาอย่างไร..หากมัน เสี่ยงเกินไปฮ่วนเอ๋อจะรออีกสักสองสามปี รอให้พี่หลิงเทียนกับส่วนเอื้อมีพลังมากพอค่อยช่วยท่า นพ่อกับท่านแม่”


 


หลังเดินทางไปคุกหมื่นพันธนาการ ฮ่วนเอ๋อก็รู้เช่นกันว่าการจะช่วยบิดามารดาของตัวออกมามันเป็นเรื่องยากขนาดไหน


 


ถึงแม้นางจะเชื่อมั่นในตัวพี่หลิงเทียนของนางมาก แต่นางก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันดูไม่เป็นความจริงเลย ยังรู้สึกว่าเบื้องหลังคําพูด “พอมีทาง” ของพี่หลิงเทียน ต้องเป็นการเสี่ยงอันตรายอย่างใหญ่หลวงแน่!


 


“เด็กโง่ เจ้าคิดอะไรอยู่กัน?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอื้อมมือไปยผมฮ่วนเอ๋อ ทั้งใช้นิ้วโป้งนวดคลายหว่างคิ้วที่ขดเป็นปมของนาง พลางกล่าวด้วยน้ําเสียงอ่อนโยนเปื้อนยิ้มอบบอุ่น “พี่หลิงเทียนของเจ้าเคยทําอะไรที่ไม่มั่นใจด้วย หรือ ฮ่วนเอ๋อหายห่วงได้เลย”


ตอนที่ 3,318 : กลับบ้านเกิด เมืองวายุโปรย…


 


ไม่พูดไม่ได้จริงๆ แต่หงเฟยนับว่าทํางานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพจริงๆ


 


เพราะหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อกลับมาจากคุกหมื่นพันธนาการได้ไม่กี่วัน หงเฟยก็ได้นําผลไม้อมตะที่ช่วยส่งเสริมการบ่มเพาะพลังขอบเขตจอมราชันอมตะมาให้เขา และแต่ละผลก็จัดเป็นผลไม้อมตะที่ค่อนข้างหายากและคุ้มค่าจริงๆ


 


“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าต้องขยันบ่มเพาะให้มาก พอถึงวันที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่กลับมา เจ้าจะได้กู้หน้าให้พวกเราได้! ถึงตอนนั้นศิษย์พี่หญิงใหญ่จะได้ไม่ว่าพวกเราไม่เอาไหนอีก…!!”


 


ก่อนจะลากลับไป หงเฟยก็กล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม ด้วยความที่มันอ้วนมาก ลูกตาของมันจึงโดนแก้มย้วยๆบีบจนหยีแทบปิด


 


“ขอบคุณศิษย์พี่ 6 มาก”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกขอบคุณหงเฟยจริงๆ อีกฝ่ายนับว่ามีประสิทธิภาพในการจัดการเรื่องราวไม่ใช่เล่นๆ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ได้แต่ลอบทอดถอนในใจ


 


เขารู้ดีว่าตั้งแต่ที่เขาคิดดําเนินแผนการช่วยเหลือบิดามารดาฮ่วนเอ๋อ ไม่นานเขาก็จะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับศิษย์พี่ 6 ผู้นี้รวมถึงศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงคนอื่นๆ ไม่เว้นแม้แต่ครูในนามอย่างฉือหล่าง


 


ในวังเทียนฉือแห่งนี้ ต้วนหลิงเทียนใส่ใจก็แค่ฉือหล่างและศิษย์พี่ทั้งหลายเท่านั้น


 


หากเขาเลือกได้ ก็ไม่อยากใช้วิธีอุกอาจสุดโต่งเช่นนั้น จนต้องกลายเป็นศัตรูกับวังเทียนฉือเลย เพราะสิ่งนั้นก็หมายถึงเขาได้หันหลังให้กับฉือหล่างและศิษย์พี่ทั้งหลาย อนิจจาใต้หล้ามีบางเรื่อง ไม่อาจไม่ทําทั้งบางครั้งทางเลือกก็ไม่ได้มีมากนัก


 


“ฮ่วนเอ๋อ พี่หลิงเทียนจะไม่ทําให้เจ้าต้องผิดหวังแน่นอน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวในใจ หลังจากหงเฟยกลับไปแล้ว


 


‘11 เดือนหลังจากนี้ ก็จะถึงเวลาเข้าไปทํางานที่คุกหมื่นพันธนาการ’


 


ในใจต้วนหลิงเทียนเริ่มวาดแผนคร่าวๆ


 


และหลังจากหงเฟยกลับไปได้สักพัก ต้วนหลิงเทียนที่ครุ่นคิดเรื่องราวในหัวคร่าวๆ ก็เริ่มใช้ผลไม้อมตะและบ่มเพาะพลังทันที


 


ครึ่งปีต่อมา


 


“ฮ่วนเอ๋อ ออกจากวังเทียนฉือไปที่หนึ่งกับข้า”


 


หลังจากต้วนหลิงเทียนกล่าวชวนฮ่วนเอ๋อแล้ว เขาก็เห็นร่างพานางออกจากสถานที่พักบ่มเพาะในด่านของฉือหล่าง จากนั้นก็พาฮ่วนเอ๋อออกจากวังเทียนฉือและมุ่งหน้าไปยังทางใต้ ในที่สุดก็มาหยุดลงยังป่าไผ่อันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง


 


“พี่หลิงเทียน ท่านพาข้ามาที่นี่ทําไมหรือ?”


 


ฮ่วนเอ๋อหันไปมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยความงุนงง ด้วยไม่ทราบว่าพี่หลิงเทียนพานางมาที่นี่ทําไม และไม่ได้บอกอะไรกับนางมาก่อนเลย


 


“ฮ่วนเอ๋อ ไม่ใช่เจ้าเคยบอกพี่หลิงเทียนหรอกหรือว่าอยากไปดูบ้านเกิดที่พี่หลิงเทียนโตมา?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม


 


“อื้อ”


 


ฮ่วนเอ๋อพยักหน้า


 


“ตอนนี้พี่หลิงเทียนจะพาเจ้าไปเที่ยวระนาบเซียน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“ไปสิ”


 


ฮ่วนเอ๋อคิดว่าพี่หลิงเทียนของนาง คงจะพานางไปเที่ยวเพื่อผ่อนคลายจิตใจ เช่นนั้นจึงตอบตกลงไปทันที


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ลงมือทันที พลังเซียนอมตะต้นกําเนิดขุมหนึ่งเอ่อล้นออกมาปกคลุมไปทั่วน่านฟ้าก่อนจะแผ่ขยายไปยังป่าไผ่เบื้องล่าง


 


วู้ม!


 


วู้ม!


 


และป่าไผ่เบื้องล่าง เมื่อได้รับพลังเซียนอมตะต้นกําเนิดของต้วนหลิงเทียน ก็เสมือนมีชีวิตขึ้นมา แต่ละต้นเปล่งพลังไร้สภาพสีขาวราวน้ำนมออกมา จากนั้นพลังไร้สภาพทั้งป่าไผ่ก็ควบรวมเป็นมวลแสง ก่อนจะยิ่งพุ่งขึ้นมาเป็นลําแสงใส่ต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อ!


 


จนเมื่อลําแสงพลังหายไป ร่างต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็หายไปแล้ว


 


และหลังจากร่างทั้ง 2 หายไป ป่าไผ่กว้างใหญ่แต่เดิมก็อันตรธานหายไปทันทีราวกับไม่เคยดํารงอยู่มาก่อน


 


เห็นได้ชัดว่าป่าไผ่ทั้งผืนนั้น ได้ถูกจัดตั้งมหาค่ายกลเคลื่อนย้ายเอาไว้


 


และมหาค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ ก็เป็นต้วนหลิงเทียนขอแรงหงเฟยให้ไปจ้างวานปรมาจารย์ค่ายกลมากมายมาจัดตั้งเอาไว้อย่างลับๆ และเป็นมหาค่ายกลที่จะใช้เคลื่อนย้ายจากระนาบเทวโลกไปยังระนาบโลกียะได้โดยตรง สําหรับจุดหมายปลายยทางที่มหาค่ายกลจะส่งไปก็คือบ้านเกิดของเขาหลังจากที่วิญญาณของเขาได้พลัดถิ่นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ระนาบโลกียะขนาดเล็กที่มีชื่อว่า ระนาบเซียน


 


วิ้ง! วิ้ง!


 


หลังฉากเรื่องราวเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อมืดมิดไปพักหนึ่ง ทั้งคู่ก็ได้แลเห็นแสงสว่างอีกครั้ง และพอมองไปรอบๆก็พบว่าตอนนี้ได้มาปรากฏตัวเหนือทะเลอันกว้างใหญ่ ขณะเดียวกันทั้งคู่ก็สัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณมันช่างเบาบางอย่างมาก


 


หลังทําความคุ้นชินสักพัก ความรู้สึกผิดแปลกก็เริ่มหายไป


 


“นี่คือกรรมทางโลกงั้นหรือ?”


 


ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนยังพบอีกว่า ภายในพลังวิญญาณฟ้าดินที่เบาบางนั้น กลับมีพลังแปลกประหลาดอีกขุมที่กําลังปั่นป่วนและพยายามจะชําแรกเข้าร่างของเขา แต่เขาก็สามารถหยุดยั้งมันเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย


 


ครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกเลย ที่ต้วนหลิงเทียนกลับมายังระนาบโลกียะหลังจากขึ้นไปยังระนาบเทวโลก


 


“ฮ่วนเอ๋อ อย่าปล่อยให้พลังแปลกๆโดยรอบชําแรกเข้าร่างเจ้าได้”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวเตือน “พลังแปลกๆที่ว่าสมควรเป็นกรรมทางโลก.พลังนี้มันแปลกประหลาดมาก ลือกันว่าหากเซียนอมตะที่มีด่านพลังฝึกปรือต้อยต่ำ ลงมาเยือนระนาบโลกียะ หากไม่อาจสามารถขัดขวางกรรมทางโลกให้เข้าสู่ร่างกายได้ ก็จะส่งผลต่อการบ่มเพาะต่อเซียนอมตะคนนั้นๆ บางคนระดับพลังฝึกปรือถึงกับหยุดชะงักไม่อาจหาความก้าวหน้าใดๆได้อีก”


 


“อื้อ”


 


ฮ่วนเอ๋อพยักหน้ารับเบาๆ สําหรับนางแล้วพลังแปลกๆโดยรอบ หรือกรรมทางโลกที่ว่า ก็ไม่อาจนับเป็นอะไรได้ ถูกนางขับไล่สลายทิ้งได้อย่างง่ายดาย


 


“มาเถอะฮ่วนเอ๋อ เดี๋ยวพี่หลิงเทียนจะพาไปดูบ้านเกิดที่พี่หลิงเทียนอยู่ตอนยังเด็ก”


 


ต้วนหลิงเทียนกุมมือฮ่วนเอ๋อไว้ จากนั้นก็พานางไปยังบ้านเกิดเขาด้วยความเร็วสูงล้ำ พริบตาก็บรรลุถึงเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งในชนบทแสนห่างไกลที่เขาเคยอยู่อาศัยในวัยเด็ก


 


และพอกลับมาถึงเมืองๆนี้ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าอาคารปลูกสร้างได้เปลี่ยนไปไม่น้อย ยังมีสิ่งปลูกสร้างใหม่ๆผุดขึ้นเยอะแยะไปหมด แต่เขาก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะหลังจากที่เขาขึ้นสวรรค์ไป วันเวลามันก็ได้ล่วงเลยมา 200 กว่าปีแล้ว


 


หลังผ่านไป 200 กว่าปี เมืองวายุโปรยจะเปลี่ยนแปลงไปแบบนี้ ก็ถือเป็นเรื่องปกติ


 


“ฮ่วนเอ๋อ ที่นี่คือสถานที่ๆข้าเติบโตขึ้นมา”


 


ต้วนหลิงเทียนพาฮ่วนเอ๋อเดินไปยังถนนสายหนึ่งในเมือง ก่อนจะชี้นู่นนี่นั่นพลางเล่าความหลังให้ฮ่วนเอ๋อฟัง “ฮ่วนเอ๋อเห็นร้านนั้นหรือไม่ ตอนข้าเริ่มบ่มเพาะพลัง เคยมีตาเฒ่าคนหนึ่งขายถังหูลู่อยู่…ตาเฒ่าผู้นั้นก็มักจะหลอกเด็กๆให้มาซื้อเป็นประจํา”


 


“ตอนนี้หลังเวลาผ่านไป 200 กว่าปี กระทั่งเด็กน้อยที่เคยโดนหลอกซื้อ ก็ไม่พ้นกลายเป็นดินเหลืองไปนานแล้ว”


 


กล่าวถึงท้ายประโยค ต้วนหลิงเทียนอดถอนหายใจออกมาไม่ได้


 


ตอนนี้ไม่ใช่แค่คนขายของข้างถนนในความทรงจําช่วงที่เขามาโผล่ที่เมืองนี้ใหม่ๆเท่านั้น กระทั่งสหายเก่าของเขาอย่างไขมันน้อยที่มาตามเขาแจ เพื่อให้เขายอมรับเป็นลูกพี่ช่วงแรกๆที่มาถึงโลกใบนี้ ก็คงกลายเป็นดินเหลืองไปหมดสิ้น


 


“ตระกูลลี่…”


 


หลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อเดินผ่านหน้าประตูใหญ่ของตระกูลลี่ หลังแผ่สํานึกเทวะไปตรวจสอบก็พบว่าตระกูลลิ่นั้นเติบโตขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก


 


ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจะลงมาเดินในเมืองวายุโปรย ทั้งคู่ก็ได้ใช้ยันต์อมตะเร้นกายระดับต่ำปกปิดร่างกายเอาไว้ ทําให้ไม่มีผู้ใดในเมืองสามารถสังเกตเห็นการมาเยือนของพวกเขาได้เลย


 


และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อเดินมาถึงประตูใหญ่ตระกูลลี่ เพื่อเข้าไปชมดูที่ทางด้านใน


 


“หืม?”


 


ทันทีที่ก้าวเท้าผ่านประตูลี่เข้ามา ต้วนหลิงเทียนก็อดตกใจไม่ได้เมื่อเห็นรูปปั้นรูปหนึ่งที่ตั้งเด่นหราอยู่กลางจัตุรัสด้านหน้า ด้านฮ่วนเอ๋อเองก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “พี่หลิงเทียนรูปปั้นนี้คล้ายท่านมากเลย”


 


“เอ่อ..ดูเหมือนจะเป็นข้าตอนอายุ 16-17 ปีจริงๆ”


 


ต้วนหลิงเทียนที่มองสํารวจรูปปั้นตรงหน้าอยู่ก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เพราะรูปปั้นเบื้องหน้าเป็นรูปปั้นเขาตอนยังหน้าละอ่อนจริงๆ


 


และข้างรูปปั้นก็มีแท่นศิลาที่เป็นดั่งหลักศิลาจารึกตั้งอยู่ ได้บันทึกความสําเร็จของเขาตั้งแต่ที่ออกจากเมืองวายุโปรยเป็นต้นไป…แน่นอนว่าความสําเร็จที่ถูกสลักจารึกเอาไว้ ก็มีแต่ความสําเร็จเท่าที่คนตระกูลลี่ในเมืองวายุโปรยกับเมืองประกายแสงจะทราบได้เท่านั้น


 


สําหรับความสําเร็จยิ่งใหญ่หลังจากนั้น ไม่ได้มีบันทึกเอาไว้ เพราะนั่นไม่ใช่อะไรที่คนของตระกูลลี่ หรือแม้กระทั่งตระกูลราชวงศ์ของอาณาจักรนภาล่องจะล่วงรู้ได้


 


“พวกเจ้าเห็นหรือไม่? รูปปั้นนี้คือคนดังของตระกูลลี่เรา ถึงแม้จะเป็นคนในตระกูลที่ใช้แซ่อื่นก็ตาม…กล่าวกันว่าตอนคนผู้นี้ยังเด็ก ก็มีความแข็งแกร่งสุดที่รุ่นเยาว์คนใดใน 10 ราชวงศ์จะสู้ได้แล้ว!”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อกําลังมองรูปปั้นอยู่ ก็มีเด็กชายที่แลดูอายุ 10 กว่าขวบคนหนึ่งนําพาเด็กหญิงตัวน้อยอายุ 5-6 ขวบมายังรูปปั้นของต้วนหลิงเทียน มันชี้รูปปั้นแล้วกล่าวอธิบายให้เด็กหญิงตัวน้อยที่กําลังดูดนิ้วฟังว่า “และมารดาของชายคนนี้ก็เคยเป็นอาวุโส 9 ของตระกูลลี่เรา!”


 


“พี่ใหญ่ 10 ราชวงศ์คืออะไรเหรอ? ใหญ่กว่าเมืองเรามากหรือไม่?”


 


เด็กหญิงตัวน้อยได้ฟังก็เอียงคอกล่าวถามออกมาอย่างไร้เดียงสา


 


“ใหญ่กว่า! ใหญ่กว่ามากๆเลย…อิ๋งๆ เมืองวายุโปรยที่พวกเราอยู่ เป็นแค่เมืองเล็กๆในอาณาจักรนภาล่องเท่านั้น และมีอาณาจักรแบบเดียวกับอนาจักรนภาล่องเรามากมายนับร้อยอยู่ใต้สิ่งที่เรียกว่าจักรวรรดิแล้วหลายๆจักรวรรดิก็อยู่ใต้ 1 ราชวงศ์…”


 


เด็กชายหัวโจกกล่าวอธิบายอย่างผู้รู้ “เมืองวายุโปรยของพวกเราเทียบกับ 10 ราชวงศ์แล้ว ก็เหมือนนิ้วเล็กๆของเจ้าเทียบกับภูเขาใหญ่ลูกนู้นแน่ะ!”


 


เด็กหญิงตัวน้อยได้ฟังก็ทําตาโต ร้องโอ้โหออกมาเสียงใส


 


“ด้วยเหตุนี้ตระกูลลี่ของพวกเราจึงภูมิใจมากที่ปรากฏตัวตนเช่นนี้เกิดขึ้น….อิ๋งๆ เจ้ารู้หรือไม่ สาเหตุที่ตระกูลลี่ในเมืองประกายแสงดูแลตระกูลลี่สาขาเมืองวายุโปรยมากเป็นพิเศษ ก็เพราะวีรกรรมของบรรพชนท่านนี้เมื่อ 200 กว่าปีก่อนคนเดียว! ไม่งั้นตระกูลลี่เราคงไม่ร่ำรวย ท่านแม่ก็คงไม่มีเงินให้เจ้าซื้อขนมกินทุกวัน…”


 


“ตระกูลลี่สาขาเมืองวายุโปรยของพวกเราเรียกว่าได้รับพรจากท่านบรรพชนผู้นี้…เช่นนั้นท่านปู่ของพวกเราจึงสร้างรูปปั้นของท่านบรรพชนขึ้นมาเพื่อให้คนรุ่นหลังอย่างพวกเราชื่นชมอย่างไรเล่า…เจ้ารู้หรือไม่ ในประวัติศาสตร์ตระกูลลี่ของพวกเราอย่าว่าแต่ คนต่างแซ่กระทั่งคนแซ่ลี่ยังไม่มีใครได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อนเลย”


 


ชายหนุ่มหัวโจกกล่าวอธิบายสืบต่อ


 


“หวา! ร้ายกาจ ร้ายกาจ! พี่ใหญ่ท่านเล่าเร็วๆ ท่านบรรพชนที่ทําให้อิงๆมีขนมกินผู้นี้ทําอะไรไว้บ้างเหรอ แล้วท่านสู้เสือเขี้ยวดาบตัวใหญ่บะเฮิมหลังเขาได้หรือไม่!?”


 


เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวด้วยสองตาเป็นประกาย


 


“ต้องได้อยู่แล้ว!”


 


หลังจากเด็กชายตอบรับ จากนั้นมันก็เริ่มเล่าเรื่องราวปานนิทานอภินิหารให้เด็กหญิงตัวน้อยฟังอย่างออกรส ทั้งหมดที่มันเล่าก็คือวีรกรรมต่างๆที่ต้วนหลิงเทียนเคยสร้างไว้ในอาณาจักรนภาล่องเมื่อ 200 กว่าปีก่อน


 


บางเรื่องราวเอง กระทั่งเจ้าตัวอย่างต้วนหลิงเทียนก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำ พอได้เด็กชายคนนี้กล่าวเล่า ก็ทําให้ความทรงจําของเขาหวนย้อนไปยังวันวาน ครั้งยังขวนขวายหาความแข็งแกร่งอยู่ในอาณาจักรนภาล่องเมื่อ 200 กว่าปีก่อนอย่างไม่ทันรู้ตัว


 


“พี่ใหญ่หลิงเทียนเด็กน้อยคนนี้เทิดทูนท่านมากจริงๆ”


 


ฮ่วนเอ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“ไม่ทันรู้ตัวดุจชั่วพริบตา วันเวลาก็ล่วงเลยไปกว่า 200 ปีแล้ว…ทุกคนที่ข้าเคยรู้จักที่นี่ล้วนตกตายหวนคืนสู่ดินหมดสิ้น…จักมิตรสหายก็ดีศัตรูร้ายก็ดี คงเหลือไว้แต่ในความทรงจําเท่านั้น…”


 


ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจอยู่นาน หวนคํานึงถึงกาลครั้งหนึ่งที่ไร ใจยังสะอดสะทกสะท้อนไม่ได้ หลังจากฟังเด็กน้อยเล่าเรื่องราวจบแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อเดินเตร็ดเตร่ไปบนถนนของเมืองวายุโปรยต่อ


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อเดินผ่านมาถึงถนนสายหนึ่ง อยู่ๆร่างด้วนหลิงเทียนก็หยุดชะงักลง สองตาจับจ้องมองไปยังขอบถนนด้านหนึ่ง จากนั้นสองตาก็เริ่มเลื่อนลอยคล้ายหวนรําลึกถึงอะไรบางอย่าง


 


“พี่หลิงเทียน ถนนตรงนั้นทําให้ท่านนึกถึงอดีตหรือ”


 


ฮ่วนเอ๋อไม่ได้รบกวนอะไรต้วนหลิงเทียน จนเมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นางจึงอดถามออกมาไม่ได้


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นสายตาที่ใช้มองมุมหนึ่งของถนนเบื้องหน้าก็เผยความหวนรําลึกอีกครั้ง “ที่นั่น ตรงนั้นเป็นที่ๆข้ากับเค่อเอ๋อพบกันครั้งแรก…วันนั้น”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวเล่า ความทรงจําที่เลือนรางในอดีตก็ค่อยๆชัดเจนขึ้นในใจ ภาพเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งนั่งคุกเข่า ตั้งป้ายขายตัวเองเพื่อหาเงินฝังศพมารดาผุดขึ้นมาจากนั้นภาพใบหน้าอ่อนวัยไร้เดียงสาแสนซื่อก็ฉายชัดในใจ ฉากเรื่องราวมากมายแล่นวาบในห้วงคิด จากเด็กหญิงตัวน้อยในวันวานก็ได้กลับกลายเป็นภรรยาเขา


 


และตอนนี้เด็กกหญิงตัวน้อยที่เติบโตผู้นั้น ตัวตนของนางก็ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุดแล้ว


 


เพราะในเวลานี้นางสมควรอยู่ในระนาบเทพ ดินแดนที่เหล่าทวยเทพอาศัยอยู่ ซึ่งกําลังรอความช่วยเหลือจากเขาในอีก 700 ปีหลังจากนี้…ที่สําคัญ คนที่กําลังรอความช่วยเหลือจากเขาไม่ใช่แค่นางคนเดียวยังมีภรรยาอีกคน สตรีคนรัก ลูกๆไม่เว้นครอบครัวกับมิตรสหายที่ถูกอวิ๋นชิงเหยียนจับไป


ตอนที่ 3,319 : วัตถุประสงค์ของต้วนหลิงเทียน


 


ฉากการพบพานกับเค่อเอ๋อในปีนั้น ยังชัดเจนในความทรงจําราวกับพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน


 


สาวน้อยยากไร้นางหนึ่งในอดีต ได้เติบโตขึ้นจนมีลูกสาวกับเขาแล้ว


 


วันเวลา 200 กว่าปีดุจชั่วพริบตาเดียว


 


และตอนนี้เขากับเค่อเอ๋อก็ได้พรัดพรากจากกันมา 200 กว่าปีแล้ว


 


ไม่ใช่แค่เค่อเอ๋อภรรยาของเขาเท่านั้น กระทั่งต้วนซือหลิงบุตรสาวของเขาเอง ก็ไม่ได้พบหน้ากันมา 200 กว่าปี


 


เค่อเอ๋อ ซือหลิง รอให้ช่องทางเชื่อมระหว่างระนาบเทพกับระนาบเทวโลกเปิดออกเมื่อไหร่ข้าจะไปตามหาพวกเจ้า!”


 


คิดถึงจุดนี้แววตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ขึ้นมา


 


“พี่หลิงเทียน”


 


อารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างผิดปกติของต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อที่อยู่ข้างๆย่อมสัมผัสได้ชัดเจน นางจึงกอดด้วนหลิงเทียนเอาไว้แน่นกล่าวปลอบโยนออกมาเสียงอ่อน “พี่สาวเค่อเอ๋อกับทุกคนต้องไม่เป็นอะไรแน่”


 


ฮ่วนเอ๋อเองก็รู้เป้าหมายสูงสุดของต้วนหลิงเทียนดี ย่อมไม่ยากที่นางจะคาดเดาได้ว่าต้วนหลิงเทียนกําลังคิดอะไรอยู่


 


“อือ”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นก็ฝืนยิ้มกล่าวราวกับไม่เป็นอะไร “ฮ่วนเอ๋อ มาเถอะหลังข้า พาเจ้าเดินเล่นรอบเมืองวายุโปรยแล้ว พี่หลิงเทียนจะพาเจ้าไปเมืองประกายแสงที่นั่นเป็นสถานที่แห่งแรกหลังข้าเดินทางออกจากเมืองวายุโปรย”


 


เมืองประกายแสงนั้น ยังเป็นเมืองที่ตระกูลลี่สาขาหลักตั้งอยู่


 


ตระกูลลี่ในเมืองวายุโปรย เป็นแค่ตระกูลสาขาๆหนึ่งเท่านั้น


 


“อื้อ”


 


ฮ่วนเอ๋อกล่าวตอบรับอย่างเชื่อฟัง แต่ลึกลงไปในแววตานาง กลับไม่อาจปิดซ่อนความกังวลเอาไว้ได้


 


เมื่อครู่พอเห็นต้วนหลิงเทียนคิดถึงภรรยารวมถึงลูกๆไม่เว้นครอบครัวกับสหาย นางก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงบิดามารดาที่ถูกจับขังเอาไว้ในคุกหมื่นพันธนาการของวังเทียนฉือ


 


อย่างไรก็ตาม ความกังวลในแววตาของฮ่วนเอ๋อเพียงปรากฏขึ้นวาบหนึ่ง ก่อนที่จะหายไปในชั่วพริบตา ราวกับนางไม่อยากจะให้ต้วนหลิงเทียนแลเห็นมัน


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนยังคงเห็นมัน


 


เป็นธรรมดาว่าเขายังรู้ดีว่าฮ่วนเอ๋อตั้งใจเก็บเอาไว้ไม่ให้เขารู้ เช่นนั้นเขาจึงไม่เปิดเผยออกไป


 


ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้ตัดสินใจและวางแผนการช่วยบิดามารดาของฮ่วนเอ๋อแล้ว…รวมถึงการพาฮ่วนเอ๋อมาระนาบเซียนครั้งนี้ ก็เป็นหนึ่งในขั้นตอนช่วยเหลือบิดามารดาของฮ่วนเอ๋อที่เขาวางแผนเอาไว้


 


วูบ! วูบ!


 


หลังเดินเตร็ดเตร่ในเมืองวายุโปรยครบรอบแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อไปยังเมืองประกายแสงทันที


 


เมืองประกายแสงนั้น หลังผ่านวันเวลาไป 200 ปี ความเปลี่ยนแปลงของมันยังมากกว่าเมืองวายุโปรยเสียอีก อาณาเขตของมันไม่เพียงกว้างมากขึ้น ยังขยับขยายไปจากเดิมเกิน 2 เท่า… 


 


นอกจากนั้นบริเวณใจกลางเมืองประกายแสง จตุรัสอันกว้างใหญ่ของเมืองต้วนหลิงเทียนก็ได้พบเจอกับรูปปั้นของเขาอีกครั้ง!


 


“พี่ใหญ่หลิงเทียน…ดูเหมือนท่านจะเป็นที่นับถือและเคารพของผู้คนในบ้านเกิดท่านมาก”


 


ฮ่วนเอ๋อยิ้ม


 


“ข้าเองก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าทุกคนจะสร้างอนุสรณ์ของข้าไว้ให้คนรุ่นหลังรู้เรื่องราวแบบนี้”


 


หากกล่าวว่าในเมืองวายุโปรยต้วนหลิงเทียนมีสหายไม่มากล่ะก็ ในเมืองประกายแสงแห่งนี้ เขาได้พบเจอสหายดีๆไม่น้อย..นอกจากไม่กี่คนที่ยังอยู่แล้ว สหายทั้งหมดที่เขารู้จักก็ล้วนกลับกลายเป็นดินเหลืองหมดสิ้น


 


“ฮ่วนเอ๋อ ข้าได้พบกับเฟย ภรรยาอีกคนของข้าที่เมืองประกายแสงแห่งนี้”


 


กล่าวถึงลี่เฟยออกมา ในใจต้วนหลิงเทียนก็เจ็บปวดไม่ต่างจากตอนคิดถึงเค่อเอ๋อ


 


เพราะเฟยเองก็ถูกจับขังอยู่ในดินแดนแห่งทวยเทพเช่นกัน กระทั่งกล่าวไปสถานการณ์ยยังสุ่มเสี่ยงกว่าเค่อเอ้ออีกด้วย เพราะสําหรับอลิ้นชิงเหยียน มันไม่มีทางทําอะไรเค่อเอ๋อให้เจ็บตัว แต่กับลี่เฟยรวมถึงคนอื่นๆนั้น… คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่กล้าคิดสืบไป!


 


เพราะคนที่เสี่ยงไม่ใช่แค่ลี่เฟย แต่ยังมีต้วนเนี่ยนเทียนที่เป็นลูกชายของเขากับเฟยอีกด้วย


 


“ปีนั้น”


 


หลังมาถึงหน้าประตูใหญ่ของตระกูลลี่สาขาหลัก ความคิดของต้วนหลิงเทียก็หวนนึกถึงตอนที่ได้เจอกับลี่เฟยครั้งแรกวันนั้นในงานประลอง ภาพจําของนางยังชัดเจน ใบหน้าปานเทพธิดาแต่มีรูปร่างอันเย้ายวนปานปีศาจของนางวันนั้น ทําให้เขาตราตรึงใจตั้งแต่แรกเห็นจริงๆ


 


“ฮ่วนเอ๋อ เราไปที่ต่อไปกันเถอะ…”


 


หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ต้วนหลิงเทียนที่พาฮ่วนเอ๋อเดินมาถึงลานประลองของตระกูลลี่และเล่าเรื่องราวการพบเจอกับเฟยจบแล้ว เขาก็พาฮ่วนเอ๋อเห็นร่างออกจากตระกูลลี่ทันที และเขาไม่ได้มุ่งหน้าไปยังอาณาจักรนภาล่องแต่อย่างใด ทว่ากลับพาฮ่วนเอ๋อไปยังเมืองโลหิตเหล็กก่อน


 


เมืองโลหิตเหล็กที่ว่า ก็คือเมืองที่มีค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกําลังโลหิตเหล็กตั้งอยู่


 


เดิมที่ต้วนหลิงเทียนคิดว่าหลังผ่านไป 200 กว่าปี แม้เมืองโลหิตเหล็กอาจจะยังอยู่ แต่ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกําลังโลหิตเหล็ก รวมถึงกองกําลังโลหิตเหล็กเองก็อาจไม่อยู่แล้วก็เป็นได้…แต่สิ่งที่ทําให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมายก็คือ ไม่เพียงแต่ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะยังอยู่ กระทั่งกองกําลังโลหิตเหล็กก็ยังคงอยู่


 


ยิ่งไปกว่านั้น เหมือนค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะที่ว่า…จะถูกทางอาณาจักรให้ความสําคัญมากขึ้น! เพราะมันใหญ่โตและแลดูยิ่งใหญ่กว่าเดิมมาก!!


 


เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้เลย ว่าสาเหตุที่ทําให้ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกําลังโลหิตเหล็กยิ่งใหญ่ได้ถึงขนาดนี้ ทั้งหมดเพราะเขาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ในปีนั้น ทําให้ราชวงศ์ของอาณาจักรนภาล่องให้ความสําคัญกับที่นี่มาก จึงให้การสนับสนุนที่นี่เต็มกําลัง


 


และในช่วงเวลา 200 กว่าปีที่ผ่านมา ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกําลังโลหิตเหล็ก ก็ได้เพาะสร้างอัจฉริยะขึ้นมามากมาย ก่อเกิดตัวตนที่เป็นที่กล่าวขานในอาณาจักรหลายต่อหลายคน


 


แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่ตัวตนเหล่านั้นจะเทียบกับต้วนหลิงเทียนได้


 


“ฮ่วนเอ๋อ…ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกําลังโลหิตเหล็กแห่งนี้ เป็นที่ๆข้ากับซูหลี่พบเจอกันเป็นครั้งแรก…”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปกล่าวกับฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคงยังไม่ลืม ซูหลี่ ของนิกายกระบี่หมื่นหายนะแห่งอวี้หวงเทียนกระมังที่เจอครั้งแรกหน้าทางเข้าแดนลับทวยเทพในแดนลับอัจฉริยะน่ะ”


 


“เอ๋? พี่หลิงเทียนตอนท่านบอกว่ารู้จักกับพี่ใหญ่ซูหลี่มานาน ข้าก็ไม่เคยคิดเลยว่าท่านจะรู้จักกันตั้งแต่ยังเด็ก! ไม่น่าแปลกใจเลยที่ข้ารู้สึกว่าท่านแลดูสนิทใจกับพี่ใหญ่ซูหลีมากกว่าสหายคนอื่น”


 


ฮ่วนเอ๋อกล่าวด้วยความแปลกใจ


 


“ฮ่วนเอ๋อ…ที่นี่ก็คือเมืองหลวงของอาณาจักรนภาล่อง ทางด้านนั้นเป็นที่ตั้งของสถาบันบ่มเพาะขุนพล…ข้ากับซูหลีเองหลังออกจากค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกําลังโลหิตเหล็ก พวกเราก็เข้ามาศึกษาเล่าเรียนต่อที่นี่ และเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่ ข้าถึงได้เห็นซูหลี่เป็นเพื่อนแท้ของข้ามาโดยตลอด


 


ต้วนหลิงเทียนที่พาฮ่วนเอ๋อวูบร่างข้ามมิติมาถึงเมืองหลวงของอนาจักรนภาล่อง ก็พานางมาสถาบันบ่มเพาะขุนพล ก่อนจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปีนั้น ยังเล่าเรื่องที่ซูหลี่ยอมละทิ้งอนาคตแต่ไม่หักหลังเขา โดยการพาครอบครัวระหกระเหินหลบหนีออกจากอาณาจักรนภาล่อง เพราะไม่อยากถูกตระกูลซูใช้เป็นหมากมาทําร้ายเขา


 


ย้อนกลับไปมองดูแล้ว เรื่องนี้สําหรับชายหนุ่มที่กําลังเติบโตและมีอนาคตสดใสรออยู่ มันเป็นเรื่องที่ยากจะตัดสินใจได้ขนาดไหน?


 


“ส่วนนั่นคือตระกูลต้วน…พ่อของข้า ต้วนหรูเฟิงก็เป็นคนของตระกูลต้วน”


 


หลังออกจากสถาบันบ่มเพาะขุนพล ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอื้อมายังจวนตระกูลต้วน


 


ไม่ว่าจะตระกูลลี่ก็ดี ตระกูลต้วนก็ดี หลังจากผ่านไป 200 กว่าปี ไม่เพียงแต่ยังดํารงอยู่ แต่ยังแข็งแกร่งมากขึ้นอีกด้วย


 


สําหรับตระกูลใหญ่ในอดีตนั้น บางครอบครัวก็หายไปในสายธารของกาลเวลาหมดแล้ว


 


เป็นธรรมดาว่าตระกูลเก่าหายไป ตระกูลใหม่ก็เข้ามาแทนที่


 


หลังออกจากเมืองหลวงของงอาณาจักรนภาล่อง ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อวูบร่างออกจากอาณาจักรนภาล่องมาถึง นิกายกระบี่ 7 ดาว ที่ตั้งอยู่ในอาณาจักรพนาครามเป็นจุดต่อไป


 


ในนิกายกระบี่ 7 ดาวอันเป็นนิกายแรกที่เขาเข้าร่วมแห่งนี้ ก็มีความหลังและความทรงจําอันยากจะลืมเลือนสําหรับเขามากมาย ใบหน้าของประมุข ผู้นําขุนเขากระบี่ รวมถึงผู้คนมากมายที่เขาไม่รู้จัก แต่ยินดีพลีชีพเพื่อให้เขารอดพ้นหายนะวันนั้นยังอยู่ในใจเขาเสมอ


 


ตลอดทั้งเดือน ต้วนหลิงเทียนก็ได้พาฮ่วนเอ๋อเดินทางท่องไปทั่วระนาบเซียน ซึ่งเป็นระนาบโลกียะบ้านเกิดของเขาในชีวิตนี้ ทุกแห่งหนที่สองเท้าของเขาเคยไปล้วนมีร่องรอยความทรงจําหลงเหลือ เขาเองก็ยังคงจําเรื่องราวต่างๆได้มากมาย


 


“ฮวนเอ๋อ”


 


หนึ่งเดือนต่อมา กลางฟ้าอดีตที่ตั้งตําหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียนพลันหยุดร่างลง หันไปมองฟ้าว่างเปล่า พลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้ารู้เหตุผลที่ไฉนข้าถึงพาเจ้ามายังบ้านเกิดของข้า รวมถึงเล่าเรื่องราวชีวิตของข้าในอดีตวว่าข้าเติบโตมาอย่างไรหรือไม่?”


 


ฮ่วนเอ๋อส่ายหัวไปมา


 


“ฮ่วนเอ๋อ แม้พี่หลิงเทียนจะพยายามหักห้ามใจแล้ว แต่ก็ต้องกล่าวเลยว่าบางครั้งอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างมันก็ห้ามไม่ได้ กระทั่งยิ่งพยายามหักห้ามใจมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น”


 


กล่าวถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ กล่าวสืบต่อว่า “เป็นเวลาเนิ่นนานแล้วที่ภรรยาทั้งสองของข้าอย่างเค่อเอ๋อกับลี่เฟย รวมถึงสตรีที่ข้ารักอย่างเฟิ่งเทียนหวู่ถูกจับตัวไปในแดนเทพโดยไม่รู้ชะตา ทําให้ข้าไม่มีความคิดจะข้องเกี่ยวกับผู้ใดหรือปันใจให้ใคร จึงไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องราวความรักใดๆทั้งสิ้น”


 


“ถึงแม้ว่าสตรีของข้าทุกคน บัดนี้ล้วนไม่ได้อยู่ข้างกายข้าแล้ว แต่หากเลือกได้ข้าก็ไม่คิดจะผิดต่อพวกนาง”


 


“สําหรับข้า การที่มีพวกนางเป็นคนรัก นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่สวรรค์บันดาลให้ข้าข้าไม่คิดทําให้พวกนางเสียใจ ยิ่งไม่อยากให้พวกนางต้องทนเห็นข้าปันใจให้ใครได้อีก”


 


“จนกระทั่งเจ้าปรากฏตัว…”


 


“ข้าขอพูดตามความสัตย์จริง ขอแค่เป็นบุรุษไม่ว่าผู้ใดล้วนต้องหวั่นไหวกับรูปโฉมอันงดงามไร้ผู้ต้านของเจ้า ถึงแม้เจ้าจะเห็นว่าข้าหักห้ามใจเอาไว้ได้และไม่ได้เผยที่ท่าอะไรกับเจ้าเลย แต่ในใจข้าไหนเลยจะไม่หวั่นไหว


 


“แต่กระนั้น ด้วยอะไรหลายๆอย่าง ทําให้ข้าตัดสินใจขีดเส้นแบ่งที่แน่ชัด…เห็นเจ้าเป็นดั่งน้องสาวคนหนึ่ง”


 


“แต่เมื่อไม่นานมานี้ หลังจากพวกออกจากวิหารเฟิงฮ่าวและกลับมาถึงวังเทียนฉือ…พอข้ารับทราบเรื่องที่เหลยจวิ้น ลูกชายของจักรพรรดิอมตะไร้ใจเหลยอิงคิดไม่ซื่อกับเจ้า ข้าก็มีโมโหทั้งไม่สบอารมณ์นัก”


 


“ในตอนนั้นข้าจึงได้รู้ว่าที่แท้ในใจข้า เจ้าก็สําคัญไม่แพ้ใคร”


 


“เด็กโง่เจ้าร้องไห้ทําไม”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ตัดสินใจกล่าวออกมาถึงจุดนี้ ก็รบรวมความกล้าหันกลับมามองฮ่วนเอ๋อ แต่เขากลับพบวว่าฮ่วนเอ๋อกําลังร่ำไห้น้ำตาไหลพราก ทําให้เขารู้สึกปวดใจจนต้องเอื้อมมือออกไปปาดเช็ดน้ำตาให้นางทันที “เอาล่ะๆ ฮ่วนเอ๋อเป็นเด็กดี ไม่ร้อง…”


 


“ฮ่วนเอ๋อเด็กดี เจ้าไม่ร้องไห้แล้วได้ไหม?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวปล่อบนางอย่างทําอะไรไม่ถูกครู่หนึ่ง ฮ่วนเอ๋อก็มุดเข้าอ้อมกอดและซุกหัวกับอกเขาไว้แน่น ราวกับไม่อยากจะปล่อยมือไปชั่วชีวิต


 


“พี่หลิงเทียนท่านทราบหรือไม่ ฮ่วนเอ๋อรอเวลานี้มานาน รอมานานมากแล้ว”


 


ใบหน้าที่ฝังหัวกับอกเขาตอนนี้ของฮ่วนเอ๋อเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสนัก แม้จะเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาก็ตาม “พี่หลิงเทียนยฮ่วนเอ๋อร้องไห้เพราะดีใจ…ฮ่วนเอ๋อมีความสุขมากดีมากจริงๆ!”


 


ฮ่วนเอ๋อในตอนนี้ตื่นเต้นยินดีจนพูดไม่ค่อยเป็นคําแล้ว


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่กอดนางเอาไว้ทั้งวัน


 


ฮ่วนเอ๋อเองก็กอดเขาแน่นปานลูกหมี ดูไม่มีท่าว่าจะปล่อย


 


“ฮ่วนเอ๋อ”


 


จนวันต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะบอกเจ้าไว้เรื่องหนึ่งบิดามารดาของเจ้า ข้าก็ถือว่าทั้งคู่เป็นดั่งบุพการีของข้า เช่นนั้นข้าต้องช่วยทั้งคู่ให้ได้!”


 


“อื้อ”


 


ในตอนนี้ฮ่วนเอ๋อยังไม่ได้รู้สึกเอะใจสงสัยอะไร


 


“ฮ่วนเอ๋อ พี่หลิงเทียนหวังว่าเจ้าจะรออยู่ที่ระนาบเซียนแห่งนี้สักพัก…รอให้พี่หลิงเทียนกลับมารับเจ้า”


 


และพอต้วนหลิงเทียนกล่าวประโยคนี้ออกมา ในที่สุดฮ่วนเอ๋อก็ตระหนักได้ว่าเรื่องราวผิดท่าแล้ว สีหน้านางเปลี่ยนไปทันที “ไม่! พี่หลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อจะไปช่วยท่านพ่อท่านแม่พร้อมพี่หลิงเทียน! ฮ่วนเอ๋อไม่ยอมให้พี่หลิงเทียนไปเสี่ยงภัยคนเดียวหรอก!”


 


ในที่สุด่วนเอ๋อก็ตระหนักได้แล้ว ว่าไฉนพี่หลิงเทียนของนางถึงได้พานางมายังระนาบเซียนซึ่งเป็นบ้านเกิดในช่วงเวลาแบบนี้…ที่แท้พี่หลิงเทียนของนางคิดไปช่วยบิดามารดาของนางเพียงลําพัง!


 


“ฮ่วนเอ๋อ พี่หลิงเทียนตัดสินใจแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฮ่วนเอ๋อต้องเชื่อฟังพี่หลิงเทียนเหมือนทุกครั้งเข้าใจไหม?”


 


แต่ฮ่วนเอ๋อไหนเลยจะถูกเกลี้ยกล่อมได้ง่ายดายขนาดนั้น


 


“แต่ฮ่วนเอ๋อไม่ต้องกังวลอะไร ในเมื่อพี่หลิงเทียนกล้าไปคนเดียว ก็เท่ากับว่าข้ามั่นใจแล้ว…พี่หลิงเทียนสัญญากับเจ้า ว่าอีกไม่นานจะกลับมา และตอนนี้พี่หลิงเทียนต้องไปเตรียมการบางอย่างก่อน”


 


“ฮ่วนเอ๋อ…เจ้ายังจําเรื่องที่ข้าเล่าว่าข้าคือผู้สืบทอดหมอกพิรุณ ทวาราเที่ยงแท้ลําดับ 1 ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ได้หรือไม่? ผู้อาวุโสฟงชิงหยางที่ทิ้งมรดกไว้ให้ข้า ตอนนี้ก็เป็นถึงจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน ข้าจึงคิดจะไปจี้เมี่ยเทียนเพื่อร้องขอความช่วยเหลือจากอาวุวโสฟงชิงหยาง”


 


“ด้วยมีความช่วยเหลือของอาวุโสฟงชิงหยาง เรื่องช่วยบิดามารดาเจ้า ยังไม่ใช่เรื่องง่ายดาย เพียงแค่เอ่ยปากหรือไร?”


 


ถึงแม้ว่า ต้วนหลิงเทียนจะตัดสินใจเดินทางไปยังพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนเพื่อขอความช่วยเหลือจากฟงชิงหยางที่เป็นถึงจักรพรรดิสวรรค์จริง แต่เขาไม่มั่นใจเลยว่าอีกฝ่ายจะยอมออกหน้าช่วยเหลือเขาหรือไม่


 


แต่ตอนนี้เพื่อเป็นการเกลี้ยกล่อมฮ่วนเอ๋อ และทําให้นางวางใจ เขามีก็แต่ต้องแสดงความมั่นใจออกมาราวกับเรื่องนี้ไม่มีปัญหา


 


“อะไร!? จักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน!?”


 


อย่างไรก็ตามฮ่วนเอ๋อเพียงตกตะลึงอึ้งไปอยู่ครู่หนึ่ง ก็กล่าวออกมาว่า “พี่หลิงเทียน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไฉนท่านต้องให้ฮ่วนเอ๋อรออยู่ในระนาบโลกียะด้วยล่ะ? ให้ฮ่วนเอ๋อไปหาอาวุโสฟงชิงหยางกับพี่หลิงเทียนด้วยกันก็ได้นี่นา”


 


พอเห็นว่าหลังจากใช้กระบวนท่าล่อหลอกนี้แล้ว แต่ฮ่วนเอ๋อกลับไม่โดนหลอกง่ายเหมือนตอนเป็นเด็กน้อย ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่แสร้งทําเป็นเข้มกล่าวออกเสียงขรึม “ฮ่วนเอ๋อ หากวันนี้ เจ้าไม่ฟังคําพูดพี่หลิงเทียนเช่นนั้นหลังช่วยบิดามารดาของฮ่วนเอ๋อแล้ว พี่หลิงเทียนจะไม่อยู่กับฮ่วนเอ๋ออีก”


 


นี่เป็นกระบวนท่าสังหารอันเป็นไม้ตายสุดท้ายของต้วนหลิงเทียนแล้ว


 


เพราะการพูดจาตัดรอนเช่นนี้เขาเองก็ปวดใจเช่นกัน หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ เขาก็ไม่อยากพูดวาจาทํานองนี้ออกมา


 


แต่พอเจอกับฮ่วนเอ๋อที่ดื้อรั้น เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่งัดมันออกมาใช้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)